พิมพ์หน้านี้ - ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: CHESS. ที่ 29-04-2017 16:56:17

หัวข้อ: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-04-2017 16:56:17
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------



►Nitrogen ไนโตรเจน◄

คู่เพื่อนจาก Oxygen ออกซิเจน อ่านแยกได้ แค่ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน


"ไม่รักไม่ผิดเพราะพี่ไม่เคยให้ความหวังผม"


"..."


"แต่ผมจะทำให้พี่รักให้ได้ และถ้าวันไหนพี่รักผมขึ้นมา บอกไว้เลย..."


"จะเอาคืน?"


"บอกไว้เลยว่าผมไม่เล่นตัวแน่นอน!"


Fan Page: Chesshire. (https://www.facebook.com/Chesshire04/)
Twitter: @Chesshire04 (https://twitter.com/Chesshire04)


.
.

นิยายของเรา
Oxygen ออกซิเจน #โซโล่กีล์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56726.0)
Nitrogen ไนโตรเจน #คุณภูชายเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.0)
ANAKIN อนาคิน #ภามเจได (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66695.0)
3KINGS ตอน จักรพรรดิ #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
3KINGS ตอน ประมุข #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68472.0)
.
.
สารบัญ
=0= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3625454#msg3625454)     =1= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3626676#msg3626676)     =2= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3632174#msg3632174)     =3= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3634320#msg3634320)     =4= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3636235#msg3636235)     =5= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3638265#msg3638265)
=6= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3640846#msg3640846)     =7= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3644368#msg3644368)     =8= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3645356#msg3645356)     =9= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3647799#msg3647799)     =10= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3650225#msg3650225)     =11= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3653939#msg3653939)     =12= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3656420#msg3656420)
=13= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3659921#msg3659921)     =14= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3662275#msg3662275)     =15= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3663108#msg3663108)     =16= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3665246#msg3665246)     =17= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3667367#msg3667367)     =18= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3671012#msg3671012)     =19= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3674370#msg3674370)     =20= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3678223#msg3678223)
=21= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3681458#msg3681458)     =22= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3684144#msg3684144)     =23= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3687294#msg3687294)     =24= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3691284#msg3691284)     =25= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3694808#msg3694808)
     =26= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3698307#msg3698307)     =27= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3701833#msg3701833)     =28= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3705002#msg3705002)     =29= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3708340#msg3708340)     =30= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3711969#msg3711969)     =31= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3715640#msg3715640)     =32= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3719924#msg3719924)     =33= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3724178#msg3724178)     =34= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3728015#msg3728015)     =35= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3730391#msg3730391)
=36= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3734376#msg3734376)     =37= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3739073#msg3739073)     =38= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3743700#msg3743700)     =39= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3746743#msg3746743)     =40[จบ]= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3750151#msg3750151)


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-04-2017 16:56:45
-0-

 

ถ้าความรักของ ‘เขา’ คือการมีชีวิต

.

.

อากาศและการหายใจคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์คงอยู่

ภายในอากาศประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายชนิด

Nitrogen เป็นก๊าซที่มีปริมาณมากเป็นอันดับหนึ่งขององค์ประกอบทั้งหมด

มนุษย์จำเป็นต้องใช้ไนโตรเจนในการลดความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อมีชีวิตอยู่

สำหรับเขา ‘มัน’ ก็เป็นเหมือนไนโตรเจน

วนเวียนอยู่รอบกาย ไม่เคยคิดว่าสำคัญ ไม่เคยคิดว่าต้องการ

แต่…

 ‘จำเป็นต้องมี’


 

รักครั้งแรกของผมเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ทำผมทรงอันเดอร์คัตที่มักจะเซตอย่างดีเสมอ เครื่องหน้าทุกอย่างประกอบกันอย่างลงตัวจนน่าอิจฉา และที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาดุๆ สีเทาคู่นั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่คนไทยแท้

ตอนเจอกันครั้งแรกที่ห้างผมมองผ่านๆ แค่เห็นเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง เราเดินสวนกัน เป็นเพียงคนสองคนบนโลกที่โคจรมาเจอกันและไม่มีความสำคัญใดๆ

เจอกันครั้งที่สองผมมองแบบเบื่อๆ เพราะไม่ว่าใครก็หันไปมองคนๆ นั้นกันหมด ผมไม่ได้อิจฉา แค่รำคาญเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน

และตอนเจอกันครั้งที่สาม...

.

.

ผมเริ่มชอบเขา

 

 

วันนั้นฝนตก...

ผมเดินออกมาจากร้านเครื่องดนตรีที่มาซื้อสายไปเปลี่ยนให้กีตาร์ตัวโปรด ตอนแรกก็คิดว่าจะแวะไม่นานแต่กลายเป็นคุยเพลินจนลากยาวมาถึงสองทุ่ม

เพราะไม่มีร่มเลยทำได้เพียงมองถนนที่เงียบสงัด รวมถึงคนที่แทบไม่มีด้วยสายตาเบื่อหน่าย

อะไรก็น่าเบื่อไปหมด...ถ้าเปิดเทอมแล้วได้เล่นดนตรีเป็นวงคงดี

"แกๆ นั่นไงคนนั้นๆ"

"ใช่จริงด้วย"

ผมหันไปมองตามเสียงของกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก แล้วก็พบว่าพวกนั้นกำลังมองไปที่อีกฝั่งของถนนที่มีผู้ชายคนหนึ่งถือร่มกำลังเดินข้ามมาฝั่งนี้

อีกแล้วเหรอ…

นอกจากจะรู้สึกเซ็งกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก ผมถอนหายใจก่อนจะละสายตาออกมาจากคนๆ นั้นอย่างไม่คิดใส่ใจ

รอให้ฝนเบาลงกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยวิ่งฝ่าไปขึ้นรถเมล์อีกฝั่งน่าจะดีกว่า…

"เดินมาแล้วอ่ะ ทำไงดี"

"เอางี้ เดี๋ยวฉันผลักแกก็เซไปหาเลยนะ"

"จะบ้าเหรอแก!"

"แล้วจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือเหรอยะ!"

โคตรละคร…

ผมได้แต่กลอกตาเหนื่อยหน่ายกับประโยคสนทนาของผู้หญิงกลุ่มนั้น

แต่จะว่าไปแล้วในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรทำแบบนี้ละครที่กำลังจะเกิดขึ้นก็แลดูน่าสนใจอยู่เหมือนกัน

คิดซะว่าฆ่าเวลา

ผู้ชายคนนั้นเดินมาแล้วและกำลังจะผ่านหน้าพวกผู้หญิงที่กำลังซุบซิบกันอยู่ไป ผมมองดวงตาคมดุที่ไม่ปรายมองอะไรทั้งสิ้นนอกจากทางด้านหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

ได้เห็นใกล้ๆ ก็วันนี้ ขนาดมีฝนตกบดบังสายตาไปบ้างยังรู้เลยว่ามันดุขนาดไหน

ละครเริ่มแล้ว…

ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่น่าจะรับบทเป็นนางเอกละครโดนเพื่อนของเธอผลักเข้าหาผู้ชายคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ผมมองตามด้วยความสนใจ ยอมรับว่าอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง

ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปก็น่าจะรับไว้ต่อให้ต้องทิ้งร่ม

"ว๊าย!"

ผมเบิกตากว้าง ความรู้สึกประหลาดก่อเกิดขึ้นมาในใจเมื่อเห็นภาพคนถือร่มใช้ด้ามจับร่มกระแทกผู้หญิงคนนั้นกลับไปหาเพื่อนของเธอโดยไม่เสียเวลาคิด

โอ้โห…

คนแบบนี้...

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

ไอดอลว่ะ!

เงาร่างของคนหน้าดุหายไปจากสายตาผมแล้ว รู้ตัวอีกทีสองเท้าก็ก้าวออกมาจากที่หลบฝนเล็กๆ หน้าร้านดนตรีแล้วออกวิ่งไปตามทางโดยไร้จุดหมาย

ไม่ดิ…ไม่ได้ไร้จุดหมาย จุดหมายที่ว่าก็แผ่นหลังกว้างที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นไง

ผมวิ่งฝ่าสายฝนแล้วเลี้ยวเข้าซอยตามทางที่เห็นคนๆ นั้นเดินเข้าไป รู้แค่ว่าอยากตามให้ทัน…แต่ไม่รู้หรอกว่าทันแล้วจะทำอะไร

เอาไว้ค่อยคิด

“ดะ!…” ผมหยุดคำพูดแทบไม่ทัน รีบพุ่งตัวเข้าไปหลบตรงถังขยะข้างๆ เสาไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด

คนที่ผมกำลังวิ่งตามยืนอยู่กับผู้ชายอีกสามคน ท่าทางไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องกัน เสียงฝนที่ดังสนั่นทำให้ผมไม่ได้ยินว่าพวกนั้นกำลังคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าใช่เรื่องดีแน่นอน

เอาเลยเหรอวะ…

ผมมองภาพคนตีกันสดๆ ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ มือกำถังขยะใบเล็กข้างๆ ไว้แน่น

สามต่อหนึ่ง…แม่งหมาหมู่นี่หว่า

การต่อยตีที่ควรจะเสียเปรียบกลับกลายเป็นสูสีเมื่อคนตาดุนั่นโยนร่มทิ้งแล้วสู้กลับเหมือนคนมีประสบการณ์ ใช้เวลาไม่นานก็มีพวกหมาหมู่ล้มไปกองกับพื้นแล้วหนึ่งคน

ไอดอลโคตรเท่อ่ะ!

ผมเบิกตากว้าง ถึงจะไม่ได้ยินว่าพวกนั้นคุยอะไรกันแต่แสงสะท้อนของโลหะที่หนึ่งในพวกหมาหมู่มันหยิบออกมานั่นกระทบตาเข้าเต็มๆ

“หมาหมู่แล้วยังโกงอีกนะพวกห่านี่!” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ขาก้าวออกจากที่ซ่อนพร้อมถังขยะที่จับไว้แต่แรก

จังหวะเดียวกับที่ไอ้เวรนั่นจะพุ่งเข้าหาผู้ชายตาดุพร้อมมีด ผมปาถังขยะในมืออัดหัวมันอย่างจัง คิดว่าต่อให้ไม่สลบก็ต้องมึนบ้างแหละวะ ผมอาศัยจังหวะที่ไอ้พวกนั้นชะงักวิ่งเข้าไปคว้าแขนเป้าหมายแล้วดึงให้วิ่งตามอย่างรวดเร็ว

“ใครเสือกวะ!” เสียงไอ้พวกหมาหมู่ดังตัดมากับสายฝน

“พ่อมึงมั้ง!” ผมตะโกนกลับไปพร้อมกับชูนิ้วกลางให้โดยไม่หันไปมอง

ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นอยู่ว่าไม่รู้จักกัน บอกชื่อไปอย่างกับพวกมึงจะรู้จัก

“ไอ้เวร! อย่าให้กูจับได้นะมึง!”

“จับให้ได้ก่อนมึงค่อยพูด กูรำคาญ!” ผมตะโกนรัวเร็ว เพิ่มความไวในการวิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ต้องขอบคุณที่คุณพี่หน้าดุที่ผมลากอยู่ยอมวิ่งตามแต่โดยดี

ผมเลี้ยวซ้ายขวาเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว พอรู้ว่าจะได้มาเรียนที่มหา’ลัยแถวนี้ผมก็เตรียมการอย่างดีโดยการไปสำรวจและจดจำเส้นทางทั้งหมดไว้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าเผื่อตัวเองมีเรื่องแล้วจะได้มีทางหนี แต่กลายเป็นว่าย้ายเข้าหอได้ไม่กี่วันก็ได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว

ผมดันร่างคนที่ลากมาแถมยังตัวใหญ่กว่าเข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างทางโดยใช้แรงเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นก็ดันร่างตัวเองตามเข้าไป เราหลบอยู่เงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้ยินเสียงฝีเท้าของไอ้พวกที่ตามมาวิ่งอยู่ไม่ไกลซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอกเพราะดูเหมือนสมาธิจะจดจ่ออยู่กับคนในซอกตึกนี่มากกว่า

เสียดายว่ะ…

เสียดายที่พี่แกสูงกว่า ระดับสายตาผมดันอยู่ตรงปากเขาพอดีเลยอดจ้องตาดุๆ นั่นเลย เงยหน้าก็ไม่ถนัดเพราะซอยมันแคบแถมยังมืดจนมองแทบไม่เห็นกันอีก

ผมโผล่หัวออกไปดู นอกจากฝนที่ซาลงจนแทบจะหยุดแล้วก็ไม่เห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตสักตัว ผมก้าวเท้านำออกมาจากซอยที่ใช้หลบเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองคนที่เดินตามออกมาเงียบๆ

ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ก็ยิ่งรู้ว่าหน้าตาดีขนาดไหน…

“พี่…” ผมเรียก ขยับเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ “คือ…”

“ใครพี่มึง”

“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ถึงจะมั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดแต่ถามเอาชัวร์อีกรอบน่าจะดีกว่า

“กูบอกว่าใครพี่มึง”

ผมตาโต ได้ยินชัดเจนสองรูหู

ทำไม…

ทำไมใจเต้นแรงงี้วะ!

คนพูดปรายตาดุๆ มองวูบเดียวแล้วหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิมที่เราเพิ่งวิ่งกันมา

“เดี๋ยว!” ผมรีบตะโกน รู้สึกว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วไม่มีโอกาสได้พูดคงเสียใจไปตลอดชีวิต “พี่...คุณ!”

“…” คนที่ถูกเรียกเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ

ดี….ไม่ใส่ใจก็ดี

“ผมชอบคุณอ่ะ!”

ผมตะโกนเสียงดัง รู้สึกได้ว่าคนที่กำลังเดินชะงักไปวูบหนึ่ง เขาหันมามองผม จ้องมองมาด้วยดวงตาดุๆ ที่น่าจะทำให้ใครๆ หวาดกลัวจนตัวสั่น

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับคุณอชิราคนนี้

“ไปไกลๆ”

“เดี๋ยวดิ…คุณไม่เอากระเป๋าตังค์คืนเหรอ”ผมยกยิ้ม ชูกระเป๋าตังค์ราคาแพงที่หยิบมา ‘โดยบังเอิญ’ ให้คนตาดุดู

ใครใช้ให้เขาเอากระเป๋าตังค์ใส่ไว้ในเสื้อตัวนอกกัน ตอนอยู่ในซอกตึกนั่นผมเห็นพอดีเลยหยิบมาง่ายๆ เลย

“มึง!” คิ้วเข้มขมวดแน่น ดวงตาสีเทาดุที่ดูน่ากลัวอยู่แล้วทวีความน่ากลัวกว่าเดิม

“ไม่ต้องโกรธหรอก ผมคืนให้” ผมว่าแล้วโยนกระเป๋าตังค์คืนให้เขา คนๆ นั้นไม่แม้แต่จะเปิดเช็คด้านในแต่เลือกที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที “ผมเช็คแล้วว่าไม่มีรูป…แสดงว่าคุณยังไม่มีใครใช่ปะ”

ผมยิ้มเมื่อคนที่กำลังเดินชะงักไปอีกรอบ คราวนี้เขาหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ

หึ…จ๋าบอกว่าพวกมีแฟน มีคนที่ชอบมักจะเก็บรูปเอาไว้ในกระเป๋าตังค์ เพราะงั้นแสดงว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่มีใครแน่นอน

“แล้วเจอกันนะคุณ!”

ผมตะโกนตามหลังคนที่เดินจากไป โบกไม้โบกมือให้ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็น

ที่ผมบอกว่าตอนเจอกันครั้งแรกกับครั้งที่สองไม่ได้สนใจเขาท่าจะไม่จริง บางทีผมอาจจะสนใจเขาแต่แรกแล้วก็ได้ ถ้าไม่สนใจจริงๆ คงไม่เห็นอยู่ในสายตาหรือรู้ว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ

แบบนี้นี่เอง…

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาสุดสวย

[โหล]

“จ๋า”

[เรียกนำหน้าว่าแม่หน่อยจะได้ไหมยะ]

“ก็เรียกแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาลสามแล้วปะ”

แม่ผมชื่อจ๋า จริงๆ ตอนเล็กๆ ก็จำได้ว่าเรียกแม่จ๋าๆ อยู่ แต่พอโดนเพื่อนล้อตอนอนุบาลสามจนเตะเข้าโรง’บาลไปสองคน ผมเลยเปลี่ยนไปเรียกจ๋าตั้งแต่ตอนนั้น

แน่นอนว่าคนอย่างจ๋าย่อมไม่ถือสา เพราะจ๋าเป็นคนสวยที่ใจดีและวัยรุ่นสุดๆ

[ว่าแต่โทรมามีอะไรคะ ปกติไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงไม่ใช่เหรอ]

“เราจะโทรมารายงานจ๋า”

[รายงานอะไร]

“จ๋าจำที่บอกเราว่าเจอคนถูกใจให้ดูเป๋าตังค์ได้ปะ”

[จำได้…เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคุณอชิราเจอใครคนนั้นแล้ว]

“หึหึ” ผมหัวเราะ คิดถึงคนตาดุที่หายไปจากสายตาสักพักแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา “เราเปิดดูเป๋าตังค์เขาแล้ว ว่างชัวร์”

[ใครกันเป็นผู้โชคร้าย…]

“จ๋า!” ผมตะโกน หน้าบึ้งตึง “เราออกจะดีเลิศไปทุกด้าน โชคร้ายตรงไหนไม่ทราบ”

ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องดนตรี เรื่องกีฬา หรืออะไรผมก็ทำได้ดีหมด ตั้งแต่อนุบาลยันจบม.ปลายผมโดนชมไม่ขาดสายว่าเป็นเด็กเก่ง

ดังนั้นคนที่ทำให้ผมชอบได้เป็นคนแรกแบบเขาต้องดีใจถึงจะถูก!

[ค่ะ ขอโทษค่ะ ว่าแต่เธอคนนั้นเป็นใครกันคะ สวยไหม]

“เรายังไม่รู้ชื่อเขาอะ ส่วนเรื่องสวยนี่ไม่สวยหรอก…”

[อ้าว! แล้วเจอที่มหา’ลัยเหรอ]

“ไม่ใช่ เจอตามทางนี่ล่ะ เรียนไหนไม่รู้”

[นี่คุณอชิราหลงรักคนแปลกหน้าเหรอ]

“จ๋า เรายังพูดไม่จบ”

[ว่าไงคะ]

“เราจะบอกว่าไม่สวย…เพราะหล่อ ดูดี และดึงดูดมาก ตาดุมากเลยเราชอบ สักวันเราจะพาไปหาจ๋านะ แค่นี้แหละบาย”

[ไอ้เก้า‼‼‼‼‼]

-------------------------------

 



TALK : เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนโซโล่จากเรื่อง Oxygen นะคะ อ่านแยกได้ แค่ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน



 ติดแฮชแท็ก #คุณภูชายเก้า

Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 29-04-2017 18:31:31
เห็นชื่อเรื่องแล้วเรารีบกดเข้าอ่านเลย รอจ้าาา #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 29-04-2017 18:56:15
คุณอชิราน่ารัก5555555 คิดถึงมากมาย รอนะคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-04-2017 19:27:11
เปิดมาอย่างนก เอาใจช่วยคุณอชิรานะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 29-04-2017 19:46:45
 :3123:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-04-2017 19:48:16
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 29-04-2017 19:50:59
น่าสนุกค่ะ
ปูเสื่อรอติดตามด้วยคน
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 29-04-2017 19:59:12
ติดตามจร้า ^^
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: toeyy ที่ 29-04-2017 20:32:35
ชอบเก้าาาาา  ตามมาจากออกซิเจน  อิอิ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 29-04-2017 20:48:57
เก้าท่าทางจะแสบ  หาพาราสักกระปุกยื่นให้คุณภู 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-04-2017 21:07:27
คุณภู ชายเก้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2017 22:45:23
ตามจ้ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-04-2017 23:00:25
เข้ามาตามอีกคนมันใชชช่มากเรื่องนี้น่าจะฮามาก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 30-04-2017 00:13:04
ชอบเก้าาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 30-04-2017 01:52:25
เข้ามาตามดูความแสบของเก้า ☺️
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 30-04-2017 09:49:00
ตอนแรกก้อแสบสันต์ สมเปนเก้าเลยนะเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 30-04-2017 18:02:01
เก้าาาาาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 01-05-2017 12:20:29
-1-

‘คุณอชิราจะทำตัวกากเหมือนพวกขี้เกียจไม่ได้นะ’

‘ทำไมอ่ะ’

‘เกิดมาเป็นลูกคุณแม่ทั้งที กับอีแค่ไปเรียนยังงอแง โตไปจะเอาอะไรแดกคะ’

‘แต่เราไม่อยากไปนะจ๋า’

‘บอกให้ไปก็ไปสิคะ ถ้าคุณอชิราไม่ไป...คุณแม่จะยึดหูฟังที่คุณป๋าซื้อให้!’

 

เรด!

ผมลืมตาด้วยความตระหนก มือควานหาอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของร่างกายอย่างรวดเร็ว พอสัมผัสได้ว่ามันยังนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างหมอนก็โล่งอก

ไม่ได้ฝันถึงจ๋ามาตั้งนาน อุตส่าห์มาทั้งทีจะมาแบบสวยๆ ก็ไม่ได้ ต้องมาแบบนางมารให้กลัวตลอด ไม่รู้นั่งบ่นอะไรให้ป๋าฟังอยู่ที่บ้านหรือเปล่าผมถึงได้เอามาฝันแบบนี้

ครืด ครืด

โทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดทำให้ผมต้องละสายตาออกจากเรดแล้วหันไปให้ความสนใจกับมันแทน ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่สนใจ เพราะยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเรด หูฟังตัวโปรดที่ต้องพกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา แต่ฝั่งคนโทรเข้ากลับไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ ยังคงกดโทรมาเรื่อยๆ เหมือนจะบอกว่าถ้าไม่รับกูก็ไม่หยุด สุดท้ายผมก็ต้องหันไปกดรับโทรศัพท์อย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งไอ้บ้าที่โทรเข้ามาแต่เช้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน..

[กูหิว] มันคือไอ้โซ หรือชื่อเต็มๆ ชื่อโซโล่ เป็นเพื่อนสนิทของผม

“บอกกูแล้วมึงจะอิ่มไหม” ผมถามเพื่อนด้วยความเหนื่อยหน่าย ฟังจากน้ำเสียงมันแล้วคงไม่พ้นงอนเมียเหมือนเดิม ท่าทางแบบนี้คงโดนหนีออกไปทำงานแต่เช้าชัวร์

[อยู่ใต้หอมึงแล้ว ลงมารับหน่อย]

อ้าว...ตัดสายกันแบบนี้ก็ได้เหรอวะ

ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วยืนบิดขี้เกียจอยู่พักใหญ่ พอทำใจลุกจากเตียงได้แล้วถึงขยับกายเดินเอื่อยๆ ลงไปด้านล่าง วินาทีที่เปิดประตูหอออก สิ่งแรกที่ผมเห็นคือหน้าที่หงิกงอเป็นฝอยขัดหม้อของเพื่อนสนิท

“ช้า” มันบ่น

“เออน่า...แล้วไมมึงตื่นเช้านัก เพิ่งจะหกโมง” ผมหาวหวอดก่อนจะกวักมือเรียกให้มันเดินตามขึ้นห้อง

“กูรู้สึกตัวตอนตีห้ากว่ากีตาร์ก็ไม่อยู่ห้องแล้ว แปะไว้แต่โน้ตว่าให้ออกไปหาอะไรกินข้างนอก ห้ามกินอาหารแช่แข็ง”

“และการหาอะไรกินของมึงคือมาหากู...ผู้ซึ่งต้มมาม่ายังทำไม่เป็น”

“อยู่ห้องแล้วเซ็งเลยมารับมึง เดี๋ยวไปกินที่มหา’ลัยด้วยกัน”

“เออ” ผมรับคำมัน ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเดินไปเรียน

ถ้าเป็นปีก่อนอย่าหวังเลยว่ามันจะมารับ ไปรับไปส่งพี่กีล์ แฟนมันคนเดียวเท่านั้นล่ะ พอมาปีนี้พี่กีล์ไปทำงานเองเลยเหงา ยอมกระโดดมาเกาะผมแทนทั้งที่รู้ว่าตัวเองต้องเสียเงิน

ทำไงได้...โดนจ๋าหักค่าขนม อยากกินอะไรแพงๆ ก็ต้องเกาะมันกินเอา

“ทำไมมึงไม่หาคอนโดดีๆ อยู่วะ” ไอ้โซบ่นต่อในทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง มันทำหน้ายุ่งในขณะที่กวาดกองผ้าห่มของผมไปรวมกันไว้ด้านหนึ่งของเตียง จากนั้นก็เอนตัวนอนแบบไม่สนใจใคร

“หอมันใกล้กว่า ถ้ากูอยู่คอนโดจะมาเรียนก็ลำบาก มึงอย่าลืมว่ากูขับรถไม่เป็น”

จริงๆ แล้วหอผมมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น ถือว่าเป็นหอที่ใกล้และสะดวกสบายที่สุดในย่านนี้ก็ว่าได้ ห้องก็กว้างขวาง อุปกรณ์ก็ครบครัน แต่ถ้าเอาไปเทียบกับห้องไอ้โซก็คงต่างกันพอควร ไม่แปลกที่มันจะรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในห้องน้ำคอนโดตัวเอง

“แล้วทำไมมึงไม่หัดขับสักที กีตาร์ฝึกแค่สองอาทิตย์ก็ขับได้แล้ว”

“ขับเป็นแล้ว...แต่พูดเหมือนมึงปล่อยให้พี่เขาขับ”

“ก็เขายังขับไม่แข็ง...ให้คนไปรับไปส่งก็ดีอยู่แล้ว”

ผมขี้เกียจเถียงกับมันต่อเลยหันมาจัดการเตรียมของไปอาบน้ำแทน ปล่อยให้มันทำหน้าหงิกกลิ้งไปกลิ้งมาง้องแง้งอยู่บนเตียงนั่นล่ะ

เห็นความปัญญาอ่อนของเพื่อนที่มีตำแหน่งเป็นถึงอดีตเดือนมหา’ลัยแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เริ่มสงสัยว่ากรรมการเอาตาตุ่มมองหรือไงถึงได้เลือกมัน นอกจากหนังหน้าที่ดีกว่าชาวบ้านกับฐานะที่ยิ่งกว่ามหาเศรษฐีไอ้เวรนี่ก็แทบไม่มีอะไรดีเลย ที่หนักกว่านั้นคือมันไปทำอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้พี่กีล์คนดีเป็นแฟน กีตาร์ที่มันเรียกนั่นล่ะหมายถึงเมียมัน คนที่อาจจะจนไปนิดแต่อย่างอื่นสมบูรณ์แบบสุดๆ

บางทีมันอาจจะเล่นของ…

ผมเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำแบบไม่เร่งรีบ บนเตียงมีร่างไอ้โซนอนแผ่หลาเล่นโทรศัพท์อยู่ มันกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่จอเหมือนคนปัญญาอ่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคุยกับเมีย...หมั่นไส้

“เก้า”

“ว่า”

“มึงถามเรื่องภูจากพ่อกูทำไมวะ”

ผมหยุดมือที่กำลังใส่เสื้อแล้วหันไปมองคนพูด มันเองก็ลุกขึ้นนั่งแล้วมองมาเหมือนต้องการคำตอบเหมือนกัน

“มึงรู้ได้ไง”

“พ่อกูฝากมาบอกมึง…” มันเอนตัวพิงกับหัวเตียงด้วยท่าทางสบายๆ “ภูเรียนบริหาร”

“แล้วทำไมมึงพูดเหมือนรู้จักเขา” ผมขมวดคิ้วแล้วนั่งลงบนเตียง ไม่ลืมมองมันเป็นเชิงกดดันให้ตอบมาดีๆ อย่าลีลา

“หลังจากวันที่มึงไปงานเลี้ยงกับพ่อ กูก็ได้ไปงานอีกสองสามครั้ง มีโอกาสได้พูดเรื่องธุรกิจกับภูอยู่บ้าง...ก็ถูกคอดี”

เวร!...ทำไมพ่อซีไม่บอกผมวะ ถ้าผมรู้คงตามติดไปทุกงานแล้ว โคตรพลาด

คนที่ผมกับไอ้โซพูดถึงคือคุณภู...คนที่ผมชอบ ผมเจอเขาครั้งแรกก่อนเปิดเทอมปีหนึ่ง ความประทับใจแรกเริ่มคือการเห็นเขาปฏิเสธผู้หญิงที่เข้าหาด้วยการใช้ด้ามร่มกระแทกเธอออกไปไกลๆ โดยไม่เสียเวลาคิด นับจากนั้นมาผมก็คิดว่าเขาเป็นไอดอลมาตลอด ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่รู้แม้แต่ชื่อเขาด้วยซ้ำ แถมหลังจากที่ได้เจอกันเขาก็หายไปเกือบปี จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนที่ผมไปอังกฤษกับไอ้โซ และได้ไปงานเลี้ยงงานหนึ่งกับพ่อมัน…

“นั่นคุณภูริ ลูกชายของคุณออสตินครับ รู้สึกว่าเคยไปเรียนที่ไทย ไม่รู้ทำไมถึงกลับมาก่อนเรียนจบ”

ตอนนั้นผมรับฟังสิ่งที่เลขาของพ่อซีพูดด้วยใจเต้นตึกตัก ใครจะไปคิดว่าคนๆ นั้นจะเป็นลูกชายเจ้าของงานเลี้ยงกัน

“ภูเป็นเด็กเก่ง…อายุมากกว่าโซสามปีแต่เป็นเด็กที่เข้าวงการธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก ประสบการณ์และความสามารถคู่ควรกับการเป็นผู้บริหารทุกอย่าง”

นั่นคือสิ่งที่พ่อซี พ่อของไอ้โซบอกตอนที่เห็นผมให้ความสนใจเรื่องคุณภู ผมได้ยินพ่อของคุณภูบอกว่าเขากำลังจะกลับมาเรียนต่อที่ไทยให้จบ หลังจากดรอปไปหนึ่งปีตอนจะขึ้นปีสี่ ผมเลยขอให้พ่อซีช่วยส่งข่าวสำคัญๆ เกี่ยวกับคุณภูให้ เพราะดูท่าทางจะสนิทกัน อย่างเรื่องที่เขาเรียนบริหารก็ด้วย

“เดี๋ยวนะ...ทำไมมึงเรียกภูเฉยๆ ได้วะ” ผมหันไปขมวดคิ้วมองไอ้โซด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้สึกแปลกๆ ขนาดในใจกูยังเรียกคุณภู ไหงมึงเรียกภูเฉยๆ ได้วะ

“ก็ตอนแรกไม่รู้อายุ คุยไปคุยมาเหมือนเพื่อนคุยกันก็เลยเรียกแบบสบายๆ” มันยักไหล่ด้วยท่าทางน่ากระทืบ

แล้วอะไรคือการนับเพื่อนกับไอ้โซได้ แต่ผมขอเรียกว่าพี่ไม่ให้เรียก...ลำเอียงนี่หว่า

“เออ เอาเหอะ...มึงหยิบเรดให้กูที” ผมแบมือโดยไม่หันไปมอง สายตาจับจ้องอยู่ที่เสื้อตัวเองซึ่งต้องใช้มือเดียวในการติดกระดุม

“คนเหี้ยไรตั้งชื่อให้หูฟัง”

“ก็กูให้ความสำคัญกับมัน” ผมตอบกลับทันควันแล้วคว้าเรดมาพาดไว้ที่คอเป็นอันพร้อมออกเดินทาง “มึงไม่เคยมีของสำคัญที่ขาดไม่ได้หรือไง...ขนาดพี่กีล์มึงยังเรียกเขาว่ากีตาร์ แล้วมันแปลกตรงไหนที่กูจะตั้งชื่อให้ของสำคัญของกู”

“กูแค่บ่นเบาๆ ต้องจริงจังขนาดนี้ไหม” โซมันลุกขึ้นแล้วเดินมาผลักหัวผม “มึงนี่หลากหลายอารมณ์จริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บทจะจริงจังก็จริงจังขึ้นมาเฉย”

“หุบปากแล้วไปขับรถได้แล้วคุณสารถี” ผมตัดบทมันแล้วเดินนำออกจากห้อง ไม่วายได้ยินเสียงบ่นตามหลังออกมาอีกที อดคิดไม่ได้ว่าตั้งแต่มีเมียแล้วมันพูดมากจริงๆ รู้งี้ไม่ช่วยให้ได้กันแต่แรกดีกว่า

ผมกับโซมาถึงมหา’ลัยประมาณเจ็ดโมง ซึ่งเรายังเหลือเวลาถมเถในการกินข้าว เรื่องกิจกรรมก็โยนให้คนอื่นทำหมดเพราะอ้างกับพวกรุ่นพี่ว่าไปอังกฤษ แต่ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเรากลับมาแล้วมีหวังโดนจิกหัวใช้งานหนักหน่วงแน่นอน พวกผมเลยต้องย้ายถิ่นฐานมากินข้าวที่คณะบริหารแทนที่จะเป็นคณะแพทย์เหมือนทุกที

ถามว่าทำไมถึงเป็นโรงอาหารแพทย์แทนที่จะเป็นโรงอาหารดุริยางค์ คณะที่ผมเรียน นั่นเป็นเพราะคณะผมไม่มีโรงอาหารเหมือนชาวบ้านเขา เลยต้องไปอาศัยโรงอาหารแพทย์แทน เผลอๆ เดินเข้าไปอาจจะเจอพวกผมเยอะกว่าพวกแพทย์ด้วยซ้ำ ตึกก็ดูหรูดีแต่ไม่มีโรงอาหารคณะ...เพลีย

“ทำไมต้องมาไกลถึงบริหารวะเนี่ย” โซมันงึมงำของมันคนเดียว ผมเองก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป

ที่มาก็เพราะอยากมาสิวะ ถามแปลกๆ

“เด็กปีหนึ่งเต็มไปหมด” ผมพูดเบาๆ ขณะเท้าคางมองไปรอบๆ สายตาแต่ละคนจ้องไอ้โซอย่างกับจะจ้องให้ทะลุ นี่ถ้า…

“เก้า! โซ!”

เออดี…

จากที่มองกันอยู่แล้วกลายเป็นมองหนักกว่าเดิมเพราะไอ้เจไดคนเดียว ตะโกนแบบนี้กลัวคนไม่ได้ยินหรือไงก็ไม่รู้

“กูรู้นะว่าพวกมึงกลับมาก่อนแต่ไม่ยอมมาร่วมงานเปิดภาค” มันชี้หน้าผมแล้วชี้หน้าโซต่อ ท่าทางเจ็บแค้นแสนสาหัส “กูเลยต้องขึ้นไปมอบรางวัลแทนมึงเลยโซ แถมยังโดนถามนั่นถามนี่หนักกว่าตอนได้ตำแหน่งรองเดือนอีก แล้วรุ่นพี่พวกมึงนี่นะ…ถามกูตั้งแต่เดือนที่แล้วว่าไอ้เก้ากลับยัง จนวันงานแล้วยังถามกูอีก พวกมึงแม่ง”

ผมมองหน้าอดีตรองเดือนมหา’ลัยเย้ยๆ ที่พูดมานี่ไม่ได้สงสารเลยสักนิด ออกจะสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ ไอ้หน้าหนอนที่วิ่งมาหาผมกับไอ้โซคือเจได เป็นอดีตรองเดือนมหา’ลัยจากคณะแพทย์ เพื่อนสนิทของผมอีกคน เรารู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่เพราะมันเรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลาคุยหรือเจอกันนัก บางทีเจอกันวันนี้แล้วผมอาจจะเจอมันอีกทีตอนปิดเทอมเลยก็ได้

“ขอโทษนะคะ…” ตามสเตปของการเป็นจุดเด่นที่ดีคือต้องมีคนมาทักแบบเนียนๆ ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มผู้หญิงสี่ห้าคนที่ยืนบิดอยู่ข้างๆ โต๊ะผม “ไม่ทราบว่าตรงนี้มีใครนั่งไหมคะ”

อันนี้ก็เนียนขอนั่งด้วย…

“เชิญเลยครับ”

อันนี้ก็ตัวอย่างรองเดือนมหา’ลัยที่ดี

“พวกพี่มาทำอะไรที่ตึกบริหารเหรอคะ”

เริ่มแล้วไง…

ผมกลอกตา ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเป็นคนแรก โซมันเห็นแบบนั้นก็ทำตาม ทิ้งเจไดให้รับหน้าไปคนเดียวโทษฐานไปอนุญาตเขา

โต๊ะว่างมีเป็นสิบต้องเจาะจงมานั่งตรงนี้ มันใช่เรื่องไหมล่ะ

“พี่ขับรถผ่านแล้วเห็นรถเพื่อนจอดอยู่เลยตามมากินข้าวด้วยน่ะครับ”

“แล้วพี่อีกสองคน เอ่อ…”

“น้องปีหนึ่งสินะ นั่นเดือนมหา’ลัยปีสองชื่อโซโล่ครับ คนที่ทำให้พี่ต้องขึ้นไปมอบรางวัลแทนนั่นล่ะ ส่วนอีกคนนั่นเก้า นักร้องคนดังของพวกดุริยางค์”

ไอ้เลว…

“เก้า”

โซมันเรียกแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พอผมเงยหน้ามองถึงได้เห็นว่าสายตามันกำลังจับจ้องไปยังทิศทางที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินมา และนั่นทำให้อารมณ์เซ็งๆ ของผมหายวับไปแทบจะทันที

“พี่เก้าคะ…”

นั่นมัน...

มาจริงด้วยว่ะ ไม่เสียแรงที่มากินข้าวที่นี่

“มึงรอกูที่นี่” ผมหันไปบอกเพื่อนแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจคนแปลกหน้าที่กำลังทำหน้าเหวอกับเจไดที่มองมาเป็นเชิงถาม หลังจากโยนกระเป๋าฝากโซไว้แล้วผมก็วิ่งออกมาจากโรงอาหาร ตามหลังผู้ชายตัวสูงที่เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้ไป

“คุณ!”

ขาจะยาวไปไหนวะ เรียกก็ไม่หันอีก

“คุณภู!”

ผมรีบวิ่งตามไปด้านหลังตึก เรียกยังไงคนๆ นั้นก็ไม่หันกลับมาสนใจ แต่พอตามมาถึงจุดๆ หนึ่งที่ผมเริ่มทนไม่ไหวแล้วจู่ๆ เท้าของคนที่เดินมาตลอดก็หยุดชะงักกะทันหัน และนั่นส่งผลให้หน้าผมกระแทกเข้ากับหลังเขาเต็มๆ

“พี่ภู”

“...”

“คุณภู”

“อะไร” คนตาดุหันมาตอบ มือคว้าบุหรี่ขึ้นสูบแล้วเอนตัวพิงกำแพงด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ทำเอาผมตาวาว

“ไม่เอาอ่ะ ผมจะเรียกพี่ ทีไอ้โซยังเรียกชื่อเฉยๆได้เลย”

พี่ภูถอนหายใจด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย สายตาจับจ้องไปยังจุดใดก็ไม่ทราบราวกับไม่อยากใส่ใจผม

“พี่ดูแตกต่างนะ…” ผมกอดอกหรี่ตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดู...แตกต่างจากตอนอยู่อังกฤษ”

ถ้ามาดตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่อังกฤษของเขาคือคุณชายผู้สูงศักดิ์ มาดตอนนี้คงเรียกได้ว่าแบดบอยสุดขีด

“มึงตามกูทำไม”

“พี่หมายถึงตอนไหน” ผมทิ้งตัวพิงกำแพงข้างๆ แล้วหันไปมองหน้าเขา

“ทุกตอน”

“ก็ผมชอบพี่ ผมก็ต้องพยายามเข้าใกล้พี่ดิ” ผมพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ตอนผมเล่นดนตรีแรกๆ จ๋าเคยบอกว่าคนเราต้องพยายามถึงจะประสบความสำเร็จ เรื่องของพี่ก็เหมือนกันนั่นล่ะ”

พี่ภูคีบบุหรี่ไว้ที่นิ้วแล้วยันตัวตรง เขาหันหน้ามามองผมด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเคย แต่ก่อนที่ผมจะขยับตัวออกจากกำแพงบ้างแขนข้างหนึ่งก็เท้ากั้นเอาไว้เสียก่อน และมันทำให้กลิ่นควันจากบุหรี่ที่อยู่ติดแก้มลอยเข้าจมูกผมเต็มๆ

“อย่ายุ่งกับกู”

“พี่ก็รู้…” ผมใช้มือข้างหนึ่งดันแขนที่ถือบุหรี่ของพี่ภูให้ขยับออกห่าง “ว่าคำพูดพวกนี้ใช้กับผมไม่ได้ผล”

“...”

“ถ้าอยากจะให้ไปไกลๆ จริงๆ พี่หาวิธีอื่นเหอะ ตาดุๆ นั่น นอกจากจะไม่กลัวแล้วผมยังชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรู้ปะ” ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นดวงตาคมของคนที่จ้องมองอยู่หรี่ลง

ในเมื่อผมชอบและอยากเข้าหา ผมก็ต้องพยายามเพื่อให้ได้เขามา แต่ในทางกลับกันถ้าเขาอยากกันผมออกห่าง...เขาเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน

ถือว่าเท่าเทียม

“ที่กูยังไม่บีบคอมึงตั้งแต่ตอนนี้เป็นเพราะอาซี” พี่ภูดันตัวออกห่าง เขาละสายตาออกจากหน้าผมแล้วยกบุหรี่ขึ้นสูบต่อ

“ผมจะไปขอบคุณพ่อซีทีหลัง”

“มึงกวนตีนกู?”

“เปล่า ก็พ่อช่วยให้ผมไม่โดนพี่บีบคอ ผมก็ต้องไปขอบคุณพ่อสิ กวนตีนตรงไหน” ผมถามด้วยความสงสัยแล้วแอบเอาเท้าเหยียบบุหรี่ที่พี่แกทิ้งลงพื้นแบบเนียนๆ “ผมไม่กวนตีนคนที่ชอบหรอก”

พอผมพูดจบคนที่ทำท่าจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวนก็ทิ้งแขนลงข้างลำตัว พี่ภูเหลือบตามองผมวูบเดียวแล้วหันหลังเดินจากไปทางเดิม

เอาเหอะ…ตื๊อมากไปเดี๋ยวดูน่ารำคาญ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้

แค่นี้ก็อารมณ์ดีจะตายอยู่แล้ว

ผมเดินกลับมาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่ด้วยจิตใจที่แจ่มใสขึ้นกว่าเดิมประมาณสิบเท่า ข้างๆ พวกมันยังมีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มเดิมนั่งอยู่ด้วย ดูจากคิ้วที่ขมวดแน่นของโซแล้วผมเดาว่ามันคงรำคาญเต็มทน ส่วนเจไดที่ยิ้มๆ ก็ดูหน้าเจื่อนขึ้นเรื่อยๆ…คงไม่พ้นหาทางออกมาไม่ได้เหมือนเคย

ต้องพึ่งกูตลอดสินะไอ้เรื่องแบบนี้…

“ไปเหอะ” ผมสะกิดแขนเพื่อนให้ลุกขึ้น โซมันลุกตามง่ายๆ ไม่มีใครกล้ายุ่งอะไร แต่ไอ้คุณหมอที่โดนดึงแขนไว้สองข้างนี่ท่าจะยาก

ไอ้นี่ก็สุภาพบุรุษเหลือเกิน

“คือว่า…”

“ไป” ผมหันไปย้ำอีกทีแล้วเดินนำออกมาก่อน โซเดินล้วงกระเป๋าตามมาง่ายๆ ส่วนเจไดมันก็รีบอาศัยจังหวะที่สาวเจ้าเงิบอยู่แกะแขนเดินออกมา

“แม่งมองจิกทีเขาเงียบกันหมดเลยว่ะ” ไอ้ว่าที่คุณหมอเดินมาเกาะไหล่ผมแล้วชูนิ้วโป้งให้เหมือนทุกที

“เรื่องเหี้ยๆ นี่ใช้กูนักล่ะ” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนัก จะว่าชินก็ใช่เพราะเวลามีเรื่องอย่างนี้ทีไรพวกมันต้องใช้ผมตลอด แต่ถึงจะเห็นเป็นคนแบบนี้ผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมาเกลียดสักหน่อย

“ทำไงได้วะ มันขัดกับภาพลักษณ์กูอ่ะ”

“แล้วภาพลักษณ์กูต้องเป็นคนเหี้ยชอบฉีกหน้าชาวบ้านใช่ไหม” ผมผลักหัวเจไดไปทีเมื่อมันพยักหน้ารับแบบไม่ต้องคิด “ไปเรียนเลยไป”

“ไล่ว่ะ” เจไดทำท่าทางงอแงตุ้งติ้งน่าถีบ มันสะบัดหน้าใส่ผมแล้วหันไปเกาะแกะโซแทน พอโดนโบกมือไล่เลยทำปากยื่นปากยาวแล้วยอมพยักหน้า “ไปก็ได้ เจอกัน”

“เออ”

พอมันเดินแยกไปขึ้นรถตัวเองแล้วผมก็เดินไปขึ้นรถบ้าง แต่รอแล้วรอเล่าไอ้คนขับมันก็ยังไม่ออกรถเสียที

“อะไร” ผมหันไปถามมันแล้วดึงหูฟังที่ใส่ไว้ข้างหนึ่งออกเมื่อเห็นว่าไอ้เพื่อนหน้านิ่งมันกำลังหรี่ตามองเหมือนไม่เข้าใจ

“กูแปลกใจ”

“แปลกใจ?”

“แปลกใจว่าทำไมมึงกลับมาโดยไม่มีแผล”

ผมชักสีหน้าแล้วดันหัวไอ้ขี้สงสัยให้หันกลับไปมองข้างหน้าเป็นเชิงบอกให้มันออกรถ โซมันก็ยอมทำตามแต่โดยดีโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

“มึงควรจะแปลกใจว่าทำไมกูกลับมาเร็วไม่ใช่หรือไง” ผมถามโดยไม่ได้หันไปมอง แต่ทันได้ยินเสียงหัวเราะหึหึเบาๆ พอดี

“มึงมันพวกตามอารมณ์อยู่แล้ว จะทำไรไม่มีใครเดาได้หรอก กูชินจนเลิกแปลกใจไปละ”

“พูดมาก” ผมบ่นแล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างโดยไม่สนใจไอ้คนขับรถที่หัวเราะอยู่ข้างๆ เมื่อก่อนนี่อย่างเงียบ ถึงเวลาอยู่กับผมมันจะพูดมากกว่าปกติแต่ก็ไม่ได้มากขนาดนี้ แต่พอมีเมียเท่านั้นล่ะ...อารมณ์ดีเหลือเกิน

เพียะ!

“ไอ้โซ!” ผมเอามือลูบหน้าผากตัวเองที่โดนดีดเสียงดังแล้วหันไปจ้องหน้าไอ้คนขับรถด้วยสายตาหาเรื่อง “มึงมีเรดาห์ตรวจจับคนที่นินทาในใจหรือไงวะ”

“รู้ด้วยเหรอ” มันว่าหน้าตาเฉย ทำเอาผมต้องชูนิ้วกลางให้หนึ่งทีข้อหาหมั่นไส้ก่อนจะเลิกสนใจไอ้เพื่อนหน้านิ่ง ใจอยากเอาคืนแต่จะหาเรื่องตอนขับรถอยู่คงไม่ดีเท่าไหร่ สุดท้ายเลยได้แต่ทดไว้ในใจรอเวลาเอาคืน

เอาให้พี่กีล์ไม่…

“แผนชั่วนี่ออกมาทางสีหน้าเชียว”

“แล้วทำไมมึงต้องรู้ทันกูไปหมด” ผมหันไปถามไอ้คนพูดแทรกความคิดด้วยความหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เรื่องที่ควรฉลาดเสือกโง่ แต่ไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการนินทาในใจนี่ดันรู้ทันตลอด

“สรุปมึงจริงจังเรื่องภูเหรอวะ”

พอรถมาจอดอยู่หน้าคณะแล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น

“กู…”

ปัง!

“เหี้ย!” โซสบถด้วยความหัวเสียแล้วเปิดประตูรถออก ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หลังจากถอนหายใจแล้วก็รีบเปิดประตูรถตามออกไปด้านนอก ดีที่อยู่หน้าคณะแล้วเลยไม่ต้องห่วงว่าจะไปจอดขวางทางใครหรือเปล่า

“ดีพวก…”

“ทุบรถทำไม!” ไอ้คนหวงรถขมวดคิ้วหงุดหงิดแต่ก็พยายามทำตัวให้ปกติเมื่อเห็นว่าใครที่เป็นคนทุบรถมันเมื่อครู่

“กูทุบเบาๆ เองนะ” พี่วินกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

“เบาเหี้ยไรล่ะ…”

ผมแอบหัวเราะตอนได้ยินเพื่อนข้างตัวกระซิบ มันพยายามทำหน้าให้เป็นปกติแต่ก็ไม่ยอมหันไปคุยกับพี่วิน

หน้าที่กูอีกละ

“ละพี่มีไรอ่ะ” ผมหันไปถามคนที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ พี่วินทำหน้ามึนๆ งงๆ อยู่พักหนึ่งถึงได้เปลี่ยนเป็นหน้าเถื่อนเหมือนตอนแรก

“พวกมึงกลับมาแล้วทำไมไม่บอก!”

ก็ว่าแล้วว่าต้องเรื่องนี้...รถนี่แม่งก็เด่นจะตาย ไม่แปลกที่จะมีคนเห็นแล้วเอาไปฟ้อง

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือรุ่นพี่ดุริยางค์ปีสี่ที่คอยดูแลจัดการงานต่างๆ ของคณะ ซึ่งเป็นพวกชอบทำตัวมาดแมนแต่จริงๆ แล้วขี้กลัวสุดๆ และคนที่พี่แกกลัวมากๆ ก็หนีไม่พ้นไอ้โซที่ชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลานี่ล่ะ

พอผมขึ้นปีสองพี่วินก็ขึ้นปีสี่ ตอนปีก่อนผมเคยสงสัยอยู่ว่าทำไมแกถึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้นปี แต่พอได้เห็นการจัดการงานที่พี่ปีก่อนมอบหมายให้แล้วถึงได้รู้ จริงๆ ถ้าไม่นับเรื่องขี้กลัวแล้วถือได้ว่าพี่วินเป็นบุคคลมีคุณภาพคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เล่นเครื่องดนตรีได้ทุกอย่างเหมือนผม

“ว่าไงเก้า”

“แล้วทำไมต้องบอกอ่ะ” ผมถามงงๆ โดยพยายามไม่ขำท่าทางที่มองหน้ากันอย่างกดดันจนดูผิดปกติ ถ้าคนไม่รู้จักคงคิดว่าพี่แกกำลังโมโหหรือสั่งสอน แต่คนที่คลุกคลีกันมาตลอดอย่างผมย่อมรู้ว่าจริงๆ คือไม่กล้าสบตาไอ้โซที่ยืนลูบรถอยู่มากกว่า

“กูงอน!”

“เดี๋ยว…”

พี่วินสะบัดตูดเดินหน้างอกลับไปทางตึก ส่วนผมได้แต่มองตามแบบเพลียๆ  สงสัยจะลืมไปแล้วว่ามาทุบรถเรียกพวกผมทำไม

“ขึ้นไปห้องประชุมด้วยนะมึง!” พี่วินหันมาตะโกนบอก พอผมทำท่าจะตะโกนตอบคนที่กำลังงอนก็สะบัดหน้าหนีไปทันที

ทำไมรอบตัวผมถึงมีแต่คนไม่ปกติวะเนี่ย ไอ้คนข้างตัวนี่ก็เหมือนกัน…

“รถมึงทำจากกระดาษเหรอ ทุบนิดทุบหน่อยทำอย่างกับจะพัง”

โซถลึงตา ทำท่าเหมือนอยากจะเข้ามากระชากหัวผม แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นมันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมาเสียเฉยๆ

“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกู”

“คำถาม?”

“มึงจริงจังเรื่องภูหรือเปล่า”

ผมนิ่งไปเมื่อสบเข้ากับสายตาที่ไม่มีวี่แววของการล้อเล่น โซยืนนิ่งรอคำตอบอยู่แบบนั้นไม่ได้ขยับไปไหน ผมได้แต่ถอนหายใจ ยังไม่อยากด่วนสรุปตอบไปไวๆ เพราะไม่อยากให้มันคิดว่าผมตอบไปงั้นๆ แบบไม่ได้คิดอะไร

“ก่อนจะตอบมึงกูถามไรอย่าง…ทำไมมึงถึงดูกลัวเรื่องพี่ภูขนาดนั้น”

ไม่ใช่แค่คำพูด แต่การกระทำของมันกำลังบ่งบอกว่าไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งกับพี่ภูเท่าไหร่ ท่าทางเหมือนกับกลัวอะไรสักอย่าง

“ภูไม่ใช่คนที่มึงจะเล่นๆ ด้วยได้…” โซขมวดคิ้ว หน้าตามันดูเคร่งเครียดกว่าเดิม “คนๆ นั้นไม่ได้เป็นคุณชายมาดผู้ดี ไม่ได้เป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ หรือมีมารยาทแบบที่ใครๆ เห็น”

ถึงจะสงสัยอะไรอยู่นิดหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ใช่ว่าตัวเองไม่สังเกตเห็นความแตกต่างของพี่ภู โซเองก็คงเห็นเหมือนกันถึงได้เตือนผม เพียงแต่การที่มันได้พูดคุยกับพี่ภูแบบจริงจังอาจทำให้มันรู้อะไรมากกว่า

แต่ว่า…

“จากที่กูเห็นแล้วก็เริ่มชอบเขา มันไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์แบบที่มึงบอกอยู่แล้ว”

“ถึงกูจะไม่ได้สนิทสนมอะไรมาก แต่จากการได้พูดคุยในงานเลี้ยงตอนอยู่อังกฤษก็ทำให้รู้ได้อย่างหนึ่ง...ภูเป็นคนอันตราย”

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ได้พูดคุยกับพี่ภูเมื่อปีก่อนและวันที่ได้เจอกันที่อังกฤษ ทุกๆ ครั้งที่เราได้คุยกันนั้นเขาไม่เคยแสดงมาดคุณชายผู้ดีอะไรนั่นออกมาให้เห็นเลย ถ้าไม่นับตอนอยู่ในงานเลี้ยงก็เรียกได้ว่าผมเห็นเขาที่เป็นคนน่ากลัวมาแต่แรกด้วยซ้ำ

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ผมตบบ่าเพื่อนเพราะเข้าใจดีถึงความเป็นห่วงของมัน เป็นเพื่อนกันมาปีเดียวก็จริงแต่เราก็รู้จักกันดี สำหรับผมถึงจะด่ามันในใจหลายทีแต่ก็มองมันเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดมาตลอด อาจเพราะเราเข้ากันได้หลายๆ อย่าง “คนอย่างกู...ถ้าบอกว่าเอาจริงก็คือเอาจริง”

ไม่ว่ามันจะเป็นความถูกใจหรืออะไรก็แล้วแต่...ถึงจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ผมจะไม่ยอมพลาดอะไรไปแค่เพราะความไม่กล้าแน่นอน

“อืม…”

“กูไม่ได้ชอบที่เขาเป็นแบบที่คนอื่นเห็น ที่กูชอบเขา...ตั้งแต่แรกก็เป็นเพราะเขาเป็นคนอันตรายแบบที่มึงว่านั่นล่ะ”

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เขาสลัดผู้หญิงทิ้ง จัดการคนที่เข้ามาหาเรื่อง หรือแม้แต่ตอนที่พูดจาแบบไม่สนใจความรู้สึกใคร...ทุกๆ อย่างที่ทำให้ผมจดจำพี่ภูได้คือภาพเหล่านั้น และขอย้ำอีกครั้ง...

นั่นอ่ะ...

โคตรไอดอล!

อยากได้!

จะเอา!

------------------------




หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minkey ที่ 01-05-2017 12:41:18
ชอบเวลาเพื่อนอยู่ด้วยกันอ่ะ
เถียงกันไปมา น่ารักดี
โซโล่ดูพูดเยอะขึ้นจริง

น้องเก้าคือแสบมากลูก
โถ่วววววว น่ารักอ่ะ ตั้งชื่อให้ของด้วย

เอาใจช่วยให้จีบคุณภูให้ติดนะน้องเก้า
 :mew1:



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-05-2017 13:14:24
โซกับเก้านี่น่ารักจริงๆอะ55555 แต่ถ้าคุณอชิราอยากได้ ก็ต้องได้นี่เนอะ :hao7: รอคุณภูมาหลงเด็กแสบจ้า :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-05-2017 13:36:32
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 01-05-2017 14:31:46
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 01-05-2017 19:00:16
เหมือนมีเสียงเซอราวด์รอบหัว  อยากได้อ๊ะ!จะเอาอ๊ะะะะ!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 01-05-2017 19:19:59
 :katai2-1: :katai2-1:
เก้าแรดมากกกกกกก แรดกับเรด(ชื่อน้องอินเอียร์)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-05-2017 21:54:35
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 02-05-2017 08:25:53
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 02-05-2017 10:44:44
คู่นี่จะ sm หรอ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 02-05-2017 11:04:03
โอ้ยๆ ต้องคนแบบนี้สิถึงจะคู่ควรกับเก้า    :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-05-2017 13:28:36
อันตรายแค่ไหนก็แพ้เก้า  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 02-05-2017 18:19:26
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 03-05-2017 12:22:17
ตอนของชายเก้ามาแล้วววววววว ชอบอ่ะ ชอบลุคของเก้าตั้งแต่เรื่องก่อนล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Amikim ที่ 03-05-2017 21:59:15
 :hao7: ตามมาจาก oxigen ชอบเก้ามาก รอตอนที่สองค่ะ #คุณภูชายเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 05-05-2017 21:04:42
55555555ชอบชายเก้าอ่ะ เจ๋งดี อยากให้เจ๋งไปตลอด
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 08-05-2017 11:24:21
ตามติดชีวิตหมาเก้า ชอบแบบนั้นสินะ55คุณภูอย่าโหดร้ายเดี๋ยวเก้าจะชอบกว่าเดิม ชอบคนเถื่อนก็ไม่บอกนะเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[1]==[P.1]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 09-05-2017 22:23:33
-2-

 

“อันนี้แผนงานคร่าวๆ ของเทอมนี้”

“ตารางแค่นี้ก็แน่นแล้วนะ ยังเรียกว่าคร่าวอีกเหรอวะ”

“ปีหนึ่งมีตัวเด็ดๆ เข้ามาบ้างไหม”

“กูว่า…”

ขนาดเปิดเสียงสุดแล้วยังเอาไม่อยู่…หนวกหูโคตร

“เก้า มึงว่าไง”

ผมขยับเรดให้เข้าที่กว่าเดิม พยายามทำให้เสียงจากหูฟังดังเข้าหูให้ได้มากที่สุด เพราะไม่อยากจะฟังคนคุยกันจ้อแจ้น่ารำคาญ ใจจริงอยากหลับหนีไปเลยด้วยซ้ำแต่ก็โดนไอ้คนข้างๆ ที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่สะกิดตลอดเหมือนจะกวนตีน

“เก้า…”

ถ้าไม่ใช่เพราะโดนดักอยู่หน้าห้องตอนเลิกเรียน อย่าฝันเลยว่าผมจะยอมมาร่วมประชุมง่ายๆ แบบนี้

“ไอ้เก้า!”

“อือ…” ผมตอบรับเสียงยานคาง ยอมดึงหูฟังออกแล้วขยับตัวนั่งแต่โดยดี ขี้เกียจลีลามากความ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ต้องโดนเรียกจนกว่าจะยอมฟังอยู่ดี

“กูถามว่ามึงคิดยังไง” พี่วินเท้าเอวมองผม แม้แต่คนอื่นๆ ก็มองเหมือนรอคอยคำตอบเช่นกัน

“ทำไมต้องถามผมเนี่ย” ผมบ่นแล้วยกขาขึ้นมานั่งกอดบนโซฟา ไม่ลืมขยับตัวไปนั่งพิงไหล่โซไว้เผื่อโดนพี่วินหมายหัว

“มึงเหนื่อยสุดนะไอ้เก้า ตรงไหนหนักไปกูจะได้พยายามช่วย” พอเห็นพี่วินดูเป็นการเป็นงานผมเลยได้แต่หยิบกระดาษแผนงานมานั่งดูโดยไม่เล่นตัว

“อันนี้คือยังไม่หมดใช่ไหม”

“ใช่...นี่เพิ่งเปิดเทอมก็ยาวขนาดนี้แล้ว ยังไม่นับงานเร่งอีก พวกนักดนตรีสบายหน่อยเพราะมีตัวเปลี่ยนพอควร แต่นักร้องตัวหลักจบไปปีก่อนสองคน ตอนนี้เลยเหลือมึงคนเดียวแล้ว”

“ผมไหว...แต่ยังไงพี่ก็ต้องหาคนเผื่อไว้ด้วย ไอ้พวกที่เรียนว้อยซ์อ่ะ ถึงจะไม่แข็งแต่ก็ต้องป้อนงานให้พวกมันบ้างแล้ว ไม่งั้นเมื่อไหร่จะเป็น บอกตรงๆ ว่าจะให้ผมร้องคนเดียวหมดมันเกินไป ทั้งแรง ทั้งเวลา ไม่ได้ใช้น้อยๆ เลย” ผมบอกพี่วินไปตามตรง เข้าใจดีว่าคนเรียนเอกว้อยซ์ไม่ได้ร้องเพราะกันทุกคน บางคนร้องได้แต่เอนเตอร์เทนไม่เก่ง บางคนตื่นเวที อะไรหลายๆ อย่างมันทำให้หลายๆ คนไม่พร้อม แต่เรียนมาทางนี้แล้วยังไงก็ต้องทำตัวให้ชิน ถึงคนเอกผมจะน้อยยังไงก็ยังถือว่ามีอยู่ จะให้ร้องคนเดียวทุกเวทีคงได้ตายเข้าสักวัน อีกอย่าง...

“กูเข้าใจ เดี๋ยวจะเทรนคนขึ้นเวทีด้วย ส่วนของมึงเดี๋ยวกูดูงานแล้วบอกอีกที”

“เคพี่”

ถ้าผมต้องขึ้นทุกเวทีและต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการซ้อม แบบนั้นคงไม่มีเวลาเล่นเกมกันพอดี...ไหนจะต้องเจียดเวลาไปหาพี่ภูอีก แค่คิดก็บายแล้ว

“เกือบดูดีละ”

ลืมไปเลยว่ามีไอ้ตัวรู้ทันอยู่ข้างๆ อีกคน

“ใครจะไปเหมือนมึง ตัวเปลี่ยนก็เยอะ แถมยังไม่มีใครกล้าบังคับให้ขึ้นเวทีอีก” ผมหันไปกัดด้วยความหมั่นไส้แล้วทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดพิงมันไว้

ทั้งที่เป็นเดือนมหา’ลัยซึ่งน่าจะดึงดูดคนได้เยอะ อย่างน้อยถ้าลากไปขึ้นเวทีก็น่าจะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าบังคับมัน ซึ่งต่างกับผมที่โดนลากไปลากมาเป็นว่าเล่นโดยสิ้นเชิง โชคดีที่มือผมเกาะมันแน่นเป็นปลิง ผลก็คือ...มันโดนลากตามผมไปด้วยตลอด ถ้าไม่นับเวลาที่มันแอบหายหัวไปหาพี่กีล์แล้วทิ้งผมไว้ลำพังน่ะนะ

“ปีนี้มึงเตรียมตัวมาเผชิญชะตากรรมกับกูได้เลย ปีก่อนมึงมีพี่กีล์ ปีนี้กูมีพี่ภู ถ้ากูไม่ได้ไปหา มึงก็ต้องอยู่กับกู!” ผมพูดอย่างเด็ดขาดโดยพยายามลดเสียงลงเพราะไม่อยากให้พวกที่ประชุมอยู่ได้ยิน

“ความหมายของมึง…” โซเหลือบตามองผมแล้วยกยิ้มมุมปาก “จะให้ช่วยกันหาเรื่องโดดว่างั้น”

“หึหึ”

“หึหึ”

“น่ากลัวง่ะ” เสียงกระซิบจากพวกที่ประชุมอยู่ดังเข้าหูผ่านๆ ผมรีบกระแอมแล้วเก็บท่าทีอย่างรวดเร็ว กลัวจะโดนคนรู้ทันโดยเฉพาะไอ้พี่วิน

“แล้วนี่มึงยังไม่กลับไปหาพี่กีล์เหรอ” ผมหันไปถามเพื่อนด้วยความแปลกใจเพราะเห็นว่าค่ำแล้ว ปกติอะไรก็ฉุดมันไว้ไม่อยู่ แต่พอมองใบหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่ายักษ์ถึงได้เข้าใจ…

“กีตาร์เริ่มเรียนโทแล้ว กลับดึก”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้ตอแยมันต่อเพราะขี้เกียจฟังมันงอแง พอเริ่มไม่มีอะไรทำก็ได้แต่เอนตัวลงนอนแล้วหลับตาลง

สรุปว่าการมาประชุมครั้งนี้ไม่ได้อะไรเลยนอกจากได้นอน...เพื่ออะไรวะเนี่ย

 

“มันฝากบอกว่าจะไปรับใครสักคน ให้มึงกลับเอง”

ผมกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดของพี่วินที่กำลังนั่งเกากีตาร์อยู่ เพราะตื่นขึ้นมาแทนที่จะเห็นหน้าเพื่อนเป็นคนแรก ดันเห็นแต่หน้ารุ่นพี่ที่กำลังคุยนั่นคุยนี่เฮฮากันอยู่ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีที่ไม่ยอมปลุกก็หายหัวไปแล้วเรียบร้อย

โดนเทเฉย…

“ผมกลับละพี่”

“เออ เจอกัน”

หลังโบกมือหยอยๆ ให้พี่ๆ เรียบร้อยแล้วผมก็เดินตัวเปล่าออกมาจากห้องประชุม

ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าแล้ว...ฟ้ามืดสนิท แม้แต่แสงดาวสักนิดก็ไม่มี ผมลากโอนิสึกะคู่โปรดไปตามทางช้าๆ รู้สึกดีที่ได้ดื่มด่ำบรรยากาศเย็นสบายยามค่ำคืน ไม่มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจเหมือนปกติ

ถึงจะเป็นช่วงกิจกรรมแต่ทางที่ผมใช้เดินกลับหอก็ค่อนข้างเงียบ น่าจะเพราะคนส่วนใหญ่มักจะทำงานกันใต้ตึกคณะตัวเอง ตอนนี้เลยไม่ค่อยเห็นคนมาเดินตามทางมากนัก

“อะไรวะ…”

ผมหยุดชะงักเท้าที่กำลังเดินกะทันหัน ถึงเสียงที่ดังขึ้นมาจะค่อนข้างเบาเหมือนบ่นกับตัวเองแต่ก็ไม่อาจเล็ดลอดจากหูผมไปได้ แล้วยิ่งเป็นเสียงคุ้นเคยที่อยากได้ยิน พลาดก็เหี้ยแล้ว

“พี่ภู!” ผมหันไปตามทางที่ได้ยินเสียง เห็นร่างสูงโปร่งของคนหน้าดุยืนอยู่ไม่ไกล พอได้ยินผมเรียกเขาก็ถอนหายใจแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทาง “เดี๋ยวดิพี่!”

“...”

“พี่...ทำไมยังไม่กลับอ่ะ” ผมวิ่งเหยาะๆ ตามไปอยู่ข้างๆ แล้วเดินไปพร้อมๆ กับเขา พอสบโอกาสก็หาเรื่องชวนคุยทันที

“เรื่องของกู” พี่ภูตอบเสียงเย็น ตาดุๆ ปรายมองผมวูบหนึ่งจนอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้

แม่ง...เกิดมาไม่เคยโดนใครมองแล้วตัวสั่นแบบนี้เลย

หัวใจเต้นแรงว่ะ…

“ชอบอ่ะ” ผมก้าวเท้ายาวๆ จนเกือบกลายเป็นวิ่งเพื่อให้เดินตามคนข้างๆ ทัน ปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปตามความรู้สึกโดยไม่คิดปกปิด

พี่ภูหยุดเดินกะทันหันจนผมต้องหยุดเท้าตามไปด้วย เขาหันมามองหน้าผมด้วยสายตาเป็นประกายแวววาวแหลมคมเหมือนอยากฆ่าให้ตาย มองไปมองมาแล้วก็เริ่มรู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วโดยไร้สาเหตุ

“มึง…”

“อื้อ” ผมตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นพี่ภูหรี่ตามองขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง

“เป็นโรคเหรอ”

“อะไรนะ”

“มึงเป็นโรคเหรอ” พี่ภูย้ำคำถามด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ผมขมวดคิ้ว ก้มลงมองสภาพตัวเองเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า พอได้คำตอบแล้วก็ส่ายหัวให้เขา

“ผมไม่ได้เป็นไรนะ”

“...”

“จะเป็นก็ตอนมาอยู่ใกล้ๆ พี่นี่ล่ะ” เป็นมากด้วย

“อะไรของมึง”

“เป็นอะไรไม่รู้ แต่พอได้อยู่ใกล้แล้วใจเต้นแรงแบบแรงโคตรๆ...แบบนี้เรียกว่าเป็นโรคป่ะ”

ผมมองใบหน้าเย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งอย่างมีความสุข รู้สึกอารมณ์ดีแค่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้น...ถึงจะเป็นไปในด้านลบแต่ก็เป็นนิมิตหมายอันดียิ่งของการเริ่มละลายน้ำแข็งก้อนนี้

“Shit…” เสียงสบถภาษาอังกฤษดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ พี่ภูละสายตาออกจากหน้าผมแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า มือที่เคยล้วงกระเป๋ากางเกงยกขึ้นเสยผมด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ทำให้ใจผมเต้นกระหน่ำกว่าเดิม

“พี่แม่งเท่ว่ะ” ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปง่ายๆ จนพี่ภูชะงัก เขาก้มลงมองหน้าผมแล้วขมวดคิ้ว ทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา สุดท้ายก็หันหลังแล้วเดินต่อโดยไม่สนใจอะไรอีก ผมเลยก้าวเท้าเดินตามหลังไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจว่าเขาจะเดินไปไหน รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังกว้างที่มองมาตลอดทางก็พาผมเดินเข้ามาในร้านกาแฟของมหา’ลัยเสียแล้ว

ที่เดินมาเจอผมได้ก็เพราะจะมาที่ร้านนี้นี่เอง...

“สวัสดีครับ” พนักงานประจำร้านยิ้มแย้มต้อนรับอย่างเป็นมิตร พี่ภูเดินไปหน้าเคาน์เตอร์ กวาดตามองเมนูครู่เดียวแล้วก็สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ตามสไตล์

“เอสเปรสโซ”

“ไม่ทราบว่าจะรับ…” ยังไม่ทันพูดอะไรต่อคนสั่งก็วางเงินไว้บนเคาน์เตอร์แล้วหมุนตัวเดินไปนั่งโต๊ะด้านในสุดอย่างรวดเร็ว เล่นเอาพนักงานหน้าเสียไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็หันมายิ้มให้ผมที่ยังยืนอยู่ตามมารยาท

“ผมเอาชาเขียวเย็นอย่างเดียว” ผมบอกเมนูที่ต้องการแล้วยื่นเงินให้ หลังจากนั้นก็เดินตามไปที่โต๊ะของพี่ภู “ผมนั่งด้วยนะพี่”

นอกจากจะไม่มองแล้วยังไม่ตอบอีก…ผมนั่งลงโดยไม่สนใจอะไร ถือว่าไม่ตอบคือตกลงก็แล้วกัน

“เห็นว่าอาทิตย์หน้าบริหารจัดงาน...” ผมลอบสังเกตท่าทีของพี่ภูเงียบๆ พอเห็นว่าเขาละสายตามามองผมวูบหนึ่งก็ขยับยิ้มแล้วรีบพูดต่อ “ผมไม่รู้ว่างานอะไร แต่ดูตารางงานร้องเพลงแล้วเห็นชื่อคณะพี่ พี่จะอยู่ในงานด้วยป่ะ”

“ทำไม…”

“ก็ผมจะได้ตัดสินใจถูกไง”

ว่าจะไปร้องเองดีไหม…

“ทำไมต้องเสือก”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งกับประโยคคำถามที่ได้รับ ไม่ใช่ว่าใจเสียหรืออะไร แค่กำลังนึกว่าควรจะตอบแบบไหนดี

“เป็นคำถามที่ตอบยากมาก” ผมขมวดคิ้วครุ่นคิด เป็นเวลาเดียวกับที่พนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี พอได้แก้วชาเขียวมาแล้วผมก็รีบยกขึ้นดูดอย่างรวดเร็ว หวังให้สิ่งที่ชอบช่วยทำให้คิดออกว่าควรตอบอะไร

ทำไมต้องเสือก…

จริงๆ แล้วที่อยากรู้ก็เพราะจะได้ตัดสินใจถูก ผมไม่แน่ใจว่าพี่วินจะให้ขึ้นเวทีนั้นหรือเปล่า ถ้าคำตอบของพี่ภูคือเขาจะอยู่ในงานวันนั้นผมจะได้ขอขึ้นเวที เหตุผลหลักๆ เลยก็คืออยากเจอพี่ภู ดังนั้นคำตอบที่ถูกก็น่าจะเป็น…

“ผมอยากเจอพี่...ก็เลยต้องเสือก”

อืม...นี่ล่ะถูกสุด

พี่ภูสบตาผมด้วยดวงตาดุๆ อ่านยากเหมือนเคย ผมออกจะหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยที่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกอะไรจากเขาได้เลย แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกยินดีอยู่เหมือนกันเมื่อเจอเข้ากับความท้าทายและแปลกใหม่แบบนี้

ก็ถ้าเขาไม่ใช่คนแบบนี้ผมคงไม่ชอบหรอก

“กูจะอ่านหนังสือ” พี่ภูว่าเสียงเรียบ คราวนี้ผมมองออกชัดเจนว่าเขากำลังสื่อว่าให้หุบปาก เลยได้แต่พยักหน้าแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโปรแกรมแชทเพื่อทักไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิท

เรื่องให้เงียบผมถนัดอยู่แล้ว แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกดีแบบที่ไม่เคยเป็น ดังนั้นต่อให้ไม่ต้องสื่อสารก็ไม่ใช่ปัญหา

ผมเสียบหูฟังข้างขวาข้างเดียวแล้วกดเปิดเพลงก่อนจะโยกหัวเบาๆ ไปตามจังหวะดนตรี ส่วนตาก็ยังจ้องคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนิ่งๆ พี่ภูกำลังอ่านเอกสารธุรกิจอะไรสักอย่างอยู่ ถึงผมจะมองไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรผ่านแววตา แต่คิ้วที่กำลังขมวดนิดๆ นั่นก็บ่งบอกอารมณ์ได้พอสมควร

ทำไมต้องเคร่งเครียดขนาดนั้นด้วยนะ ทั้งที่ยังเรียนไม่จบแท้ๆ ขนาดไอ้โซพ่อมันยังไม่ให้ทำงานหนักเลย มีแค่ช่วงปิดเทอมหรือเวลาว่างจริงๆ ที่พ่อมันจะให้ทำงาน แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เคยต้องขนอะไรมาอ่านถึงมหา’ลัยเลยสักครั้ง

พี่ภูหลับตาค้างไว้ประมาณสามวิ ถึงจะไม่ได้นานอะไรแต่ผมที่มองอยู่ตลอดก็สังเกตได้ไม่ยาก

เขากำลังเหนื่อย

“พี่น่าจะพักบ้างนะ” ผมดึงหูฟังที่เสียบอยู่ออก ไม่ได้สนใจสายตาดุๆ ที่เบือนมามองเป็นเชิงไม่พอใจ “ผมพูดด้วยความหวังดี เห็นแล้วรู้ว่าพี่กำลังล้า ฝืนไปก็มีแต่แย่”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง”

“เกี่ยวดิ” ผมตอบทันควัน มันจะไม่เกี่ยวได้ยังไง “ก็ผมชอบพี่ ผมห่วงก็ถูกแล้ว”

“กูรำคาญมึง” พี่ภูพูดแล้ววางปากกาลง ตาที่ดุอยู่แล้วดูดุกว่าเดิมหลายเท่า

“ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ต้องรำคาญ แต่ผมก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่หรอก” ผมยักไหล่แล้วสบตาพี่ภูนิ่งงัน “ผมรู้ว่าจุดไหนมากจุดไหนน้อย ถ้าพี่รำคาญจริงๆ ตามปากว่าผมคงถอย…”

“งั้นก็ถอย…”

“ถอยไปให้ไกลกว่าเดิมนิดหน่อย”

“...”

“แต่ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่ต้องถอยหรอก...เอาจริงๆ ผมยังไม่ได้ทำตัวน่ารำคาญเลยนะ” ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายเกาะแกะสักหน่อย แตะยังไม่แตะเลย “ที่พี่พูดก็แค่อยากหาเรื่องไล่ผมอ่ะดิ พี่ยังไม่ได้รำคาญผมขนาดนั้นหรอก”

“มึงจะมารู้สิ่งที่กูคิดได้ยังไง” พี่ภูหรี่ตาลงก่อนจะเอนตัวพิงพนักแล้วยกมือขึ้นกอดอก

“ผมไม่ได้เพิ่งเจอพี่ครั้งแรก ทุกครั้งที่เจอกันผมสังเกตพี่มาตลอด” ถึงจะอ่านสายตาไม่ออก แต่ท่าทางทุกอย่าง หรือการแสดงออกบนสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว “ผมมั่นใจว่าพี่ยังไม่ได้รู้สึกบวกหรือลบกับผมมากกว่าเดิม ผมพูดถูกไหม”

แวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนจะเห็นคิ้วเข้มของพี่ภูเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่พอกะพริบตาทุกอย่างก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“มึงมันตัวน่ารำคาญ” พี่ภูพูดย้ำ ผมแอบกัดริมฝีปาก ขัดใจที่โดนว่าซ้ำทั้งที่อธิบายไปแล้ว

“แล้วสรุปว่าพี่จะร่วมงานวันนั้นเปล่าอ่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงอีกคนหัวเราะขึ้นจมูกทั้งที่หน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองแพ้

น่าหงุดหงิดชะมัด

“ทำไม…”

“ผมบอกเหตุผลพี่ไปแล้ว”

“แล้วทำไมกูต้องบอกมึง” คำถามใหม่ดังขึ้นพร้อมกับที่คนพูดลุกขึ้นยืน ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจ หลังมองดูแล้วว่าไม่ได้ลืมอะไรไว้ก็รีบวิ่งตามพี่ภูออกไปด้านนอก

“ทำไมพี่ชอบถามคำถามที่คำตอบมันซ้ำเดิมอ่ะ” ผมวิ่งตามไปเดินข้างๆ อดถามสิ่งที่สงสัยออกไปไม่ได้

ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าคำตอบมันง่ายขนาดไหน จะถามเรื่องแบบนี้ยังไงคำตอบที่ได้มันก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ

พี่ภูหยุดเท้าลงข้างรถออดี้คันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลร้านกาแฟนัก ผมไม่แน่ใจว่ามันคือรุ่นไหนเพราะไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่แค่มองก็พอจะรู้ว่าคงมีราคาพอควร

“รถสวย” ผมพูดลอยๆ ทั้งอยากหาเรื่องคุยแล้วก็ชื่นชมจริงๆ ด้วย แต่นอกจากจะไม่ดีใจแล้วพี่ภูยังหยุดเท้าแล้วหันมาทำหน้าตึงใส่ผมอีกต่างหาก

“ถ้ากูไม่ตอบคำถามที่มึงสงสัย มึงก็จะไม่เลิกยุ่งกับกูใช่ไหม”

“ถ้าผมตอบว่าใช่พี่จะตอบคำถามของผมหรือเปล่า” ผมถามกลับง่ายๆ ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

“อย่ากวนตีน” พี่ภูหรี่ตา ซองบุหรี่ในมือถูกกำแน่นจนยับยู่ยี่

“ผมไม่ได้กวนตีน ก็แค่...อยากรู้จริงๆ ว่าพี่จะไปงานนั้นไหม”

“...”

“ถ้าพี่ตอบผมสัญญาว่าจะไม่ยุ่งแล้ว”

พี่ภูนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง ผ่านไปสักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมแอบยิ้มเมื่อเห็นว่ามือที่กำซองบุหรี่ไว้แน่นคลายลงแล้ว

“ไป”

ตอบแค่นั้นคนหน้าดุก็หมุนตัวขึ้นรถไปโดยที่ผมไม่ได้ห้ามอะไรอีก

“ไว้เจอกันวันหลังนะพี่!” ผมโบกมือให้แล้วหันกายเดินจากมาก่อน ทันได้ยินเสียงพี่ภูสบถเบาๆ ดังตามมาก่อนจะปิดประตูรถพอดี

ผมบอกว่าจะไม่ยุ่งแล้วก็จริง แต่ไม่ได้บอกนี่หว่าว่าจะไม่ยุ่งนานแค่ไหน ก็แค่วันนี้จะยอมปล่อยไปง่ายๆ ก็เท่านั้น ส่วนไอ้เรื่องที่เขาบอกว่าถ้าไม่ยอมตอบคำถามแล้วผมจะไม่เลิกยุ่งใช่ไหม…จริงๆ แค่เดินมาถึงรถผมก็จะแยกตัวออกไปอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะตามติดจนกว่าจะได้คำตอบอะไรนั่นหรอก เอาเข้าจริงผมไม่คิดว่าจะได้คำตอบแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ตอนอยู่ในร้านกาแฟเลยเพิ่มทางเลือกให้ตัวเองไปแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมแชทสีเขียวที่คุยกับเพื่อนทิ้งไว้ มือพิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไปอย่างอารมณ์ดี

 

KAO: มึงไม่ต้องสืบให้กูแล้วนะ

 

ยังไม่ทันได้กดล็อคจอ แชทที่ผมทักไปก็ขึ้นว่าอ่านแล้วอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ไอ้ทีตอบกลับมา

 

TT: ทำไมวะ

KAO: กูได้คำตอบแล้ว

TT: กูก็เพิ่งได้คำตอบจากรุ่นพี่มาเหมือนกัน กำลังจะทักบอกมึงพอดีเนี่ย

KAO: รุ่นพี่มึงว่าไง

TT: เขาบอกว่าต้องไปอยู่แล้ว เพราะงานนี้อาจารย์แกบังคับเข้าร่วมทุกคน มีเช็คชื่อก่อนเริ่มกับหลังเริ่มด้วย

 

ดูเหมือนผมจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพี่ภูมากขึ้นอีกอย่าง...นอกจากจะเป็นคนที่รักษาคำพูดแล้ว เขายังเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากด้วย ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้โกหกผม แค่ยอมทำให้พูดออกมาได้ก็มั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะต้องเป็นความจริงแน่นอน

ส่วนเรื่องรักษาคำพูด...ผมพอจะเดาออกว่าถ้าไม่ใช่เพราะพ่อซีขอไว้ มือที่กำซองบุหรี่จนแน่นของเขาคงเปลี่ยนมากระแทกหน้าผมแทนแน่ๆ…ยิ่งคิดเรื่องพี่ภูมากเท่าไหร่รอยยิ้มของผมก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าการได้ชอบใครสักคนจะทำให้ชีวิตมีสีสันมากขนาดนี้

ผมก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ไอ้ทีพิมพ์ถามมาเสียยืดยาว ขี้เกียจตอบก็ขี้เกียจ แต่เพราะต้องให้มันช่วยอีกนานเลยได้แต่พิมพ์ตอบไปดีๆ

 

TT: มึงถามเรื่องพี่ภูทำไมวะ

TT: มีปัญหาไรเปล่า

TT: ไม่ใช่มีเรื่องไรกันนะเว้ย ถึงมึงจะเพื่อนแต่นั่นพี่คณะกูนะ อย่ามีปัญหานะไอ้เก้า!

KAO: มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย

 

ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่านอกจากเป็นคนเก่งผิดมนุษย์แล้วตัวเองยังผิดอะไรอีก ทำไมเพื่อนทุกคนถึงชอบพูดเหมือนผมเป็นคนไม่ดียังไงก็ไม่รู้

 

TT: เป็นคนไม่ปกติ

KAO: .l.

TT: อย่ามาเนียน ตอบกูมาก่อนเก้า ไม่ได้มีปัญหาไรใช่ไหม กูบอกเลยว่าพี่ภูไม่ใช่คนที่มึงจะเล่นด้วยได้นะเว้ย ถึงกูจะเพิ่งรู้จักปีนี้ แต่ที่พวกรุ่นพี่เล่ามาแม่งโคตรไม่ธรรมดาอ่ะ

KAO: ยังไง

TT: ก็ปีก่อนเขาดรอปไปใช่มะ รุ่นพี่กูบอกว่าไม่รู้มีปัญหากับใครจนโดนพักการเรียนหรือเปล่า ตอนอยู่ปีสองก็เห็นว่ามีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นบ่อยๆเหมือนกัน

KAO: มึงทำเหมือนตัวเองไม่เคยต่อยตีกับใครเลยนะไอ้ที

TT: ไม่เหมือนกันเว้ย! ของพี่ภูนี่กูได้ข่าวว่ามีคนตายเลยนะไอ้เก้า ตั้งแต่กลับมานี่เขาก็อยู่คนเดียวตลอดเลย ไม่มีใครกล้ายุ่งสักคน

KAO: กูขอจดก่อน

TT: จดไรวะ

KAO: จดเรื่องพี่ภู

TT: ?

KAO: เอาเป็นว่ากูไม่ได้มีเรื่องกับเขา

TT: แล้วอยากรู้ทำไมวะเนี่ย

KAO: ก็กูชอบเขา

TT: …!

KAO: กูถึงหน้าหอพอดี บายนะมึง

 

ผมวิ่งขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว พอจัดของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงก่อนจะจดบันทึกเรื่องราวของพี่ภูไว้ในโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เลื่อนอ่านข้อความในบันทึกของตัวเองด้วยความพอใจ

 

**สนิทแล้วค่อยถาม**

>เคยมีข่าวลือเรื่องชกต่อย มีเรื่องกับคนอื่นจนมีคนตาย ดรอปเพราะโดนพักการเรียน<

 

อืม…เหมือนขาดอะไรไป

 

**ตอนถามอย่าลืมบอกว่า ‘ไม่เชื่อ’ ด้วย**

 

ขึ้นชื่อว่าข่าวลือจะเชื่อได้สักแค่ไหนเชียว ยิ่งเล่าปากต่อปากยิ่งแล้วใหญ่ และเมื่อได้มาใกล้ชิดกับตัวจริง…ต่อให้ยังไม่นานผมก็รู้ว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น อีกอย่าง…คนระดับนั้นถ้าจะปิดข่าวคงง่ายนิดเดียว แต่เขากลับไม่แคร์เลยสักนิด หรือต้องบอกว่าไม่สนใจเลยมากกว่า

ถ้าเป็นคนไกลตัวแล้วเชื่อก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวนี่…

เชื่อก็ควายแล้ว

 

------------------

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 09-05-2017 22:45:31
ชอบความเก้า
รำคาญได้รำคาญไป เดี๋ยวพอได้หลงแล้วจะโงหัวไม่ขึ้น หึๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 09-05-2017 23:25:10
ยี่ห้อแบบเก้านี่ดีจิงๆ ทานทนทุกสถานการณ์  :pig4: :pig4:
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 10-05-2017 11:52:28
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 10-05-2017 14:46:05
555555โคตรชอบเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 10-05-2017 23:45:41
คือชอบเก้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-05-2017 11:25:06
เก้าาาาา คือแบบดีงามอ่ะ :katai3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 11-05-2017 20:20:53
ชอบแบบเก้า ขอคนนึง555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 12-05-2017 14:29:10
ลุยต่อไปป อย่าสนพี่แกจะพูดอะไร ฮ่าๆๆๆ    :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 12-05-2017 16:17:25
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบ  ต่ออีกๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[2]==[P.2]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 13-05-2017 15:20:04
-3-

 

“ไอ้เก้า มึงเอางานช่วงเย็นไปนะ เดี๋ยวช่วงเช้ากูให้เด็กสับขึ้น”

“ซ้อมมาจะอาทิตย์แล้ว ทำไมตารางงานเพิ่งมาวะพี่” ผมมองกระดาษในมืออย่างเซ็งๆ

ปกติเวลาคณะไหนต้องการให้ดุริยางค์ไปเล่นให้ต้องมีการติดต่องานล่วงหน้า ที่สำคัญคือต้องบอกช่วงเวลาแล้วเอาตารางดำเนินงานมาให้ดูก่อน เราจะได้วางแผนงานของเราถูก แต่รอบนี้บริหารเล่นส่งแผนงานมาให้ก่อนวันจริงสองวัน และแผนที่ว่าดันผิดพลาดไปจากที่เคยคุยเกือบหมด พี่วินที่เป็นคนประสานงานเลยปวดหัวหนักกว่าใคร

“กูก็คิดว่าจะคุยกันเรียบร้อยแล้วเลยไม่ได้ว่าอะไร ที่ไหนได้...ผิดจากที่คุยไว้เกือบหมด” พี่วินถอนหายใจยาวแล้วนั่งกุมขมับ

ที่พวกผมคุยกันไว้ตอนซ้อมคือเราจะขึ้นเวทีช่วงเช้า เน้นโทนสบายๆ คลอไปกับการเดินชมบูธต่างๆ พอช่วงเที่ยงก็จะเลิกงานเพราะพวกนั้นจะขึ้นไปดูงานบนตึกแทน แต่กำหนดการที่ได้มาทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด สรุปคือฝั่งนั้นต้องการให้เราเล่นดนตรียาว มีเวลาพักเป็นช่วง แถมช่วงเย็นถึงค่ำจะเป็นการแสดงคล้ายคอนเสิร์ตด้วย

“กูเทงานดีไหมวะเนี่ย” พี่วินพูดเสียงหน่าย พวกคนที่อยู่ในห้องซ้อมเองก็เงียบกริบกันหมด

ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วก็น่าจะเทนั่นล่ะ ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงเราก็ไม่ผิด แต่ที่ต้องคิดมากคงเพราะแกเห็นว่าทีมผมซ้อมกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพลงที่ซ้อมก็มีแต่เพลงเบาๆ ตามสไตล์งานทั้งนั้น แล้วพอหมดงานนี้กว่าจะถึงช่วงยุ่งยากอย่างงานรับน้องก็มีช่วงพักเป็นเดือน เพลงที่ซ้อมมาอาจจะเสียเปล่าก็ได้ เพราะคนขึ้นเวทีงานนั้นคงไม่เหมือนงานนี้ไปหมดทุกคน

“พวกผมไม่ได้ซีเรียสหรอก เราก็มีความสุขกับการเล่นดนตรีกันอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เอาไปใช้งานจริงก็ไม่ได้มีปัญหา เก็บไว้ใช้งานหน้าก็ได้” ไอ้แซมที่เล่นกลองอยู่ลุกขึ้นแล้วเดินมาหาพี่วิน คนอื่นๆ ที่กำลังซ้อมหรือนั่งอยู่รอบๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยกันทุกคน

“ถ้าเฮียอยากเทก็เทเลย พวกผมโอเคหมดอ่ะ ถึงไม่ใช้งานนี้ก็เอาไปใช้งานอื่นได้อยู่ดี”

“อย่าคิดมากดิวะเฮีย เอาไงก็เอาเลย”

“ตัดสินใจเลยเฮีย”

ผมยืนพิงผนังดูพวกเพื่อนคุยกับพี่วินเงียบๆ สมองกำลังประมวลผลอย่างหนักเพราะสิ่งที่พวกนั้นพูดกำลังขัดกับความต้องการของผมเต็มๆ

“เป็นอะไร” โซหันมาถามแล้วมองไปที่นิ้วของผมซึ่งกำลังเคาะกำแพงอยู่ มันคงรำคาญเลยยอมละสายตาจากโทรศัพท์มาสนใจผม

“กำลังพยายามอยู่”

“พยายาม?”

“พยายามแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”

“อะไรของมึง”

“ทำไมโง่อ่ะ” ผมเหยียดยิ้มมองเพื่อนเย้ยๆ พอเห็นมันทำหน้าเหมือนอยากเข้ามากระทืบแล้วก็อารมณ์ดีโดยไร้สาเหตุ

“เอาดีๆ”

“เหอะ…” ผมเบะปากก่อนจะหันกลับไปมองพวกที่คุยกันอยู่ “ที่กูเสนอตัวขึ้นเวทีนี้ก็เพราะพี่ภู”

“อืม”

“ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นเขาตอนอยู่ในคณะ กูคงเป็นคนแรกที่บอกให้พี่วินเท”

“อือ” โซมันพยักหน้า ส่งเสียงอืออาในลำคอเหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้ว “ทำงานไม่เป็นระบบแบบนี้ ใครก็อยากเททั้งนั้น”

“กูถึงบอกว่ากำลังแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอยู่”

“แล้วแยกได้ไหม”

ผมตอบคำถามของมันด้วยการยันตัวออกจากผนังแล้วเดินเข้าไปหาพี่วิน โซมันหัวเราะในลำคอแล้วเดินตามมาโดยไม่ถามอะไรอีก คงรู้แล้วว่าคำตอบของผมคืออะไร

“พี่วิน”

แน่นอนว่าคำตอบของผม...

“ว่าไงมึง” พี่วินหันมาหาผม มือที่กำลังจะกดโทรศัพท์แคนเซิลงานหยุดชะงัก

“ไม่เทได้ไหม”

คือแยกไม่ได้เว้ย!

“ทำไมวะ” พี่วินทำหน้าเหวอ คนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างกัน คงงงที่คนอย่างผมบอกจะไม่เทอยู่คนเดียว ทั้งที่ปกติคงเป็นคนแรกที่ขอบายเวลาเจอเรื่องยุ่งยากแบบนี้

“ผมมีเหตุผลที่ทำให้อยากไปเล่นให้บริหารอ่ะ” ไม่บอกตรงๆ น่าจะดีกว่า เดี๋ยวโดนบ่นหูชา “แต่ถ้าคนอื่นจะเทก็ไม่ว่าไร เดี๋ยวผมไปกับไอ้โซก็ได้”

“กูเกี่ยวไรวะ”

ผมเหยียบตีนเพื่อนไปหนึ่งทีข้อหาพูดมาก โซมันทำหน้าบูดก่อนจะถลึงตาใส่ผมแล้วหุบปากเงียบไม่พูดอะไรอีก

“ถ้าไอ้เก้าไปกูก็ไปอ่ะ” แซมยักไหล่แล้วพูดออกมาง่ายๆ ผมเลยหันไปยักคิ้วให้แล้วตบไหล่มันไปทีเป็นการขอบคุณ คราวนี้คนอื่นเลยเริ่มส่ายหัวหน่ายแล้วหันไปคุยกัน สุดท้ายก็หันมาด่าผมเป็นแถบ

“ถ้าไปก็ไปหมดอ่ะ กูยังไงก็ได้อยู่แล้ว ที่พูดเพราะคิดว่ามึงจะเทคนแรก จะไปก็ไม่บอกแต่แรก ให้พูดกันอยู่ได้ ไอ้ห่า”

“มีเหตุผลก็ไม่บอก ยืนหล่อกับไอ้โซอยู่ได้ ไอ้เวร”

“ไปก็ต้องไปกันหมดสิวะ พวกมึงไปกันสองคนก็ดังกันสองคนดิ”

“พวกเวร” ผมบ่นไม่จริงจังนักพร้อมกับชนหมัดกับพวกมันไปด้วย พอตกลงกันได้แล้วก็หันไปหาพี่วินที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“กูก็ตามใจพวกมึง กูแค่ติดต่องานให้ แต่เวทีมันของพวกมึง จะเอาไงก็เอา” พี่วินเดินมาผลักหัวผมจนเซไปทั้งตัว ผมเกือบหันไปฟ้องไอ้โซแล้วถ้าเขาไม่ได้จับหัวผมโคลงไปโคลงมาเสียก่อน “มึงนี่มันศูนย์กลางจักรวาลจริงๆ”

“แน่ดิพี่”

“เดี๋ยวกูไปเทรนไอ้พวกที่จะสับกันขึ้นเวทีเช้าก่อน พวกมึงก็ไม่ต้องเปลี่ยนเพลงหมดหรอก แต่เพิ่มเพลงสนุกๆ เข้าไปหน่อยก็พอ”

“โอเคพี่”

แล้วการซ้อมเพลงชุดใหม่โดยมีเวลาแค่สองวันก็เริ่มขึ้น…

 

งานวันจริงวุ่นวายกว่าที่คิดพอสมควร ความวุ่นวายเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าที่พวกคนจัดงานวิ่งไปวิ่งมากันหัวหมุนเพราะจัดบูธไม่ทัน พอใกล้จะเปิดงานแล้วเด็กบริหารดันบอกว่าพวกที่มาดูงานจะมาถึงช้ากว่ากำหนดการ หลังจากนั้นไม่ทันไรอยู่ๆ พี่วินก็ตะโกนบอกว่าเครื่องดนตรีไม่พร้อม…เรียกได้ว่าปวดหัวกันครบทุกฝ่าย ดีหน่อยที่ผมได้มาดูเด็กปีหนึ่งซึ่งจะขึ้นเวทีเป็นครั้งแรกอยู่ข้างหลังเลยไม่ต้องไปวิ่งแก้ปัญหากับใครเขา

 “พร้อมนะมึง” ผมตบไหล่เด็กปีหนึ่งที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ มันสะดุ้งสุดตัว หน้าตาตื่นจนดูน่าหัวเราะ พอเห็นว่าเป็นผมก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วส่ายหัวไม่หยุด

“ไม่พร้อมอ่ะพี่”

“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม”

“ทำไมผมได้ขึ้นเวทีไวจังอ่ะพี่” ไอ้เปรมเบะปาก น้ำตาคลอจนดูน่าสงสารอยู่หน่อยๆ

“ปีที่แล้วกูได้ขึ้นเวทีตั้งแต่งานเปิดภาค” ผมผลักหัวมัน อยากจะบอกว่าตอนนั้นกูเกือบโดนลากไปซ้อมวงตั้งแต่วันรายงานตัวแล้วด้วยซ้ำ

“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”

“อะไรไม่เหมือน”

“ก็พี่มันไม่ปก…”

“หืม…”

“เอ่อ...ก็พี่มันไม่...ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่แล้วนี่หว่า” มันว่าแล้วหลบสายตา ผมเกือบตบหัวมันที่บังอาจคิดจะด่า แต่พอนึกได้ว่ามันกำลังตื่นเวทีก็ได้แต่เก็บความหัวร้อนไว้ในใจแล้วมองข้ามไป

“เอาเป็นว่ามึงก็ทำให้เต็มที่ อะไรผิดพลาดก็เก็บไว้เป็นบทเรียน”

“พี่จะอยู่ดูผมตลอดใช่ไหมอ่ะ” เปรมเงยหน้ามองผมน้ำตาคลอ มือมันจับชายเสื้อผมไว้แน่นเหมือนกลัวโดนทิ้ง

“แน่นอนสิวะ…”

“พี่น่าระ…”

“...ว่าไม่อยู่”

“...”

“ไอ้เปรม! เตรียมขึ้นเวที….มึงร้องไห้ทำไมวะ!” พี่วินที่น่าจะเดินเข้ามาตามเปรมทำหน้าตาตื่นก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหา มือลูบหัวลูบหลังปลอบมันเป็นการใหญ่ ผมได้แต่มองงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่ามันจะร้องทำไม…สงสัยกลัวจัดเพราะใกล้ถึงเวลาแล้วมั้ง

“พี่วิน...ฮือ…”

“เก้า มึงทำอะไรมันวะ” พอถามไอ้เปรมไม่ได้พี่วินเลยหันมาเล่นผมแทน นี่คือยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อยู่ๆ โดนกล่าวหาเฉย

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“พี่เก้า...บอกว่าจะไม่ดูผมอ่ะ” เปรมมันกระตุกเสื้อพี่วินฟ้องเป็นการใหญ่ ส่วนผมได้แต่มองบนเพราะงงว่าบอกความจริงแล้วกูผิดตรงไหนเนี่ย

“ไม่มีไอ้เก้าก็มีคนอื่นดูมึงเยอะแยะ” พี่วินอธิบาย มือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำหูน้ำตาให้ไอ้เปรมไปด้วย “พูดเหมือนพวกดุริยางค์มีแค่ไอ้เก้าเลยนะมึง กูนี่อยู่กับมึงเยอะกว่ามันอีก”

“แต่…แต่ว่า…”

“กูถึงบอกว่ามึงมันศูนย์กลางจักรวาล” พี่วินหันมาบ่นผมที่ยืนกอดอกอยู่ เสร็จแล้วก็หันไปลูบหัวไอ้เปรมต่อ “มึงฟังกูนะไอ้เปรม…”

“ครับ”

“ถ้ามีรุ่นพี่ที่คอยดุคอยสอนจ้องมึงอยู่หน้าเวทีเพื่อคอยจับผิด มึงจะเกร็งไหม”

“เกร็งครับ”

“เออ…พวกกูถึงต้องแอบดูอยู่ข้างๆ ไม่ไปดูมึงหน้าเวที ยิ่งไอ้เก้ายิ่งแล้วใหญ่ มันเสียงดีสุด เก่งสุดเรื่องร้องเพลง ถ้ามันจ้องมากๆ มึงจะเป็นไง”

“ก็…”

“เข้าใจเหตุผลที่มันจะไม่อยู่ดูมึงยัง” พี่วินโยกหัวไอ้เปรมเป็นเด็กๆ พอมันพยักหน้าเข้าใจแล้วแกก็ยิ้ม “มึงเตรียมตัวได้แล้ว อีกสิบนาทีเริ่มงาน พิธีกรพูดเปิดงานจบมึงก็ขึ้นเวทีเลย”

“ครับ”

พี่วินเดินมาหาผมแล้วกอดคอให้เดินออกไปด้านนอกด้วยกัน พอพ้นสายตาไอ้เปรมแล้วพี่แกก็ถอนหายใจยาว

“ก็เข้าใจนะว่าพวกนักร้องมันมองมึงเป็นไอดอล แต่แม่งถึงกับต้องร้องไห้เลยเหรอวะเนี่ย”

“นั่นดิ” ผมหัวเราะขำๆ จริงๆ เปิดเทอมมายังไม่ได้ขึ้นเวทีเลยด้วยซ้ำ พวกมันก็ยังไม่เคยเห็นผมร้องเพลง แค่เข้าไปช่วยแนะนำนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง “ว่าแต่…”

“…”

“ที่พี่บอกมันเมื่อกี้…”

“เออ…” พี่วินยักไหล่แล้วยกยิ้มมุมปาก “ตอแหลแล้วมันสบายใจก็ตอแหลไปเหอะ”

“พี่นี่นะ…” ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่าย จะว่ายังไงดี…คือไอ้ที่ผมไม่อยู่ดูมัน ไม่ใช่เพราะกลัวมันเกร็งแบบที่พี่วินว่าหรอก จริงๆ คือขี้เกียจอยู่เฉยๆ ต่างหาก เพราะนอกจากจะอยากเดินดูทั่วงานแล้ว…ผมยังต้องเดินหาคนด้วย

“สี่โมงมึงต้องกลับมาที่นี่นะไอ้เก้า” พี่วินหันมาย้ำผมอีกครั้ง

“โอเค”

ผมแยกกับพี่วินหน้าเวที หลังทักทายพวกที่ดูแลงานด้านหน้าแล้วก็เดินตรงไปด้านนอก ดูเหมือนงานของบริหารจะใหญ่กว่าที่คิด เพราะนอกจากจะมีดนตรีแล้วพวกนั้นยังตั้งบูธกันใหญ่โต ทั้งด้านวิชาการ ของกิน เล่นเกม ส่วนตัวบูธก็ทำจากเต็นท์สีขาวง่ายๆ ตั้งเรียงเป็นแถว ด้านหน้าสุดเป็นเวทีที่พวกผมใช้เล่นดนตรี แถมงานยังดูใหญ่โตกว่าเดิมเมื่อมีเด็กคณะอื่นมาเดินดูเป็นจำนวนมากด้วย

ตอนนี้พวกเด็กบริหารกำลังเข้าแถวเช็คชื่อกันอยู่ใต้ตึก ผมยืนหลบมุมอยู่ริมเสา เฝ้ามองคนที่เดินสับกันไปเช็คชื่อเงียบๆ ในบรรดาคนที่เข้าแถวกันอยู่เป็นทางยาวนั้นมีไม่กี่คนที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่น บางคนตัวสูง บางคนหน้าตาดี บางคนใส่ชุดประจำบูธที่ดูแตกต่าง แต่คนที่สามารถดึงดูดสายตาของผมได้มีแค่คนเดียว…

พี่ภูดูสูงกว่าใครเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของเขาขวางกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้ ถึงจะมีสายตาของผู้หญิงมองมากมายแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปคุยด้วยสักคน ยิ่งเมื่อดวงตาสีเทาแข็งกร้าวคู่นั้นหันไปมอง พวกที่จ้องมากๆ ก็แทบจะตัวสั่นแล้วหันหน้าหนีกันเป็นแถบ

ผมยืนมองเขาด้วยรอยยิ้ม ยิ่งเมื่อดวงตาคมตวัดมามองรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น ผมรีบโบกมือทักทาย แต่พี่ภูกลับทำสายตาเหนื่อยหน่ายแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

ถือว่าเป็นเรื่องดีได้หรือเปล่านะ…ที่ท่าทีที่เขามีให้ผมดูแตกต่างจากคนอื่น ถึงจะเชิงลบก็เถอะ

“ไอ้เก้า!”

ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียก เห็นไอ้ทีที่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมซึ่งเรียนอยู่บริหารวิ่งมาหา

“ไง”

“มึงมาทำไรวะ” มันถามทั้งที่ยังหอบอยู่

“มาเล่นให้คณะมึงนั่นล่ะ แต่กูขึ้นรอบเย็น”

“แล้วทำไมมายืนแถวนี้วะ ไม่อยู่กับพวกดุริยางค์เหรอ”

“ไม่รู้จะอยู่ทำไมเลยมาเดินเล่นดีกว่า แถมยัง...ได้เจอคนที่อยากเจอด้วย” ผมมองไปทางพี่ภูอีกครั้ง ไอ้ทีเองก็หันไปมองตาม หน้าตามันดูตลกเมื่อรู้ว่าผมหมายถึงใคร

“ที่บอกกูในไลน์นั่นเรื่องจริงเหรอวะ”

“มึงคิดว่าไงล่ะ”

“กูคิดว่าพูดเล่น…แต่ดูจากสายตามึงตอนนี้คงจริงแล้วล่ะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่สายตากำลังจับจ้องไปที่พี่ภูซึ่งกำลังเดินไปที่บูธปลอดคนไม่ไกลนัก

“ไอ้ที”

“ว่า”

“ทุกคนต้องทำบูธเหรอวะ”

เพราะถ้ามีทางเลือก...คนอย่างพี่ภูไม่น่ายอมทำอะไรแบบนี้

“ใช่...มันเป็นงานใหญ่ของคณะอ่ะมึง เขาให้รวมกลุ่มกันทำบูธ จะชั้นปีไหนก็ได้ ขอแค่เปิดบูธทำกิจกรรมก็พอ” ไอ้ทีอธิบายเป็นฉากๆ

“แล้วทำไมพี่ภูอยู่ในบูธนั้นคนเดียววะ” ผมชี้ไปที่บูธของพี่ภูซึ่งหันหน้ามาทางนี้พอดี ในนั้นมีแค่เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ได้มีคนเดินไปเดินมายั้วเยี้ยแบบบูธอื่น

“กูว่าพี่เขาน่าจะจัดคนเดียว” ไอ้ทีหันมาบอก “อาจารย์เขาไม่ได้กำหนดจำนวนขั้นต่ำ แค่บอกว่าสูงสุดกี่คน บางทีพี่เขาอาจจะทำคนเดียวก็ได้”

ไม่เหงาตายเหรอวะน่ะ…

ผมแยกกับทีเพราะเพื่อนมันมาตาม ได้ยินฝั่งนั้นพูดแว่วๆ ว่างานจะเริ่มแล้ว และมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีพิธีกรเดินขึ้นไปบนเวทีพอดี ผมใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ก้าวเท้าออกจากข้างเสาแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังจุดหมายที่มองไว้

บูธของพี่ภูเป็นบูธภาพวาดซึ่งมีภาพสีน้ำแขวนไว้โดยรอบ และที่น่าแปลกใจคือ...ตรงที่พี่ภูนั่งอยู่มีอุปกรณ์สำหรับการวาดภาพวางอยู่ด้วย

“พี่วาดภาพเป็นด้วยเหรอ” ผมเดินเข้าไปหาแล้วก้มมองภาพที่พี่ภูกำลังวาดอยู่ ดูเหมือนจะเป็นวิวของที่ไหนสักที่ “ทำไมในบูธมีเก้าอี้ตัวเดียว”

ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเหมือนบูธที่ให้คนเข้ามาชมภาพเฉยๆ...น่าจะอยู่ในหมวดกิจกรรม แต่ทั้งที่เขาเรียนบริหาร...ไม่รู้ทำไมถึงทำบูธโชว์ภาพวาดแบบนี้

“กูไม่ได้อยากให้ใครเข้ามาอยู่ในนี้นานๆ” พี่ภูพูดลอยๆ โดยไม่ละสายตาจากภาพวาด “รวมถึงมึงด้วย”

“พี่ไม่เหงาเหรอ” สิ้นคำถามของผม พี่ภูเงยหน้าขึ้นมอง เราสบตากันโดยที่เขายังนั่งอยู่ ผมเองก็ไม่ได้หลบสายตา ถึงแม้จะรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นดูดุกว่าเดิมหลายเท่าก็ตาม “ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ”

“...”

“ผมเห็นใบประเมินวางอยู่หน้างาน พวกที่มาจากมหา’ลัยอื่นจะมาเดินให้คะแนนตามบูธใช่ไหม...” ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าพี่ภูไม่ได้ตอบอะไร ดูก็รู้ว่าที่ผมพูดเป็นความจริง “ผมรู้ว่าพี่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ ขอแค่พี่ยอมให้ผมอยู่ด้วย ผมสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน แล้วก็จะอยู่ช่วยพี่จนเก็บบูธเลย”

“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่...”

“ผมก็จะวนเวียนอยู่ในบูธนี่ล่ะ...เพราะมันไม่ได้มีกำหนดว่าเราจะอยู่ในบูธหนึ่งได้กี่นาที ถูกไหมพี่”

 พี่ภูมองผมด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ ดูเหมือนจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าคำตอบของผมน่าจะออกมาแนวๆ นี้

“เก้าอี้”

“ครับ?” ผมกะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นคนหน้าดุขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนกำลังไม่พอใจผมก็ยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งไปหาเก้าอี้จากด้านนอกอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานนักผมก็วางเก้าอี้ที่ขโมยมาลงแล้วนั่งมองคนที่กำลังลงสีภาพเงียบๆ

ดูเหมือนงานจะเริ่มแล้ว พวกคนจากคณะอื่นเดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมด มีบางคนมองเข้ามาในบูธ แต่พอเห็นว่าใครนั่งอยู่ก็เดินจากไปเฉยๆ ผมชักเริ่มสงสัยแล้วว่าจะกลัวอะไรขนาดนั้น มีผู้หญิงบางคนมองเข้ามาแล้วก็ซุบซิบกับเพื่อน แต่พอทำท่าจะเดินเข้ามาแล้วก็เปลี่ยนใจเดินจากไปซะงั้น

“ทำไมพี่ถึงเปิดบูธแสดงภาพอ่ะ นี่งานบริหารไม่ใช่เหรอ” ผมหันไปถามเมื่อเห็นว่าพี่ภูหยุดมือเพื่อเปลี่ยนสี อาศัยจังหวะพูดแค่ตอนที่ว่างเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิเขามากเกินไป

“ไปอ่านชื่องาน” พี่ภูพูดสั้นๆ ผมพยักหน้าเข้าใจ ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกจากบูธไปที่หน้าทางเข้า ถึงจะต้องมาขึ้นเวทีที่นี่แต่เอาจริงๆ ผมยังไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าเป็นงานที่บริหารจัดและจะมีคนนอกเข้ามาร่วมเฉยๆ

ผมคว้าโบชัวร์ที่วางอยู่หน้าทางเข้าแล้วเดินกลับบูธ สายตากวาดอ่านรายละเอียดในมืออย่างรวดเร็ว

‘งานเปิดโลกกิจกรรมบริหาร’

‘เพราะเด็กบริหารทำได้มากกว่าที่คุณคิด’

อย่างนี้นี่เอง...ที่จริงงานนี้ไม่ได้เป็นงานวิชาการของบริหารแบบที่ผมคิด แต่เป็นการรวมกิจกรรมของเด็กบริหารทั้งหมดเอาไว้ คงเพราะเอาแต่สนใจพี่ภูผมถึงไม่ได้สังเกตเลยว่าบูธอื่นๆ มีอะไรมากกว่าที่คิด

ผมเดินกลับไปที่บูธ นั่งลงตรงที่เดิมข้างๆ พี่ภู รอเวลาให้เขาละมือออกจากภาพแล้วถึงเริ่มพูด

“พี่ชอบวาดภาพระบายสีอะไรพวกนี้เหรอ”

“แค่ว่าง”

“เหมือนงานอดิเรกที่ชอบอะไรพวกนี้ป่ะ”

“...”

“พี่ทำหน้าเหมือนจะปฏิเสธเลยอ่ะ” ผมพูดยิ้มๆ แล้วยื่นหน้าไปมองภาพวาดที่เขากำลังลงสีอยู่ “ที่สวยได้ก็เพราะตั้งใจทำ แถมยังมีตั้งหลายภาพ...แบบนี้คงเป็นสิ่งที่ชอบสินะ”

 “...”

“พวกข้างนอกนั่นมองๆ แล้วก็ไม่ยอมเข้ามาสักที ไม่รู้จะกลัวอะไรพี่นักหนา” ผมเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ไม่อยากพูดเหมือนรู้จักพี่ภูดีเกินไป กลัวว่าจากที่โดนหมั่นไส้อยู่แล้วจะกลายเป็นโดนเกลียดเอา

“หึ”

“พี่ภู...ถ้าพี่ยังน่ากลัวแบบนี้คนจะไม่กล้าเข้ามานะ เดี๋ยวตอนประเมินก็ได้คะแนนน้อยหรอก” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูจริงจังและจริงใจ ส่วนสมองก็พยายามคิดแผนการอย่างหนักหน่วง

พี่ภูวางพู่กันในมือลงแล้วหันมามองหน้าผม สายตาเฉียบคมหรี่ลงเหมือนกำลังประเมิน

“มึงจะทำอะไร”

รู้สึกเหมือนจะมีคนรู้ทันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วล่ะมั้งเนี่ย

“ผมจะช่วยพี่ตามสัญญาไง”

“นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มึงยังอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่หรือไง”

ผมยิ้มเมื่อเข้าใจสิ่งที่พี่ภูจะสื่อ ดูเหมือนเขาจะแคร์เรื่องคะแนนอยู่เหมือนกันถึงได้ยอมให้ผมวอแวอยู่ที่นี่แต่โดยดี

“งั้นพี่ก็ต้องให้ความร่วมมือกับผมหน่อย”

“อย่าคิดว่ากูจะทำอะไรไร้สาระ” พี่ภูมองผมด้วยดวงตาแวววาว เหมือนพร้อมจะถีบส่งทุกเวลาที่ผมทำให้เขาไม่พอใจ แต่ไม่รู้ทำไม...พอมองหน้าเขาคู่กับพื้นหลังเป็นภาพสีที่เขาทำขึ้นมันถึงได้ดูไร้ซึ่งความน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

แตกต่างแต่ลงตัว…

ใครบ้างจะได้เห็นพี่ภูในด้านนี้ ใครบ้างจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เขาชอบทำคืออะไร ทุกคนอาจเดินไปมาและมองผ่าน คิดว่าเขาเป็นคนน่ากลัวเลยไม่สนใจสิ่งที่เขาทำ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังดีใจอยู่หน่อยๆ ที่ได้เป็นคนเดียวที่เห็นเขาในด้านนี้ มันอาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ผมจะไม่ยอมให้มันจบอยู่แค่นี้แน่นอน

ผมยื่นมือออกไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว อีกแค่นิดเดียวก็จะได้สัมผัสใบหน้าของพี่ภู แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นสมองก็สั่งให้หยุดทุกอย่างแล้วรีบดึงมือกลับมาก่อนอะไรๆ จะแย่ไปหมด

“ที่พี่ต้องทำ...ก็แค่นั่งอยู่เฉยๆ” ผมพูดแล้วนิ่งไป ผ่านไปสักพักพี่ภูก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่จ้องหน้าผมเงียบๆ…ไม่ตกลง ไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น “ผมถือว่าพี่ยอมรับแล้วนะ ห้ามเตะผมด้วย”

ผมแตะนิ้วชี้ลงในถาดสีโดยเลือกใช้สีแดงที่มีเยอะที่สุดก่อนจะยื่นนิ้วออกไปด้านหน้า แต่แล้วก็ต้องหยุดนิ้วลงครู่หนึ่งเมื่อมันกำลังจะสัมผัสแก้มของคนที่นั่งนิ่งเป็นก้อนน้ำแข็ง ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะกดปลายนิ้วลงไปเบาๆ สัมผัสแรกที่รับรู้คือความเย็นของผิวหนัง และต่อมามันก็อุ่นขึ้นในทุกวินาทีที่ลากผ่าน ผมวาดนิ้วเป็นเส้นตรงไปด้านข้างช้าๆ โดยพยายามบังคับมือไม่ให้สั่นทั้งที่ใจเต้นแรงจนเจ็บไปหมด

คนที่ไม่เคยกลัวอะไรมาก่อนในชีวิต...อยู่ๆ ก็ไม่กล้าสบตาคนที่ชอบ ทั้งที่เขาไม่ได้ว่า ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาด้วยซ้ำ

อันตราย...อาการเหมือนจะแพ้ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างนี่มันอะไรกันวะ

ผมวาดเส้นสามเส้นบนแก้มพี่ภู พอครบแล้วก็เปลี่ยนไปทำอีกข้างโดยพยายามไม่สบตาเขาแล้วเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่นิ้วเปื้อนสีของตัวเอง

“ชอบกูขนาดนั้น?” เสียงเรียบเรื่อยของพี่ภูทำให้ทุกการกระทำหยุดชะงัก ผมหันไปมองเขาเป็นเชิงถาม ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ถึงพูดออกมา แต่แล้วพี่ภูก็ให้คำตอบด้วยการจับนิ้วสั่นๆ ของผมเอาไว้

ผมสูดหายใจเข้าเมื่อนิ้วที่เปื้อนสีดำของพี่ภูแตะลงบนใบหน้า สมองกำลังบังคับให้ร่างกายหยุดสั่นแต่ก็ดูจะยากเสียเหลือเกิน

พี่ภูกำลังทำสิ่งที่นอกเหนือไปจากการคาดการณ์ของผม และมันกำลังทำให้ผมลำบาก...มากๆ

“มึงกำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์” นิ้วชี้ที่ถูกย้อมทับด้วยสีชมพูกดลงบนจมูกผมอย่างแรงเหมือนกลัวว่ามันจะไม่ติด

พอได้ยินประโยคเรียกสตินั้นแล้วผมก็เก็บอาการอย่างรวดเร็ว สายตาสบกับพี่ภูนิ่งงันโดยไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติอะไรออกไปอีก

“จะไร้ประโยชน์หรือเปล่าผมไม่รู้...แต่ถ้ายังไม่ได้พยายามให้เต็มที่ผมคงถอยไม่ได้หรอก”

“งั้นเหรอ” พี่ภูถอนนิ้วออกไปจากใบหน้าผม เราสบตากันด้วยระยะห่างไม่ถึงสองคืบ

“ไม่รักไม่ผิดเพราะพี่ไม่เคยให้ความหวังผม”

“...”

“แต่ผมจะทำให้พี่รักให้ได้ และถ้าวันไหนพี่รักผมขึ้นมา บอกไว้เลย…”

“จะเอาคืน?”

“บอกไว้เลยว่าผมไม่เล่นตัวแน่นอน!” ผมยิ้มให้พี่ภูด้วยท่าทางมั่นใจสุดขีดแล้วลุกขึ้นยืน “เพราะงั้นถ้าใจตรงกันแล้วรีบบอกผมนะ”

ก่อนจะต้องรู้สึกแพ้มากกว่านี้ รีบออกไปทำงานก่อนน่าจะดีกว่า

ผมเดินออกไปหน้าบูธ และแทบจะทันทีที่ออกมาก็ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างในทันที พวกเขาจ้องมองผมเหมือนมองตัวประหลาดก่อนจะหัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้ามาใกล้

“เข้ามาชมก่อนได้นะครับ” ผมยิ้มการค้าแล้วผายมือเชิญให้คนเดินเข้ามาด้านใน ตอนแรกพวกนั้นก็ยอมเดินตามมาง่ายๆ แต่พอมองเข้าไปเห็นว่าใครนั่งอยู่ก็ชะงักไป

พี่ภูนี่ก็เป็นคนดังเหมือนกันนะเนี่ย…

ดีที่กลุ่มที่เข้ามาไม่ได้เดินออกไปเหมือนกลุ่มก่อนหน้า พวกเขาเดินดูภาพไปรอบบูธแล้วชี้ชวนกันดูนั่นนี่ พอเห็นแบบนั้นแล้วผมก็หันไปมองพี่ภูก่อนจะยักคิ้วให้เป็นเชิงอวด แต่เขาแค่มองกลับมานิ่งๆ แล้วมองผ่านไปราวกับไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะมีคนเข้ามาหรือเปล่า

ถึงใบหน้านั้นจะเย็นชาแต่พอประกอบกับหนวดแมวสีแดงสามเส้นบนหน้าแล้วก็กลายเป็นสายแบ๊วไปเลย…และดูเหมือนหนวดแมวจะได้ผลมากกว่าที่คิดเสียด้วย

ผมอาศัยจังหวะที่ไม่มีคนเดินออกมานอกบูธอีกครั้งแล้วมองซ้ายมองขวา เป็นไปตามคาด...พวกที่มาจากมหา’ลัยอื่นและถือใบประเมินเริ่มทยอยมากันแล้ว…ถึงเวลาเริ่มแผนเสียที

“พี่วิน”

[ว่าไง]

“ช่วยไรหน่อยดิ”

คนฉลาดย่อมต้องใช้วิธีของคนฉลาด…

[ช่วยไรวะ]

“ให้ไอ้พวกที่อยู่บนเวที…”

และเผอิญว่าผมดันฉลาดมากด้วยดิ

-----------------

 

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-05-2017 16:28:01
อิเก้านี่มันเก้าจริงๆ
โชคดียังไม่เคยเจอคนแบบนี้ในชีวิตจริง 55
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 13-05-2017 16:47:03
ภูเก้าดีงามที่สุดในจักรวาลเลยค่ะ :katai2-1: พอน้องเก้าจะรุกก็เจอพี่ภูรุกกลับ แหมใจสั่นแรง :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-05-2017 18:14:16
เก้า ลุย  :bye2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2017 20:41:23
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: GOLDMIND ที่ 13-05-2017 21:39:14
เก้าทำดีมากๆ เก้านี่มันลิมิเต็ดอิดิชั่นจริงๆ
พี่ภูคิดอะไรอยู่กันน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 14-05-2017 08:14:26
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 14-05-2017 09:08:34
เห้ยยย แบบอ่านแล้วใจสั่นตามเก้าไปอีกกก :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-05-2017 09:10:04
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 14-05-2017 09:12:17
ชอบบบบบ งืออออ เขินเเทนเก้ามากค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 14-05-2017 10:34:55
มีความเป็นเก้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 14-05-2017 12:55:48
5555555โอ้ยยยยยย อ่านแล้วฟินนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 14-05-2017 15:18:00
พี่ภูสายแบ๊วเพราะเก้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 14-05-2017 19:52:42
ใจสั่นแรง น่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Matia ที่ 14-05-2017 22:53:28
ชอบบบบ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 15-05-2017 17:16:12
ไปอ่านอ๊อกอีกรอบ เพิ่งรู้ว่าเก้ามันหมายถึงใคร  :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 15-05-2017 21:13:48
พี่ภู ผู้ชายอันตราย :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-05-2017 23:06:02
เรายอมเก้าแล้วววว ยอมแพ้ 55555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 16-05-2017 04:22:00
หลงรักเรื่องนี้!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-05-2017 21:37:07




-4-

 

ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่บนเวทีไม่มีเสียงเพลง ทุกคนเดินไปเดินมาตามบูธเพื่อหาของกินเป็นส่วนใหญ่ ผมยืนกอดอกอยู่หน้าบูธ มองเวทีที่พวกดุริยางค์กำลังเตรียมตัวลงไปพักอย่างรอคอย แล้วพี่วินก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง พี่แกวิ่งขึ้นไปด้านบนก่อนจะกระซิบอะไรสักอย่างกับไอ้เต๊ะที่เป็นนักร้องบนเวทีคนล่าสุด ผ่านไปสักพักมันก็พยักหน้าแล้วหันมามองผมตามนิ้วที่พี่วินชี้ และอยู่ๆ พวกมันก็หัวเราะกันจนผมชักอยากจะหากระจกมาส่องหน้าตัวเอง

“ทุกท่านครับ” เต๊ะพูดออกไมค์เสียงดังจนสายตาของคนที่เดินไปเดินมาหันไปมองมัน “เนื่องจากช่วงพักเที่ยงบนเวทีจะไม่มีดนตรี ดังนั้นถ้าใครสนใจฟังดนตรีสดจากอดีตเดือนมหา’ลัยกับนักร้องอันดับหนึ่งของเรา อย่าลืมไปเยี่ยมชมบูธD01นะครับผม”

ผมชูนิ้วโป้งให้ไอ้เต๊ะจากนั้นก็ผงกหัวขอบคุณพี่วินก่อนจะหันกลับเข้ามาในบูธ และมันเป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้เพื่อนหน้านิ่งเดินถือกีตาร์โปร่งเข้ามาหาพอดี

“ใช้งานกูอีกละ” โซบ่นแล้วหาวเสียงดัง แต่มันก็ยังเดินเข้าไปทักพี่ภูที่นั่งขมวดคิ้วอยู่แต่โดยดี

ผมให้ไอ้โซนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างพี่ภู ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ข้างๆ พอเสียงกีตาร์เริ่มดังขึ้นคนที่มุงอยู่ด้านนอกก็เริ่มเข้ามาด้านใน…นั่นรวมถึงพวกที่ถือใบประเมินด้วย

“บูธนี้ไม่น่ากลัวนะ” ผมพูดแล้วยกยิ้ม พวกผู้หญิงที่หันมามองก็หัวเราะกันคิกคัก ไม่ตลกหน้าผมก็คงหน้าพี่ภูนั่นล่ะ

“คือว่า...ภาพพวกนี้ขายหรือเปล่าคะ” ผู้หญิงที่ติดเข็มมหา’ลัยอื่นคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม ผมเลยหันไปมองพี่ภู พอเห็นว่าเขาพยักหน้าเลยหันมาตอบให้

“ขายครับ”

“ขายเท่าไหร่เหรอคะ”

คราวนี้พี่ภูพยักเพยิดไปที่กล่องสี่เหลี่ยมที่แขวนอยู่ด้านข้างซึ่งผมเองก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน

“ตามกำลังศรัทธาเลยครับ” ผมยิ้มการค้าแล้วชี้ไปที่กล่อง ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า หยิบแบงค์ร้อยหย่อนใส่กล่องและหยิบภาพสีน้ำขนาดเท่าเอสี่กลับไป

พอเริ่มมีคนนำแล้วก็มีคนตามเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่ต้องคอยตอบคำถามอะไรอีกคนก็เริ่มตามเข้ามากันเรื่อยๆ

เสียงกีตาร์เรียบเรื่อยของโซเปลี่ยนเป็นทำนองคุ้นหู ผมเดินไปอยู่ตรงกลางระหว่างมันกับพี่ภูที่ยังนั่งลงสีภาพอยู่แล้วเริ่มร้องเพลงไปตามจังหวะ

 

“อยากบอกกับเธอว่าฉันรู้สึกต่างไปแน่นอนจากวินาทีก่อน…”

 

“วิ้ดวิ้ววว”

ผมค้อมหัวเล็กน้อยให้เสียงปรบมือกับเสียงกรีดร้องเบาๆ ของพวกผู้หญิง แต่เสียงแซวไม่พึงประสงค์ของไอ้พวกดุริยางค์ที่เดินมาดูขอข้ามไปแล้วกัน

 

“อยากบอกว่ารักมันก็เท่านั้น

ก็เพราะว่าฉันรักเธอมากมาย

แต่ไม่ได้หวังหรือว่าต้องการอะไร

อะไรจากเธอ”


 

“อย่าลืมอยู่ดูดนตรีตอนเย็นนะค้าบบบ”

ผมได้แต่ส่ายหน้าให้ไอ้พวกที่ยืนโหวกเหวกอยู่หน้าบูธ แต่ก็ดีที่พวกมันช่วยร้องเพลงคลอจนคนหันมาสนใจมากขึ้น

“แต่ไม่ได้หวัง…” ผมหยุดชะงักกะทันหันเมื่อถึงท่อนสุดท้าย สายตาหันไปมองพี่ภูโดยอัตโนมัติ

[อยากบอกว่ารัก : Sin]

“หยุดทำไม” โซมันเงยหน้าถาม

“แค่คิดต่างจากเพลงนิดหน่อยว่ะ”

“ตรงไหน”

“บอกรักแล้วก็ต้องหวังสิวะ ถ้าไม่หวัง ไม่ต้องการอะไรแล้วจะบอกทำไม” ผมตอบคำถามโซแต่หันไปทางพี่ภู เขาเองก็เงยหน้ามอง ถึงจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาแต่ผมก็รู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการบอก

แค่นั้นก็พอแล้ว...สำหรับตอนนี้นะ

รูปภาพที่แขวนไว้ทั่วถูกขายจนหมดในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ส่วนพวกดุริยางค์เองก็กลับไปหลังเวทีกันหมดแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับพี่ภูที่ยังอยู่ที่เดิม

“พี่กลับเลยป่ะ”

“รอเช็คชื่อเลิกงาน” พี่ภูตอบสั้นๆ แล้วเก็บของต่อ

“งั้นพี่ก็อยู่ดูผมขึ้นเวทีได้อ่ะดิ” ผมพูดด้วยความตื่นเต้นแล้วรีบเข้าไปช่วยเขายกของ

พี่ภูเดินนำออกไปด้านนอก เขาหยุดยืนอยู่ที่ตู้บริจาคซึ่งตั้งอยู่หน้างานพอดีก่อนจะเทเงินที่ได้ทั้งหมดลงไปในตู้ จากนั้นก็เดินต่อไปที่ลานจอดรถ ผมมองแผ่นหลังกว้างของคนใจดีด้วยความรู้สึกหลากหลาย จนเมื่อเดินมาถึงรถคันหรูแล้วเขาก็วางของที่ถือลงก่อนจะหันมาคว้าของจากมือผมไปใส่หลังรถ

“พี่ภู…”

“ว่าแล้วว่ามึงต้องเป็นตัวน่ารำคาญ”

“เดี๋ยวดิ” ผมหน้าเหวอ สงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อคนที่ปิดหลังรถแล้วก็หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเสียก่อน

“ไอ้กระต่ายน่ารำคาญ” สิ้นคำที่เหมือนจะด่า นิ้วชี้เปื้อนสีที่แห้งไปแล้วก็กดลงมาบนหน้าผากผมแรงๆ เหมือนจะตอกย้ำคำพูดว่ากระต่ายที่ว่าหมายถึงใคร ผมได้แต่เอามือกุมหน้าผากตัวเองแล้วมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินล้วงกระเป๋ากลับไปทางเดิมเงียบๆ

ใจเต้นอีกแล้วว่ะ...ดาเมจแรงฉิบหาย

ผมยื่นหน้าไปส่องกระจกข้างของรถพี่ภู แล้วก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมใครๆ ถึงได้หัวเราะ ตอนโดนวาดหน้าก็มัวแต่เหวอ ไม่ได้สนใจเลยว่าจะโดนทำอะไรบนใบหน้าบ้าง ผมยกมือแตะขีดดำๆ บนแก้มแบบเดียวกับที่ผมวาดให้พี่ภูเบาๆ พอรวมกับจุดสีชมพูบนจมูกเลยดูเหมือนสัตว์อะไรสักอย่าง

ดูจากคำพูดแล้วคนทำคงอยากให้เป็นกระต่าย…

แต่แม่ง…

ทำไมต้องกระต่ายวะ

ไอ้สิ่งมีชีวิตก้อนๆ ขนๆ นั่นอ่ะ...

ผมโคตรเกลียดเลยเหอะ

“มาอยู่แถวนี้นี่เอง โทรศัพท์ก็ไม่รับ มาเตรียมตัวได้แล้วโว้ย!” เสียงพี่วินดังมาจากด้านหลัง ผมรีบหันไปหาทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่แทนที่จะเจอหน้าโหดๆ กลับกลายเป็นโดนหัวเราะใส่อีกรอบ “มองไกลๆ กูก็ว่าตลกแล้วนะ มาเจอใกล้ๆ หนักกว่าเดิมอีกว่ะ ฮ่าๆ”

“ตลกตรงไหนวะ” ผมถามเสียงบูด นี่ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่นะ...

“โอ๋ๆ มานี่มา...สรุปเป็นตัวไร แมว หมา กระต่าย หรือตัวเหี้ย”

“ตัวเหี้ยบ้านพี่มีหนวดเหรอ”

“ก็บอกกูดิตัวไรแน่ กระต่ายเหรอ” พี่วินหัวเราะจนนนตัวงอ ส่วนผมได้แต่ยืนกระดิกเท้าหงุดหงิดเพราะอยากเตะคน…ที่พี่แกพูดถูกก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจอะไรนะ มันแค่รู้ว่าผมไม่ชอบกระต่ายก็เลยพูดต่างหาก

“อย่าทำหน้าบูดดิ แมวก็ได้ โอเคยัง” พี่วินว่าแล้วลูบหัวผมเหมือนจะปลอบ แต่จะดีกว่านี้มากเลยถ้ามันไม่ได้ลูบไปตบไปจนหัวชา “มึงแม่งเหมือนแมวเลยว่ะ ขึ้นเวทีไม่ต้องลบนะ ตลกดี”

“กระต่าย”

“หา…”

“เนี่ย…” ผมชี้หน้าตัวเอง “กระต่าย”

“เอาจริงดิ” พี่วินทำตาโต ท่าทางตกใจโอเวอร์จนน่าถีบ “มึงไม่ชอบกระต่ายไม่ใช่เหรอวะ ไอ้โซเคยบอกกูอ่ะ”

ไม่ต้องสืบละว่าพี่วินรู้ได้ไง

“ก็ไม่ชอบนั่นล่ะ...แต่เขาเรียก”

“อะไรนะ”

“ถึงเวลาเตรียมตัวแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมตัดบทแล้วรีบดึงแขนเสื้อพี่วินให้เดินตามก่อนจะโดนถามอะไรต่อ ดูเหมือนพี่แกจะเพิ่งนึกออกเหมือนกันถึงได้รีบร้อนลากผมวิ่งเป็นการใหญ่

หายไปไหนแล้ววะ…

ผมหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาคนที่เดินนำมาก่อนในระหว่างที่กำลังวิ่ง แต่มองยังไงก็ไม่เจอพี่ภู บูธของเขาที่เก็บของหมดแล้วก็ไม่มีใครอยู่ จนผมโดนพี่วินทิ้งไว้หลังเวทีแล้วก็ยังมองหาพี่ภูไม่เจออยู่ดี

“พี่เก้า ผมรอดูหน้าเวทีนะพี่” ไอ้เปรมวิ่งเข้ามาหาหน้าตาดี๊ดา ด้านหลังมันมีพวกที่ขึ้นเวทีไปแล้วยืนอยู่ด้วย

“ร้องเพี้ยนนะมึงอ่ะ”

“พี่ฟังด้วยเหรอ!” มันทำตาโต ท่าทางตกอกตกใจจริงจังจนน่าขำ ผมเลยหัวเราะใส่โดยไม่ได้ตอบอะไรไป ไอ้ได้ยินมันก็ได้ยินอยู่หรอกเพราะบูธก็อยู่แถวนี้ แต่ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่เลยไม่อยากพูดเยอะ

“ไปหาที่หน้าเวทีไป” ผมออกปากไล่ เปรมมันเลยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังโดยไม่เซ้าซี้ต่อ

“เต็มที่นะมึง” รุ่นพี่ปีสามที่กอดคอไอ้เปรมอยู่โบกมือ พอผมพยักหน้าแล้วพวกนั้นก็พากันเดินออกไปทางหน้าเวที

ผมยืนรอเวลาอยู่ข้างเวทีอย่างสงบเสงี่ยม โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีแดดแล้วพวกที่อยู่หน้าเวทีเลยมารวมตัวกันมากกว่าเดิม ถึงจะยังมีบางส่วนเดินไปเดินมาอยู่ตรงบูธ แต่พอเริ่มงานเมื่อไหร่ก็คงมารวมตัวกันเยอะกว่านี้แน่

อย่าลืมว่าเวทีนี้มีอดีตเดือนมหา’ลัยคนดังอยู่ด้วย

“ยอมกลับมาแล้วเหรอ” น้ำเสียงนิ่งๆ ตามสไตล์ของเดือนที่ว่าดังมาจากด้านหลัง แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้เสียงนิ่งๆ ของมันนั้นแฝงความกวนตีนเอาไว้มากมายมหาศาล “ทำไมยังไม่ลบหน้า”

“ไม่อยากลบ”

“ไอ้หน้าแมว...”

“กระต่าย”

“แมว”

“กูบอกว่ากระต่ายไง” ผมย้ำ

“อย่างงี้ก็ได้เหรอ” ไอ้โซทำหน้าเหม็นเบื่อ มันกลอกตาก่อนจะยกมือทาบหน้าผากผมเหมือนจะวัดไข้ “ไหวไหม”

“อะไรของมึง”

“มึงใช่เก้าเหรอ”

“ใช่สิวะ”

“ได้ข่าวว่าเกลียดกระต่าย” มันเลิกคิ้วแล้วหรี่ตาลงเป็นเชิงจับผิด

“พี่ภูเรียก”

“หืม”

ผมชักสีหน้าก่อนจะมองเพื่อนด้วยควาามหงุดหงิด ไม่ใช่ว่ามันไม่เข้าใจที่ผมบอก มองจากรอยยิ้มนิดๆ บนหน้าก็รู้แล้วว่ามันเข้าใจ แต่มันกำลังกวนตีนผมอยู่ต่างหาก

“เออใช่...มึงรู้ป่ะ” ไอ้โซทำหน้าตื่นเต้นนิดๆ แล้วเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ส่วนผมได้แต่ขมวดคิ้วมองมันกลับไปด้วยความสงสัย

“อะไร”

“ภูชอบกระต่าย”

“อะไรนะ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือเขย่าไหล่เพื่อนไม่หยุด “มึงพูดใหม่อีกที”

“กูบอกว่าภูชอบกระต่าย”

ไม่ใช่แค่เห็นว่าวาดออกมาแล้วเหมือนกระต่ายเฉยๆ...แต่เพราะชอบกระต่ายเลยเหรอ

ทำไมต้องกระต่ายวะ…

“กูเกลียดกระต่าย” ผมครวญคราง อยากจะเตะนั่นเตะนี่ทำลายข้าวของให้หายหงุดหงิดโคตรๆ

“แล้วมึงเป็นตัวอะไร”

“เป็นกระต่าย” ผมตอบทันควัน พร้อมกับที่ได้ยินเสียงไอ้โซหัวเราะโดยที่มันไม่คิดปิด ถ้าเป็นปกติผมคงเปิดวอร์ไปแล้ว แต่นี่คือไม่มีอารมณ์

“เพื่อนกูพัฒนาจากคนไปเป็นกระต่ายเฉย”

“แค่เปรียบเปรยเว้ย!”

“เออ แค่เปรียบเปรยแล้วมึงจะซีเรียสทำไม”

“มึงเคยไม่ชอบอะไรมากๆ ป่ะ ไม่ชอบแบบไม่อยากพูดถึงอ่ะ” ผมหันไปถามมันแล้วทำหน้าตาจริงจัง

“เคย”

“เออ เข้าใจกูยัง”

“เข้าใจ แล้วสรุปมึงเป็นตัวอะไรนะ”

“กระต่าย”

“หึหึ”

“...”

ให้ตายเหอะ…ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆ ว่ะ และดูเหมือนผมจะบอดสองข้างด้วยดิ

“ถึงเวลาแล้ว” ไอ้โซเตือน มันดันไหล่ผมให้เดินนำไปด้านหน้า “กลับไปเป็นไอ้เก้าคนเดิมก่อน เดี๋ยวค่อยเป็นกระต่ายต่อ”

“เหี้ย”

“นั่นมึง”

“กูเป็นกระต่าย” ผมกอดคอมันให้เดินขึ้นไปพร้อมกัน “กระต่ายเป็นเพื่อนเหี้ย ไม่รู้เหรอ”

“กูเป็นหมา” มันกระซิบบอกผม

แหม...แค่เมียตัวเองบอกว่าเหมือนฮัสกี้หน่อยยอมเป็นหมาเลยว่ะ

“แมวมาว่ะเฮ้ยยยย”

“กรี๊ดดดดดด”

ผมถลึงตาใส่ไอ้พวกเพื่อนที่ยืนอออยู่หน้าเวทีทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ส่วนคนที่เดินอยู่รอบๆ พอเห็นว่าใครขึ้นเวทีมาก็เริ่มมุงเข้ามาหน้าเวทีมากขึ้น ตอนนี้เลยดูเหมือนจะกลายเป็นมินิคอนเสิร์ตไปแล้ว

“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไมค์ ได้ยินทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะดังมาจากด้านล่าง “ใครที่อยู่แถวๆ นี้ ถ้าเดินจนไม่มีอะไรจะเดินแล้ว มาร่วมปิดงานแบบสนุกๆ ไปด้วยกันนะครับผม”

“ไอ้ห่า! มึงเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของงานไม่ใช่เหรอวะ!” รุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนมาจากด้านล่าง เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างเป็นแถบ

“ไปบอกให้เขาเลิกเดินมาดูมึงอีก ไอ้นี่!” รุ่นพี่อีกคนตะโกนสำทับ

“เผื่อจะมีใครมาหาไอ้มือกลองกับไอ้มือเบสบ้างไง” ผมพูดแล้วชี้ไปที่เพื่อนสองตำแหน่งที่ว่า “สาวๆ...งานนี้ไม่ได้มีแต่มือกีตาร์นะรู้ยัง”

“กรี๊ดดดดด”

แหม...พูดให้คิด ไม่ได้พูดให้กรี๊ดมันหนักกว่าเดิม

“ขอแนะนำทีมก่อนแล้วกันนะ ผมเก้าครับ นักร้องนำ” ผมตัดบทเสียงกรี๊ดด้วยการเริ่มแนะนำตัว จากนั้นก็ปล่อยให้พวกที่เหลือแนะนำเอง ไอ้โซมันมองผมตาขวาง ผมรู้ดีว่ามันไม่อยากพูดออกไมค์ ปกติก็จะแนะนำให้อยู่หรอก แต่ครั้งนี้ปล่อยมันพูดเองด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ

ผมใช้เวลาที่เพื่อนกำลังแนะนำตัวกวาดมองด้านล่างเวทีอย่างรวดเร็ว นอกจากน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ดุริยางค์ที่ตามมาดูกันแล้วก็เป็นคนจากคณะอื่น พวกมหา’ลัยอื่นก็ยังอยู่กัน แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นกลับไม่มีแม้แต่เงาของคนที่ผมมองหา

สงสัยจะไม่มาดูจริงๆ

ถึงจะเฟลอยู่หน่อยๆ แต่งานก็ต้องเป็นงานล่ะนะ

“ไอ้แมว! เหม่อไรมึง” เสียงไอ้แซมมือกลองที่ถามออกไมค์เรียกสติผมให้กลับคืนมาอีกครั้ง ในนขณะที่พวกด้านล่างเวทีหัวเราะแล้วชี้ไม้ชี้มือเรียกแมวกันใหญ่ และในวินาทีที่ผมกำลังจะปล่อยผ่านไปแล้วเริ่มร้องเพลง สายตาก็สบเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง

พี่ภู! พี่ภูยืนกอดอกอยู่ตรงเสาไกลๆ นั่นไง!

ผมขยับยิ้มกว้างด้วยความอารมณ์ดี อยากกระโดดลงจากเวทีแต่ห้ามตัวเองไว้ทัน สุดท้ายเลยได้แต่กลับมาจับไมค์อีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ต่างไปจากเดิม

“ก่อนอื่นเลย...ผมเป็นกระต่ายนะไม่ใช่แมว”

เกลียดไม่เกลียดเอาไว้ก่อน แต่ถ้าเขาชอบกูยอมเป็นก็ได้วะ แมนๆ อยู่แล้ว

“น่ารักอ่ะ!”

“น้องเก้าน่ารักจัง”

“ครับ รู้ตัวอยู่” ผมโบกมือให้คนด้านล่างที่ตะโกนขึ้นมา แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อไอ้พวกที่เล่นเครื่องดนตรีอยู่ด้านหลังก็เริ่มเคาะดนตรีเทสเสียงกันเป็นจังหวะเบาๆ อย่างพร้อมเพรียง เหมือนมันจะทนไม่ได้ที่ผมพูดความจริง

“เบื่อพวกรับความจริงไม่ได้อ่ะ” ผมกรอกเสียงลงไมค์ ได้รับทั้งเสียงโห่และเสียงหัวเราะจากคนด้านล่าง

“ไอ้เก้า…”

ผมหันไปด้านหลังแล้วก็เห็นไอ้เบสที่เล่นเบสพยักเพยิดไปทางคนดู พอมองตามไปเลยพบว่าตรงนั้นมีน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังชูป้ายกระดาษที่เขียนไว้ว่า ‘ขอเพลงสุดท้ายที่ร้องในงานเปิดภาคปีก่อนหน่อยค่ะ’

“เดี๋ยวดิ จะขอเพลงมันต้องรอช่วงขอก่อนไม่ใช่เหรอ นี่พวกผมยังไม่ได้ร้องสักเพลงเลยนะ” ผมพูดขำๆ แล้วมองไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นที่กำลังกรี๊ดกร๊าดเพราะผมตอบพวกเธอ “แต่จะปฏิเสธก็ยังไงอยู่…”

ผมหันไปมองทีมเป็นเชิงถาม พอพวกนั้นพยักหน้าแล้วก็หันกลับมาพูดต่อ

“สำหรับใครที่ไม่ได้อยู่จนจบงานเปิดภาคปีที่แล้วหรือน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มาร่วมฟังไปพร้อมๆ กันอีกครั้งนะครับ” ผมยิ้มก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ และสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่คนที่ยืนพิงเสาอยู่  “ผมขอมอบเพลงนี้ให้คนที่กำลังไขว่คว้าหาความรักและคนที่กำลังได้รับความรัก”

เมื่อปีก่อนผมร้องเพลงนี้ในงานเปิดภาคเรียน มันเป็นเพลงที่ผมร้องเพื่อใครหลายๆ คนแต่ไม่ใช่ตัวเอง แต่มาวันนี้ผมจะร้องเพลงนี้เพื่อใครอีกหลายๆ คนที่ยังไม่ได้ฟัง…

รวมถึงเพื่อตัวเองด้วย

 

“มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้…”

 

ผมมองพี่ภูนิ่งงัน มีบ้างที่หันมาสนใจคนหน้าเวที แต่ผ่านไปครู่เดียวก็ต้องหันกลับไปมองคนๆ เดิมเพราะกลัวเขาจะหายไปจากสายตา

 

“จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม…”

 

จ๋าเคยบอกผมว่า เวลาเราทำอะไรก็ตาม ถ้าเราอินไปกับมัน เราจะทำได้ดีกว่าปกติ

ในช่วงชีวิตที่มีแต่คำว่าชนะ มีแต่คำว่าที่หนึ่ง ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าการมีความรู้สึกร่วมไปกับมันมันดีกว่าปกติยังไง ไม่ว่าจะทำอะไร ขอแค่อยากทำผมก็ทำได้ดีไปหมด ผมมีความสุขเวลาร้องเพลง รู้สึกดีที่ได้จับไมค์ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการร้องเพลงที่มีความหมายตรงกับความรู้สึกของตัวเองให้ใครสักคนที่ชอบมันรู้สึกแบบไหน…

แต่วันนี้ผมรู้แล้ว

 

“ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ

ถ้ารอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป

ได้ยินไหม…”

 

เสียงดนตรีทั้งหมดเงียบลงอย่างเป็นใจ ผมละสายตาจากคนที่อยู่หน้าเวที หันไปมองคนๆ เดิมที่ยังไม่หายไปไหน


“คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน”

[มันคงเป็นความรัก : แสตมป์]

วันนี้เสียงของผมอาจจะยังเข้าไปไม่ถึงใจพี่ ทำได้แค่พัดผ่านแล้วสลายหายไป แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง...ถ้าผมยังพยายามอยู่ เสียงของผมจะต้องเข้าไปถึงใจพี่ได้แน่นอน

 

 

พองานจบพี่บริหารปีสี่หลายคนก็รีบเข้ามาหาเรา ขอโทษขอโพยยกใหญ่ที่ไม่ทำตามขั้นตอน ดีที่พวกผมมันสายชิวกันอยู่แล้วเลยไม่มีใครว่าอะไร แถมฝั่งเขายังบอกว่าถ้าจะให้ช่วยอะไรจะช่วยเต็มที่ด้วย เรื่องปัญหาอะไรต่างๆ เลยจบไป

“พวกมึงกลับไปพักเหอะ อยู่มาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวพวกกูจัดการของเอง” พวกดุริยางค์ที่ตามมาดูเฉยๆ เดินเข้ามาบอก พวกผมที่เพิ่งเล่นเสร็จมองหน้ากัน สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วยกหน้าที่ให้พวกมันไป

“มึงจะให้กูไปส่งหรือเปล่า” ไอ้โซหันมาถามผม

“ไม่ต้องอ่ะ มึงกลับก่อนเลย” พอคุยกันรู้เรื่องแล้วผมก็หันไปลาคนอื่นก่อนจะวิ่งออกมาเป็นคนแรก ดีที่พวกมันกำลังวุ่นวายกันอยู่เลยไม่มีใครสนใจถามว่าทำไมผมวิ่งไปทางที่ตรงข้ามกับหอ

จุดหมายแรกที่วิ่งไปคือจุดที่เห็นพี่ภูยืนดูผมร้องเพลง ผมไม่แน่ใจว่าเขาหายไปตอนไหน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขายืนอยู่จนถึงเพลงสุดท้าย ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หันไปมอง ดวงตาสีเทาดุๆ คู่นั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่เวทีเสมอ แม้จะไม่รู้ว่าพี่ภูมองผมหรือเปล่า…แต่แค่เขายืนอยู่ตรงนั้นตามที่ผมขอมันก็ดีมากแล้ว

หายไปไหนแล้ว…

ผมหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาเงาร่างของคนที่นึกถึง แต่มองยังไงก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าเขาเดินไปทางไหน

ครั้งนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง...ไม่น่าละสายตาเลยว่ะ

ผมออกตัววิ่งอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังที่ที่รถพี่ภูจอดอยู่ ได้ยินเสียงเพื่อนต่างคณะทักทายอยู่หลายเสียง แต่เพราะกำลังรีบเลยไม่มีเวลาตอบพวกมัน ได้แต่ยกมือโบกไปมาเป็นเชิงขอโทษแล้ววิ่งต่อ

รถยังอยู่…

“พี่ภู!” ผมเรียกเสียงดังด้วยอารมณ์หงุดหงิด เพราะขี้เกียจหันหัวไปมาเพื่อมองหาเหมือนตอนแรก แค่วิ่งมาถึงนี่หลังจากแสดงเสร็จได้ก็เต็มกลืนแล้ว

“หนวกหู”

“โทษที” ผมหันไปยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหาคนที่โผล่มาจากด้านหลัง มือเขาถือกุญแจรถเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังจะกลับแล้ว “ขอบคุณมากนะพี่ที่มาดูผมอ่ะ”

“ฆ่าเวลารอเช็คชื่อ” พี่ภูพูดหน้าตายแล้วเดินไปที่ประตูรถ

“จริงๆ พี่ทำเพราะจะขอบคุณผมใช่ไหม” คำถามของผมทำให้พี่ภูชะงักไป เขาเปิดประตูรถทิ้งไว้แต่ไม่ได้เข้าไปนั่ง “ผมแค่รู้สึกว่าพี่เป็นคนแบบนั้น”

“แบบไหน” เขาถามแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผมเต็มตัว

“ไม่ชอบติดหนี้ใคร...แล้วก็ใจดี”

ดวงตาคมปรากฏวี่แววของความแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อกะพริบตามันก็หายไป

“กูไม่ชอบติดหนี้ใคร” พี่ภูก้าวเท้าเข้ามาหาผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราเกือบชนกัน “แต่ไม่ได้ใจดี”

“อาจจะไม่ได้ใจดี...” ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจ้องกลับด้วยสายตาสงบนิ่ง “แต่ผมว่าพี่ไม่ใช่คนแบบที่ใครๆ เขาพูดกัน”

“ไร้สาระ”

“เออใช่ พวกนั้นแม่งไร้สาระ” ผมโยนขี้หน้าตาย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงตัวเอง แต่เวลาพูดอะไรโง่ๆ แล้วได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของพี่ภูแล้วมันคุ้มว่ะ อย่างตอนนี้ก็สีหน้าเอือมระอานี่ไง

อยากถ่ายรูปเก็บไว้จัง

พี่ภูเข้าไปนั่งในรถโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็ไม่ได้ห้ามเพราะคิดว่าวันนี้ควรจะพอได้แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูรถผมก็ใช้มือรั้งเอาไว้เพื่อถามคำถามที่คาใจเสียก่อน

“ผมมีอะไรจะถามพี่”

เหตุผลที่ผมต้องวิ่งตามหาขนาดนี้…

“อะไร” พี่ภูขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนจะบอกว่าถ้าพูดอะไรไร้สาระออกมาเขาพร้อมจะปิดประตูหนีบนิ้วผมทันที

“พี่ชอบกระต่ายเหรอ”

“...”

“ผมจริงจังนะ พี่ชอบกระต่ายเหรอ” ผมพยายามปั้นหน้าจริงจัง บอกตรงๆ ว่าคำพูดไอ้โซมันไม่ค่อยน่าไว้ใจหรอก ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยไม่ทันคิด แต่พอได้สติแล้วผมก็เห็นอะไรแปลกๆ อยู่หลายอย่าง อย่างเช่นการที่มันแอบยิ้มเยาะตอนผมเซ็งเรื่องกระต่าย...อย่าคิดว่ากูไม่เห็น “ไอ้โซบอกผมว่าพี่ชอบกระต่าย”

“…” พี่ภูถอนหายใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมเหมือนคนไม่รู้จะพูดอะไร

“พี่ชอบจริงๆ เหรอ...ไอ้ตัวปุกปุยก้อนๆ นั่นอ่ะ” ผมกัดปากรอคำตอบด้วยความกังวลใจ ที่มาถามเขาไม่ใช่ว่าอยากให้ตอบว่าใช่นะ แต่โคตรจะอยากให้ตอบว่าไม่ใช่เลยเหอะ

“ทำไม”

“พี่เปลี่ยนเป็นตัวอื่นดีกว่า ไอ้ก้อนนั่นไม่เห็นน่ารักเลย” ถ้าคนมองแมลงสาบหรือจิ้งจกแล้วรู้สึกขยะแขยง เวลาผมมองไอ้ก้อนเดินได้นั่นมันก็เหมือนกัน ตัวบ้าอะไรยุกยิกๆ กลมๆ ดูแล้วเป็นก้อนๆ ยุบยับ แค่นึกถึงก็ขนลุกแล้ว

“...”

“เอาเป็นหมาแมวหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้...”

“ก้อน…”

“อะไรนะ”

“หึ...ไอ้ก้อนงี่เง่า” สิ้นคำที่เหมือนจะด่า พี่ภูแกะมือผมออกจากประตูรถ ผมได้แต่มองเขาปิดประตูแล้วขับรถจากไปเงียบๆ โดยที่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว และจนถึงตอนนี้ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่

เมื่อกี้…

เหมือนจะเห็นคนหน้าดุยิ้มขำว่ะ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มือกดเลือกรายชื่อของคนที่ผมต้องการที่สุดในเวลานี้อย่างรวดเร็ว

[อะไรอีกอ่ะ]

“จ๋า!”

[เสียงดังหาอะไรคะ]

“จ๋าตั้งใจฟังดีๆ นะ...อันนี้เราจริงจัง”

[ค่ะ ว่าไง]

ผมสูดสายใจเข้าจนเต็มปอด แค่นึกถึงรอยยิ้มนิดๆ ที่เห็นเมื่อครู่ ไอ้ความรังเกียจขยะแขยงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ากระต่ายก็หายไปจนหมดสิ้น

“เราจะเปิดฟาร์มกระต่าย!”

[...]

“เอาเยอะๆ เลยนะจ๋า!”

[คุณคะ มาคุยกับคนแปลกหน้าที ดิฉันปวดหัว]

นอกจากพี่ภูจะทำให้ผมตาบอดแล้ว...เขายังทำให้ผมก้าวข้ามความเกลียดได้ด้วยว่ะ

โคตรคูล!

 

-------------------------

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 16-05-2017 21:57:51
เก้านี่เก้าจริงๆ  ยอมใจ  ตกลงพี่ภูนี่ชอบกระต่ายหรือว่าชอบก้อนงี่เง่าข้างหน้ากันแน่จ๊ะ555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-05-2017 22:06:21
ตลกคุณแม่ :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-05-2017 22:08:10
ชอบตอนเก้าคุยกับแม่จ๋า น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[3]==[P.2]== [13/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 16-05-2017 22:13:29
-4-

“พี่ชอบกระต่ายเหรอ”

“...”

“ผมจริงจังนะ พี่ชอบกระต่ายเหรอ” ผมพยายามปั้นหน้าจริงจัง บอกตรงๆ ว่าคำพูดไอ้โซมันไม่ค่อยน่าไว้ใจหรอก ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยไม่ทันคิด แต่พอได้สติแล้วผมก็เห็นอะไรแปลกๆ อยู่หลายอย่าง อย่างเช่นการที่มันแอบยิ้มเยาะตอนผมเซ็งเรื่องกระต่าย...อย่าคิดว่ากูไม่เห็น “ไอ้โซบอกผมว่าพี่ชอบกระต่าย”

“…” พี่ภูถอนหายใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมเหมือนคนไม่รู้จะพูดอะไร

“พี่ชอบจริงๆ เหรอ...ไอ้ตัวปุกปุยก้อนๆ นั่นอ่ะ” ผมกัดปากรอคำตอบด้วยความกังวลใจ ที่มาถามเขาไม่ใช่ว่าอยากให้ตอบว่าใช่นะ แต่โคตรจะอยากให้ตอบว่าไม่ใช่เลยเหอะ

“ทำไม”

“พี่เปลี่ยนเป็นตัวอื่นดีกว่า ไอ้ก้อนนั่นไม่เห็นน่ารักเลย”

“...”


-------------------------

ขนาดนั้นเลยหรอเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 16-05-2017 22:55:02
ขำจ๋าที่บอกให้คุณป๋ามาคุยกะคนแปลกหน้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 16-05-2017 23:23:34
มีคัทของคุณแม่ไหมคะ อยากอ่าน 55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 16-05-2017 23:29:12
 :mew1: :mew1: ครอบครัวเก้าน่ารักมากเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 16-05-2017 23:49:12
ขำ55555 เก้าก็คือเก้า :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 17-05-2017 00:07:41
คูลจริงๆค่ะน้องเก้าแม่กระต่ายน้อยยยยย o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-05-2017 00:39:21
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 17-05-2017 08:08:01
เพื่อพี่หมาตาดุเค้ายอมเป็นไอ้ก้อนๆนั่นให้พี่ขย้ำเลยก็ได้!
                       
                                               -เก้า ไม่ได้กล่าวไว้-
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-05-2017 09:56:47
“พี่เปลี่ยนเป็นตัวอื่นดีกว่า ไอ้ก้อนนั่นไม่เห็นน่ารักเลย”

“เอาเป็นหมาแมวหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้อ่ะ...”

“ก้อน…”

อะจ๊ากกกกก พี่ภูชอบ ไอ้ก้อนแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:
ว่าแต่มันก้อน.....อะไรกันน้อ พี่ภู  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-05-2017 10:26:26
ทำไมเก้าน่ารักงี้อ่ะ อิจๆๆๆๆๆอิพี่ภูจิงจังงง :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-05-2017 10:32:55
เก้าน่ารักแบบน่ารักมากๆ ฮืออออ พี่ภูคะรีบใจอ่อนเร็ววววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: GOLDMIND ที่ 17-05-2017 13:03:57
เก้ามันบ้าดีอ่ะ ชอบว่ะ พี่ภูระวังเก้าเข้าไว้ล่ะ เดี๋ยวหลงน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 17-05-2017 22:25:00
นังเก้าาาา 555555 :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 18-05-2017 10:52:40
มีคัทของคุณแม่ไหมคะ อยากอ่าน 55555555555555555555555

เห็นด้วยกับความเห็นนี้มากครับ มีพาร์ทคุณแม่จ๋าของน้องเก้าไหมครับ อยากอ่าน //ท่าทางจะสนุก ^^
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 18-05-2017 16:05:17
หลงรักเก้า น่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-05-2017 19:15:42
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-05-2017 13:42:35
ความรักนี้ช่างรุนแรงอะไรขนาดนี้ 55555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[4]==[P.3]== [16/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 20-05-2017 17:41:04


-5-

 

คู่มือการเลี้ยงกระต่ายอย่างถูกวิธี…

มือใหม่หัดเลี้ยงกระต่าย…

สิบความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระต่าย…

“ทำไมมันต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยวะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ ด้วยความรำคาญแต่ก็ไม่เลิกอ่าน สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กเช่นเดิมมากว่าสองชั่วโมงแล้ว

“มึงทำให้ยุ่งยากเอง” เสียงไอ้หมาเยาะเย้ยมาจากด้านหลัง ผมรีบหันไปมองแล้วตั้งท่าจะด่า แต่พอเห็นว่ามันกำลังนอนตักพี่กีล์เล่นเกมอย่างสบายอารมณ์ก็ได้แต่เบะปากแรงๆ

“หุบปากแล้วเล่นเกมไป”

ตอนแรกก็เฉยๆ นะ แต่เริ่มลำไยผัวเมียคู่นี้แล้วว่ะ

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แสนสบาย ปกติถ้าไม่มีซ้อมผมมักจะใช้เวลาไปกับการนั่งกินนอนกินในหอ แต่วันนี้ไวไฟที่หอดันใช้ไม่ได้ มันจะไม่น่าหงุดหงิดเลยถ้าวันนี้ไม่ใช่วันที่ผมวางแผนว่าจะใช้เวลาไปกับการศึกษาข้อมูลเรื่องกระต่าย และที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือการที่โทรศัพท์โดนตัดเพราะไม่จ่ายเงินมาหลายเดือนแล้ว

ผมโดนจ๋าหักค่าขนมเพราะใช้เงินฟุ่มเฟือย ต่อให้เถียงว่าใช้เงินไปกับการกินไม่ได้ฟุ่มเฟือยเสียหน่อยจ๋าก็ไม่ฟัง กลายเป็นผมต้องหาเวลาโทรหาป๋าเพื่อขอให้โอนเงินเพิ่มให้ แล้วที่แย่คือจ๋าดันรู้ทันตลอด ไม่เคยเปิดโอกาสให้ป๋าได้รับสายเลยสักครั้ง ขนาดบอกว่าคิดถึงป๋ายังโดนแหยะใส่เลยอ่ะ

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องหยิบแบงก์ห้าร้อยใบสุดท้ายออกมาใช้เรียกแท็กซี่ไปหาไอ้โซที่คอนโด

“เก้าทานอะไรมาหรือยังครับ”

ผมวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะแล้วหันไปหาพี่กีล์โดยเลือกมองเมินไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังหรี่ตาลงเหมือนกลัวว่าผมจะไปแย่งพี่กีล์ของมัน

“ยังเลยพี่ หิวมากเลยอ่ะ” ผมลูบท้องประกอบเพื่อความน่าเชื่อถือ

“น่าจะมีของอยู่ ยังไงเดี๋ยวพี่ทำให้ทานนะครับ” พี่กีล์ยิ้มโลกสดใสก่อนจะดันหัวไอ้หมาหน้าบึ้งออกจากตักแล้วเดินไปที่ครัว ไอ้โซเลยหันมาจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะฆ่าให้ตายแล้วปาหมอนอิงมาทางผมอย่างรวดเร็ว เห็นแบบนั้นแล้วผมก็หัวเราะอารมณ์ดีโดยไม่นึกโกรธหมานิสัยเสียเลยสักนิด แค่ปาหมอนใบเดิมใส่หน้ามันแล้วลุกหนีก็สะใจแล้ว

“ไอ้เก้า!”

“พี่กีล์ทำไรอ่ะ” ผมเดินไปที่ส่วนครัวซึ่งอยู่ติดกับโซฟานั่งเล่น และคงเพราะไม่มีผนังกั้นสายตาไอ้โซมันเลยยอมนอนเล่นเกมต่อไม่ตามมาแยกเขี้ยวขู่เหมือนทุกที

“ว่าจะทำกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่างครับ เก้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”

“อยากกินหมูผัดขิง”

“อย่างเดียวเหรอ”

“แกงจืดวุ้นเส้น ใส่เต้าหู้ด้วย”

“ได้ครับ”

ผมมองมือพี่กีล์ที่กำลังหั่นหมูอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำอาหารกินเองเลยสักครั้ง ต้มมาม่าก็ไม่เคยเพราะจ๋าไม่ให้กิน เรียกได้ว่าไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนทำอาหารจริงๆ จังๆ แบบนี้...ปกติสนใจแต่กิน

“พี่กีล์…”

“หืม”

“พี่เคยเลี้ยงสัตว์ไหม” ผมถามลอยๆ แต่ตายังคงจ้องมือพี่กีล์ด้วยความสนใจ

“ไม่เคยหรอกครับ แต่ถ้าตอนเด็กๆ ก็เคยเอาอาหารให้สุนัขจรจัดอยู่บ้าง” พี่กีล์เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบของออกมาอีกสองสามอย่าง “พี่เห็นเก้าอ่านกระทู้เรื่องกระต่าย อยากเลี้ยงเหรอครับ”

“เปล่า” ผมตอบทันควันจนพี่กีล์ต้องหยุดมือที่กำลังเตรียมของแล้วเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ “จริงๆ ผมเกลียดมัน”

“ทำไมล่ะครับ”

“มันยุบยับๆ อ่ะ แบบ...ตัวกลมๆ ก้อนๆ ดูแล้วแหยะๆ” อี๋...แค่นึกถึงไอ้ก้อนพองๆ นั่นก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว

“ไม่ชอบขนาดนั้น แล้วทำไมถึงมาสนใจเรื่องของมันล่ะครับ”

“เพราะพี่ภูดันชอบกระต่ายอ่ะดิ”

“พี่พอจะทราบจากโซมาบ้าง” พี่กีล์หัวเราะ “เห็นโซบอกว่าคุณภูดรอปไปตอนพี่อยู่ปีสี่สินะครับ”

“ใช่”

“ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ แต่พอนึกไปนึกมา เหมือนตอนปีหนึ่งจะมีคนดังเข้ามาเรียนอยู่บริหารคนหนึ่งแล้วชื่อนี้เหมือนกัน คงจะเป็นคุณภูนี่ล่ะครับ”

“พี่รู้จักพี่ภูด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เชิงรู้จักหรอกครับ แค่เขาโดดเด่นมาก แต่ดูเหมือนจะไม่เข้ากิจกรรมอะไรสักอย่าง ประกอบกับตอนนั้นมีข่าวชกต่อยด้วย พี่เคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขายอมเป็นตัวแทนเดือนคณะคงไม่พ้นได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยแน่ๆ” พอพูดจบแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “พอพูดถึงเรื่องคุณภูแล้วตาเป็นประกายเชียว สรุปว่าที่อยากเลี้ยงกระต่ายเพราะคุณภูชอบสินะครับ”

“ไม่ใช่ ผมไม่ได้อยากเลี้ยง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมอยากเปิดฟาร์มอ่ะ”

“เอ่อ…” พี่กีล์กะพริบตาปริบๆ เหมือนพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ความฝันยิ่งใหญ่ดีนะครับ”

“ไม่ฝันนะ จริงๆ ผมจะทำแล้ว แต่ป๋าห้ามไว้ก่อน”

“ทำไมล่ะครับ”

ทำไมน่ะเหรอ...ผมกลอกตาเมื่อนึกถึงตอนที่คุยโทรศัพท์กับป๋าวันนั้น

 

[ว่าไงคนแปลกหน้า] เสียงทุ้มอ่อนโยนที่ไม่ได้ยินมากว่าอาทิตย์ดังมาตามสาย ผมยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าป๋ากำลังดีใจที่ได้คุย...ดังนั้นต้องรีบแสดงความต้องการออกไปโดยเร็ว

‘ป๋า เราอยากเปิดฟาร์มกระต่าย’

[หืม...ตัวเล็กไม่ชอบกระต่ายไม่ใช่เหรอ]

‘เราก็ยังไม่ชอบนั่นล่ะ แต่คนที่เราชอบชอบอ่ะ’

[อะไรนะ!] เสียงป๋าที่ตะโกนด้วยความตกใจทำให้ผมต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู

‘ป๋า อย่าเสียงดัง’

[ขอโทษ] ป๋าพูดเสียงเบาลง [ตัวเล็กรอคุณป๋าคุยกับคุณแม่สักครู่นะครับ]

‘เร็วๆ นะ’

[ครู่เดียวครับ...คุณหญิง! ทำไมผมไม่รู้ว่าลูกมีคนที่ชอบแล้ว ทำไมไม่บอกผม นี่คุณ…]

ผมอมยิ้มฟังป๋าเถียงกับจ๋าด้วยความสุขใจ ปกติป๋าจะหงอยอมตลอด แต่ถ้าเป็นเรื่องผมขึ้นมาเมื่อไหร่จะเป็นแบบนี้ทุกที ก็ป๋ารักผมจะตาย ตามใจแทบทุกอย่าง ขออะไรไม่เคยไม่ได้เลยสักครั้ง

[คุณอชิรา! เรียกคุณป๋ากลับไปก่อนจะไม่ได้กระต่ายสักตัว!]

‘ป๋า มาคุยกับเราก่อน’ ผมรีบเรียก

[ครับ ตัวเล็ก ว่าไงครับ...แหม เสียงเปลี่ยนเชียวนะยะ] ยังเถียงกันอีก

‘เรื่องฟาร์มกระต่ายของเราอ่ะ’

[ตัวเล็กจะเปิดที่ไหนดีครับ….คุณคะ! ดิฉันให้ช่วยห้าม ไม่ใช่ให้ส่งเสริมลูก!]

‘แถวบ้านได้ไหมป๋า’

[สักครู่นะครับ] ป๋าว่าแล้วเงียบไป ผมได้ยินเสียงคุยงุ้งงิ้งอยู่ไกลๆ แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ จับใจความได้แค่ป๋ากับจ๋ากำลังเถียงกันเรื่องฟาร์มกระต่าย [ตัวเล็ก…]

‘อื้อ’

[ยังไงตัวเล็กเลี้ยงกระต่ายธรรมดาก่อนดีไหม ป๋าว่าเปิดฟาร์มเลยไม่น่าดีนะ ยังไงรอตัวเล็กเรียนจบก่อนก็ได้ ถ้าเปิดตอนนี้แล้วใครจะดูแลล่ะครับ] ป๋าว่าเสียงอ่อย

‘อืม…’ จะว่าไปดูเหมือนผมจะลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ‘เอางั้นก็ได้’

[ยังไงถ้าอยากได้แบบไหนก็โทรบอกป๋านะครับ แล้วก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลก่อนด้วย ถ้าเอาไปเลี้ยงแล้วยังไงก็ต้องดูแลให้ดี โอเคไหม]

‘โอเค’ ผมรับปาก

[ว่าแต่เรื่องคนที่ชอบ…ตัวเล็กต้องให้ป๋าแสกนก่อนนะ ให้ป๋าดูว่าเขาเป็นผู้หญิงที่ดีเหมาะสมกับตัวเล็กของป๋าหรือเปล่า...หึหึ] เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของจ๋าดังตัดคำพูดของป๋า [หัวเราะอะไรคุณหญิง...ถามลูกสุดที่รักของคุณสิคะ]

‘เออใช่ ป๋า...’

[ครับ]

‘คนที่เราชอบเป็นผู้ชายอ่ะ เอาไว้เขาชอบเรากลับแล้วจะพาไปให้ดูตัวนะ บาย’

[อะไรนะ! มันเป็นใคร! ตัวเล็ก! ตัวเล็ก!...]

 

“ครอบครัวน่ารักจัง” พี่กีล์กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง “ท่าทางคุณพ่อจะตามใจมากเลยนะครับเนี่ย”

“ใช่...ดีที่ผมเป็นเด็กดีไม่ค่อยขออะไรเท่าไหร่ ป๋ากับจ๋าเลยไม่ต้องปวดหัวมาก”

“เอ่อ…”

“ไม่ปวดหัวก็เหี้ยละ”

“ไรมึง!” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้โซที่พูดแทรก มันลอยหน้าลอยตา ทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วหันไปเล่นเกมต่อ

“แต่ที่คุณพ่อของเก้าพูดก็ถูกต้องแล้วนะครับ” พี่กีล์ยิ้มให้ผมในขณะที่มือก็ทำอาหารไปด้วย “ตอนนี้เปิดฟาร์มไปก็คงดูแลเองไม่ได้”

“ผมรู้แล้ว”

“ว่าง่ายแบบนี้น่าให้รางวัลเนอะ”

“อะไรนะพี่”

“เปล่าครับ…” พี่กีล์ตอบแล้วหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง “ได้เวลาพอดี...ยังไงเก้าช่วยลงไปซื้อของให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”

“ของขาดเหรอ” ผมถามแล้วชะโงกหน้าไปมองของบนโต๊ะ ดูแล้วก็เยอะอยู่ แต่จะบอกว่าครบก็ไม่ได้เพราะผมไม่รู้ว่ามันต้องใช้อะไรบ้าง

“ครับ เดี๋ยวพี่จะเขียนรายการให้ ช่วยลงไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างทีนะครับ”

“ได้” ผมรับปากแล้วยืนรอพี่กีล์จดรายการของลงบนกระดาษ ไม่นานนักเขาก็ยื่นมาให้พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง

“โชคดีนะครับ”

ผมหันไปมองพี่กีล์ด้วยความสงสัย ฝ่ายนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากส่งยิ้มมาให้ ดูจากท่าทางแล้วต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เอาเถอะ...ลงไปถึงก็รู้เอง

 

 

ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดไอ้โซเป็นร้านใหญ่ รวบรวมทุกสิ่งเอาไว้เหมือนห้างขนาดย่อม ผมก้าวเท้าเข้าไปด้านใน มือยกปิดปากเพื่อหาว พอเดินมาถึงจุดที่เป็นส่วนวัตถุดิบทำอาหารแล้วก็หยุดเดินเพื่อหยิบใบรายการขึ้นมาดู

เดินวนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอครับ :)

ผมมองใบรายการในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้คิดสงสัยอะไรให้มากความ ลองเขียนมาแบบนี้แสดงว่าคงมีแผนอะไรแน่ๆ พี่กีล์คงไม่ได้ต้องการให้ผมลงมาซื้อของแต่แรก แต่เขาน่าจะต้องการให้ผมมาหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าอะไรบางอย่างที่ว่านั่นไม่ได้มีค่ามากเท่าความหิวของผม...ตุ๊กตาหมาฮัสกี้ที่ผมซื้อให้เขาในวันเกิดจะต้องพิการตาหลุดแน่นอน

ผมกวาดตามองรอบทิศทางเพื่อหาสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ทุกจังหวะที่ก้าวเดินเต็มไปด้วยความปวดร้าวเพราะท้องร้องไม่ยอมหยุด แล้วยิ่งประกอบกับการที่ต้องเดินวนไปวนมาอยู่ในโซนของกินยิ่งแล้วใหญ่

พอที! อะไรจะสำคัญไปกว่าของกินวะ!

“ขวางทาง” น้ำเสียงเรียบเรื่อยคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองแล้วเบิกตากว้าง

“พี่ภู!” ผมเรียกความตกใจ เท้าก้าวหลบตามคำบอกโดยอัตโนมัติ ตากวาดมองคนที่ไม่ได้เจอมาวันหนึ่งเต็มๆ อย่างพิจารณา พี่ภูอยู่ในชุดลำลองต่างจากทุกครั้งที่เจอ แถมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนด้วย

“หลบไป” พี่ภูพูดเสียงห้วน หน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ พอผมหลบให้เขาก็เอื้อมมือไปหยิบของจากบนชั้น จากนั้นก็หันหลังเดินต่อโดยไม่พูดอะไรอีก

ดูเหมือนผมจะเจอสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าของกินแล้วสิ…ว่าแต่ทำไมพี่ภูถึงมาอยู่ที่นี่ได้

การที่เขาใส่ชุดลำลอง รองเท้าแตะ ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่น แค่นั้นก็รู้ได้แล้วว่าเขาคงพักอยู่ที่คอนโดเดียวกับไอ้โซ

ความบังเอิญอาจเกิดขึ้นได้แต่คงไม่บ่อยขนาดนี้ อะไรหลายๆ อย่างกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนการเจอกันครั้งนี้เป็นอะไรที่ถูกเตรียมการไว้แล้ว อย่างน้อยการที่พี่กีล์ให้ผมลงมาเจอพี่ภูโดยตั้งใจก็ยืนยันได้เกินครึ่ง

แล้วจะคิดมากทำไมวะ ได้เจอก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง

ผมสะบัดหัวไล่นิสัยปกติของตัวเองทิ้งแล้ววิ่งไปหาพี่ภู เวลานี้คือโอกาสอันดีในการเข้าใกล้เขา ข้อสงสัยอะไรนั่นเอาไว้ทีหลังแล้วกัน

“พี่ซื้อไปทำกินเองเหรอ” ผมเดินไปยืนอยู่ข้างๆ แล้วมองเขาหยิบวัตถุดิบทำอาหารมากมายใส่ตะกร้าด้วยความสนใจ

“อืม” คนหัวยุ่งตอบสั้นๆ แต่แล้วเขาก็หันมาหาผม ดวงตาเย็นชาฉายแววงุนงงเหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง “มึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง”

“วันนี้ผมมาหาไอ้โซ” ผมยืนมองพี่ภูลูบหน้าลูบตาด้วยรอยยิ้ม “พี่เพิ่งตื่นใช่ไหมเนี่ย”

“อืม”

“พี่ภู...พี่โอเคเปล่า” ผมโบกมือไปมาตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขากะพริบตาถี่ๆ ท่าทางเหมือนคนเมาแล้วเพิ่งฟื้นอะไรแบบนั้น

“มึนหัว” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วหลับตาลง ผมมองซ้ายมองขวา พยายามมองหาจุดที่น่าจะเป็นที่พักได้ แต่นอกจากชั้นของแล้วก็ไม่มีอะไรเลย สุดท้ายเลยได้แต่ดันร่างเขาเบาๆ ให้พิงตัวไปกับชั้นด้านหลัง

“พี่จะเอาไรอีกอ่ะ เดี๋ยวผมไปหยิบให้” ผมว่าแล้วคว้าตะกร้ามาถือไว้เอง

“เลือกของเป็นหรือไง” พี่ภูลืมตาถามเสียงเรียบ แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาดูอ่อนแรงกว่าทุกที

“พี่บอกมาเลย ผมจำได้”

 พี่ภูเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เห็นท่าทางเหมือนไม่ไว้ใจกันของเขาแล้วผมก็ได้แต่ยักไหล่ ถามว่าเลือกของเป็นหรือเปล่า...จะเลือกเป็นได้ยังไง รู้แค่วิธีดูวันหมดอายุเท่านั้นล่ะ แต่ถ้าบอกกันว่ามันต้องดูยังไงก็ไม่น่ามีอะไรยาก คนอย่างผมถ้าอยากจะทำก็ทำได้อยู่แล้ว กับแค่การเลือกของมันจะไปยากอะไร

“เอาไป” พี่ภูโยนอะไรบางอย่างมาให้ผม พอก้มลงมองแล้วก็พบว่ามันคือโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ใบเดิมที่ผมเคยถือมาแล้วตอนเจอกันครั้งแรก “ในโน้ตมีจดรายชื่อของอยู่ เงินก็เอาในกระเป๋า กูจะไป…”

“ไปรอบนห้องเลยพี่” ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะวางของของพี่ภูลงในตะกร้าแล้วช่วยดึงแขนเขาให้ยืนตรง “เดี๋ยวผมเอาไปส่งเอง พี่ขึ้นไปรอบนห้องก่อนเลย เดินไหวไหม ให้ผมเรียกคนมาช่วยป่ะ”

“ไม่…”

“งั้นไปเลยพี่ เดี๋ยวผมตามขึ้นไป” ผมดันแขนพี่ภูเล็กน้อยเป็นเชิงไล่

“เดี๋ยว…” พี่ภูรั้งตัวไว้ เขาหันมามองผมด้วยสายตาเป็นคำถาม “มึงรู้หรือไงว่าห้องกูอยู่ไหน”

“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เดี๋ยวขึ้นไปก็รู้เอง” เพราะจะไปถามไอ้โซก่อน

“แล้วทำไมกูต้องไปรอบนห้อง”

ผมกลอกตาเพื่อคิดหาคำตอบที่เป็นความจริงแต่ไม่ดูหน้าด้านจนเกินไป จะบอกว่าผมอยากเข้าห้องพี่ก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่

“ในนี้มันไม่มีที่นั่งรอ ผมไม่อยากให้พี่ยืนนาน ออกไปรอข้างนอกก็ร้อนเกินไป รอตรงล็อบบี้ก็หนาวเกินไป เพราะงั้นขึ้นไปรอบนห้องโอเคสุดแล้วพี่”

“แค่นั้น?”

ถึงที่พูดไปจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ก็ดูไม่ตรงกับความตั้งใจจริงของผมเท่าไหร่ เพราะงั้น...

“แล้วผมก็จะได้เนียนเข้าห้องพี่ด้วยไง” แมนๆ ไปเลยดีกว่า

“หึ” ครู่หนึ่งผมมองเห็นความอ่อนอกอ่อนใจปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่ก่อนจะได้สังเกตให้มากกว่าเดิมคนป่วยก็หมุนตัวเดินจากไปเสียก่อน

เอาไว้ค่อยไปสังเกตต่อบนห้อง…

ผมเปิดโทรศัพท์พี่ภู ไม่ได้ยุ่งอะไรกับพื้นที่ส่วนตัวของเขาเพราะถือคติเสือกแบบพอประมาณจะดีที่สุด ในโน้ตของเขามีหัวข้อที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่หลายอย่าง ผมกดเข้าไปที่รายการแรก ดูรายชื่อของใช้ที่เขาจดเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบทำอาหาร ดูจากในตะกร้าน่าจะหยิบมาเกินครึ่งแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นขนมปัง นม น้ำผลไม้ต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกเท่าไหร่

โชคดีที่ไม่มีให้ไปเลือกผักหรือของสด ไม่งั้นคงโดนดุเพราะเลือกอะไรไปให้ก็ไม่รู้แน่

หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการซื้อของ ผมเดินกลับขึ้นมาชั้นบนสุดอีกครั้งโดยขนของทั้งหมดมาด้วย ดีที่พี่กีล์เปิดประตูออกมาพอดีเลยไม่ต้องเปลืองแรงใช้เท้าเตะประตู

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับเนี่ย” พี่กีล์เดินเข้ามารับของจากผมแล้วช่วยเอาไปวางไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวขี้เกียจที่นอนอยู่บนโซฟา ตอนผมลงไปมันอยู่ท่าไหน ตอนนี้มันก็ยังอยู่ท่านั้น

“ของพี่ภู”

“หืม...พัฒนานะเนี่ย” พี่กีล์ยิ้มแซว

“แผนพี่ใช่ไหม”

“อย่าเรียกว่าแผนเลยครับ เรียกว่าพี่ช่วยดีกว่า” พี่กีล์หัวเราะเสียงดังเมื่อผมหรี่ตามองเป็นเชิงกดดัน “ปกติทุกวันนี้เวลานี้พี่จะลงไปซื้อของข้างล่าง แล้วเผอิญทุกครั้งที่ลงไปมักจะเจอคุณภูตลอดเวลา ก็เลยคิดว่าน่าจะมาซื้อเป็นประจำวันนี้เวลานี้เหมือนกันก็เท่านั้นเองครับ พอเห็นว่าเก้าชอบมากขนาดนั้นก็เลยช่วยให้ลงไปเจอ...แล้วไม่ดีเหรอ”

“ดีมากเลยพี่” พอหายสงสัยแล้วผมก็ชูนิ้วโป้งให้พี่กีล์ “แล้ว...โซมันรู้เมื่อไหร่ว่าพี่ภูอยู่ที่นี่อ่ะ”

พี่กีล์เอียงคอมองผม ท่าทางงงๆ เหมือนไม่เข้าใจ

“โซก็รู้แต่แรกแล้วนี่ครับ ก็คุณท่านบอกโซตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วว่าคุณภูจะมาอยู่ที่ห้องตรงข้ามแทนคุณท่านเพราะคอนโดเก่าของเขามีปัญหา”

“ไอ้โซ!” ผมพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อน “ทำไมมึงไม่บอกกู!”

“ลืม” มันตอบแล้วไหลตัวลงไปกองกับโซฟาเหมือนเดิม

พูดมาได้ว่าลืม เชื่อก็เหี้ยแล้ว เจอกันตั้งหลายทีไม่มีนึกออกเลยหรือไงวะ โคตรน่าฆ่าทิ้ง

ที่พี่ภูมาอยู่ที่คอนโดเดียวกับไอ้โซผมว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วพี่กีล์ยังมาบอกว่าพ่อซีบอกไอ้โซไว้แล้วอีก ถ้าให้เดา...พ่อต้องเป็นคนแนะนำให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่แน่ๆ

“พ่อมึงยังช่วยกูมากกว่ามึงอีก” ผมใช้เท้าถีบมันไปติดโซฟาอีกฝั่งโดยมีพี่กีล์ยิ้มมองแบบไม่คิดห้าม

“กูแค่สงสารภู”

“สงสารไร”

“สงสารที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคนอย่างมึง...เลยช่วยถ่วงเวลาให้อีกหน่อย”

“กูเป็นคน ไม่ใช่ผี” ผมถลึงตาใส่ไอ้โซ

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

“ไอ้โซ!”

“พอเถอะครับ” พี่กีล์เข้ามาห้ามทัพโดยการดึงแขนผมไว้ “เก้าอย่าว่าโซเลยครับ ช่วงนี้โซช่วยพี่ดูเอกสารทุกวัน อาจจะลืมจริงๆ ก็ได้ ส่วนโซก็เลิกแกล้งเพื่อนได้แล้ว เดี๋ยวเก้าก็โกรธจริงๆ หรอก”

ผมสบตาไอ้โซนิ่งงัน เราจ้องหน้ากันเหมือนจะดูว่าใครจะยอมแพ้ก่อน สุดท้ายก็เป็นมันที่เบะปากแล้วสะบัดหน้าหนี...หึ จะสู้กับกูยังเร็วไปล้านปีไอ้หมากาก!

“แล้วเก้าไม่ไปหาคุณภูเหรอครับ”

เออว่ะ ลืมไปเลย

“พี่กีล์...ช่วยไรผมหน่อยดิ” ผมหันไปหาพี่กีล์แล้วจ้องมองด้วยสายตาที่คิดว่าจริงจังที่สุดในชีวิต ไม่ต้องรอให้บอกว่าเรื่องอะไรเขาก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เป็นการตอบตกลง ต้องแบบนี้ดิ...คนดีของสังคม “พี่ภูไม่สบาย...ผมอยากทำอาหารให้เขาอ่ะ”

“ทำเอง?” พี่กีล์เบิกตากว้าง ท่าทางดูตกใจจริงจัง

“ใช่ ก็ถ้าให้พี่ทำให้มันก็ไม่มีความหมายดิ”

ถึงจะไม่เคยชอบใครมาก่อน แต่ผมก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรทำอะไร แม้นิสัยพี่ภูไม่น่าใช่คนที่ดีใจกับเรื่องแบบนี้ แถมเขายังไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมด้วย แต่ผมเชื่อว่าการตั้งใจทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้น่าจะทำให้เขาเปิดใจได้บ้าง...สักนิดก็ยังดี

“แล้วนี่เราไม่หิวแล้วเหรอ”

“ลืมไปเลย” ผมถอนหายใจแล้วเอามือลูบท้อง ไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอก แต่จะกินตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว กว่าจะเอาข้าวไปให้พี่ภูอีก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำไปกินกับพี่ภู”

“เก้าดูจริงจังกับคุณภูมากเลยนะครับ” พี่กีล์ยิ้มแล้วส่งมีดมาให้ “หั่นหมูเป็นชิ้นๆ เลยครับ ไม่ต้องหนามากนะ เดี๋ยวจะไม่สุก”

ผมพยักหน้า จับมีดหั่นหมูตามที่พี่กีล์บอก

“ผมไม่เคยชอบใคร นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้จริงจังขนาดนี้”

“มั่นใจแล้วเหรอว่ามันคือความชอบจริงๆ” พี่กีล์มองผมด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะชี้ไปที่เนื้อหมูเป็นเชิงบอกให้หั่นต่อ

“เวลาเจอคนถูกใจ ถ้ามัวแต่สงสัยว่ามันคือความชอบหรือเปล่าก็คงไม่รู้สักทีว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ผมก็แค่กล้าที่จะเดินเข้าหาสิ่งที่สนใจ คิดว่าถ้าได้คุย ได้รู้นิสัยกันไปเรื่อยๆ ก็คงได้คำตอบเอง”

เหมือนที่พี่กีล์กับโซได้คบกัน…ไม่ใช่ว่าไม่อิจฉานะ ไอ้โซเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่นี่ พอเห็นมันเจอคนที่ชอบแล้วกล้าพูดได้เต็มปากว่าชอบก็รู้สึกอิจฉาอยู่เหมือนกัน ยิ่งคนที่มันชอบดันใจตรงกันยิ่งแล้วใหญ่ พอได้เจอคนที่ผมรู้สึกถูกใจบ้างเลยอยากเข้าไปทำความรู้จัก อยากมีคนที่เดินไปข้างๆ กันได้เหมือนที่มันมี...ผมจะได้เขี่ยไอ้หมาขี้เกียจทิ้งไปเสียที

ให้ช่วยอะไรกูจะอ้างว่าไปหาแฟนให้หมดเลย...เดี๋ยวมึงเจอ

“แล้วถ้าวันที่เก้ารู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เขากลับรู้สึกว่าใช่ขึ้นมาล่ะครับ”

ผมเงยหน้ามองพี่กีล์โดยอัตโนมัติ ยอมรับว่าไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นมาก่อน

“พี่เขายังไม่ได้ชอบผมเลย”

“เก้ากำลังพยายามอยู่ไม่ใช่เหรอ...แล้วถ้าพยายามสำเร็จขึ้นมา ถ้าความถูกใจของเก้าทำให้เขาชอบขึ้นมาจริงๆ ล่ะ จะทำยังไงดี”

ความถูกใจงั้นเหรอ…

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…” ผมวางมีดลงเมื่อคิดว่าหมูแค่นี้น่าจะพอแล้ว “เพราะดูเหมือนความรู้สึกของผมมันก้าวข้ามคำว่าถูกใจไปแล้ว”

ถ้าผมได้มองเฉยๆ ก็คงเรียกว่าถูกใจ แต่เพราะได้เข้าไปคุย ได้เข้าไปทำความรู้จัก ถึงจะยังไม่นานแต่ผมก็กล้าพูดว่าตัวเองชอบพี่ภูจริงๆ ผมได้เห็นเขาในมุมที่คนอื่นเห็น…เห็นว่าเขาดูไม่เอาใคร ไม่สนใจใคร ไม่ชอบยุ่มย่ามกับใคร เพราะงั้นถึงสนใจ แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกมีมากขึ้นคือการได้เข้าไปพูดคุย ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่คิด ถึงจะพูดน้อย ชอบทำหน้าดุแต่ก็ใจดี เขาชอบวาดรูป ทำอาหารเป็น ยิ่งรู้เรื่องของเขามากขึ้น รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่ผมเห็นตอนแรก แทนที่ความรู้สึกจะหายไปมันกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด

“สมเป็นเก้าจริงๆ” พี่กีล์เดินเข้ามาหาก่อนจะวางมือลงบนไหล่ผมเบาๆ “ดีแล้วครับที่ไม่ลังเล”

“ลังเล?”

“ถ้าเก้าลังเลกับความรู้สึกของตัวเอง พี่คงเตือนให้คิดดีๆ เพราะความไม่มั่นคงของเก้าอาจไปทำร้ายคนอื่น”

“อืม…” ผมพยักหน้าและคิดตามที่พี่กีล์พูด

“แต่คุณภูก็ไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วยสิ ยังไงก็พยายามเข้านะครับ”

“ขอบคุณมากนะพี่กีล์”

“ครับ”

ผมได้แต่หวังว่าสุดท้ายแล้วพี่ภูจะรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะผมคงหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้...และถ้าความรู้สึกของพี่ภูมันเป็นศูนย์ ไม่มีทางเพิ่มขึ้นได้จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำยังไง

คงจะเสียใจมั้ง…

แต่อย่าหวังว่าจะมีวันนั้นเลย

อย่างน้อยตอนนี้เขาก็คุยกับผมมากขึ้น ให้ผมเข้าใกล้มากขึ้น...ต้องเอ็นดูกันบ้างแหละวะ!

--------------------------





หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 20-05-2017 20:05:31
ชอบอ่ะะะะ น้องเก้ามั่นดี เมื่อไหร่พี่ภูจะใจอ่อนน้าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 20-05-2017 20:17:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 20-05-2017 21:02:54
ลุยเลยเก้า พี่ภูก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนตอนแรกๆ นะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 20-05-2017 21:04:46
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-05-2017 21:11:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-05-2017 21:40:18
ดีจัง พี่กีล์ ช่วยเก้า
ให้เก้า เจอพี่ภู
เก้า จะได้เข้าห้องพี่ภูแล้ว
แถมจะทำอาหารไปให้พี่ภูอีก ยอดเลยเก้า  :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-05-2017 00:23:56
ลงทุนทำอาหารให้พี่ภูด้วยยยยยย :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 21-05-2017 00:30:40
เก้าสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 21-05-2017 00:47:44
พี่ภูจะโอเคกับน้องเก้าไหมนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-05-2017 03:52:03
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-05-2017 10:14:19
มั่นใจแรงมากกกกกกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 21-05-2017 12:03:19
สู้เค้านะชายเก้า  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: GOLDMIND ที่ 21-05-2017 14:36:14
ฮี่ๆๆๆ เก้าสู้ๆ เน้ออออ
...คนเขียนด้วย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 21-05-2017 17:47:55
เก้าดูเป็นคนมุ่งมั่น น่ารักจัง
พี่ภูหวั่นไหวเร็วๆ นะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 21-05-2017 18:10:19
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ.ใบไม้ล้านตัวเลย!!!
เรื่องนี้เพิ่งมาเจอ ตกหลุมรักเก้าอย่างจังเป็นคาแรคเตอร์ที่ชอบสุดๆเลย
ส่วนพี่ภูก็นะเริ่มชอบเขาหน่อยๆล่ะซี่มีบอกว่าเก้าเหมือนกระต่ายด้วย5555555
ยังไงก็มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 22-05-2017 07:38:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 24-05-2017 16:54:13
ตอนหน้าเข้าห้องพี่ภูแล้ว จะคืบหน้าแค่ไหนเจ้าเก้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[5]==[P.3]== [20/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 24-05-2017 19:36:56
-6-

 

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก ก๊อก

ตามมารยาทที่พึงมีหากเราไม่ใช่เจ้าของห้องและมีกุญแจอยู่กับตัวควรจะเคาะประตูก่อนสามครั้งไม่ว่าจะมีใครอยู่หรือไม่ก็ตาม และเมื่อได้รับคำอนุญาตหรือไม่ได้รับคำตอบจึงจะสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ จริงๆ ผมควรจะต้องรออยู่หน้าห้องด้วยซ้ำเพราะไม่มีคีย์การ์ด แต่โชคดีที่ในกระเป๋าสตางค์ที่ได้มาดันมีของที่ต้องการอยู่พอดี

โซมันบอกว่าคอนโดนี้แจกคีย์การ์ดสองใบ ผมไม่รู้ว่าพี่ภูเตรียมการไว้แล้วหรือเปล่าถึงไม่ตอบรับ รอให้ผมค้นกระเป๋าแล้วเจอคีย์การ์ดสำรองเอง แต่ไม่ว่าจะเตรียมหรือไม่เตรียมก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น

ผมเปิดประตูก่อนจะก้มลงหยิบของที่พื้นขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับข้าวของเต็มสองมือ พอเข้ามาแล้วถึงจำได้ว่าผมเคยเข้ามาในนี้แล้วครั้งหนึ่งตอนที่พ่อไอ้โซอยู่กรุงเทพ โซมันบอกผมว่าพ่อมันขายห้องให้พี่ภูก่อนจะย้ายไปอยู่ภูเก็ตตั้งแต่ช่วงเปิดเทอม

หลังจากวางข้าวของลงบนเคาน์เตอร์แล้วผมก็หันไปสำรวจรอบห้อง สภาพโดยรวมไม่ได้แตกต่างจากห้องไอ้โซมากนัก ยังคงเหมือนครั้งที่ผมเคยเข้ามาหาพ่อซีอยู่ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันน่าจะเป็นบริเวณริมกระจกที่ใช้มองออกไปด้านนอก…ภาพเขียนสีน้ำที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณนั้นทำให้ผมคิดว่าพี่ภูน่าจะจริงจังกับการวาดภาพพอสมควร อย่างน้อยก็น่าจะเป็นงานอดิเรกที่ทำบ่อยๆ

“พี่ภู” ผมเรียกแล้วเดินเข้าไปหาคนที่นอนอยู่บนโซฟา เขาใช้แขนข้างหนึ่งพาดทับดวงตาไว้ ร่างกายไม่กระดุกกระดิกจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแห้งตายไปหรือยัง

“ห…”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้ว นั่งยองๆ ลงข้างๆ โซฟาแล้วยื่นหูไปใกล้ๆ

“หิว”

“เออใช่ ผมทำมาให้แล้ว พี่รอแป้บ” ผมรีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปตรงเคาน์เตอร์ที่วางของไว้

ตอนแรกผมไม่รู้ว่าพี่ภูจะกินตอนไหนก็เลยเอาใส่กล่องแล้วปิดฝามาอย่างดี คิดว่าถ้าเขายังไม่กินจะได้เก็บไว้ได้ตามคำแนะนำของพี่กีล์…แต่ให้เขากินเลยก็ดีเหมือนกัน เพราะพี่กีล์บอกว่าอาหารที่แช่ไว้นานๆ ไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่

ผมเทข้าวต้มหมูใส่ชามแล้วถือไปที่โซฟา ไม่ต้องรอให้เรียกคนที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง

“ทำเอง?”

“แน่นอน” ผมยืดอกแล้วยกยิ้มรับด้วยความภูมิใจ “พี่เป็นคนแรกที่ผมทำให้เลยนะ”

“กินได้เหรอ” พี่ภูหรี่ตา จ้องชามข้าวต้มด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

“พูดงี้…” เดี๋ยวโดนตีน

“...”

“พูดงี้ลองกินเลยดีกว่า เดี๋ยวก็รู้” ผมไม่ได้กลับกลอก แค่รู้ดีว่ากับใครควรพูดแบบไหนต่างหาก

พี่ภูตักข้าวต้มเข้าปากแล้วนิ่งไป ผมมองเขาด้วยท่าทางที่ไม่เปลี่ยนแปลงแต่สังเกตแทบทุกอย่าง ถึงจะไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ดูพอใจ เอาเป็นว่านิ่งสนิทจนผมเริ่มกังวล

“ไม่อร่อยเหรอ” ผมทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยทำลายความเงียบก่อน ปกติก็เป็นคนมั่นใจกับทุกอย่างอยู่หรอก แต่ตอนนี้ความมั่นใจมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

“เปล่า”

“อ้าว...แล้วพี่นิ่งทำไม”

“กำลังคิดว่ามึงโกหกหรือเปล่าที่บอกว่าทำให้กูกินคนแรก”

“โกหกแล้วได้ไรอ่ะ…” ผมเกือบจะกวนตีนต่อตามนิสัย แต่พอพี่ภูหันมามองด้วยสายตาดุๆ ปากมันดันหุบโดยอัตโนมัติ

เออดี...เขายังไม่ทันพูดอะไรก็หงอแล้ว รู้ตัวแต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

ต้องขอบคุณที่พี่ภูไม่ได้มองเพื่อคาดคั้นอะไรต่อ เขาหันกลับไปยกชามขึ้นแล้วนั่งกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ผมเลยได้ทีเดินไปหยิบชามของตัวเองมากินบ้าง

อร่อยจะตาย...ขนาดทำครั้งแรกนะเนี่ย ไม่เห็นชมเลย

“ทำหน้าอะไรของมึง”

“หา” ผมวางช้อนแล้วเงยหน้ามองพี่ภูงงๆ “ทำหน้าอะไร?”

“ก็แบบที่มึงทำอยู่” พี่ภูวางชามที่กินหมดแล้วลงบนโต๊ะ “เหมือนกระต่ายไม่ได้คำชม”

กระต่ายอีกละ…

ผมพยายามบังคับหน้าตัวเองไม่ให้บูดเบี้ยวตอนที่นึกถึงไอ้ปุกปุยนั่น

“อร่อย”

“หะ…”

“ขอบคุณ”

“...” ผมเบิกตากว้างมองคนหน้าดุที่ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ และก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านั้นฝ่ามือกว้างก็วางลงมาบนหัวผมแล้วออกแรงขยี้เบาๆ

“ทำตัวดีๆ กูจะไปอาบน้ำ”

“พี่ให้ผมอยู่ต่อได้เหรอ” ผมรีบถามก่อนพี่ภูจะเดินเข้าไปในห้อง

“พูดเหมือนไล่แล้วมึงจะไป” สิ้นประโยคนั้นคนพูดก็หายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้ผมนั่งเอ๋ออยู่บนโซฟาคนเดียว

อะ…

ไอ้เหี้ย!!!!

ขยี้หัว...เขาขยี้หัวผม…

ใจ มึงหยุดเต้นแรงเดี๋ยวนี้เลย

ผมเม้มปากแล้วเอามือทุบอกตัวเองแรงๆ เป็นการบังคับให้หยุดความรู้สึกทุกอย่าง เขาทำแค่นี้ยังเป็นขนาดนี้ แล้วถ้ายิ่งกว่านี้จะเป็นขนาดไหนวะ

แต่ว่า...ทั้งคำชม ทั้งคำขอบคุณนั่น ดูเหมือนมันจะฝังอยู่ในใจจนยากจะลบเลือนได้เสียแล้ว...

หลังจากหลับตานับหนึ่งถึงห้าเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะหยิบชามสองใบไปล้างที่อ่าง ถึงจะไม่เคยทำมาก่อนแต่ก็ไม่ได้โง่พอจะทำไม่เป็น แต่ที่มันจะหลุดมืออยู่หลายรอบเป็นเพราะมือผมสั่นอยู่ต่างหาก

เออ สั่นทั้งตัวไปเลย เอากับมันดิ

ผมเดินกลับมานั่งที่โซฟาเมื่อล้างจานเสร็จแล้ว แต่นั่งได้ไม่นานก็ต้องลุกขึ้นอีกเพราะตัวสั่นใจสั่นไม่เลิก

โอเค...ผมกำลังเขิน แถมมันยังเป็นการเขินครั้งแรกในชีวิตด้วย แต่ตอนนี้ชักจะเยอะไปละ

ผมเดินไปเดินมารอบห้องเมื่อทำอะไรไม่ถูก และสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงโซฟาติดกระจก ภาพสีที่พี่ภูวาดทิ้งไว้ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจของผมได้ มันเป็นภาพวิวด้านนอก มุมเดียวกับที่มองจากตรงนี้ เสียดายที่ยังลงสีไม่เสร็จ

คิดเยอะๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

“ทำอะไร”

“โซฟาตรงนี้นิ่มดีนะพี่” ผมเนียนนั่งลงบนโซฟาริมกระจกซึ่งอยู่ด้านหลังเก้าอี้วาดภาพโดยพยายามทำตัวให้เป็นปกติอย่างสุดความสามารถ

พี่ภูเดินมาจากด้านหลังแล้วนั่งลงข้างๆ ผม ถึงจะไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องผมอยู่ด้วยสายตาจับผิด

“มีพิรุธ”

“พี่พูดเรื่องไร” ผมเลิกคิ้วก่อนจะหันไปมองด้วยสีหน้าที่คิดว่าปกติที่สุด แต่ใจนี่ยังเต้นกระหน่ำไม่หยุด ยิ่งได้ใกล้ก็ยิ่งเต้นแรง

“ช่างเถอะ”

“แล้ว...พี่เป็นอะไร”

พี่ภูเหลือบตามองผม จากนั้นก็เอนตัวลงนอนบนโซฟา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าอ่อนแรงจนผมรู้สึกสงสารอยู่นิดหน่อย

“นอนน้อยเลยปวดหัว”

“ทำไมนอนน้อยอ่ะ”

“เมื่อคืนกูไปออกงาน ทั้งดื่มทั้งคุยงานแล้วยังนอนน้อยอีก ไม่แปลกที่จะวูบ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ มองเขาด้วยความกังวล

“แล้วพี่โอเคยัง”

“ดีขึ้น”

โล่งอก...คือถ้าเขาไม่สบายแบบที่ต้องการการดูแล บอกเลยว่าผมทำไม่เป็น และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงต้องมาเสียดายทีหลังแน่ เพราะโอกาสนั้นคงไม่ได้มีมาบ่อยๆ

“พี่มึนๆ แบบนี้บ่อยๆ ก็ดีเหมือนกันนะ”

“ทำไม”

“ก็พี่พูดกับผมเยอะขึ้นอ่ะ แถมยังยอมให้อยู่ในห้องด้วย”

พี่ภูเงียบไปในทันทีที่ผมพูดจบ สายตาที่จับจ้องอยู่บนเพดานยังไม่ขยับไปไหน แต่แล้วเขาก็หลับตาลงเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ไม่ตอบแสดงว่ายอมรับ

“พี่ไปซื้อของเวลานั้นทุกอาทิตย์เลยเหรอ ทำไมง่วงแล้วยังต้องฝืนไปล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะอยากให้เขาคุยต่อ

“มันชิน”

“ต่อไปพี่คุยกับผมเยอะๆ แบบนี้ได้ไหม”

“...”

“พี่ไม่เหงาเหรอ”

“...”

“แต่ผมเหงาอ่ะ”

“หึ” พี่ภูส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ถึงใบหน้าจะไม่ขยับแต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก

“มีผมวนเวียนอยู่รอบๆ มีข้อดีหลายอย่างเลยนะ” ผมโฆษณาตัวเอง

“ลองว่ามา”

“หมายความว่าพี่ให้โอกาสผมใช่ป่ะ” ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ขยับตัวไปมาจนพี่ภูต้องลืมตามองแล้วหรี่ตาลงเป็นเชิงบอกให้อยู่นิ่งๆ

“ถ้าพูดดีจะลองคิดดู”

“หนึ่งเลยคือพี่จะไม่เหงา”

“กูบอกเหรอว่าเหงา” พี่ภูเอียงคอมามองผม ดวงตาคู่นั้นไม่ปรากฏอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ส่วนผมได้แต่ทำหน้าตึงก่อนจะหันหน้าไปทางเขาแล้วยกขาขึ้นมากอดไว้

“แต่ผมเหงานี่”

“เพื่อนเยอะแยะ”

“มันไม่เหมือนเวลาอยู่กับพี่” ผมพูดตามตรง สบตาพี่ภูนิ่งๆ ให้เขารู้ว่าผมพูดตามความจริงทุกอย่าง “มันแตกต่างกัน”

“งั้นมันก็เป็นข้อดีของกูไม่ใช่หรือไง”

เออว่ะ...ทำไมพูดอะไรไม่คิดแบบนี้วะ ตั้งสติหน่อย มึงหลุดเยอะไปแล้วไอ้เก้า

ผมยกมือตบแก้มสองสามทีเป็นการเรียกสติ แขนข้างหนึ่งกอดขาตัวเองไว้ นิ้วโป้งอีกข้างยกขึ้นขบกัดตามนิสัยที่ชอบทำเวลาคิดมากหรือต้องการตั้งสติเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้จิตหลุดไปไกลกว่านี้ และในตอนที่คิดว่าสติจะกลับมาสมบูรณ์แล้ว…ผมมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ จุดอยู่ที่มุมปากของพี่ภู ดวงตาคมดุทอประกายขบขันแบบปิดไม่มิด

“พี่ยิ้ม!” สิ้นคำพูดของผมใบหน้าของพี่ภูก็กลับไปเป็นแบบเดิมแทบจะทันที ผมได้แต่รีบเอามือที่กอดเข่าไว้ออกแล้วคลานเข้าไปหาเขา “โคตรเท่อ่ะ ขออีกที”

“อะไรของมึง” พี่ภูหันหน้าหนีผมกลับไปจ้องเพดานเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้เขาหลบ ผมลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนโซฟาแล้วยื่นหน้าไปจ้องพี่ภู ดวงตาสีเทาดุที่มองกลับมาเหมือนจะดึงดูดให้ใครก็ตามที่ได้เห็นหลงใหลไปกับมันจนถอนตัวไม่ขึ้น

และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น…

“ยิ้มหน่อย เอาแค่มุมปากแบบเมื่อกี้ก็ได้”

“กูยิ้มตอนไหน”

“เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่เลย” ผมบ่นแล้วขมวดคิ้ว แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อฝ่ามืออุ่นของคนที่นอนพิงโซฟาให้ผมจ้องก็ยกขึ้นปิดปากผมไว้ก่อน

“ไม่บอกข้อดีของตัวเองแล้วหรือไง”

“ผมถ่วงเวลาเพื่อคิดอยู่” ผมพูดเสียงอู้อี้แล้วยอมผละหน้าออกมานั่งข้างๆ เหมือนเดิมตามแรงดันของมือพี่ภู

“ให้เวลาคิดสิบวิ”

ผมไม่ได้ดีใจเลยสักนิดกับประโยคที่เหมือนจะล้อเล่นด้วย เพราะรู้ดีว่ากับคนๆ นี้ไม่น่าใช่การล้อเล่น พี่ภูไม่ได้นับถอยหลังหรืออะไร แต่ผมคิดว่าเขาพร้อมจะปิดโอกาสผมจริงๆ ถ้าไม่ยอมพูดต่อ

“ผมเล่นดนตรีได้หลายอย่างแล้วก็ร้องเพลงเพราะด้วย อยู่กับพี่แล้วผมจะร้องให้ฟังบ่อยๆ เลย”

“กูเปิดเอาก็ได้”

“ผมเรียนเก่ง เล่นกีฬาได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีกว่าคนอื่น แล้วก็เรียนรู้ไวด้วย”

“ไม่ต้องการ”

“ผมเริ่มทำอาหารเป็นแล้ว…”

“กูทำเองได้”

“ผม…”

“พอหรือยัง” พี่ภูถามเสียงเรียบ ผมได้แต่เม้มปากแน่น ทั้งขัดใจทั้งหงุดหงิดที่พูดอะไรเขาก็ขัดไปหมด

“ยัง” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ และมันคงจริงจังมากพอเขาถึงได้ยอมขยับตัวนั่งตรงๆ แล้วหันมามองผม

“...”

“ผมไม่เหมือนคนอื่น”

“ไม่เหมือน?”

“ผมไม่เชื่อที่ใครๆ พูดเรื่องของพี่ ผมไม่ได้ชอบพี่เพราะหน้าตาหรือฐานะ ผมกล้าเข้าหาพี่ทั้งที่คนอื่นไม่กล้า และผมพร้อมทำทุกอย่าง...เพื่อให้ได้พี่มา”

“งั้นเหรอ…”

“อยู่กับผมแล้วทุกอย่างจะดีเอง เชื่อดิ” ผมยิ้มแล้วใช้นิ้วโป้งจิ้มอกตัวเองเป็นการยืนยัน

พี่ภูกรอกตา ท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ มืออุ่นๆ ที่เพิ่งทำให้ผมใจเต้นรัวยกขึ้นมาด้านหน้า ก่อนจะผลักหัวผมอย่างแรงจนแทบกลิ้งไปด้านหลัง

“เหมือนกระต่ายจริงๆ นั่นล่ะ”

“เหมือนตรงไหนเนี่ย” ผมเอามือจับหน้าผากตัวเองแล้วขมวดคิ้วมุ่น

“ไอ้ก้อน”

“ผมชื่อเก้า”

“ก้อน”

“เก้า”

“หึ”

“พี่ยิ้มอีกแล้ว!” ผมพุ่งเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว อยากเห็นรอยยิ้มมุมปากนั่นใกล้ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้พี่ภูไม่เปิดโอกาส เขาเอามือปิดตาผมไว้แล้วผลักออกด้วยความไวไม่แพ้กัน

รู้ทันอีก

“ก้อน”

“ถามจริง ก้อนคืออะไรเหรอ” ผมนั่งลงดีๆ แล้วเอาเข่าขึ้นมากอดไว้เหมือนเดิม ตอนแรกผมเข้าใจว่าพี่ภูเรียกผมแบบนั้นเพราะไม่รู้ชื่อ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่...เขาจงใจเรียกผมแบบนั้นชัดๆ

“คือมึง” ว่าแล้วก็เอามือจิ้มหน้าผากผมเป็นการย้ำอีกที ถ้าไม่ใช่พี่ภูผมคงไม่ยอมให้ทำหรอก แต่เพราะเห็นท่าทางที่ดูแตกต่างจากปกติของเขาผมเลยคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดี โดนจิ้มนิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่ปัญหา

“เวลาเรียกมันเหมือนเรียกก้อนอะไรไม่รู้อ่ะ ก้อนขี้ ก้อนไรเงี้ย”

“ก็เหมือนอยู่”

“พี่ภู!”

“ดูหน้าดิ” พี่ภูส่ายหน้า ถึงตาจะยังดุเหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้ดูเย็นชามากเท่าตอนแรก “กลมๆ ก้อนๆ ไปทั้งตัว”

“เดี๋ยวนะ…” ผมยกมือให้เขาหยุดพูด มือจับหน้าตัวเองโดยอัตโนมัติ “พี่ว่าผมอ้วนเหรอ”

พี่ภูเลิกคิ้วเหมือนจะบอกว่าไม่รู้ตัวเหรอ ทำเอาผมผงะจนต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปเข้าห้องน้ำเพื่อดูกระจกอย่างรวดเร็ว

เวรละ...ปกติกินแค่ไหนก็ไม่อ้วนไม่ใช่เหรอวะ แม่ง...ย้วยๆ แล้วจริงๆ ด้วย

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความหงุดหงิด นึกโทษพยาธิในท้องที่บทจะตายก็ตายไปง่ายๆ ไม่บอกกล่าว ถ้าพี่ภูไม่เรียกแบบนั้นผมคงไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นก้อนแล้วจริงๆ

“ผมว่ามันก็ไม่ได้อ้วนมากนะ” ผมทิ้งตัวลงข้างพี่ภูเหมือนเดิม ถึงปากจะว่าแบบนั้นแต่ใจจริงก็เซ็งอยู่หน่อยๆ เวลาอะไรก็ตามเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือวางแผนไว้ผมมักจะหัวเสียอยู่เสมอ จะให้หยุดกินก็ไม่ได้อีก

“ต้องจริงจังขนาดนั้นไหมเนี่ย” พี่ภูพึมพำ

“ก็ถ้าผมไม่หล่อแล้ว อะไรๆ มันก็ยากขึ้นไม่ใช่เหรอ…พ่อแม่พี่ต้องไม่ชอบคนหน้าตาไม่ดีแน่ๆ”

“คิดเยอะไปละ” พี่ภูดีดหน้าผากผมอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ ผมรีบยกมือกุมหน้าผากตัวเองไว้ อดคิดไม่ได้ว่าโดนเล่นงานจุดนี้บ่อยเกินไปแล้ว แต่จะอ้าปากด่าแบบที่ทำเป็นปกติก็ไม่ได้อีก สุดท้ายเลยได้แต่เบะปากไม่พอใจอย่างเดียว “เอาปัจจุบันให้รอดก่อนไหม”

“เออใช่…” ผมพยักหน้าเห็นด้วย เกือบลืมไปเลยว่าคุยทิ้งไว้ “อยู่กับพี่แล้วผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

“ยังไง”

“ผมดูโง่กว่าปกติอ่ะ” คิดอะไรช้าๆ ตามไม่ทัน ลืมตัวบ่อยๆ เรียกได้ว่าโคตรของความไม่ปกติ

“แล้วมันดีหรือไม่ดี” พี่ภูถามด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบเช่นเคย แต่ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังกลั้นขำยังไงก็ไม่รู้

“ดีสิ...ผมฉลาดมาทั้งชีวิตแล้ว อยากเดินตามคนอื่นบ้าง” ผมสบตาพี่ภูแล้วยกยิ้ม “กับคนๆ เดียวก็พอ”

และใครคนนั้นก็นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วด้วย…

พี่ภูถอนหายใจ ท่าทางดูจริงจังมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้เย็นชาน่ากลัวอะไร ผมไม่แน่ใจว่าเพราะมองเขาออกแล้วหรือเปล่าถึงได้เห็นเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการแตกต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่

บางทีอาจเป็นเพราะผมได้มาอยู่ใกล้กว่าคนอื่น

“ไม่กลัวเสียใจทีหลังหรือไง”

“กลัวสิ” ผมตอบ “แต่ผมไม่คิดว่าจะเสียใจ”

“ไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหนเยอะแยะวะ” พี่ภูทำหน้าตาอ่อนอกอ่อนใจแต่ก็ยังยกมือวางบนหัวผมแล้วโคลงไปมา “ถ้าอยากถอยตอนไหนก็ถอยไปแล้วกัน กูขอเตือนว่าอย่าวางเดิมพันมากเกินไป”

คงไม่ทันแล้วล่ะ…

ผมจับมือพี่ภูที่วางอยู่บนหัวลงมาวางที่ตักก่อนจะมองมือข้างนั้นที่เจ้าของไม่ได้ชักหนีด้วยใจที่เต้นรัว

“พี่ให้โอกาสผมใช่ไหม”

“...”

ไม่ตอบแปลว่าตกลง

“ผมลืมบอกข้อดีของตัวเองอีกอย่าง” ผมเงยหน้ามองพี่ภูด้วยรอยยิ้ม “ผมเป็นกระต่ายให้พี่ได้”

“หืม”

“จริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบไอ้ตัวปุกปุยนั่นเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่ชอบผมจะยอมเป็นให้ พี่คงทำงานหนักหรือไม่มีเวลาเลยไม่ได้เลี้ยงมันใช่ไหม ผมไปอ่านข้อมูลมา เขาบอกว่าสัตว์พวกนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพราะแบบนั้นพี่เลยเลี้ยงมันไม่ได้ใช่ป่ะ” ผมเนียนจับมือพี่ภูลุ้นๆ เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกให้พูดต่อ “พี่เลี้ยงผมแทนไง ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องมีเวลาให้ ผมมีปัญญาดูแลตัวเองได้ ตอนนี้ผมเป็นแค่กระต่ายก่อนก็ได้ แต่ถ้าวันไหนพี่อยากให้เป็นมากกว่านั้นพี่ต้องบอกผมนะ”

ผมเม้มปากแน่นโดยไม่กล้าพูดอะไรต่อเพราะต้องการคำตอบ ส่วนพี่ภูก็ไม่ยอมพูดอะไรเช่นกัน เขาทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาจนผมเริ่มทนไม่ไหว คิดจะเปลี่ยนเรื่องไม่ให้อะไรๆ แย่ไปกว่านี้ แต่แล้ว…

“อืม”

อืม...แปลว่าตกลง

“จริงนะ!” ผมถามย้ำ เผลอเขย่ามือพี่ภูด้วยความดีใจ “ห้ามคืนคำนะ”

“เออ” เขาตอบ

“ผมดีใจอ่ะ” ผมเกือบจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาจ๋าแล้ว แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นพี่ภูก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียก่อน

“แต่ในระหว่างนี้ กูมีเรื่องให้มึงเอากลับไปคิด”

“ครับ”

“มึงชอบหรืออยากเอาชนะกูกันแน่...หยุด ยังไม่ต้องตอบ”

ผมหุบปากฉับแล้วพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ พี่ภูหัวเราะหึในลำคอ มือที่ผมทำเนียนจับไว้ตั้งนานถูกยกขึ้นวางบนหัวผมอีกครั้ง

“อย่าพูดอะไรออกมาถ้ายังไม่แน่ใจ หรือถ้าคิดว่าแน่ใจแล้วก็เอากลับไปคิดอีก อย่าเอาอารมณ์ชั่ววูบมาตัดสิน เด็กแบบมึงมีตัวเลือกอีกเยอะ กูไม่ใช่คนดีที่จะรักษาน้ำใจมึงได้ตลอด เมื่อไหร่ที่มึงรู้จักกูมากขึ้น มึงอาจจะเกลียดกูไปเลยก็ได้”

“ไม่มีทาง”

“บอกว่าให้เอาไปคิดก่อนไง” พี่ภูพูดเสียงดุจนผมต้องเงยหน้ามองเขาหงอยๆ

“งั้นผมถามได้ไหมว่าทำไมพี่ถึงให้โอกาสผม”

“มึงน่าเอ็นดู” เขาตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด มือที่วางอยู่บนหัวผมออกแรงลูบเบาๆ “เหมือนกระต่าย”

กูว่าแล้ว...มองกูเป็นสัตว์หน้าขนนั่นจริงๆ ด้วย

“พี่พูดไม่หมด” ผมชักสีหน้า

“รู้แค่นั้นก็พอ” ว่าแล้วก็ผลักหัวผมเบาๆ อีกทีก่อนจะเอามือออก “กลับไปได้แล้ว”

“ไล่อ่ะ”

“กลับไปก่อน กูมีงาน”

“พี่ไม่เห็นเย็นชาหรือโหดเถื่อนอะไรแบบที่ใครเขาพูดกันเลย” ผมอดพูดไม่ได้ จริงๆ มันก็ติดค้างอยู่ในใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ค้างถึงขนาดต้องเมมไว้ในโทรศัพท์ แต่ผมก็รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมในการถามอะไรลึกๆ แบบนั้น เพราะงั้นเลยทำได้แค่ตอดนิดตอดหน่อยให้หายสงสัย

“ถ้ามึงไม่ได้สนใจกูมึงจะพูดแบบนั้นไหม”

“เรื่องนั้น…”

นั่นสินะ...ถ้าพี่ภูเป็นแค่คนธรรมดาที่ผมไม่ได้สนใจ ไม่ได้หลงชอบ แบบนั้นผมจะคิดเหมือนคนอื่นหรือเปล่า ถ้าดูจากลักษณะภายนอกก็คงใช่ แต่ถ้าเรื่องนิสัย…

“ถ้าภายนอกเย็นชาก็คงใช่ แต่ถ้าเรื่องนิสัยผมคงไม่เชื่อคำพูดคนอื่นหรอก ปากใครปากมัน ใครจะพูดอะไรก็ได้ มีแต่คนโง่ที่เชื่อคำพูดคนอื่นไปหมดโดยไม่ดูความจริง”

“ตอบดี”

“แต่เอาจริงๆ ถ้าผมไม่สนใจพี่ผมคงไม่ยุ่งอ่ะ ชื่อก็คงไม่จำ หน้ายิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีทางจำได้แน่”

“...” พี่ภูไม่พูดอะไรแต่ถอนหายใจยาว ท่าทางดูเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา

“พี่ไม่ต้องห่วงนะ พอผมสนใจแล้วผมจริงจังมาก ปกติจะมีระดับความสนใจอยู่ ของพี่นี่สูงกว่าใครเพื่อนเลย ไม่น่ามีอะไรมาทำลายสถิติได้แล้วล่ะ”

“กูควรดีใจไหมเนี่ย”

“ต้องดีใจดิ ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ เลยนะ” ผมย้ำด้วยความมั่นใจแต่พี่ภูกลับส่ายหน้า

“อยู่กับมึงกูต้องถอนหายใจวันละกี่รอบวะเนี่ย”

“แต่พี่ก็พูดมากขึ้นด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมเถียงพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ เขาเงียบไปไม่ตอบอะไร ใบหน้าราบเรียบอ่านยากเหมือนเคย แต่ผมคิดว่าพี่ภูรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง “พี่ให้สถานะผมเป็นกระต่ายของพี่แล้ว เพราะงั้นต้องพูดกับผมเยอะๆ นะ กระต่ายมันขี้เหงา”

“ใครบอกมึง”

“ผมบอกเอง”

“กลับไปได้แล้ว”

“พี่เปลี่ยนเรื่องอ่ะ” ผมพูดด้วยความไม่พอใจ...ยังไม่เห็นรับปากเลย

พี่ภูลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงแขนผมให้ลุกขึ้นด้วย ซึ่งผมเองก็ยอมลุกง่ายๆ เพราะไม่อยากให้เขารำคาญ

“ที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าเยอะหรือไง”

“หมายความว่าต่อไปก็จะเป็นงี้ถูกมะ”

“กลับไปหาเพื่อนไป” พี่ภูดันผมออกจากห้อง แต่ผมเอามือแปะไว้ตรงขอบประตูเขาเลยปิดไม่ได้ ตาคมมองผมด้วยความเหนื่อยใจเมื่อรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการ “รับปาก พอใจยัง”

“พอใจมากเลย” ผมเอามือออกแล้วฉีกยิ้มให้พี่ภู ยอมเดินถอยออกมาแต่โดยดี

“ก้อน”

“ครับ” ผมหันกลับไปมองพี่ภูด้วยความแปลกใจ แล้วก็พบว่าเขากำลังยืนพิงขอบประตูและมองมาด้วยท่าทางที่ผมคิดไปเองว่าเท่โคตรๆ

“กูบอกตอนไหนว่าชอบกระต่าย”

ผมได้แต่ยืนงงอยู่กับที่ทั้งที่พี่ภูปิดประตูกลับเข้าห้องไปแล้ว และในขณะเดียวกันสมองก็ประมวลผลอย่างหนักเพื่อตีความคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่

บอกตอนไหนว่าชอบกระต่าย...บอกตอนไหน จะว่าไปพี่ภูก็ไม่เคยบอกผมนี่หว่าว่าเขาชอบกระต่าย คนที่บอกผมนั่นมัน…

“ไอ้เหี้ยโซ!”

 

--------------------------

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-05-2017 20:21:45
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-05-2017 20:31:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 24-05-2017 20:31:59
 :pigha2: :pigha2: :laugh: :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 24-05-2017 20:39:36
โซไม่ผิดหนูด่าเพื่อนทำไม555555555
สู้ต่อไปนะจ๊ะน้องก้อนเอ้ย!น้องเก้าพิชิตใจพี่เขาให้ได้นะลูก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 24-05-2017 21:48:49
ชอบคู่นี้จังเลย  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 24-05-2017 22:30:28
แต่ตอนนี้พี่ภูคงชอบกระต่ายแล้วแหละะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 24-05-2017 22:56:54
ก้อนนน แกจะน่ารักไปแล้ววววว แงงงงงงงง ยิ้มแก้มแตก
ชอบคาแร็กเตอร์สองคนนี้มากก เคมีเข้ากันสุด ชอบเวลาเค้าคุยกัน ฮือออ น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 24-05-2017 23:46:50
ข้ามไปจอนเขาคบกันเลยได้มะ
555 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: GOLDMIND ที่ 25-05-2017 00:55:15
555 เก้าอ่า ขำอ่ะ ตอนนี้ละมุนปนเกรียนแท้
ตลก เดาทางพี่ภูไม่ออกกกกก แต่ก็นะจะนะ...ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-05-2017 05:56:30
อ่านไป ยิ้มไป
พอเจอตอนสุดท้าย
“กูบอกตอนไหนว่าชอบกระต่าย”
“ไอ้เหี้ยโซ!”
หัวเราะก๊ากเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
โซ แกล้งเพื่อนเก้าอีกละ  :z3:
แต่พัฒนาสุดๆเลยนะเก้า
พี่ภู ให้โอกาสเก้าเป็นก้อนแล้ว แถมเตือนๆล่วงหน้าซะด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-05-2017 09:56:26
น่ารักจังเลย
โซ ทำไมแกล้งเพื่อนแบบนี้ล่ะลูก
 :katai3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 25-05-2017 13:22:59
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 25-05-2017 15:05:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 25-05-2017 16:21:09
สู้ๆ นะเก้า เต๊าะนิดเต๊าะหน่อย เด๋วพี่ภูก็ใจอ่อนเองแหละ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-05-2017 00:09:36
โดนโซเล่นอีกแล้วววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 26-05-2017 10:42:06
 :pig4: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 26-05-2017 16:46:40
ความเก้านี้......เราชอบอ่ะ

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 29-05-2017 23:25:00
อยากได้ก้อนเก้ากลับมาเลี้ยงบ้านจังเลยค่ะ  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[6]==[P.4]== [24/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 30-05-2017 17:56:28





-7-

 

“ทำไร”

ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญของหมาบางตัวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน มันก็รู้ตัวว่าคงไม่ได้คำตอบอยู่แล้วเลยนั่งลงข้างๆ แล้วยื่นหน้ามาดูจอโทรศัพท์ที่ผมกดอยู่ด้วยตัวเอง

“ตารางอะไร”

“เสือก”

“พ่อมึงจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วเหรอ”

“เออ”

“ยังงอนไม่เลิกอีก” ไอ้โซหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม พอเห็นว่าไม่ได้รับการตอบโต้มันก็ยักไหล่ก่อนจะเอนตัวลงนอนหมดสภาพบนโต๊ะเหมือนทุกวัน

พูดแล้วยังเคืองไม่หาย มันรู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบกระต่าย แล้วก็รู้ด้วยว่าพอเป็นเรื่องพี่ภูผมจะตามไม่ค่อยทัน ลืมใช้สมองคิดตามตลอด แต่มันก็ยังเอามาหลอกผม กลายเป็นว่าพี่ภูไม่ได้พูดสักคำว่าชอบ เขาแค่เห็นว่าผมเหมือนเฉยๆ แต่ผมเองนี่ล่ะที่เสนอตัวเป็นกระต่ายให้เขา ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้หมาบ้านี่ตัวเดียว

ผัวะ!

ว่าแล้วก็ขอตบสักทีเหอะวะ

“ตบหัวกูทำไม” ไอ้โซปรือตามอง ลุกขึ้นมานั่งลูบหัวตัวเอง หน้าง่วงๆ ของมันไม่ได้ดูอารมณ์เสีย แต่กลับยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเห็นว่าหน้าผมหงิกขนาดไหน

“เอาอีกทีไหม”

“เก็บไว้เหอะ”

“นอนไปเลย” ผมโบกมือไล่มันก่อนจะหันกลับมาใช้สมาธิไปกับโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง

“ไม่นอนแล้ว สรุปทำไร”

ผมเหล่ตามองคนเซ้าซี้ด้านข้าง ตอนแรกกะจะทำเมินเหมือนเดิม แต่พอโดนเอาไหล่แซะมากเข้าก็เริ่มทนไม่ไหว ต้องหันไปตอบตัดรำคาญจนได้

“ทำตารางแผนการดำเนินชีวิต” ถามอีกทีกูจะตีหัวแล้วนะ

“ต้องทำด้วยเหรอวะตารางแบบนั้น” ไอ้โซทำหน้างง ยื่นหัวมาดูโทรศัพท์ผมด้วยความขี้เสือก ผมเลยยื่นให้มันไปเลยจะได้จบๆ

ถือว่าอย่างน้อยก็ช่วยให้เข้าใกล้พี่ภูได้มากขึ้นหรอก ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าผมจะแค่เงียบใส่แบบนี้ ถ้าแกล้งแล้วยังเสือกไม่ช่วยอะไรนะ วันนี้แม่งต้องนอนอยู่ในโรง’บาลแทนที่จะมานั่งหน้าสลอนอยู่ข้างผมแน่

“เรียน ซ้อมดนตรี ออกกำลัง...ออกกำลัง?” โซมันเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ผม “หน้าอย่างมึงเนี่ยนะออกกำลัง ขนาดแข่งกีฬายังต้องให้รุ่นพี่ไปลากมาเลยไม่ใช่หรือไง”

“ยุ่งน่า” ผมบ่นแล้วดึงโทรศัพท์คืนมา

“แล้วการจะไปหาภูวันไหนเวลาไหนบ้างมึงต้องเอาลงตารางด้วยเหรอ”

“ก็กูบอกว่าตารางแผนการดำเนินชีวิตไง จะทำอะไรก็ใส่ไว้หมดดิ” ผมก้มหน้ามองแผนในมือด้วยรอยยิ้ม หลังจากแอบถามตารางเรียนพี่ภูมาจากเพื่อนแล้วอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น เท่านี้ผมก็สามารถใช้ชีวิตปกติโดยมีเวลาแวบไปหาเขาได้ถูกจังหวะแล้ว

ที่น่าเซ็งคือต้องเพิ่มเวลาออกกำลังกายลงไปด้วย ผมลดน้ำหนักโดยการหยุดกินไม่ได้ จ๋าบอกว่าอะไรมีความสุขก็ให้ทำไป เพราะงั้นผมจะไม่ยอมลดความสุขของตัวเองโดยการหยุดกินเด็ดขาด แต่จะยอมเพิ่มความทุกข์โดยการออกกำลังกายเข้าไปแทน แบบนี้น่าจะแฟร์กับตัวเองที่สุดละ

“แผนชีวิตมึงมีไปหาภูทุกวันเลยเนอะ” ไอ้โซทำเสียงล้อเลียนทั้งที่หน้ายังนิ่ง

“ก็เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกู”

ส่วนที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย...

“เคยได้ยินคนบอกว่าความรักทำให้คนเป็นบ้า แต่ถ้าบ้าอยู่แล้วอย่างมึงนี่จะกลายเป็นอะไรวะ”

“เป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เหมือนมึงก็พอ” ผมหันไปกัด แต่คนฟังแค่หัวเราะเหอะเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วทำไมวันหนึ่งมึงมีออกกำลังตั้งสองสามช่อง”

“กูขี้เบื่อ...ให้เล่นอะไรเดิมๆ คงไม่ไหว เลยว่าจะสับเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าเบื่อก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น”

“ถ้าว่างจะไปด้วย”

“เออ”

“แล้ววันนี้จะทำไร” มันถามพร้อมกับเอื้อมมือมาหยิบลูกอมไปจากกระเป๋าผม

“เลิกเรียนแล้วจะไปหาพี่ภูก่อน แล้วก็ไปเตะบอลกับพวกพี่วิน ถ้าเบื่ออาจจะไปเล่นบาสกับพวกพละ...อย่าแย่งชาเขียวกู” ผมแย่งลูกอมคืนมา หยิบเอาอีกรสให้แทน มันก็ยอมรับไปแต่โดยดีเพราะรู้ว่าผมไม่ให้ใครแย่งกินชาเขียว

ในกระเป๋าของผมมีของกินเยอะเป็นปกติ ผมเองก็ไม่ได้หวงอะไร ยอมให้คนนั้นคนนี้มาหยิบตลอด มีแค่ชาเขียวที่ห้ามใครแตะเพราะเป็นของโปรด ส่วนไอ้โซนี่มันนึกจะหยิบก็หยิบ ไม่ค่อยดูหรอกว่าจะหยิบโดนอะไร...โคตรน่าเตะ

“กูอยากว่ายน้ำว่ะ” โซบ่นแล้วยื่นหน้ามาดูตารางผมอีกที “พรุ่งนี้ไปว่ายกัน”

“ก็ดี กูไม่ได้ว่ายมานานละ พรุ่งนี้ไปว่ายยาวๆ เลยแล้วกัน”

“ตารางยังไม่มาสินะ”

“ยัง”

พี่วินยังไม่ได้ส่งตารางงานผมกับโซมาให้ เพราะงั้นช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่พวกเรามีเวลาทำนั่นทำนี่มากที่สุดแล้ว เมื่อไหร่ได้ตารางมาคงต้องเพิ่มชั่วโมงซ้อมเข้าไปอีก เวลาว่างคงน้อยลงเยอะ

“ช่วงนี้ฝนทำท่าจะตกคนเลยไม่ค่อยลงสระกัน”

“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาฟ้าครึ้มๆ แทบทุกวันทั้งที่เดือนนี้ไม่น่าจะมีฝนแล้ว ถึงจะไม่ได้ตกบ่อยนักแต่คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะกลับบ้านไวกันหมด ยกเว้นก็แต่พวกที่ต้องอยู่ทำงานคณะ

“เฮ้ย! พวกมึง!”

เสียงตะโกนโหวกเหวกจากหน้าห้องทำให้พวกที่กระจัดกระจายกันอยู่หันไปมอง แล้วก็เห็นพี่วินกับกลุ่มเพื่อนยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่หน้าตาแต่ละคนดูอารมณ์ดีจนน่าแปลกใจ

“จารย์ฝากบอกว่าวันนี้งด กลับมาไม่ทัน…”

“เฮ!”

“ฟังให้จบก่อน!” เฮียเจมส์ตวาดเสียงดัง เท่านั้นล่ะไอ้พวกที่ชูไม้ชูมือเงียบกริบทันที

“จารย์บอกว่าจะไปไหนก็ไป แต่คาบหน้ามีเก็บคะแนนปฏิบัติ”

“เฮ้ย! เพิ่งเปิดเทอมไม่เท่าไหร่เองนะพี่!” เพื่อนคนหนึ่งโวยวาย

“มึงก็รู้ว่าคณะเราเหมือนใครที่ไหน...เอาเป็นว่าโชคดีนะน้องๆ พวกกูไปเรียนละ”

“เห็นหน้าพวกแม่งเหวอแล้วสะใจว่ะ”

ผมเอนตัวพิงเก้าอี้ มองตามหลังพวกรุ่นพี่ที่เดินออกไปแล้วหน่ายๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขของตัวเองกันเสียที

“เก็บคะแนนเปียโน...สบายมึงเลยดิ” โซหันมาถามก่อนจะหาวหวอด

“ก็นะ”

นอกจากพวกผมแล้วคนอื่นก็ดูกังวลกันหมดเพราะพวกมันยังเล่นกันไม่ค่อยได้ จารย์แกสอนดีแต่ให้คะแนนโหด แถมยังเพิ่งเจอไม่กี่คาบ ไม่แปลกที่คนไม่มีพื้นฐานแน่นๆ จะโอดครวญ

“กูไปละ” ผมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน มีสายตาเพื่อนมองตามนิ่งๆ

“ไปหาภู?”

“เออ”

“ภูไม่เรียนหรือไง”

“ว่าจะไปนอนเล่นหน้าคณะรอเขาพัก” ผมตอบแล้วบิดขี้เกียจ

“แล้วจะไปเตะบอลอยู่ไหม”

“ไปเวลาเดิม”

“อืม...เจอที่สนาม” ว่าจบมันก็ฟุบหน้านอนต่อทันที ผมได้แต่ยักไหล่แล้วเดินออกมาจากห้องเรียนคนเดียว

จุดหมายคือ...คณะบริหาร

 

 

เมื่อมาถึงคณะบริหารแล้วผมก็เลือกนอนลงที่โต๊ะหินซึ่งหลบมุมอยู่หน้าคณะและเป็นโต๊ะที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น จริงๆ แค่อยากชวนพี่ภูไปกินข้าวด้วยกันไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ แต่ผมเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ขอช่องทางการติดต่อเขาไว้ สุดท้ายก็เลยต้องมานั่งโง่อยู่หน้าคณะแบบนี้ รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลับคาโต๊ะไปแล้วเรียบร้อย ดีที่ผมมีนาฬิกาปลุกในตัวเอง พอรู้ตัวว่าถึงเวลาพักแล้วก็ตื่นโดยอัตโนมัติ

ผมลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ วิ่งเหยาะๆ ไปอยู่หน้าทางลง มองคนนั้นคนนี้เดินผ่านหน้าไปเงียบๆ มีหลายคนที่มองผมแล้วหันไปซุบซิบกัน คงสงสัยว่านักร้องดุริยางค์มาทำอะไรที่นี่

ทำไงได้...คนมันดัง

“พี่ภู” ผมยิ้มกว้างแล้ววิ่งไปหาคนที่เดินลงมาทางบันไดซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่ออกมาจากลิฟต์ ผมกะแล้วว่าเขาต้องเดินลงมา ดูก็รู้ว่าเขาไม่ชอบที่ๆ มีคนเยอะๆ

“มาได้ไง” พี่ภูเลิกคิ้ว หน้าตาดุเย็นชาเป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้ไล่ผมไปไกลๆ เหมือนเมื่อก่อน

ดีใจว่ะ...พัฒนาจริงๆ ด้วย

“วิ่งมาจากคณะ พอดีอาจารย์ยกคลาสแล้วเพิ่งบอก ผมเลยวิ่งมารอพี่ตั้งแต่เช้าแล้ว”

“รอตั้งแต่เช้า?”

“อื้อ ตั้งแต่เช้า นอนอยู่ตรงนั้น” ผมชี้นิ้วไปที่โต๊ะหินหน้าคณะ จุดที่ผมใช้หลับรอเขา

“มารอทำไม”

“ผมจะชวนพี่ไปกินข้าว”

“แล้วจะมานั่งรอทำไม ไม่ร้อนหรือไง” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วก้าวเท้านำออกไปด้านนอก

“ร้อนนิดหน่อยแต่ทนได้ ผมง่วงด้วยมั้งเลยหลับง่าย...” ผมชะงักไปเมื่อคนที่เดินนำหยุดเท้าก่อนจะหันมาทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ ดูดุกว่าเดิมประมาณสิบเท่า

“ทีหลังอย่าทำอีก”

“แต่ผมอยากมาหา อย่างน้อยก็ตอนว่าง…” ผมพูดเสียงอ่อย เอาเท้าเขี่ยพื้นไปมาให้ดูน่าสงสารจะได้ไม่โดนดุ พี่ภูมองหน้าผมเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

“ถ้าจะมาก็ไปหาที่นั่งรอดีๆ”

“แล้วผมจะเจอพี่ได้ไงถ้าไปนั่งที่อื่น”

คราวนี้คนฟังหรี่ตาลงจับผิด สายตาคมดุบ่งบอกชัดเจนว่าเขารู้ทันความคิดผม...แต่ก็ยังยื่นโทรศัพท์มาให้

“ถ้าไม่ตอบก็ขึ้นไปหาบนห้อง มึงมีตารางกูอยู่แล้วนี่”

เวร...รู้ได้ไงวะ

“ขึ้นได้เหรอ อาจารย์ไม่ว่าเหรอ” ผมเงยหน้าถามด้วยสายตาเป็นประกาย ถึงคณะตัวเองจะไม่ได้เคร่งครัดอะไรเรื่องพวกนี้แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าคณะอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า

“ได้”

“ทีหลังผมจะขึ้นไปหานะ” ผมตอบรับอย่างอารมณ์ดี มือทำการแอดไลน์ เฟส เมมเบอร์เอาไว้ทุกอย่าง ส่วนเท้าก็ก้าวตามหลังเขาไปเรื่อยๆ “พี่เดินช้าหน่อย ผมก้าวตามไม่ทัน”

“ขาสั้น” พี่ภูว่าเสียงเรียบแต่ก็ยอมเดินช้าลงกว่าเดิม

“ขาพี่ยาวเกินต่างหาก” ผมบ่นอุบอิบ อยากจะบอกเหลือเกินว่าส่วนสูงอย่างผมนี่ก็เรียกว่าสูงเกินมาตรฐานคนไทยแล้ว ร้อยเจ็ดสิบเก้าเกือบร้อยแปดสิบคงเรียกว่าเตี้ยไม่ได้หรอก แต่เขาต่างหากที่สูงเกินมนุษย์ “ผมหิวข้าวแล้ว”

“แล้วยังไง”

“ไปกินข้าวกัน ผมอยากกินแกงกะหรี่...แล้วก็ไอติมชาเขียว”

“ก้อนจริงๆ…”

“ผมยังไม่อ้วนนะ ตอนเย็นก็จะออกกำลังแล้วด้วย” ผมรีบเถียงเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของคนที่เดินอยู่ข้างๆ

“กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“พี่ว่าผมก้อน”

“นั่นชื่อมึง”

เออ...ก้อนก็ก้อน ต้องทำใจให้ชินอย่างเดียวถูกไหม

ผมเดินตามพี่ภูมาขึ้นรถโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก เขาบอกว่ามีเรียนอีกทีตอนบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งมันก็มีเวลาอีกถึงสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าพี่ภูจะไปไหน แต่พอเห็นปลายทางแล้วก็ดีใจจนแทบเนื้อเต้น

ห้าง...และที่สำคัญคือหน้าร้านแกงกะหรี่ชื่อดัง

ผมมองแผ่นหลังของคนใจดีด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมใครๆ ถึงได้หวาดกลัวพี่ภู ในเมื่อเขาใจดีขนาดนี้ และตอนนี้ผมก็รู้สึกดีมากๆ เลยด้วย

“เอาแกงกะหรี่ไก่กรอบเพิ่มข้าวเผ็ดระดับห้าแล้วก็ชาเขียว” ผมสั่งอาหารที่ชอบอย่างคล่องแคล่ว แอบเห็นพี่ภูเลิกคิ้วเล็กน้อยตอนได้ยินผมบอกความเผ็ด

“เอาเหมือนกันแต่ไม่เผ็ด”

“ขออนุญาตทวนรายการ…”

พอพนักงานเดินจากไปแล้วพี่ภูก็นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง เขาไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหรืออะไร แค่นั่งนิ่งๆ เท่านั้น แต่พอเห็นว่าผมมองตาไม่กะพริบดวงตาคมดุไม่ปรากฏอารมณ์ก็เบนมาสบ

“พี่กินเผ็ดไม่ได้เหรอ”

“กินได้แต่ไม่ชอบ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ จดบันทึกเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รู้ไว้ในหัว

“เออใช่ ต่อจากนี้ผมจะออกกำลังทุกเย็น พี่มาด้วยกันไหม”

พี่ภูทำหน้าตาแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กวาดสายตามองผมขึ้นๆ ลงๆ เป็นเชิงสำรวจแล้วทำหน้าตาเข้าอกเข้าใจ ผมหน้าหงิกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจเรื่องอะไร

กูอ้วนจริงๆ ด้วย

“ถ้าว่าง”

“จริงนะ” ผมถามด้วยความดีใจ ลืมการโดนด่าทางสายตาไปจนหมด

“อืม”

“งั้นวันนี้…”

“วันนี้ไม่ได้”

“พี่มีธุระเหรอ”

“อืม”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ถึงจะอยากรู้ว่าธุระอะไรแต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาอยากบอกก็คงบอกเอง

อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดีเป็นการตัดบทสนทนาทุกอย่าง ผมไม่ได้พูดอะไรระหว่างกินเพราะจ๋าเคยบอกว่าห้ามทำ แต่ในหัวก็ยังคิดเรื่องของพี่ภูไม่หยุด

ผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นพวกที่จะใส่ใจกับสิ่งที่สนใจมากเกินปกติ ไม่ว่าจะคำพูดเล็กน้อยแค่ไหนก็เก็บมาคิดสงสัยได้หมด โชคดีที่ไม่ได้เจอสิ่งที่สนใจมากนักเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่พอมาเกิดกรณีสิ่งที่สนใจเป็น ‘คน’ แบบนี้เลยไม่รู้ว่าควรทำยังไง

“กูต้องโทรคุยกับน้อง” พี่ภูพูดขึ้นมาลอยๆ จนผมต้องหยุดช้อนแล้วเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ “เลิกทำหน้าเป็นกระต่ายหงอยสักที”

ผมฉีกยิ้มกว้าง อยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหนที่เขาบอกเหตุผล แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเห็นแววตาแปลกๆ ของพี่ภู ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าคงเกี่ยวกับการโทรหาน้องของเขา

“ผม...ถามต่อได้ไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักและมองเขาเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะหยุดพูดเรื่องนี้ได้ตลอดเวลาถ้าเขาต้องการ

พี่ภูมองกลับมาด้วยสายตาอ่อนลงก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ถ้าถึงเวลากูจะพูดเอง”

“ครับ”

เพิ่งรู้ว่าการได้รับโอกาส...มันทำให้มีความสุขได้มากขนาดนี้

 

 

วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนผมโดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาด…

ตอนแรกผมคิดว่าพวกนั้นคงสงสัยว่าเด็กคณะอื่นเข้ามาทำอะไรที่นี่ แต่พอได้ฟังเสียงพูดคุยที่ดังเข้าหูก็ต้องเปลี่ยนความคิด บางทีที่โดนมองอาจไม่ใช่เพราะมานั่งอยู่ในห้องเรียนของเด็กบริหาร...แต่อาจเป็นเพราะผมเดินเข้ามากับคนที่ใครๆ ต่างก็กลัวและพยายามหลีกเลี่ยง

บริเวณที่พี่ภูนั่งคือด้านหลังสุดของห้อง จุดที่ไม่มีใครนั่งอยู่รอบๆ แม้แต่คนเดียว

น่าแปลก...ทั้งที่ไม่ชอบ ทั้งที่หวาดกลัว ทั้งที่กำลังนินทาไม่หยุด แต่ก็ยังเลือกที่จะมองมาอย่างโจ่งแจ้งแล้วหันกลับไปซุบซิบกัน

ผมกรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย รีบฟุบลงกับโต๊ะแล้วหันหน้าไปทางพี่ภูก่อนจะหัวเสียยิ่งกว่านี้

“กูบอกแล้วว่าอย่ามา” พี่ภูพูดเสียงเรียบโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเอกสารอะไรสักอย่างบนโต๊ะ

“พี่โดนแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”

“ปกติก็ไม่ขนาดนี้”

“แสดงว่าตลอดสินะ” ผมถอนหายใจ ท่าทางที่โดนมองขนาดนี้คงเป็นเพราะผมแน่ๆ

“กูชินแล้ว”

“ทำไมถึงชิน” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “พวกนั้นไม่ได้มองเพราะชื่นชมพี่นะ”

“รู้แล้วก็ไม่ต้องเข้าใกล้กูมาก เดี๋ยวมึงจะโดนไปด้วย” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสวนทางกับคำพูด ผมอยากยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก ได้แต่ถือวิสาสะขยับมือไปใกล้ๆ แล้วเอานิ้วชี้เขี่ยหลังมือที่วางไว้บนโต๊ะเบาๆ

“ใครจะโง่ก็ให้มันโง่ไป ผมรู้ความจริงคนเดียวก็พอ”

“มึงรู้เรื่องแล้วหรือไง” เขาเลิกคิ้วมองฝ่ามือตัวเองที่ถูกผมเขี่ยอยู่ ทำท่าเหมือนจะถามว่าอะไรของมึงแต่ก็ไม่ได้ชักมือออก

“ไม่รู้ แต่ผมรู้แล้วว่าพี่เป็นคนแบบไหน”

“ทำเป็นรู้ดี”

“รู้ดีแต่ยังรู้ไม่หมด นี่ก็อยากรู้อยู่ ถ้าพี่กรุณาบอกจะดีมากเลย” ผมยิ้มแป้นเมื่อโดนหันมามองหน้า มือข้างที่ถือปากกาของเขาถูกยกขึ้นมาใช้ผลักหัวผมเบาๆ

“ขี้เสือก” พี่ภูด่าตรงๆ ด้วยหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์แล้วไม่หันมาสนใจผมอีก

แต่แค่นั้นก็พอแล้ว…

เพราะเขายังยอมให้ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วก้อยของเขาเอาไว้อยู่เลย

พอไร้บทสนทนาความง่วงก็เข้ามาครอบงำช้าๆ ผมฝืนปรือตามองหน้าพี่ภูอยู่เป็นนาทีแต่ก็สู้ความง่วงไม่ไหว ยิ่งได้ยินเสียงอาจารย์ที่เพิ่งมาถึงเริ่มสอนก็ยิ่งขับกล่อมให้ง่วงหนักกว่าเดิม

“คุณภูริ ช่วยปลุกเพื่อนข้างๆ คุณด้วย”

“เขาแค่เข้ามานั่งรอผมเลิกเรียน”

ผมออกแรงเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกคนให้แน่นกว่าเดิมเพราะอยากมั่นใจว่าเขาจะอยู่ข้างๆ แม้ในตอนที่หลับ

“นั่นนักร้องดุริยางค์คนดังไม่ใช่เหรอ…”

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

“มานั่งรอในห้องเรียนแบบนี้เลยเนี่ยนะ”

เสียงซุบซิบที่ดังแทรกการกล่อมของอาจารย์ทำให้ผมขยับตัวไปมาด้วยความรำคาญใจ นึกอยากลุกขึ้นมาโวยวายอยู่เหมือนกัน แต่ติดอยู่ตรงที่มีคนรู้ทันหยิบเรดที่ผมพาดคอไว้มายัดใส่หูให้เสียก่อน

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

ใจดีจัง…

ถึงจะทำเหมือนหลับ แต่จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้หลับจริงจัง แค่พักสายตาแล้วคอยเงี่ยหูฟังคำนินทาที่ลอยเข้าหูโดยตั้งใจเท่านั้น หลายครั้งที่ต้องปรือตามองใบหน้าคนที่กำลังตั้งใจเรียน เพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกแย่กับคำพูดที่ได้ยิน แต่นอกจากใบหน้านิ่งสนิทแล้วพี่ภูก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาอีกเลย

ที่บอกว่าชินแล้วคงจะจริง...แต่ต่อให้นิ่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่รู้สึกอะไรได้หรอก

ทั้งที่พี่ภูโตกว่าคนในห้องนี้เพราะดรอปไปหนึ่งปีแต่ก็ยังพูดแบบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด ถึงผมจะไม่เคยอยู่ในสังคมแบบนี้มาก่อนแต่บอกตรงๆ ว่าโคตรรังเกียจ

แม้แต่ตอนที่เลิกคลาสและอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้วพวกนั้นก็ยังคุยกันไม่เลิก ผมผงกหัวขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนจะกวาดสายตามองรอบด้านด้วยความหงุดหงิด

“พวกเดียวกันแน่ๆ”

“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวก็โดนหาเรื่องหรอก คิกๆ”

คิกๆ เหี้ยไรล่ะ

“ไม่เคยเห็นคนเหรอ” ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะยกมือปิดปากหาวไม่สนใจใคร ถึงจะรู้สึกได้ว่าพี่ภูชะงักไปแล้วหันมามองแต่ผมยังไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ “ทีหลังถ้าจะป้องปากนินทาก็เอาให้มันเบาๆ หน่อย ไม่งั้นเดินเข้ามาหาตรงๆ เลยก็ได้ ไม่ว่ากัน”

พวกรุ่นพี่ที่มองมาทำหน้าตาเหรอหราเหมือนคาดไม่ถึงว่าผมจะเอ่ยปากก่อน

“มึงเป็นรุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ พูดแบบนี้สมควรแล้วเหรอวะ” ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยปาก พอมีจ่าฝูงพวกที่เหลือก็เห่าตามกันเป็นแถว

“แล้วที่พูดมันแย่ตรงไหน” ผมเลิกคิ้ว งงจริงจังว่าคำพูดตัวเองมันไม่สมควรยังไง ถ้ามาได้ยินสิ่งที่ผมพูดในใจก็ว่าไปอย่าง “อีกอย่าง...จะรุ่นพี่รุ่นน้องไม่เห็นเกี่ยว ผมจะเคารพแค่คนที่ควรเคารพ คนที่ไม่ได้พูดก็แล้วไป แต่ไอ้ที่ปากดีพูดหมาๆ นั่นก็น่าจะพิจารณาตัวเองนะ”

“ไอ้เด็กเหี้ย!”

“อย่า…” พี่ภูพูดเสียงต่ำแล้วดึงนิ้วผมไว้เป็นเชิงเตือน ผมเลยยอมเอนกายพิงพนักด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเริ่มเดือด เพียงแต่ผมไม่ได้แสดงออกทางการกระทำเป็นพวกหัวร้อนไร้ปัญญาแบบพวกตรงหน้าก็เท่านั้น

“มึงจะเอาใช่ไหม!”

ผมกวาดตามองจำนวนคนของฝั่งนั้นคร่าวๆ พวกที่ไม่เกี่ยวทยอยออกไปยืนหน้าประตูกันหมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่มีเจ็ดแปดคน สองในนั้นดูเหมือนกำลังห้ามเพื่อน แต่คนที่เหลือทำท่าทางเหมือนพร้อมมีเรื่องตลอดเวลา

“อย่าทำตัวเป็นพวกไม่มีสติปัญญามากนักดิ” ผมใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์ออกมาแบบเนียนๆ แล้วกดโทรออกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ทิ้งมันไว้ใต้โต๊ะโดยไม่คิดสนใจว่าปลายสายจะรับหรือเปล่า

“แน่จริงมึงลุกมาเลยดิวะ”

“นี่...ผมถามจริง” ผมกรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย จ้องมองคนพูดขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพิจารณา “อยู่ปีสี่จริงเหรอ ทำไมอาจารย์มัธยมปล่อยให้ข้ามชั้นมาล่ะ...เอ...หรือต้องบอกว่าประถมนะ”

ตอนเด็กๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ท้าตีท้าต่อยไปทั่ว เป็นหัวโจกของห้อง แต่นั่นมันสมัยอนุบาลนะ...มาตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าสมองของเด็กปีสี่พวกนี้ไปไหนหมด ถ้าไม่เอาแต่ปากดีแล้วเข้ามาซัดเลยยังพอเข้าใจได้ แต่นี่คือดีแต่ปากที่เห่าไม่ยอมหยุด ดูท่าทางก็รู้ว่ากลัวพี่ภูที่นั่งอยู่ข้างผมแต่ก็ยังไม่เลิกพูดจาน่าถีบ...โคตรเด็กน้อย

“ไอ้เหี้ย!”

“คำก็เหี้ย สองคำก็เหี้ย...ผมเป็นกระต่ายไม่ใช่เหี้ย อยากเป็นก็เป็นเองดิวะไอ้พี่เหี้ย” ผมชักหน้าสีหน้าแล้วด่าไปตรงๆ รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงหึเบาๆ ดังมาจากคนข้างกายแต่ไม่มีเวลาหันไปสนใจ

“มึง!”

นั่นไง...กล้าพุ่งเข้ามาหาแล้วว่ะ ยั่วง่ายจัง

ผมนั่งเบะปากอยู่เฉยๆ แล้วหรี่ตาลง ตามแผนที่วางไว้น่าจะโดนสักหมัดแล้วทุกอย่างก็จะเข้าทาง เพราะพวกนั้นเป็นฝ่ายเริ่มทำร้ายร่างกายก่อนต้องผิดเต็มๆ อยู่แล้ว ส่วนผมก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายน่าสงสารไปตามระเบียบ แถมยัง…

หมับ!

“ไปไกลๆ ตีน”

บางทีผมอาจจะลืมไปว่าตอนนี้มีสถานะเป็นอะไร...

“อย่ามาแตะกระต่ายกู”

สิ้นประโยคคำสั่งเย็นเยียบ พี่ภูปล่อยมือที่จับแขนไอ้คนปากดีไว้โดยการผลักมันออกอย่างแรงไปกระแทกผนัง ส่วนพวกที่เหลือก็รีบเข้าไปช่วยเพื่อนแล้วทำท่าจะเข้ามาหาเรื่องต่อ

“ไอ้เก้า!”

ผมหันไปโบกมือหยอยๆ ให้ไอ้โซที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมพวกพี่วินอีกแปดเก้าคน ท่าทางของพวกนั้นเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาทำให้ผมรู้สึกสงสารอยู่นิดหน่อย

“มึงจะทำอะไรน้องกู!” พี่วินตวาดแล้วเดินเข้ามาด้านใน สายตามองพวกปากดีด้วยความกดดัน แล้วพวกนั้นจะทำอะไรได้นอกจากรีบเดินหนีออกไปจากห้อง...ก็บอกแล้วว่าดีแต่ปาก

ลองนึกภาพเด็กดุริยางค์ท่าทางเถื่อนๆ ที่ชอบอยู่กันเป็นหมู่คณะ เทียบกับเด็กบริหารท่าทางนุ่มนิ่มเหมือนพวกลูกคุณหนู ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่าใครจะชนะ

น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่พวกนั้นไม่โดนอาจารย์ซิวไปตามแผนที่ผมวางไว้ แต่พอได้มองไปยังคนที่เข้ามาปกป้องก็รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด แล้วไหนจะประโยคนั้นอีก...

“พี่…”

“กูกลับละ” พี่ภูหันมาบอกสั้นๆ แล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจใคร ทิ้งให้ผมนั่งเหวออยู่ที่เดิมด้วยความไม่เข้าใจ

ท่าทางเหมือนจะโกรธเลย…

ผมอยากวิ่งตามไปแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ ทำได้เพียงกัดริมฝีปากด้วยความอดกลั้น ใจเต้นแรงจนเจ็บเหมือนจะตำหนิที่ไม่ยอมวิ่งตามไป แต่สมองกำลังบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปคุยตอนนี้เพราะเขาต้องไปทำธุระ แถมผมยังต้องจัดการเรื่อง...

“บอกกูทีว่าทำไมพวกกูต้องวิ่งจากตึกดุริยางค์มาหามึงถึงที่นี่” พี่วินยิ้มเย็นแล้วหักนิ้วเสียงดัง ท่าทางเหมือนพร้อมจะเข้ามาเตะผมได้ทุกเมื่อ

“ก็…”

“หาเหตุผลดีๆ นะไอ้เก้า ก่อนที่พวกกูจะจับมึงฆ่าหมกส้วม”

จริงๆ ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าโซมันได้ยินเสียงผมมีเรื่องคงต้องเรียกคนมาด้วย แต่ผมไม่ได้คิดว่าจะวิ่งมากันเป็นสิบแบบนี้นี่หว่า…

“พี่ไม่เห็นเหรอ ผมเกือบโดนต่อยแล้วนะถ้าพี่ภูไม่ช่วย” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสาร เท้าเดินเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนออกันอยู่ช้าๆ “ถ้าพวกพี่ไม่มาพวกนั้นคงไม่ถอยไปง่ายๆ หรอก”

“ตอแหล”

“หมาโซ” ผมกัดฟันแล้วชูนิ้วกลางให้เจ้าของชื่อ

“เก้า มึง…”

“โอ๊ย! ปวดท้อง ไปก่อนนะพี่!”

“ไอ้เก้า!”

เอาเป็นว่าผมจะยอมไม่ทำตามแผนสักครั้ง ยกยอดการออกกำลังไปไว้พรุ่งนี้แล้วกัน...

“บายยยย”

...ตอนนี้วิ่งหนีฝูงผีให้รอดเป็นพอ

------------------------------

 

ติดตามข่าวสาร
Fan Page : Chesshire.
Twitter : @Chesshire04
ติดแท็ก : #คุณภูชายเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-05-2017 19:23:07
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 30-05-2017 20:00:33
เก้าก็ยังคงเป็นเก้า  :laugh:  :laugh: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Matia ที่ 30-05-2017 20:01:30
อย่ามาแตะกระต่ายกู

โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 30-05-2017 21:21:29
เก้าเอ้ยยยย  :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 30-05-2017 21:46:54
ไอ้เก้าาาาาาาาาา 555555555 ไม่เรียกน้องได้ไหมแกมันตัวแสบ พี่ภูโกรธอะไรน้องคะอย่างอนมากเด้อเดี๋ยวหัวล้าน//ไม่ใช่ล่ะ
รอต่อต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 30-05-2017 22:28:46
พ่อกระต่ายน้อยยยยยย o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2017 01:29:38
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 31-05-2017 01:53:29
เก้า!!!!!!!!!!!!!!!แกฮาดีว่ะ ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-05-2017 02:06:20
เก้าตัวแสบมากกกกกกกกกก  :z2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-05-2017 08:56:13
พี่ภู กระต่ายเก้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ไม่เข้าใจพวกที่มารังเกียจ รังควานภู
มีเรื่องอะไรกันมาก่อน  :katai1: :katai1: :katai1:

เก้า ฉลาดมาก หาตัวช่วย เพื่อน รุ่นพี่ มาช่วยทันควัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 31-05-2017 10:11:32
ถ้าพี่ภูไม่รักน้อง เราจะไปดักฉุดแล้วน่ะ คือชอบบบ :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 31-05-2017 16:45:03
โอ๊ย กระต่ายน้อย :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 31-05-2017 17:26:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 31-05-2017 19:11:14
5555555เก้าเอ้ยยยย  ยิ่งอ่านยิ่รักเก้า มาเร็วๆน้าาา ชอบบบ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: littlep_ ที่ 31-05-2017 20:29:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 01-06-2017 10:44:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[7]==[P.5]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 01-06-2017 17:46:21



-8-

 

KAO: พี่ภู

KAO: วันนี้ผมจะไปว่ายน้ำกับไอ้โซ

KAO: พี่ว่างไหมครับ

 

เงียบกริบ...

ทำไมไม่ตอบสักที…ตั้งแต่หกโมงเช้าที่ส่งไป จนตอนนี้ผมจะเลิกคลาสอยู่แล้วก็ยังไม่ตอบ

“เป็นอะไร”

“พี่ภูไม่ตอบ” ผมตอบโซแล้วถอนหายใจยาว รู้สึกง่วงนอนจนอยากจะฟุบหน้าหลับไปไม่สนใจใครทั้งนั้น แต่ก็กลัวว่าคนที่กำลังรอจะตอบกลับมาในระหว่างที่หลับ สิ่งที่ทำได้เลยมีแค่นั่งถ่างตาอยู่อย่างนี้

เมื่อวานเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมนอนไม่ค่อยหลับ มันเหมือนมีอะไรค้างคาใจจนต้องลืมตาขึ้นมาตลอด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเกิดจากอะไร

พี่ภูโกรธ…

ผมใช้เวลาที่นอนไม่หลับเพื่อคิดอยู่ตลอดว่าตัวเองทำอะไรผิด บางทีอาจเพราะผมเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา แต่ความรู้สึกในส่วนลึกกลับบอกว่าไม่ใช่

“ใครทดสอบผ่านแล้วกลับบ้านได้” สิ้นประโยคของอาจารย์ ผมยกมือแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทดสอบอะไร ที่แน่ๆ คือผมทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวแล้ว และในเมื่อเขาไม่ตอบ…ผมจะไปหาคำตอบเอง

ผมทำแบบทดสอบของอาจารย์ด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับคำชมตอนที่การทดสอบจบลง ผมหันไปมองโซ มันชูโทรศัพท์เป็นเชิงบอกให้โทรหา พอตกลงกันเรียบร้อยแล้วผมก็รีบเดินออกมาจากตึก

ความจริงการมาถิ่นคนที่เพิ่งมีเรื่องด้วยเมื่อวานคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ แต่ขอแค่ได้เจอพี่ภูก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

แต่โชคร้าย…

“กล้าโผล่มาวันที่ไอ้นักเลงนั่นไม่มา มึงกล้าดีนะ”

ดูเหมือนผมจะคำนวณพลาดไปหน่อย…

ทางเดินด้านหลังตึกบริหารซึ่งเป็นทางลัดและไม่ค่อยมีคน ในวันนี้กลับปรากฏร่างของผู้ชายหลายคนยืนขวางทางอยู่ และที่สำคัญ...พวกมันดันเป็นรุ่นพี่ที่ผมมีเรื่องด้วยเมื่อวาน

สิ่งแรกที่ผมทำไม่ใช่การวิ่งหนี แต่เพราะรู้ตัวว่ามีคนดักอยู่ข้างหลังเลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออกไปยังรายชื่อล่าสุดแทน

“คิดว่าจะโทรให้พวกกุ๊ยมาช่วยทันเหรอ” คนที่อยู่ด้านหลังกระชากโทรศัพท์ผมออกจากมือแล้วกดตัดสายอย่างรวดเร็ว...ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีเพราะปลายสายคงจะรู้ตัวไวขึ้น

“เข้าไป” มันผลักหลังผมเข้าไปในห้องว่างหลังตึก พอตามเข้ามาจนครบแล้วก็ลงกลอนประตูไว้

“คิดดีแล้วเหรอ” ผมถามเสียงเรียบ ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากอยากไปหาพี่ภูไวๆ

“จะตายแล้วยังปากดีอีกนะมึง”

“อย่างกูไม่ดีแค่ปากเหมือนพวกมึงหรอก” มาขนาดนี้แล้วความสุภาพคงไม่จำเป็นอีก

ผมพุ่งเข้าใส่ไอ้คนใกล้ตัวและถีบท้องมันอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกผนัง พอเห็นสภาพจุกเสียดลุกไม่ขึ้นแล้วก็เหยียดยิ้มสมเพช

“ไอ้เหี้ย!”

ผลัวะ!

หมัดแรกกระแทกเข้าเต็มแก้มขวา ผมตัวเซไปด้านข้างเพราะรับแรงไม่ไหว ความเจ็บปวดที่ไม่ได้รับมาหลายปีแล่นพล่านไปทั่วใบหน้า

“ปากดีนักใช่ไหม!”

ผมไม่แน่ใจนักว่ากี่เท้าหรือกี่หมัดที่กระแทกลงมาที่ลำตัว แม้ภาพในสายตาจะเริ่มพร่าเลือน หรือรู้สึกเหมือนเห็นภาพดับๆ ติดๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความมึนงง แต่ผมก็ยังหาทางสวนกลับไปทุกครั้งที่มีโอกาส ผมไม่ได้นับว่าสวนกลับไปกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่หมัดหรือเท้าของผมกระแทกเข้าใส่ใครสักคนมันก็ยังรู้สึกสะใจทุกที และที่สำคัญ...พวกมันเอาแต่มัวเมากับการทำตัวเป็นหมาหมู่จนไม่ได้สังเกตเลยว่าผมกำลังขยับเข้าใกล้ประตูมากขึ้นเรื่อยๆ

คิดว่ากูจะเตะต่อยโง่ๆ หรือไง

“พวกโง่” ผมเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มโดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้า มือที่วางอยู่ตรงกลอนประตูกดปลดล็อคอย่างรวดเร็ว และวินาทีต่อจากนั้น ใครสักคนก็พุ่งเข้ามาถีบไอ้คนที่กำลังจะต่อยผมจนติดกำแพง

“หาเรื่องเจ็บตัว” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับเรี่ยวแรงมหาศาลของเพื่อนที่เข้ามารับตัวผมที่กำลังจะล้มไว้

“มาคนเดียวเหรอ”

“เปล่า พาพวกมาด้วย”

“กูตาลาย มองไม่เห็น” ผมสะบัดหน้าไล่ความมึนงง แล้วก็เริ่มมองเห็นลางๆ ว่ามีพวกเพื่อนในคลาสยืนบังอยู่หลายคน

“ไหวไหม”

“ไหว แต่เจ็บว่ะ” ผมยกมือเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะขยับร่างพิงกำแพงแล้วยืนด้วยตัวเอง

“ถ้าพ่อมึงรู้นะ” ไอ้โซพูดลอยๆ

“เออ...เละ”

ไม่ใช่ผมนะ...แต่เป็นพวกมันทั้งฝูง

“กลับคอนโดกู” มันบอกแล้วเข้ามาพยุงผม

“มึงพาไอ้เก้าไปทำแผลก่อนเลย พวกกูเคลียร์เอง”

“ขอบใจ” ผมยกมือขอบคุณเพื่อนเมื่อเริ่มหายมึนและกลับมามองเห็นชัดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้พวกรุ่นพี่ทีละตัวจนครบและจดจำใบหน้าของพวกมันทุกคนไว้ในใจ

พลาดแล้ว...พวกมึงพลาดมาก นอกจากจะปากดีใส่พี่ภูแล้วยังกล้าซ้อมกูอีก อยากซวยนักก็จะจัดให้

“อาการเป็นไง” โซถามในระหว่างที่กำลังช่วยให้ผมเข้าไปนั่งในรถ

“เฉยๆ”

“คำตอบสมเป็นมึงดี”

เฉยๆ ของผมไม่ได้หมายความว่าไม่เจ็บเลย มันก็เจ็บ แต่ก็ไม่ได้เจ็บมากจนทนไม่ไหวหรือเจ็บจนต้องร้องโอดโอย อาการมึนหัวก็หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ปวดเนื้อปวดตัวกับปวดหน้าก็เท่านั้น

ไอ้โซขับรถด้วยความเร็วมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ถึงจะไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรแต่ผมก็รู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงและคงหัวเสียไม่แพ้กัน

“ให้กูจัดการให้ไหม” โซถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่แฝงความหงุดหงิดไว้หลายส่วน ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเอนตัวพิงกับเบาะรถ

“ไม่ต้องหรอก…กูจัดการเอง”

ถ้าไม่ได้จัดการเองแล้วจะสนุกอะไร ในเมื่ออยากจะเล่นกันเหมือนเด็กน้อยแบบนี้ก็ย่อมได้…ผมไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว

ผมนั่งหลับตายาวจนมาถึงคอนโด พอจอดรถแล้วโซมันก็ทำท่าจะเข้ามาช่วย แต่พอเห็นผมเดินได้เป็นปกติก็ถอยออกไป

“นั่นภู…”

“ไหน!” ผมชะงักเท้าก่อนจะรีบหันไปตามทางที่มันมองแล้วก็เห็นพี่ภูใส่ชุดสูทเต็มยศกำลังนั่งคุยกับใครสักคนอยู่ แต่บรรยากาศรอบๆ ที่ดูแตกต่างจากปกติทำให้ผมเผลอนิ่งไปวูบหนึ่งเพราะไม่คุ้นเคย…เขาดูแตกต่างจากเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆ อย่างสิ้นเชิง...จะบอกว่าน่ากลัวก็คงใช่

“จะไปทักไหม”

นั่นสิ...จะไปทักดีไหม

ผมหรี่ตาครุ่นคิด เผลอขยับใบหน้าจนความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่ว วินาทีนั้นแผนชั่ว...ไม่สิ...แผนอันชาญฉลาดก็ถูกกลั่นกลองออกมาจากสมองอย่างรวดเร็ว

“ไม่ทัก พากูขึ้นข้างบนหน่อย อย่าให้พี่ภูเห็นนะ” ผมหันไปบอกแล้วเดินไปอยู่อีกด้าน โซมันทำหน้างงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ยอมเดินบังผมไปที่ลิฟต์แต่โดยดี

พอมาถึงหน้าห้องแล้วมันก็เปิดประตู แต่ผมไม่ได้เดินตามเข้าไป เจ้าของห้องหันมามองแล้วขมวดคิ้ว และยิ่งขมวดมากกว่าเดิมเมื่อเห็นผมทรุดตัวลงนั่งหน้าประตูห้องฝั่งตรงข้ามของมัน

“หน้ากูดูแย่ยัง” ผมถามพร้อมกับปรับสีหน้าเรียบเฉยของตัวเองให้ดูเหมือนเจ็บหน่อยๆ แต่ก็ไม่มากไปจนผิดสังเกต

“แย่ตลอดอยู่ละ”

“เอาดีๆ เดี๋ยวไม่ทัน” ผมเร่งพร้อมกับจัดแจงท่านั่งให้เอนตัวลงอีกหน่อย ห่อไหล่อีกนิด เอาให้ดูเหี่ยวๆ เฉาๆ เหมือนคนปกติที่เพิ่งโดนซ้อมมา

“เออ แย่แล้ว”

“มึงเข้าห้องไปได้แล้ว”

“แผนสูงจริงนะ” มันแซวแล้วยกยิ้มให้ พอเห็นผมตั้งท่าจะด่าก็ปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อเถอะ…มันเกาะติดขอบประตูแอบดูอยู่แน่นอน

ผมนั่งเก๊กท่าจนเริ่มเมื่อยพี่ภูก็ยังไม่มาเสียที สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องเลิกเลิกปั้นท่าทางแล้วเอนตัวนอนขวางประตูหน้าด้านๆ โดยไม่ลืมขดตัวเป็นกุ้งเพื่อลดความปวดที่หน้าท้องด้วย ถึงจะไม่ได้เจ็บจนทนไม่ได้ แต่ผมก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน บางทีถ้าพี่ภูยังไม่มาเร็วๆ นี้ผมกลับไปนอนในห้องไอ้โซน่าจะดีกว่า

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้”

“อือ” ผมปรือตาที่กำลังจะหลับขึ้นมองต้นเสียงแล้วก็เห็นพี่ภูยืนขมวดคิ้วค้ำหัวอยู่ และวินาทีที่เราสบตากัน…ผมสังเกตเห็นว่าเขาชะงักไปครู่หนึ่ง

“มึง…”

“เจ็บ” ผมเบะปากก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง บอกก่อนเลยว่าสติกลับมาจนเต็มตั้งแต่เห็นหน้าเขาแล้ว

ที่ทำนี่ตอแหลอยู่

“ทำไมเป็นแบบนี้” พี่ภูกดเสียงต่ำ เขาใช้คีย์การ์ดที่ถืออยู่เปิดห้อง จากนั้นก็ก้มลงมองผมอีกครั้ง

“โดนซ้อมมา”

“ใคร”

“ผมไม่อยากฟ้องเลย…” ผมก้มหน้าลง และวินาทีต่อมาก็ต้องเงยหน้าเพราะใครอีกคนหิ้วปีกขึ้นมา “พวกในคลาสพี่เมื่อวานมาดักรอผมทางหลังตึก มันพาเข้าไปในห้องแล้วก็ซ้อมกันหน้าตาเฉย ถ้าไอ้โซมาช่วยไม่ทันผมคงเละแน่”

ไม่ได้อยากฟ้องเลย ไม่ได้ตั้งใจเล่าข้ามด้วยนะ

“...”

พี่ภูเงียบไปจนผมชักใจไม่ดี แต่ก่อนจะได้ถามอะไรอ้อมแขนแข็งแกร่งก็รั้งเอวผมให้เข้าไปแนบชิดแล้วช่วยพยุงเข้าไปในห้อง อยู่ๆ หัวใจไม่รักดีก็เต้นผิดจังหวะจนแทบกระเด็นออกมาจากอก ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นอะไรบางอย่างที่กำลังเอ่อล้นออกมา

น่าแปลก...ทั้งที่สามารถเดินขึ้นมาเองได้ ทำหน้าตาเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรก็ยังได้ คิดว่าต้องแกล้งทำเหมือนเจ็บเอาเพื่อให้ใครอีกคนสงสาร แต่พอได้อยู่ใกล้ ได้รับการช่วยเหลือจากเขาแบบนี้ ผมกลับรู้สึกเจ็บและล้าขึ้นมาจริงๆ ซะงั้น

คงเหลือแค่สมองอย่างเดียว...ที่ผมยังควบคุมได้เมื่ออยู่ใกล้เขา

และผมเองก็รู้ดี...ว่าระหว่างสมองกับหัวใจ อะไรที่จะชนะ

“อาบน้ำไหวไหม” พี่ภูถาม พอเห็นผมพยักหน้าให้เขาก็เดินเข้าไปในห้องนอนที่ผมนึกว่าเป็นห้องว่างแล้วออกมาพร้อมกับชุดใหม่ “เข้าไปใช้ห้องน้ำกู”

“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินเข้าไปด้านในห้องนอน น่าเสียดายที่มีเวลามองแค่วูบเดียวเพราะพี่ภูเดินตามมาด้วย ผมเลยรู้แค่ว่าห้องของเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากข้าวของจำเป็น การตกแต่งก็เรียบง่ายเหมือนไม่ได้เพิ่มเติมอะไรสักอย่างเดียว

ห้องอาบน้ำกว้างขวางมีอุปกรณ์อยู่ในนั้นครบหมดแล้ว ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีในการอาบ เพราะแค่สัมผัสโดนร่างกายก็ปวดไปหมด กลายเป็นว่าใบหน้าดูจะเจ็บน้อยสุดเพราะกันไว้ได้หลายที แต่แล้วเมื่อจะก้าวเท้าออกจากห้องน้ำผมกลับต้องชะงักไป กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านข้างประตูทำให้ผมมองเห็นร่างกายที่เปลือยท่อนบนของตัวเองได้อย่างชัดเจน

รอยช้ำสีเขียวหลายจุดที่กระจายอยู่ทั้งบริเวณท่อนแขนและลำตัวทำให้รู้สึกสยดสยองอยู่หน่อยๆ คาดว่าอีกไม่นานมันคงกลายเป็นสีม่วง ผมเผลอคิดถึงหน้าป๋าขึ้นมาวูบหนึ่ง ไม่รู้ว่าถ้ามาเห็นผมสภาพนี้ป๋าจะทำยังไง แต่ถ้าให้เดาอย่างแรกเลยคือพรุ่งนี้ผมต้องเห็นป๋ายืนร้องไห้อยู่หน้าประตูหอแน่ๆ

ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความคิดของตัวเองแล้วเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่ใส่เสื้อเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจไม่ใช่สภาพห้องที่ผมอยากสำรวจตั้งแต่เข้ามา แต่เป็นพี่ภูที่นั่งอยู่บนเตียง เขากำลังพิมพ์อะไรบางอย่างในโน้ตบุ๊กโดยที่ยังใส่ชุดสูทเต็มยศ บรรยากาศรอบด้านดูเย็นชาน่ากลัวเหมือนตอนที่ผมเห็นเขาคุยงานอยู่ด้านล่างไม่มีผิด พอรู้ตัวว่าผมออกมาแล้วเขาก็เงยหน้ามองแล้วพยักหน้าให้เดินเข้าไปหา บรรยากาศกดดันเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

“นั่งรอตรงนี้”

“อื้อ” ผมตอบรับขันแข็งแล้วนั่งลงบนเตียง แต่พี่ภูกลับเลิกคิ้ว สายตาคมดุเบนกลับมาสบตาผม ก่อนเขาจะถอนหายใจแล้วดึงมือผมออก

มือข้างที่คว้าชายเสื้อเขาไว้โดยไม่รู้ตัว…

“ทำไมสั่น”

“เอ่อ…” ผมเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองพร้อมกับพยายามหาคำตอบให้คำถามนั้น ผมรู้ตัวดีว่าทั้งมือและร่างกายกำลังสั่น แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเพราะอะไร

“หนาวหรือไง” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยก่อนเขาจะถอดเสื้อสูทที่ใส่อยู่ออกแล้วโยนมาคลุมหัวผมไว้ “กูจะไปเอาอุปกรณ์ทำแผล เดี๋ยวมา”

“ครับ” ผมตอบรับเสียงแผ่วโดยไม่ได้ตั้งใจ มือขยับเสื้อสูทที่ไม่ได้หนาอะไรมาคลุมไหล่ไว้ดีๆ ความอบอุ่นด้านในกระจายอยู่รอบตัวและให้ความรู้สึกปลอดภัย ผมยังคงไม่เข้าใจว่าที่ตัวสั่นเป็นเพราะความหนาวหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ…

ตอนนี้ผมไม่ได้สั่นแล้ว…

พี่ภูวางกล่องยาลงด้านข้างแล้วหยิบอะไรก็ไม่รู้ออกมาสารพัด ผมทำหน้าแหยงตอนเห็นว่าเขาหยิบยาเม็ดออกมาด้วย มันก็ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้ แต่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบอยู่ดี

“ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล”

“ผมเกลียดโรงพยาบาล” ผมตอบตามความจริง กลิ่นของที่นั่นทำให้ผมอยากอ้วก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า อีกอย่าง...ตอนแรกมันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากมาย

พี่ภูทำหน้าเอือม มือหยิบยาอะไรก็ไม่รู้ออกมาอย่างคล่องแคล่วแล้วเงยหน้ามองผม

“อยู่นิ่งๆ” เขาขยับเข้ามาหา เริ่มเอาสำลีแตะที่ใบหน้า ผมเจ็บจี๊ดจนต้องขยับถอยหลัง แต่โดนมือแกร่งล็อคแขนไว้ก่อน

“เจ็บ”

“มองหน้ากู” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วจับใบหน้าผมให้อยู่กับที่ ผมเองก็ได้แต่ทำตามคำสั่งโดยพยายามเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการมองใบหน้าที่ดูดีจนน่าอิจฉา

ทุกครั้งที่ผมสะดุ้งเพราะความเจ็บ พี่ภูจะขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วหรี่ตาลงเป็นเชิงบอกให้อยู่นิ่งๆ ผมต้องนั่งตัวแข็งทนกับความเจ็บอยู่นานกว่าเขาจะถอนมือออกไป

“ถอดเสื้อ” เขาสั่ง

ผมพยักหน้าก่อนจะเอาเสื้อสูทออกจากตัวแล้วถอดเสื้อออกทั้งหมดจนเหลือแต่กางเกง พี่ภูมองสำรวจแล้วถอนหายใจ ผมไม่ได้ก้มลงมองตัวเองเพราะรู้ดีว่ามันแย่ขนาดไหน จากที่ได้เห็นเงาตัวเองในห้องน้ำแล้วคิดว่าน่าจะเป็นรอยช้ำไปสักพักใหญ่ๆ

“ผมจะไปหาพี่…” ผมพูดขึ้นช้าๆ จนมือพี่ภูที่กำลังป้ายยาให้ที่แขนหยุดชะงักไป เขาเงยหน้ามองผมแค่แวบเดียวแล้วก้มหน้าทายาต่อ ซึ่งนั่นก็ดีเหมือนกัน...เพราะถ้าเขายังมองอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจะพูดต่อได้หรือเปล่า “ผมจะชวนพี่ไปว่ายน้ำ ตอนแรกไลน์ไปแล้วพี่ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ ผมไม่รู้ว่าวันนี้พี่ไม่มาเรียน”

“กูลืมโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้ที่ห้องตั้งแต่เช้า ที่ติดตัวมีแค่โทรศัพท์คุยงาน”

“อ๋อ…”

“มึงไม่ควรไปหากูถึงที่คณะทั้งที่เพิ่งมีเรื่องไปเมื่อวาน” พี่ภูพูดเสียงเรียบโดยไม่เงยหน้า ผมเองก็ไม่กล้ามองเขาเลยได้แต่ก้มลงมองมือที่กำลังป้ายยาให้แทน

“ก็เมื่อวาน...พี่ทำเหมือนโกรธ” ผมพึมพำเบาๆ “ผมไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาไปอีกวัน”

แค่วันเดียวก็แย่แล้ว...

“...”

พอพี่ภูเงียบผมก็ไม่กล้าพูด เพราะความผิดที่ไม่รู้ว่าคืออะไรยังติดตัว ได้แต่นั่งหันหน้าหันหลังตามคำสั่งให้คนหน้าดุช่วยทายาให้ สุดท้ายเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้วเขาก็สั่งให้ผมใส่เสื้อ

“กินยาด้วย”

“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่ายแล้วหยิบยามากิน รสขมแหยะๆ ทำให้เผลอเบ้ปาก แต่ก็ทนกลืนลงไปเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนโกรธ

“ปวดหัวหรือเปล่า”

“ไม่ปวด”

“อืม”

“แล้ว...ทำไมวันนี้พี่ไม่ไปเรียนล่ะ” ผมถามถึงสิ่งที่สงสัย ถึงจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องงานจากที่เห็นด้านล่าง แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะเขาไม่น่าจะคุยยาวลากจากเช้ามายันเย็นแบบนี้

“กูนั่งเครื่องไปคุยงานที่ภูเก็ตตั้งแต่เช้า”

“ภูเก็ต…”

“อืม...ไปหาอาซี”

ที่แท้ก็ไปหาพ่อไอ้โซ

“แล้วก็กลับมาคุยงานที่นี่ต่อเหรอ” ผมถาม แต่พอพี่ภูพยักหน้ารับแล้วเลิกคิ้วสงสัยก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไป

“มึงรู้ได้ไงว่ากูมีคุยงานที่นี่ต่อ”

“ตอนขึ้นมาผมเห็นพี่คุยกับใครสักคนอยู่ แต่ไม่อยากกวนเลยขึ้นมาก่อนไง” ก็ไม่ได้โกหกนะ แค่ไม่ได้บอกว่าจริงๆ ไอ้โซมาด้วยเฉยๆ

“แล้วโซไปไหน ทำไมไม่พาไปทำแผล”

ลืมไปว่าคุยกับคนฉลาด...

ผมนั่งนิ่งเพื่อคิดคำตอบแต่ดันเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่ได้แสดงพิรุธอะไรมากไปกว่านั้น แต่พอพี่ภูส่ายหน้าหน่ายผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขารู้ทันผมหมดแล้ว

“แหะๆ”

“...”

พี่ภูมองหน้าผมนิ่งๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงหัวเราะของผมเลยเบาลงเรื่อยๆ จนเงียบไปในที่สุด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกดดันจนต้องบีบมือตัวเอง สุดท้ายเลยได้แต่สารภาพเสียงแผ่ว

“ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ”

อยากให้สนใจ...

“...” เขาเงียบไปจนผมกังวลใจ เกือบจะขอโทษอยู่แล้วถ้าไม่เหลือบไปเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขาเสียก่อน

“อืม”

อืม...อืมเฉยๆ แปลว่าตกลง

หมายความว่าเขาไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่โกรธใช่ไหม

ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจจนรู้สึกเจ็บมุมปาก อยากจะยกมือขึ้นมาแตะตามสัญชาตญาณ แต่โดนคนหน้าดุดึงมือเอาไว้เสียก่อนเลยนึกได้ว่าเพิ่งทายาไป

“ขอบคุณครับ”

แล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้งเมื่อพี่ภูยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ แล้วละความสนใจไปกดโน้ตบุ๊กต่อ แต่ครั้งนี้เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องที่ผมไม่เคยเห็นขึ้นมาทำอะไรบางอย่างด้วย...คงเป็นโทรศัพท์คุยงาน

พวกนักธุรกิจก็แบบนี้ มีโทรศัพท์หลายเครื่อง ป๋าผมก็มีสามสี่เครื่องเหมือนกัน เวลาผมเห็นมันดังพร้อมกันโคตรปวดหัวเลย ไม่รู้ป๋าแยกสมาธิได้ยังไง

“คือว่า…” ผมตั้งท่าจะถามเรื่องเมื่อวานต่อ แต่อยู่ๆ ก็ไม่กล้าขึ้นมาเพราะใครอีกคนไม่หันมาสนใจ “เสื้อกับกางเกงมันดูพอดี…”

ป๊อดไรวะ...ไม่สมเป็นมึงเลยไอ้เก้า

ผมได้แต่ขมวดคิ้วหงุดหงิดกับตัวเอง ถึงเรื่องเสื้อผ้าพวกนี้จะน่าสงสัย แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นของน้องหรือคนรอบตัวเขา

แล้วกูจะถามขึ้นมาเพื่ออะไรวะเนี่ย

“ของน้องกู”

นั่นไง…มิน่าถึงได้เดินเข้าไปเอาชุดที่ห้องนั้น

“พี่อยู่กับน้องเหรอ”

“เคยอยู่”

“อ่า…” ผมกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้ถามต่อ เพราะพอจะดูออกว่าพี่ภูไม่ค่อยอยากพูดเรื่องน้องเท่าไหร่

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมเอนตัวนอนอยู่ตรงขอบเตียง พี่ภูแค่เหลือบตามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แอร์เย็นๆ กับเสื้อสูทอุ่นๆ ทำให้ผมง่วงจนเกือบวูบอยู่หลายครั้ง แต่พอลืมตาเห็นคนหน้าดุยังเคร่งเครียดอยู่กับเครื่องมือสื่อสารแล้วก็ไม่อยากหลับ

ยังไม่ได้คำตอบเลย…

“พี่ภู…” ผมดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ตาปรือจนเกือบจะหลับแต่ก็ยังเห็นว่าเขาหันมามอง “พี่โกรธผมเหรอ”

“เปล่า”

“แต่พี่เดินหนี...ท่าทางก็เหมือนโกรธ”

“ขยับไปนอนที่หมอนดีๆ” เขาวางอุปกรณ์ทุกอย่างลงข้างตัวแล้วช่วยดึงผมให้ขึ้นไปนอนบนหมอนรวมถึงเอาผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงอก

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

“พี่ไม่เหนื่อยเหรอ…”

อุตส่าห์มาเรียนที่ไทยแต่ก็ยังต้องทำงาน ไหนจะบินไปภูเก็ตตั้งแต่เช้าแล้วกลับมาคุยงานต่อตอนบ่ายอีก ถ้าเป็นผมคงโวยวายไปแล้ว

“ง่วงแล้วพูดมากจังวะ” พี่ภูบ่นเบาๆ แต่ผมไม่สนใจ ยังคงพูดตามที่คิดต่อไป

“ถ้าผมอยู่ใกล้ๆ พี่ต้องหายเหนื่อยแน่เลย”

“เหรอ”

“จริงๆ นะ”

“ไม่ใช่ปวดหัวกว่าเดิมหรือไง” น้ำเสียงแฝงความขบขันทำให้ผมหน้าบึ้ง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมใครๆ ต้องบอกว่าอยู่ใกล้ผมแล้วจะปวดหัว ทั้งที่ผมก็ออกจะเพอร์เฟค

“ไม่ปวดนะ”

“นอนไป” เขาตัดบทแล้วทำท่าจะดึงเสื้อสูทออกไป แต่ผมส่ายหน้าแล้วเอามากอดไว้แน่น

“ไม่เอา...อุ่น”

“ง่วงแล้วงอแง”

“อื้อ” ผมยิ้มแป้นรับคำจนพี่ภูต้องถอนหายใจเบาๆ แล้วทำท่าจะลุกออกไปจากเตียง แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้นผมก็คว้ามือของเขาเอาไว้ก่อน “พี่อยู่ใกล้ๆ ผมนะ”

แค่อยู่ใกล้ๆ ก็พอ

ผมแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าใครอีกคนกำลังลูบหัว สัมผัสอุ่นๆ ทำให้อยากดึงตัวเขามากอดไว้แต่ก็รู้ดีว่ายังทำไม่ได้ ผมเกือบฝืนลืมตาเมื่อรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ หายไป แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่คิดน้ำหนักบนเตียงด้านข้างก็ยวบลงเสียก่อน

พี่ภูยอมมานั่งข้างๆ ผมจริงๆ ด้วย

“กูไม่ได้โกรธ”

ในระหว่างที่กำลังจะหลับ ผมได้ยินเสียงพูดดังชัดเจนอยู่ด้านข้าง

“...”

“แต่ไม่ชอบที่มึงตั้งใจจะให้คนอื่นทำร้ายตัวเอง...มันเจ็บไม่ใช่หรือไง”

“อือ…” ผมยิ้มกว้าง พลิกตัวนอนตะแคงแล้วขยับเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เขา

“อย่าทำอีก”

“แต่วันนี้ผมไม่ได้…”

“รู้แล้ว”

“...”

“เรื่องวันนี้กูจะจัดการเอง”

ถึงน้ำเสียงจะเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่ผมสัมผัสถึงความโกรธที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาได้อย่างชัดเจน

“กระต่ายอย่างมึงนอนรอเจ้าของอยู่เฉยๆ ก็พอ”

 

-------------------

 

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: farfarneenee ที่ 01-06-2017 18:04:37
งืออออออออออ น้องก้อนนนน
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 01-06-2017 18:38:54
มีความอ้อนระดับสิบ ...
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 01-06-2017 19:06:12
งุ้ย พี่ภูเริ่มมีใจแล้วใช่มั้ยตอบบบบ
จัดการพวกนั้นหนักๆเลยนะเจ้าของกระต่าย  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 01-06-2017 19:12:22
นอนรอเฉยๆเองเหรอพี่ภู 555555 #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 01-06-2017 19:35:00
กระต่ายนอนรอเจ้าของเฉยๆ ก็พอหรอพี่ภู  :pigha2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 01-06-2017 20:46:45
 :pig4: :pig4: ดีต่อใจมากกกกกกกกกก   :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 01-06-2017 21:02:09
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 01-06-2017 21:10:30
นอนรอแล้วทำไงอีก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-06-2017 21:18:15
พออ่านควมคิดของเก้า ขำ เลย  :laugh: :laugh: :laugh:
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมใครๆ ต้องบอกว่าอยู่ใกล้ผมแล้วจะปวดหัว
ทั้งที่ผมก็ออกจะเพอร์เฟค


แผนเก้าสำเร็จ
ได้อยู่ใกล้ๆพี่ภู
พี่ภูทำแผลให้
แถมจะจะจัดการกลุ่มที่ทำร้ายเก้า  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
จบด้วย “กระต่ายอย่างมึงนอนรอเจ้าของอยู่เฉยๆ ก็พอ”
พี่ภู ยอมรับว่าเป็นเจ้าของกระต่ายเก้าแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 01-06-2017 21:19:36
ถ้าเป็นกระต่ายจะฟินอย่างนี้มั้ยนะ :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 01-06-2017 21:36:59
รักคนเขียนนนน เม้นก่อนค่อยอ่าน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 01-06-2017 22:55:46
เจ็บนี้คุ้มนัก ใช่มั้ยก้อน :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 02-06-2017 15:19:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-06-2017 15:00:51
พอใจไหมนังก้อนนนน  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[8]==[P.5]== [01/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 05-06-2017 19:11:11




-9-

 

ผมรู้สึกตัวเพราะความหนาว…

อากาศภายในห้องเย็นเฉียบจนต้องฝืนเปิดเปลือกตาช้าๆ แต่แค่ขยับร่างกายนิดเดียวก็ปวดร้าวระบมไปหมดจนแทบกลั้นเสียงไว้ไม่ไหว ผมกระชับผ้าห่มที่คลุมกายให้แน่นขึ้นแล้วขดตัวเพื่อลดความเจ็บปวด แสงที่เล็ดรอดมาจากด้านนอกผ่านม่านทึบทำให้รู้ว่าตอนนี้คงเป็นเวลาเช้าแล้ว

เพราะไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อคืนเลยรู้สึกหิวจนลำไส้บิดไปหมด ผมคิดจะฝืนกายลุกขึ้นนั่ง แต่ติดอยู่ที่แค่ขยับนิดเดียวมือก็ไปแตะโดนใครบางคนเข้า

พี่ภูยังนั่งอยู่ที่เดิม!

ผมแสร้งหลับตาต่อเนียนๆ ไม่ลืมขยับตัวนิดหน่อยเหมือนท่านอนไม่สบาย ซึ่งแน่นอนว่าต้องขยับโดยการเข้าไปใกล้ชิดเขามากขึ้นกว่าเดิมด้วย

“ได้หรือยัง” เสียงทุ้มราบเรียบพูดขึ้นมาลอยๆ เป็นภาษาอังกฤษ เขาน่าจะกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่

“ผมสั่งงานคุณตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำ ทำไมถึงได้ช้านัก”

เมื่อวานตอนค่ำ...งั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่เขาทำแผลให้ผม คงเป็นตอนที่พี่ภูทำอะไรสักอย่างอยู่ในโน้ตบุ๊ก

“ผมไม่สนใจว่าพวกนั้นจะเป็นลูกหลานใคร อีกครึ่งชั่วโมงส่งข้อมูลมา” น้ำเสียงแฝงอารมณ์หงุดหงิดของเขาคงทำให้ปลายสายขวัญผวาพอควร เพราะถ้าเป็นผมก็คงสยองเหมือนกัน

หลังจากนั้นพูดประโยคนั้นจบพี่ภูก็เงียบไปพักใหญ่ ผมคิดว่าเขาน่าจะวางสายไปแล้ว แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

“ดีมาก คืบหน้าแล้วบอกผมด้วย”

อะไรดี คืออยากรู้ด้วย อยากเผือก

“คนบ้าอะไรจะแกล้งหลับแต่ดันขมวดคิ้ว”

ผมลืมตาจ้องคนรู้ทันตาแป๋ว ไม่มีเหตุผลให้ทำเนียนต่อในเมื่อเขารู้แล้ว แถมดูท่าจะรู้แต่แรกแล้วเสียด้วย

“ผมไม่อยากกวนพี่โทรศัพท์ไง” ผมตอบหน้าตาเฉย ซึ่งพี่ภูก็มองกลับมาด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนหน้าด้าน ทั้งยังยื่นมือมาจิ้มแผลที่มุมปากผมโดยไม่ให้ตั้งตัวอีก

“โอ๊ย...เจ็บนะ”

“ก่อนจะร้องปรับสีหน้าให้ดูเจ็บจริงก่อนดีไหม”

ลืม…สงสัยหิวจัดหน้าเลยยังตายด้านอยู่ แต่ไอ้ที่จิ้มเมื่อกี้มันเจ็บจริงๆ นะ

“หิวจนหน้าแข็งไปแล้ว” ผมเอามือลูบท้องแล้วพยุงตัวลุกขึ้นนั่งคุกเข่า ตาจ้องพี่ภูปริบๆ เป็นเชิงบอกว่าต้องการอะไร

“ไปหาอะไรกินในครัว”

“ผมทำอาหารไม่เป็น”

“แล้ววันนั้นที่ทำมา” พี่ภูเลิกคิ้วสงสัย เขาคงไม่เข้าใจว่าทำไมผมบอกว่าทำไม่เป็นทั้งที่ข้าวต้มหมูวันนั้นออกจะอร่อย

“อันนั้นพี่กีล์คอยบอกทุกขั้นตอนเลย...แล้วตอนนี้ผมก็อยากกินข้าวมันไก่กับชาเขียวเย็นด้วย...”

“สรุปว่าอยากออกไปกินข้างนอก?”

“ครับ”

“กุญแจรถอยู่บนโต๊ะ” พี่ภูชี้ไปทางโต๊ะข้างประตู แต่ผมยังคงนั่งมองเขาไม่ขยับไปไหนจนคนถูกมองขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “อย่าบอกนะว่าขับไม่เป็น”

“ไม่เป็น”

พอผมพูดจบปุ๊บพี่ภูก็ยกมือนวดขมับปั๊บ ท่าทางดูปวดหัวจริงจังจนผมอยากถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“จริงจังเหรอวะเนี่ย” เขาพึมพำ ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักยืนยันอีกที

“จริงพี่ คือผมไม่อยากขับ เพราะยังไงหอก็อยู่ใกล้อยู่แล้ว แถมยังโดนจ๋าตัดค่าขนมอีก...ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำมันหรอก”

โดนหักมาหลายเดือนแล้วจ๋ายังไม่ใจอ่อนเลย อยากกินของแพงๆ ก็ต้องเกาะไอ้โซเอา สงสารตัวเองชะมัด

“เรื่องเยอะจริงๆ”

ผมเอามือลูบท้องแล้วทำหน้าจ๋อยสนิท คิดว่าอาจต้องไปหาอะไรกินมั่วๆ ในครัว แต่คนที่อยู่ข้างกายกลับลุกขึ้นยืนแล้วโยนโน้ตบุ๊กมาให้

“ถือไป” ว่าจบพี่ภูก็เดินไปคว้ากุญแจรถแล้วเดินออกไปจากห้องทันที ผมได้แต่ยิ้มกว้างแล้วรีบอุ้มโน้ตบุ๊กตามออกไป

ใจแม่งเต้นแรงจนเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย ถ้ามากกว่านี้ผมคงได้เข้าโรง’บาลแน่

“ช้า” คนที่ยืนรอปิดห้องขมวดคิ้วหงุดหงิด ผมรีบวิ่งไปหา เดินอยู่ข้างๆ เขาโดยที่ไม่อาจหยุดรอยยิ้มของตัวเองได้

พอขึ้นมาบนรถแล้วผมถึงได้สังเกตเห็นว่าพี่ภูไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมแล้ว เขาอยู่ในชุดนักศึกษา ถึงจะไม่ได้เซตผมอะไรแต่ก็ดูเรียบร้อยพอสมควร และแน่นอนว่าดูเท่เป็นปกติ…คูลมาก

“พี่อาบน้ำตอนเช้าแล้วเหรอ”

“ใครจะสกปรกเหมือนมึง”

ว่าแล้วไง…

“ผมแค่หิวจนลืม” ผมหน้าหงิก รีบเถียงก่อนจะโดนเข้าใจผิด

ถ้าคนอย่างผมสกปรกในโลกนี้คงไม่มีใครสะอาดแล้ว ผมเป็นคนรักความสะอาดมากถึงมากที่สุด ประเภทว่าห้องต้องเรียบร้อยตลอดเวลา จะหยิบอาหารก็ต้องล้างมือก่อนอะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดที่ต้องหยีใส่ความสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ไปหมดทุกอย่าง

“แล้วพี่มีเรียนเหรอ”

“เปล่า..”

“แล้วทำไมใส่ชุด…” ผมทำหน้างงในขณะที่มองเครื่องแต่งกายของเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“จะเข้าไปจัดการอะไรหน่อย”

จัดการ…

“เรื่องผมเหรอ”

ทันทีที่พูดจบพี่ภูก็หันมามองผมวูบหนึ่ง สายตาของเขาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังแปลกใจ

“ผมเก่งไง” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มแถมยักคิ้วให้อีกที

“เก่งเรื่องที่ไม่จำเป็น” เขาส่ายหน้าแล้วหันกลับไปขับรถต่อ

“ผมว่าผมเก่งทุกเรื่องนะ”

“ให้พูดอีกที”

“ทุกเรื่อง...เอ่อ…” พูดไปพูดมาชักไม่แน่ใจ “อาจจะยกเว้นเรื่องพี่”

เพราะแลดูจะโดนรู้ทันไปหมดจนเสียเซลฟ์เบาๆ

“กระต่ายบ้า” พี่ภูพูดเสียงค่อย แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นคำนี้ทีไรมันถึงได้ดังเข้าหูผมตลอดทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดดัง กระต่ายบ้าบ้างล่ะ กระต่ายงี่เง่าบ้างล่ะ ไม่มีสักครั้งที่คำว่ากระต่ายเล็ดลอดออกไปจากหู ทั้งที่ผมไม่อยากได้ยินเลยสักนิด

 แต่จะว่าไป…

‘อย่ามาแตะกระต่ายกู’

ยกเว้นประโยคนี้ไว้หน่อยแล้วกัน...มันกระแทกใจ

“คือว่า...ที่บอกว่าผมเป็นกระต่ายของพี่” ผมกัดริมฝีปาก พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ ถ้าไอ้โซอยู่ข้างๆ มันคงมองแรงใส่ผมแล้วถามว่าคนหน้าด้านเขินเป็นด้วยเหรอแน่ๆ “ถึงผมจะเคยขอเป็นกระต่ายแล้วพี่ตอบว่าอืมไปแล้วก็เถอะ แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมัน…”

มันอะไรวะ…

“...”

“เอ่อ…”

“กูหมายความตามที่พูด”

“จริงนะ” ผมหันไปมองพี่ภูทันควัน ปากยิ้มจนแทบจะฉีกไปถึงใบหู ต่างจากคนพูดที่หน้านิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไม่เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

“อือ”

“ฮือ…”

โป๊ก!

“โอ๊ย!”

“Shit!” เสียสบถดังขึ้นพร้อมกับที่พี่ภูรีบบังคับให้รถเข้าจอดข้างทาง ผมเอามือกุมหัวที่จงใจเอาไปโขกกระจกเพราะทำอะไรไม่ถูกไว้แน่น มันสะเทือนไปถึงใบหน้าที่กำลังปวดจนต้องกัดริมฝีปากเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างรีบจับโน้ตบุ๊กราคาแพงที่วางไว้บนตักตามสัญชาตญาณ

“มึงเป็นบ้าเหรอ เอาหัวไปโขกกระจกทำไม!” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาใช้มือข้างหนึ่งจับใบหน้าผมให้หันไปหาแล้วมองมาด้วยดวงตาดุๆ เหมือนจะตำหนิ

“ผมทำอะไรไม่ถูก” ง่ายๆ คือเอาหัวไปโขกกระจกเล่นด้วยความโง่ของตัวเองล้วนๆ “ขอโทษครับ”

“ปวดใช่ไหม” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วพูดเหมือนจะขัดใจ มือของเขาจับหน้าผมหันไปมาเบาๆ

“นิดหน่อย…”

“รู้งี้น่าจะให้อาบน้ำทายาก่อน” เขาบ่นแบบไม่จริงจังนัก ผมได้แต่กะพริบตามองใบหน้าคนเป็นห่วงนิ่งๆ จะว่าดีใจมันก็ดีใจ แต่ก็พอมองออกว่ามันยังไม่ถึงขั้นห่วงแบบคนรักหรืออะไรแบบนั้น

อ่า...น่าจะเป็นแบบเจ้าของห่วงกระต่ายนั่นล่ะ ผมบอกแล้วว่าพี่ภูใจดี

“ปกติก็ดูฉลาดไม่ใช่หรือไง ทีแบบนี้ล่ะโง่นัก” พี่ภูปล่อยมือออกแต่ใบหน้ายังไม่คลายความดุ ผมเลยได้แต่อธิบายเสียงหงอย

“ก็บอกแล้วว่าตอนอยู่กับพี่ผมไม่อยากฉลาด”

อยู่ด้วยแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ กลายร่างเป็นเด็กปัญญาอ่อนเพิ่งหัดรักทุกที ผมรู้ดียิ่งกว่าใครว่าเวลาอยู่กับพี่ภูตัวเองเปลี่ยนไปมากขนาดไหน เขามีอิทธิพลต่อผมไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม และผมรู้สึกยินดีที่มันเป็นแบบนั้น

คนหน้าดุได้ยินผมตอบแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปขับรถเหมือนเดิมโดยไม่มองมาอีก ผมกลัวเขาจะโกรธเลยได้แต่นั่งพิงเบาะเฉยๆ อย่างว่าง่าย

“เดี๋ยวแวะร้านข้าวข้างหน้า ข้าวมันไก่เอาไว้วันหลังแล้วกัน มึงต้องกินยา”

“แต่ผมไม่ได้เอายา…” ยังไม่ทันจบประโยคคนที่กำลังขับรถก็ควักแผงยาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนมาให้โดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย ผมมองแผงยาแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองไม่ชอบมันเพราะเอาแต่ดีใจกับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับ

พี่ภูจอดรถที่ร้านข้าวเล็กๆ ข้างทางร้านหนึ่ง ผมเดินเข้าไปสั่งอาหารที่ต้องการแล้วนั่งลงที่โต๊ะ พี่ภูเองก็สั่งแบบเดียวกันแล้วเดินตามมานั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาเอื้อมมือมาหยิบโน้ตบุ๊กที่ผมถือลงมาด้วยไปเปิดโดยไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่ผมได้แต่มองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเขาสั่งอาหารมากินด้วยกัน

“พี่กินข้าวร้านแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

“กูก็คน”

ผมหน้าบูดแต่ก็ไม่ได้กวนตีนอะไรต่อเพราะกลัวโดนเตะหน้าชากว่าเดิม แต่นั่งนิ่งๆ ไปได้สักพักก็เบื่อ ผมเลยขยับเก้าอี้ไปนั่งฝั่งเดียวกับเขาแล้วยื่นหน้าไปมองจอโน้ตบุ๊ก

“กล้าดีนะ” คนที่กำลังตั้งใจอ่านงานภาษาอังกฤษพูดขึ้นมาลอยๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากการคาดเดาของผมเท่าไหร่

“นี่กระต่ายไงจำไม่ได้เหรอ” ผมเอาคางวางไว้ใกล้ๆ แขนพี่ภูที่กำลังกดโน้ตบุ๊กอยู่แล้วเอียงหน้ามองเขา “กระต่ายทำอะไรก็ไม่ผิด”

ที่ยอมลงทุนเป็นกระต่ายด้วยตัวเองย่อมมีเหตุผล ในเมื่อเขาบอกว่าผมเป็นกระต่ายของเขาแล้ว ผมก็คงต้องยอมรับแล้วเอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อที่จะได้ขยับสถานะให้ใกล้เขามากขึ้น...และจะได้ไปไกลๆ จากสถานะกระต่ายบ้านี่เสียที

“เข้าใจพูด” ถึงน้ำเสียงจะเฉยชาแต่รอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของเขาก็ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก

อยากบอกว่ามันดี...ดีมากๆ

“สรุปว่าที่พี่คุยนั่นเป็นเรื่องผมจริงๆ ใช่ไหม”

“แค่จัดการอะไรที่มันค้างคามานาน”

เรื่องผมจริงๆ ด้วย...ถ้าให้เดาคงหมายถึงเรื่องพวกรุ่นพี่พวกนั้น บางทีพี่ภูอาจโดนแบบนี้มานานแต่ไม่เคยสนใจ พอผมโดนเพราะเรื่องของเขาแบบนี้เลยจะจัดการให้เรียบร้อย แต่คำถามคือ…

“พี่จัดการยังไง”

ความเงียบคือคำตอบของคำถามนั้น

“ผมไปด้วยนะ” ผมรีบบอกความต้องการของตัวเอง รอจนคนที่นั่งนิ่งเบนสายตามาสบแล้วถึงพูดต่อ “พี่จะไปมหา’ลัยใช่ไหม ให้ผมไปด้วยนะ”

“กลับไปอาบน้ำนอนไป”

“พี่ห่วงผมใช่เปล่า” ที่อยากให้กลับไปอาบน้ำนอนพักก็เพราะเป็นห่วงแน่ๆ แค่คิดก็หุบยิ้มไม่ได้แล้ว

“หลงตัวเองฉิบหาย”

ประโยคสนทนาทั้งหมดหยุดลงเพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี เราใช้เวลาทานอาหารไม่นานนักโดยที่พี่ภูเป็นคนออกเงินทั้งหมด พอเรียบร้อยแล้วผมก็คว้าโน้ตบุ๊กมาถืออย่างรู้หน้าที่แล้วเดินตามไปขึ้นรถ ตอนแรกผมคิดว่าจะโดนเอาไปปล่อยไว้ที่หอ แต่พอเห็นเส้นทางแล้วกลับกลายเป็นว่ารถกำลังมุ่งหน้าไปที่มหา’ลัย ทั้งยังจอดลงหน้ากองอำนวยการเสียด้วย

“พี่ภู…” ผมรั้งแขนคนที่เดินนำไว้ตอนที่เรากำลังจะเดินไปขึ้นลิฟต์ “เสื้อผ้าผม”

พี่ภูเลิกคิ้ว กวาดตามองสภาพผมแล้วส่ายหน้าเบาๆ ผมเลยต้องมองตาม สภาพของผมตอนนี้คือเสื้อแขนยาวใส่นอนกับกางเกงขายาว ถ้าไม่นับรอยช้ำต่างๆ ก็น่าจะพอดูได้อยู่ แต่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ควรใส่มาที่ตึกนี้อยู่ดี

“มันก็เข้าไปได้นั่นล่ะ กูแค่แต่งตามมารยาท”

ตอนแรกผมค่อนข้างงงกับสิ่งที่เขาพูดพอสมควร เพราะมหา’ลัยนี้เคร่งครัดเรื่องกฎ เวลาจะติดต่องานอะไรโดยเฉพาะที่ตึกนี้นักศึกษาต้องแต่งตัวเรียบร้อยเท่านั้น และเมื่อพี่ภูเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องอธิการบดีผมก็ยิ่งแปลกใจกว่าเดิม

ปกติอธิการบดีเขาให้เจอง่ายๆ ด้วยหรือไง

พี่ภูตอบคำถามในใจผมด้วยการยืนรออยู่นิ่งๆ ไม่นานนักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเลขาของอธิการบดีก็เดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน

“ท่านบอกให้เข้าไปได้เลยค่ะคุณภูริ”

อื้อหือ...สุภาพขนาดนั้นเชียว

“เส้นใหญ่นะเนี่ย” ผมเดินไปอยู่ใกล้ๆ แล้วกระซิบกระซาบ

“มึงรออยู่นี่”

“ไม่ให้ผมเข้าไปด้วยเหรอ”

“รอตรงนี้” เขาย้ำเป็นการยืนยัน ผมเข้าใจดีแต่ก็อดหน้าบึ้งไม่ได้ และมันคงบึ้งมากพอควรพี่ภูเลยถอนหายใจแล้วยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ “โทรหาเพื่อนมึงด้วย เห็นว่าติดต่อไม่ได้”

เออว่ะ...จะว่าไปเหมือนโทรศัพท์จะหายโดยไม่รู้ตัว...ฉิบหายละ

“ขอบคุณครับ” ผมรีบยกมือไหว้ รอจนพี่ภูเดินเข้าไปในห้องแล้วถึงกดโทรศัพท์อย่างรีบร้อน

[มีอะไรหรือเปล่า]

เสียงรับสายเป็นภาษาอังกฤษเหมือนคุ้นเคยกันอยู่แล้วทำให้ผมหงุดหงิดใจอยู่หน่อยๆ แต่เพราะมีเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านั้นเลยได้แต่ปล่อยผ่านไป

“โซ กูทำโทรศัพท์หาย น่าจะในห้องเมื่อวาน” ผมรีบพูดเข้าเรื่อง

[กูว่าแล้ว…] ปลายสายถอนหายใจยาว ยิ่งได้ยินเสียงมันเหมือนยุ่งยากใจผมยิ่งกังวล

“จ๋าโทรหามึงแล้วใช่ไหม”

[เปล่า…]

“ค่อยยังชั่ว” ผมโล่งอก รู้สึกขอบคุณที่จ๋าไม่โทรหาไอ้โซในวันที่ผมทำโทรศัพท์หาย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ จ๋าเป็นคงเก่ง ถ้ารู้ว่าติดต่อผมไม่ได้ก็จะถามเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งไอ้โซไม่มีทางโกหกแน่นอน คนอย่างมันคงไม่เดินมาเคาะห้องพี่ภูเพื่อให้ผมไปรับโทรศัพท์หรอก แต่ไอ้เพื่อนบ้ามันต้องเล่าหมดเปลือกไม่ให้ผมอยู่สบายชัวร์ๆ

[เก้า]

“ว่า”

[กูจะบอกว่ามันแย่กว่านั้นอีก]

“อย่าบอกนะ…” ผมปวดหัวขึ้นมากะทันหัน บางทีก็เบื่อเหลือเกินที่รู้ทันมันไปหมด

[คนที่โทรมาคือพ่อมึง]

“ไอ้โซ…” ผมเอนตัวนอนหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ยาว รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่ปวดหัวแล้ว แต่ปวดตับปวดไตคลื่นไส้ไปหมด “มึงบอกหมดเลยใช่ไหม”

[อือ หมดเลย]

“ไอ้*********”

[ฮ่าๆๆๆๆๆ]

กูด่าให้เจ็บ ไม่ใช่ให้หัวเราะ!

ผมถลึงตามองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายด้วยความหัวเสีย อยากจะเขวี้ยงทิ้งให้หายหงุดหงิด แต่เพราะยังระลึกได้ว่ามันเป็นของใครเลยได้แต่หยุดตัวเองไว้

ปกติถ้าผมไม่ยอมติดต่อกลับไปจ๋าจะเป็นคนโทรมา ไม่ใช่ว่าต้องโทรทุกวันหรืออะไร แต่ถ้าป๋าไม่ได้ไปทำงานที่ไหนแล้วอยู่บ้าน ป๋าจะสั่งให้จ๋าโทรมาเช็คเพราะอ้างว่าห่วงผมตลอด และโชคร้ายเหลือเกินที่เมื่อวานป๋าไม่ได้ไปทำงานที่อื่น...แถมยังโทรมาเช็คด้วยตัวเองอีกต่างหาก ผมไม่ได้กลัวว่าป๋าจะดุด่า แต่ที่ผมเครียดเป็นเพราะ...

ป๋าเล่นใหญ่ตลอด!

ใหญ่มาก ใหญ่มากๆ แล้วยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้...ผมไม่อยากจะคิดเลย

“นอนเหมือนเป็นบ้านตัวเอง” น้ำเสียงราบเรียบแฝงความเหนื่อยหน่ายของคนที่เดินออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ทำให้ผมรู้สึกตัวจนต้องรีบลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนจะยิ้มให้พี่ภูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่คุยอะไรมาเหรอ บอกผมได้ไหม”

พี่ภูทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังทบทวนว่าจะบอกหรือไม่บอกดี แต่แล้วเขาก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูจะเดินไปนั่งแถวเก้าอี้หินหน้าตึก แต่พอเห็นว่ามีคนมองไปมองมาแล้วเริ่มยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเขาก็ขมวดคิ้วก่อนจะเดินกลับไปที่รถเหมือนเดิม

บรรยากาศในรถเงียบสนิทจนแทบได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย ผมได้แต่มองไปข้างหน้าเพราะไม่อยากเซ้าซี้อะไร ในเมื่อเขาบอกว่าจะบอกแล้วก็คงพูดเองเมื่อถึงเวลา แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเส้นทางที่รถขับผ่านไปถึงไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยอย่างทางไปหอผมหรือคอนโดเขา

จวบจนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วรถก็จอดลงที่สวนสาธารณะตรงข้ามโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

“พวกนั้นออกไปหมดแล้ว” ประโยคแรกที่ดังออกมาจากปากพี่ภูทำให้ผมหันไปมองเขาโดยอัตโนมัติ

“พี่หมายถึง…”

“ทุกคนที่ทำร้ายมึงเมื่อวาน...ออกไปหมดแล้ว”

ออกไปหมดแล้ว...แสดงว่าที่พี่ภูเข้าไปคุยกับอธิการนั่น

“แล้วที่พี่เข้าไปคุย…”

“เมื่อวานกูแค่ให้คนหาหลักฐานให้ กะว่าจะทำตามขั้นตอนที่สมควรจะได้ไม่มีปัญหามาก แต่อธิการบอกว่าพวกนั้นลาออกไปหมดแล้ว”

“ลาออก?” ลาออกด้วยตัวเองเนี่ยนะ ผมพอจะดูออกว่าพวกนั้นต้องเป็นพวกมีฐานะ ต่อให้มายื่นเรื่องก็ไม่น่าทำได้ง่ายๆ แต่กลายเป็นว่ามาลาออกเอง…

“จริงๆ ถ้ายื่นเรื่องแล้วไม่เรียบร้อย กูก็กะจะให้คนทำให้พวกมันออกไปเองอยู่แล้ว…” พี่ภูพูดด้วยหน้าตาเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ทำเหมือนกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป

ไม่ต้องพูดออกมาผมก็พอรู้ว่า ‘ให้คนทำให้ออก’ ของเขาหมายถึงอะไร

“แล้วทำไมพวกมันถึงออกไปก่อนได้…” ผมมองพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจ เขาเองก็มองกลับมา ดวงตาคู่นั้นกำลังบอกอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยปาก และน่าแปลกที่ผมเข้าใจ “หรือว่า…”

“มีคนชิงลงมือตัดหน้าไปก่อนแล้ว...และดูเหมือนคนๆ นั้นจะข้ามการทำตามขั้นตอนไปเลยด้วย”

“...”

“ตอนนี้พวกที่ทำร้ายมึงทุกคน...อยู่ในนั้น” พี่ภูมองออกไปนอกรถ ผมมองตามและเข้าใจในทันทีว่าทำไมเขาถึงขับรถมาที่นี่

พวกมันที่ว่า...อยู่ในโรงพยาบาล

“ผมไม่เข้าไปดูนะ”

อย่างที่เคยบอก...ผมไม่ชอบโรงพยาบาล แล้วก็ไม่ใจดีพอที่จะเข้าไปดูสภาพของพวกที่ทำร้ายตัวเองด้วย ตอนที่รู้ว่าพวกนั้นโดนทำร้ายคืนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ออกจะเฉยๆ เสียด้วยซ้ำ ยังไงก็เป็นฝ่ายนั้นที่เริ่มก่อน ไม่ใช่ความผิดของผมที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้

“อืม...มึงรู้ตัวคนทำแล้วใช่ไหม”

“ครับ…” ผมพยักหน้า มาถึงขนาดนี้แล้วไม่มีทางเป็นคนอื่นได้เด็ดขาด “พ่อผมเอง”

ความเงียบครอบคลุมไปทั่วรถเมื่อพี่ภูไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เขาแค่พยักหน้าเงียบๆ แล้วทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา จนออกรถมาสักพักแล้วก็ยังเงียบอยู่ กลายเป็นผมเองที่ทนความอึดอัดไม่ไหว

“พวกนั้นไม่ชอบพี่เหรอ”

“ไม่ใช่แค่พวกนั้น” พี่ภูตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เหมือนปกติ

“ทำไมล่ะ”

“คงหมั่นไส้กู”

“ทำไมต้องหมั่นไส้ด้วยนะ…” ผมทำหน้าไม่เข้าใจแรง กวาดตามองพี่ภูแล้วก็ไม่เห็นมีส่วนไหนที่น่าหมั่นไส้ ออกจะสมบูรณ์แบบ

เออ...สมบูรณ์แบบ

“...”

“แล้วยิ่งประกอบกับข่าวลือพวกนั้นด้วยสินะ” ผมพูดต่อตามที่คิดโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่พยายามประกอบเรื่องราวที่ได้รู้ในหัว ถึงจะไม่มีทางรับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่แค่อะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำให้รู้เรื่องของเขามากขึ้นก็พอแล้ว

ถ้าตัดเรื่องที่ผมชอบเขาออกไปแล้วมองในมุมคนอื่น คนทั่วไปก็คงหมั่นไส้หรือเหม็นขี้หน้าเขาได้ง่ายๆ จริงๆ นั่นล่ะ ทั้งท่าทางหรือหน้าตารวมถึงความสมบูรณ์แบบทุกอย่าง พอประกอบกับข่าวพวกนั้นก็ยิ่งทำให้เขาดูแย่เข้าไปใหญ่ ไม่แปลกที่จะมีพวกขี้อิจฉาเอาเรื่องแย่ๆ มาเล่นงาน

“อยากรู้จัง” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับคิดหาหนทางไปด้วย แย่หน่อยตรงที่ผมไม่รู้ว่าเรื่องพวกนั้นมันเกิดตอนไหน ถ้าเป็นตอนพี่ภูอยู่ปีหนึ่งคงยากที่จะถามคนอื่น เพราะพวกรุ่นเดียวกับเขาเรียนจบกันไปหมดแล้ว

“รู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้” คนที่นั่งเงียบพูดขึ้นมาเบาๆ เขาไม่ได้หันมามองผม แต่เจาะจงชัดเจนว่าหมายถึงอะไร “แล้วกูก็ไม่ได้ต้องการแก้ไขด้วย”

“ผมก็ไม่ได้อยากช่วยแก้ไข” ผมหันไปหา ยกยิ้มตามปกติแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามอง “ผมแค่อยากรู้เรื่องของพี่...ที่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พี่ ผมขี้เกียจหาวิธีกำจัดคู่แข่ง”

ยิ่งพวกผู้หญิงยิ่งน่ารำคาญ ถ้ามาเกาะแกะเขาผมต้องบ้าตายแล้วโทรให้ป๋าจัดการให้แน่

“มึงนี่แม่ง…” พี่ภูหันมามองด้วยสายตาเอือมระอาเหมือนจนด้วยคำพูด ในขณะที่ผมยิ้มแฉ่งมั่นใจในความคิดตัวเองสุดๆ

“ให้ผมชอบพี่คนเดียวก็พอแล้ว”

“...”

“พี่ต้องเลี้ยงผมคนเดียวนะ” ผมเอียงตัวเข้าไปหาคนขับรถ แต่โดนผลักหัวกลับมาจนเกือบติดกระจก

“มึงตัวเดียวก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว จะเลี้ยงเพิ่มทำไม”

“...”

โป๊ก!

“Shit! กระต่ายเหี้ยไรเขินแล้วเอาหัวโขกกระจกวะ!”

ก็เพราะรู้ว่าจะเป็นห่วงถึงได้ทำ

---------------------------

 

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Matia ที่ 05-06-2017 21:39:19
โอยยยยยยยยยยยย น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 05-06-2017 21:57:30
ขำ555555555 คุณป๋าโหดแรง เริ่ด
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-06-2017 22:50:13
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-06-2017 23:06:11
อ้อนเข้าไปเยอะๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: idoloveyou555 ที่ 05-06-2017 23:13:16
กระต่ายเก้า เอาหัวโขกกระจกเรียกร้องความสนใจ อิอิ #ภูของกระต่าย :z3: :z3: :z3: :z3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 05-06-2017 23:15:34
คุณป๋าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ฮืออออออออ
ชอบเหลือเกิน
นิถ้าเจอกับพี่ภูน่าจะเข้าขากันได้ดี ใช่ม้าา
แต่ก่อนอื่นต้องให้อิพี่ใจอ่อนก่อน
ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 05-06-2017 23:58:08
กระต่ายทำอะไรก็ไม่ผิด o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 06-06-2017 00:33:22
เก้านี่นะ ฮ่าๆๆๆ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 06-06-2017 00:46:12
น่ารักอ่ะ

คุณป๋าโหดไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 06-06-2017 07:35:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 06-06-2017 08:33:21
งื้ออออ เขิมมมมมม  โขกมั่ง//ปั่่กๆๆๆๆๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 06-06-2017 12:25:00
ลึกๆ แล้ว หนูเก้าจะโหดเหมือนคุณป๋าไหมหนอ
 :katai3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 06-06-2017 20:05:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 06-06-2017 22:30:44
โอ๊ยยย ป๋าโคตรโหด  ชอบออ่ะอ่านแล้ววแบบบ..
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-06-2017 03:34:32
เราเพิ่งเห็นว่ามีภาคต่อของเก้า ดีใจมากกกกกกก
ชอบเก้ามาตั้งแต่เรื่องออกซิเจน ดูเป็นตัวแสบอ่ะ พอมาอ่านเรื่องนี้เก้ามันน่ารัก น่ารักมากกกก หลงเลย 555555 ครอบครัวเก้าก็น่ารักอ่ะ โดยเฉพาะเวลาเก้าคุยกับแม่จ๋า น่ารัก×2 แต่เวลาเก้าอยู่กับพี่ภูนี่น่ารัก×100เลย 555555 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-06-2017 06:25:42
กำแพงน้ำแข็ง มีรอยแล้ว
เก้ามีมานะอดทน จนได้รับการยอมรับแล้ว กระต่ายของกู
‘อย่าแตะกระต่ายกู’
แสดงการยอมรัการเป็นเจ้าของเก้าแล้ว  :hao3:

พี่ภู ไม่พูดอ่อนโยนกับเก้า ปากจิกกัด
แต่ตามใจเก้าตลอด แม้จะทำเป็นทำตามอย่างเสียไม่ได้
พวกเลวทำกับตัวเอง ก็เฉย ไม่สนใจ
แต่มาทำกับเก้า ยอมไม่ได้
แต่คนที่แก้แค้นให้เก้าก่อนอย่างไวเป็นคุณพ่อที่รักเก้าที่สุด

ปากก็ว่าเก้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่การแสดงออกนี่ห่วงใยเก้าชัดๆ
เก้ารุกเข้าใกล้พี่ภูได้ผล น่าจะเกินครึ่งละมั้ง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[9]==[P.6]== [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 09-06-2017 13:36:16



-10-

 

ผมใช้เวลานอนตายอยู่ที่หอถึงสองวันเต็ม…สองวันเต็มที่ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย เอาแต่กินนอนอาบน้ำวนไปวนมาทั้งวัน ตอนนี้ผมไม่ค่อยปวดตัวเท่าไหร่แล้วถ้าไม่กระแทกโดนแรงๆ หน้าก็ไม่ได้บวมอะไรแต่ยังเหลือรอยช้ำนิดหน่อยพอให้รู้ว่าโดนต่อยมา

การหยุดเรียนไปสองวันทำให้ผมได้เจอกับเรื่องดีๆ และเรื่องน่าปวดหัวปะปนกันไป

เรื่องดีๆ อย่างแรกคือไอ้โซเอาโทรศัพท์มาให้ผมเมื่อสองวันก่อน มันบอกว่าเพื่อนในคลาสที่ไปช่วยเก็บได้ และนั่นทำให้ผมไม่ต้องบากหน้าไปขอเงินจ๋าซื้อโทรศัพท์ใหม่ ส่วนอีกเรื่องคือผมได้คุยกับพี่ภูผ่านทางโทรศัพท์ก่อนนอนติดกันมาสองวันแล้ว โดยที่ผมเป็นคนวอแวโทรไปก่อนเอง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยตัดสาย...แม้จะเป็นการพูดคนเดียวเสียส่วนใหญ่ก็ตาม

ส่วนเรื่องปวดหัว…พูดแล้วก็ปวดจี๊ดๆ จนต้องยกมือนวดขมับ

ทันทีที่ผมได้โทรศัพท์คืนจากโซ สิ่งแรกที่เห็นคือสายที่ไม่ได้รับกว่าร้อยสายของป๋า ขนาดผมเพิ่งเปิดเครื่องฝั่งนั้นยังโทรมาอยู่เลย และพอรับเท่านั้นล่ะ…

‘ต้องฆ่ามัน!’

กว่าผมจะกล่อมป๋าให้หยุดงอแงได้ก็ใช้เวลากว่าสามชั่วโมงเต็ม ต้องขอบคุณที่จ๋าแย่งโทรศัพท์มาคุยแทน แต่หลังจากดีใจได้ไม่นานผมก็โดนสวดยับต่ออีกสองชั่วโมง ใจความหลักๆ คือ…

‘ปล่อยให้โดนทำร้ายได้ยังไงกันคะ ทำไมคุณอชิรากากแบบนี้!’

หึ…ผมก็แค่พลาดไปนิดเดียวเท่านั้นล่ะ อย่าหวังว่าจะมีครั้งที่สองเลย

จ๋าบอกผมว่าตอนรู้ข่าวจากโซป๋าแทบจะบึ่งรถมาหา จ๋าต้องเอาเชือกมัดไว้ถึงจะยอมหยุด แต่เผลอแป๊บเดียวกลับหยิบโทรศัพท์สั่งคนให้ไปเอาคืนหน้าตาเฉย จ๋าจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน ไม่ใช่ว่าจะห้ามไม่ให้ป๋าสั่งนะ แต่จะห้ามไม่ให้ใช้แผนไก่ก่า

‘คุณแม่กะจะให้คนจับแก้ผ้าแล้วเอาไปปล่อยป่าเสียหน่อย คุณป๋าก็ใจร้อนจริงๆ เลย โดนแค่นั้นจะไปรู้สึกอะไรกัน’

ผมก็คิดแบบเดียวกัน พวกลูกคุณหนูนี่ก็นะ...โดนซ้อมนิดๆ หน่อยๆ เอะอะเข้าโรงพยาบาล ผมโดนตั้งกี่ตีนไม่เห็นร้องสักคำ

ครืด ครืด

“ว่า” ผมรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายทีด้วยความขี้เกียจ

[มึงรู้ข่าวแล้วใช่ไหม]

“เออ” ถ้าหมายถึงข่าวในเพจมหา’ลัยที่พวกเด็กบริหารพากันลาออก ผมเห็นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เพราะไม่เห็นพาดพิงถึงตัวเองเลยไม่ได้สนใจ

[ยังสบายใจแบบนี้แสดงว่ายังไม่เห็นข่าวล่าสุดล่ะสิ] โซถามเสียงเรียบ แต่ผมรู้สึกเหมือนมันดูกังวลแปลกๆ

“ข่าวอะไร”

[มึงเปิดดูเอง ถ้าจะให้ไปรับก็โทรมา]

ยังมีอะไรแย่กว่าเรื่องของป๋าอีกเหรอ

ผมกดปุ่มเข้าโปรแกรมสีน้ำเงิน เห็นจำนวนการแจ้งเตือนหลายสิบแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนรู้จักที่แท็กเข้ามาเต็มไปหมด แต่ดูแล้วไม่น่าใช่ลางดี...เพราะพวกมันแท็กโดยไม่พิมพ์กวนตีนสักคำ เหมือนแค่แท็กให้ผมเข้าไปดูเฉยๆ

เพจข่าวมหาลัย…

 

Xuni-news

เมื่อสองวันก่อนมีคนเจอน้องเก้า นักร้องดุริยางค์คนดัง ในสภาพเหมือนเพิ่งโดนทำร้ายมา โดยคนที่ไปเจอเล่าว่าน้องเก้าเดินมากับรุ่นพี่บริหารปีสี่คนดังคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าน้องโดนทำร้ายหรือเปล่า แต่ตอนนี้น้องไม่มาเรียนสองวันแล้ว แฟนคลับหลายๆ คนเป็นห่วงมาก ถ้าใครทราบข่าวคราวเพิ่มเติมก็บอกกันบ้างนะคะ

*แนบรูปถ่ายด้านหลังเก้าที่กำลังขึ้นรถ

2.3kถูกใจ 323ความคิดเห็น 121Shares

 

ผมอยากจะก่นด่าคนที่ถ่ายรูปชวนเข้าใจผิดสักร้อยรอบ ไม่รู้สรรหามุมไหนเลยถ่ายให้ผมดูเหมือนโดนบังคับให้ขึ้นรถแบบนั้น ดีที่ไม่ถ่ายติดพี่ภูไปด้วย แต่แย่ที่ถ่ายติดรถคันหรูราคาแพงเข้าเต็มๆ จะมีสักกี่คนที่ขับรถแบบนี้ ไม่ต้องเดายังรู้เลยว่าของใคร

 

Ae Wanida

เราก็เห็นเหมือนกันนะ แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก พี่คนนั้นน่ากลัวมากเลย TT

154ถูกใจ 38ความคิดเห็น

 

Solo Siwarokin

@Kao Ashira

139ถูกใจ 44ความคิดเห็น

 

ดูเหมือนการที่ไอ้โซแท็กผมจะทำให้เกิดกระแสมากพอควร ส่วนใหญ่จะถามมันว่าผมเป็นยังไงบ้างหรือไม่ก็ผมต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า รวมถึงมีบางคนที่กล้าเอ่ยชื่อพี่ภูโดยตรงแล้วถามว่าเขาทำอะไรผมด้วย

ผมมองคอมเมนท์ผ่านสายตาไวๆ รู้สึกหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ห่วงแล้วไม่ได้พาดพิงก็แล้วไป แต่คนที่เข้ามาจู่โจมพี่ภูโดยอาศัยเรื่องผมให้เป็นประโยชน์ก็มีอยู่มาก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าจะไม่ชอบขี้หน้าอะไรกันขนาดนั้น แต่ยังไงก็ตาม...ถ้าปล่อยไว้แบบนี้คนที่เสียหายก็มีแต่พี่ภู ให้ลบโพสต์ตอนนี้ก็ลังแต่จะทำให้เกิดประเด็นหนักกว่าเดิม เผลอๆ อาจกล่าวหาว่าพี่ภูสั่งให้ลบด้วยซ้ำ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดส่งข้อความไปทางไลน์ให้โซมารับ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมไปเผชิญหน้า…กับปัญหาปัญญาอ่อนที่เกิดได้ไงก็ไม่รู้

 

 

“มึงจะเอาไง”

เอายังไงเหรอ…

“ไม่รู้ว่ะ”

ตั้งแต่ขึ้นรถมาจนถึงหน้าตึกบริหาร ผมก็ยังคิดถึงวิธีการแก้ไขเรื่องนี้ไม่หยุด ไม่ใช่ว่ายังคิดไม่ออก แต่ยังไตร่ตรองอยู่ว่าควรใช้วิธีไหนถึงจะได้ผลดีที่สุด

“ถ้าเป็นมึงจะทำยังไง” ผมลองถามกลับเผื่อจะช่วยได้ แต่ลืมไปว่าหมาอย่างมันไม่มีสมอง โดนเมียดูดไปหมดแล้ว

“กีตาร์ไม่มีทางโดนมองไม่ดีอยู่แล้ว”

นั่นไง…

“กูแค่สมมติมะ”

“ตอบยาก” ไอ้โซขมวดคิ้ว ท่าทางคิดหนักจริงจัง “เอาเป็นว่าถ้ากูเป็นภู กูคงไม่แคร์อะไรทั้งนั้น”

“เรื่องนั้นไม่ต้องบอกกูก็รู้” ไม่ว่าจะมันหรือพี่ภูก็ดูไม่แคร์โลกเหมือนกันทั้งคู่นั่นล่ะ “เออ...แล้วทำไมตอนโทรหากูมึงดูกังวลนักวะ”

“กังวล?” มันทำหน้าโง่ แต่พอโดนผมถลึงตาใส่ก็ยักไหล่ “ดูออกด้วยเหรอ”

“ไม่ออกเลยเพื่อน ที่ถามนี่กูพูดออกมามั่วๆ” ผมกัดมันไปทีด้วยความหมั่นไส้ ส่วนคนลีลาหน้ามึนดันยิ้มอารมณ์ดี ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการได้กวนตีนผมจะทำให้มันฉลาดขึ้นหรือยังไง

“ด่ากูทางสายตาอีกละ”

“เบื่อมึงว่ะ”

“กูก็เบื่อมึง”

“แล้วสรุปจะตอบได้ยัง” ผมรีบวนกลับเข้าเรื่องก่อนจะได้ตีกันตายบนรถ โซมันถอนหายใจก่อนจะยอมคลายรอยยิ้มแล้วทำหน้าตาจริงจังมากกว่าเดิม

“กูเคยบอกมึงแล้วว่าภูไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่จะเล่นด้วยได้” มันเกริ่นแล้วเหลือบตามองผม “ถ้าข่าวพวกนั้นไม่อยู่ในความสนใจก็แล้วไป...แต่ถ้าหัวเสียขึ้นมาเมื่อไหร่ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง เพราะงั้นเลยอยากให้มึงจัดการก่อนอะไรๆ จะเลยเถิด”

“พ่อซีบอกมึงใช่ไหม”

“ใช่”

ว่าแล้ว…

พ่อซีดูเหมือนจะรู้จักกับพี่ภูมานาน แล้วก็เคยเตือนผมเหมือนกันว่าอย่าทำอะไรเล่นๆ ผมไม่แน่ใจนักว่าพี่ภูเคยทำอะไรมา แต่ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงมีอำนาจเกือบจะเทียบเท่าพ่อตัวเองไปแล้ว เห็นได้จากงานภาษาอังกฤษที่ผมทำเนียนแอบดูอยู่หลายครั้ง ถึงจะเหมือนเข้าไปเกาะแกะเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรแต่ผมก็ไม่เคยละเลยอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น

ไม่ว่าจะเอกสารที่เขาอ่านในห้องเรียนตอนผมไปหา หรือจดหมายในโน้ตบุ๊กพวกนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นจดหมายทางธุรกิจที่ดูมีความสำคัญทั้งหมด

“ดูเหมือนว่านอกจากพ่อมึงจะส่งคนไปจัดการไอ้พวกนั้นแล้ว ภูยังทำอย่างอื่นด้วย” ไอ้โซโยนโทรศัพท์ซึ่งเปิดหน้าอีเมลทิ้งไว้มาให้ผม ข้อความในนั้นเป็นจดหมายจากใครสักคนที่ลงชื่อส่งถึงพ่อซี เนื้อความโดยสรุปคือการขอให้ช่วย “พวกเด็กปีสี่พวกนั้นเป็นลูกคนมีเงิน ส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจส่วนตัวกันทั้งนั้น และดูเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้จักพ่อกู...และติดต่อมาบอกให้ช่วยเรื่องการตั้งโรงแรมในอังกฤษที่อยู่ๆ ก็โดนปฏิเสธ”

“พี่ภู?” ผมมองหน้าเพื่อนด้วยความแปลกใจ พร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนมัน ในหัววุ่นวายอยู่กับการปะติดปะต่อเรื่องราวที่ได้รู้

“อ่า...ดูเหมือนที่ดินตรงนั้นจะเป็นของภู” มันตอบง่ายๆ “รายนั้นไม่ได้ไร้เหตุผลแต่ก็ไม่ได้ใจดี ทั้งที่เข้าไปยุ่งกับหุ้นหรือธุรกิจได้หลายๆ อย่างแต่ก็ไม่ได้ทำขนาดนั้น...แค่จัดการคนละนิดคนละหน่อยให้พวกนั้นวิ่งเต้น ออกคำสั่งง่ายๆ ว่าให้อยู่เฉยๆ อบรมลูกหลานตัวเองไป ถ้าพอใจแล้วจะยอมฟังคำอธิบายเอง”

“โคตรเจ๋ง” ผมพึมพำเบาๆ และหมายความตามที่พูดจริงๆ คนอะไรทำไมโคตรเท่...เจ๋งสุดๆ

โซทำหน้าเหมือนอยากตาย มันกลอกตาเอือมๆ แล้วถอนหายใจทีเดียวหมดปอด

“กูลืมไปว่ามึงเป็นใคร”

“อะไรวะ”

“ภูออกมาแล้วนะ มึงจะเอาแผนไหนก็เอาสักแผน” มันตัดบทแล้วมองออกไปนอกรถ ผมหันไปมองตามแล้วก็เห็นพี่ภูกำลังเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากตัวตึก

“เออ กูไปละ” ผมโบกมือลา ใช้เวลาเรียกสติแล้วลืมเรื่องที่คุยเมื่อครู่อยู่สองสามวิก่อนจะเปิดประตูรถออกไปโดยไม่สนใจสายตาของใครหลายๆ คนซึ่งมองมาด้วยความตกใจรวมถึงคนที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

ไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจเรื่องที่ได้รู้จากโซ...แต่ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรเอาไปพูดหรือถามพี่ภูต่างหาก มันจะแลดูเหมือนผมยุ่มย่ามกับเรื่องของเขามากเกิน และอีกอย่าง…

ปล่อยให้ตัวเองเข้าใจว่าเขาโมโหแทนก็ดีอยู่แล้ว

พี่ภูไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเมื่อหันมาเห็นผม แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมองออกว่าเขาจะสื่ออะไร อารมณ์ประมาณว่า ‘มึงอีกแล้วเหรอ’ อะไรแบบนั้น

“พี่ภู” ผมเดินเข้าไปหาก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเพื่อให้กล้องเห็นได้ชัดๆ แต่เหมือนใครอีกคนจะไม่เข้าใจด้วย เขาถึงได้มองผมด้วยสายตาเหมือนมองตัวประหลาด

“ทำหน้าอะไร”

“ฉีกยิ้มอยู่” ผมว่าแล้วหมุนตัวให้หันไปทางเดียวกับเขาโดยไม่ลืมมองไปทางกล้องที่ถ่ายอยู่แล้วยิ้มให้เห็นจะๆ

“ปากยิ้ม...แต่ตาเหมือนจะไปฆ่าคน”

เวร...ลืมตัว

“พี่ภู ผมขอเกาะแกะหน่อยนะ”

คนฟังเลิกคิ้วน้อยๆ ด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมนิ่งรอสักพักจนแน่ใจแล้วว่าน่าจะได้รับคำอนุญาต จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาะแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่ได้ฉวยโอกาสไปมากกว่านั้น

“จะเล่นอะไร” พี่ภูหรี่ตาลงคล้ายไม่ไว้ใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดออก ผมยิ้มให้เขาเป็นคำตอบโดยไม่พูดอะไร เพราะแค่กวาดสายตามองโดยรอบก็ดูเหมือนคนฉลาดแบบเขาจะเข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”

“อืม”

“ผมขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน” ผมพูดด้วยความสำนึกผิดจริงๆ

ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดจากตัวเองเป็นหลัก ถ้าวันนั้นผมอดทนได้แบบที่พี่ภูไม่สนใจมาตลอด พวกนั้นก็คงไม่หมั่นไส้ถึงขนาดต้องมาดักทำร้ายกันจนเกิดข่าวลือแบบนี้ขึ้น

ผมไม่ได้เสียหายแต่พี่ภูโดนเต็มๆ...ปกติคนก็กลัวเขามากอยู่แล้ว ข่าวเดิมๆ ก็ไม่ได้แก้ไขแล้วยังมีข่าวใหม่มาเพิ่มอีก ถึงเจ้าตัวจะไม่สนใจอะไรแต่ผมไม่ชอบเลยที่คนอื่นมองเขาไม่ดี

“กูไม่ได้สนใจอยู่แล้ว” พี่ภูพูดตัดความคิดของผม เขามองตรงไปข้างหน้า ไม่มีวี่แววจะสนใจสายตารอบด้านแม้แต่น้อย

“แต่ผมสนใจ” ผมออกแรงดึงแขนเสื้อที่จับอยู่ไว้ บังคับให้คนหน้าดุหันกลับมามอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองหยุดยิ้มจอมปลอมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ที่ต้องการทำมีเพียงการส่งสายตาแสดงความจริงใจไปให้คนตรงหน้า “ถึงผมจะชอบที่คนอื่นไม่กล้ายุ่งกับพี่ แต่ผมก็ไม่ต้องการให้พวกเขามองพี่เป็นคนไม่ดี...โดยเฉพาะถ้าผมเป็นต้นเหตุ”

ข่าวเก่าๆ ก็ช่างหัวมัน ใครอยากเชื่อก็เชื่อไป ผมแค่อยากรู้แต่ไม่คิดสนใจแก้ แต่มันจะต้องไม่มีข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับพี่ภูเกิดขึ้นเพราะผมเด็ดขาด

“แล้วมึงจะทำยังไง” พี่ภูก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงมองผมด้วยสายตาเป็นคำถาม ถึงหน้าจะเย็นชาแต่น้ำเสียงขบขันน้อยๆ ของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจได้ไม่ยาก “ฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าใส่กล้องอีกเหรอ”

“นั่นแค่แผนแรก ตอนนั้นยังคิดอะไรไม่ออกไง” ผมอธิบายทั้งหน้าบึ้ง รู้สึกเหมือนโดนด่ายังไงไม่รู้

ตอนแรกเห็นพี่ภูออกมาแล้วเลยคิดไม่ทัน ได้แต่ใช้วิธียิ้มให้เห็นจะๆ จะได้รู้ว่าผมไม่ได้โดนบังคับอะไร แต่เหมือนอารมณ์หงุดหงิดจะค้างมากไปนิดตาเลยไม่ยิ้มไปด้วยจนเกือบทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ดีที่ขอคีบแขนเขาไว้ได้ทัน

“พี่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เดินนิ่งๆ ไปที่รถเหมือนเดิมก็พอ”

“จะทำอะไร”

“แต๊ะอั๋ง” ผมตอบหน้าตาเฉยและยืนยันคำพูดด้วยการกอดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้พร้อมกับยิ้มกว้าง รู้สึกขอบคุณที่เกิดมาเตี้ยกว่าเขาก็วันนี้ เพราะถ้าสูงเท่ากันแล้วภาพที่ออกมามันต้องไม่มุ้งมิ้งแน่นอน

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว นอกจากจะได้แต๊ะอั๋งพี่ภูแล้วผมยังได้แก้ข่าวให้เห็นจะๆ ด้วย และที่สำคัญ…

คืนนี้ต้องไปนั่งสูบรูปให้หมด!

“กระต่ายบ้า” คนโดนเกาะบ่นพึมพำแต่ก็ยอมให้เกาะ เล่นเอาผมยิ้มไม่หุบหนักกว่าเดิม อารมณ์ดีถึงขนาดหันไปแจกยิ้มให้คนรอบๆ ส่งเสียงวี๊ดว๊ายเล่นด้วยซ้ำ

เห็นหน้าตาเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่กล้าถามของพวกนั้นแล้วตลกชะมัด

ผมกลายมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถของพี่ภูด้วยความสมัครใจอีกครั้ง จริงๆ เขาก็ไม่ได้เชิญหรอก แต่หน้าด้านขึ้นมาเอง ถือว่าเป็นกระต่ายของเขาแล้วจะทำอะไรก็ไม่ผิด เข้าใจตรงกันนะ

“มึงจะไม่กลายร่างใช่ไหม” เสียงติดจะจริงจังของพี่ภูทำให้ผมต้องกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองเขาเป็นเชิงถาม “ทำหน้าเหมือนจะกลายร่าง”

“พี่เล่นมุขเหรอ”

“หน้ากูเหมือนเล่นมุขไหม”

ไม่เหมือนเลย…

ผมเปิดกระจกหน้ารถส่องหน้าตัวเองเพื่อหาคำตอบว่าตัวเองเป็นแบบที่เขาบอกหรือเปล่า แล้วก็ต้องหัวเราะแห้งเมื่อพบว่าหน้าตาค่อนข้างจะ...คือว่า แผลที่ยังมีบนหน้าพอบวกรวมกับรอยยิ้มกว้างแล้วก็ตาที่ไม่กะพริบแล้วมันก็ดูน่ากลัวอยู่...นิดๆ

“ผมไม่อยากหน้าช้ำแบบนี้แล้ว” ผมบ่นแล้วยกมือลูบหน้าลูบตาให้เป็นปกติ “ยิ้มแล้วก็โดนหาว่าจะแปลงร่าง...ผมมีความสุขต่างหาก”

“งอแง”

“ไม่ได้งอแง” ผมเถียงก่อนจะหันไปมองคนที่กำลังขับรถ “แต่ถ้าลูบหัวแล้วจะหาย”

“สรุปงอแงหรือไม่งอแงกันแน่”

“ไม่ได้งอแงแต่เรียกร้องความสนใจ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ก็จะดีมากๆ”

มีความจะเอาแต่ก็ยังรักษาหน้าตัวเองเผื่อไม่ได้ แบบนี้สิดี เหมือนวันนี้ผมจะพกสมองมาด้วยนะ

“ให้ตายเหอะ…” พี่ภูถอนหายใจยาวเหยียดแล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก

ผมนั่งมองหน้าเขาอยู่สักพักก็รู้ว่าคงไม่ได้ตามที่พูดเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแทน ถึงจะผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร

ยังเหลืออีกอย่างที่ต้องทำ

 

Xuni-news

เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามีคนส่งรูปเข้ามาให้เพจมากมายเรื่องที่น้องเก้าไปปรากฎตัวอยู่ที่คณะบริหาร เหมือนหลายๆ คนจะพูดตรงกันว่าน้องดูสนิทสนมกับพี่ปีสี่คนนั้นนะคะ มีการจับไม้จับมือกันด้วย เพราะงั้นเรื่องอาจไม่ใช่แบบที่คิดก็ได้ ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตกใจนะคะ

*แนบรูปเก้าเกาะแขนภู

775ถูกใจ 67ความคิดเห็น 32Shares

 

หืม...ขนาดผมเพิ่งขึ้นรถมาไม่ถึงสิบนาทีนะเนี่ย ข่าวไวชะมัด

ผมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าพี่วินแท็กอะไรบางอย่างมา ทั้งยังไม่ใช่เพจข่าวสารมหา’ลัยเสียด้วย

 

Admin Page Cute:

คู่ใหม่หรือเปล่าคะเนี่ยยยยย ดูท่าทางแล้วของจริง น้องเก้าคนดังเกาะแขนพี่ภูแล้วกร๊าวใจมากกก แล้วคนพี่ก็ให้น้องเกาะด้วยนะ น่ารักมากกกกก หมดโมเมนท์โซโล่กีล์จากเมื่อปีก่อนไปแล้วก็มีภูเก้ามาแทน ดีมากๆ เลย ฮือออ

*แนบรูปเก้าเกาะแขนภูแล้วเงยหน้ายิ้ม

1.3kถูกใจ 245ความคิดเห็น 121Shares

 

อันนี้ก็เอ่ยชื่อพี่ภูเหมือนกัน แต่มาคนละแนวเลย คิดไปคิดมาแล้วก็น่าสนใจดี เพราะนอกจากจะเป็นการกลบกระแสแย่ๆ แล้วคนยังหันมามองด้านอื่นแทนด้วย

ได้นกตัวที่สี่เฉย

ผมเลื่อนอ่านคอมเมนท์ผ่านๆ ส่วนใหญ่พวกเพจข่าวยังคงมีคนมาหาเรื่องอยู่บางส่วน ประเภทว่าผมโดนบังคับหรืออะไรแบบนั้นก็มีอยู่ ต่างจากอีกเพจที่มีแต่ผู้หญิงเข้ามากรีดร้องโดยสิ้นเชิง

จะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็แลดูจะไม่ใช่นิสัยผมด้วยสิ...ผมเปิดเข้าหน้าไทม์ไลน์ตัวเองที่มีคนติดตามอยู่พอควร ก่อนจะบรรจงพิมพ์ข้อความลงไปตามที่คิด พอตรวจทานเรียบร้อยแล้วก็กดโพสต์ก่อนจะปิดการแจ้งเตือนตัดความรำคาญล่วงหน้า

 

Kao Ashira

ที่ผมหยุดไปเพราะโดนคนดักทำร้ายจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเพราะพวกนั้นลาออกกันไปหมดแล้ว เพราะงั้นขอความกรุณา...อย่างน้อยแค่คนที่รู้จักผม ช่วยอย่าพาดพิงถึงคนสำคัญของผมนะครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง

 

ตอบแบบพระเอกหน่อยๆ นอกจากจะดูคูลแล้วผมยังเบี่ยงประเด็นให้คนไปสนใจว่าใครคือคนที่ลาออกไปได้ด้วย และเมื่อมันดันพอดิบพอดีกับข่าวเด็กบริหารลาออกแบบนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร...เกิดประเด็นร้อนแรงแน่ๆ

นี่ยิงปืนนัดเดียวได้นกตัวที่เท่าไหร่แล้วนะ…

“เก่งสุด”

“คนบ้าอะไรชมตัวเอง”

ผมเงยหน้ามองคนขับรถทันควัน แล้วก็ได้แต่ยกมือเกาหัวเมื่อพบว่าพี่ภูกำลังนั่งกอดอกมองมาที่ผมซึ่งไม่รู้เลยว่ารถจอดอยู่หน้าหอตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่

“พรุ่งนี้ผมต้องเริ่มซ้อมดนตรีแล้ว…” ผมเริ่มเกริ่นเมื่อนึกได้ว่าโซมันเอาตารางงานมาให้ตอนมารับ “คงไม่มีเวลาไปเกาะแกะพี่เยอะ”

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย

“ยังไม่เริ่มออกกำลังเลยด้วย แบบว่า…ผมนัดกับไอ้โซไว้ว่าจะไปว่ายน้ำพรุ่งนี้หลังซ้อม ประมาณหกโมง พี่ไป…”

“กูต้องกลับมาคุยกับน้องตอนเย็น”

“อ๋อ” ผมรับคำเสียงอ่อย ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรือจะนอยอะไร แต่ความอยากรู้มันกำลังพุ่งพล่านเลยต้องระงับไว้

“แต่หลังจากนั้นก็ว่าง ถ้าอยากจริงๆ ก็มาว่ายที่คอนโด”

ผมจะบอกเป็นรอบที่ร้อย...ว่าพี่ภูโคตรใจดี และจะบอกเป็นรอยที่ร้อยเหมือนกัน…ว่า...

“ผมชอบพี่...ชอบมากๆ” ไม่ว่ากับคนอื่นเขาจะเป็นยังไง จะน่ากลัว จะอันตรายขนาดไหน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผมก็ยังเป็นพี่ภูคนที่ผมชอบอยู่ดี

ผมไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดไหนถึงได้รู้สึกเจ็บแผลบนใบหน้า แต่อย่างน้อยมันก็คงไม่ได้ดูแย่มากนัก…พี่ภูถึงได้มองมานิ่งงันโดยไม่ได้ตำหนิอะไรอีก

 “บอกให้เอากลับไปคิดไม่ใช่หรือไง”

เรื่องนั้น…

“ผมไม่เคยต้องคิดหาคำตอบเลย เพราะมันชัดเจนมาตั้งแต่แรก” ผมตอบเขาตามที่คิดก่อนจะส่งผ่านสายตาจริงจังไปให้

“...”

“ถ้าพี่ยังไม่ให้ผมเข้าไปใกล้กว่าเดิมด้วยเหตุผลที่ว่าพี่ไม่มั่นใจในความรู้สึกของผม ผมบอกไว้ตรงนี้เลย...ผมไม่เคยเห็นเรื่องความรู้สึกเป็นของเล่น ไม่เคยคิดว่าต้องเอาชนะ” ผมใช้ปลายนิ้วแตะหลังมือของเขาเบาๆ และวางทิ้งไว้อย่างนั้น

“...”

“ชอบก็คือชอบ ผมชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด อย่างเดียวที่ผมอยากชนะ...มีแค่ใจพี่”

พูดอะไรออกไปวะน่ะ…น้ำเน่าโคตร

ผมเงยหน้ามองพี่ภูลุ้นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลุ้นอะไร แต่รู้ว่าเกร็งไปหมดเพราะเฝ้ารอคำตอบของเขา ในขณะที่คนหน้าดุแค่ยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เหมือนทุกที แต่ใบหน้าคมเย็นชากลับอ่อนลงกว่าครั้งไหนๆ

“อืม”

และประโยคตอบรับสั้นๆ ของเขากำลังจะทำให้ผมตาย

“งั้นผมไปแล้วนะ” ผมบอกลาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองนึกอะไรไม่ออก ในหัวว่างไปหมดจนไม่รู้จะชวนคุยอะไรอีกดี

“อ่า”

“...”

“ไปสิ” พี่ภูไล่

“ไม่ได้จริงๆ เหรอ”

“อะไรไม่ได้”

“ลูบหัวไง” ผมเอามือชี้ที่หัวตัวเองแล้วขยับหน้าไปใกล้ๆ แต่คนมองกลับส่ายหน้าแล้วเอานิ้วดันหน้าผากผมออก

“ไปได้แล้ว”

“ไปก็ได้...เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปเคาะห้องนะ”

พี่ภูพยักหน้าตอบ เป็นอันตกลงรู้เรื่อง ผมเลยเปิดประตู ยอมก้าวออกจากรถแต่โดยดี

“เดี๋ยว”

“ครับ?”

“พรุ่งนี้เจอกัน” แล้วมืออุ่นๆ ของคนขับรถก็ขยับมาลูบหัวผมเบาๆ สองสามทีก่อนจะผละออกไป

ผมยืนเอามือแตะหัวตัวเองอยู่หน้าหอ ตามองป้ายทะเบียนรถที่ขับออกไปแล้วจนสุดสายตา สมองมีเพียงความว่างเปล่า แต่เมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นใจที่เต้นเป็นปกติมาตลอดก็กระหน่ำเต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งยังร้อนผ่าวที่หน้าจนต้องทรุดตัวลงนั่งยองๆ ซ่อนใบหน้าตัวเองไว้

ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย

ผมเลียริมฝีปากแห้งผากแล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าคุมสติไม่อยู่อีกนิดคงหัวเราะออกมาแล้ว

วันนี้ผมเข้าใกล้พี่ได้มากขึ้นอีกก้าวแล้ว...

“มีความสุขว่ะ…”

การได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง...แม่งโคตรมีความสุขเลย

 

---------------

 

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 09-06-2017 14:02:56
ง่อวววววเขินแทนเก้าเลยอ่ัะ :-[ :-[ :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 09-06-2017 14:37:01
นังแรด !

อยากเห็นครอบครัวน้องเก้าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จะเป็นยังไงกันนะ
ที่สำคัญอยากเห็นครอบครัวน้องเก้าเจอพี่ภู จะเป็นยังไงน้าาาา


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 09-06-2017 17:23:09
 :o8: :o8: :o8: :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 09-06-2017 17:36:36
ถ้าป๊าไม่เล่นใหญ่ เราอาจจะได้เห็นพี่ภูเล่นใหญ่แทนได้นะ
แอบหมั่นนังเก้า โอ้ยๆๆๆๆ
ตลกคุณจ๋าอ่า จับแก้ป้าแล้วไปปล่อยกลางป่า คิดได้ไง 555+
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 09-06-2017 18:00:41
มันก็จะมีความละมุนๆหน่อยนึง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 09-06-2017 18:52:09
เราก็ชอบให้คนลูบหัวเหมือนกันมันรุ้สึกดีจริงๆนะ เขาใจความรู้สึกเก้าเลยว่ามันฟินขนาดไหน 555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 09-06-2017 19:45:14
เขินอ่ะ ขอเก้าได้ไหมอ่ะ ชอบเด็กมันอ้อนแบบนี้ ใจบางหมดแล้วววววว ยิ้มแก้มจะแตก เด็กอะไรมั่นใจในความรู้สึกตัวเอง แค่นี้พี่ภูก็หลงจะแย่แล้วว แค่ทำเป็นเก๊กแค่นั้นเอง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 09-06-2017 19:55:58
น้องเก้า เคลิ้มไปเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-06-2017 20:11:00
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 09-06-2017 20:49:37
ถือว่าเป็นกระต่ายของเขาแล้วจะทำอะไรก็ไม่ผิด เข้าใจตรงกันนะ
โอ๊ยยยย ความมั่นใจ สิบ สิบ สิบ ไปเลยค่าาาา o13 o13 o13
 :call: :call:และอะไรคือความฟินระดับนี้ เค้าเกาะแขน แต๊ะอั๋ง ลูบหัว กันด้วย
หนูจะไม่ทน  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-06-2017 20:50:56
โอ้ยยยยยย เก้าน่ารักมากอ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 09-06-2017 22:15:42
น้องเก้าน่ารักดี
อ่านล่ะเขินแทนเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 09-06-2017 22:39:21
มันก็จะมุ้งมิ้งๆอยู่หน่อยๆ

จะมุ้งมิ้งๆ ได้สักกี่ตอนน๊าาาาาาา

ภูเก้าน่ารักอ่ะ ชอบมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 10-06-2017 08:39:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 10-06-2017 15:32:32
 :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 10-06-2017 22:24:45
ครอบครัวเก้ามันไม่ธรรมดา จริงๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-06-2017 11:15:36
เก้า ฟินไปอีกหลายวันนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-06-2017 15:45:56
แหมมมม นังเก้า !!  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[10]==[P.6]== [09/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 15-06-2017 11:44:04
-11-

 

“อันนี้ซ้อมของงานไหนนะ”

“มึงซ้อมมาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่รู้อีกเหรอไอ้เก้า”

ผมเกาหัวมึนๆ จะตอบว่าใช่ก็เสี่ยงโดนด่า อยู่เฉยๆ แลดูจะเข้าท่าสุด

“มึงนี่นะ…” พี่วินส่ายหน้า ไม่ได้ด่าต่อเพราะรู้ว่าผมคงไม่สนใจ แต่ก็ยังใจดีปาตารางงานมาให้

“โห...น้อยกว่าที่คิดนะเนี่ย”

ดูตารางงานแล้วก็มองเห็นความสบายอยู่ลิบๆ ถ้าเทียบกับปีที่แล้วถือว่าต่างกันมาก ยิ่งช่วงเทอมสองผมแทบไม่ได้พัก อยู่ซ้อมดึกดื่นทุกวัน วันดีคืนดีนักร้องไม่สบายก็ยังอุตส่าห์มาลากผมไปขึ้นเวทีทั้งที่ไม่ได้ซ้อมมาก่อน คุณอชิราสารพัดประโยชน์สุดๆ

“อาจมีงานแทรกบ้างแต่คงไม่เยอะ เพราะกูดีลไปแล้วว่าจะรับเฉพาะงานที่บอกล่วงหน้า”

ผมพยักหน้าเข้าใจ เอาแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นกันบ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่ในห้องซ้อมทุกวัน

“เออ…สรุปว่าค่ายไปหลังสอบนะ มึงไปเคลียร์คิวให้ดีๆ ด้วย”

“ทำเรื่องขอจารย์แล้วเหรอ” ผมหันไปถามพี่วินด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่แกจะทำเรื่องไวขนาดนี้

“เรียบร้อยละ จารย์เราเป็นไงมึงก็รู้อยู่”

“คนคอนเฟิร์มกันเยอะยัง”

“เรื่องแบบนี้พวกแม่งไม่พลาดหรอก” พี่วินยักไหล่แล้วลุกขึ้นยืน แต่ก่อนไปไม่วายหันมาแซวอีกรอบ “จะชวนคนสำคัญของมึงไปด้วยก็ได้นะ ฮ่าๆ”

แหม...คิดว่าคนแบบผมจะเขินบิดให้แซวเล่นหรือไง ดูท่าพี่วินเองก็รู้ตัวว่าเล่นผิดคนเลยทำท่าจะเดินหนี แต่ไม่ทันละพี่

“ผมชวนอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”

“ลำไย!”

ค่ายที่พี่วินบอกเป็นค่ายที่เด็กดุริยางค์จัดกันเอง ปกติเห็นว่าจัดทุกปี ใครจะไปก็ตามความสมัครใจ ลักษณะเหมือนไปรับน้อง แต่ปีก่อนพวกรุ่นพี่ไปตกลงกับพวกวิศวะไว้ว่าจะไปรับน้องด้วยกัน เลยกลายเป็นว่าพวกผมที่โดนรับน้องพร้อมวิศวะสนิทกันจนเหมือนเพื่อนร่วมคณะไปแล้ว

ถึงจะบอกว่าค่ายแต่จริงๆ แล้วก็เหมือนไปเที่ยวกันมากกว่า แต่เพราะไปกันทีเกือบยกคณะเลยต้องขออาจารย์ให้เป็นเรื่องเป็นราว และเพราะคณะผมไม่มีว้าก ไม่มีการรับน้องในมหา’ลัยเหมือนคณะอื่นๆ เวลาไปแบบนี้เลยเหมือนไปสนุกกัน ส่วนพวกกิจกรรมแกล้งเด็กพวกนั้นเป็นแค่อะไรเล็กๆ น้อยๆ

“ดังใหญ่แล้วนะน้องเก้าของเรา” เสียงแซววี้ดว้ายดังมาจากกลุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องซ้อม พวกนั้นหัวเราะกันยกใหญ่ก่อนจะชูหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดู “ถึงขั้นใช้คำว่าคนสำคัญเลยว่ะ”

ผมโบกมือทักทายแล้วเอนตัวนอนบนโซฟา ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ยังแซวไม่หยุด หลังจากที่โพสต์ข้อความไปแล้วผมก็ไม่ได้เข้าไปดูอีกเลย แค่ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ แอปเดียวที่ผมให้ความสนใจคือไลน์ที่เอาไว้คุยกับพี่ภูเท่านั้น

ถึงจะพิมพ์อยู่คนเดียวแต่ขึ้นว่าอ่านผมก็ถือว่าคุย

“แล้วคิดยังไงจะไปว่ายน้ำที่คอนโด” เสียงคนที่นั่งเงียบเป็นเป่าสากดังขึ้นจากด้านข้าง โซมันหาวหวอดก่อนจะบิดขี้เกียจ ท่าทางเหมือนจะตื่นนานแล้วแต่เนียนไม่ไปซ้อม

“กูชวนพี่ภูไปว่ายด้วย” ผมตอบแล้วขยับตัวไปนอนพิงตักมันก่อนจะเปิดเกมเล่น “เขามีธุระตอนเย็น ถ้าอยากให้เขาว่ายด้วยก็ต้องไปที่คอนโดมึง”

“อืม...แล้วจะว่ายห้องใคร”

เออ...ลืมไปเลยว่าชั้นบนสุดที่มีอยู่แค่สองห้องมันมีสระว่ายน้ำในตัวด้วย อลังการงานสร้างไปอีก ปกติไปก็เอาแต่เล่นเกมเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่

“กูจำได้ว่าชั้นอะไรสักชั้นมันมีสระวีไอพีที่ปิดตอนทุ่มใช่มะ”

“อืม สระเฉพาะของพวกวีไอพี ถ้าจะใช้หลังหนึ่งทุ่มหรือจะจัดงานต้องจองไว้ก่อน”

“แต่เผอิญว่าเพื่อนกูเป็นเจ้าของคอนโด…” ผมเหยียดยิ้มแล้วเงยหน้ามองทั้งที่ยังพิงขามันอยู่ ซึ่งโซมันก็ก้มลงมองกลับด้วยสายตาง่วงๆ ก่อนจะกลอกตาแล้วรับคำ

“เออ”

บอกแล้วว่าให้ใช้ความรวยให้เป็นประโยชน์ แบบนี้ค่อยสมกับเป็นเพื่อนผมหน่อย

จริงๆ สระในห้องมันหรือพี่ภูก็ไม่ได้เล็กอะไรมากหรอก แต่มันออกแนวเป็นสระสวยงามเอาไว้แช่น้ำเล่นหรือนั่งชิวมากกว่า ไม่เหมาะกับการเอาไว้ว่ายน้ำออกกำลังกายเท่าไหร่ อีกอย่าง...จากการวิเคราะห์แล้วผมคิดว่าพี่ภูกับไอ้โซน่าจะเป็นประเภทหวงพื้นที่ส่วนตัวพอกัน พวกนั้นคงไม่อยากไปอยู่ห้องคนอื่นๆ นาน แต่ถ้าถามว่าผมไม่อึดอัดเหรอที่ไปอยู่ในห้องของคนแบบนั้น ตอบได้เลยว่าไม่...เพราะเขาเต็มใจ และผมอยากอยู่ ดังนั้นไม่แคร์

“อยากว่ายน้ำจังเลยว่ะไอ้วิน”

“กูก็อยากว่ะไอ้เจมส์”

“เมื่อกี้ได้ยินใครบอกว่าจะไปว่ายน้ำที่ไหนนะ”

“เห็นว่าคอนโดใครสักคน สระวีไอพีด้วยนะมึง ท่าทางจะเป็นส่วนตัวด้วยว่ะ”

เอาแล้วไง…

“อะไรวะเฮีย ผมก็อยากว่าย”

“ไปด้วยดิ”

“กูไปด้วย”

“ไปๆๆ พรุ่งนี้วันหยุด ต้องโต้รุ่งดิวะ”

พี่วินเล่นกูแล้วไง

 

 

“ไม่ต้องห่วงไอ้เก้า กูไม่กวนมึงหรอก พวกกูสัญญาว่าจะนั่งแดกเหล้าเงียบๆ”

สมาชิกดุริยางค์คละชั้นปีกว่าสิบคนในสภาพเปลือยท่อนบนใส่แค่กางเกงขาสั้นกำลังนั่งกินเหล้าไปเล่นกีตาร์ไปอยู่ริมสระ ทั้งยังส่งเสียงดังโหวกเหวกโวยวายแบบที่ถ้าผมนอนอยู่คงมีฆ่ากันตายไปข้าง

เนี่ยนะไม่ต้องห่วง...ไม่ห่วงก็เหี้ยแล้ว!

“จะเอาไง”

นี่ก็อีกตัว...พูดเหมือนจะเห็นใจนะ แต่ยิ้มเหมือนปวดขี้ตลอดเวลาคือไร

“ก็คงต้องไปบอกเขา...ถ้าไม่ยอมมาก็ต้องทำใจ”

ทำใจวันนี้แล้วหาโอกาสชวนใหม่แบบไม่ให้ใครรู้

“จะขึ้นไปเลยไหม” มันหันมาถามแล้วลุกขึ้นยืน

“อ่า มึงจะไปหาพี่กีล์ด้วยใช่ไหม”

“อือ กีตาร์ทำของว่างอยู่”

ผมเบะปากด้วยความอิจฉาปนหมั่นไส้ พี่กีล์คนดีจะทำของว่างให้ใครถ้าไม่ใช่พวกเรา รายนั้นใจดีจะตายไป ไม่มีทางปล่อยให้คนรู้จักหิวแน่

รอก่อนเถอะ...ผมจะให้พี่ภูทำให้กินบ้าง

หันไปมองเสียงโหวกเหวกอีกรอบแล้วก็ต้องถอนหายใจ ดีที่สระวีไอพีที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของชั้นนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัวพอควร ทั้งยังเก็บเสียงได้เพราะเอาไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงโดยเฉพาะ เลยไม่ต้องห่วงว่าเสียงจะดังไปกระแทกหูใครจนเขาออกมาตะโกนด่าหรือเปล่า

ผมแยกกับโซหน้าห้อง มันเดินเข้าห้องไปก่อนโดยมีพี่กีล์เดินมาเปิดประตูให้ พอทักทายกันเรียบร้อยเขาก็เข้าห้องไป ส่วนผมก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องฝั่งตรงข้าม กำลังคิดว่าควรจะเคาะเลยดีไหม เพราะไม่รู้ว่าพี่ภูทำธุระของตัวเองเสร็จหรือยัง

 

KAO: พี่ ถ้าเสร็จธุระแล้วเปิดประตูให้หน่อยนะ

 

ผมตัดสินใจส่งไลน์ไป รอไม่นานนักข้อความก็ขึ้นว่าอ่านแล้วโดยไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา แต่เสียงปลดล็อคประตูจากด้านในบ่งบอกให้รู้ว่าคนที่ทักไปรับทราบแล้ว

“สวัสดีครับ” ผมยิ้มโดยอัตโนมัติเมื่อประตูเปิดออก เจ้าของห้องแค่พยักหน้าเงียบๆ โดยไม่ได้ทักทายกลับแต่เดินนำเข้าไปด้านในแทน

ตอนนี้พี่ภูยังอยู่ในชุดนักศึกษา ท่าทางของเขาดูธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ที่ผมต้องมองเขาด้วยความเป็นห่วงนั่นก็เพราะเจ้าตัวกำลังจุดบุหรี่แล้วยกขึ้นสูบต่อหน้าต่อตาผม…ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นพี่ภูสูบบุหรี่ เพราะนอกจากตอนที่เจอที่มหา’ลัยวันแรกผมก็ไม่เคยเห็นเขาแตะมันอีกเลย

“พี่โอเคหรือเปล่า” ผมทรุดตัวนั่งข้างๆ เขา ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเรื่องบุหรี่ออกไปถึงแม้จะไม่ชอบมันเท่าไหร่

“ทำไมถึงถาม”

“ผมไม่ค่อยเห็นพี่สูบเท่าไหร่เลยคิดว่าไม่น่าใช่สูบเพราะติด แต่พี่อาจจะเครียดเรื่องอะไรอยู่เลยต้องสูบ” ผมพูดออกไปตามที่คิด

“ช่างสังเกตนะมึง”

“ก็เป็นเรื่องของพี่นี่นา”

บรรยากาศอึดอัดแปลกๆ ไม่เหมือนปกติทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะควันบุหรี่กับกลิ่นของมันที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนี้หรือเพราะผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพี่ภู

และผมจะไม่ปล่อยมันไปไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหนก็ตาม

“ผมมีเพื่อนหลายคนที่สูบบุหรี่…” ผมจ้องตาพี่ภูก่อนจะเอาขาทั้งสองข้างขึ้นมาบนโซฟาแล้วนั่งคุกเข่า “เพราะงั้นผมถึงไม่รู้สึกอะไรเวลาเห็นคนสูบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ชอบกลิ่นของมันเท่าไหร่”

“...”

“จ๋าบอกว่าเวลาเราเครียดให้ทำอะไรที่มีความสุข ทำสิ่งที่ช่วยระบายอารมณ์และสามารถทำให้เรายิ้มได้” ผมวางมือทั้งสองข้างลงบนโซฟาก่อนจะคลานเข้าไปหาคนหน้าดุช้าๆ “บุหรี่ทำให้พี่เป็นแบบที่ผมว่าหรือเปล่า”

ความเงียบคือคำตอบของคำถามนั้น…

ผมยื่นมือไปดึงบุหรี่ที่เหลืออยู่เกินครึ่งมวนออกมาจากริมฝีปากซีดจางก่อนจะกดมันลงในที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะจนดับมอดแล้วหันมาหาคนตรงหน้าอีกครั้ง

“ตัวช่วยของพี่ไม่ใช่บุหรี่…” ผมดึงซองบุหรี่ที่ดูท่าทางน่าจะเพิ่งซื้อมาใหม่ออกจากกระเป๋ากางเกงของคนที่นั่งนิ่งเป็นหิน จากนั้นใช้ความสามารถส่วนตัวโยนมันลงในถังขยะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

“...”

ผมสบตาพี่ภูด้วยความจริงจัง รวมถึงถือวิสาสะเนียนจับนิ้วเขาไว้แน่น

“แต่เป็นผมต่างหาก”

พี่ภูก้มมองมือผมแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ ผมเลยต้องยอมเอามือออกแล้วนั่งหน้าตึง อดจึ๊ปากเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดไม่ได้

รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดอีก…

“สารพัดประโยชน์จริงนะ”

เอาเถอะ...อย่างน้อยบรรยากาศอึดอัดที่ผมไม่ชอบก็หายไปหมดแล้ว แถมเขายังดูผ่อนคลายมากกว่าเดิมด้วย

“แน่นอน...นี่ใครครับ ดูด้วย” ผมยืดอกด้วยความภูมิใจแล้วยักคิ้วกวนๆ “เพอร์เฟคขนาดนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”

“เห็นแต่กระต่ายหน้าตากวนตีน” คนพูดเอนตัวพิงโซฟาด้วยมาดเท่ๆ ก่อนจะมองผมด้วยสายตาเป็นประกายขบขันทั้งที่หน้ายังเรียบสนิท

“ผมยอมก็ได้ เห็นว่าพี่ขำหรอก” ผมประกาศยอมแพ้แม้ในใจจะยังคงยี้กับกระต่ายอยู่เหมือนเดิม

“กูขำตอนไหน”

“สายตาพี่ไง”

พี่ภูทำหน้าประหลาดใจไปครู่หนึ่ง เหมือนเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำสายตาแบบนั้นออกมาจริงๆ ผมได้แต่มองงงๆ เพราะไม่แน่ใจนักว่าเขาไม่รู้ตัวจริงหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อคนที่เอนตัวพิงโซฟาก็ลุกขึ้นยืนเสียก่อน

“มึงมันตัวอันตราย” ว่าแล้วก็เดินหนีเข้าไปในห้องนอน ไม่ปล่อยให้ผมได้ถามอะไรสักคำ

สรุปว่านอกจากจะเป็นกระต่ายบ้า งี่เง่า น่ารำคาญ ผมยังอันตรายด้วยใช่ไหม...มีอันไหนดีบ้างวะเนี่ย

ผมเดินตามเข้าไปในห้องนอนของพี่ภูเพราะเห็นว่าเขาไม่ได้ปิดประตู ตอนนี้เจ้าของห้องกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า ผมเลยได้โอกาสมองสำรวจห้องนอนของเขาอีกครั้ง แม้ทุกอย่างจะยังคงเรียบง่ายเหมือนเดิม แต่วันนี้แปลกตรงที่โน้ตบุ๊กของพี่ภูวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งยังเปิดโปรแกรมบางอย่างทิ้งเอาไว้ด้วย

ผมไม่คิดหยุดความอยากรู้ของตัวเอง แต่เลือกมองผ่านๆ แค่ให้พอรู้ แล้วก็พบว่าโปรแกรมนั้นเป็นโปรแกรมคุยทางไกลที่น่าจะเหมือนกับพวกเฟสไทม์…และชื่อผู้ติดต่อที่มีอยู่ชื่อเดียวก็เตะตาสุดๆ โดยไม่ต้องพยายามเพ่งมองเลยสักนิด

ภาม

สั้นๆ ง่ายๆ ทั้งยังเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใคร

ภาม...น้องพี่ภู

“มุดจอเลยไหม” เสียงราบเรียบที่เหมือนจะแซวก็ไม่ใช่จะจริงจังก็ไม่เชิงดังขึ้นพร้อมกับที่ผ้าเช็ดตัวถูกโยนลงบนหัว ผมรีบมุดหน้าออกมาแล้วยิ้มแห้งให้คนที่กอดอกอยู่

ตอนแรกก็ว่าเนียนแล้วนะ สงสัยเผลอยื่นหน้าไปดู...เสียเรื่องเลย

“ขอโทษครับ” ผมรีบเดินออกห่างจากโน้ตบุ๊ก ดีที่พี่ภูไม่ได้ว่าอะไรนอกจากส่ายหน้าหน่ายๆ

“จะไปสระไหน”

“สระวีไอพีข้างล่าง...แต่ว่าพวกรุ่นพี่คณะผมมากินเหล้ากันด้วย พี่จะโอเคหรือเปล่า” ผมกอดผ้าผืนใหญ่แล้ววิ่งตามพี่ภูออกไปด้านนอก

“อืม” เขาตอบสั้นๆ แล้วเดินไปทางประตู

ค่อยโล่งหน่อย…

“พี่ภู ผมขอยืมผ้าเช็ดตัวสักผืนได้ไหม ไม่อยากไปรบกวนไอ้โซกับแฟนมัน”

“ก็นั่นไง”

“นี่ของผมเหรอ” ผมชูผ้าที่กอดไว้เป็นเชิงถาม “แล้วของพี่ล่ะ”

“กูไม่ลงสระ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เพราะแค่เขายอมมาด้วยกันแถมยังหาผ้าเช็ดตัวให้โดยไม่ต้องขอก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

ดีนะที่ผมเก็บอารมณ์เก่ง…

“ไอ้เก้ามาแล้วเว้ย!”

“หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเชียวนะมึง!”

“ไอ้เด็กบ้านั่นดูเหมือนคนปกติได้ด้วยว่ะ!”

“...”

พัง

ผมหรี่ตามองพวกที่ส่งเสียงโหวกเหวกในทันทีที่ผมกับพี่ภูเดินเข้ามาถึงทีละตัว ไม่ลืมชี้หน้าคาดโทษจนพวกนั้นหลบสายตากันเป็นแถวซ้ำอีกที...มันน่าจับเชือดนัก

“เก้า” พี่กีล์ส่งเสียงเรียกจากขอบสระ ผมหันไปมองแล้วก็พบว่าเขากำลังนั่งหย่อนขาลงน้ำป้อนของกินให้ไอ้โซที่เปลือยท่อนบนเกาะขาอ้อนอยู่ในสระ

หมั่นไส้!

“พี่ทำแซนวิสง่ายๆ มาให้ ถ้าจะดื่มเหล้าก็ทานอะไรรองท้องก่อนนะครับ”

“พี่กีล์คนดี” ไม่น่าหลงมาคบไอ้โซได้เลย…

ผมต่อประโยคด่าในใจก่อนจะมองเมินไอ้หมารู้ทันที่ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้

“แซนวิสอะไรเหรอพี่”

“มีทูน่ากับแฮมครับ ส่วนไส้กรอกโดนกลุ่มนั้นเอาไปหมดแล้ว” พี่กีล์ยิ้มก่อนจะผงกหัวทักทายพี่ภูแล้วชี้ไปทางกลุ่มพี่วินที่เฮฮาอยู่อีกมุม

“ขอบคุณนะพี่” ผมหยิบแซนวิสมาห้าชิ้น ยื่นให้พี่ภูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมสระไปสอง ส่วนอีกสามชิ้นที่เหลือของตัวเอง

“พี่ได้ข่าวว่าเก้าจะแข่งว่ายน้ำเหรอ”

“อื้อ”

“สู้ๆ นะครับ”

ผมไม่ได้เต็มใจแข่งเท่าไหร่หรอก แต่โดนบังคับมาอีกที กีฬามหา’ลัยปีนี้เพิ่มกีฬาเข้ามาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือว่ายน้ำ คณะที่คนน้อยอยู่แล้วอย่างคณะผมเลยแทบจะต้องลงแข่งทุกคน กระจายกันไปตามประเภทกีฬา โชคร้ายที่ผมเคยโชว์ฝีมือไว้เยอะ เลยโดนลงชื่อมันทุกอย่างตั้งแต่เตะบอลยันปิงปอง ดีที่พวกรุ่นพี่ยังใจดีใส่ชื่อผมแค่ตำแหน่งตัวสำรองยกเว้นว่ายน้ำที่เป็นตัวจริง ไม่งั้นคงได้เล่นมันทุกอย่างแน่

“พี่ภูไม่ลงน้ำจริงเหรอ” ผมหันไปถามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ยาว ซึ่งเขาก็ยังคงพยักหน้ายืนยันคำตอบเดิม “ถ้างั้นพี่กินเหล้าไหม”

“ไม่เป็นไร…”

“ไอ้เก้า! เอาคนสำคัญของมึงมาเล่นเกมด้วยกันมา”

ทำดีมากพี่วิน!

ผมยิ้มนิดๆ เมื่อคิดอะไรได้ แต่ลืมไปว่าตอนนี้หันหน้าเข้าหาใครอยู่ เลยกลายเป็นโดนเขามองด้วยความไม่ไว้วางใจแทบจะทันที

“พี่ภูไปด้วยกันนะ” ผมเริ่มอ้อนโดยการขยับเข้าไปใกล้คนที่ก้มลงอ่านหนังสือไม่สนใจใคร มือสะกิดขาเขาสองทีแล้วหยุดรอ

“ไม่”

“ไปนั่งเฉยๆ ไม่ต้องเล่นก็ได้...นะ นั่งตรงนี้เหงาจะตาย”

“ไม่เหงา”

“ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ให้พี่รู้จักด้วยไง ต่อไปจะได้เป็นเพื่อนกัน” ผมฉีกยิ้มและพยายามโฆษณาชวนเชื่อเต็มที่ แต่ใจจริงไม่อยากให้พี่ภูไปสนิทกับพวกนั้นนักหรอก...มีแต่คนบ้า

“...”

“ผมไม่อยากให้พี่อยู่ตรงนี้คนเดียว ไปด้วยกันนะ”

“อึดอัดเปล่าๆ”

ผมอมยิ้มเมื่อสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาพูดมาไม่ได้หมายถึงตัวเองจะอึดอัด แต่กลัวว่าพวกพี่วินจะอึดอัดต่างหาก

“เพื่อนผมไม่เหมือนคนพวกนั้นหรอก”

เมื่อพี่ภูนิ่งไปแล้ว ผมเลยถือวิสาสะจับมือเขาแบบไม่กลัวตาย รวมถึงมองเมินสายตาคมดุที่ไม่ได้น่ากลัวคู่นั้นด้วย ถึงจะเหมือนบังคับให้เดินตามมา แต่จริงๆ แล้วถ้าพี่ภูไม่ยอมผมคงลากเขามาไม่ได้หรอก มือที่จับไว้ก็จับแบบหลวมๆ ไม่ได้ออกแรงดึงเลยสักนิด แค่ชักจูงให้เดินตามเท่านั้นเอง

“มาๆ นั่งเลยครับพี่” พี่วินกวักมือเรียก ชี้ให้พี่ภูนั่งลงริมขอบสระ ผมเลยปล่อยมือออกก่อนจะถอดเสื้อแล้วโดดลงน้ำเกาะขอบสระอยู่ข้างๆ เขา

“ไอ้โซ! มาด้วยเลยมึง!” เฮียเจมส์หันไปกวักมือเรียกไอ้โซที่อยู่อีกด้านของสระ มันชักสีหน้านิดหน่อยแต่ก็ยอมว่ายมาอยู่ข้างๆ ผมโดยมีพี่กีล์เดินตามมาหย่อนขาลงน้ำใกล้ๆ เหมือนเดิม

“จะเล่นอะไร” ผมถาม

“ระดับนี้แล้ว...แถมคนยังเยอะแบบนี้” พี่วินกรีดยิ้มชั่วร้ายก่อนจะควักอุปกรณ์เล่นเกมที่ว่าออกมา “ป๊อกเด้งสิวะ!”

เสียงถอนหายใจของทุกคนยกเว้นพี่ภูกับพี่กีล์ดังกลบความอารมณ์ดีของพี่วินจนเจ้าตัวหน้าบูด

“อะไรวะ...กินเหล้าแล้วก็ต้องเล่นไพ่ดิ”

“เล่นในที่แบบนี้เนี่ยนะ” เฮียเจมส์โบกหัวเพื่อนไปทีจนพี่วินหน้างอ ท่าทางยังข้องใจไม่หายว่าทำอะไรผิด

“เล่นได้”

ผมหันไปมองไอ้โซที่ลอยตัวอยู่ข้างๆ ด้วยความแปลกใจ มันพยักหน้ายืนยัน เห็นแบบนั้นทุกคนเลยเออออไปด้วย…ในเมื่อเจ้าของเขาว่าได้ก็คงได้ล่ะ

“พวกกูไม่ได้พกเงินมา...อย่ามามองกูแบบนั้นไอ้เก้า! พวกกูแค่ประหยัด”

“อ๋อเหรอ” ผมเบะปากมองพี่วินเย้ยๆ หมดตูดเพราะเป็นอาทิตย์ปลายเดือนล่ะสิไม่ว่า

“เออ...เพราะงั้นใครแพ้ก็กระดกเหล้าแล้วโดดน้ำ ว่ายสามรอบแล้วกัน”

“เดี๋ยวเฮีย แบบนี้กว่าจะครบรอบก็รอกันตายเลยดิ” ใครสักคนเถียงขึ้นมา ซึ่งผมก็เห็นด้วยอยู่เหมือนกัน

“เน้นเฮฮาเว้ย!”

ไม่รู้จะด่าอะไรพี่แกดี...แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน นอกจากได้เล่นแล้วยังได้ออกกำลังด้วย เพราะเหตุผลหลักที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อออกกำลังอยู่แล้ว

“พี่กีล์เล่นด้วยกันนะครับ” พี่วินบอกพี่กีล์ด้วยน้ำเสียงสุภาพที่โคตรแตกต่างกับตัวจริง จากนั้นก็หันไปหาพี่ภูด้วยท่าทางเกร็งๆ “พี่ก็ด้วยนะครับ”

บรรยากาศที่ดูกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้ผมต้องถอนหายใจ ยิ่งเห็นว่าใบหน้าพี่ภูดูเย็นชาแปลกๆ ก็ยิ่งปวดหัวกับไอ้พวกบ้าที่นั่งล้อมวงอยู่

ผมเอามือเปียกน้ำของตัวเองวางทับลงบนมือของพี่ภูโดยไม่สนใจสายตาใคร

“ที่ดูเกร็งๆ กับพี่ภูนี่เพราะอะไรกัน” ผมเลิกคิ้วถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องการให้ใครบางคนได้ยินชัดๆ

“กูพูดได้เหรอวะ” พี่วินพูดเสียงอุบอิบ คนอื่นเลยเงียบตามด้วย

“เอาตรงๆ เลยพี่”

“ก็นั่นมันใครล่ะ!” พี่แกทำเสียงตื่นตระหนกแบบไม่รักษามารยาทอีกต่อไป “นั่นคุณภูริ เดรคนะครับผม พวกกูเพิ่งนินทาไปเองว่านามสกุลคุ้นๆ ก็คิดว่าเหมือนทายาทคนดังของอังกฤษเฉยๆ ที่ไหนได้...กูเกิลแล้วเจอหน้าเต็มๆ เลยไอ้สัตว์! มึงก็ไม่บอกพวกกูเลยว่าพี่เขาเป็นใคร! ทำอะไรผิดไปพวกกูก็โดนเชือดสิวะ!”

“เล็บพี่เขามีค่ากว่าชีวิตกูอีก”

“เออใช่”

ผมส่ายหน้าก่อนจะเอียงคอมองใบหน้าแปลกใจของพี่ภูยิ้มๆ ถึงใบหน้าจะเย็นชาเหมือนเคยแต่สายตาของเขาก็ดูผ่อนคลายกว่าเดิมหลายเท่า

“แล้วไม่คิดเหรอว่าถ้าสนิทได้จะเป็นยังไง” โซพูดขึ้นลอยๆ ก่อนจะอ้าปากกินผลไม้ที่พี่กีล์ป้อนให้ ผมเห็นมันช่วยเลยไม่อยากด่า ปล่อยให้มันทำตัวตอแหลต่อไป

“เออว่ะ”

พวกบ้าเริ่มมองหน้ากันเหมือนจะปรึกษา ก่อนเฮียเจมส์จะเป็นคนแรกที่ขยับตัวเข้าใกล้พี่ภูแล้วกะพริบตาใส่ปริบๆ

“ดีพี่ ผมเจมส์นะ เป็นพี่ชายสุดที่รักของไอ้เก้า มีไรเรียกใช้ได้เลยนะครับผม”

“เฮ้ยไอ้เจมส์ ถอยไปเลยมึง ผมวินนะพี่…”

“เฮียหลบไป ผม…”

ผมมองแต่ละคนที่แข่งกันขยับเข้าใกล้พี่ภูเงียบๆ พวกนั้นเองก็รู้หน้าที่ไม่มีใครแตะโดนตัวพี่ภูแม้แต่คนเดียว ส่วนคนโดนประจบก็นั่งมองใครต่อใครที่เข้ามาแนะนำตัวด้วยความสนใจ ถึงจะไม่ได้ตอบแต่แค่เขาเข้าใจว่าพวกนั้นล้อเล่นและไม่ได้จะประจบขออะไรจริงจังก็พอแล้ว

ถึงจะหงุดหงิดใจนิดหน่อยที่ต้องแบ่งพี่ภูให้คุยกับคนอื่น แต่ผมก็คิดว่าเขาน่าจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้มี ‘เพื่อน’ จริงๆ บ้าง ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่มีเพื่อน ไม่ไว้ใจใคร ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ แต่ในเมื่อผมได้เป็นคนแรกแล้ว ผมก็จะชักจูงคนที่ดีให้เขารู้จักทีละน้อย

เขาต้องมีเพื่อนบ้าง...มีสังคมที่จริงใจและหวังดี ในเมื่อเขาไม่ต้องการหา อาจเพราะมีแต่คนต้องการผลประโยชน์หรืออะไรก็ตาม ผมเลยอาสาหาให้เอง

ถ้าถามว่ามีผมคนเดียวไม่พอเหรอ...ตอบเลยว่าไม่

เพราะผมไม่ใช่เพื่อน แต่ตอนนี้เป็นกระต่าย และในอนาคตจะเป็นแฟน!

“ทำหน้าโรคจิต” คนหน้าดุจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากจนผมรู้สึกตัว

“พี่อารมณ์ดีแล้วใช่ไหม” ผมถามก่อนจะหันไปสบตาไอ้โซที่อยู่ข้างๆ เป็นอันรู้กัน

“ถามทำไม”

“ผมถือว่าดีนะ”

สิ้นประโยค…ผมใช้แขนทั้งสองข้างรัดเอวของคนตัวใหญ่กว่าไว้แล้วออกแรงทั้งหมดดึงเขาลงมาในน้ำโดยมีไอ้โซช่วยอีกแรง

ตูม!

“ไอ้เก้า! มึงทำอะไรพี่กู! ยังไม่ได้เล่นไพ่เลยนะเว้ย!” พี่วินโวยวายเสียงดัง ผมอยากจะถามเหลือเกินว่าไปนับญาติกันตอนไหนมิทราบ

“ก้อน…”

“เอ่อ…” ผมหันซ้ายหันขวามองหาตัวช่วย แต่มองยังไงก็ไม่เจอผู้ร่วมขบวนการ มีแค่พี่กีล์ที่นั่งหัวเราะอยู่กับพวกพี่วิน

ไอ้เหี้ยโซ! ไอ้เพื่อนเลว! แม่งว่ายหนีไปอยู่ขอบสระอีกด้านตอนไหนวะ

“ก้อน…” เสียงเย็นๆ ที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปหาเจ้าของเสียงอย่างช่วยไม่ได้

คนตัวสูงหน้าดุยืนนิ่งอยู่ด้านหลังและกำลังมองมาที่ผม เส้นผมของเขาเปียกลู่ละไปกับใบหน้าคมคายซึ่งเสริมให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ยิ่งรวมเข้ากับดวงตาสีเทาดุที่มองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อยิ่งทวีความดูดีจนน่ากลัว ไหนจะกล้ามเนื้อที่มองเห็นผ่านเสื้อสีขาวที่เปียกลู่ไปกับตัวอีก…

“คือว่า…” จะบอกว่าอยากเล่นด้วยก็พูดไม่ออก เวรกรรม

“เดี๋ยวโดน…” พี่ภูพูดเสียงเย็นเยียบก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับต้องการระงับอารมณ์ เขาหลับตาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้าจนหยดน้ำที่เกาะอยู่ไหลลงมาตามกรอบหน้า ตั้งแต่เส้นผม คิ้วเรียว จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ก่อนจะหยดลงในสระน้ำ และวินาทีต่อมาดวงตาคมดุสีเทาก็เปิดออกพร้อมกับที่เจ้าตัวยกมือเสยผมไปด้านหลังด้วยท่าทางเท่ๆ แบบที่เรียกได้ว่า...

“ฮอตสัตว์” ใครสักคนพึมพำออกมาด้วยเสียงเหม่อๆ และมันดันตรงกับสิ่งที่ผมคิดเหลือเกิน

ขนาดผู้ชายมีเมียแล้วอย่างพวกมันยังเป็นขนาดนั้น...แล้วคนที่ชอบเขาแบบผมจะเหลือเหรอ…

ฮือออ

ใจก้อนบางไปหมดแล้ว…

 

--------------



 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-06-2017 12:00:52
ก้อนโดนพี่ภูจัดการแน่  :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 15-06-2017 12:08:59
หนูก้อนก็ใจบางตลอด
ไว้ตัวบ้างลูก :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 15-06-2017 12:33:09
พี่ภู!!!!!!!!! จะเท่ไปไหนคะเนี่ย

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-06-2017 13:28:39
โอ้ยย ใจบางตามม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-06-2017 14:05:31
พี่ภู คนเท่ โซฮ็อต  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 15-06-2017 14:11:49
ใจก้อนบางไปหมดแล้ว

ตลกเหลือเกิน น้องเก้าอีกนิดนะลูกอีกนิด
สู้เขา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 15-06-2017 14:13:36
มีความอยากอ่านต่ออีกหลายๆตอน ฮืออ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 15-06-2017 14:13:57
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 15-06-2017 14:29:38
โอ้ยยยย ก้อนเอ๊ยยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 15-06-2017 14:31:20
ฮืออออ ดีใจจจ นับวันรออ่านเก้าภู กดดูทุกวันว่าอัพยัง เจอว่าอัพแล้ว กรี๊ดเลยยย  ชอบมากก รักจริมๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lady Phantom ที่ 15-06-2017 14:36:12
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
นุ้งก้อน ใจเย็นลูกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 15-06-2017 15:19:14
ถถถถ ใจก้อนบางไปหมดแล้ว  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 15-06-2017 15:32:06
ใจบางตามนุ้งก้อนด้วย ฮืออ :jul1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 15-06-2017 17:09:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 15-06-2017 18:30:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 15-06-2017 20:59:47
ใจก้อนบาง ใจคนอ่านก็บางตาม  :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-06-2017 23:21:09
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ใจก้อนบางหมดแล้วพี่ภู
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 16-06-2017 00:38:52
SO HOT :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-06-2017 00:47:47
ใจบางตามก้อนด้วยคนนน :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 16-06-2017 12:49:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-06-2017 21:02:14
ใจก้อนบาง 5555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 16-06-2017 21:26:06
พี่ภูคงแปลกใจในความจริงใจของพวกบ้า 5555+
น้องเก้าโดนแน่ อาจจะเป็นอะไรที่ดีต่อใจกะได้นะ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 17-06-2017 10:50:12
ดาเมจแรงมากจีๆ  :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 17-06-2017 12:12:38
น้องก้อน ละลายเลยมั้ย 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 18-06-2017 10:31:12
ใจคนอ่านก็บางเหมือนกัน ฮื่ออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[11]==[P.7]== [15/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-06-2017 17:12:43




-12-

 

สิ่งที่ทำให้ผมหงอยได้มีอยู่ไม่กี่อย่าง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ผมกำลังยื่นตัวสั่นเพราะความหนาวอยู่ริมขอบสระ เนื่องจากโดนคนหน้าดุทำโทษให้ยืนสำนึกผิด จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเขาสั่ง แต่แค่เห็นพี่ภูมองด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘มึงรีบทำอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้’ ผมก็เลือกปีนขึ้นมาจากสระแล้วเอามือกุมไว้ด้านหน้าพร้อมก้มหน้าให้ดูน่าสงสารเป็นการทำโทษตัวเองทันที

พี่ภูยังคงยืนมองผมด้วยดวงตาดุๆ อยู่ในสระโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งยังมีพื้นหลังเป็นภาพไอ้พวกรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงไอ้โซขำก๊ากกันอยู่อีกด้าน แต่พอผมคิดจะอ้าปากด่าก็ดันไปสบเข้ากับดวงตาสีเทาของคนๆ เดิมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วก้มหน้าลงหงอยๆ

เพิ่งเคยหงอยทั้งที่ไม่ได้โดนด่าอะไรสักคำก็วันนี้...

“ดูดิ...แม่งตัวสั่นเพราะหนาวหรือเพราะกลัววะน่ะ”

“พี่ภูโคตรเจ๋ง ทำไอ้เด็กเวรกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ได้ด้วย”

“แมวเหี้ยไร มันก็เคยบอกอยู่ว่ากระต่าย”

“เออ ลูกกระต่ายก็ได้วะ”

ผมได้แต่กัดริมฝีปากที่สั่นเทาของตัวเองไว้ไม่ให้เผลอปากด่าไอ้พวกนั้น ตอนนี้นอกจากจะแซวไม่หยุดแล้วยังบังอาจหยิบเหล้ากินพร้อมกับเล่นไพ่หน้าตาเฉย ไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด แค่นั้นยังไม่พอ มันยังมีหน้าเดินไปหยิบเสื้อใส่แล้วชวนกันไปซื้อเหล้าเพิ่มทั้งกลุ่มอีกต่างหาก แม้แต่พี่กีล์กับไอ้โซยังไปด้วย ดูก็รู้ว่าจะชิ่ง!

บัญชีแค้นนี้กูจดไว้ในใจแล้วเรียบร้อย...มีโอกาสจะเอาคืนให้สาสม

แต่ตอนนี้...หนาวโคตร

ผมจำต้องปล่อยมือที่กุมกันอยู่ด้านหน้าแล้วยกขึ้นมากอดตัวเองไว้เพราะเริ่มสั่นมากกว่าเดิม อยากกระโดดลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หายหนาว แต่พอเห็นใครอีกคนยังมองมาไม่ยอมขยับเลยจำต้องยืนนิ่งต่อ

“พี่ภู…” ผมเรียกเสียงอ่อยเพราะเริ่มทนไม่ไหว แต่พอเห็นเจ้าของชื่อถอนหายใจแล้วก็ใจเสียจนต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง

“ลงมา”

“แต่ว่า…”

เล่นตัวนิดเดียว พี่พูดซ้ำอีกทีผมสัญญาว่าจะโดดลงไปอย่างรวดเร็ว

“ดื้อ” ว่าแล้วคนที่อยู่ในน้ำก็เดินมาชิดขอบสระ มือแกร่งจับข้อมือผมแล้วดึงทีเดียวจนร่างปลิวไปตามแรงเพราะไม่ทันตั้งตัว

ตูม!

“แค่ก แค่ก” ผมรีบตะเกียกตะกายขึ้นให้พ้นน้ำแล้วไออย่างแรงเพราะไม่ได้กลั้นหายใจไว้ เผลอกินน้ำเข้าไปเต็มๆ จนแสบคอแสบจมูกไปหมด พอตั้งตัวได้แล้วก็รีบเงยหน้ามองคนต้นเรื่องด้วยสายตาหาเรื่องอย่างลืมตัว แต่พอเห็นว่าเป็นใคร…

“พี่แกล้งผม” เสียงอ่อยทันที

“ก็มึงดื้อ”

ตอนนี้ใบหน้าผมอยู่ห่างจากพี่ภูไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ แขนข้างหนึ่งยังคงถูกเขาจับไว้ ในขณะที่ความหนาวเย็นเมื่อครู่จางหายไปจนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ลงมาในน้ำหรือเพราะได้รับความอบอุ่นจากร่างกายของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากันแน่

“ตอนแรกทำหน้าเหมือนจะหาเรื่องไม่ใช่หรือไง”

ยังกล้าพูดอีก

“พี่ทำหน้าแบบนี้แล้วใครจะกล้า…”

ใบหน้าที่เหมือนกำลังกลั้นขำ แล้วยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากกับดวงตาคมที่เป็นประกายระยิบระยับอีก...เห็นแบบนี้แล้วใครยังจะโมโหต่อได้กัน

“ตาแดง” พี่ภูพูดเบาๆ พร้อมกับขยับใบหน้าเข้าใกล้ผมมากกว่าเดิม และในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มไปกับดวงตาคู่สวยที่อยู่ใกล้กว่าครั้งไหนๆ เขาก็ยกมือขึ้นแล้ว…

“โอ๊ย!”

จิ้ม! กูก็คิดว่าจะลูบ แต่นี่คือจิ้ม! หมดกันอารมณ์โรแมนติก หน้าแม่งหายแดงแทบไม่ทัน

“พี่จะเอาเหรอ!” ผมเอามือกุมตาตัวเองแล้วทำหน้าบึ้ง มือข้างหนึ่งชี้หน้าเขาแบบหมดความอดทน

“จะทำไม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะถามว่า ‘อย่างมึงจะทำอะไรได้’

ในเมื่อพี่กำลังอารมณ์ดีกว่าปกติ งั้นก็อย่าหวังว่าผมจะปรานีเลย…

“จะทำงี้ไง” ผมยิ้มนิดๆ เป็นคำตอบ อาศัยชั่ววินาทีที่พี่ภูกำลังงงโถมตัวเข้าใส่เขาเต็มแรง

ทั้งแกล้งแล้วก็แต๊ะอั๋งไปในตัว...ได้ประโยชน์ทุกทาง

ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูจะสะบัดออกหรือไม่ก็หันมาด่า กำลังนึกอยู่แล้วเชียวว่าครั้งนี้จะสำนึกผิดยังไงดี แต่ยังไม่ทันได้คิดต่ออยู่ๆ ก็โดนล็อคคอกลับแล้วจับกดน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาหายใจแทบไม่ทัน ถ้าเป็นปกติผมคงหัวร้อนเป็นไฟ แต่ครั้งนี้กลับดีใจเพราะมันทำให้ผมได้รู้อย่างหนึ่ง…

พี่ภูเล่นด้วย! ช่วงกอบโกยของกู!

“ผมหายใจไม่...แค่ก”

“ปล่อยความบ้าให้ลอยไปกับน้ำบ้าง”

เดี๋ยวๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

ดีที่พี่เขาไม่ได้ใจร้ายนัก เพราะพอรู้ว่าผมเริ่มไม่ไหวก็เปลี่ยนมาจับล็อคคอแล้วขยี้หัวแทน ผมจะหันไปบ่นก็บ่นไม่ลงเพราะตัวเองก็มีความสุขเหมือนกัน

แถมยัง...ได้เห็นรอยยิ้มของพี่ภูเป็นครั้งแรกด้วย

มันไม่ใช่รอยยิ้มกว้าง แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มมุมปากเหมือนปกติ เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มจริงๆ แบบที่เจ้าตัวไม่คิดปิดบัง รอยยิ้มที่เหมือนจะบอกว่าเขาเองก็กำลังสนุกและมีความสุข

แปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้เขินหรือใจเต้นแรงจนจะทะลุออกมาเหมือนที่คิด แต่มันกลับเต้นเป็นจังหวะมั่นคงพร้อมกับความรู้สึกอิ่มๆ ข้างในราวกับกำลังดีใจที่ได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้น ดีใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขายิ้มได้

“พี่ยิ้มแล้ว” ผมหยุดทุกการกระทำโดยชะงักค้างไว้ในท่าที่กำลังจับแขนพี่ภูอยู่ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนที่เขายิ้ม

“...” พี่ภูทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร แต่พอมองหน้าผมไปอีกสักพักเขาก็เบิกตาน้อยๆ เหมือนจะตกใจก่อนจะแตะปลายนิ้วที่ริมฝีปากของตัวเอง

“อยากยิ้มก็ยิ้ม ไม่เห็นต้องฝืนเลย” ผมบอกแล้วดึงมือเขาลง ถึงรอยยิ้มจะหายไปจากใบหน้าแล้ว แต่สีหน้าที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนปกติก็ยังคงอยู่...แค่นั้นก็พอแล้ว

“มึง…”

“ผมเก่งใช่ไหม” ผมยืดอกถาม เตรียมพร้อมรับคำชมเต็มที่ แต่กลับได้คำตอบเป็นนิ้วที่จิ้มลงมาแรงๆ ที่อกจนตัวเซ

“กาก”

“โหพี่...คำนี้ใช้กับผมไม่ได้จริงๆ คือมันไม่ใช่มากๆ”

“จะบอกว่าเก่งทุกเรื่องว่างั้น”

“ประมาณนั้น” ผมยกยิ้มด้วยความมั่นใจ “หรือพี่จะลอง”

“ลองอะไร”

ผมกวาดตามองรอบๆ เพื่อหาว่าจะใช้อะไรพิสูจน์ได้บ้าง สุดท้ายก็จบลงที่การก้มหน้ามองสระน้ำที่ยืนอยู่

“ว่ายน้ำไหม”

“หืม”

“แข่งว่ายน้ำไง...แต่แข่งเฉยๆ ก็ดูไม่น่าสนุกเนอะ” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูใสซื่อ แต่นอกจากจะไม่เชื่อแล้วพี่ภูยังยื่นมือมาผลักหน้าจนผมแทบหงายหลังอีกต่างหาก

“จะเอาอะไรก็พูดมา”

เข้าทางเลย…

“คนชนะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง!”

“งั้นถ้ากูชนะ แล้วห้ามไม่ให้มึงมายุ่งด้วยอีกล่ะ” คนพูดเลิกคิ้วถาม ส่วนผมได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่ชอบประโยคนั้นเอาเสียเลย

“ไม่นับ”

“...”

“เปลี่ยนใหม่ก็ได้” ผมหน้าตึง รีบเปลี่ยนรางวัลก่อนจะโดนต้อนให้จนมุม ถึงจะเสียดายหน่อยๆ ที่ไม่ได้ขออะไรก็ไม่เป็นไร จะให้เสี่ยงก็คงไม่ดีเพราะผมไม่เคยเห็นฝีมือว่ายน้ำของพี่ภูเสียด้วย “ถ้างั้น...ถามอะไรก็ได้หนึ่งข้อ”

จะทางไหนผมก็ได้ประโยชน์เต็มๆ…

“ทำหน้าตาชั่วร้ายอีก”

“ลืมตัว” ผมเอามือลูบๆ หน้าตัวเองให้หายชั่วร้ายแล้วยิ้มยิงฟันให้พี่ภู เขามองกลับมาด้วยสายตาอ่อนอกอ่อนใจแต่ก็ยังพยักหน้า

“เออ”

“ถ้างั้น...ว่ายไปกลับนะ”

“อืม”

ผมยกยิ้มสมใจ เพราะนอกจากจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองอยู่พอควรแล้วยังได้เปรียบพี่เขาอีกต่างหาก ในขณะที่ผมใส่กางเกงว่ายน้ำแค่ตัวเดียว ใครอีกคนกลับใส่กางเกงขายาวโดยไม่คิดถอดเสื้อเชิ้ตที่ชุ่มน้ำออกด้วยซ้ำ

“มึงนับ”

แถมยังให้ผมนับอีก จังหวะของผมก็ต้องดีกว่าสิ

“ได้เลย”

แล้วเรื่องอะไรผมต้องปาโอกาสที่ได้มาทิ้งล่ะ

“3 2 1”

ตูม! ตูม!

ชั่ววินาทีที่กระโดดลงน้ำ ผมรับรู้ได้ว่าใครอีกคนก็กระโดดตามลงมาและว่ายอยู่ข้างๆ คนแบบเขาคงไม่โกงอยู่แล้ว แต่ผมเนี่ย…บอกเลยว่าถ้าคู่แข่งไม่ใช่พี่ภูคงเนียนแปะขอบรออยู่ไม่ว่ายให้เหนื่อยหรอก

การว่ายน้ำแข่งขันเพื่อคำถามแค่หนึ่งข้ออาจดูไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมที่มีคำถามอยู่ในใจมากมายมันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะงั้นถึงได้ตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ความมั่นใจกลับต้องหายไปเมื่อมือแตะขอบสระ…

“ช้า”

“พี่!”

“ตกใจอะไร”

“พี่ถึงก่อนผม” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองแพ้ ถึงจะไม่ได้มั่นหน้าว่าจะชนะแน่ๆ แต่พอได้เจอกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็เงิบไปเหมือนกัน

“อ่อน”

“พะ...พี่…”

เกิดมาไม่เคยโดนด่าว่าอ่อนมาก่อน พี่ภูแม่ง…

“พี่โคตรไอดอลผมเลย! พี่รู้ป่ะ ผมยังไม่เคยแข่งอะไรแพ้คนอื่นเลยนะเนี่ย โคตรเจ๋ง!” ผมเขย่าแขนคนที่กำลังทำหน้างงรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น

“มึง…”

“แต่ผมไม่ยอมแพ้นะ ขออีกรอบ ผมต้องถามคำถามพี่ให้ได้ เอาไว้พี่ค่อยถามผมทีเดียวนะ”

ไม่รอให้ได้คำตอบ ผมดึงมือคนข้างๆ ให้เข้าประจำที่อีกรอบ ในใจตอนนี้พวยพุ่งไปด้วยไฟของความอยากชนะ เป็นครั้งแรกที่ผมกระตือรือร้นขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่เคยแพ้ใครมาก่อน

“เอานะ” ผมหันไปถามคนด้านข้าง พี่ภูถอนหายใจแต่ก็ยอมพยักหน้า

“3 2 1”

ตูม! ตูม!

“สองข้อ”

“ขออีกรอบ!”

ตูม! ตูม!

“สามข้อ”

“...อีกรอบ!”

ตูม! ตูม!

“สี่…”

“ขอ...ขอ…”

“พอแล้ว”

ผมหันไปมองคนด้านข้างด้วยความขัดใจ ขัดใจทั้งที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการและที่แพ้ติดกันถึงสี่รอบ จากกระตือรือร้นเริ่มกลายเป็นหงุดหงิดแทน ทั้งหงุดหงิดที่แพ้...และหงุดหงิดที่มันไม่เป็นไปตามแผน นั่นเท่ากับผมไม่มีโอกาสได้ถามคำถามเขาแม้แต่คำถามเดียว

“พอก็ได้” ผมถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าอยากยอมแพ้ แต่แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่ายังไงก็คงไม่มีทางชนะเขา แข่งต่อก็เหนื่อยเปล่า

“เพื่อนมึงไปไหนหมด”

“น่าจะไปกินเหล้าต่อที่ห้องพักแล้วมั้ง” ผมขึ้นจากสระก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาดูแล้วก็พบว่ามีไลน์จากพี่วินบอกว่าจะไปกินต่อที่ห้องจริงๆ เห็นคุยกันตั้งแต่ที่มหา’ลัยแล้วว่าจะขอห้องว่างไอ้โซอาศัยนอนสักคืน ดีที่คอนโดชั้นล่างมีห้องว่าง

สัมผัสอุ่นนุ่มของผืนผ้าที่โยนมาโปะหัวทำให้ผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันไปผงกหัวให้คนที่โยนผ้ามาให้ด้วยความขอบคุณ มือก็กระชับกอดผ้าเข้าหาตัวให้มากกว่าเดิมเพื่อบรรเทาความหนาว

“พี่ไม่หนาวเหรอ” ผมมองสภาพพี่ภูด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่ได้สั่นอะไรแต่ก็คงหนาวไม่ต่างกัน

“ไม่...มึงรีบไปล้างตัว”

“ไม่เป็นไร กลับห้องเลยดีกว่า”

ผมปฏิเสธที่จะไปล้างตัวคนเดียวเพราะรู้ว่าพี่ภูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ขึ้นห้องให้ไวที่สุดน่าจะช่วยได้มากกว่า คิดได้แล้วก็รีบสะบัดตัวให้แห้งแล้วเดินเข้าไปหาคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่

“ตามใจ”

พอขึ้นมาถึงห้องแล้วเราก็แยกย้ายกันอาบน้ำ ผมอาบห้องพี่ภู ส่วนเขาไปอาบอีกห้องที่มีเสื้อผ้าของน้องตัวเองอยู่ พอผมออกมาจากห้องก็พบว่าคนตัวสูงกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โซฟาริมกระจก บนตักมีโน้ตบุ๊กเปิดหน้าจอวางไว้พร้อมทำงาน

“ทำงานอีกแล้วเหรอ” ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปมองเอกสารที่เขาอ่านอยู่ มันยังคงเป็นเอกสารการค้าภาษาอังกฤษเหมือนทุกครั้ง

“อืม”

อีกแล้ว…ทำงานจนหน้าจะเป็นเอกสารแล้วมั้ง

ผมเบะปากแล้วกวาดตามองรอบๆ ด้วยความเบื่อ จำได้ว่าครั้งก่อนที่เข้ามามีภาพวาดวางอยู่หลายภาพ ซึ่งมันก็ช่วยทำให้ผมหายเบื่อได้มากพอควร แต่ตอนนี้มันกลับหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ขาตั้งที่วางหลบมุมอยู่

“พวกภาพวาดที่เคยวางอยู่แถวนี้หายไปไหนหมดเหรอ”

“เก็บไปหมดแล้ว ไม่มีเวลา”

มิน่าล่ะ...ดูจากที่ตอนนี้ยังทำงานอยู่ก็พอเดาได้

ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานหลายนาที เล่นเกมในโทรศัพท์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้วทำยังไงก็ไม่หายเบื่อเสียที หลังผ่านไปเป็นชั่วโมงผมเลยตัดสินใจขยับเข้าหาคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง

“ตอนนี้ดึกแล้ว…”

ไม่ได้อยากกวนนะ แต่เขาทำงานจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมเห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่ได้มีเหตุผลแอบแฝงสักนิด ไม่มีเลย ไม่ได้อยากให้สนใจเลย…

“ดึกแล้ว” ผมพูดซ้ำอีกครั้งจนพี่ภูยอมละสายตาออกจากเอกสาร เขาถอนหายใจก่อนจะวางมันลงรวมถึงปิดจอโน้ตบุ๊กบนตักแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ หลังจากนั้นก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง

“คำถามสี่ข้อ”

“ได้เลย ผมพร้อมตอบ” ผมอมยิ้มตอบ ดีใจที่เขาหันมาสนใจเรื่องนี้แทน อย่างน้อยจะได้หยุดทำงานบ้าง

“พ่อมึงเอาคนจากไหนไปซ้อมพวกนั้น”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามที่ได้รับ แต่ก็ยังตอบออกไปตามตรง

“คนของป๋านั่นล่ะ เขามีลูกน้องเยอะ คงส่งคนมาดูแลผมในกรุงเทพอยู่แล้ว”

ถึงผมจะไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าแต่ก็คิดว่าไม่น่าพลาด เพราะป๋าเยอะมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ไม่ได้สั่งคนตามติดผมทุกย่างก้าวแต่ก็ต้องมีลูกน้องอยู่แถวนี้แน่นอน

“ทำไมมีลูกน้องเยอะ” พี่ภูขมวดคิ้ว ท่าทางของเขาดูเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าหงุดหงิดอยู่เหมือนกันที่ผมเดาท่าทีเหล่านั้นไม่ออกเลย

“บ้านผมทำหลายอย่าง ป๋ากับจ๋ารู้จักคนเยอะอยู่แล้ว ส่วนลูกน้องพวกนั้นก็เป็นคนที่รับมาทำงานด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนกลับใจที่เคยติดคุกแล้วไม่มีงานทำ ป๋าบอกผมว่าพวกนั้นควรได้รับโอกาส แล้วก็เหมาะกับการช่วยงานหลายๆ อย่าง”

“ทำอะไรบ้าง”

“ทำตามคำสั่งทุกอย่างเลย ทั้งส่งของ ทวงหนี้ ไม่ก็เป็นบอดี้การ์ด บางทีผมก็ตลกนะที่พวกนั้นบูชาป๋าจนเดินไปไหนมาไหนจะกลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟียอยู่แล้ว” ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า พวกคนที่ป๋าไปคุยธุระด้วยกลัวหัวหดกันแทบทุกคน ขนาดผมเป็นลูกชายยังโดนพวกเฮียกล้ามโตทั้งหลายโอ๋มาตั้งแต่เด็กเลย เจ้านายเป็นยังไงก็ถ่ายทอดให้ลูกน้องหมดจริงๆ “พี่ลองคิดภาพผู้ชายตัวโตๆ สักทั้งตัวหลายๆ คนเดินตามเป็นขบวนดิ...โคตรฮา”

พี่ภูหัวเราะหึออกมาคำเดียวแล้วก็เงียบไป รอจนผมหยุดยิ้มแล้วเขาถึงพูดต่อ

“ข้อสุดท้าย…”

“ครับ”

“ทำไมมึงมาอยู่ห้องกูได้”

“...”

คิดว่าจะไม่รู้ตัว...

“เนียนนะมึง” พี่ภูผลักหัวผมแรงๆ แบบที่ชอบทำ ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มตามหลัง…

คือกะเอาให้ผมไม่มีอารมณ์แค้นเลยใช่ไหม ถ้าเป็นคนอื่นต้องโดนกลับสักทีสองทีไปแล้ว

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมนอนด้วยนะ”

“โคตรด้าน…”

“จ๋าบอกว่าคนหน้าด้านคือคนอดทน”

คราวนี้คนฟังทำหน้าพะอืดพะอม ลักษณะเหมือนไม่คาดคิดว่าผมจะตอบแบบนั้น

“กูเริ่มอยากเจอจ๋ากับป๋าของมึงละ”

“พี่ก็รีบชอบผมสิจะได้พาไปเจอ” ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว อยากจะบอกว่าผมเองก็อยากพาไปหาเต็มแก่แล้วเนี่ย

“ตีความไปถึงไหนวะน่ะ” พี่ภูยกมือมาวางบนหัวผมแล้วเขย่าไปมาอย่างแรง จะฟินก็ฟินไม่ลงเพราะเริ่มมึน กว่าจะยอมหยุดก็ตอนที่ผมเอาสองมือของตัวเองจับมือเขาไว้ให้วางแปะอยู่เฉยๆ

“มีแฟนแล้วก็ต้องพาไปเจอพ่อแม่ไง ไม่เห็นผิดเลย...จ๋าบอกว่าถ้าจริงจังกับใครก็ต้องพาไปเจอพ่อแม่”

“แล้วกูใช่แฟนมึงหรือไง”

“สักวันพี่ต้องพลาดท่าเสียทีมาชอบผมอยู่แล้ว” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าไม่มาชอบเองผมก็จะทำให้ชอบอยู่ดี ไม่มีทางพลาดแน่

“เหรอ”

“ตอนนี้ก็เอ็นดูอยู่ใช่ไหมล่ะ” ผมขยับเข้าไปใกล้ เอาไหล่แซะๆ จนคนทำหน้านิ่งยิ้มน้อยๆ

“เอ็นดู...เหมือนกระต่าย” ว่าแล้วก็บีบแก้มผมแรงๆ ก่อนจะลากไปที่พุงแล้วบีบซ้ำ “ก้อนๆ”

ก้อน! พูดแล้วบีบพุงมันคือการด่าชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

“ผมไม่อ้วนนะ” ผมบ่นแล้วเปิดพุงให้ดู ถึงซิกแพคจะไม่ได้ชัดเจนอะไรแต่ก็ไม่ได้มีไขมันส่วนเกินสักหน่อย

“ก้อน”

“ไม่…” ตั้งท่าจะเถียงอยู่แล้วเชียว แต่พอมองหน้าแล้วก็เถียงไม่ออกจนได้

สมควรเปลี่ยนเรื่องอย่างเร่งด่วน

“พี่ภู ผมถามอะไรหน่อยสิ”

“มึงไม่ชนะ”

ผมหน้าหงิก และมันคงดูตลกมากจนสามารถทำให้ตาคนมองดูเป็นประกายขบขันได้

“งั้นเล่นอย่างอื่น คราวนี้ผมชนะพี่แน่”

“เล่น?” พี่ภูเลิกคิ้ว ผมเลยเหยียดยิ้มก่อนจะบอกให้เขารอแล้วเดินออกไปนอกห้อง

ก๊อก ก๊อก

ไม่ต้องรอนานนักพี่กีล์ก็เปิดประตูออกมาหาด้วยสายตาเป็นคำถาม คงงงว่าผมได้โอกาสเข้าห้องพี่ภูแล้วทำไมหาเรื่องออกมา

“ไม่ต้องห่วงพี่ ผมเอารองเท้ายันไว้แล้ว” ผมชี้ให้ดูประตูห้องพี่ภูที่ถูกรองเท้ายันไม่ให้ปิด ไม่ใช่อะไร...กลัวปิดแล้วเจ้าของห้องไม่ยอมเปิดให้อีก

พี่กีล์หัวเราะเสียงดังก่อนจะถอยหลังให้ผมเดินเข้าไปในห้อง ผมไม่สนใจถามว่าโซหายไปไหน แต่มุ่งหน้าไปที่เครื่องเกมของมันแล้วจัดการถอดทุกอย่างรวมถึงคว้าแผ่นเกมมามั่วๆ สี่ห้าแผ่นด้วย

“ผมยืมนะพี่” ผมหันไปบอกพี่กีล์ที่ยืนเปิดประตูรออยู่ เขาไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มแล้วพยักหน้าให้

“โชคดีนะครับ”

“แต้งกิ้ว”

ผมเดินกลับเข้าห้องพร้อมข้าวของเต็มอ้อมแขน หลังจัดการต่อสายเครื่องให้พร้อมหมดแล้วก็เดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

ไม่ถึงห้านาทีที่ออกไปก็หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอีกแล้ว

“พักได้แล้ว” ผมสะกิดแขนคนที่นั่งอ่านเอกสารไม่ยอมหยุด ซึ่งเขาก็ยอมเงยหน้ามอง…แต่แค่ครู่เดียวก็หันกลับไปอ่านต่อ

“พี่…”

“อืม”

“อืมก็หยุดเร็ว” ใจจริงอยากจะดึงแขนให้ลุกตามมาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวไม่พอใจ ผมเลยรอให้เขาวางเอกสารลงก่อน จากนั้นก็ดึงแขนให้เดินตามไปที่โซฟาหน้าทีวี

“เอาเกมนี้นะ” ผมชูแผ่นเกมมวยปล้ำในมือขึ้น

“รอบเดียว”

“ได้เลย”

เกมนี้ผมชนะไอ้โซเป็นร้อยรอบแล้ว ไม่มีทางที่จะแพ้แน่

ผมขยับตัวนั่งคุกเข่าด้วยความตั้งใจ ไม่ได้สังเกตว่าใครอีกคนมองมาหรือเปล่า และแค่เกมเริ่มขึ้นผมก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ภูเล่นไม่เป็น เขายังกดออกท่ามั่วๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ

สบายละ

ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ผมก็ยังตั้งใจเล่น โดนสวนกลับมาบ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย สุดท้ายก็ชนะไปแบบขาดลอย

“ผมชนะ”

“อือ” พี่ภูวางจอยเกมลง ไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไร “อยากถามอะไร”

โอกาสมาแล้ว…

“เรื่องข่าวลือของพี่…” ผมลากเสียงแล้วรอสังเกตท่าทางของเขา แต่นอกจากใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์แล้วก็ไม่มีสิ่งใดแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย “ที่บอกว่าดรอปเพราะโดนพักการเรียน มีเรื่องต่อยตีไปทั่ว…”

“จะถามว่าทำไมกูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”

“เปล่า” ผมส่ายหน้า “ตั้งแต่แรกผมก็ไม่เชื่อข่าวลืออยู่แล้ว นี่ไง จดไว้ด้วย”

ผมหยิบโทรศัพท์มากดแล้วยื่นโน้ตที่จดไว้ให้พี่ภูดู เขามองด้วยสายตาประหลาดๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม

“กระต่ายบ้า” ได้ยินคำด่าแล้วก็ต้องยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วก้มลงอ่าน

 

**สนิทแล้วค่อยถาม**

>เคยมีข่าวลือเรื่องชกต่อย มีเรื่องกับคนอื่นจนมีคนตาย ดรอปเพราะโดนพักการเรียน<

**ตอนถามอย่าลืมบอกว่า ‘ไม่เชื่อ’ ด้วย**

 

แปลกตรงไหนกัน...

“ผมไม่ได้เชื่อข่าวลือแต่แรกแล้ว แต่คิดว่าคงมีมูลอยู่บ้าง เลยอยากให้พี่บอกว่ามันเป็นมายังไง”

“คำถามเดียวกะเอาคุ้มเลยนะมึง”

ผมหัวเราะแทนคำตอบ โล่งใจอยู่พอควรที่พี่เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เพราะถ้ามีความไม่พอใจแฝงมาด้วยผมคงไม่กล้าบอกให้เขาตอบ

“ยกเว้นเรื่องมีคนตายกับดรอปเพราะพักการเรียน ที่เหลือเป็นเรื่องจริง” พี่ภูพูดเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เป็นปกติ “กูดรอปเพราะต้องกลับอังกฤษ ส่วนที่มีเรื่องก็ตามนั้น ใครหาเรื่องมาก็ไม่เคยอยู่เฉยๆ อยู่แล้ว ยิ่งตอนนั้นเพิ่งเข้าปีหนึ่งยิ่งแล้วใหญ่”

“ตอนปีหนึ่งพี่ไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ”

“ก็แบบนี้...แค่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องแบบตอนนั้น”

“จุดเริ่มต้นมาจากอะไรกันแน่…แค่มองหน้ากันแล้วหมั่นไส้คงไม่ทำให้มีเรื่องต่อยตีจนเกิดข่าวลือขนาดนี้” ผมขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดต่อในใจ แค่มีเรื่องจำเป็นต้องปล่อยข่าวใหญ่ขนาดว่าทำคนตายเลยหรือไง

“คงเพราะคนที่กูมีเรื่องด้วยคนแรกมันมีชื่อเสียงแล้วก็พรรคพวกเยอะ พอเรื่องตัวเดิมจบไปไอ้ตัวต่อๆ ไปมันก็เข้ามาเรื่อยๆ”

“พูดเหมือนพี่ไม่มีชื่อเสียง”

“ไม่มี” พี่ภูส่ายหน้า “กูไม่ได้มีชื่อเสียงในไทย ถ้าไม่ใช่พวกในวงการก็ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว อีกอย่าง...กูไม่ได้ชอบให้คนอื่นมาเสือกเรื่องตัวเองแบบพวกมัน”

เพราะงั้นถึงไม่แคร์แล้วปล่อยให้ข่าวลือลือกันมาตั้งสามสี่ปีเนี่ยนะ ถ้าผมเจอพี่ภูตอนนั้นพอดีล่ะก็…

“อย่าเครียด” เสียงพูดบอกพร้อมมือที่วางลงมาบนหัวทำให้ผมรู้สึกตัว จำต้องทิ้งอารมณ์โกรธแล้วเงยหน้ามองคนด้านข้าง “กูไม่ได้ยอมคน ตัวต้นเหตุก็จัดการไปนานแล้ว ถึงจะไม่ตายแต่ก็เข้าโรง’บาลไปหลายเดือน”

“แต่ข่าวไม่จริงพวกนั้น…”

“มึงบอกว่าตัวเองไม่เชื่อ แล้วก็ไม่สนใจแก้ แค่อยากรู้เรื่องของกูไม่ใช่หรือไง”

“นั่นก็ใช่” ผมตอบเสียงแผ่ว ถึงจะว่าแบบนั้นแต่คนขี้เอาคืนอย่างผมก็อดหัวเสียไม่ได้

“รู้เรื่องของกูมากขึ้นแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ก็ใช่…”

“ไปนอนไป” พี่ภูตัดบทแล้วโบกมือไล่ ทำท่าจะคว้าเอกสารมาอ่านต่อ แต่ผมจับมือเขาไว้ไม่ยอมให้หยิบมันขึ้นมา

“แล้วทำไมพี่กับคนที่มีเรื่องด้วยคนแรกถึงได้มีเรื่องกันใหญ่โตล่ะ มันไม่น่ากล้าเข้ามาหาเรื่อง อย่างน้อยก็ไม่น่ากล้าทำร้าย…”

“ถามเกินคำถาม”

ผมมองคนที่ยกมือมาปิดปากตัวเองทั้งหน้าบูด คิดว่าจะได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วเชียว สงสัยจะรีบไปหน่อย

“ไม่ถามแล้วก็ได้”

“อืม”

“ว่าแต่เรื่องน้องพี่ที่ชื่อภาม…” ยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้เพราะคนหน้าดุมองมาเหมือนจะถามว่าเมื่อกี้พูดว่าไง ผมเลยจำใจต้องหันหลังเดินไปที่ห้องนอนแทน

“ก้อน”

“ครับ” ผมหันไปมองคนพูดหน้าหงอยๆ ความอยากรู้อยากเผือกทำให้อดรู้สึกเซ็งไม่ได้ แต่ก็พยายามเตือนตัวเองอยู่ว่าวันนี้คุ้มมากแล้ว

“ภามเป็นน้องชายแท้ๆ ของกู” พี่ภูลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหาผมที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ จวบจนมายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้วเขาก็เริ่มพูดต่อ “ตอนนี้อยู่ที่อังกฤษ เมื่อสี่ปีก่อนเคยมาอยู่ที่นี่ แต่จำเป็นต้องกลับไปกะทันหัน ข้าวของก็เลยถูกทิ้งไว้ที่คอนโดเก่า กูย้ายมานี่เลยเอามาด้วย”

“...”

“หายสงสัยแล้วก็ไปนอน ที่เหลือถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเอง”

จบคำร่างของผมที่ยืนค้างอยู่หน้าประตูห้องนอนก็โดนดันเข้าไปด้านในพร้อมประตูที่ปิดลง หลังจากยืนเหวออยู่สักพักผมถึงได้รู้ตัวว่าคำถามในใจได้รับคำตอบแล้วตั้งหลายข้อ ถึงจะยังไม่ทั้งหมดเพราะพี่ภูไม่ได้บอกรายละเอียด แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ดีใจจนเนื้อเต้น

ผมเปิดประตูออกไปด้านนอก จ้องมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ด้วยอารมณ์หลากหลาย สุดท้ายเลยกลั่นออกมาเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุด

“พี่ภู! ขอบคุณครับ!”

คนที่นั่งทำงานอยู่หันกลับมาหาก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย

“จะตะโกนให้ได้ยินทั้งคอนโดเลยหรือไง”

“ขอโทษครับ”

“ไปนอนได้แล้ว...กระต่ายโง่”

 

--------------

 

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 19-06-2017 18:26:51
พี่ภูเริ่มเปิดใจให้กระต่ายแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 19-06-2017 19:31:35
ว้ายยยยย น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 19-06-2017 19:40:29
พี่ภู พี่รู้ตัวไหมว่าถลำกับไอ้ก้อนๆมามากขนาดไหน
ปล. ใจคนอ่านบาง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 19-06-2017 20:39:01
พี่ภู เมื่อไหร่จะหลงรักกระต่ายซะที ลุ้น :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-06-2017 21:17:09
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 19-06-2017 23:51:14
น่ารักอ่ะ ชอบเก้า :)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-06-2017 00:11:44
เด็กก้อนของพี่ภูน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bydaenim ที่ 20-06-2017 01:01:09
“ไปนอนได้แล้ว...กระต่ายโง่” เราจะถือว่าพี่ภูบอกฝันดีเรานะคะ 5555555
 o22
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-06-2017 08:32:49
กระต่ายโง่ โอ๊ยยยย ทำไมเอ็นดู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 20-06-2017 22:43:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-06-2017 23:12:00
 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[12]==[P.8]== [19/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 25-06-2017 11:11:15





-13-

 

ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่วันที่ผมได้ไปค้างห้องพี่ภู ถึงจะเสียดายนิดหน่อยที่หลับไปก่อนเลยไม่ได้อ้อนให้เขานอนเตียงเดียวกันแต่ผมก็คิดว่าคุ้มแล้วกับการได้รู้เรื่องของเขามากขึ้น

ผมเคยคิดว่าพวกที่เป็นแฟนกันห่างกันนิดๆ หน่อยๆ ทำไมต้องทำเหมือนจะตาย จนถึงวินาทีก่อนก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ แถมตัวเองก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วย แต่อาทิตย์เต็มๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมันชักจะมากเกินไปหน่อย ถึงจะเป็นเพราะผมวุ่นวายอยู่กับการซ้อมดนตรีรวมถึงเล่นกีฬาจนไม่มีเวลาไปหาก็ตาม พี่ภูก็ดูเหมือนจะมีงานหนักจนแทบไม่ได้พัก ยังดีที่เขาอ่านไลน์ผมทุกวัน แม้จะไม่ได้คุยกันแต่สติกเกอร์ตัวเดียวที่ส่งมาก็ต่อชีวิตให้ได้เป็นวัน

สติกเกอร์กระต่ายอ้วน…

ผมสะกดจิตตัวเองตั้งแต่วันแรกให้มองข้ามไปว่ามันเป็นตัวอะไร พร้อมทั้งบอกให้ดีใจที่เขาตอบกลับก็พอ ต้องขอบคุณที่การสะกดจิตดูจะได้ผลดีเกินคาด...ผมเลยดีใจทุกครั้งที่เขาส่งไอ้กระต่ายอ้วนนั่นมาให้

“พร้อมนะไอ้เก้า”

“ไม่พร้อม”

“เอ้า! อะไรของมึง อีกยี่สิบนาทีจะแข่งแล้วนะ” เฮียเจมส์ที่ตามมาดูผมแข่งว่ายน้ำเกาหัวแกรกๆ ในมือมีผ้าขนหนูที่จะใช้รับผมขึ้นสระอยู่ด้วย

“อยู่ๆ ก็ขี้เกียจ” ผมว่าแล้วเอนตัวนอนลงบนเก้าอี้นักกีฬา ทั้งเบื่อทั้งเซ็ง ขี้เกียจว่ายแล้ว

“ทนหน่อย ว่ายน้ำมันแข่งวันเดียวเสร็จ หมดวันนี้แล้วมึงก็ไม่ต้องไปแข่งอะไรแล้ว...ถ้าคนไม่ขาดนะ”

ก็ไอ้ท้ายประโยคนั่นล่ะที่จะทำให้เซ็งกว่าเดิม!

วันนี้เป็นวันที่ผมมีแข่งว่ายน้ำเดี่ยวหลังจากใช้เวลาซ้อมอยู่สามวัน แต่เพราะเวลาเดียวกันมีแข่งบอลด้วยคนเลยกระจายกันมา ส่วนใหญ่คนคงขลุกอยู่ที่สนาม เพราะวันนี้ต้องเตะกับคณะศึกษาที่มีชื่อเสียงเรื่องกีฬาแทบทุกอย่าง รวมถึงมีข่าวกระจายไปว่าเดือนปีสองอย่างไอ้โซจะลงเตะด้วย ไม่รู้ไปเอาข่าวมาจากไหน มันอยู่ที่สนามก็จริง แต่อยู่ในตำแหน่งตัวสำรองต่างหาก ถ้าไม่มีใครเจ็บก็ไม่ได้ลงอยู่แล้ว ส่วนผมก็มีเฮียเจมส์มาช่วยดูกับคนอื่นๆ ที่มาเชียร์สองสามกลุ่ม

ไม่ได้ดีใจเลยสักนิด...เพราะคนที่ผมรอไม่มาให้เห็นเลย

“อยากเจอ”

“พี่ภู?”

“อือ” ผมตอบรับเสียงค่อยแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนเก้าอี้

“มึงบอกเขาหรือเปล่าล่ะ” เฮียเจมส์ถามแล้วยื่นห่อขนมมาให้

“บอก...บอกว่ามีแข่ง”

“แล้วเขาตอบว่าไง”

“สติกเกอร์กระต่ายอ้วน” ผมเบะปากก่อนจะหยิบขนมในห่อเข้าปากเป็นกำด้วยความหัวเสีย

“เอ่อ...สติกเกอร์ตกลงไรงี้เปล่า”

“สติกเกอร์กระต่ายอ้วน” ผมย้ำและหมายความตามที่พูดจริงๆ “กระต่ายอ้วนเฉยๆ ไม่สื่อถึงอะไรทั้งนั้น”

กระต่ายโง่ตัวอ้วนกลมหน้านิ่ง ไม่ได้กำลังทำท่าเหมือนจะบอกว่าใช่หรือมีแคปชั่นว่าโอเคอะไรทั้งนั้น

“ไม่ลองทักไปอีกรอบล่ะ”

“ทักแล้วเขาก็ส่งสติกเกอร์อันเดิม”

“โทรไป”

“ทั้งแชททั้งโทรจะอะไรมากมาย เซ้าซี้น่ารำคาญ”

“เขาบอกเหรอ”

“ผมคิดเอง”

เฮียเจมส์ทำหน้าเหมือนอยากจะเข้ามาถลกหนังหัวผม แต่พอควบคุมตัวเองได้แล้วก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะดึงผมให้ลุกตาม คงต้องขอบคุณที่มีแฟนคลับจับจ้องอยู่บนอัฒจันทร์ ไม่งั้นผมอาจโดนเฮียแกจับโยนลงสระก่อนแข่งไปแล้ว

“ไปเตรียมตัวเลยไอ้เด็กเหี้ย!”

อะไรวะ...ยังไม่ได้ทำอะไรผิดก็โดนด่า

“ไปก็ได้” ผมเดินไปประจำตำแหน่งด้วยท่าทางซังกะตาย พอดีกับที่กรรมการเรียกรวมนักกีฬา พอถึงที่แล้วก็ถอดเสื้อคลุมออกเหลือแค่กางเกงว่ายน้ำ ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นมาแต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ชินละ…

ทำไงได้...คนมันดัง

ผมยกมือรับเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียงชื่อตัวเอง จากนั้นก็ตั้งท่าตามขั้นตอน รอจนได้ยินเสียงสัญญาณแล้วก็กระโดดลงไปในสระ น่าแปลกที่การว่ายน้ำในครั้งนี้ไม่ได้สนุกเหมือนตอนที่ว่ายกับพี่ภูทั้งที่มันก็เป็นการแข่งขันเหมือนๆ กัน ถึงตอนนั้นผมจะแพ้และหงุดหงิดแต่มันก็รู้สึกดีกว่านี้มาก

“ไอ้เก้า! อย่าเพิ่งอินดี้ตอนนี้!”

ผมเป่าน้ำออกจากปากแรงๆ เมื่อได้ยินเสียงเฮียเจมส์ดังมาจากโทรโข่ง อยากจะไม่สนใจแต่ก็ทำไม่ได้ เลยจำต้องเร่งความเร็วกว่าเดิม พอตั้งใจแล้วสรรพเสียงรอบข้างก็หายไป ผมมีสมาธิอยู่กับการขยับแขนและขา ถึงน้ำเย็นๆ จะทำให้รู้สึกสบายใจจนอยากปล่อยตัวลอยไปลอยมาแต่ก็ต้องห้ามใจไว้เพื่อเป้าหมาย...นั่นคือการเป็นที่หนึ่ง

“ดุริยางค์!” เสียงประกาศชัยชนะไม่ได้ทำให้ดีใจมากนัก เพราะมันเป็นไปตามคาดอยู่แล้ว พวกที่อยู่บนอัฒจันทร์แลดูจะดีใจยิ่งกว่าผมเสียอีก

และในขณะที่กำลังจะพยุงตัวขึ้นจากสระมือๆ หนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า ผมใจเต้นแรงโดยไร้สาเหตุ พอสูดหายใจเข้าเพื่อตั้งสติแล้วก็จับมือนั้นไว้โดยไม่คิดเงยหน้ามองเพราะกลัวว่าจะเผลอยิ้มกว้างมากไป

“ยิ้มห่าไรไอ้กระต่าย”

ผมหน้าหงิก ใจที่เต้นเมื่อกี้เหี่ยวลงแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงกวนส้นตีนของเพื่อนสนิทซึ่งควรจะอยู่ที่สนามบอล

“มึงมาทำไม”

“มาตามมึงไป…”

“ไอ้เก้า พี่ภูเขามาหามึงเหรอ ตอนกูวิ่งมาเห็นเขากำลังเดินเข้ามาในสระ…”

ตูม!

“ทำไรวะน่ะ!”

“แต้งกิ้วพี่วินที่มาบอกข่าว” ผมผุดหัวขึ้นมาจากน้ำแล้วชูนิ้วโป้งให้พี่วินที่เพิ่งมาถึง ส่วนเฮียเจมส์ที่อยู่ข้างๆ ก็ดูงงงวยไม่แพ้กัน มีแค่ไอ้โซที่กลอกตารู้ทัน

เมื่อกี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก...ผมแค่โดดลงน้ำอีกรอบเท่านั้นเอง ส่วนเหตุผลก็เดินมาโน่นแล้ว

แค่วินาทีเดียวที่พี่ภูปรากฎตัวบรรยากาศก็ดูเปลี่ยนไปในทันที เสียงพูดคุยเริ่มเลือนหาย ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา และถึงใบหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่คิ้วที่ขมวดน้อยๆ ของเขาก็บ่งบอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจน

“พี่ภู!” ผมตะโกนเรียกแล้วโบกมืออยู่ในสระ ซึ่งเจ้าของชื่อก็ยอมเดินมาหาช้าๆ จนมาหยุดอยู่ข้างไอ้โซ “ช่วยผมขึ้นหน่อย”

“ทำไมไม่ขึ้นเอง” คนหน้าดุขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ทำเอาผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อประมวลผลว่าควรตอบอะไร

“อยากให้พี่ดึง” ผมตัดสินใจบอกความต้องการส่วนหนึ่งออกไป

พี่ภูทำหน้าเนือยแต่ก็ยังยื่นมือมาให้ ผมยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไงก่อนจะจับมือเขาไว้แล้วดันตัวเองขึ้นจากสระ และทันทีที่ขึ้นมา...ผมดันตัวเองเข้าไปหาเจ้าของมือ ไม่ได้โผเข้ากอดเพราะไม่อยากให้เขาเปียก แต่ก็เข้าใกล้มากพอให้เงยหน้ามองเห็นดวงตาคู่สวยได้ชัดๆ

“ขอบคุณที่มาครับ”

เสียงกรีดร้องที่เงียบหายไปนานดังสนั่นกว่าเดิม และถึงจะมองด้วยหางตาแต่ผมก็พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เยี่ยม...ถ่ายเข้าไป ถ่ายเยอะๆ ขอมุมสวยๆ ด้วยจะดีมาก อาทิตย์ก่อนยังสูบรูปไม่เต็มที่เลย

“คนอื่นเขาขึ้นจากน้ำกันนานแล้วไม่ใช่หรือไง” พี่ภูทำหน้าดุก่อนจะรับผ้าขนหนูจากเฮียเจมส์มาโปะหัวผมแล้วออกแรงขยี้จนหัวสั่น

“ผมรอพี่อยู่”

“รอกูมาดึงขึ้นจากน้ำเนี่ยนะ”

“อื้อ”

“ตอแหล” แว่วเสียงพึมพำแบบจงใจให้ได้ยินดังมาจากคนด้านข้าง

จะด่าก็ด่าเบาๆ แล้วด่าคนเดียวได้ไหม ด่าพร้อมกันสามคนแบบนี้มันเกินไปมะ

“แล้วสรุปพี่กับไอ้โซมาทำไรกัน” ผมเนียนพิงตัวพี่ภูแล้วหันไปถามพี่วิน พอโดนทักพี่แกก็ทำหน้าตกอกตกใจ รีบมาดึงแขนผมยกใหญ่

“มึงไปนั่งเก้าอี้ตัวสำรองเพิ่มหน่อย ไอ้โซคนเดียวไม่น่าพอละ”

“ทำไมล่ะ”

“พวกศึกษาเล่นแรงว่ะ แรงมันเยอะกัน ชนทีเดียวเด็กเราแทบปลิว กูว่าเดี๋ยวต้องมีคนเจ็บแน่ อยากลงเองอยู่เหมือนกันแต่พวกกูไม่ได้ลงชื่อไว้ ต้องตามดูเด็กแข่งหลายรายการ”

ผมหน้าตึง อยากจะดึงแขนพี่ภูให้วิ่งหนีแต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ เพราะไอ้หมารู้ทันมันยืนจับแขนผมไว้ อุตส่าห์คิดว่าแข่งอย่างเดียวแล้วจะได้ชิ่ง สุดท้ายก็หาเรื่องมาให้อีกจนได้

“พี่กลับไปดูคนอื่นก่อน เดี๋ยวผมล้างตัวแล้วตามไป” ผมพูดอย่างเสียมิได้ ซึ่งพี่วินก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินจากไปพร้อมเฮียเจมส์ เหลือแค่ไอ้โซที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ

“เดี๋ยวมึงลีลา จะหมดพักครึ่งแล้ว” มันบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม “กูเอาชุดมาให้ละ”

เตรียมพร้อมจริงนะ

“พี่อย่าเพิ่งไปไหนนะ” ผมหันไปบอกคนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ เขาไม่ตอบอะไรแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถือว่าตกลงก็แล้วกัน

ผมเดินเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำของสระก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบอลที่ไอ้โซเอามาให้ จากนั้นก็เดินออกไปทั้งที่หัวยังเปียกอยู่

“พี่ภูไปไหน” ผมมองหาคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้แล้วทิ้งให้ไอ้โซนั่งอยู่คนเดียว

อย่าบอกนะว่าไปแล้ว

“ออกไปคุยโทรศัพท์” มันตอบแล้วลุกขึ้น มือข้างหนึ่งลากแขนผมให้เดินตามไวๆ

“อ่อ…”

“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเอาแผ่นเกมมาคืนกู”

“เออลืม ยังอยู่ห้องพี่ภูอยู่เลย”

ครั้งก่อนที่ไปเล่นเกมห้องพี่ภูผมลืมแผ่นเกมมวยปล้ำที่เล่นกับเขาไว้แล้วเอาไปคืนไอ้โซแค่เครื่อง มันทวงหลายทีแล้วเพราะจะเอาไปเล่นกับพี่กีล์แต่ผมลืมบอกพี่ภูทุกที

“แล้วที่เอาเกมไปเล่นกับภู...มึงแพ้ใช่มะ” มันถามด้วยสีหน้าเยาะเย้ยทั้งที่ยังไม่รู้คำตอบ ผมเลยผลักหัวไปทีด้วยความหมั่นไส้

“แพ้เหี้ยไรล่ะ เกมมวยปล้ำกูต้องชนะดิวะ พี่ภูต่างหากที่แพ้”

“ภูเนี่ยนะแพ้?”

“เออ ก็พี่เขาเล่นไม่เป็น”

“ตลกละ...แพ้อาจพอเป็นไปได้ แต่บอกว่าเล่นไม่เป็นนี่ไม่มีทาง”

ผมมองหน้าโซด้วยความไม่เข้าใจ พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไรมันเลยยักไหล่แล้วอธิบายต่อ

“อาทิตย์ก่อนภูมาคุยงานที่ห้องกู พอเบื่อๆ กูเลยชวนเล่นเกม แล้วเกมที่ว่าก็คือเกมที่มึงบอก เล่นไปเกือบสิบตากูยังไม่ชนะสักตา แบบนี้มึงจะบอกว่าเล่นไม่เป็นเหรอ”

“ว่าไงนะ” ผมเบิกตากว้าง หลังจากประมวลความหมายของไอ้โซในเสี้ยววิก็เข้าใจ

พี่ภูจงใจแพ้...เขายอมให้ผมถาม

ความจริงที่ได้รู้ทำให้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติมาโดยตลอดสั่นไหวรุนแรงจนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และผมคงเผลอแสดงท่าทีอะไรแปลกๆ ออกไปพี่ภูที่เพิ่งวางโทรศัพท์ถึงได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไร”

ทั้งที่เป็นถ้อยคำธรรมดาแต่กลับส่งผลให้หัวใจที่สั่นไหวเต้นรัวเร็วกว่าเดิม อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาเป็นห่วง แต่ก็…

“ห่วงเหรอ”

เออ ก็คิดแบบที่พูดนั่นล่ะ

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นเหมือนได้ยินอะไรแสลงหูอย่างแรง หลังจากจ้องหน้าผมได้สักพักเขาก็หมุนกายเดินนำไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ตอบอะไร ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างยิ้มๆ แล้วก้าวเท้าตามโดยมีไอ้โซเดินทำหน้าเหมือนคนท้องผูกอยู่ข้างๆ

ดีที่สนามบอลอยู่ไม่ไกลจากสระมากนักเลยไม่ต้องรีบ ตอนแรกผมกังวลอยู่ว่าคนที่เดินนำจะหนีกลับ แต่กลายเป็นว่าเขาเดินมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบอลโดยไม่ต้องอ้อนวอน แค่นั้นผมก็ยิ้มแก้มแทบแตก บอกตรงๆ ตอนนี้จะให้วิ่งไปทุกสนามแข่งยังไหวเลย

ผมไม่คิดถามหาเหตุผลว่าทำไมพี่ภูถึงทำแบบนั้นเพราะกลัวว่าถ้าเขารู้ตัวจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาอาจจะเดินหันหลังหนีกลับไปเลยก็ได้ เพราะงั้นผมเลยยอมทิ้งความสงสัยทั้งหมดเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขานานขึ้นอีกนิด

“พี่ภู” ผมเดินไวๆ ไปอยู่ข้างๆ แล้วดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ จนเจ้าตัวหันมามอง “พี่รอผมได้ไหม วันนี้ต้องไปคุยกับภามหรือเปล่า ผมจะไปเอาแผ่นเกมคืนโซด้วย”

“กูคืนเองก็ได้ ห้องอยู่ตรงข้าม” เขาตอบหน้าตาย และก็เป็นจริงตามที่ว่า...ห้องก็อยู่ตรงข้าม จะไปเอาเองทำไมกันเล่า แค่เปิดไปก็คืนได้แล้ว

“เอ่อ...ผมจำไม่ได้ว่าวางไว้ไหนไง”

“กูเห็นอยู่บนโซฟา”

“...”

“แถไม่ออกสิ” คนพูดหัวเราะหึในลำคอจนผมหน้าหงิก จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะแถไม่ออกจริงๆ

“ก็อยากอยู่ด้วยนานๆ...ไม่ได้เจอมาตั้งหลายวัน” ผมพึมพำเบาๆ แต่จงใจให้ได้ยิน

“กูวุ่นวายกับงาน”

“อื้อ”

เขาถอนหายใจ ผมไม่อยากโดนรำคาญเลยก้าวเท้าเข้าไปในสนามบอลก่อน แต่ยังไม่ทันได้วิ่งไปที่เก้าอี้เสียงราบเรียบของคนด้านหลังก็ดังขึ้น

“วันนี้กูว่าง อยากเล่นเกม”

ผมหันหน้าขวับ เกือบพุ่งเข้าไปจับมืออีกคนแต่ยั้งตัวไว้ทัน

“ผมเอง! ผมเล่นเป็นเพื่อนเอง”

“หึ”

“แต่ขอค้างด้วยคนนะ”

“ได้คืบจะเอาศอก”

“กว่าจะเล่นเกมจบก็ดึกแล้ว จริงๆ ผมก็อยากไปขอนอนกับไอ้โซนะ แต่ก็ไม่อยากกวนเวลามันกับแฟน ผมเกรงใจเพื่อน” ผมก้มหน้าลงแล้วแอบมองคนพูด และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงสายตาที่ดูเหมือนกำลังด่าว่าผมตอแหล ซึ่งก็ไม่เถียง...เพราะผมอ้างไปงั้นแหละ

“จะทำอะไรก็ทำ”

เยส!

ผมคลี่ยิ้มอารมณ์ดี พาลยิ้มให้เพื่อนทุกคนที่เดินผ่านจนพวกมันขนลุกซู่แล้วเดินหนีกันใหญ่ ไม่เข้าใจเลยว่าคนอารมณ์ดีแล้วจะหนีทำไม ทีเวลาทำหน้าบูดๆ นี่ยุ่งกับกูจัง

พอได้มานั่งดูข้างสนามแล้วผมถึงรู้ว่าที่พี่วินพูดไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด คณะผมโดนฝั่งศึกษาชนทีตัวแทบปลิว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครโดนเปลี่ยนตัวออกอย่างที่คิด ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ผมหันไปมองพี่ภูบ่อยครั้งเพราะกลัวว่าเขาจะเบื่อที่ต้องมานั่งด้วย แต่กลายเป็นว่าคนข้างๆ สนใจบอลมากกว่าผมเสียอีก สังเกตได้จากสายตาที่มองตามลูกบอลไม่ละไปไหนเลย

เกมจบไปโดยที่ฝั่งศึกษาชนะหนึ่งต่อศูนย์ตามคาดโดยที่ผมกับโซไม่ได้ลงไปเล่นด้วย พวกที่ลงเองก็ไม่ได้เสียใจอะไรเลยสักนิด กลับกันพวกมันดูดีใจที่แข่งจบเสียด้วยซ้ำ ผมมองตามหลังพี่วินที่เดินเข้าไปคุยกับนักกีฬาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ดูท่าทางเหมือนจะชวนกันไปกินเหล้าอีกแล้ว เล่นเอาเสียงเฮดังลั่นจนคิดว่าแข่งชนะ

“เก้า โซ มึงไปด้วยกันเลยดิ” พี่วินหันมากวักมือเรียกยิกๆ แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไว้คราวหน้าละกันพี่ ผมมีนัดละ”

“เออๆ”

ผมโบกมือลาคนอื่นก่อนจะหันกลับมาหาคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ นอกจากสายตาที่มองนั่นมองนี่แล้วผมก็แทบไม่เห็นพี่ภูกระดิกอีกเลย

“ไปกัน…”

“ไอ้เก้า!”

รู้สึกเหมือนจะมีความซวยเกิดขึ้นกับชีวิตในไม่ช้า

“มึงไปลงปิงปองหน่อย ไอ้เอมันท้องเสียว่ะ”

เคยพลาดที่ไหน

“เฮ้ย! มึงไปกับกูก่อน อีกสิบนาทีบาสเริ่มละ ขาดคน”

“ไม่ดิ ไปปิงปองก่อน กูไปพนันไว้แล้ว!”

“ไปบาส!”

“พวกมึงหยุดเถียง! ไอ้เก้า ไปกรีฑากับกู”

“เฮ้ย! กูมาก่อน!”

ผมยกมือนวดขมับที่เต้นตุบๆ ของตัวเองแรงๆ ในขณะที่ตาก็มองไอ้พวกที่วิ่งเข้ามาลากตัวด้วยความโมโห…และผมจะไม่ทน

“กูไม่ไปไหนทั้งนั้น! ใครสั่งใครสอนให้พวกมึงลงชื่อกูทุกกีฬาวะ! นี่คนไม่ใช่เทพนะโว้ย!” ผมตะโกนเสียงดังแล้วกวาดตามองพวกมันทีละคน ไม่สนใจทั้งสายตารอบด้านที่มองมาและสรรพเสียงโหวกเหวกในสนามบอลที่เงียบลงฉับพลันจนนึกว่าอยู่ในป่าช้า

“กระต่าย”

ผมตวัดสายตาไปมองไอ้โซที่พูดแทรกขึ้นมา แต่มันแค่ยักไหล่ก่อนจะพูดต่อโดยไม่แคร์อะไรทั้งนั้น

“มึงไม่ใช่คน เป็นกระต่ายไม่ใช่หรือไง เจ้าของก็ยืนอยู่นั่น”

ฉิบหาย…

ผมรีบหันไปหาพี่ภูก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ถึงเจ้าตัวจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากเลิกคิ้วแต่ผมก็ยังหงุดหงิด

เผลอแสดงธาตุแท้ไปเสียได้

“คือแบบว่า…” พอผมเริ่มพูดเสียงอ่อยเป็นปกติไอ้สามหน่อที่จะลากตัวผมไปเล่นกีฬาก็ขยับกายช้าๆ ไม่ใช่ว่าพวกมันกลัวจนหงอ…แต่พวกมันกำลังจะบังคับลากผมไปเหมือนที่เคยทำมาตลอดต่างหาก!

ผมคว้าแขนพี่ภูแล้วออกตัววิ่งโดยสนใจเสียงตะโกนเรียกของใครทั้งนั้น ต้องขอบคุณคนวิ่งตามที่ไม่ได้รั้งหรือสะบัดมือออก คิดๆ ไปแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่นิดหน่อย

“แฮ่ก...ขอโทษที่ให้วิ่งนะพี่” ผมทรุดตัวลงไถลไปกับกำแพงตึกที่เข้ามาแอบแล้วเงยหน้ามองพี่ภู รู้สึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ ที่เขาไม่มีทีท่าจะเหนื่อยเลยสักนิด

“รถจอดอยู่นั่น” เขาชี้ไปทางรถคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ผมเลยพยักหน้าก่อนจะดันกายลุกขึ้นแล้วยื่นหน้าออกไปดูข้างนอก พอไม่เห็นวี่แววของไอ้พวกที่วิ่งตามแล้วก็รีบดึงแขนเสื้อพี่ภูให้ออกเดิน

“ไปกัน”

พอขึ้นมาอยู่บนรถแล้วบรรยากาศก็เงียบกริบเพราะผมยังเหนื่อยจากการวิ่งอยู่ จะหวังให้พี่ภูพูดก่อนก็ยากอีก ผมเลยทำได้แค่พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเริ่มชวนคุย

“นึกถึงปีก่อนที่ผมลากพี่วิ่งเลย”

“ปีก่อน?”

“ใช่ ก็ที่พี่กำลังมีเรื่องแล้วผมวิ่งไปดึงมือหนีไง”

“แล้วมึงก็แอบหยิบกระเป๋าตังค์กูไป”

“พี่จำได้ด้วย” ผมเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น คิดว่าจะต้องบอกละเอียดเขาถึงจะจำได้เสียอีก

“ใครจะลืมลง”

“ผมน่าจดจำมากเลยใช่ไหม”

“เออ...จำว่าบ้า อย่าเข้าใกล้”

อา...ผิดคาด

“เขาว่าเกลียดอย่างไหนจะได้อย่างนั้นนะพี่ เนี่ยพี่ไม่อยากเข้าใกล้ผม ทีนี้เป็นไงล่ะ” ผมหัวเราะอารมณ์ดี แค่นึกถึงว่าที่ผ่านมาได้เข้าใกล้เขามากขนาดไหนก็ดี๊ด๊าแล้ว

“เหมือนที่มึงเกลียดกระต่ายแล้วก็ได้เป็นกระต่ายสินะ” พี่ภูเหยียดยิ้มแล้วมองผมด้วยหางตาเหมือนจะเยาะเย้ย ถามว่ารู้สึกอะไรไหม...ตอบได้เลยว่ายังยี้อยู่ ตอนนี้ก็เบะปากโดยไม่รู้ตัวไปแล้วเรียบร้อย แต่ว่า...

“ถ้าเป็นกระต่ายแล้วพี่ชอบก็โอเค”

“...”

ยกนี้ผมชนะ!

พี่ภูไม่ได้กลับคอนโดในทันที แต่เขาแวะซุปเปอร์ที่อยู่ไม่ไกลก่อน พอถามว่าจะแวะทำอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบ จนเข้ามาข้างในแล้วผมถึงได้รู้

“พี่จะซื้อวัตถุดิบทำอาหารเหรอ” ผมยื่นหน้าไปมองผักเขียวๆ ที่เขาถืออยู่ พยายามมองแค่ไหนก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเลือกยังไง “ปกติพี่มีวันมาซื้อประจำ ทำไมวันนี้แวะเลยล่ะ”

“อาทิตย์ก่อนกูไม่ได้ซื้อ เท่าที่เหลืออยู่ก็ไม่พอ...สำหรับกระต่ายก้อนอย่างมึง”

“พี่จะทำให้ผมกินด้วยเหรอ”

คนที่กำลังเลือกผักเหลือบมองผมแวบหนึ่งเหมือนจะด่าทางสายตา

“ทำให้อะไรสักอย่างที่ก้อนๆ อ้วนๆ”

“ผมไม่อ้วนเสียหน่อย” ปากก็เถียงแต่ในใจผมก็ยอมรับว่ากินเยอะจริงๆ เทียบกับพี่ภูแล้วผมน่าจะกินมากกว่าเขาเกือบครึ่ง

“หุบปากแล้วถือตะกร้าไป”

“ถือได้แต่หุบปากไม่ได้” ผมรับตะกร้าที่เต็มไปด้วยของสดมาถือไว้ ส่วนขาก็ก้าวเดินตามคนตัวสูงต้อยๆ เหมือนลูกเป็ดตามตูดแม่

หลังจากนั้นไม่ว่าผมจะพูดอะไรไปพี่ภูก็ไม่ตอบอีก เขาตั้งใจกับการเลือกวัตถุดิบทำอาหารมากจนผมเขินอยู่หน่อยๆ ที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย

ไม่ได้การ...ต้องฝึกจริงจังละ

พอได้ของครบแล้วเราก็มุ่งหน้ากลับ ผมทำหน้าที่เป็นผู้ตามที่ดีโดยการถือทุกอย่างและให้พี่ภูเดินตัวปลิวนำอยู่ข้างหน้า ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงคอนโด ผมยังคงเป็นคนถือทุกอย่างเหมือนเดิมด้วยความสมัครใจ ตอนนี้ความมุ่งมั่นมันพวยพุ่งจนไม่อยากสนใจเรื่องอื่นแล้ว

“คิดจะทำอะไร” คนช่างสังเกตถามด้วยเสียงเรียบๆ แต่ใบหน้าฉายแววไม่ไว้วางใจ ผมเลยมองกลับไปด้วยสายตามุ่งมั่นที่สุดก่อนจะตอบชัดถ้อยชัดคำ

“พี่สอนผมทำอาหารหน่อยนะ”

พี่ภูทำหน้าอยากตาย เขาหยิบถุงออกไปจากมือผมแล้วเดินไปที่ครัวโดยไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

“พี่ภู ผมอยากทำเป็นจริงๆ นะ”

“กูไม่อยากเปลี่ยนห้อง”

“ผมไม่ทำครัวพี่พังหรอก ครั้งก่อนยังทำข้าวต้มหมูให้พี่ได้เลย” ถึงพี่กีล์จะบอกทุกอย่าง แต่คนที่ได้จับอุปกรณ์ทำข้าวต้มชามนั้นก็มีแค่ผมจริงๆ ไม่ได้โกหกสักนิด

“กูสอนใครไม่เป็น”

“ผมไงคนแรก” ผมยิ้มแป้นแล้วหยิบของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์ออกมาจากถุง “และต้องเป็นคนเดียวด้วย”

“ซื้อมาตอนไหนวะน่ะ” พี่ภูขมวดคิ้วมองของในมือผมนิ่งงัน ใบหน้าเรียบเฉยของเขาเหมือนจะบึ้งก็ไม่ใช่จะยิ้มก็ไม่เชิง

มันคือผ้ากันเปื้อนสีชมพู

“เดินผ่านเลยรีบๆ คว้ามา เพิ่งเห็นเหมือนกันว่าสีชมพู และที่สำคัญ…” ผมหยิบของแบบเดียวกันออกมาชู คราวนี้ใบหน้าเรียบเฉยของพี่ภูบึ้งสนิทแบบไม่ต้องถามหาเหตุผล “ผมซื้อมาเผื่อพี่ด้วย”

สีชมพูเหมือนกัน

“อย่าหวังว่ากูจะใส่”

“ไม่หวังหรอก...เดี๋ยวผมใส่ให้เอง!” ว่าจบผมก็พุ่งเข้าหาคนที่กำลังตกใจแล้วสวมผ้ากันเปื้อนเข้าหัวเขาทันที และก่อนที่พี่ภูจะดึงออกผมก็ตะปบมือเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ไม่เห็นเป็นไรเลย เห็นกันสองคนเอง”

“ก็ใส่เองสิวะ”

“ผมก็ใส่อยู่นี่ไง”

พี่ภูดูท่าทางหัวเสีย เขาดึงมือผมออกแต่ก็ไม่ได้กระชากผ้ากันเปื้อนทิ้งอย่างที่คิด

“เออ จะถือว่าเอาไว้กันมึงทำเละแล้วกัน”

ยอมด้วย…

ผมยิ้มรับนิ่งๆ โดยไม่ถือสากับประโยคที่ได้ยิน จริงๆ ผมไม่เคยคิดข้ามหน้าข้ามตาเขาเพราะเหมือนจะสนิทกันมากขึ้น แต่ผมรู้ดีว่าอะไรเล่นได้หรือไม่ได้ ถึงพี่ภูจะหน้าตึงแต่เขาก็ไม่ได้โมโห เข้าไปเล่นด้วยตอนนี้ก็เหมือนเขาเล่นกลับเสียมากกว่า แค่เจ้าตัวไม่ปรับสีหน้าก็เท่านั้น

“จับมีดแบบนี้…” คนพูดสาธิตให้ดูก่อนจะยื่นมีดที่ตัวเองถือมาให้ ผมมองครั้งเดียวก็จำได้ แต่เนียนทำผิดๆ ถูกๆ จนคนสอนถอนหายใจและเข้ามาจับมือผมให้ทำดีๆ

“ขอบคุณครับ”

“เออ”

ผมไม่ใช่คนเรียบร้อย อ่อนโยน ใจดี ไม่ใช่คนขี้เล่น เฮฮา หัวเราะง่าย ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่รู้ดีว่าตัวเองนิสัยเป็นยังไง เพราะงั้นทุกสิ่งที่ผมทำก็จะเป็นไปในแบบของตัวเอง…ผมจะไม่พยายามให้เป็นคนดีมากขึ้นหรืออะไรทั้งนั้น แต่ผมจะทำให้พี่ภูชอบที่ผมเป็นเก้าคนนี้ให้ได้

“ใครใช้ให้ถือมีดสูง มึงจะไปฆ่าใคร”

“ผมคันหัวนี่นา” ว่าแล้วก็เกาหัวแกรกๆ จนคนหน้าดุทำหน้าโหดกว่าเดิม ผมเลยต้องเอามือลงช้าๆ

“หั่นหมูไป อย่าพูดมาก”

“ครับผม”

จ๋าเคยบอกว่าต่อให้เราไม่ตั้งใจเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าถึงเวลาที่สมควรทุกสิ่งก็จะเปลี่ยนไปเอง อาจจะเปลี่ยนไปช้าๆ โดยที่ไม่รู้ตัว หรือเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนรับมือไม่ทัน แต่สุดท้ายขอแค่มันเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็เพียงพอ

“มึงจะเขย่าแป้งทำไม ฟุ้งไปหมดแล้ว”

“แค่กๆ”

“อย่าขยี้ตา!”

“พี่ภู แสบตา”

“ใครใช้ให้เอามือเปื้อนพริกไปขยี้ตาวะ!”

“แสบบบบบ”

“มึงไปนั่งรอเดี๋ยวนี้! กูทำเอง!”

ดูเหมือนว่าผมเอง...ก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ

“ผมเล่นเกมรอนะ!”

“เออ”

เพราะคนคนเดียว

 

------------

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mariinariiz ที่ 25-06-2017 11:39:08
กระต่ายก้อนวุ่นวายมาก แต่ก็น่ารัก พี่ภูก็ใจอ่อนขึ้นที่นิดๆแล้วน้าาาา :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: i c u ที่ 25-06-2017 12:12:07
ก้อนนนนนนนน เนียนตลอดนะลูกกกกกกกก พี่ภูก็นะทำเป็นรู้ไม่ทัน  แต่จริงๆรู้ทันตลอด หมาโซก็เช่นกันหมั่นไส้ก้อนตลอดเวลา 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-06-2017 13:16:35
เก้าแกตอแหลอย่างพี่ภูว่าจริงๆ5555+
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-06-2017 13:18:04
รู้สึกได้ถึงออร่าละมุนที่พุ่งออกมาจากตัวพี่ภู อร๊ายยยย เขิลอ่า
 :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-06-2017 14:39:09
เขินพี่ภูอ่ะ ก้อนจะทำอะไรพี่ภูก็รู้ทันหมด 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-06-2017 15:00:01
พี่ภู รู้ทันแต่ก็ยอมน้องมันตลอด ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 25-06-2017 19:53:47
แหนะ เริ่มชอบก้อนแล้วละสิ :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-06-2017 21:58:54
พี่ภู ยอมเก้าบ้างแล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 26-06-2017 08:25:54
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 26-06-2017 12:21:17
เพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ น่ารักมากกกก หลงรักชายเก้า คนอะไรแสบสันได้น่ารักจริง  ๆ
ถูกใจนายเอกแบบนี้มาก พี่ภูก็สุด ๆ ของความดุ แต่แพ้ทางน้องเก้าของเราตลอด ๆ 555
ติดตามค่าติดตาม เดี๋ยวจะตามไปอ่าน ออกซิเจนด้วย ติดใจน้องเก้า
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 26-06-2017 13:12:57
เก้าน่ารักน่าเอ็นดูมากค่ะซิสสสสส  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 26-06-2017 15:33:51
ก้อนน่ารักกกก
พี่ภูเอ็นดูก้อนขึ้นบ้างไหม
คิดว่าพี่ภูคงรู้สึกดีกับก้อนขึ้นบ้าง แต่ยังคงไม่ใช่ความรัก  :hao5:
จะมีมาม่าไหมนะ ...
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[13]==[P.8]== [25/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 28-06-2017 21:52:00


-14-

 

ครั้งที่สามกับการนอนค้างห้องพี่ภู วันนี้ผมมีเป้าหมายใหม่ที่ต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือการชวนพี่ภูไปค่ายด้วยกัน หลังจากที่ผ่านการสอนทำอาหารกว่าชั่วโมงไปได้ก็ถึงเวลากิน ผมเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ทำอะไรเสร็จด้วยตัวเองสักอย่าง แต่เรื่องดีๆ ก็คือ…

พี่ภูทำอาหารโคตรอร่อย...พูดจากใจจริงไม่ได้หน้ามืดตามัวอะไรทั้งสิ้น

“พี่นี่หล่อเพอร์เฟคไปทุกอย่างเลยเนอะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ ในขณะที่มองสำรวจใบหน้าสมบูรณ์แบบของคนที่นั่งกดโน้ตบุ๊กอยู่ อยากจะมองหาตำหนิบนร่ายกายเขาสักหน่อย แต่มองยังไงก็หาไม่เจอ

“อะไรของมึง” พี่ภูทำหน้าเหมือนจะดูว่าผมจะมาไม้ไหน ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิด นอกจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว

“เหมาะกับผมจริงๆ”

“เหนื่อย”

“พักหน่อยไหม” ผมตบแปะๆ ลงที่เบาะเป็นเชิงบอกให้เขาหยุดพัก

“เหนื่อยกับมึงนั่นล่ะ”

พอได้ฟังคำตอบแล้วผมก็หัวเราะอย่างถูกใจเพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะจะช่วยให้คลายเครียดเฉยๆ

“พี่ภู วันหยุดหลังอาทิตย์สอบพี่มีแพลนไปไหนหรือเปล่า” ผมรีบถามเข้าเรื่อง กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้คนที่ว่างจะกลายเป็นไม่ว่างแทน เห็นงานเยอะเหลือเกิน เจอกันกี่ทีต้องมีโน้ตบุ๊กอยู่ด้วยตลอด

“สองอาทิตย์หน้า?”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วยื่นหน้าไปมองจอโทรศัพท์ที่คนพูดหยิบมาดู มองผ่านๆ ยังรู้เลยว่าเป็นตารางงาน แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมมันแน่นขนาดนั้น คนไม่มีชื่อเสียงทำไมงานเยอะเหลือเกิน

“วันอาทิตย์มีออกงาน”

“งานเลี้ยงเหรอ”

“อืม...งานของคนรู้จักที่อังกฤษ เขามาเปิดธุรกิจที่นี่”

ผมขมวดคิ้วขัดใจ จากที่มองดูตารางของเขาแล้วสามสี่วันที่ผมต้องการมีแค่งานเลี้ยงที่เขาบอกงานเดียวซึ่งขัดขวางแผนทุกอย่างอยู่ คือถ้าไม่มีมันพี่ภูก็จะว่างแบบไม่ต้องสงสัย

งานเลี้ยง...งานเลี้ยงก็ต้องมีตอนค่ำสินะ

“พี่ภู ไปเที่ยวกับผมไหม ไปกับพวกดุริยางค์” ผมชวนแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม รอให้เขาเงยหน้าจากจอแล้วถึงพูดต่อ “พวกผมจะไปทำกิจกรรมกัน ประมาณว่ารับน้อง แต่ก็เหมือนจะไปเที่ยวมากกว่า”

“กี่วัน”

“สามวันสองคืนครับผม”

“ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์?”

“อื้อ”

“กูมีงาน” เขาย้ำ

“งานมีกลางคืนไม่ใช่เหรอ ยังไงก็กลับมาถึงทันอยู่แล้ว...เอางี้ ถ้าพี่ไปเที่ยวกับผม ผมสัญญาว่าจะไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อน” ผมเอามือตบอกตัวเองเป็นการยืนยันคำพูดอีกที

“ถามกูยังว่าอยากได้เพื่อนไหม”

“หรือพี่อยากได้แฟนเลย...ผมเต็มใจนะ” ผมยิ้มแล้วแกล้งบิดไปบิดมาเหมือนจะเขิน และวินาทีต่อมาก็โดนฝ่ามือของคนหน้าดุตบเข้าที่หน้าผากดังเพียะจนต้องยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ

“ถ้าเป็นที่ที่กูไม่เคยไปจะลองคิดดู”

“จริงนะ!”

“เออ”

ง่ายละงานนี้ แต่จะว่าไป…

“ผมสัญญาว่ามันจะเป็นที่ที่มีสัญญาณคุยโทรศัพท์ได้ พี่ต้องคุยกับภามใช่ไหมล่ะ” ผมพูดในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดเพื่อทักแชทไปคุยกับพี่วินเรื่องสถานที่ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจ้องมองจนต้องเงยหน้าขึ้น

พี่ภูมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกประหลาด...มันเป็นสายตาที่กำลังแสดงถึงความรู้สึกบางอย่าง น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถแปลความหมายของมันได้ แต่ก็รับรู้ว่าน่าจะเป็นด้านดี เพราะใบหน้าเย็นชาของเขาดูอ่อนลง

ถ้าให้เดา...น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผมพูดถึงภาม

แค่ดูก็รู้ว่าพี่ภูให้ความสำคัญกับภามมากแค่ไหน…ต้องกลับมาคอลกันผ่านโน้ตบุ๊กตลอด แถมยังดูเป็นเวลาสม่ำเสมอไม่เคยขาด ถึงผมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาหาเหตุผลก็เท่านั้น

“น้องพี่ก็เหมือนน้องผม” ผมยิ้มบางให้คนที่ยังจ้องไม่เลิก คิดว่าเดี๋ยวก็คงละสายตาไปเอง แต่ผ่านไปสักพักเขาก็ยังมองอยู่อย่างนั้น ผมที่หน้าหนามาตลอดชีวิต อยู่ๆ ก็รู้สึกหน้าบางกะทันหัน สองแก้มร้อนผ่าวไปกับดวงตาคู่นั้นโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไร สุดท้ายเลยได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการพูดจากวนๆ ออกไป “ก็พี่เป็นว่าที่แฟน ผะ...ผมก็ต้องใส่ใจเป็นธรรมดา”

ตะกุกตะกักทำส้นตีนอะไรไอ้เก้า! เอาไว้เขาบอกว่าชอบมึงค่อยเขินดีไหม แค่มองมาเฉยๆ มึงยังอาการหนัก เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ยิ้มก็ไม่ได้ยิ้ม สายตาก็แค่อ่อนโยนลงนิดหน่อยเอง มึงเขินอะไร งง

“ทำหน้าอะไรของมึง” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องนั่งเถียงกับตัวเองในใจพูดขึ้นมาด้วยเสียงขบขัน ผมเหล่ตามอง พอเห็นว่าสายตาและใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นปกติแล้วก็ยอมเงยหน้าสบตา

“เพราะพี่”

“กูทำอะไร”

“ก็พี่มองผมด้วยสายตาแบบนั้นทำไมล่ะ” ผมหน้าหงิกเมื่อคนได้ยินคำตอบทำท่าจะขำหนักกว่าเก่า คราวนี้แสดงออกมาทางสายตาชัดเจนกว่าน้ำเสียงเสียอีก

“กระต่ายบ้า”

“ผม…”

ครืด ครืด

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากขอบคุณใครก็ตามที่โทรมาขัดจังหวะระหว่างที่ผมกับพี่ภูอยู่ด้วยกัน ซึ่งเจ้าของโทรศัพท์ก็มองหน้าจอแค่แวบเดียวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคุยริมกระจก ผมเลยเนียนๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแก้เก้อ

อันตรายชะมัด...เกือบไปแล้วไง เกือบทำอะไรไม่ถูก ไม่สมเป็นผมเลยสักนิด ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะอ่อนลงทุกที แปลกตรงที่ผมไม่ได้หงุดหงิดกับความรู้สึกนี้เนี่ยสิ

“เดี๋ยวออกไป”

ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงเมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด ตอนแรกไม่ได้ใส่ใจฟังเพราะคิดว่าคงเจรจาธุรกิจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ทั้งจากรูปแบบการพูดและน้ำเสียงเหมือนจะคุยกับคนรู้จักมากกว่า

“พี่จะออกไปข้างนอกเหรอ” ผมทักตอนที่พี่ภูวางสายแล้วเดินกลับมาที่โซฟา “มันดึกแล้วนะ”

“ต้องไป เพื่อนกูมาไทย”

“เพื่อนพี่จากอังกฤษ?”

“อืม” พี่ภูพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน ใช้เวลาไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเสื้อเชิ้ตธรรมดามันทำให้คนดูดีมากขนาดนี้ได้ยังไง แต่คิดไปคิดมา...น่าจะอยู่ที่หนังหน้า

“พี่นัดเพื่อนที่ไหนเหรอ”

“ร้านเหล้า”

ผมคว้ากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์แล้วเดินตามคนตัวสูงออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก ตามตั้งแต่เดินออกมาจากห้อง เข้าลิฟต์ จนเดินมาถึงรถแล้วผมก็เปิดประตูเข้าไปนั่งเงียบๆ

“มึงมาทำไม” คนที่นั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแล้วหันมามอง ไม่มีทีท่าจะขับออกไปถ้าผมไม่ตอบ

“ไปด้วยไง”

พี่ภูเลิกคิ้ว กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยต้องก้มมองตาม ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้ผมอยู่ในชุดบอลที่ยังไม่ได้เปลี่ยนกับรองเท้าแตะที่แอบพกมาวางทิ้งไว้ที่ห้องเขา แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย

“พี่อย่าคิดมากดิ คนหน้าดีใส่ไรก็ดูดี” ผมพยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง คิดในใจว่ามันโคตรจะเป็นความจริง แต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เพราะเขาถอนหายใจยาวแล้วออกรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ถ้าถามว่าตอนแรกผมคิดจะออกมาหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่…ผมอยากนอนเล่นเกมอยู่เฉยๆ มากกว่า แล้วก็อุตส่าห์ไปแย่งเครื่องมาจากห้องไอ้โซแล้วด้วย แต่พอได้ยินจุดหมายปลายทางของเขาผมเลยโยนเรื่องเกมทิ้ง หลายอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้กินเหล้า ไม่ใช่ไม่มีเวลาแต่ไม่มีตัง แล้วตอนนี้มีคนกระเป๋าหนักอยู่ด้วยทั้งที เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือ

พวกเราใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงก็มาถึงร้านเหล้าที่พี่ภูบอก ผมมองขึ้นมองลงแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองการแต่งกายของผมแบบนั้น จริงอยู่ที่สถานที่ตรงหน้าผมคือร้านเหล้า แต่มันเป็นร้านที่แค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นร้านหรูหราราคาแพงของพวกผู้ดี และแน่นอนว่ามันไม่ถูกจริตผมอย่างแรง

“ร้านน่าแหยงมาก” ผมกระซิบให้พี่ภูฟังในขณะที่เดินเข้าไปด้านใน เกือบโดนการ์ดกักตัวไว้เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่พอคนข้างๆ หันไปมองหน้าแล้วดึงแขนผมให้เดินตามพวกนั้นก็ถอยไปแต่โดยดี

รู้สึกเหมือนเป็นอีหนูของอาเสี่ย

เข้ามาข้างในแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่ มันคือร้านนั่งดื่มกึ่งร้านอาหารที่มีความหรูหราพอควร คนในนี้แต่งตัวอย่างกับมางานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ชุดราตรีอะไรมาเต็ม ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมตัวเองถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น แต่ถ้าถามว่าแคร์ไหม...แน่นอนว่าไม่

“เดรค!”

ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโซนวีไอพีตะโกนเรียกเสียงดัง ผมจำได้ว่าชื่อที่เขาเรียกเป็นชื่อพี่ภูเลยมองตาม แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด เขาคือเพื่อนพี่ภูจริงๆ

“ไงเพื่อน” ฝรั่งหัวน้ำตาลตบไหล่พี่ภูแปะๆ ก่อนจะชวนให้นั่งลง พอผมนั่งตามอีกฝ่ายถึงได้หันมามองด้วยความสนใจ “ใครน่ะ”

“ผมชื่อเก้า” ผมแนะนำตัวกลับเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทางนั้นก็ดูดีใจไม่น้อยที่ผมพูดภาษาเขาได้

“นึกว่าต้องพยายามพูดไทย บอกตรงๆ ว่าไม่ไหว ยากจริงๆ” เจ้าตัวทำหน้าเอียนก่อนจะปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันชื่อไรอัน เป็นเพื่อนเดรคน่ะ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ปล่อยให้พวกเขาสั่งอาหารเครื่องดื่ม ส่วนตัวเองนั่งเฉยๆ เพราะเริ่มง่วง อากาศเย็นๆ ทำให้ผมอยากฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะ แต่เพราะใส่เสื้อบอลมาตัวเดียวเลยเริ่มหนาวจนหลับไม่ลง

“เรื่องที่นั่นเป็นยังไงบ้าง…”

“ฉันมาพักผ่อนไม่ใช่มาคุยงานนะเดรค” ไรอันโอดครวญ แต่เหมือนพี่ภูจะไม่สนใจ เพราะเขายังคงพูดเรื่องงานอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเหมือนเดิม

พอบทสนทนาเริ่มเคร่งเครียดผมก็เลิกสนใจฟัง หันมายกเหล้าที่เพิ่งมาถึงโต๊ะเข้าปากแทน ยังไงก็คุยงานกัน สั่งมาเยอะขนาดนี้คงไม่ดี แถมคนสั่งก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย ผมเลยกระดกเอาๆ แต่ยิ่งกินก็ยิ่งหนาวจนต้องยกขาขึ้นมากอดบนโซฟา

“พี่ภู” ผมกระตุกชายเสื้อเจ้าของชื่อจนเขาหันมามอง “หนาว”

สายตาผมจ้องเสื้อคลุมที่เขาใส่อยู่เขม็งเป็นการสื่อชัดเจนว่าต้องการอะไร และต้องขอบคุณที่พี่ภูเป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลก เขาเลยถอดเสื้อแล้วโยนมาคลุมหัวผมโดยไม่ปฏิเสธ

“หืม…ไม่ธรรมดานะนั่น” ไรอันเท้าคางมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจถึงขีดสุด “นายดูเปลี่ยนไปนะเดรค”

“อะไร”

“ปกตินายดู...อืม...เข้าถึงยากกว่านี้มั้ง” ไรอันแย้มรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจในขณะที่มองหน้าพี่ภู “เก้าเป็นคนรักของนายเหรอ”

“เปล่า” ผมตอบแทนพี่ภูแล้วโบกมือไปมา “ตอนนี้ยังไม่ใช่ ผมชอบพี่เขาฝ่ายเดียว”

“หา” คนฟังทำตาโตเป็นไข่ห่านก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับผมอย่างรวดเร็ว “งั้นก็ยิ่งน่าแปลกไม่ใช่หรือไงที่เดรคยอมให้นายเข้าใกล้”

“จะไปรู้ไหม” ผมหันหน้าหนีด้วยความรำคาญใจเพราะขี้เกียจคุยต่อ

“เมาแล้วพาลนะเด็กนาย” แต่นอกจากจะไม่ถือสาแล้วไรอันยังมองเป็นเรื่องตลกอีกต่างหาก

“เปล่า...เมาไม่เมามันก็เป็นแบบนี้”

อย่างที่พี่ภูว่า ผมเป็นคนเมาที่คุยรู้เรื่อง สิ่งเดียวที่รู้สึกเวลาเมาคือง่วงนอน ครั้งสุดท้ายที่ผมเมาแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้คือปีก่อนในงานวันเกิดรุ่นพี่ รู้สึกจะโดนลากกลับเพราะพูดไม่รู้เรื่อง มันจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมมีเรื่องอะไรติดค้างในใจ แต่ที่ใครๆ ก็งงคือผมเป็นพวกฟื้นตัวไวมาก ได้นอนสักพักก็ลุกขึ้นมาหิวได้เหมือนเดิมแล้ว เพราะงั้นเวลาไปกินเหล้ากับเพื่อนเลยไม่มีใครห่วงเท่าไหร่

“ดูจากลักษณะ ท่าทางนายก็เริ่มใจอ่อนแล้วสินะ” ไรอันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะมองพี่ภูด้วยสายตาแปลกๆ

“...”

“แล้วน้องนายจะโอเคหรือไง”

ภามเกี่ยวอะไรด้วย…

“หุบปาก”

“โอเคๆ” ไรอันยกมือยอมแพ้เมื่อพี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ผมได้แต่มองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะพยายามตั้งใจเสือกและจับใจความยังไงก็ทำความเข้าใจได้ไม่หมด

“หยุดกินได้แล้ว” น้ำเสียงดุๆ ดังขึ้นพร้อมกับแก้วเหล้าที่ถูกดึงออกไปจากมือ ผมเกือบดึงกลับมาตามความเคยชินที่ไม่ชอบให้ใครมาห้าม แต่แค่ได้สบดวงตาสีเทาคู่นั้น…

“ไม่กินก็ได้”

ได้โปรดอย่าเบะปาก ไม่ว่าใครก็ต้องมีสิ่งที่แพ้ทางเป็นธรรมดา ผมก็ไม่เคยเชื่อหรอกจนได้มาเจอกับตัวเอง

ครืด ครืด

ผมเหลือบตามองพี่ภูที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าเขากำลังตั้งท่าจะเดินไปคุยที่อื่น แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายหันกลับมาจ้องหน้าไรอันอีกที

“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่า”

ไรอันยักไหล่ทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ท่าทางไม่ได้เหมือนคนรับปากเลยสักนิด แต่พอโดนจ้องมากเข้าก็ยอมบอกว่าโอเค พี่ภูถึงได้หันหลังเดินออกไป

“ดูเหมือนโอกาสนายจะเยอะนะ” ไรอันขยิบตาให้ผมแล้วยิ้มกว้าง

“เหรอ” ผมยอมดันตัวขึ้นนั่งมองเขาดีๆ เพราะชอบใจคำพูดนั้นอยู่ไม่น้อย “คุณรู้จักพี่ภูนานหรือยัง”

“สิบกว่าปีแล้วล่ะ ตั้งแต่เจ้านั่นบินไปอังกฤษ”

“เมื่อก่อนพี่ภูอยู่ไทยเหรอ”

“อ่า...นายเพิ่งรู้จักเดรคสินะ เมื่อก่อนเจ้านั่นอยู่กับแม่แท้ๆ ที่นี่ พอท่านเสียไปก็เลยกลับไปอยู่กับพ่อแล้วก็แม่เลี้ยง” ไรอันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มด้วยท่าทางเหม่อลอย ใบหน้าที่ดูรื่นรมย์มาตลอดหม่นหมองลงโดยไม่ทราบสาเหตุ “ตอนเจอกันครั้งแรกแย่กว่านี้อีก ยังดีที่แม่เลี้ยงรักเดรคกับน้องมาก อะไรๆ เลยดีขึ้น”

“งั้นเหรอ…” ผมเงียบไปนานเพื่อจดจำเรื่องราวที่ได้รู้ไว้ในหัว ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะสงสัยแค่ไหน เพราะผมอยากฟังจากปากพี่ภูมากกว่า อีกอย่าง...ท่าทางไรอันคงไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านี้แน่

“นายรู้เรื่องน้องเดรคหรือยัง”

“รู้แค่ว่าเป็นน้องแท้ๆ…”

“แน่สิ หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น” ไรอันยักไหล่ก่อนจะเบะปากน้อยๆ เหมือนจะไม่ชอบใจนักยามนึกถึงหน้าภาม “ถ้าเด็กนั่นไม่ตัวผอมเหมือนโครงกระดูก ฉันเดาว่าคงเหมือนภูแทบทุกอย่างเลยล่ะ”

“ขนาดนั้นเลย?” ผมเลิกคิ้ว ลองพยายามนึกภาพพี่ภูตัวผอมเป็นโครงกระดูกยังไงก็นึกไม่ออก

“อ้อ...แน่นอนว่านิสัยไม่เหมือนนะ ถ้าภูเป็นแบบนั้นฉันคงเป็นบ้าตาย ถ้าไม่ใช่ว่ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วสงสาร ฉันไม่มีทางยอมไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด” ไรอันได้ทีบ่นไม่หยุด ท่าทางไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอหลุดอะไรออกมาบ้าง

“แล้วทำไมคุณต้องถามพี่ภูว่าภามจะโอเคหรือเปล่า”

“ภูไม่ได้บอกอะไรนายมากกว่าบอกว่าเป็นน้องแท้ๆ เลยเหรอ”

ผมพยายามนึกถึงตอนที่คุยเรื่องนี้กับพี่ภู แต่นึกยังไงก็นึกออกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“พี่ภูบอกผมว่าถ้าอยากรู้อะไรให้ถามเจ้าตัวเอง”

ไรอันตอบรับเบาๆ ในลำคอก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้อีกครั้ง

“นั่นหมายความว่าภูคิดว่านายจะทำได้น่ะสิ”

“ทำอะไร”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

“เดี๋ยวนะ ขอทีเหอะ” ผมยกมือเป็นเชิงบอกให้เขาหยุด “ไอ้ประโยคประเภทเดี๋ยวก็รู้เองอะไรนั่น...ถ้าไม่อยากให้รู้ก็อย่าพูดดิ ไม่บอกแล้วจะพูดขึ้นมาทำไม”

พูดให้อยากรู้ พูดให้สงสัย พูดให้คิด แล้วสุดท้ายก็เทกันง่ายๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยอะไรขนาดนั้น แต่พอเปิดทางให้เท่านั้นล่ะ…

เดี๋ยวก็รู้

แล้วจะพูดทำไมวะ!

“โทษทีๆ” ไรอันหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขอโทษไม่หยุด แทนที่จะสำนึกและเข้าใจดันหัวเราะใส่ ท่าทางไอ้ฝรั่งนี่อยากโดนดี

“หัวเราะทำ…” ซากอะไร

“อา…” ไรอันยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม และดูเหมือนมันจะเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดตั้งแต่ได้เจอกัน

“ยอมรับแล้วล่ะ”

“ยอมรับ?”

“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นนาย” เขาว่าก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นเขย่า “เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องที่ช่วยได้ ต่อไปฉันจะช่วยแล้วกัน”

ผมคลี่ยิ้มถูกใจแล้วยกแก้วขึ้นชนเป็นอันตกลงตามนั้น

“แบบนี้ค่อยน่าคุยหน่อย”

หลังจากเป็นพันธมิตรกันเรียบร้อยแล้วผมก็แลกช่องทางการติดต่อกับไรอันไว้ และมันเป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่ภูกลับมาที่โต๊ะพอดี สายตาของเขากวาดมองผมกับไรอันด้วยความไม่ไว้วางใจ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ ผมเหมือนเดิม

คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่หยุด ต้นเหตุมาจากสิ่งที่ไรอันหลุดออกมา ทั้งเรื่องที่เขาไม่ชอบนิสัยภามและเรื่องที่บอกว่าสงสาร ผมคิดจนปวดหัวแต่ก็ไม่เจอทางออก สุดท้ายเลยได้แต่ตัดมันทิ้งไปง่ายๆ แล้วรอเวลาให้ทุกอย่างเฉลยออกมาเอง

หวังว่าจะมีวันนั้น...

“จะอยู่ถึงวันไหน” พี่ภูหันไปถามไรอัน

“อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว เวลาเที่ยวมีน้อย เจอกันอีกทีคงที่อังกฤษเลย”

“อืม”

“เอาล่ะ...งั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน” ไรอันลุกขึ้นยืนบิดตัวก่อนจะกวักมือเรียกพนักงาน “ดูท่านายเองก็จะกลับแล้ว มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง เอาไว้เจอกันใหม่”

“เจอกัน” พี่ภูบอกลาสั้นๆ ก่อนจะเดินแยกไป ผมเลยรีบโบกมือให้ไรอันแล้ววิ่งตาม

กว่าจะเดินไปถึงรถค่อนข้างใช้เวลา เพราะตอนมาที่จอดเหลือไม่มาก พี่ภูเลยต้องจอดอยู่ไกลพอควร ผมใช้เวลาที่เดินรอบสังเกตสีหน้าของคนด้านข้าง แล้วก็เป็นแบบที่คิด…

เขากำลังอยู่ในโหมดอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่

“เรื่องงานแหง” ผมพูดลอยๆ คิดว่าน่าจะใช่เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่พี่เขาออกไปรับโทรศัพท์

“เดาเก่ง”

เขาเรียกว่าฝีมือหรอก

“พี่อยากหายเครียดไหม” ผมหันไปถามพี่ภูด้วยความดี๊ด๊าเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก โชคดีจริงๆ ที่พรุ่งนี้หยุด

“คิดจะทำอะไร”

“อย่าทำหน้าตาไม่ไว้ใจผมสิ ปะๆ เดี๋ยวโชว์” ว่าแล้วผมก็วิ่งนำไปที่รถก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่ง รอให้พี่ภูขึ้นรถมาแล้วถึงพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ขับไปตามทางที่ผมบอกนะ”

พี่ภูไม่ตอบอะไรแต่ก็ยอมขับไปตามทางที่ผมบอก ถามว่ารู้ทางไหมบอกเลยว่าไม่ เปิดกูเกิลเอา ผมจำได้แค่ชื่อสถานที่ซึ่งพี่วินเคยแนะนำมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งโดยบอกว่าที่นี่คนน้อยให้หาเวลาไปเดินเล่น แถมยังอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบไม่มีสิ่งรบกวนด้วย พี่แกบอกว่ามานั่งแต่งเพลงแถวนี้หัวผมน่าจะแล่น

“สวนสาธารณะ?” พี่ภูหยุดรถตามที่ผมบอกก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ

“ใช่แล้ว”

“สวนสาธารณะตอนห้าทุ่มกว่า...มึงมาให้ยุงหามเหรอ”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมส่ายหน้า “พี่มานั่งที่ข้างคนขับที”

ไม่ต้องรอให้เขาตอบผมก็ลงจากรถก่อนจะเดินไปเปิดประตูคนขับออกด้วยตัวเองแล้วดึงแขนพี่ภูให้ลงมา เขามองด้วยสายตางงๆ แต่ก็เดินไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดีเหมือนอยากรู้ว่าผมจะทำอะไร และผมก็ให้คำตอบด้วยการ…

“มึง…”

ยัดตัวลงนั่งฝั่งคนขับ

“ผมจะพาพี่ขับรถเล่นเอง หมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีคน ถนนก็กว้าง พี่ไม่ต้องห่วงนะ สบายๆ”

“มึงขับไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”

“เชื่อผม…” ผมยิ้มให้พี่ภูก่อนจะขยับตัวไปคาดเข็มขัดให้เขาโดยไม่ขัดเขิน...เพราะกลั้นไว้อยู่ “ทฤษฎีผมแน่น”

เอาล่ะ...การขับรถครั้งแรกของคุณอชิราคือการขับออดี้ เป็นอะไรที่สมฐานะที่สุด

“เอาจริง?”

“จริง” ผมพยักหน้ายืนยันก่อนจะเข้าเกียร์ ศึกษาทฤษฎีมาสักพักแล้ว วันนี้จะได้ใช้สักที จริงๆ ก็ตื่นเต้นเบาๆ แต่เก็บอาการอยู่

“แล้วมาลองครั้งแรกกับรถกู?” พี่ภูพูดเสียงเพลียๆ

“อย่าคิดมาก ผมจะทำให้พี่ผ่อนคลายเอง แต่จะให้ดีพี่คอยบอกผมด้วยก็จะดีมาก”

ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ถ้าไม่อยากให้ออดี้มีตำหนิก็จงสอนดีๆ แต่ถ้าพูดออกไปแบบนั้นมีหวังโดนถีบตกรถแน่ๆ เก็บไว้ในใจดีกว่า

“ไปนะ” ไม่ต้องรอคำตอบผมก็เริ่มออกรถทันที ขยับนิดขยับหน่อย ซ้ายๆ ขวาๆ แรกๆ พี่ภูไม่ได้พูดอะไรสักคำเพราะเห็นผมขับได้ แต่พอผมเพิ่มความเร็วเท่านั้นแหละ

เพียะ!

“ตีแขนผมทำไม” ผมหยุดรถแล้วลูบแขนตัวเองที่โดนตีเสียงดังป้อยๆ โดยที่หน้าบูดจนไม่รู้จะบูดยังไงแล้ว

“ใครใช้ให้เพิ่มความเร็ว” พี่ภูพูดเสียงราบเรียบ หน้าดุกว่าเดิมสองเท่า “ขับดีๆ จับพวงมาลัยสองมือ”

“ครับ”

“อย่าอวดเก่ง ไปชนอะไรเข้าจะทำไง”

“มีรอยขูดขีดนิดหน่อยรถพี่จะได้ดูมีอะไรไง”

“…”

“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะค่อยๆ ขยับรถอีกครั้ง แต่พออยากเพิ่มความเร็วก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของคนข้างๆ ฟาดฟันมาเป็นเชิงด่าจนต้องหยุดทุกที

จากการวางแผนอันชาญฉลาด ผมคิดว่าการฝึกขับรถครั้งนี้จะทำให้เกิดความเฮฮาขึ้น และคาดหวังไว้ว่าพี่ภูจะหายเครียดจากการได้เห็นความพยายามและความตั้งใจของผม แต่ทุกสิ่งที่คิด…

มันคือความผิดพลาด

“ปรับเบาะให้มันพอดีตัวสิวะ เตี้ยแล้วไม่เจียม”

เตี้ยเหี้ยไรล่ะ…

ใจคิดแต่ปากพูดได้แค่...

“ครับ” ว่าแล้วก็ปรับเบาะให้พอดีตัว

“กระจกด้วย”

“ครับ” ปรับกระจกให้มองถนัด

“ขับไปดีๆ”

“ครับ” จับพวกมาลัยแน่น

“ตามองทางสิวะ มองเหี้ยไรของมึง”

“ผมเห็นตู้ชาเขียว…” อยากกิน

“อ้วน”

โอเคเลิก

ผมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจเพราะกลัวโดนดุอีก พอขับดีๆ ไม่มีปัญหาเขาก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำจนผมคิดว่าอยู่คนเดียว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็จะเป็นแบบเมื่อกี้อีก ว่าแต่...

เอี๊ยดดดดดด!

“ทำอะไรของมึง!” พี่ภูพูดกึ่งตวาด ทำท่าเหมือนอยากเข้ามากระชากหัวผม

“ผมเห็นขี้หมาอยู่ตรงล้อพอดี ก็เลย…”

ถ้าโดนมันก็จะเหม็นแล้วก็สกปรก

“แล้วทำไมไม่หักหลบ” 

“ผมเพิ่งเคยขับนี่นา”

“มึงแม่ง…” เขาทำท่าเหมือนจะตีผมเลยหลับตา แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสัมผัสนุ่มๆ ของมือที่วางแปะลงมาบนหัวแทน “เอาเถอะ...ครั้งแรกแค่นี้ก็ดีแล้ว”

เท่านั้นล่ะผมยิ้มหน้าบานในทันที แล้วยิ่งบวกกับมือที่แปะอยู่บนหัว...อยากจะย้ำสักสามล้านรอบว่าชอบสัมผัสของเขามากแค่ไหน

“งั้นผมขับกลับเลยนะ”

“เพิ่งลองขับไม่ถึงชั่วโมงมึงจะขับกลับเลย?” พี่ภูเลิกคิ้วก่อนจะละมือออกจากหัวผมไปกอดอกไว้แทน

“จ๋าบอกว่าอยากเก่งก็ต้องลองทำ”

“คำสอนผิดหรือวิธีคิดมึงผิดกันแน่วะ”

“พี่ว่าอะไรนะ”

“เปล่า” คนที่พึมพำอะไรสักอย่างตอบเสียงเรียบแล้วมองตรงไปข้างหน้า “มานั่งเฉยๆ ได้แล้ว เมื่อกี้มึงกินเหล้ามา เอาไว้ค่อยขับวันหลัง”

จริงๆ ผมก็ไม่ได้เมาหรอก แต่ก็ตามที่พี่ภูว่า อย่าเพิ่งดีกว่า

พอสลับที่กันเรียบร้อยแล้วพี่ภูก็ออกรถ ผมเอนเบาะลงนิดหน่อยแล้วกอดเสื้อแขนยาวของเขาไว้พร้อมทั้งพยายามบังคับเปลือกตาให้เปิดให้นานที่สุดเพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนคนที่กำลังขับรถ แต่พอแอร์กระทบตามากเข้าก็เริ่มทนไม่ไหว

“ง่วง”

“นอนไป”

พอได้รับคำอนุญาตแล้วผมก็ไม่รอช้าปิดเปลือกตาลงทันที แต่ก่อนสติจะเลือนหาย ผมได้ยินเสียงบ่นของใครอีกคนดังอยู่ไม่ไกล...

“สรุปว่ามึงจะช่วยให้กูหายเครียดหรือเครียดกว่าเดิมกันแน่”

 

-----------------

 

ติดตามข่าวสารได้ที่

เพจ Chesshire.

Twitter @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 28-06-2017 22:54:42
ดีงามมมม :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 28-06-2017 23:12:14
ระแวงน้องภามละเอาตรงๆ
ความกังวลระดับร้อย
ส่งแรงใจให้น้องกระต่ายเก้านะคะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 28-06-2017 23:23:48
ทำไมขำเวลาสองคนนี้คุยกัน ขำเก้าอ่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-06-2017 23:46:49
อิเก้า เกรียนได้ใจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-06-2017 00:09:53
น้องภามเป็นคนแบบไหนล่ะเนี่ย ก้อนสู้ๆนะ 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 29-06-2017 00:52:12
ชอบนิสัยเก้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 29-06-2017 09:34:33
น้องเก้าน่ารักอีกแล้ว ชอบความเนียนตามพี่ภูไปทุกที่เนี่ย 555
แล้วยังใส่ใจเรื่องพี่ภูทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ต้องคุยกับภามด้วย
พี่ภูประทับใจน้องอีกแล้วสินะ สายตาที่จ้องน้องคืออะไรอ่ะ อยากรู้
ว่าแต่ภามเนี่ย เป็นคนยังไงน้อ เด็กติดพี่ หวงพี่ ประมาณนั้นสินะ
แล้วมีปมอะไรที่ทำให้พี่ภูถึงต้องยอมน้องขนาดนี้กันนะ
อยากอ่านตอนน้องเก้าเจอกับภามเร็ว ๆ แล้ว น้องเก้าจะพิชิตใจภามยังไง
รอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณคนเขียนจ้ะ

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-06-2017 12:16:53
ภาม น้องพี่ภู ยังไง ชักสงสัยละ  :katai1:

แต่พี่ภู ดูเปิดใจให้เก้าแล้วนะ
ขนาดเพื่อนพี่ภู ไรอัน ยังมองว่าพี่ภู ผ่อนคลายกว่าเดิม
และยอมรับว่าเก้านี่ละที่จะทำได้   :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 29-06-2017 21:58:15
 :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 30-06-2017 00:56:52
55555อิเก้าตัวป่วน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[14]==[P.9]== [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 30-06-2017 13:11:44



-15-

 

“โอ้ย! พวกมึงเป็นคนหรือลิงวะ! ซนฉิบหาย! ขึ้นรถดีๆ!”

“พี่วิน ผมอยากนั่งคันนี้อ่า”

“พี่วิน ทำไมพวกผมได้นั่งคันสุดท้ายงะ”

“พี่วิน…”

“พี่วินพ่อมึงสิ! ไอ้เจมส์ มึงมาคุมแทนกูที เลิก!”

ผมมองภาพพี่วินเตะหินเตะดินด้วยความหัวเสียแล้วก็ได้แต่ขำอยู่กับไอ้โซสองคนโดยไม่มีความคิดจะเข้าไปช่วยเพราะไม่อยากโดนลูกลิงที่พี่แกว่าวิ่งมาเกาะแทน ไอ้พวกเด็กดุริยางค์ก็เจี๊ยวจ๊าวไม่เลิก รอจนเฮียเจมส์สุดโหดออกโรงนั่นล่ะถึงยอมเข้าแถวเรียงขึ้นรถ

ถ้าจะโทษใครก็คงต้องโทษพี่วินเองที่ไปทำตัวสนิทกับพวกปีหนึ่งเกินจนพวกมันแทบจะเรียกพ่อจ๋ากันอยู่แล้ว ทีนี้เลยโดนงอแงใส่จนคนใจเย็นสติแตกเดินหนีขึ้นรถไปรวมกับพวกปีสี่แล้วเรียบร้อย

“จะปลดปล่อยความเครียดจำเป็นต้องทำกูเครียดไปด้วยไหมถามจริง” เฮียเจมส์เดินนวดขมับมายืนพิงรถอยู่ข้างๆ ผม ท่าทางดูปวดหัวเพราะความโหดของแกเริ่มเอาลูกลิงไม่ค่อยไหว

“ปีหนึ่งก็งี้” ผมตอบก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ไอ้เปรมที่ยกมือไหว้ทักทาย

“สอบเสร็จครั้งแรกแม่งทำเหมือนเรียนจบ”

เออ...ก็จริง ขนาดปีหนึ่งยังเป็นขนาดนี้ เดี๋ยวเจอสอบปีสองแม่งคงร้องห่มร้องไห้ที่สอบเสร็จกันแหง

วันนี้เป็นวันเดินทางไปค่ายของเด็กดุริยางค์ทั้งสี่ชั้นปี นับจำนวนดูแล้วมีคนไม่ไปไม่ถึงสิบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่ว่าง ไอ้โซเองก็เกือบจะไม่ไปเหมือนกัน แต่พอพี่กีล์บอกว่าตัวเองจะไม่อยู่พอดีเพราะจะไปดูงานที่ภูเก็ต ไอ้หมาติดเมียเลยยอมหอบผ้าหอบผ่อนมาขึ้นรถด้วย

ส่วนคนที่ผมอยากให้มา…

นับตั้งแต่ที่ผมไปนอนห้องเขาวันนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันเลย พี่ภูงานยุ่งมากจนผมเหนื่อยแทน ตอนเช้าวันนั้นพอตื่นขึ้นมาผมก็ไม่เห็นเขาแล้ว พี่ภูแค่ทิ้งโน้ตไว้ว่าไปทำงาน ไม่กลับคอนโด แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลยสองวันเต็ม หลังจากนั้นเขาถึงได้ส่งสติกเกอร์อันเดิมกลับมาให้ผมเป็นเชิงบอกกล่าวว่ากลับมาแล้ว และพอพูดถึงเรื่องมาเที่ยว…

‘ติดงาน’

ผมไม่ดีใจเลยสักนิดที่เขาพิมพ์หาเป็นครั้งแรก เพราะถ้าส่งสติกเกอร์กลับมาให้ลุ้นเอายังน่าดีใจกว่าอีก แต่ถึงจะรู้ว่าเขาไม่มาแล้วใจผมก็ยังอดหวังไม่ได้…หวังจนต้องมองไปรอบๆ อยู่บ่อยครั้ง

“พี่เก้า ขึ้นรถเร็วววววว”

“รู้แล้ว” ผมหันไปตอบไอ้เปรมที่ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถทัวร์ก่อนจะกวาดตามองรอบด้านเป็นครั้งสุดท้าย

คงหมดหวังละ…

นอยเบาๆ แต่ไม่เป็นไร...ไปแกล้งเด็กให้หายนอยเอาก็ได้

“ไอ้โซ หยุดเล่นโทรศัพท์แล้วมาขึ้นรถ” ผมหันไปเรียกคนที่ยืนพิงรถกดโทรศัพท์ไม่หยุด มันเงยหน้ามองด้วยสายตามึนๆ เหมือนจะถามว่าขึ้นกันหมดแล้วเหรอ จากนั้นก็เดินมาขึ้นคันเดียวกับผม...เพลียกับหมาขี้งอนแต่ก็ห่วงเมียเหลือเกิน

“กีตาร์ไม่ตอบ” มันเดินตามขึ้นมาแล้วบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ อีกสักพักถ้าพี่กีล์ยังไม่ตอบต้องมีคนกระโดดลงรถแน่

“นั่งเครื่องอยู่มั้ง รอเราถึงมึงค่อยดูอีกที”

“ก็ได้”

ถ้ารู้ว่าพูดแบบนั้นแล้วมันจะเลิกสนใจโทรศัพท์หันมานอนพิงผมแทน สัญญาเลยว่าจะปล่อยให้มันนั่งเครียดไปตลอดทาง

“เอาหัวออกไป กูจะพิงมึง ไม่ใช่ให้มึงพิงกู”

ง่วงก็ง่วง กะจะหลับยาวสักหน่อยยังเสือกไวกว่าอีก

“กับภูเป็นยังไงบ้าง”

ผมเลิกคิ้วแล้วก้มหน้าลงมองเพื่อนที่พิงไหล่อยู่ก่อนจะยอมลดมือที่คิดจะผลักหัวมันออกลง

“เข้าใจเลือกเรื่อง”

“สรุปว่ายังไง”

“ก็ดี” คิดว่านะ

“ก็ดีคือ..”

“ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เสือกนัก” ผมด่ามันตรงๆ มาถามต่อแบบนี้แล้วจะไปตอบอะไรได้ ในเมื่อผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าก็ดีคืออะไร

ความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นผมรับรู้ได้ก็จริง แต่ถ้าให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขามันเป็นไปอย่างช้าๆ และขยับไปทีละนิดจนผมไม่รู้ว่าต้องรอให้ถึงจุดไหนถึงจะเป็นจุดที่ผมกล้าพูดได้อย่างมั่นใจกันแน่…ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยินดีที่มันเป็นแบบนี้

ช้าๆ แต่มั่นคง…จนเขาหนีไปไหนไม่พ้น

“ยากใช่ไหมล่ะ” ไอ้โซหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “พอเป็นเรื่องของตัวเอง มันเลยยากใช่ไหม”

“นั่นสินะ”

“ตอนเป็นเรื่องคนอื่นก็พูดได้อยู่หรอก แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง ไม่ว่าจะอะไรมันก็ยากไปหมดสินะ”

“มึงเลิกแดกดันกูที” ผมยกมือดึงผมไอ้คนข้างๆ จนมันร้องโอ้ยเบาๆ ก่อนจะพิงหัวมันกลับเพื่อพักผ่อน

ไม่ผิดจากที่ไอ้โซพูด ผมเป็นพวกมีความมั่นใจแต่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับความจริง สิ่งที่มันพูดคือสิ่งที่ผมต้องยอมรับ…ตอนเป็นเรื่องของมันกับพี่กีล์ ผมไม่ได้แนะนำหรือบอกมันมั่วๆ แต่เพราะผมมองเห็นทุกมุมและรู้ว่าพี่กีล์เป็นคนแบบไหนถึงได้กล้าพูดรวมถึงกล้าบอกว่าควรทำยังไง แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง...ยิ่งกับคนอ่านยากแบบพี่ภู สิ่งที่ทำได้มีแค่การใช้ความรู้สึกส่วนตัว…มันไม่ใช่อะไรที่ใช้สมองช่วยได้ ถ้าเขาชอบก็ดี แต่ถ้าเขาไม่ชอบ...ก็ต้องพยายามหนักกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

“ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้”

ผมหันขวับไปมองคนพูดด้วยความตกใจ มือยกบีบขมับแล้วนวดให้มันจนคนที่กำลังหลับตาร้องอืออาด้วยความพอใจ

“มึงโอเคนะ กินไรผิดสำแดงมาเปล่าวะ”

อี๋ แค่ฟังก็ขนลุกละ ต้องการอะไรจากสังคม

“อย่าด่าในใจ” มันพูดทั้งที่ยังหลับตา

เดี๋ยวนี้พัฒนาเนอะ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าผมด่าในใจ

“ก็มึงมาแปลก”

“หึ”

พอผมเงียบไอ้โซก็เงียบตาม มันขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะนิ่งไป ผมเลยเอนหัวพิงมันดีๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ระยะทางที่ผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้อะไรมากมายไหลเข้ามาในหัว ความคิดสับสนตีกันวุ่นวายไปหมด และเรื่องที่คิดก็หนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ

ผมยังคงยืนยันว่าตัวเองค่อนข้างหมกมุ่นกับสิ่งที่สนใจ จะคิดหาทางจนกว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเป้าหมาย ผมเคยคิดว่าสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าใครสักคนจะช่วย มันก็เป็นเพราะผมต้องการใช้งาน ทุกอย่างเกิดจากความต้องการของตัวเองจนบางทีก็ลืมไปเหมือนกันว่าคนที่อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน...เป็นคนที่หวังดีด้วย…ไม่ใช่คนใช้

มันคงเป็นนิสัยแย่ๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพิ่งคิดได้ตอนที่ได้ยินเพื่อนสนิทพูดว่า ‘ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้’ ล่ะมั้ง

“บรรยากาศยังไม่เหมาะจะดราม่า เอาไว้ค่อยคุย” ผมพูดติดตลกแล้วหลับตาลง ได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ ดังมาจากคนข้างๆ เป็นสัญญาณของการจบบทสนทนาทั้งหมด

 

 

“ขนของลงโว้ย!”

ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงตะโกนจากนอกรถ เกือบเผลอโวยวายอยู่เหมือนกันเพราะผมไม่ชอบให้ใครกวนตอนหลับ แต่พอเห็นว่ารถจอดอยู่ที่ไหนก็ได้แต่ลูบหน้าลูบตาควบคุมอารมณ์

“แม่ง…” คนที่นอนพิงไหล่ผมจนชาไปหมดบ่นพึมพำด้วยความหัวเสียไม่ต่างกัน

ตอนนี้เราเดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว เห็นพี่วินบอกว่าตอนจะขึ้นไปต้องเปลี่ยนไปนั่งสองแถวใหญ่แทนเพราะเรามากันเยอะและรถบัสไม่สามารถเข้าไปต่อได้

ผมเดินขยี้ตาลงมาจากรถก่อนจะสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดมาเป็นอันดับแรกเพราะเข้าฤดูหนาวแล้ว อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเขาด้วย…เขาใหญ่คือจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ โดยที่ที่เราจะเดินทางเข้าไปพักคือด้านในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

“มึงไม่เคยมาสินะ” ผมหันไปถามเพื่อนที่ยืนหมุนซ้ายหมุนขวามองรอบด้านอยู่ ท่าทางง่วงๆ ของมันหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความตื่นเต้นที่สะท้อนออกมาผ่านดวงตาเป็นประกายคู่นั้น

“ถ้าได้มากับกีตาร์ก็ดีสิ”

อยากจะกลอกตาแล้วด่าสักทีแต่ก็ทำไม่ได้…เพราะผมเองก็คิดไม่ต่างจากมัน

ถ้าได้มากับพี่ภูก็คงดี…

พวกผมเดินไปขึ้นรถเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยต้องเกาะท้ายสองแถวไปตามระเบียบ ตัวผมเองไม่เท่าไหร่เพราะคิดว่าดีเหมือนกันจะได้เห็นวิวชัดๆ แล้วก็เคยขึ้นสองแถวหนีเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง แต่ไอ้คนหน้านิ่งที่ตาเป็นประกายเพราะได้เกาะสองแถวเป็นครั้งแรกแลดูจะตื่นเต้นออกนอกหน้าสุดๆ

“วู้ววววว อากาศดีโว้ย” ไอ้เปรมที่นั่งรถคันเดียวกับผมตะโกนเสียงดังในทันทีที่รถออกตัวโดยมีเสียงลูกคู่ตะโกนตอบรับดังตามเป็นแถบ

ยิ่งขึ้นเขาเสียงพูดคุยในรถก็ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้สนใจอะไร แค่ปล่อยให้เสียงหนวกหูของพวกมันลอยผ่านไปแล้วทุ่มความสนใจไปกับการมองวิวในขณะขึ้นเขาแทน

“พี่เก้า”

“ว่า” ผมหันไปหาคนเรียกที่นั่งอยู่ด้านในรถ แต่ไม่ใช่แค่สายตาของไอ้เปรมคนเรียกที่มองกลับมา เพราะดูเหมือนเด็กปีหนึ่งในรถจะให้ความสนใจผมกันหมด เสียงโหวกเหวกที่ดังมาตลอดก็ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน

“พี่เป็นไรเปล่า”

“อะไรของมึง”

พวกมันมองหน้ากันเหมือนจะสื่อสารทางสายตาก่อนไอ้เปรมจะเป็นหน่วยกล้าตายตอบผมเหมือนเดิม

“ก็พี่ดูเหม่อๆ แล้วก็ทำตัวเหมือนพระเอกเอ็มวี ทั้งที่ปกติน่าจะด่าพวกผมไปแล้วแท้ๆ”

ผมมองพวกมันงงๆ ก่อนจะคิดตามคำพูดนั้นช้าๆ รู้สึกเหมือนวันนี้หัวจะไม่แล่นเท่าไหร่ แต่เพราะไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเป็นแบบที่พวกมันบอกจริงไหมผมเลยหันไปมองคนที่ยืนอยู่อีกด้าน โซไม่ได้พูดอะไร มันแค่มองกลับมาแล้วพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ

ผมเป็นแบบที่พวกมันบอกจริงๆ

“กูไม่เป็นไร” ผมหันไปบอกพวกในรถด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พวกมันทำหน้าเหมือนเห็นผีแล้วหันไปซุบซิบกันยกใหญ่ สุดท้ายผมเลยเลิกสนใจพวกมันแล้วหันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศนอกรถแทน

แม้ในใจจะยังสงสัยว่าอะไรที่รบกวนจิตใจตัวเองจนทำตัวผิดปกติก็ตาม

ครืด

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อรู้สึกว่ามันสั่น ใจคาดหวังโดยไม่รู้ตัวให้เป็นข้อความของใครบางคนที่กำลังคิดถึง แต่กลับกลายเป็นต้องผิดหวังเมื่อมันเป็นแค่ข้อความแจ้งค่าโทร ความรู้สึกหงุดหงิดใจทำให้เผลอกดปิดโทรศัพท์ไปตามแรงอารมณ์

ดูเหมือนผมจะรู้ต้นเหตุของอาการผิดปกตินี้แล้ว

ความผิดหวัง…

เพราะบอกล่วงหน้า แอบดูตารางงาน สัญญาว่าไปจะงานเลี้ยงเป็นเพื่อนทั้งที่เกลียดงานเลี้ยงยิ่งกว่าอะไร คาดหวังว่าเขาจะมาแต่สุดท้ายก็ยังผิดหวังอยู่ดี

ผมไม่ใช่คนไร้สาระที่จะไปนึกโกรธหรือหัวเสียใส่เขา หนึ่งคือเราไม่ได้เป็นอะไรกัน สองคือพี่ภูไม่ได้รับปากแต่แรก ผมรู้ดีว่ามันเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะมาได้หรือเปล่าถึงไม่ยอมรับปากเสียที ตอนที่เขาบอกว่าถ้าเป็นที่ที่ไม่เคยไปจะลองคิดดู ผมคิดว่าหมดหวังแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ พี่ภูเคยมาเขาใหญ่แล้ว...เขาเคยเช็คอินที่นี่ในเฟสเมื่อหลายปีก่อน ผมใช้เวลาทั้งคืนเพื่อย้อนหาที่ที่เขาเคยเช็คอิน แต่พอผมบอกสถานที่ไป...กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรนอกจากบอกว่าดูก่อน เพราะงั้นผมถึงได้หวังมากกว่าปกติและคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่อุตส่าห์โทรไปปรึกษาจ๋า แต่แล้วมันก็พัง…

พัง ไม่เป็นไปตามแผน ความรู้หงุดหงิดและผิดหวังเวลาอะไรไม่เป็นไปตามที่คิด…ทำยังไงผมก็ไม่คุ้นชินกับมันเสียที

“ไอ้เก้า! มึงลงมาหน่อย!”

ผมหันไปตามเสียง จำต้องทิ้งความหงุดหงิดเพราะพี่วินกวักมือเรียกพร้อมกับนึกตำหนิตัวเองในใจที่เหม่อจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ารถหยุดตอนไหน

“มีไรพี่” ผมเดินเข้าไปหาพี่วินที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานของอุทยานก่อนจะมองไปรอบๆ พวกคนที่อยู่บนรถยังคงคุยกันเสียงดังสนั่นไม่ได้ลงมาด้านล่าง มีแค่ผม เฮียเจมส์ พี่วิน แล้วก็พี่ปีสามอีกสองคนที่ยืนสุมหัวกันอยู่

“เรื่องที่พัก มันต้องแยกกันไป มีอยู่สองจุด จุดแรกเป็นบ้านใหญ่สองบ้าน ประเด็นคือจะมีประมาณยี่สิบคนไปนอนจุดสองที่เป็นบ้านเล็ก ต้องเลี้ยวซ้ายไปอีกทาง ห่างกันไม่มากแต่ก็ไม่น้อย”

“พวกพี่ปีสี่ไปอยู่ดิ พี่มีสิบแปดคนไม่ใช่เหรอ” พี่ปีสามหันไปบอกพี่วินซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ

“เออ พวกกูไปอยู่แล้ว ปีสาม พวกมึงดูเด็กด้วยละกัน เรื่องกิจกรรมเฮดปีสองรับผิดชอบใช่ไหม จะนัดอะไรก็ไปคุยกันให้เรียบร้อยแล้วมาบอกกู ส่วนมึงไอ้เก้า ลากไอ้โซมานอนกับพวกกู จบทริปนี้มีงานเข้า เราต้องมาคุยงานกันก่อน”

พี่วินมันก็พูดไปงั้นแหละ ผมมองหน้าก็รู้แล้วว่าพี่แกจะลากไปกินเหล้า ถ้าเทียบกับพวกในดุริยางค์ คนที่ออกงานบ่อยๆ หรือซ้อมด้วยกันบ่อยๆ จะสนิทกันเป็นพิเศษ และพี่วินมันคงรักผมมากเลยลากไปไหนมาไหนด้วยตลอด

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วเราก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถ ผมกับไอ้โซย้ายไปอยู่คันปีสี่ที่จะแยกไปอีกทาง ส่วนพวกที่เหลือก็ไปอีกทาง เพราะต้องแยกย้ายกันไปเก็บของเข้าที่พักก่อน แล้วจะทำอะไรค่อยว่ากันอีกที…จะว่าไปได้มาอยู่กับพวกปีสี่ก็ดีอย่าง ถ้าไม่อยากไปร่วมกิจกรรมอะไรก็ไม่ต้องไปก็ได้ หรือถ้าต้องรวมกันก็เป็นฝ่ายนั้นที่ต้องมาหารุ่นพี่ เรียกได้ว่าสบายสุดๆ

บ้านพักที่พวกผมมาอยู่เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่ติดกันสี่หลัง นอนหลังละห้าคน แน่นอนว่าผมห้อยติดไปกับพี่วิน ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปนอนเรียบร้อย พี่วินบอกผมว่าเมื่อคืนปีสี่ไปเมากันหนักหน่วงเพราะเป็นวันสอบเสร็จ เมื่อเช้าที่มาทันก็คือแทบไม่ได้นอน บอกแล้วว่าอยู่กับพวกนี้ไม่ต้องแคร์อะไร เผลอๆ พวกปีสองคงเริ่มแกล้งเด็กปีหนึ่งไปแล้วด้วยซ้ำ

เอาเถอะ...ถึงจะอดแกล้งพวกมันระบายอารมณ์ แต่ได้นอนในที่ที่อากาศดีแบบนี้ก็ไม่เลว

ด้านในห้องเป็นเตียงนอนหันเข้าหากัน ด้านหนึ่งมีสามเตียง ส่วนด้านที่ผมกับไอ้โซนอนมีสองเตียง พอจัดข้าวของเรียบร้อยแล้วพวกพี่วินก็นอนตายกันทันที ตอนแรกผมก็อยากนอน แต่ไปๆ มาๆ ก็เปลี่ยนใจมานั่งรับลมอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านแทน

“อารมณ์อินดี้เข้าสิงหรือไง” เสียงราบเรียบดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับที่เจ้าของเสียงเดินมานั่งลงข้างๆ ผมหันไปมองอย่างแปลกใจ คิดว่าสิ่งแรกที่มันจะทำเมื่อมาถึงคือการโทรหาพี่กีล์เสียอีก

“ติดต่อพี่กีล์ได้แล้วเหรอ”

“กีตาร์ส่งข้อความมาบอกว่าถึงแล้ว”

“แล้วมึงไม่โทรไปหรือไง” ปกติคงไม่พลาด แค่ได้ยินเสียงนิดๆ หน่อยๆ มันก็เอา

“ไม่ล่ะ อาจจะทำงานอยู่ คงต้องให้เวลาส่วนตัวกันบ้าง”

“โอ้โห…” ผมหันไปทำหน้าตายียวนใส่จนไอ้โซยื่นมือมาผลักหัว “ไม่น่าเชื่อว่าคนติดเมียอย่างมึงจะพูดแบบนี้”

“ก็เขาทำงาน จำเป็นต้องทำ เราจะทำอะไรได้ แค่รู้ว่าเขาปลอดภัยก็พอแล้ว” มันยักไหล่แล้วเอนตัวพิงเก้าอี้สบายๆ

“มึงพูดจามีสาระก็เป็นด้วย”

“เหอะ”

แล้วอยู่ๆ ความเงียบที่เคยมีก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของผมกับไอ้โซ มันไม่มีเหตุผลอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าความผิดหวังหรือหงุดหงิดที่สะสมมาตลอดเบาบางลงอย่างน่าประหลาด

นานแล้วที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้...บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ อาจเพราะตอนอยู่ในเมืองบรรยากาศรอบกายมีแต่ความอึดอัดน่ารำคาญ ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ อีกทั้งการพูดคุยกันของผมกับมันก็ไม่ได้น่าขำเท่าไหร่ เราช่วยเหลือกัน กวนตีนกัน แต่ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันสองคนและคุยกันในบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้ง

“ที่มึงบอกว่าขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้…” ผมพูดถึงเรื่องที่เราคุยกันทิ้งไว้บนรถก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไม่มีแสงแดดและบรรยากาศดีๆ ที่อยากเก็บไว้นานๆ

“กูไม่ได้เก่งเหมือนมึงที่ทำได้ทุกอย่าง”

“กูรู้”

“ไม่หลงตัวเองจะตายไหม”

“กูพูดความจริง” ผมเถียง ไม่ได้ตั้งใจจะพูดกวนตีนอะไร แต่พูดเพราะมันเป็นความจริง

“เออ สรุปว่าจะให้ช่วยอะไรก็บอก จบ”

“หมาหน้านิ่งหัวร้อนว่ะ” ผมหัวเราะแล้วยื่นมือไปจิ้มแก้มหมาตัวที่ว่า มันทำหน้าบูดบึ้งเป็นตูดแต่ก็ยอมให้จิ้ม

“วันไหนมึงสมหวัง กูคงสงสารภูมาก” มันมองผมเหยียดๆ แล้วหันหน้าหนี ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

“พี่ภูจะมีความสุขมาก มึงจะสงสารทำไม”

“ยังจะถามอีก” มันพึมพำเสียงเบาแต่ผมได้ยินเต็มสองรูหู อยากจะด่าแต่ก็ขี้เกียจ สุดท้ายเลยปล่อยมันไป

“โซ…” ผมผ่อนลมหายใจ พยายามเรียบเรียงความสับสนในใจออกมาเป็นคำพูดช้าๆ

“ว่า”

“มึงว่ากู...วุ่นวายกับเขามากไปไหมวะ” วุ่นวายจนทำให้โดนรำคาญโดยไม่รู้ตัว

“ทำไมถึงถาม” ไอ้โซหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง มันคงรู้ว่าผมกำลังคิดมากอยู่ถึงไม่ได้กวนตีนอะไร

“กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้ แค่คิดว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ดูเหมือนกูกำลังจริงจัง...แบบที่ไม่เคยจริงจังมาก่อน มันทำให้กูคิดนั่นคิดนี่แบบที่ไม่เคยคิด”

ถ้าบอกว่าสูญเสียความเป็นตัวเองไปบางส่วนก็คงใช่

“กูไม่ได้รู้เรื่องแบบนี้เยอะนัก แต่ถ้าให้ตอบตามประสบการณ์...ที่มึงคิดมากก็เพราะแคร์ไม่ใช่หรือไง”

แคร์เหรอ…

“จะว่าแบบนั้นก็ได้มั้ง”

“มึงพยายามเปลี่ยนนิสัยตัวเองหรือเปล่า”

เหมือนกับการพยายามไม่เป็นตัวเองเพื่อเขาน่ะเหรอ

“ไม่...กูไม่เคยพยายามเปลี่ยนนิสัย กูแค่พยายามให้เขาสนใจ แต่ไม่เคยคิดเปลี่ยนนิสัย”

ไอ้โซยิ้มนิดๆ ก่อนมันจะพูดต่อช้าๆ ราวกับต้องการย้ำคำพูดให้ฝังลงไปในใจผม

“มึงมันคนหน้าด้านหน้าทน ไม่แคร์ใคร ไม่สนใจใคร แต่ตอนมึงอยู่กับเขา มึงทำทุกอย่างตรงกันข้าม กลัวจะโดนโกรธถึงขั้นยอมลงโทษตัวเอง มึงทำไปโดยที่เขาไม่ได้บอกใช่ไหม”

ที่สระว่ายน้ำ...

“อืม…”

“แสดงว่ามึงกำลังปรับตัวเข้าหาภูโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และมันก็เป็นเรื่องดีๆ ไม่ใช่หรือไง” ว่าแล้วมันก็เอามือมาจิ้มๆ หน้าผม “มึงไม่รู้หรอกไอ้เก้า ว่าเวลาตัวเองอยู่กับคนๆ นั้นมึงเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ไม่ใช่ว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่มึงแค่แสดงนิสัยที่ไม่เคยมีใครเห็นออกมา ถ้ามึงจะถามว่ามากไปหรือเปล่า มึงก็ต้องไปถามเขาเอง เพราะตอนที่มึงอยู่กับกู กูไม่ได้รู้สึกว่ามันมากมาย มึงก็เป็นของมึงแบบนี้มานานแล้ว”

นั่นสินะ...ผมก็เป็นของผมแบบนี้มานานแล้ว แต่กับคนคนนั้นผมกลับยอมทำอะไรหลายๆ อย่างให้โดยไม่รู้ตัว ยอมแสดงนิสัยแบบที่ตัวเองยังไม่รู้ว่ามีออกมา

การที่ผมผิดหวังและเปลี่ยนไปจนใครๆ ทักในวันนี้ก็เหมือนกัน…

ผมกำลังแคร์เขามาก และกำลังมากเกินกว่าจะยอมรับความผิดหวังในตอนสุดท้ายได้

“พอเป็นเรื่องตัวเอง...มันยากจริงๆ ด้วยว่ะ อยู่ๆ กูก็กลัวจะผิดหวัง”

แม้แต่ความมั่นใจที่มีมาตลอดยังหายไป ผมเคยมั่นใจว่ายังไงก็จะทำให้พี่ภูหันมารักได้ แต่ยิ่งพยายาม...ก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นผมเองที่ถลำลึกไปกับความรู้สึกนั้นมากกว่าเดิม

แล้วถ้าเขาปฏิเสธจริงจังขึ้นมา ถึงตอนนั้นผมจะทำยังไง

‘คุณอชิรา ได้โปรดอย่าทำตัวเป็นพวกขี้แพ้ค่ะ เอาไว้ถ้าเขาทำแบบนั้นเมื่อไหร่ค่อยคิดก็ได้มะ’

ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงจ๋า คิดว่าถ้าไปถามคงได้คำตอบไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ และอีกอย่าง…

เรด…

ผมยกมือลูบหูฟังที่คล้องคอไว้ตลอด ใจนึกถึงป๋าว่าจะทำหน้ายักษ์ขนาดไหนถ้าผมพาคนที่ชอบไปหา

ความสับสนวุ่นวายใจสงบลงอย่างรวดเร็ว ความกังวลที่มีก็เลือนหายไปไม่ต่างกัน ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วหลับตาลงก่อนจะนึกถึงสิ่งที่ยึดมั่นในใจมาตลอดและสามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง

ถ้าไม่พยายามให้ถึงที่สุดแล้วต้องมาเสียใจทีหลัง ถึงตอนนั้นจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

“ดูเป็นไอ้เก้าคนเดิมแล้วนี่” คนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ทักขึ้นในทันทีที่ผมลืมตา

“มึงไปเอาคำพูดยาวๆ มาจากไหนเยอะแยะ” ผมหรี่ตาจับผิด ไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามันจะคิดอะไรพวกนั้นได้ด้วยตัวเอง…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทั้งหมด

“ประสบการณ์...กับที่กีตาร์บอก”

“พี่กีล์บอก?”

“อืม...เคยคุยกับกีตาร์เรื่องมึง กูก็แค่เอาที่เคยคุยมาพูดต่อ” มันยอมรับง่ายๆ ในขณะที่ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ดีว่ามันมีประสบการณ์จริงๆ

 ไอ้โซเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ตั้งแต่มีพี่กีล์มันก็พูดเยอะขึ้น เข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้น ยอมรับฟังและสนใจคนอื่นมากขึ้น ผมรู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพี่กีล์คือเหตุผลใหญ่ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป...ในทางที่ดีกว่าเดิม

“ขอบใจ” ผมพูดจากใจ ไม่ได้กวนเหมือนทุกครั้ง ซึ่งไอ้คนฟังมันก็พยักหน้ามึนๆ ตอบ

“เออ”

พอไม่มีอะไรจะคุยกันต่อความเงียบก็กลับมาครอบคลุมอีกครั้ง ผมนั่งมองฟ้าไปเรื่อยในขณะที่ไอ้โซนั่งเล่นโทรศัพท์ แต่อยู่ๆ มันก็ส่งเสียงหืมออกมาแล้วทำหน้าตาประหลาดใจ

“เก้า มึงปิดโทรศัพท์เหรอ”

“เออ ลืมเปิด” ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ชูให้มันดูก่อนจะกดเปิดเครื่องแล้วยัดเก็บที่เดิมโดยไม่คิดสนใจ “มีอะไร”

“ก็...อา ไม่ต้องบอกแล้วมั้ง คำตอบมาโน่นแล้ว”

ผมมองหน้าเพื่อนด้วยความงุนงงก่อนจะมองตามสายตามันไปทางถนน ตรงนั้นไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่เมื่อเพ่งมองดูดีๆ…

ออดี้สีดำคุ้นตาคันหนึ่งกำลังขับตรงมาทางนี้

ยิ่งระยะทางหดเหลือน้อยลงเท่าไหร่ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเท่านั้น วินาทีที่รถคันนั้นมาจอดอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะถูกดึงแขนไว้ผมคงวิ่งเข้าไปหารถคันนั้นแล้ว

“กูว่า...ขนาดนี้ไม่ต้องกลัวผิดหวังแล้วมั้ง”

“...”

“คำถามที่มึงสงสัย อย่าลืมไปขอคำตอบจากคนที่ให้ได้ล่ะ” พูดจบแค่นั้นแขนของผมก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

คนที่ผมนึกถึงมาตลอดเปิดประตูออกมายืนอยู่ด้านนอก เขาถอดเสื้อสูทแล้วเหวี่ยงเข้าไปในรถก่อนจะยกมือถอดแว่นกันแดดสีชาที่ใส่อยู่ออก ดวงตาสีเทาดุดันที่ใครๆ ต่างเกรงกลัวสบกับผมเข้าอย่างจัง...แล้วหัวใจที่เคยห่อเหี่ยวมาตลอดตั้งแต่เช้าก็กลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง

ผมไม่อาจ...ห้ามรอยยิ้มของตัวเองได้เลย

จ๋า…

แผนที่จ๋าช่วยเราคิดจะได้ใช้งานจริงแล้วนะ

 

‘จ๋า’

‘ว่าไงคะ’

‘เราอยากหลงป่า’

‘...’

 

---------------

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 30-06-2017 14:52:06
 :a5: คุณเก้า!!! หลงป่าใครระ????
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 30-06-2017 15:11:39
นุ้งเก้าาาาา เดี๋ยวเถอะ ถ้าพี่ภูจับได้นี่เรื่องใหญ่นะ 55555
โอ้ยจ๋าช่วยน้องเก้าวางแผนอะไรนี่
เตรียมรอความ uniuqe ของบ้านนี้ :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 30-06-2017 16:22:47
เก้าอย่าทำรัยพิเรนนะเว้ย พี่ภูโกรธตายเลยนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 30-06-2017 17:09:38
เชื่อเถอะว่าสุดท้ายถ้าพี่ภูรู้ พี่ภูแกก็ยอมอยู่ดี 55555 #พี่ภูของบ่าว เริ๊บ ❤
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2017 17:14:02
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Yongchiiki98 ที่ 30-06-2017 20:03:38
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดพี่ภูมาแล้ววววๆ ตอนนี้กระต่ายหงอยไปเลยอะ แต่พี่ภูมาหาก้อนแล้ววสงสัยน้องต้องวางแผนไปหลงป่ากับพี่ภูวัดใจกันแน่ๆ :impress2: รออ่านตอนต่อไปไม่ไหวเลยค่ะ :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 30-06-2017 21:16:24
ตอนนี้มีแต่ โซเก้า พระเอกโผล่ตอนจบซะงั้น 555
น้องเก้า จะทำอะไร หลงป่าเขาใหญ่มันอันตรายนะ ไม่ใช่เรื่องน่าเล่นเลย
ถึงพี่ภูจะจับได้หรือไม่ได้เรื่องแผนก็เถอะ ต้องโกรธแน่ ๆ อ่ะ
แทนที่อะไร ๆ จะดีขึ้น จะแย่ลงหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดเรื่องหลงป่า
ทำให้พี่ภูโทรคุยกับภามไม่ได้นะ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แน่ ๆ อ่ะ T T
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-06-2017 23:12:41
ลาก่อนชีวิตที่แสนสงบสุขของพี่ภู  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-06-2017 23:22:52
พี่ภูมาหาเก้าแล้วววววว แต่เก้ามีแผนหลงป่า โถ่ เด็กน้อยเอ้ย!! 5555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 30-06-2017 23:55:09
 :-[ :-[ :-[ อยากได้แบบพี่ภูสักคน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-07-2017 00:35:19
ชอบจ๋าาาาาา ไอดอลลลล :jul3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 01-07-2017 05:29:49
เวลาทำหน้าเศร้า โครตไม่ใช่เก้าอ่ะ อดสงสารไม่ได้ รักเขานิเนอะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-07-2017 08:20:13
เจ้าของมาแล้วโว้ยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 01-07-2017 17:51:39
โอ้ยยย คิดได้เนอะคนเรา 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 01-07-2017 19:29:54
ขนาดนี้แล้วววว ไม่ผิดหวังหรอกเก้าาา อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 01-07-2017 23:11:06
ทริปนี้หรรษาแน่ค่ะพี่ภู
น้องเก้านางมาแผนจะหลงป่า
คิดได้เนาะนาง ถถถถถ...
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 02-07-2017 08:20:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 02-07-2017 15:50:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 02-07-2017 19:40:07
โอ้ยยยยยยยย ><>< ยิ่งอ่านยิ่งรักกกกก
อะไรคือหลงป่าคะอิเก้าาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[15]==[P.9]== [30/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-07-2017 19:08:41

-16-

 

“พี่ภู…” ผมยิ้มจนปวดแก้มในขณะที่มองคนที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยสายตาเป็นประกาย แถมมือไม้ยังสั่นเทาหาที่วางไม่ถูกอีกต่างหาก

ดีใจ...ดีใจมาก

“ปิดโทรศัพท์ทำไม” คนพูดถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวในดวงตาคู่นั้นเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง

หัวร้อนที่ข้อความไม่ใช่ของพี่เลยพาลปิดโทรศัพท์ แบบนี้เหรอ...ไม่มีทาง โคตรเด็ก

“กูถาม”

“ผมหงุดหงิดที่ข้อความที่เข้ามาไม่ใช่ของพี่เลยพาลปิดโทรศัพท์ครับ”

โอเค…ผมควรยอมรับกับตัวเองเสียทีว่าความผิดปกติทุกอย่างเกิดขึ้นได้ถ้าอยู่กับพี่ภู แถมผมยังไม่สามารถปิดบังความคิดหรือความจริงกับเขาได้ด้วย

“ถ้าปิดอีกเจอดี” พี่ภูหรี่ตาคาดโทษ ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง

“แบบนี้เอง...พี่ติดต่อผมไม่ได้ก็เลยถามทางกับไอ้โซเอาสินะ” ถ้าสังเกตจากตอนไอ้โซเล่นโทรศัพท์แล้วหันมาถามผมเมื่อกี้ก็ไม่น่าผิดจากที่คิดนัก แถมตอนนี้มันยังหายหัวไปแล้วเรียบร้อยด้วย ส่วนคนตรงหน้า…ท่าทางคงไม่ตอบแน่ๆ

“ทำไมเงียบ” พี่ภูมองซ้ายมองขวาเหมือนจะสำรวจก่อนเขาจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม

“ตรงนี้มีแค่พวกพี่ปีสี่กับผมแล้วก็ไอ้โซ ส่วนใหญ่ตอนนี้ยังนอนตายกันอยู่ข้างใน ส่วนพวกที่เหลืออยู่ที่บ้านฝั่งนู้นเลย ที่ตรงนั้นไม่พอนอนพวกผมเลยมาที่นี่” ผมชี้ไปอีกทางของถนนซึ่งเป็นที่ตั้งที่พวกปีอื่นอยู่กัน น่าจะต้องเดินประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีกว่าจะถึง

“อืม” พี่ภูพยักหน้าก่อนจะเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เขายกมือปลดกระดุมเม็ดบนออกรับลม ทั้งยังปล่อยให้ผมลวนลามทางสายตาโดยไม่ว่าอะไรสักคำ

“พี่ติดงานไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม…”

“มาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” เขาตัดบทก่อนจะหันมามองหน้าผมนิ่งๆ “เรื่องอื่นจะรู้ไปทำไม”

คือคนมันขี้เสือกไง...แต่จะพยายามไม่อยากรู้แล้วกัน

“แล้วพี่จะกลับพร้อมผมหรือเปล่า”

“ไม่ใช่กูกลับพร้อมมึง...แต่มึงต้องกลับพร้อมกู”

“หา…” ผมทำหน้าเหวอแล้วมองหน้าคนที่หลับตารับลมด้วยความงุนงงสุดขีด

“รับปากอะไรไว้ก็ทำให้ได้ตามที่พูด”

รับปาก…หรือว่าจะเป็นเรื่อง…

“พี่หมายถึงเรื่องงานเลี้ยงเหรอ” ผมตั้งคำถาม และแทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหวเมื่อคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ “ได้เลย ผมไปเป็นเพื่อนแน่ๆ พี่ไม่ต้องห่วง”

“หึ”

จบคำว่าหึแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ พี่ภูหลับตายาวๆ เหมือนกำลังจะนอนหลับจริงๆ ในขณะที่ผมมองหน้าเขานิ่งเป็นคนบ้าโดยที่ยังไม่หุบยิ้มด้วยซ้ำ มองจนนึกถึงเรื่องคำถามที่เอาไปถามไอ้โซ...รู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกได้ว่าทำตัวแบบไหนออกไป ตอนนี้เลยได้แต่หวังว่ามันจะไม่เอามาล้อทีหลัง

“พี่ภู ผม…”

“ตื่นโว้ยยยยย!”

ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ต้องหัวร้อน มันไม่ใช่เพราะผมขี้หงุดหงิดเลยสักนิด...เวลากูจะพูดเรื่องสำคัญต้องมีคนมาขัดตลอด! หลายทีแล้วละนะ ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่ผมเข้าไปบวกแล้ว

“มองกูแบบนั้นทำไมไอ้เก้า” ตัวต้นเหตุของเสียงปลุกแปดสิบริกเตอร์คือพี่วินคนเดิมซึ่งไม่รู้ว่ามาปลุกจริงหรือมากวนตีนผม “อุ๊ย! พี่ภู”

แหม...เสียงตกใจแต่หน้ามึงไม่ตกใจเลยนะพี่นะ แม่งจงใจชัวร์

“มึงไปเตรียมตัวไป เดี๋ยวไปรวมกินข้าวที่โน่นแล้วรับน้องต่อ พรุ่งนี้จะได้เที่ยวชิวๆ แล้วก็ไปเดินป่าด้วย”

“เดินป่า?” ผมตาเป็นประกาย ลืมเลือนความหัวเสียไปชั่วขณะ

“เออ พวกมันบอกดูเวลาก่อน อาจจะไปพรุ่งนี้...พี่ภูก็ไปด้วยกันนะครับ” พี่วินหันไปทำตาปิ๊งๆ ใส่พี่ภูจนผมต้องมองแรงแล้วรีบโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ พี่วินมันเลยเบะปากใส่แล้วทำท่าจะด่าผม แต่ยังไม่ทันได้พูดก็โดนพี่ภูหันไปมอง พี่แกเลยยิ้มหวานก่อนจะเดินดี๊ด๊าไปเคาะประตูเรียกคนอื่นด้วยความอารมณ์ดี...โคตรน่าเตะ

“พี่เตรียมของมายัง”

“อยู่บนรถ” พี่ภูหาวด้วยท่าทางเป็นผู้ดี

“ผมไปเอาให้” ว่าจบผมก็รับกุญแจมาจากมือเขาแล้ววิ่งไปที่รถก่อนจะหยิบเอากระเป๋าขนาดกลางออกมาแล้วเอาเข้าไปเก็บในห้อง แน่นอนว่าเอาไว้บนเตียงตัวเอง เพราะเตียงนอนมีแค่ห้าเตียง...หึหึ

รอจนพี่วินเคาะประตูเรียกครบทุกบ้านแล้วพวกพี่ปีสี่ก็เริ่มทยอยออกมากันช้าๆ หน้าตาแต่ละคนแย่ยิ่งกว่าซากศพ แต่ถ้าถามว่าคืนนี้จะนอนหรือกินเหล้า บอกเลยว่าเหล้าสำคัญกว่า และไม่ใช่แค่คืนนี้ด้วยนะ…แต่พวกนี้กินหนักทั้งสองคืนแน่ ขนาดผมเห็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ขนกันมายังร้องโห ไหนจะของพวกปีอื่นที่อยู่ฝั่งนู้นอีก

“ทำไมเราต้องเดินไปหาพวกมันว้า” พี่คนหนึ่งโอดครวญ ท่าทางพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ

“พวกมันเตรียมกิจกรรมไว้ฝั่งนู้นไง แม่งรู้ทันเลยเตรียมของก่อนแล้วค่อยบอกกู ไม่งั้นกูก็บอกให้มาที่นี่แล้ว” พี่วินบ่นด้วยหน้าตาอึนๆ ไม่ต่างกัน

“กู…!” พี่ที่กำลังจะพูดสะดุ้งแรงเมื่อหันมามอง ซึ่งคนที่ทำให้เขาสะดุ้งก็ไม่ใช่ผมหรอกแต่เป็นคนข้างๆ ผมต่างหาก พอพี่แกที่เดินนำหน้าหยุดเท้ากะทันหัน พวกคนที่อยู่ด้านหลังก็เลยต้องหยุดตามไปด้วย

“หยุดทำเหี้ย…!” ใครสักคนจากด้านหลังหลุดเสียงโวยวายออกมานิดหน่อยก่อนจะเงียบไป

เออ...ค้างกันเป็นแถบ มีแค่คนที่ไปว่ายน้ำกับผมวันนั้นที่ไม่ได้เงิบเหมือนเพื่อน พวกเขาแค่ตกใจก่อนจะทักทายพี่ภูเป็นปกติ ส่วนคนข้างๆ ผมก็แค่พยักหน้ากลับ

“ไอ้วิน!”

ผมมองภาพรุ่นพี่เป็นฝูงลากตัวพี่วินไปอีกทางเพื่อซุบซิบกันขำๆ จวบจนเสียงร้องว้าวจบลงเท่านั้นล่ะ...แร้งทึ้ง

“สวัสดีครับพี่ภู”

“พี่ภูดีครับ”

“ผมชื่อ…”

ผมหัวเราะจนตัวงออยู่ข้างๆ ไอ้โซที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านในขณะที่มองไปยังพี่ภูที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนรุมโดยไม่คิดเข้าไปห้าม เหตุผลแรกคือพวกรุ่นพี่ไม่ได้แตะโดนตัวเขาอยู่แล้ว และอีกเหตุผลคือปีสี่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรเท่าไหร่

สงสารก็สงสาร แต่คิดว่าเขาเองก็คงขำอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะงั้นให้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องผ่อนคลายสิ…ถึงจะคิดแบบนั้นแต่พอมองไปมองมาผมก็เริ่มสงสารคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายและคนเยอะๆ เลยเดินเข้าไปดึงแขนเขาออกมาจากวงแล้วกวาดตามองรุ่นพี่

“ไม่ไปกันแล้วหรือไง”

“ไรวะไอ้เก้า ขี้หวงว่ะ”

“โด่ว คิดว่าเขาให้แตะแล้วเชิดเชียวนะมึง”

ตามด้วยเสียงด่ามากมาย กลายเป็นกูผิดอีก แต่ผมก็รู้ดีว่าพวกพี่มันพูดขำๆ เลยยักไหล่แล้วเชิดหน้ากวนตีนเข้าให้ พอจะโดนตบหัวก็ขยับไปหลบหลังพี่ภูเอา

“กล้าเหรอ” ผมยื่นหน้าออกมาทำหน้าตายียวน เห็นพวกรุ่นพี่ชี้หน้าคาดโทษแล้วก็อารมณ์ดีรีบเกาะพี่ภูแล้วเดินนำพวกนั้นไปก่อน

“เล่นเป็นเด็ก” คนที่ผมเกาะแขนอยู่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่แลดูมีความขบขันแฝงอยู่ไม่น้อย เห็นเขาดูอารมณ์ดีผมก็มีความสุขไปด้วย

“พี่ทำหน้าดุๆ สิ” ผมกระซิบบอก ขาเร่งสปีดให้เดินทิ้งห่างพวกข้างหลังมากกว่าเดิม

“ดุ?”

“อื้อ หน้าดุๆ แบบโหดๆ เหมือนเมื่อก่อนเลย” ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าหน้าตาพี่ภูเปลี่ยนหรือตัวเองมองเขาเปลี่ยนไปกันแน่ถึงไม่รู้สึกว่าหน้าเขาดุๆ เถื่อนๆ แบบเมื่อก่อน แต่เพื่อความชัวร์...บอกเขาให้ทำดีที่สุด คนอื่นจะได้ไม่กล้ามายุ่งมาก

“ปัญญาอ่อน”

“เปล่านะ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ และวินาทีต่อมาก็โดนผลักหัวเต็มแรงจนน่ากลัวว่าคอจะหลุด อยากจะบ่นอยู่เหมือนกัน แต่พอหันกลับไปหาก็แทบกลืนคำพูดลงไปไม่ทัน เพราะคนที่ผมมองอยู่...เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปากอีกแล้ว

ขยันทำดาเมจใส่กันเหลือเกิน…

ผมกับพี่ภูเดินมาถึงเป็นคู่แรกก็เห็นพวกปีหนึ่งปีสองปีสามกำลังสุมหัวกันอยู่ก่อนแล้ว พอพวกมันหันมาเห็นผมแล้วก็ทำท่าจะทัก แต่ผมส่งสัญญาณให้เงียบไว้แล้วเดินย่องไปด้านหลังไอ้เปรมช้าๆ พอได้จังหวะแล้วก็จิ้มเอวมันแรงๆ ก่อนจะถอยหลังมายืนข้างพี่ภู

“เหี้ย! ฮ่าๆ!” ไอ้เปรมสบถเสียงดังแล้วดีดตัวเองลงไปนอนกลิ้งกับพื้นก่อนจะดิ้นไปดิ้นมาเหมือนยังโดนจี้อยู่โดยมีเสียงขำของคนอื่นๆ เป็นแบ็คกราวน์ ขนาดพี่ภูยังส่ายหน้าเหมือนจะขำเลย

เรื่องของเรื่องคือมันบ้าจี้เข้าขั้นวิกฤติ ใครเขาก็รู้ไปทั่วแต่ไม่กล้าแกล้งเพราะไอ้นี่มันโกรธจริง จะมีก็แต่ผมที่กล้าแกล้งเพราะทำยังไงก็ไม่โดนโกรธ พวกปีหนึ่งบอกว่าไอ้นี่มันบูชาผมจนจะเทียบเท่าพ่อมันแล้วด้วยซ้ำ

“เหนื่อย…” มันลุกนั่งแล้วหอบไม่หยุด ตามองผมค้อนๆ เหมือนจะโกรธแต่ก็ไม่โกรธ “พี่เก้าอ่ะ”

สะดีดสะดิ้งไปอีก บอกทีว่ามันเป็นเดือนดุริยางค์ได้ไง

“ทำไมเดือนดุริยางค์มีแต่พวกผิดปกติวะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ และแทบจะทันทีที่พูดจบก็โดนตบหลังดังป้าบใหญ่ด้วยฝีมือของไอ้หมาบ้าที่เพิ่งเดินมาถึง “มาได้จังหวะจริงนะมึง”

“นินทา” มันผลักผมอีกทีจนตัวเซ แต่ดีที่ผลักเซไปหาพี่ภูเลยให้อภัย ถึงพี่เขาจะรับผมด้วยการใช้มือเดียวจับไหล่ก็เถอะ

แค่นี้กูก็ยิ้มได้ละ...ถ้าจ๋ารู้ต้องโดนด่าว่าใจง่ายแน่เลย

“เก้า มึงพาพวกพี่ไปนั่งกินข้าวก่อนเลย พวกกูกินกันแล้ว” ไอ้เต๊ะที่เป็นเฮดปีสองเดินมาบอกผมก่อนจะชี้ไปใต้บ้านพักของพวกมัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกพวกพี่วินแล้วพากันเดินไปกินข้าว

ผมยืนรอให้พวกรุ่นพี่เดินไปตักกันจนหมดก่อนแล้วค่อยไปต่อแถว ไม่ใช่ว่ามีมารยาทนะ แต่พี่ภูยังยื่นนิ่งอยู่เลยต้องยืนเป็นเพื่อน รอจนคนหมดแล้วเขาก็ไปยืนอยู่หน้าถาดอาหารที่มีอยู่สี่ห้าอย่าง มองแล้วก็ไม่ตักเสียทีจนผมต้องเอ่ยปาก

“พี่กินเป็นหรือเปล่า”

พี่ภูขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นคำตอบ แค่นั้นผมก็เข้าใจทันทีว่าเขากินไม่เป็น ไม่แปลกหรอก เพราะกับข้าวของพี่ภูส่วนใหญ่ไม่ใช่อาหารไทยอยู่แล้ว อย่างตอนนั้นเขาก็ทำอาหารฝรั่งให้ผมกิน ถ้าเป็นอาหารแปลกๆ ไม่มีป้ายแปะเขาคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“มันคืออะไร”

“อันนี้ไช้โป๊ผัดไข่ มันจะหวานๆ หน่อย ส่วนอันนี้ต้มยำรวมมิตร ดูจากสีแล้วผมว่าไม่น่าเผ็ด อันตรงพี่นั่นก็ไข่ต้ม น่าจะเป็นตานี...ผมหมายถึงยังไม่สุกมาก ลองกินดูสิ ผมชอบนะ แล้วอันนี้ยำวุ้นเส้น พี่ไม่น่าชอบเพราะท่าทางจะเผ็ดอยู่ พริกเยอะแยะเลย ส่วนอันสุดท้ายที่พี่งงคือน้ำพริกอ่อง อธิบายรสไม่ถูกเหมือนกันแต่เดี๋ยวพี่ลองชิมกับผมก็ได้...เอาอะไรดี” อธิบายจบผมก็เงยหน้ามองคนข้างๆ เห็นสายตาเหมือนจะขำใส่ทั้งที่หน้ายังนิ่งก็เขินอยู่หน่อยๆ จนต้องยกมือเกาแก้ม

“ทำอาหารไม่เป็นแต่รู้ดีจริง”

“ผมชอบติ” ผมหัวเราะก่อนจะค่อยๆ ตักอาหารที่เขาน่าจะกินได้ใส่จานให้ “ไปกินที่ไหนก็ติเขาไปหมด สั่งก็ชอบสั่งหลายๆ อย่างแล้วกินเหลือประจำ โดนคนขายด่าก็หลายครั้ง จนตอนนี้ยังโดนจ๋าหักค่าขนมเพราะใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่เลย”

“สมควร”

ผมเบะปากใส่คนพูดแต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร แถมยังช่วยเขายกจานไปที่โต๊ะอีกต่างหาก

“บริการดีกว่านี้ไม่มีแล้วบอกเลย” ผมโฆษณาตัวเองโดยคาดหวังจะได้เห็นรอยยิ้มหายาก แต่กลับได้เห็นหน้าเนือยๆ เหมือนขี้เกียจด่าแทน

“เหรอ”

“อื้อ”

“ฮัลโหลลลล พวกพี่ครับ รีบๆ ทานแล้วเรียนเชิญมาร่วมกิจกรรมที” ไอ้เต๊ะที่คุมน้องอยู่ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังจนโดนพี่ปีสี่ที่นั่งอยู่แถวนั้นโบกหัวไปสามสี่ทีพร้อมเสียงบ่นระงม

“พวกกูนั่งแดกไม่ถึงห้านาทีบอกให้ไปร่วมกิจกรรม”

“ทีหลังมึงบอกพวกกูไม่ต้องแดกก็ได้นะไอ้สัตว์”

ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ทุกคนก็ดูเร่งสปีดในการกินมากกว่าเดิมเพื่อไปร่วมกิจกรรมปัญญาอ่อนของพวกมัน จริงๆ ปีสองคือปีที่จะจัดกิจกรรมพวกนี้ แต่เพราะผมกับไอ้โซอยู่ห้องซ้อมตลอดและขึ้นลงเวทีแทบทุกเวทีเลยไม่แปลกที่จะไม่รู้เรื่อง พวกมันเองก็เข้าใจเลยทำเหมือนผมกับไอ้โซเป็นรุ่นพี่ไปแล้ว

พอคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินออกไปที่ลานกันหมดผมก็ชวนพี่ภูเดินตามไปบ้าง เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เดินตามไปเงียบๆ และไม่ได้เดินเข้าไปใกล้มากเกินไป เหมือนแค่ต้องการดูว่าพวกนั้นทำอะไรกัน แต่ไม่ได้คิดเข้าไปร่วมวงด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว เพียงแต่…

“ไอ้เก้า! มึงมาสาธิตหน่อย”

เป็นเหี้ยอะไรกับกูนักหนาวะเนี่ย ขออยู่เฉยๆ หน่อยไม่ได้เลย

ผมส่ายหน้าแล้วเกาะแขนพี่ภูแน่น แต่พวกมันรู้ทันเลยส่งสายตาให้ไอ้โซมาดึงผมออก

“พี่ภู” ร้องเรียกก็แล้ว เกาะแขนก็แล้ว แต่นอกจากจะไม่หือไม่อือแล้วคนหน้าดุยังเดินตามแรงดึงของผมไปแบบสมยอมอีกต่างหาก ดูก็รู้ว่าอยากเห็นผมโดนแกล้ง

คือ...ไอ้การที่ผมจะโดนแกล้งมันน่าสนุกขนาดนั้นเลยเหรอถึงได้ตบไม้ตบมือเฮฮากันฉิบหาย กูงง

“ปีหนึ่ง ใครจับไอ้เก้ามาหากูได้ภายในห้านาทีไม่โดนลงโทษ” เสียงไอ้เต๊ะที่ตะโกนดังลั่นทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ แต่ก่อนจะได้หันไปด่ามันสมใจอยากมันเสือกรู้ตัวตะโกนดักก่อน “เริ่มได้!”

“ไอ้เต๊ะ! ไอ้เพื่อนเหี้ย!” ผมชี้หน้ามันคาดโทษก่อนจะออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณไอ้พวกเด็กเวรที่ทำตามคำสั่งกันอย่างเคร่งครัดโดยการช่วยกันวิ่งจับกูกันทั้งชั้นปี ดีที่พื้นที่ลานตรงนี้กว้างพอให้หนี แต่นั่นก็เท่ากับผมต้องเหนื่อยขึ้นเป็นเท่าตัว เออ...ทางไหนกูก็เสียทั้งนั้น

“จับมันเร็วๆ ดิวะ! อีกสามนาที!”

“ไอ้เหี้ยเต๊ะ!”

“พี่เก้า! อยู่เฉยๆ ดิพี่!”

โอ้โห แม่งวิ่งอย่างกับฝูงซอมบี้ หยุดให้พวกมึงจับแดกหรือไง

พอต้องออกตัววิ่งเร็วผมก็เริ่มเหนื่อย โดนพวกแม่งจับอยู่หลายทีแต่เผอิญแรงควายเลยสะบัดหลุดได้ ผมตัดสินใจใช้ทางเลือกสุดท้ายโดยวิ่งเข้าไปหาคนหน้าดุที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ไอ้โซ เขากำลังมองเหตุการณ์ทุกอย่างนิ่งๆ แต่แล้วคิ้วเข้มก็เลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังวิ่งเข้าไปหา โทษที...ไม่ทันละพี่

ผมวิ่งไปหลบหลังพี่ภู ไอ้ฝูงซอมบี้ที่วิ่งตามหยุดชะงักจนแทบล้มลงไปกองรวมกัน ขนาดพวกมันไม่รู้เรื่องพี่ภูเท่าไหร่เพราะเพิ่งเข้ามาใหม่ยังดูกลัวเขาเลย คิดไม่ผิดจริงๆ…

“พี่เก้า แมนๆ หน่อยดิ” ไอ้เปรมหลอกล่อพร้อมกับที่พวกมันกระจายตัวล้อมผมไว้ช้าๆ

“พวกมึงแมนมากเลยเนอะ วิ่งตามกูเป็นฝูงเนี่ย” ผมด่ากลับด้วยความหงุดหงิดและหมุนตัวโดยดึงเสื้อพี่ภูไว้เมื่อรู้สึกว่าพวกมันเข้ามาใกล้มากเกินไป

“นาทีครึ่ง!”

ไอ้เต๊ะ มึง…

“พี่ภูครับ หลบหน่อยเถอะครับพี่ พวกผมไม่อยากโดนทำโทษ” เด็กคนหนึ่งยกมือไหว้ ท่าทางอยากพุ่งเข้าใส่ผมเต็มที่แต่ยังกลัวพี่ภูอยู่เลยได้แต่ขอร้อง

“อย่านะพี่” ผมเขย่าชายเสื้อคนด้านหน้าเป็นเชิงเตือนและพร้อมจะกอดเอวเขาไว้ทุกเมื่อถ้าคิดจะสะบัดผมออก

“เล่นอะไรกันวะเนี่ย” พี่ภูพึมพำเสียงค่อยก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วถอนหายใจ

เห็นหน้าตาเขาผ่อนคลายผมก็ดีใจนะ แต่เวลานี้ยังไม่มีอารมณ์พูดถึง เพราะถ้าไอ้พวกเด็กเวรไม่โดนลงโทษ คนที่โดนแทนต้องเป็นกูแน่นอน

“พี่ภูครับ ถ้าพี่ไม่ถอย…พวกผมก็ไม่มีทางเลือก” ไอ้เปรมทำใจกล้าก้าวเท้าเข้าใกล้พี่ภูช้าๆ ในขณะที่ผมเกาะเขาแน่นกว่าเดิมเพราะกลัวจะโดนทิ้ง

“อย่าแตะพี่ภูนะพวกมึง” ผมโผล่หน้าออกมาบอกจนพวกมันชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอตั้งสติได้ก็ขยับเข้ามาอีก

“พี่ภูครับ เชื่อผมนะพี่ ทิ้งพี่เก้าไปเถอะ”

“อย่ามาหลอกล่อพี่ภูของกู พวกมึงถอยไปเลย”

“พี่เก้า มานี่มา”

“อย่าแตะ!” ผมตีมือไอ้เปรมที่จะจับพี่ภูแล้วเขย่าตัวคนด้านหน้าให้ถอยตาม “อย่าให้มันโดนตัวนะพี่ เดี๋ยวติดเชื้อโรค ถอยไปเลยไอ้เชื้อโรค!”

“เดี๋ยวๆ พี่ ผมเปรมเอง ไม่ใช่เชื้อโรค”

“อีกสามสิบวิ!” ไอ้เต๊ะตะโกนมาแต่ไกล คราวนี้ไอ้พวกที่ล้อมอยู่ตาโตลุกฮือเข้ามาหา ผมรีบคิดหาแผนการในใจให้มันลากตัวไปไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนแขนแข็งแกร่งของคนที่อยู่ด้านหน้าล็อคคอให้ขยับไปอยู่ข้างๆ

“ถอยไป”

แค่คำสั้นๆ คำเดียวทำให้ทุกอย่างเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว

“หมดเวลา!”

พวกเด็กปีหนึ่งทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้แล้วมองพี่ภูแบบค้อนๆ เป็นเชิงงอนก่อนจะเดินคอตกไปหาพวกปีสองที่ยืนขำรออยู่

“ขอบคุณครับ” ผมจับมือที่พาดคอตัวเองอยู่แล้วเงยหน้ายิ้มให้ แต่เขาแค่ส่งเสียงหึเบาๆ คำเดียวก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง

ไม่เป็นไร...ชอบ

ในขณะที่พี่ภูกำลังมองคนอื่นๆ ทำกิจกรรมร่วมกันด้วยความสนใจ ผมเลือกที่จะมองหน้าเขาแล้วสังเกตดวงตาคู่นั้นเงียบๆ…มันไม่ได้ฉายแววเย็นชาหรือเกลียดชัง แต่กลับเป็นประกายเหมือนกำลังมองอะไรที่ดูน่าสนุกและไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันเป็นสายตาแบบที่ทำให้ผมต้องมองค้างอยู่นาน

อดคิดไม่ได้ว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้พี่ภูได้คุ้นชินกับการเข้าใกล้คนเยอะๆ มากขึ้น แล้วก็ช่วยทำให้เขาเปิดใจมากขึ้นด้วย

ผมรู้ดีว่าเวลามีคนอื่นอยู่ด้วยเขาจะพูดน้อยกว่าเดิมหลายเท่า ที่ไม่พูดไม่ใช่เพราะหยิ่งหรือรำคาญ...แต่เป็นเพราะทำตัวไม่ถูกต่างหาก

ถึงจะดีใจที่ผมได้สิทธิ์พิเศษ แต่ผมก็ยังอยากให้เขามีความสุขมากกว่านี้

“ตั้งแต่เจอผมก็มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ” ผมหัวเราะแล้วพูดอวดขำๆ โดยไม่ได้คาดหวังจะเอาคำตอบ แต่สายตาคมที่เบือนมาสบกลับทำให้นิ่งค้างไปโดยไร้เหตุผล

“ไม่บอก”

เอ้า!

 

 

หลังจากหมดกิจกรรมแกล้งเด็กแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำชำระร่างกายรอบเย็น พวกฝั่งปีหนึ่งสองสามตกลงกันว่าจะไม่มีกิจกรรมต่อแล้ว แต่จะนั่งกินเหล้ากันยาวๆ กินไวจะได้เลิกไว พรุ่งนี้จะได้เที่ยวไหว พวกปีสี่ก็จะแยกไปกินที่ที่พักเหมือนกัน แต่ผมว่าไอ้กินไวเลิกไวน่าจะยาก ลองได้กินแล้วคงกินจนหมด ไม่รู้จะเหลือถึงคืนพรุ่งนี้หรือเปล่า

ตอนนี้พวกผมนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในบ้านหลังกลางที่เป็นแหล่งเก็บเหล้า ชุมนุมกันอยู่ยี่สิบเอ็ดชีวิต จริงๆ ก็อยากจะไปมุงกันหน้าลานอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่ายุงมันเยอะจนน่ากลัวจะเป็นไข้เลือดออกน่ะนะ

“มาเล่นไพ่มา” พี่วินผู้ซึ่งหาเรื่องเสียเงินกวักมือเรียก มีอยู่หลายหน่อเหมือนกันที่ไปร่วมวงกับพี่แก แต่ผมรีบโบกมือปฏิเสธเป็นคนแรกเพราะไม่อยากขยับไปไหน

นั่งกินเฉยๆ สบายสุดละ

หลังจากนั่งนิ่งๆ อยู่พักใหญ่คนที่นั่งอยู่ข้างกายผมก็ขยับตัวลุกขึ้น ผมมองตามจนเขาเดินออกไปข้างนอกโดยไม่ได้ถามหรือรั้งอะไรเพราะเห็นอยู่แล้วว่าเขามีสายเข้า แต่รอจนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพี่ภูก็ยังไม่เข้ามา ผมคิดว่าเขาอาจจะกลับที่พักไปแล้วเลยเดินตามออกไปด้านนอก รู้ตัวว่าถือกีตาร์ออกมาด้วยก็ขี้เกียจเอากลับไปคืนแล้ว

ที่บ้านพักก็ไม่อยู่…แล้วพี่ภูหายไปไหน รถก็ยังจอดอยู่นั่น…

ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติให้กลับมาแล้วเพ่งมองไปที่รถออดี้ที่จอดอยู่ไม่ไกลอีกครั้ง พอดูดีๆ ถึงพบว่าคนที่ตามหากำลังยืนพิงหลังรถอยู่

“กินยาหรือยัง” น้ำเสียงเย็นๆ ที่ดูจะดุกว่าปกติทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย คิดว่าถ้าคุยกับภามแล้วเขาจะอ่อนโยนกว่าปกติเสียอีก

“เปิดกล้องแล้วกินยาเดี๋ยวนี้”

ผมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความอึดอัดใจ ถึงจะอยากรู้เรื่องมากขนาดไหนแต่นิสัยแอบฟังก็ไม่ใช่อะไรที่ชอบเท่าไหร่ ยิ่งมานึกว่าเขาอาจจะโกรธก็ยิ่งไม่อยากทำ ผมลังเลใจว่าควรจะเดินกลับไปเงียบๆ หรือทำให้เขารู้ตัวว่าผมได้ยินดี และสุดท้ายเมื่อเห็นมือที่โบกไปมาเพื่อไล่ยุงผมก็ตัดสินใจเลือกทางหลังโดยการดีดสายกีตาร์ในมือเบาๆ หนึ่งที

พี่ภูหันขวับมามองด้วยดวงตาดุดัน ขนาดผมที่ไม่เคยกลัวยังตกใจ แต่วินาทีต่อมาดวงตาคู่นั้นก็อ่อนลง เขาหันกลับไปสนใจโทรศัพท์อีกครั้ง ผมเห็นไม่ชัดนักแต่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดกล้องอยู่ เพียงแต่…

ทั้งที่พี่ภูไม่ได้ใส่หูฟัง แต่ผมยังไม่ได้ยินเสียงภามเลยสักคำ

“ไปนอน” ออกคำสั่งทิ้งท้ายแล้วเขาก็กดตัดสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วพิงรถท่าเดิม พอเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดโอกาสผมก็เดินเข้าไปหาช้าๆ แล้วยืนพิงรถอยู่ข้างๆ

“ผมได้ยินแค่กินยาหรือยัง” ผมเริ่มประโยคสนทนาก่อนจะสังเกตท่าทีของเขาเงียบๆ และเมื่อได้เห็นสายตาเป็นคำถามไม่ได้เจือความโกรธอะไรก็โล่งใจ “แค่อยากให้พี่รู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจเข้ามายุ่ง”

“อืม”

อืมเฉยๆ เองเหรอ แบบนี้มันน่าอึดอัดใจไม่ใช่หรือไง

หลังจากยืนขบคิดกับตัวเองอยู่สักพัก สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกีตาร์ในมือเข้า ไอเดียบางอย่างแวบเข้ามาในหัวโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ผมร้องเพลงให้ฟังนะ” ผมยกกีตาร์ขึ้นแล้วค่อยๆ เกาเป็นทำนองช้าๆ ระหว่างรอคำตอบ และเมื่อได้รับการพยักหน้ารับผมก็เริ่มเปล่งเสียงออกมา

 

“เธอกลับบอกว่าอย่าพยายาม อย่าพยายามอีกเลย

ให้ฉันโยนทิ้งทุกอย่าง พอสักทีได้ไหม

เธอกลับบอกว่าพยายาม แม้ฉันจะพยายามเท่าไหร่

ทุกอย่างนั้นคือความฝัน ที่ฉันฝันไป

แต่สุดท้ายเธอมองไม่เห็นค่าฉันเลย”


[พยายาม : O-Pavee]

 

“กูบอกตอนไหนว่าอย่าพยายาม”

“ผมก็ไม่ได้จะหยุดพยายามอยู่แล้ว”

“...”

“เห็นมันดราม่าดีเลยเอามาเรียกกระแส”

แล้วก็เอามาทำให้พี่อารมณ์ดีขึ้น

“ไปไกลๆ ตีนกูก่อนจะโดนถีบ”

ผมหัวเราะก่อนจะโยกตัวหลบมือที่ฟาดลงมาแบบไม่จริงจังนัก เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่ดูอารมณ์ไม่ดีตอนแรกแล้วก็รู้สึกดี ถือว่าที่เล่นไปได้ผลตามที่ต้องการ

“นี่...พี่ภู” ผมยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าแต่รู้สึกเหมือนน้ำเสียงจะจริงจังขึ้นเล็กน้อย...คงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ค้างคาใจเลยเผลอแสดงความเครียดออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ว่า”

“ผม...วุ่นวายกับพี่เกินไปไหม หมายถึง...ทำให้พี่รำคาญหรือเปล่า” ผมหลุบตาลงต่ำด้วยความไม่มั่นใจซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่กำกีตาร์ไว้ออกแรงกำแน่นกว่าเดิมโดยไร้เหตุผล “ผมไม่เคยชอบใคร ไม่เคยคิดจริงจังขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่านิสัยของตัวเองจะสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่ชอบหรือเปล่า”

“ถ้ากูบอกว่ารำคาญ มึงจะไปไกลๆ ไหม”

“ไม่”

“กระต่ายโง่” คนพูดผลักหัวผมแรงๆ แบบที่ชอบทำก่อนจะดีดหน้าผากซ้ำเมื่อผมหันกลับมาหา

“เจ็บนะ”

“คำถามที่มึงถามตอนบ่าย คำตอบของกูคือใช่”

คำถาม…

‘ตั้งแต่เจอผมก็มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ’

ผมเบิกตากว้างก่อนจะรีบเงยหน้ามองคนพูดด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้เห็นสีหน้ามือใหญ่ก็ปิดทับลงมาที่ดวงตาทั้งสองข้างราวกับไม่ต้องการให้ผมมองเห็นเขาในเวลานี้

“คนโง่ที่ไหน...มันจะรำคาญสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจอแต่เรื่องดีๆ วะ”

 

-------------------



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 03-07-2017 19:39:21
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 03-07-2017 19:45:15
งื้ออออ น่ารักไม่ไหวแล้ว   :-[

ไม่ได้ยินเสียงภาม หรือว่าเป็นใบ้?? อยากรู้แล้ววว สงสัยแรง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mariinariiz ที่ 03-07-2017 21:07:15
พี่ภูน่ารักมาก ดีต่อใจ โอยยยยย เริ่มอิจฉาเก้าละ  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 03-07-2017 21:30:37
บินไปเลยค่า
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-07-2017 21:36:59
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 03-07-2017 21:39:28
พี่ภู เริ่มหวานกับน้องหน่อย ๆ แล้วน้า เขิน  :o8:
ชอบเปรมอ่ะ น่ารักดี เทิดทูนน้องเก้าเหลือเกิน 555
นี่ก็คิดว่าเวลาพี่ภูพูดกับภามจะแบบอ่อนโยนนุ่มนวลซะอีก
ไหงทำเสียงเย็น เสียงดุขนาดนั้นล่ะ แล้วภามทำไมไม่มีเสียงนะ
ตอนหน้าจะไปเดินป่าแล้วเหรอ น้องเก้า เอาจริงเหรอเรื่องหลงป่าเนี่ย โธ่
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Yongchiiki98 ที่ 03-07-2017 21:39:56
ฮอลลลล พี่ภูของน้องต่ายย แอร๊ยยยยยย เขินตัวแตกแล้ววว ค่าาา :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 03-07-2017 21:40:49
“คนโง่ที่ไหน...มันจะรำคาญสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจอแต่เรื่องดีๆ วะ” งื้อออออประโยคนี้ ใจบางงงเลย 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 03-07-2017 22:34:33
อ๋อยยยยยย  กูตายยยยยยยย
พี่ภูชอบเก้าแล้ว พาไปหาจ๋าเลยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 03-07-2017 22:38:13
“คนโง่ที่ไหน...มันจะรำคาญสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจอแต่เรื่องดีๆ วะ” ดาเมจรุนแรงมาก ฮือออ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 03-07-2017 23:01:19
อยากรู้เรื่องน้องภามม้ากมากค่ะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ktsingto ที่ 03-07-2017 23:45:25
หลงรักความมึนของนุ้งเก้าาา  :mew3: :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-07-2017 01:33:39
บู้มมมมมมมม เขินจนระเบิดเป็นโกโกครั้นช์  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-07-2017 11:15:56
โหหหห ประโยคสุดท้ายยยย อ่ะยอม  :oo1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-07-2017 11:24:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 04-07-2017 13:37:47
พี่ภู รักพี่ภูอ่ะ :)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 04-07-2017 23:19:35
 :ling1: :ling1: ดีต่อใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[16]==[P.10]== [03/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-07-2017 21:55:35


-17-

 

“เก้า มึงกลับไปก่อนพวกกูไม่ใช่เหรอวะ ทำไมสภาพอดนอนหนักกว่าพวกกูที่แดกทั้งคืนอีกเนี่ย”

“ไอ้วิน มาดูทีดิ น้องมึงตาลอยสัตว์”

“เก้า…” ใครสักคนโบกมือไปมาตรงหน้าผม แต่ตอนนี้ตามันแข็งไปหมดจนแทบกระพริบไม่ไหว “มึงโอเคไหม”

“โอเค” ผมตอบกลับอึนๆ แล้วยกมือนวดขมับตัวเอง

ถ้าถามว่าอาการแบบนี้เกิดจากอะไร เหล้าเหรอ...บอกเลยว่าไม่ใช่ แต่มันเกิดจากการที่ผมไม่ได้นอนทั้งคืนต่างหาก และถ้าถามว่าทำไมไม่ได้นอน…นั่นก็เพราะตัวผมเองอีก

เพราะคำพูดของใครบางคนทำให้ผมลืมเลือนได้แม้กระทั่งแผนการของตัวเอง อุตส่าห์คิดว่าจะได้นอนเตียงเดียวกันแต่ดันลืมไปลากตัวพวกรุ่นพี่กลับแล้วปล่อยให้พวกนั้นนอนหมกกันอยู่ตรงบ้านที่กินเหล้าทั้งคืน และนั่นทำให้บ้านที่ผมอยู่กับพี่ภูมีเตียงว่างถึงห้าเตียง เราเลยสามารถแยกย้ายกันนอนได้ตามระเบียบโดยไม่ต้องเบียดกัน…ซึ่งเมื่อคืนผมก็ไม่ได้สนใจหรอกเพราะเอาแต่นั่งเอ๋อมองหน้าคนหลับยันเช้า

ใครใช้ให้เขาพูดอะไรแบบนั้นแล้วหนีไปนอนเล่า!

“ง่วง” ผมเบะปากก่อนจะหาวน้ำตาไหลทั้งที่ตายังเปิดกว้าง และมันคงน่าตลกมากพวกพี่วินถึงได้หัวเราะกันใหญ่ ขนาดตัวต้นเหตุอย่างพี่ภูที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ยังยิ้มนิดๆ เลย

“จะเดินป่าไหวไหมเนี่ยมึง” พี่วินยกยิ้มแล้วเขย่าไหล่ผมเบาๆ ท่าทางเหมือนจะบอกว่าถ้าไม่ไหวก็ให้นอน

“ไหว”

พลาดเรื่องนอนไปแล้ว เรื่องอะไรผมจะยอมพลาดเรื่องหลงป่าอีก

“แต่ท่าทางมึงไม่ไหวนะ”

เออ...ถึงสภาพจะไม่เอื้อก็เถอะ

“จ๋าบอกผมว่า ถ้าใจเราบอกว่าไหว…”

“...”

“เดี๋ยวมันก็ไหวเอง”

“ไอ้เก้า กูว่ามึงนอนเถอะ”

กูก็อยากนอน

ผมโอดครวญในใจแต่ยังคงยืนยันคำพูดตัวเองด้วยการลุกขึ้นยืน กระเป๋าก็จัดไว้พร้อมตั้งแต่เมื่อคืนที่นอนไม่หลับแล้ว ใครจะยอมเสียแผน

“มองไร ไปดิ” ผมสะพายเป้แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่พวกที่ยังมองไม่เลิก ต้องรอจนพี่ภูกับไอ้โซลุกก่อนถึงจะยอมลุกกัน

ความพังของวันนี้คือ...ถึงผมจะยังหน้าด้านเดินข้างพี่ภูได้อยู่ แต่ผมไม่กล้ามองหน้าเขา...

รู้สึกว่าตัวเองสะดีดสะดิ้งจนต้องยกสองมือขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ตาก็ปวด สมองกูยังกระทบกระเทือนอีก และไม่พอ...เพราะคนช่างแกล้งที่ยังคงทำหน้าตาเหมือนรูปปั้นดันหวังดียื่นสองมือมาขยี้หัวให้ผมด้วย

“ช่วย”

“อยากจะขอบคุณสักพันครั้ง” ผมแอบจิกกัดเบาๆ ทั้งที่ยังไม่กล้ามองเขา คนโง่ยังดูออกเลยว่าพี่แกแกล้ง ถึงจะแกล้งหน้านิ่งแต่ก็คือแกล้งอยู่ดี

นับว่าเป็นเรื่องดีๆ...ถึงจะทำให้ลำบากกว่าเดิมก็ตาม คือนอกจากต้องรับมือกับความเขินแล้วยังต้องรับมือกับการโดนแกล้งอีก เอาเถอะ…เอาที่สบายใจ

“ทำหน้าอะไรของมึง” คนที่กำลังขยี้หัวผมในระหว่างเดินไปรวมพลโคลงหัวผมแรงๆ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วผละออก

“กำลังคิด…” ผมทำใจกล้าเงยหน้ามองคนข้างๆ แล้วก็พบว่าคิดผิดสุดๆ เพราะแค่สบเข้ากับดวงตาสีเทาแวววาว หน้าที่เคยคิดว่าด้านกว่ากระดาษทรายก็แทบไหม้ “กะ...กำลังคิดว่าน่าจะต้องหายาแก้แพ้”

“แพ้อะไร”

จะถามก็อย่าทำหน้าแบบนั้นจะได้ไหม มันทำให้เขินกว่าเดิมจนต่อบทไม่ได้ไม่รู้หรือไง

“แพ้…”

“ว่าไง”

“แพ้พี่! แม่ง!” ผมผลักพี่ภูเบาๆ เพราะยิ่งพูดหน้าก็ยิ่งร้อน แต่ขนาดจะผลักกูยังผลักเบาๆ เลย

นั่นก็อีก...ไม่รู้ไปอารมณ์ดีมาจากไหน ถึงหน้าจะนิ่งแต่แกล้งกันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ เขาต้องจงใจ...ต้องจงใจทำให้ผมเป็นแบบนี้แน่ๆ

“เห็นคนเขินมันสนุกหรือไง” ผมบ่นเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แต่เสียงหึเบาๆ ในลำคอของคนข้างๆ บ่งบอกได้ดีว่าเขาได้ยิน

“ไม่หรอก…” คนพูดลากเสียงยาวชวนสงสัยทำให้ผมไม่มีทางเลือกต้องเงยหน้ามองเขาแบบจำใจ “เห็นคนเขินไม่สนุก”

“แล้วทำไม…”

“แต่เห็นคนบ้าเขินแล้วสนุก”

จ้ะ

 

 

“โตๆ กันแล้ว จะแยกย้ายไปไหนก็ดูแลตัวเอง แต่ทางที่ดีอย่าแยกไปไกล ขี้เกียจตามหา”

กิจกรรมหลังทานข้าวของเราคือการเดินป่า จุดหมายปลายทางคือน้ำตกที่ผมจำชื่อไม่ได้ ตอนแรกก็ดีๆ อยู่หรอก เพราะพวกพี่วินมันสงสารเลยยอมให้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องช่วยงาน แต่แค่โผล่ไปเจอพวกไอ้เต๊ะเท่านั้นล่ะ…ผมกลายเป็นแรงงานทาสในทันที พอพวกมันรู้ว่าผมออกแรงไม่ได้เลยใช้ให้ไปช่วยห่อข้าว เพราะแผนวันนี้คือจะเดินเที่ยวจนกว่าจะค่ำถึงจะกลับ

ขบวนเดินทางแสนยิ่งใหญ่มีเฮียเจมส์ที่รู้ทิศที่สุดนำหน้าโดยมีผมกับพี่ภูเดินปิดท้าย การเดินป่าครั้งนี้เราไม่ได้มากันทุกคนเพราะคุยไว้แล้วว่าจะปล่อยตามสบาย ส่วนที่ไม่มาก็มีทั้งพวกที่อยู่เฉยๆ นั่งกินเหล้าทั้งวันแล้วก็พวกที่ทำตัวมีสาระเล่นเกมร้องเพลง เหลือพวกผมที่มาเดินป่าอยู่ประมาณสิบกว่าคน ซึ่งเฮียเจมส์แกก็บอกว่าดีแล้ว คนไม่เยอะจะได้ไม่วุ่นวาย

“ง่วงนอน” ผมโอดครวญแล้วพยายามกรอกตาที่แข็งค้างของตัวเองตลอดเวลาจะได้ไม่ง่วง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลนัก

“แล้วทำไมไม่นอน”

“กล้าถามเนอะ”

“แล้วทำไมต้องไม่กล้า” พี่ภูเลิกคิ้วหน้าตาย เขาทำเหมือนสิ่งที่พูดพูดออกมาคือการถามจริงๆ แต่ผมที่สังเกตเขามาตลอดและรู้จักเขามากขึ้นเรื่อยๆ มีหรือจะไม่รู้ว่ากำลังโดนกวนตีน

“อย่าให้ได้เอาคืนนะ” ทำอะไรไม่ได้แล้วก็ได้แต่ฝากไว้ก่อนเหมือนตัวร้ายกากๆ ในละคร...ขัดใจเว้ย!

“กระต่ายอย่างมึงจะทำอะไรได้” พี่ภูหัวเราะหึแล้วมองผมด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ถามว่าทำอะไรได้ไหม…

ไม่ได้ เพราะงั้นก็ถ่างตาเดินต่อไปเงียบๆ จบ

เส้นทางที่พวกเราใช้เดินเป็นพื้นที่ของเส้นทางศึกษาธรรมชาติซึ่งไม่มีอันตรายแต่ก็ไม่มีป้ายหรือสิ่งบ่งบอกทิศ ผมที่ง่วงตั้งแต่เดินเข้ามาทำท่าเหมือนไม่สนใจแต่จริงๆ แล้วก็จดจำเส้นทางอยู่ในใจเงียบๆ จวบจนเมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลดังอยู่ไม่ไกล ขบวนที่เดินมาเป็นแถวก็แตกแยกเป็นฝูงเล็กฝูงน้อยเพราะไอ้เปรมมันวิ่งนำไปตามเสียงก่อนเป็นคนแรก

“ไอ้เปรม!” พี่วินเรียกแล้วมันก็ไม่หยุด แถมยังมีคนวิ่งตามไปเป็นขบวนอีกต่างหาก

พอเห็นพวกปีหนึ่งวิ่งหายไป พวกพี่วินก็เลยเร่งฝีเท้าเดินตามไปด้วย เหลือแต่ผมกับพี่ภูที่เดินเอื่อยๆ อ้อ...มีไอ้โซที่ผมเพิ่งรู้ว่ามันมาด้วยอีกคน

“มึง” ผมเดินเนียนๆ ไปประชิดไอ้โซก่อนจะกระซิบเรียกมันไม่ให้พี่ภูได้ยิน “ถ้ากูกับพี่ภูหายไปไม่ต้องหานะ เดี๋ยวกลับเอง”

“วางแผนชั่วอะไรอีก” มันขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงดังจนผมต้องยกมือปิดปากไว้

“เงียบๆ สิวะ” ผมเหล่มองคนที่เดินอยู่ไม่ไกล โชคดีที่เขามัวกดโทรศัพท์เลยไม่ได้หันมาสนใจ

“มึงจะทำอะไร”

“จะไปหลงป่า”

คนฟังทำหน้าเหวอ ขมวดคิ้วมองผมเหมือนกำลังมองคนบ้า

“คิดยังไงของมึงวะ”

“เห็นในละคร เวลาหลงป่าเขาจะใกล้ชิดกันมากขึ้นไง กูจะได้อยู่กับเขาสองคน” ผมนึกถึงตอนจ๋ามาวี้ดว้ายเวลาดูละครฉากพวกนี้แล้วก็ยิ้ม จ๋าบอกตลอดว่าออกป่ามาพระนางชอบงุงิใส่กัน บอกตามตรงผมมองว่ามันไร้สาระมาก แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้...ลองดูก็ไม่เสียหาย

“เออ…” ไอ้โซกลอกตา ถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้าให้ “จะให้กูทำไร”

“จ๋าบอกกูว่า ถ้าอยากหลงแบบเนียนๆ ก็ต้องจดจำทางทั้งหมดให้แม่น เวลาหลงจะได้หลงแบบคนฉลาด มึงแค่ช่วยกูจัดการทางนี้พอ”

“เออ ตามสบาย” ไอ้โซทำหน้ามืดมนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้า “เดี๋ยวจัดการให้”

“ดีมาก” ผมตบไหล่มันเป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินกลับไปหาพี่ภู สบตาเพื่อนอีกครั้งเดียวแล้วเราก็แยกกันไป โดยที่มันเดินไปก่อน ส่วนผมยืนรอพี่ภูที่น่าจะคุยธุระอยู่ที่เดิม

ตอนแรกผมเห็นพี่ภูยืนเฉยๆ ก็คิดว่าเขาน่าจะกำลังเครียด แต่เมื่อเจ้าตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยเท่านั้นล่ะ…

“พ่อผมจ้างคุณมาเป็นเลขา ให้ช่วยจัดการงานตอนที่ผมไม่อยู่ มีหน้าที่อะไรก็ทำไปซะ” ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษชัดเจนทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังคุยงาน แต่ออกจะเป็นการคุยงานที่เดือดไปนิด น่าจะตำหนิเลขาตัวเองอยู่ ฝ่ายนั้นอาจจะไม่รู้เพราะเสียงเขาก็เย็นชาเป็นปกติ แต่ผมที่กำลังมองอยู่รู้ได้ชัดเจนว่าคนตรงหน้ากำลังเดือดขึ้นเรื่อยๆ

“ผมพูดไม่ชัดเจนพอใช่ไหม...อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม” พี่ภูกัดฟันพูดราวกับต้องการสะกดกลั้นอารมณ์ “ถ้าพูดไม่ฟังก็อย่าหาว่าผมไม่เตือน เลขากระจอกๆ ที่มีดีแค่เส้นใหญ่ คิดว่าผมไม่กล้าไล่ออกหรือไง”

ทั้งที่เสียงดุดันนั่นควรจะทำให้หวาดกลัวแต่ผมกลับยิ้มกว้าง...เพิ่งรู้ว่าตัวเองได้รับความใจดีจากเขามากมายขนาดไหน เพราะเอาแต่สนใจเรื่องระหว่างเราถึงไม่เคยสังเกต แต่พอมาคิดดูแล้วถึงได้รู้...ไม่ว่าตอนแรกๆ เขาจะเย็นชากับผมขนาดไหน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งผมแสดงความจริงใจออกไปเท่าไหร่ เขาก็เริ่มรับรู้และตอบกลับมามากขึ้นเท่านั้น

ถึงจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น

ผมรอจนพี่ภูวางสายแล้วขยับเข้าใกล้ ใบหน้าเขายังไม่คลายความโมโหแต่ก็เก็บไว้ได้มิดชิดมากสมเป็นนักธุรกิจ

“อีกสองปีพี่จะรับสมัครเลขาใหม่ไหม”

คนที่กำลังขมวดคิ้วหันมามองก่อนจะถอนหายใจยาว ใบหน้าของเขาคลายความหงุดหงิดลงไปหลายส่วน

“มึงจะมาทำให้กูยุ่งกว่าเดิมหรือไง” ว่าจบก็แค่นเสียงหัวเราะในลำคอหนึ่งทีเป็นเชิงดูถูก

“พี่ไม่รู้อะไร ผมเนี่ยทำได้ทุกอย่าง” ถ้าจะทำนะ

พี่ภูเลิกคิ้ว อารมณ์หงุดหงิดหายไปเกือบหมดตามที่ผมต้องการแต่เปลี่ยนมาเป็นหาเรื่องกันเหมือนเดิมแทน

“งานกูต้องพังเพราะมึงแน่ๆ”

“ไม่…”

“เอาไว้จะลองคิดดู”

“พี่เป็นไรมากไหมเนี่ย” ผมบ่นอุบอิบ ก่อนจะจับมือเขามาแปะไว้ตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง “ชอบทำให้ผมใจเต้นแรง วันไหนเทกันขึ้นมาผมจะฟ้องป๋า”

พี่ภูทำหน้างงแต่อยู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา ถึงจะไม่ได้มากมายแต่ก็ทำให้ผมตกใจจนลืมง่วง ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกระหน่ำเต้นแรงกว่าเดิมจนเจ้าของมือที่ยังวางทับอยู่ส่ายหน้า

คนอะไร...จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด อิจฉาชะมัด

“กระต่ายบ้า” พี่ภูดึงมือออกก่อนจะวางมันทับลงบนหัวผมแล้วโคลงไปมา “ถ้าไม่อยากโดนเทก็รีบๆ ทำคะแนน”

ผมตาโต จับมือเขาไว้แน่น ในใจร้องไชโยไปเกือบสิบรอบ

“แล้วตอนนี้ผมได้กี่คะแนนแล้ว”

“อืม…” พี่ภูทำหน้าครุ่นคิด “หก”

ใจเหี่ยวเลยกู

“ทำไมน้อยจัง”

“น้อยเหรอ”

“น้อย อีกเก้าสิบสี่คะแนนผมจะไปเอามาจากไหน”

พี่ภูยักไหล่แล้วเดินนำไปด้านหน้า แต่เดินไปสักพักเขาก็หยุด ผมที่เดินตามและครุ่นคิดแผนการอยู่ในใจเงียบๆ ถึงกับสะดุ้ง เกือบกระแทกแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าแล้วไง

“หยุดเดินทำ…”

“บอกว่าน้อย...มึงรู้ได้ยังไงว่าเต็มเท่าไหร่”

ผมพยายามเคาะสมองที่หยุดทำงานเพราะความง่วงให้กลับมาทำงานอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อตีความคำพูดของพี่ภู แต่เพื่อถามย้ำกับตัวเองว่าเข้าใจถูกแล้ว ไม่ได้มโนไปเองใช่ไหม

“พี่พูดจริงเหรอ!” ผมวิ่งตามคนที่เดินนำไปไกล พยายามสุดความสามารถไม่ให้ดี๊ด๊าเกินไป “แสดงว่ามันเต็มสิบใช่ไหม”

“ไม่บอก”

ไม่เป็นไร เข้าใจไปเองก็ดีเหมือนกัน ถึงจะค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนที่ผมเก็บอยู่คือการพัฒนาจากความเอ็นดูไปเป็นความชอบที่มากกว่านั้น แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว…กับคนที่ดูปิดกั้น สร้างกำแพงบดบังทุกอย่างไว้ ผมไม่สนหรอกว่าจะต้องเริ่มจากสถานะไหน ขอแค่มันลดระยะห่างระหว่างเราก็พอ

ผมปล่อยให้พี่ภูเดินนำ ส่วนตัวเองเดินตามหลังจดจำทางอยู่เงียบๆ แปลกที่เขาไม่ได้เดินไปที่น้ำตก ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูจะเดินเล่นก่อนเลยไม่ได้ว่าอะไร กะว่าถ้าเขาเดินเข้าใกล้ทางไปน้ำตกแล้วค่อยหาทางชวนไปที่อื่น แต่ยิ่งเดินผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไกลกว่าเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ภู…” ผมรั้งแขนคนที่เดินนำไว้ แต่เขากลับหันกลับมาทำหน้ายุ่งๆ วุ่นวายใจใส่ “พี่หลงทางใช่ไหม”

“กูไม่เคยเดินป่า”

อะไรๆ ก็เป็นใจเสียเหลือเกิน

“เหมือนพี่จะเดินมาไกลจนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนะ” ผมชูจอโทรศัพท์ให้เขาดู อยากจะหัวเราะอยู่เหมือนกันแต่ต้องกลั้นไว้ จุดที่อยู่ใกล้น้ำตกเป็นจุดที่มีสัญญาณเพราะไม่ได้เข้าไปในป่าลึกมาก แต่ดูเหมือนพี่ภูจะพาผมเดินมาถึงจุดอับสัญญาณโดยไม่ต้องคิดหาแผน

คนพาหลงขมวดคิ้วมุ่น มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด

“รีบหาทางไปเถอะ” ว่าแล้วเขาก็เดินนำไปอีกทาง ผมได้แต่มองตามเหวอๆ เพราะทางที่เขาเดินมันเป็นเส้นทางใหม่

“จุดอ่อนของพี่คือชอบหลงทิศสินะ” ผมพึมพำเบาๆ แล้วจดบันทึกเรื่องราวใหม่ที่ได้รู้ไว้ในหัว จริงๆ สำหรับคนที่ไม่เคยเดินป่ามาก่อนจะหลงทางก็คงไม่แปลก แต่ผมแค่คาดไม่ถึงว่าพี่ภูจะหลงทิศจนเข้าขั้นวิกฤติแบบนี้

“พี่”

ยิ่งเดินมาไกลเท่าไหร่ผมก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นเท่านั้น พี่ภูดูร้อนใจจนผมอดห่วงไม่ได้ แต่ยิ่งเขาร้อนใจมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเดินเร็วมากขึ้นเท่านั้น เร็วจนผมต้องวิ่งตามให้ทัน ทางที่จดจำมาตลอดเริ่มจางหายไปจากหัว ยิ่งวิ่งตามให้ไวก็ยิ่งไม่มีเวลาหันไปสนใจรอบด้าน

“พี่ภู!…” ผมเรียกเสียงดังก่อนจะกระชากแขนคนตรงหน้าอย่างแรงจนอีกฝ่ายหันมาหา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความร้อนรนในดวงตาคมดุคู่นั้น “พี่เป็นอะไร”

“ก้อน…” คนหน้าดุหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ เขายอมนั่งลงตามแรงดึงของผมแต่โดยดี มือที่กำแน่นยกขึ้นเสยผมราวกับต้องการระบายอารมณ์ และมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกแย่ไปด้วย

ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนเดินนำและพาเขาหลงแบบจงใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าผมคิดจะทำจริงๆ ต่อให้บอกว่ากะเวลากลับไว้แล้วก็เอามาใช้แก้ตัวไม่ได้ และถ้ารู้ว่าพี่ภูจะเป็นแบบนี้…ผมจะไม่มีทางทำเป็นไม่รู้ทางแต่แรกจนกลายเป็นไม่รู้จริงๆ เด็ดขาด

“กูต้องโทรหาภามตอนค่ำ” เขาเริ่มพูดออกมาช้าๆ ผมได้แต่พยักหน้าเงียบๆ แล้วหยิบผ้าที่พกอยู่ในกระเป๋าออกมาช่วยซับใบหน้าที่ชื้นเหงื่อให้โดยไม่พูดอะไร

เวลานี้มีแต่ความเครียดและความจริงจัง แม้แต่ผมเองก็ไม่เหลือแผนการไร้สาระอยู่ในหัวอีก

“ภาม...มีปัญหาอะไรใช่ไหม” ผมพยายามเลือกใช้คำในการถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของคนฟังไปด้วย ครู่หนึ่งที่ใบหน้านั้นแข็งกร้าวกว่าเดิม แต่พอเขาเงยหน้าสบตากับผมแล้วสายตานั้นก็อ่อนลง

คงต้องขอบคุณความจริงใจของตัวเองที่ทำให้พี่เขาเข้าใจว่าผมถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ

“ใช่”

“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้า ไม่เซ้าซี้ต่อ ยังไงเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ให้เขา “เรื่องเส้นทางผมน่าจะเก่งกว่าพี่ ยังไงให้ผมนำดีกว่า”

ตอนนี้ก็ใกล้เย็นเข้าไปทุกที ถ้ายังช้ากว่านี้แล้วฟ้ามืดขึ้นมา ถึงจะมีไฟฉายอยู่ในกระเป๋าแต่อะไรๆ ก็คงยากแน่

เป็นครั้งแรกที่ผมนึกตำหนิความงี่เง่าของตัวเองในใจ ถ้าพยายามห้ามแต่แรก ไม่วิ่งตามเขาเพราะกลัวคลาดกัน ผมคงจำทางทั้งหมดและพาเขากลับไปได้แล้ว

ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ คนที่ยิ่งร้อนใจก็กลายเป็นผม การที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจทำให้ผมหงุดหงิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติพอจะทำสัญลักษณ์ไว้ตามทาง ผมตั้งใจค้นหาทางเดินจนไม่ได้สนใจกระทั่งคนที่เดินตามมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหน

“พี่คอยเช็คสัญญาณไปด้วยนะ น่าจะง่ายกว่าการหาทางออกแล้วล่ะ”

“อืม”

ถ้ามีสัญญาณก็น่าจะเข้าใกล้ถนนขึ้นทุกที หรือบางทีอาจจะเจอน้ำตกที่เดิม ป่านนี้พวกพี่วินคงเปลี่ยนที่กันหมดแล้ว แต่ขอแค่เดินไปเจอเส้นทางที่ผมจำได้ แค่นั้นก็ต้องออกไปได้แน่

การเดินหาทางออกที่มีแต่ความเงียบงันและความตึงเครียดไม่ได้ทำให้ผมกดดัน เพราะยิ่งเงียบก็ยิ่งมีสมาธิ แต่ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราเดินกันมาเป็นชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก ขาผมล้าเต็มทนแต่ก็ยังพยายามเดินต่อ

“พอเถอะ”

ทั้งร่างชะงักเมื่อได้ยินเสียงบอกให้หยุด ผมหันหน้าไปมองพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจ อยากบอกเขาว่ายังไหวแต่เหมือนจะพูดไม่ออก

“ผม…”

“พักก่อน เดี๋ยวค่อยเดินต่อก็ได้”

“แต่ว่ามันมืดแล้ว” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเสียงถึงได้สั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดหรือเพราะผมไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ หรือบางที...อาจจะเป็นทั้งสองอย่าง

ผมกำลังหงุดหงิด...เพราะรู้สึกผิด และเพราะตัวเองหาทางออกไม่เจอทั้งๆ ที่มั่นใจว่าต้องทำได้แท้ๆ

“ไม่เป็นไร”

ไม่เป็นไร...แล้วทำไมพี่ต้องทำหน้ากังวลแบบนั้น

ผมกวาดสายตาไปรอบทิศทาง คาดหวังว่าจะได้เจอทางที่คุ้นเคย แต่เพราะมันมืดไฟฉายแค่กระบอกเดียวเลยทำให้อะไรๆ ยากไปหมด

นั่นมัน…

“พี่ภู! ผมจำทางตรงนั้นได้!” ผมชี้ไปตรงทางที่ว่าด้วยความตื่นเต้น มือจับข้อแขนของคนตัวสูงแล้วออกแรงดึงให้วิ่งไปตามทาง

หัวใจที่เหนื่อยล้าเต้นแรงขึ้นตามจังหวะการก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย และวินาทีที่มองเห็นน้ำตกอยู่ไกลๆ ผมยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น

“นั่นไงน้ำตก ตรงนั้นมีสัญญาณแน่ๆ” ผมเขย่าแขนพี่ภูแล้วหันไปสบตาเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อพบว่าดวงตาคมดุคู่นั้นจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

“อืม” ความอ่อนโยนที่ปรากฏออกมาชั่วครู่พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้ผมอึ้งไป ยิ่งยามมืออุ่นวาบวางทับลงบนหัวก็ยิ่งอุ่นไปทั้งใจ ความหนาวเย็นจากอากาศ...ราวกับจะได้รับการบรรเทาลงในเวลานี้เอง

ผมหลบสายตานั้นเพราะเริ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แค่กัดริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเรื่องก่อนอะไรๆ จะแย่

“พี่ไปรอคุยกับภามตรงน้ำตกก่อนนะ ผมกลัวว่าถ้าเดินกลับสัญญาณบางช่วงจะขาดไป” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินนำหน้าไปที่น้ำตก แต่ก้าวเท้าไปได้แค่สองก้าวก็ต้องหยุดลงเพราะโดนรั้งแขนไว้

ผมหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะไล่สายตาลงมองที่มือตัวเองเมื่อรู้สึกว่าฝ่ามือที่เย็นเฉียบอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด และที่มาก็ของความอบอุ่นนั้น...ก็มาจากฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนที่เกาะกุมมือผมไว้แน่น

“ขอบคุณ” พี่ภูกระชับฝ่ามือให้แน่นกว่าเดิมราวกับจะบอกว่าครั้งนี้เขาจะไม่แตะแล้วผละออกเหมือนทุกครั้ง

พี่ภูดึงผมให้นั่งลงข้างๆ กันตรงโขดหินติดน้ำตก เขาใช้มือหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งที่ยังจับมือผมอยู่ มาถึงตอนนี้ผมถึงได้เข้าใจว่านอกจากมือจะเย็นเฉียบแล้วตัวเองยังเหนื่อยมากขนาดไหน

“พี่ยังไม่โทรไปเหรอ” ผมถามเบาๆ ก่อนจะกอบกุมมือใหญ่ที่เริ่มเย็นไว้แน่นเพื่อส่งผ่านความอบอุ่นไปให้เขาบ้าง โชคดีที่เย็นแค่มือ อากาศยังไม่ได้หนาวจนตัวสั่น ไม่งั้นมานั่งริมน้ำตกแบบนี้คงไม่พ้นแข็งตาย

“ถึงเวลาแล้วภามจะโทรมาเอง”

“อ๋อ…”

ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเราก็ไม่ได้คุยกันต่ออีก พี่ภูเงียบไปตามวิสัย ส่วนผมก็ยังคงจดจ่ออยู่กับมือที่วางอยู่ข้างตัว

“พี่...เคยจับมือใครแบบนี้ไหม”

“ไม่”

“ผมก็ไม่เคย” ผมอมยิ้มด้วยความสุขใจก่อนจะโดนนิ้วมือของใครอีกคนจิ้มเข้าที่แก้ม

“แก้มปริ” ว่าแล้วก็จิ้มลงมาอีกทีก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบหน้าตาย “กระต่ายก้อน”

กระต่ายอ้วนถูกมะ

ผมลองยกมือดึงแก้มตัวเองดูบ้าง ถึงจะมีย้วยๆ ออกมาแต่ก็ไม่ได้เยอะแยะขนาดจะพูดว่าอ้วนได้เสียหน่อย

“พี่ใส่ร้ายผม”

“เหรอ”

เพิ่งเคยเห็นคนกวนตีนทั้งหน้าตายก็วันนี้ แต่ไม่เป็นไร...คนนี้ยอม

“พี่ภู พี่สนใจนอนกลางป่าไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตั้งตาตั้งตารอคำตอบจนโดนบิดแก้มแรงๆ อีกที

“นอนให้ยุงหามหรือไง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง” ผมคลี่ยิ้มเพิ่มความมั่นใจให้เขาก่อนจะใช้มือที่ว่างเปิดเป้ใบใหญ่แล้วหยิบอุปกรณ์ออกมา

“เต็นท์?”

“ใช่แล้ว ผมพกมาด้วย เล็กไปนิดแต่นอนเบียดๆ กันก็ได้อยู่” จริงๆ แบบใหญ่ก็มีแต่ผมจงใจพกแบบเล็กมาเองแหละ

“ทำอย่างกับรู้ว่าจะหลง” พี่ภูหรี่ตามองจับผิด แต่ผมแค่ยกยิ้มน้อยๆ ไร้ซึ่งพิรุธใดๆ เพราะเตรียมการมาล่วงหน้า

“ตอนแรกผมกะเอาเต็นท์มากางนอนข้างนอกอยู่แล้วเลยพกมาด้วย คิดว่ามาเที่ยวทั้งทีก็ต้องสัมผัสธรรมชาติเต็มๆ ถึงจะดี หรือพี่ว่าไม่จริง”

พี่ภูนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้า เขาปล่อยมือผมก่อนจะหยิบเต็นท์ไปจัดการหาที่กางให้เรียบร้อยแล้วกวักมือเรียก

อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมแกล้งพาหลงจริงๆ คงถูกจับได้อย่างง่ายดาย ดีที่ครั้งนี้ไม่ใช่การแกล้งเพราะเขาพาหลงด้วยตัวเอง

เราเข้ามานั่งอยู่ในเต็นท์เพื่อกันไม่ให้โดนยุงกัด ผมหยิบน้ำออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นส่งให้พี่ภูแล้วค่อยกินเอง พอเห็นเขามองโทรศัพท์เหมือนกลัวสัญญาณจะหายก็ได้แต่แตะปลายนิ้วของเขาเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

ครืด ครืด

มาแล้ว…

ผมขยับตัวลุก คิดว่าจะเปิดเต็นท์ออกไปรอข้างนอก แต่ยังไม่ทันได้เปิดก็ถูกใครอีกคนรั้งแขนไว้ก่อน

“ไม่ต้องไป”

“แต่ว่า…”

พี่ภูดึงผมให้นั่งลงติดกันพร้อมกับชูโทรศัพท์ขึ้นตรงหน้าให้ผมได้เห็นภาพชัดๆ

“เงียบๆ ไว้”

ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่ที่มากกว่าความไม่เข้าใจคือความดีใจ...ดีใจที่เขายอมให้ผมรู้มากกว่าเดิมโดยไม่ต้องถามเอง

หลังจากที่พูดจบมือของเขาก็กดรับสายโดยที่ตัวเองไม่ได้เปิดกล้อง ภาพในจอคือภาพบรรยากาศของห้องพักขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ดูเหมือนโทรศัพท์จะวางอยู่บนโต๊ะ แต่ตรงเก้าอี้ที่ควรมีร่างของใครสักคนนั่งอยู่กลับว่างเปล่า ผมได้ยินเสียงเหมือนคนหยิบของดังอยู่สักพักก่อนร่างของใครบางคนจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้พร้อมกับมองกล้องด้วยสายตาว่างเปล่า

“กินยาหรือยัง” พี่ภูเปิดประโยคสนทนาด้วยถ้อยคำที่ผมเคยได้ยินมาก่อนครั้งหนึ่ง น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับกำลังเจรจาธุรกิจ ในขณะที่ผมยังคงมองคนที่เขาเรียกว่าน้องชายด้วยความตกใจ “ไปหยิบมากินเดี๋ยวนี้”

ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอกหรือการที่ฝั่งนั้นใช้ ‘ภาษามือ’ ในการสื่อสาร ทุกอย่างล้วนทำให้ผมตกใจทั้งสิ้น

“วันนี้มีนัดกับหมอใช่ไหม...หยิบรายงานมาด้วย”

นี่มัน…เรื่องอะไรกัน

 

---------------

 
เปิดพรีถึง20สิงหา2560นะคะ ดูภาพตัวอย่างและลิงค์จองได้ในเพจหรือทวิตเตอร์




หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 06-07-2017 22:43:38
นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!
น้องภามเป็นอะไรเนี่ย
รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเจ้าค่ะ
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 07-07-2017 00:26:27
เฮ้ยยยยยยยย อะไรๆๆๆๆ รอต่อนต่อไปปปปปปป
บร๊ะ!ตอนนี้มีความอยากรู้มากอ่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 07-07-2017 00:30:49
ค้างๆๆๆๆๆ พี่ภูเริ่มเปิดใจให้ก้อนมากขึ้นแล้วนะ แต่ตลกที่พี่ภูพาหลงป่าซะเอง 555555
ปล.1 อยากรู้เรื่องภาม อยากอ่านพาร์ทของพี่ภูบ้าง
ปล.2 แอบสงสัยเลขาของพี่ภูนิดๆว่าจะมีบทบาทไหม รึเราคิดไปเอง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-07-2017 00:40:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 07-07-2017 00:42:14
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: ค้างงงงง่าา  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mariinariiz ที่ 07-07-2017 07:09:35
พี่ภูเปิดใจขึ้นเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 07-07-2017 18:05:03
 :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 07-07-2017 19:45:40
เป็นแฝด? ถ้าได้ยินเสียงแต่ใช้ภาษามือ อาจจะไม่เป็นใบ้แต่เกิด สงสัยมีเรื่องกระทบจิตใจ
แล้วก็หวงพี่มาก ประมาณนั้น?
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 07-07-2017 19:55:35
ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายยยย :pig4: :pig4:
ชอบเจ้าก้อนนนน

ปล.วันที่ผิดนะคะ ตอนเดือนก่อนก็ผิดนึกว่าคนแต่งหายไปพอย้อนดูเดือนที่แล้วคุณคนแต่งเขียนผิดเดือนมาตลอดเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 07-07-2017 20:38:06
ทำไมชั้นสังหรณ์ใจว่ามันจะมีอะไรบางอย่าง OMG
กำลังจะสวีทล่ะเชียววว เรื่องอะไรอีกเนี่ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 08-07-2017 18:03:56
ภามพูดไม่ได้เหรอ แต่ฟังได้นิ มีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่ยอมพูดแน่ ๆ
รูปลักษณ์ภายนอกภามเป็นยังไง แล้วทำไมพี่ภูพูดจาเย็นชากับภามอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-07-2017 00:05:26
ทำไมภามถึงพูดไม่ได้ล่ะ มีเรื่องที่ทำให้กระทบจิตใจรึป่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 12-07-2017 16:57:25
เรื่องเริ่มคลี่คลายยยยยยยละ

พี่ภูก็น่ารักขึ้นทุกวันๆเลยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-07-2017 19:48:15



-18-

 

ผู้ชายที่อยู่ในจอมองดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เพียงแต่เขาผอมมาก...ผอมเหมือนไม่ได้กินข้าวมาเป็นปี ใบหน้าที่พอจะมองออกว่าคมคายดูซูบเซียว แก้มตอบจนเบ้าตาลึกกว่าคนทั่วไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเขาไม่ได้ผอมขนาดนี้คงเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง

ที่ไรอันเคยบอกว่าภามเหมือนพี่ภู ผมเข้าใจแล้วว่าเหมือนยังไง...เหมือนราวกับเป็นฝาแฝด ทั้งลักษณะใบหน้ารวมถึงส่วนสูงทะลุจอนั่น ที่แตกต่างกันคงเป็นบรรยากาศ ท่าทาง แล้วก็สีของดวงตา ของพี่ภูจะเป็นสีเทาเยือกเย็น ในขณะที่ของภาม...เป็นสีดำสนิทและว่างเปล่าจนดูน่ากลัว

ในขณะที่ผมกำลังพิจารณาลักษณะภายนอกของอีกฝ่าย ภามที่ไม่รู้ว่าผมมองอยู่ก็หยิบใบอะไรสักอย่างขึ้นมาก่อนจะชูให้กล้องเห็น มันเป็นรายงานที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษยึกยือ ผมอ่านไม่ออกเพราะลายมือนั้นดูเละเทะอ่านยากมาก แต่พอเห็นลายเซ็นของคนเขียนและการลงชื่อด้านล่างผมก็เข้าใจว่ามันคือรายงานอะไร

แดเนียล เรกซ์...จิตแพทย์

“บังคับให้หมอเขียนหรือเปล่า” พี่ภูหรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่ทอแววเป็นห่วงแตกต่างจากน้ำเสียงโดยสิ้นเชิงก็หมดสิ้นคำถาม...เขาต้องมีเหตุผลแน่ แถมภามยังไม่มีท่าทีอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่าฝั่งนั้นก็คงรู้ว่าพี่ชายตัวเองจงใจทำเป็นเย็นชา

ภามเอากระดาษลงโดยไม่ได้พูดตอบคำถามแต่เอามือชี้ที่ปากตัวเองเป็นคำตอบ

“รู้ว่าไม่พูด แต่นายมีวิธีสารพัดในการข่มขู่หมอให้เขียนตามที่ตัวเองต้องการ” พี่ภูถอนหายใจแต่ภามยังคงนั่งเงียบไม่เปลี่ยนแปลง “เปลี่ยนหมอมากี่คนแล้วภาม ต่อให้นายไล่ พ่อก็ต้องหามาเพิ่มอยู่ดี”

พอโดนพี่ตัวเองดุภามก็ก้มหน้าลง ดวงตาว่างเปล่าวูบไหวเล็กน้อย ผมเห็นพี่ภูหลับตาลง ท่าทางอดกลั้นเหมือนพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ใจอ่อน

“ช่างเถอะ กินยาซะ”

ภามรีบเงยหน้ามองกล้อง พยักหน้ารัวๆ แล้วหยิบยากับน้ำขึ้นกินอย่างรวดเร็วตามคำสั่ง

“ดีมาก”

พอโดนชมดวงตาคู่นั้นก็เป็นประกายเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะยังว่างเปล่าแต่ก็ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง” พี่ภูถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดูก็รู้ว่าฝืนทำ

ผมได้แต่ขมวดคิ้วแล้วมองภามใช้มือในการสื่อสารด้วยความขัดใจ ถึงจะพอเดาได้บ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมด นึกอยากเรียนภาษามือขึ้นมาก็ตอนนี้

“เบื่อก็ออกไปข้างนอก”

คราวนี้คนฟังส่ายหน้ารัว เขาชี้นิ้วมาทางกล้อง ซึ่งมันทำให้สีหน้าของพี่ภูอ่อนลงแทบจะทันที

“รอก่อน อีกไม่นานก็กลับแล้ว”

ผมหันหน้าไปมองคนพูด มือเผลอกำชายเสื้อเขาแน่นจนเจ้าตัวละสายตามามอง

กลับ...หมายถึงกลับอังกฤษสินะ แล้วจะมาที่นี่อีกหรือเปล่า ผมยังเรียนไม่จบ จะไปหาได้ยังไง คำถามและความกังวลมากมายวนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งใครอีกคนจับมือผมแล้วบีบเบาๆ ความรู้สึกทั้งหมดก็จางหายไป

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น...ผมอดกลั้นและเก็บคำถามทุกอย่างไว้ในใจก่อนจะหันกลับไปสนใจจอภาพอีกครั้งแล้วก็พบว่าภามกำลังทำไม้ทำมือถามอะไรบางอย่างซึ่งทำให้พี่ภูต้องถอนหายใจยาว

“ถ้าทำตัวดีจะคุยกับพ่อให้ อย่าโวยวาย อย่าแกล้งไรอันอีก เข้าใจหรือเปล่า”

ภามทำหน้าว่างเปล่า ดูดื้อดึง ชัดเจนว่าคำตอบคือไม่

“พี่กลับไปเจ้านั่นก็ไม่มายุ่งแล้ว ทนหน่อย” พี่ภูขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อฝั่งนั้นยังนิ่งไม่รับคำ “ถ้าไม่ตกลงก็ไปหาหมออยู่อย่างนั้นนั่นล่ะ ต่อให้ไล่ไปสักกี่คน พ่อก็ต้องหามาเรื่อยๆ อยู่ดี”

คนในจอทำหน้าหงุดหงิดแล้วสะบัดหน้าไปด้านข้างด้วยความไม่พอใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังพยักหน้าให้ เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อฟังพี่ภูมากและท่าทางจะกลัวโดนโกรธน่าดู

“ไปนอนได้แล้ว” พี่ภูพูดแค่นั้น รอจนได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ แล้วเขาก็กดวางสาย

ความมืดเข้าปกคลุมแทนที่เมื่อแสงจากจอโทรศัพท์ดับลง ผมรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ เอนตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า เลยเลือกที่จะไม่ถามอะไรแล้วเอนตัวนอนตาม

“ภามโคตรเหมือนพี่เลย” ผมเปิดประโยคสนทนาด้วยสิ่งที่รู้สึกเป็นอย่างแรกตอนได้เห็นภาม “แบบ...โครงหน้า รูปหน้า ความสูง มีแค่สีตามั้งที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่พี่ทำยังไงถึงออกมาเหมือนกันได้ ทั้งที่ดูก็รู้ว่าอายุต่างกันแล้วก็ไม่ใช่แฝด ผมไม่เข้าใจ”

พี่ภูส่งเสียงหืมเหมือนจะแปลกใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหัวเราะเบาๆ แทน ผมนึกหงุดหงิดใจไม่น้อยที่มันมืดเกินไปเลยอดเห็นหน้าเขา แถมพอพยายามจะขยับหน้าไปดูใกล้ๆ ก็โดนตีหน้าผากดังเพียะอีก

เอาเถอะ...เขาหัวเราะได้ผมก็ดีใจ

“ไม่ถามเรื่องภามหรือไง”

“เอาแบบรักษาหน้าหรือเอาแบบจริงใจ”

“ลองแบบรักษาหน้า…”

“ถ้าพี่พูดออกมาแล้วไม่สบายใจ ผมก็ไม่อยากรู้หรอก ไม่ต้องพูดก็ได้” ผมทำเสียงอ่อนๆ ประกอบเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

“แล้วถ้าจริงใจล่ะ”

พอได้ยินคำถามแล้วผมก็ปรับอารมณ์ เปลี่ยนเสียงอ่อนๆ เป็นน้ำเสียงจากใจจริง

“ผมโคตรอยากรู้เลย คือถ้าถามเองก็กลัวจะโดนด่าว่าเสือกไง ก็เลยรอให้พี่พูดเองอยู่”

“มึงนี่มัน…”

“โอ๊ย! เจ็บบบ” ผมร้องโอดโอยแล้วเอามือกุมแก้มสองข้างของตัวเองที่โดนดึงไว้แน่น ป้องกันไม่ให้มือของคนข้างๆ พุ่งเข้ามาดึงอีก

นี่แก้มคนนะไม่ใช่หนังยาง ดึงจนจะย้วยอยู่แล้ว!

“หมั่นไส้” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะดึงแขนผมที่ขยับตัวหนีให้กลับไปนอนดีๆ คงกลัวว่าถ้าผมขยับหนีแรงๆ แล้วเต็นท์จะพัง

“มือก็หนัก” ผมบ่นพึมพำก่อนจะได้มือหนักๆ ที่ว่าหยิกเข้าให้ที่แขนเป็นรางวัล

“นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นเจ็บ...หนังมึงหนาไม่ใช่หรือไง”

“นี่พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าผมเป็นคน”

ข้องใจหนักมาก แต่ละคำทำเหมือนผมเป็น…

“มึงเป็นคนเหรอ กูเข้าใจผิดมาตลอดเลย”

“...” เอาเป็นว่าผมจะด่าในใจ

“บ่นไรในใจ” พี่ภูพูดขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ผมได้แต่เหวอ

“พี่ไปเรียนวิชามาจากไอ้โซเหรอ” ไม่มองยังรู้อีกว่านินทา เป็นวิชาที่น่ากลัวมาก

“งั้นมั้ง”

“ว่าแต่...ทำไมถึงมาได้ล่ะ พี่บอกผมว่าติดงานนี่” ทำเอาหงอยไปตั้งนาน อยู่ๆ ก็มาให้ดีใจซะงั้น

“งานเสร็จไว...แล้วมาแถวนี้พอดีเลยแวะมา”

“มาแถวนี้พอดี...มาทำงานแถวนี้พอดีเนี่ยนะ” ผมถามย้ำ ทั้งย้ำเขาและย้ำความคิดตัวเองเพื่อทบทวนความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ก่อนสมองที่ง่วงงุนมาตั้งแต่เช้าจะประมวลผลเสร็จ มือของคนข้างๆ ก็ตะปบลงมาที่ตาผมอย่างแม่นยำ

“เลิกคิด เลิกพูดเรื่องนี้”

อย่างงี้ก็ได้เหรอ…

“ไม่คิดก็ได้” ผมบอกแล้วแปะมือทับไว้บนมือของเขาไม่ให้มีโอกาสดึงหนี ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่วางมือทับตาผมไว้แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

พอได้หลับตาแถมยังมีมืออุ่นๆ วางทับไว้ผมก็เริ่มง่วงนอน สติเลือนหายไปช้าๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านพ้น แต่แล้ว…

“ภามเด็กกว่ามึงสองปี...”

สาบานทีว่าไม่ได้แกล้ง

ผมดึงมือพี่ภูออกจากหน้า ก่อนจะใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อถ่างตาตัวเองให้เปิดกว้าง แม้จะล้าเต็มทนแต่เพื่อพี่ภู...เก้าทนได้...น่าจะนะ

“เราเคยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่มีครบพ่อแม่ลูก แต่วันหนึ่งพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจแยกทาง พ่อเลือกจะดูแลภาม เพราะพ่อมีฐานะและภามยังเด็ก พ่อไม่อยากให้ภามลำบาก ส่วนกูตามแม่มาอยู่ไทย แรกๆ ก็เหนื่อย ทั้งกูทั้งแม่ทำกับข้าวไม่เป็น เงินก็ไม่ค่อยมีเพราะแม่ไม่ยอมใช้เงินที่พ่อให้ เราใช้ชีวิตกับอาหารเดิมๆ เป็นปี จนทุกวันนี้กูก็ยังรู้จักอาหารไทยไม่หมด แต่ถ้าไม่นับเรื่องเป็นห่วงน้องก็ถือว่ามีความสุขดี”

ความง่วงที่มีจางหายไปทันทีที่ได้ยินเรื่องราว พี่ภูยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นของเขาราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่แค่เขาพูดยาวและเยอะกว่าทุกครั้ง ผมก็พอจะมองออกถึงความไม่ปกติ

ผมกำลังจะได้รับรู้เรื่องราวสำคัญของเขา…

“พ่อกับแม่ตกลงกันว่า ถ้าฝ่ายไหนปิดเทอมจะยอมให้อีกคนบินไปอยู่ด้วย เพราะงั้นภามถึงได้ติดกูมาตลอด เรายังสนิทกันเหมือนเดิม” พี่ภูเงียบไปครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังนึกถึงอดีตอยู่หรือเปล่า เลยทำได้แค่ลูบหลังมือที่ตัวเองจับไว้แต่แรกเบาๆ

“...”

“แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…” น้ำเสียงเรียบเย็นกว่าปกติของพี่ภูทำให้ผมใจหาย อยู่ๆ ก็รู้สึกกดดันตามไปด้วย “วันนั้นกูออกไปซื้อของให้แม่ ปล่อยให้ภามที่ปิดเทอมและเพิ่งบินมาหาอยู่บ้านกับแม่สองคน ใครจะไปคิดว่ามันจะมีโจรสารเลวบุกขึ้นบ้านตั้งแต่หัวค่ำ”

ผมสูดหายใจลึก เริ่มเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปากอยากจะบอกคนเล่าว่าถ้าไม่อยากเล่าไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่ตัวเองกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“แม่ปกป้องภาม...ส่วนตัวเองโดนแทงตายต่อหน้าต่อตาน้อง โจรตกใจกลัวจนหนีออกไปตัวเปล่า แล้วไม่นานก็ถูกจับได้...พอรู้ข่าวพ่อกูก็รีบบินมาหา เข้ามากอดกูกับน้องที่ตัวสั่นอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจัดการพิธีศพแม่เรียบร้อยก็รีบพากูกับน้องกลับไปอยู่ด้วยที่อังกฤษ”

“พี่ภู…”

“กูใช้เวลาทำใจอยู่สักพัก แต่อาจเพราะตอนนั้นยังเด็ก แล้วเฮเลนที่เป็นแม่เลี้ยงก็ใจดีมาก กูถึงได้ลืมเลือนความเศร้าได้ไม่ยาก แต่กับภาม…” เขาเงียบเสียงไป สักพักก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ผมเลยพลิกตัวตะแคงเข้าหา กุมมืออุ่นนั้นมาวางไว้ตรงอกเพื่อให้กำลังใจ

“ภามกลายเป็นเด็กเก็บกดที่ยอมให้กูเข้าใกล้ได้แค่คนเดียว และไม่มีใครรู้เลยว่าน้องคิดอะไรอยู่...” พี่ภูหยุดพูดไป ผมที่กำลังตั้งใจฟังเลยต้องเงียบตาม ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ “เพราะตั้งแต่แม่ตาย...ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงภามอีกเลย”

ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้...แต่เพราะไม่พูด

“เพราะพ่อเป็นห่วงก็เลยเรียกหมอมาดูอาการ แน่นอนว่าในต่างประเทศการพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะงั้นทุกๆ วันบ้านกูเลยมีหมอเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น ทุกคนลงความเห็นว่าภามฝังใจเรื่องแม่...และเป็นโรคซึมเศร้า”

ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด ได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาแบบนั้น เป็นใครจะทนได้บ้าง

“ทุกคนตามใจภามมาก กูเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งรับรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ภามไม่พูดก็จริงแต่ก็ยังก้าวร้าว กูเลยต้องพยายามไม่ตามใจน้อง อะไรดีก็บอกว่าดี แต่ก็ไม่พูดจาอ่อนโยนเหมือนคนอื่นเพราะไม่อยากให้น้องได้ใจ โชคดีที่ภามเชื่อฟังกูอะไรๆ เลยไม่แย่นัก”

พี่ภูพูดเหมือนกำลังระบายออกมา หลายครั้งที่เขากำมือผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ผมก็ยอมให้ทำ เพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

“แต่ทุกคนชะล่าใจเกินไป…ตอนเด็กๆ แม่เคยบอกกูว่าอยากให้กูเข้ามหา’ลัยนี้ เพราะงั้นกูเลยบอกน้องว่าจะมาเรียนที่นี่ ภามพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดตอบอะไร กูเลยคิดว่าน้องไม่เป็นอะไรแล้ว...แต่วันต่อมาพ่อก็โทรมาบอกว่าภามพยายามฆ่าตัวตาย ดีที่แม่บ้านมาห้ามไว้ทัน กูทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนเสียศูนย์ สุดท้ายเลยขอให้พ่ออนุญาตให้ภามมาอยู่กับกูที่ไทย ยอมมีคนตามติดดูแล ขอแค่ได้อยู่กับน้องด้วยและได้ทำตามที่เคยคุยกับแม่ไว้ด้วย”

ผมฟังเสียงพี่ภูพูดแล้วก็รู้สึกหน่วงและปวดที่ใจจนเจ็บไปหมด...แตกต่างจากคนพูดโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะเขากำมือผมแน่นเป็นระยะ ผมคงคิดว่าผู้ชายคนนี้ไร้ความรู้สึก แต่เพราะรู้ว่าเขามีความรู้สึก...ถึงได้เข้าใจว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน

“จำคนที่กูเคยบอกว่ามีเรื่องด้วยตอนปีหนึ่งได้ไหม”

“จำได้…” คนที่ทำให้พี่ภูมีข่าวเสียๆ หายๆ จนใครต่อใครก็มองเขาไม่ดี

“ครั้งหนึ่งกูกลับช้าภามเลยออกมาตามแต่ไปมีเรื่องกับไอ้นั่นระหว่างทาง กูเห็นน้องโดนทำร้ายจนเลือดไหลอาบหน้าก็เลยจัดการจนมันเข้าโรงพยาบาล ถึงมันจะออกไปแล้วแต่ก็ปล่อยข่าวเล่นกูสารพัดจนมีคนนั้นคนนี้ตามหาเรื่องอยู่ทุกวัน ส่วนภาม...พ่อสั่งเด็ดขาดให้ย้ายกลับอังกฤษ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอากลับไป กูเลยต้องแยกกับน้อง ใช้การคุยกันทางคอลเป็นประจำเพื่อสื่อสารกัน”

เพราะแบบนั้นพี่ภูถึงได้โดนมองไม่ดี ผมถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ เกลียดไอ้พวกคนเลวที่ทำร้ายภามและใส่ร้ายพี่ภู เกลียดคนที่ว่าร้ายเขาทั้งที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง เกลียดทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตเขาแย่แบบนี้

“แต่กูไม่เคยคิดมาก่อนว่าภามจะมองการคอลกันของเราเป็น ‘แรงขับเคลื่อนในการมีชีวิต’...วันนั้นกูหลับไปก่อนจะได้คอลเพราะเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานทางไกล แต่แล้วคนของพ่อก็มาเคาะห้อง บอกว่าภามพยายามฆ่าตัวตาย เพราะแบบนั้นกูเลยดรอปเรียน บินกลับไปหาน้องที่อังกฤษ” ยิ่งน้ำเสียงของเขาเรียบเย็นมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ออกแรงบีบมือเขาแน่นมากขึ้นเท่านั้น อยากจะช่วยรับความเจ็บปวดนั้นมาแต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ “ต้องขอบคุณที่ภามยังไม่ไปไหน กูใช้เวลาเป็นปีเพื่อคุยกับน้อง ยอมกระทั่งบอกว่าจะไม่มาเรียนที่นี่แล้ว แต่พ่อก็ยังขอให้กูมาทำตามที่เคยคุยกับแม่ กูสัญญากับน้อง บอกว่าจะไม่มีทางผิดคำพูดอีก จะคอลหาทุกวัน ขอเวลาอีกแค่สี่เดือนแล้วกูจะกลับไปหา”

สี่เดือน...คือระยะเวลาหนึ่งเทอม

“เทอมสองกูจะกลับอังกฤษ ทำเรื่องขอจบและทำงานที่นั่น”

อีกไม่ถึงสองเดือน…

ผมใจหายวาบ แต่ก็เข้าใจดีถึงเหตุผลของเขา ถ้าผมเป็นพี่ภู...ก็คงทำแบบเดียวกัน

“พี่ภู…” ผมเรียกเสียงเบาก่อนจะขยับกายเข้าหาอีกนิด “ถ้าผมอยากรู้เรื่องอื่น พี่ยังจะให้ผมไปถามภามเองอยู่ไหม”

ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเอง...เขาเคยบอกผมแบบนั้น และผมเพิ่งมาเข้าใจความหมายของมันตอนนี้เอง…ภามไม่ให้ใครเข้าใกล้ ไม่เอาใครทั้งนั้น แต่พี่ภูก็ยังบอกให้ผมไปถามเอง และไรอันก็บอกว่าพี่ภูคิดว่าผมจะทำได้

เขาเชื่อ...ว่าผมจะทำได้

“พี่อยากให้ผมช่วยใช่ไหม”

พี่ภูเงียบไป ในขณะที่ผมเองก็ไม่ได้เร่งรัดแต่จับมือเขาไว้แล้วรออยู่เงียบๆ จนสุดท้ายก็เป็นอีกฝ่ายที่ขยับกายหันมาหา เราสบตากันท่ามกลางความมืดมิด

“ถ้ามึงอยาก…”

“ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า แก้คำพูดของเขาใหม่ “ถ้าพี่ต้องการต่างหาก”

“...”

“พี่ไม่ได้มองผมเป็นน้องใช่ไหม” เอ็นดูเหมือนน้อง เห็นผมเป็นเหมือนภาม

พี่ภูนิ่งไปพักใหญ่ เขาค่อยๆ ถอนมือออกจากการกอบกุมของผมช้าๆ ความอบอุ่นที่หายไปทำให้ผมเกือบยื่นมือไปยึดจับไว้ แต่ก็ยังกัดริมฝีปากแล้วห้ามใจตัวเองทัน

ถ้าคำตอบของเขาคือเห็นเป็นน้อง…

ผมคง…

“ไม่เอาน้องนะ”

ต้องหาแผนใหม่

“ขี้เกียจหาแผนใหม่...โอ๊ย!” ผมยกมือกุมจมูกที่ถูกดีดไว้แน่น เจ็บจนน้ำตาซึม อยากจะเอาคืนสักสองเท่า แต่พอมองเห็นดวงตาแวววาวของคนทำก็ต้องทิ้งความคิดไป

“กูมองมึงเป็นกระต่าย…”

กระต่ายอีกแล้ว!

“ไม่เอา…”

“กระต่ายที่มีแค่ตัวเดียวในโลก”

เจอแบบนี้...ไม่ยอมก็เหี้ยละ

“ภูมิใจอ่ะ” ผมอมยิ้มจนแก้มจะแตก และไม่รู้ว่าเขาเห็นหรืออะไรถึงได้ยื่นมือมาดึงแก้มผมได้ถูกจุดเหลือเกิน

“และที่มึงถาม…”

“...”

“คำตอบของกูคือต้องการ”

ถ้าพี่ต้องการต่างหาก…

ผมดึงมือพี่ภูออกจากแก้มก่อนจะสบตาเขาแล้วยิ้มให้ ถึงแม้จะเห็นไม่ชัดนักแต่ก็เชื่อว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อ

“ยินดีครับ”

สิ้นคำ...ผมขยับกายเข้าหาแล้วใช้แขนทั้งสองข้างกอดรอบตัวคนตัวสูงไว้แน่นก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกกว้างที่ทำให้อุ่นไปทั้งกายและใจ

“นอนซะ” พี่ภูใช้มือหนึ่งลูบหัวผมเบาๆ ราวกับจะช่วยกล่อมให้นอนหลับฝันดี

“ฝันดีครับพี่”

“ฝันดี…”

“...”

“ก้อน…”

“หือ”

“เมื่อไหร่จะปล่อย”

“หลับแล้ว”

ช่วงกอบโกย ปล่อยก็โง่แล้ว

 

 

ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกดีสุดๆ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะอะไร บางทีอาจเป็นเพราะพี่ภูเปิดใจให้ผมมากกว่าเดิมรวมถึงยอมเล่าเรื่องสำคัญให้ฟัง หรืออาจเพราะเขายอมปล่อยให้ผมนอนกอดทั้งคืน

แต่คิดไปคิดมา...ดูแล้วน่าจะเป็นทุกอย่างรวมกัน

ผมหันไปมองหน้าคนที่ยังหลับอยู่ยิ้มๆ

นับเป็นครั้งแรกที่ผมตื่นก่อนและได้มองหน้าพี่ภูตอนหลับ เขามีท่าทางสงบนิ่งเหมือนแค่หลับตาเฉยๆ และพร้อมจะลืมตาตลอดเวลา แตกต่างจากผมเวลานอนที่ชอบทำตัวเป็นก้อนซูชิโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความโชคดีที่ผมตื่นก่อนหรือพี่ภูนอนเยอะหรอก...แต่เป็นเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงกอบโกย ผมเลยต้องตั้งนาฬิกาปลุกตัวเองแต่เช้า ทั้งหมดเพื่อตื่นมาดูหน้าคนหลับ

จะว่าอิจฉาก็อิจฉา แต่จะว่าภูมิใจก็ภูมิใจ ผมอิจฉาที่เขาดูเพอร์เฟคสุดๆ ไม่ว่าจะในเวลาไหน และภูมิใจ...ที่ได้อยู่ใกล้คนแบบนี้

น่าอวดมาก ถ้าไอ้โซไม่ได้เมียดีผมจะไปอวดมันให้อิจฉาตาร้อนผ่าว แต่เพราะเป็นพี่กีล์...เลยอวดไม่ได้

“จะลากกูไปกินในน้ำตกเลยไหม”

“ได้ก็ดีนะ” ผมตอบกลับทันควันตามนิสัยคิดไวปากไว พอโดนจ้องกลับมาด้วยสายตาเหมือนจะด่าก็ไม่สะทกสะท้านเพราะรังสีความน่ากลัวในดวงตาคู่นั้นไม่เคยทำอะไรผมได้อยู่แล้ว

“ตื่นแล้วก็เตรียมตัวกลับ” พี่ภูสะบัดหัวสองสามทีเหมือนจะเรียกสติก่อนเขาจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาหาผม “คืนนี้ต้องไปงาน มึงต้องกลับกับกูก่อน”

“รับทราบ” ผมพยักหน้าแข็งขันแล้วยอมออกมาจากเต็นท์แต่โดยดี หลังจากนั้นก็ยืนมองคนหน้าดุเก็บเต็นท์อย่างรวดเร็วด้วยความชื่นชม...ชื่นชมในความเท่ ขนาดแค่เก็บเต็นท์นะ

พอได้อยู่กับคนที่ชอบ ต่อให้ต้องเดินเป็นระยะทางไกลๆ ผมก็ยังมีความสุข ตลอดทางที่เดินผ่านผมแทบจะกระโดดเดินเหมือนกระต่ายบ้าที่โคตรเกลียด ยิ่งพอหันไปเห็นคนที่เดินอยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยๆ ก็แทบตัวลอย

“มีความสุขมากหรือไง” พี่ภูถามเหมือนจะข้องใจ ผมเลยหันไปฉีกยิ้มใส่แล้วตอบตามตรง

“มากขนาดที่โดนด่าว่าเป็นกระต่ายยังไม่โกรธอ่ะ”

“ขนาดนั้นเลย?”

“อื้อ”

“กูก็เรียกมึงเป็นกระต่ายมาตลอด ปกติก็ไม่เห็นโกรธ”

ผมหยุดเท้าที่กำลังเดิน พี่ภูเลยหยุดไปด้วย เราหันมาสบตากันโดยไม่ต้องบอก แล้วก็เป็นผมที่ทำหน้าตาจริงจังใส่เขาก่อน

“จ๋าเคยบอกผมว่า ในชีวิตของเรามักจะมีคนๆ หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น...และไม่ว่าจะทางไหน ถ้าขึ้นชื่อว่าแตกต่างมันก็คือความพิเศษ...ถ้าได้เจอคนๆ นั้น ไม่ว่ายังไงก็อย่ายอมปล่อยให้เขาเดินจากไป”

“แล้วถ้าเขาจะไปล่ะ”

ผมชักสีหน้า อารมณ์มาเต็มสุดๆ เมื่อนึกว่าพี่ภูจะไปตามที่เขาสมมติ

“ไม่ให้ไป ต่อให้ต้องลากเข้าถ้ำก็จะทำ”

“เข้าถ้ำ” คนหน้าตายเลิกคิ้ว เหมือนเขาจะไม่มั่นใจนักว่าได้ยินถูกหรือเปล่า ซึ่งผมก็ใจดีพยักหน้ายืนยันให้

“ลากเข้าถ้ำ จับกินให้ไปไหนไม่รอด”

คนฟังทำหน้าอึ้งไปหน่อยๆ ในขณะที่ผมยืดอกภูมิใจในความคิดตัวเอง ผ่านไปสักพักพี่ภูก็ยกมือขึ้นมาปิดปาก ส่วนมืออีกข้างยื่นมาปิดตาผม

“หึหึ มึงแม่ง…”

“พี่ปิดตาผมทำไม” ผมพยายามจะแกะมือใหญ่เหนียวหนึบที่ปิดตาตัวเองไว้ออก แต่โดนแขนของคนข้างๆ ล็อคคอให้ขยับเข้าใกล้เพื่อให้มือข้างนั้นปิดตาผมได้แน่นกว่าเดิมเสียก่อน

“เงียบๆ”

“พี่ยิ้มใช้ไหม พี่หัวเราะด้วยเมื่อกี้ เอามือออก ผมจะดู” ผมพยายามแงะมือปลาหมึกออกแต่แรงสู้ไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่เดินตัวปลิวไปตามแรงดันของคนที่ปิดตาผมไว้

“ลากเข้าถ้ำ จับกินงั้นเหรอ…” เขาทวนประโยคของผมด้วยน้ำเสียงขบขัน เท้าก้าวไปเรื่อย ส่วนมือก็ปิดตาผมให้เดินตาม “ลูกกระต่ายอย่างมึงจะทำอะไรได้”

“ผมไม่ใช่ลูกกระต่ายนะ!”

“ไม่อยากเลื่อนขั้นแล้วเหรอ”

ลูกกระต่ายนี่คือเลื่อนขั้น?

“ตัวก็เล็ก เตี้ยก็เตี้ย ก้อนก็ก้อน ไอ้กระต่ายก้อน”

“ผมไม่ได้ตัวเล็กแล้วก็ไม่ได้ตัวเตี้ยนะ...พี่สูงเองต่างหาก” ต้องย้ำอีกกี่ครั้งว่าอีกหนึ่งเซนติเมตรผมก็ร้อยแปดสิบแล้ว โคตรไม่สมควรใช้คำว่าเตี้ย คือมันไม่ใช่มากๆ แล้วไอ้เรื่องอ้วน...หมายถึงก้อน ผมหนักหกสิบเองนะ

“เหรอ” คนพูดว่าแค่นั้นแล้วปล่อยมือออกจากตาผม แต่แขนอีกข้างยังล็อคคอไว้เหมือนเดิม พอเห็นว่าผมเงยหน้ามองเขาก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกดสายตาลง

“โอเค เตี้ยก็ได้”

ความต่างระหว่างส่วนสูงสิบเซนติเมตรไม่ใช่เรื่องตลก

“ก้อน”

“หือ”

“มึงเจอคนคนนั้นแล้วเหรอ” พี่ภูเอามือที่ล็อคคอผมออกแล้วเปลี่ยนไปเป็นล้วงกระเป๋าเดิน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่จนผมต้องหยุดความร่าเริงเพื่อคิดตาม “คนที่มึงคิดว่าแตกต่าง”

“อื้ม” ผมยกมือจับแขนเสื้อคนข้างๆ ไว้แทนคำตอบว่าคนๆ นั้นหมายถึงใคร

“อืม”

“แล้วพี่ล่ะ...เจอหรือยัง”

คนที่แตกต่าง...และพิเศษ

“ยัง…”

ผมเกือบหมดแรงตอนที่ได้ยิน ทั้งยังเผลอปล่อยมือที่จับแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่มือไร้น้ำหนักจะทิ้งลงข้างกาย...ใครอีกคนก็ดึงมันไปจับไว้แน่น

“ผมเคยบอกว่าไม่รักไม่ผิด เพราะพี่ไม่เคยให้ความหวังผม พี่จำได้หรือเปล่า”

เขาเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังทบทวนความทรงจำก่อนจะพยักหน้านิ่งๆ

“จำได้”

“ตอนนี้พี่ให้ความหวังผมแล้วนะ”

ถ้ายังทิ้งกันไป...จะบอกว่าไม่ผิดไม่ได้แล้ว

“อืม” พี่ภูมองตรงไปด้านหน้า ผมเลยหันไปมองตาม แล้วก็เห็นรถออดี้คันหรูจอดอยู่ตรงที่เดิม “กูก็ไม่ได้ชอบให้ความหวังใครนักหรอก”

“ดีแล้ว...เพราะถ้าพี่แกล้งผม ผมจะฟ้องป๋ากับจ๋าให้มาจัดการ” ผมแกล้งพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้บรรยากาศดูกดดันกว่าเดิม แต่เหมือนคนที่ยังเงียบจะไม่ขำ เพราะใบหน้าของเขายังคงนิ่งสนิทขณะที่หันมามองผมเช่นเดิม

“ที่บอกว่ายัง…เพราะอยากให้มั่นใจมากกว่านี้”

ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ สบกับสายตาแวววาวที่เป็นประกายเหมือนกำลังเอ็นดูคู่นั้นด้วยใจที่สั่นเทา

“พี่…”

“คนที่แตกต่าง คนที่พิเศษ...ถ้ามึงหมายถึงคนที่ใช่ กูยังไม่เจอ”

“...”

“แต่ถ้าคนที่อยากให้ใช่…”

เขากระชับมือของเราที่จับกุมกันไว้แน่นขึ้นแล้วมองผมด้วยดวงตาคมกริบที่ทำให้ใจเต้นแรง

“เจอแล้ว”

 

------------------



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 12-07-2017 20:02:47
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เขินนนน :ling1: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 12-07-2017 20:10:25
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 12-07-2017 20:20:50
โอ้ยยยยยยยพี่ภูของน้อง
เขินกับคำพูดอ่ะ

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 12-07-2017 20:29:38
งื้ออออ อยากไปสิงร่างน้องเก้า
อะไรคือนอนซุกอก พี่ภูขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 12-07-2017 20:32:18
เขินหนักมาก  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 12-07-2017 20:34:15
เม้นใหม่นะคะ เหมือนเนื้อหาเม้นท์หายอ่า

งื้ออออ อยากไปสิงร่างน้องเก้า
อะไรคือนอนซุกอก พี่ภูขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว
เรื่องภามคงไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครเอาชนะคนบ้าได้หรอก ฮ่าาาา
เชื่อว่าถ้าน้องภามได้เจอกับเจ้าเก้าแล้ว อาจจะเปิดศึกชิงเจ้าเก้ากับพี่ภู . ... ..ก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nunng ที่ 12-07-2017 20:39:07
เขินแงงงงงงงงง :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-07-2017 21:43:34
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 12-07-2017 22:02:41
คนที่อยากให้ใช่ อ่ะ  ฮือออ เขิน  พี่ภู   :-[
ก้าวหน้าขึ้นมากกกอ่ะ น้องเก้าเอ้ย ได้นอนกอดพี่ภูทั้งคืนด้วย แหม
เรื่องของภามน่าสงสารมาก ก็เข้าใจภาม แต่ก็สงสารพี่ภูด้วย
อยากให้ภามหายเป็นปรกติ ต้องหวังพึ่งน้องเก้าแล้ว น้องทำได้แน่ ๆ
อยากให้น้องเก้าได้เจอภามเร็ว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 12-07-2017 22:03:58
พี่ภูววววววววว :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 12-07-2017 22:06:44
ประโยคสุดท้าย
มันแอคแทคแรงเหลือเกินค่ะคุณ


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 12-07-2017 22:16:07
อีกหน่อยก็ใช่นะพี่ภู  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2017 22:39:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 12-07-2017 23:17:11
“ที่บอกว่ายัง…เพราะอยากให้มั่นใจมากกว่านี้”

ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ สบกับสายตาแวววาวที่เป็นประกายเหมือนกำลังเอ็นดูคู่นั้นด้วยใจที่สั่นเทา

“พี่…”

“คนที่แตกต่าง คนที่พิเศษ...ถ้ามึงหมายถึงคนที่ใช่ กูยังไม่เจอ”

“...”

“แต่ถ้าคนที่อยากให้ใช่…”

เขากระชับมือของเราที่จับกุมกันไว้แน่นขึ้น แล้วมองผมด้วยดวงตาคมกริบที่ทำให้ใจเต้นแรง

“เจอแล้ว”

--------ปิดอ้างอิง----------
อะไรจะกราวใจขนาดนี้คะพี่ภู ก้อนนี่ใจสั่นระดับ 10 เลยค่ะ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 12-07-2017 23:18:01
พี่ภูของน้องงงงงงง :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 13-07-2017 00:02:16
โอ๊ย โดนพี่ภูแอคแทค ไปไหนไม่รอดแล้ว ฮือออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 13-07-2017 06:09:26
โรแมนติกมากเลยเจ้าค่ะ
หนูก้อนคงยิ้มแก้มปริแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 13-07-2017 08:16:09
เขินนน :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-07-2017 10:08:45
เขินคำพูดดดดด
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ktsingto ที่ 13-07-2017 11:13:42
 :o8: :-[ :impress2:  เขินแทนเบยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 14-07-2017 06:51:14
ประโยคสุดท้ายเป็นอะไรที่ดีต่อใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 14-07-2017 20:57:01
กรี๊ดดดดดด คนที่อยากให้ใช่ ฮืออออออ พี่ภู๊!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-07-2017 21:32:47
สงสารภาม อยากรู้จังว่าเก้าจะใช้วิธีไหนช่วยน้อง
เขินพี่ภูมาก เก้าคงเขินจนตัวระเบิดไปแล้วมั้ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-07-2017 18:47:36




-19-

 

ผมนั่งรถกลับกรุงเทพกับพี่ภูก่อนตามที่เราตกลงกันไว้เพราะถ้ารอกลับพร้อมคนอื่นๆ อาจจะไปไม่ทันเวลางานเลี้ยงเริ่ม แต่จากที่คิดว่าจะกลับมาถึงพอดีกลับกลายเป็นว่าผมต้องมานอนกลิ้งอยู่ที่หอเพราะกลับมาไวเกิน ส่วนพี่ภูก็แยกกลับไปจัดการตัวเองที่คอนโดเพราะเขาต้องโทรไปหาภามก่อนเวลา ด้วยความขี้เกียจส่วนตัวทำให้ผมปล่อยตัวเองให้นอนว่างจนถึงห้าโมงกว่า ตื่นมาอีกทีเพราะเสียงปลุกจากสายโทรเข้าของโทรศัพท์ ซึ่งก็เป็นพี่ภูที่โทรมาเรียกเพราะถึงเวลาเดินทาง และด้วยความง่วงที่สั่งสมทำให้ผมเผลอหยิบเสื้อนักศึกษามาใส่แล้วเดินลงไปด้านล่างโดยไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าได้รับสายตามองแรงตั้งแต่หัวจรดเท้าตอบกลับมา

“ว่าแล้วต้องเป็นงี้” พี่ภูถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้จนติดก่อนจะยกมือจัดทรงผมยุ่งเหยิงให้ผมช้าๆ “ไม่รู้จักเตรียมตัว”

“ผมง่วงอ่ะ” ผมยกมือขยี้ตาประกอบ รู้สึกเหมือนสมองยังไม่ตื่นตามด้วยซ้ำ

“ง่วงก็ไปนอน”

“ต้องไปงานกับพี่”

“กูไปคนเดียวได้ ไปนอนไป” เขาดันไหล่ผมเบาๆ น้ำเสียงไม่ได้มีความไม่พอใจแฝงอยู่เลยแม้แต่นิด

“ผมตื่นแล้ว” ผมกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปลุกตัวเอง พร้อมทั้งจ้องมองคนตรงหน้าแน่วแน่เพื่อยืนยันความตั้งใจ “ไปด้วยนะ”

“ก้อน” พี่ภูเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมรีบยืดตัวตรงแสดงความตั้งใจ อารมณ์ง่วงงุนเมื่อกี้หายไปเกือบหมด

“ครับ”

“มึงเป็นคนแบบนี้ก็ดี แต่บางเวลาก็ต้องฝืนตัวเองบ้าง...โดยเฉพาะเวลางาน อย่างน้อยต้องรู้จักกาลเทศะ การแต่งตัวก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เข้าใจที่กูจะสื่อหรือเปล่า”

“ผมจะขึ้นไปเปลี่ยนชุด” ผมรีบตอบแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าหอ แต่โดนดึงแขนแล้วดันให้เข้าไปนั่งในรถเสียก่อน

“เดี๋ยวไม่ทัน มาเถอะ”

พอขึ้นมาบนรถแล้วบรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบ แม้แต่ผมที่ขยันชวนคุยยังไม่มีอารมณ์คุย นับเป็นครั้งแรกที่โดนพี่ภูตำหนิแบบจริงจัง...ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็เถอะ แต่ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าโดนตะโกนด่าเสียอีก

ยอมรับว่าผมไม่เคยโดนว่าแบบนี้เลยสักครั้ง ป๋าก็ตามใจ จ๋าทำอะไรก็ไม่น่ากลัว มีหลายครั้งที่โดนลากไปออกงาน แต่ผมก็ไม่เคยสนใจอะไรเท่าไหร่ หวังแค่เข้าไปกินแล้วก็กลับ แต่ผมไม่รู้ว่าสังคมการออกงานของพี่ภูเป็นแบบไหนเลยเผลอทำตัวตามปกติ ลืมคิดไปเลยว่าเขาเป็นคนพามา ถ้าเสีย...ก็จะทำให้เขาเสียไปด้วย

“ผมขอโทษนะ” ผมดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ เมื่อรถหยุดตรงไฟแดง พี่ภูมองผมด้วยสายตาแปลกใจก่อนเขาจะยกมือวางแปะบนหัวผมแล้วตบเบาๆ สองสามที

“กูไม่ได้ดุ”

“ผมจะทำให้พี่ดูไม่ดีไปด้วย”

“...”

“ผมจะพยายามปรับตัว”

พี่ภูถอนหายใจยาว มือขยับมาดันหน้าผมที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้นสบตา

“แค่เวลาออกงานทำตัวดีๆ รักษาหน้าเจ้าของงานหน่อยก็พอ...มึงเป็นของมึงแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“ครับ...ต่อไปถ้าออกงานกับพี่ ผมจะรักษาหน้าพี่นะ” ผมบอกความตั้งใจของตัวเองพร้อมทั้งยกยิ้มเสริมให้อีกทีเพื่อให้เขามั่นใจ

“มึงเข้าใจที่กูจะสื่อหรือเปล่าเนี่ย” พี่ภูส่ายหน้าเบาๆ เหมือนจะอ่อนใจ จากนั้นเขาก็หันกลับไปขับรถต่อโดยไม่สนใจผมอีก

ถามว่าเข้าใจไหม แน่นอนว่าเข้าใจ เพียงแต่ผมมองกลับกันก็เท่านั้น

ถ้าพูดถึงการไปงานเลี้ยงโดยเฉพาะงานทางธุรกิจ ผมไม่เคยมีความคิดจะไปมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายเมื่อสองสามปีก่อนที่ไปกับป๋าแล้วโดนเจ้าของงานมองด้วยสายตาดูถูกและโดนลูกของเขาพูดจาไม่ดีใส่แค่เพราะผมไม่ได้ใส่เสื้อสูทแบรนด์เนมราคาแพง ถ้าไม่ใช่เพราะป๋ามาเจอแล้วบอกว่าเป็นลูกตัวเอง ผมคงโดนลากออกจากงานให้ป๋าขายหน้าแน่ๆ วันนั้นผมของขึ้นถึงกับเดินออกมาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ป๋าต้องรีบตามมาโอ๋ให้ใจเย็นแล้วปฏิเสธเรื่องทางธุรกิจเด็ดขาดจนเจ้าของงานหน้าเสีย ซึ่งผมก็ยอมรับว่าค่อนข้างสะใจพอสมควร…แต่ก็นั่นแหละ ยอมรับว่าตอนนั้นผมยังเด็กและสิ่งที่ทำก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร พอคิดได้แล้วก็ยอมให้ป๋าคุยงานต่อแล้วรับคำขอโทษแต่โดยดี แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากไปออกงานไหนอีกแล้ว

ส่วนในกรณีของพี่ภู ถ้าให้ผมทำเพื่อเจ้าของงานเห็นทีคงจะยาก เพราะผมไม่สามารถแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้อยู่แล้ว เพราะงั้นทางเดียวที่ทำได้คือมองหาเหตุผลที่จะทำให้เราเต็มใจทำ

ผมจะยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบ...ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อคนที่ผมแคร์เท่านั้น

“กูมีสูทตัวเล็กอยู่ข้างหลัง ลองหยิบมาใส่ดู”

ก็เป็นซะแบบนี้...แล้วจะไม่ให้ผมชอบเขามากกว่าเดิมได้ยังไงกัน

งานเลี้ยงที่เรามาเข้าร่วมจัดที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งซึ่งมีการ์ดยืนอยู่ด้านหน้างานคอยตรวจสอบบัตรเชิญอย่างเคร่งครัด เท่าที่จำได้ตอนแอบมองชื่องานในโทรศัพท์พี่ภู ดูเหมือนงานนี้จะเป็นงานเครื่องเพชรแบรนด์ใหม่ เป็นงานของชาวต่างชาติที่เพิ่งจะมาเปิดธุรกิจที่ประเทศไทย

“บัตร” การ์ดในชุดสูทกับแว่นดำตามแบบฉบับการ์ดในการ์ตูนแบมือออก ผมได้แต่มองพี่ภูยื่นบัตรให้ตรวจเงียบๆ พร้อมกับสำรวจร่างกายผ่ายผอมของพวกนั้นไปพลางๆ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เขาเลือกคนยังไง หุ่นแห้งเป็นไม้จิ้มฟันไปหมด พี่ๆ คนของพ่อยังดูน่าเกรงขามกว่านี้เยอะเลย

“เดี๋ยว”

ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวเข้างานก่อนจะหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะรู้สึกไม่ชอบใจการพูดจาห้วนๆ แบบนี้เป็นที่สุด

“ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้”

“หมายความว่าไง”

“บัตรหนึ่งใบต่อหนึ่งคน” ว่าแล้วก็กางมือกั้นไว้ไม่ให้ผมเดินตามพี่ภูเข้าไป

คราวนี้ผมถอนหายใจยาวด้วยความขี้เกียจปิดบัง นึกรังเกียจเสียงและคำพูดนินทาจากคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังขึ้นมาในทันที...เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากออกงาน

“เขามากับผม” พี่ภูเดินกลับมาหา ขมวดคิ้วแล้วกวาดตามองทีเดียวพวกที่จ้องอยู่ก็หลบตากันเป็นแถว

“บัตรหนึ่งใบต่อหนึ่งคน” การ์ดตัวแห้งย้ำคำเดิม

“อืม” พูดจบแค่นั้นเขาก็เดินกลับมาดึงแขนผมให้เดินตามออกไปด้านนอกโดยไม่แคร์สายตาของใครทั้งนั้น อีกทั้งบัตรที่ถือไว้ยังปล่อยลงพื้นอย่างง่ายดาย ไม่สนใจคำว่า VIP ที่ปรากฏอยู่บนนั้นเลยสักนิด

“พี่ภู จะดีเหรอ”

ถึงผมจะดีใจที่เขาดูแคร์กันแต่ก็ยังนึกถึงความจำเป็นที่พี่ภูต้องมางานนี้อยู่ดี แล้วเล่นกลับมาแบบนี้จะไม่แย่เอาเหรอ

“ช่างเถอะ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะพาผมเดินกลับไปยังที่จอดรถ “ที่เชิญก็เพราะรู้จักแล้วเห็นกูอยู่ไทยพอดี ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรมากมายอยู่แล้ว”

“มิสเตอร์เดรค!”

ทั้งผมทั้งพี่ภูชะงักเท้าแล้วหันไปมองเสียงเรียกจากด้านหลังพร้อมกัน ที่ตรงนั้นมีชายชาวต่างชาติวัยกลางคนยืนอยู่ ท่าทางของเขาดูเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด

“คิดว่าจะไม่ทันแล้ว” เขาเผยรอยยิ้มกว้าง รีบเดินเข้ามาหาแล้วดึงมือพี่ภูไปจับไว้ “ต้องขอโทษจริงๆ ที่เสียมารยาท เชิญเข้าไปในงานก่อนเถอะครับ...คุณเองก็ด้วยนะ”

ผมสบตากับพี่ภู พอเห็นเขาพยักหน้าให้เลยเดินตามหลังไปเงียบๆ ตลอดทางที่เราเดินผ่านมีแต่สายตาจับจ้องมา ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเราได้เดินเข้ามาทางช่องทางพิเศษที่แทบไม่มีคน

ชายชาวต่างชาติที่ดูจะให้เกียรติพี่ภูมากๆ แนะนำตัวให้ผมฟังว่าเขาชื่อปีเตอร์ เป็นเจ้าของงานนี้ ตอนที่กำลังเดินไปรอบๆ เขาบังเอิญได้ยินแขกซุบซิบเรื่องพี่ภูเลยรีบวิ่งตามออกมาพร้อมทั้งขอโทษผมแทนการ์ดพวกนั้นด้วย เพราะจริงๆ แล้วแขกที่จำกัดว่าต้องมีบัตรใบละคนคือแขกทั่วไป แต่แขกวีไอพีแบบพี่ภูเขาจะใช้วิธีเชิญเป็นครอบครัวอยู่แล้ว ผมได้ฟังแล้วก็พยักหน้ารับนิ่งๆ พยายามไม่พูดอะไรเพราะต้องการรักษามารยาทให้ได้มากที่สุด

“รอบๆ งานมีการจัดแสดงเครื่องเพชรชุดใหม่ของผมอยู่ เชิญเดินดูแล้วก็รับประทานอาหารตามสะดวกเลยนะครับ” ปีเตอร์ยิ้มก่อนจะจับมือพี่ภูอีกครั้งแล้วเดินแยกไปหาแขกคนอื่น

“เขาดูเป็นคนดีนะ” ผมกระซิบกับคนข้างๆ ที่ยืนมองชุดเครื่องเพชรในตู้อยู่

“วงการนี้คนใส่หน้ากากเป็นเรื่องปกติ”

“แล้วพี่ไม่เป็นไรเหรอ…” ที่ต้องอยู่กับเรื่องแบบนี้นานๆ...ผมที่ไม่เคยโดนบังคับคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันแย่ขนาดไหน

“ชิน” พี่ภูตอบแค่นั้นแล้วเงียบไป ร้อนถึงผมที่ต้องพยายามหาเรื่องชวนคุยไม่ให้บรรยากาศแย่ๆ เข้ามาแทนที่

“วันนี้พี่ดูดีมากอ่ะ” ผมยกนิ้วโป้งยืนยันก่อนจะยิ้มแหยให้เมื่อคนฟังหันมามองด้วยสายตาเหมือนมองตัวประหลาด “จริงๆ”

“เหรอ”

ถึงจะทำเหมือนพูดไปเฉยๆ แต่จริงๆ ผมไม่ได้โกหกเลยสักนิด วันนี้พี่ภูดูดีมากจริงๆ...ทั้งผมที่เซตเป็นระเบียบซึ่งผมไม่ได้เห็นมานาน ทั้งชุดสูทสีดำล้วนที่เขาใส่อยู่ ทุกๆ อย่างทำให้เขาดูโดดเด่นจนเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คนที่เดินผ่าน

“เขาอาจจะคิดว่าเด็กนี่เข้ามาทำอะไรในงาน” ผมพูดขำๆ ก่อนจะกวาดตามองสภาพตัวเอง ถึงจะไม่ได้ย่ำแย่อะไรเพราะหน้าดี แต่เสื้อสูทตัวเดียวของพี่ภูก็ไม่ได้ทำให้ผมดูภูมิฐานขึ้นเลย

“เพราะมึงไม่พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่เองต่างหาก”

“ผมไม่อยากแก่”

“เด็กบ้า”

ไม่อยากแก่ก็ผิด…

ผมใช้เวลาไปกับการเดินตามติดพี่ภูเป็นลูกหมา ดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเขารวมถึงโดนสายตาดุๆ กดดันถึงได้ไม่มีคนกล้าเดินเข้ามาคุยด้วยเท่าไหร่นัก ผมเองก็ไม่สนใจเครื่องเพชรที่จัดโชว์แต่ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับการหยิบของกินตามทาง รู้ตัวอีกทีก็เต็มสองมือจนคนที่เดินนำต้องหันมาช่วยถือ

“แล้วบอกไม่ก้อน”

“ก็ไม่ก้อนจริงๆ อ่ะ” ผมขมวดคิ้วมุ่นแล้วก้มมองพุงตัวเองด้วยความกังวล ถึงจะเริ่มรู้สึกว่ากางเกงแน่นแต่ก็ยังไม่ถึงกับล้นออกมา จะว่าไป...วางแพลนออกกำลังกายไว้ตั้งนานแล้วแต่ผมยังไม่ได้เริ่มแบบจริงจังเลย

“กินดีๆ อย่าถือไปถือมา เดี๋ยวตกแตก” พี่ภูทำหน้าดุก่อนจะวางจานของผมลงบนโต๊ะใกล้ๆ

“ไม่อร่อยเลยอ่ะ”

“ก็ไม่ต้องกินแล้ว”

“แต่ผมหิว”

คนฟังถอนหายใจ เขาใช้แรงดึงจานออกไปจากมือผม พอจะยื่นมือไปเอากลับก็โดนเขาเอาหลบไปอีก

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...กระต่ายของพี่เวลาโมโหหิวกับโมโหง่วงมันน่ากลัวมากนะ

“เดี๋ยวอีกสักพักออกไปกินข้างนอก ไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืน”

ผมเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน หน้าตาที่บูดบึ้งกลายเป็นยิ้มกว้างแทน ในขณะที่คนมองหันหน้าหนีเหมือนจะบอกว่าไม่ให้พูดอะไรต่อ และถ้าถามว่าจะทำตามไหม…คำตอบคือไม่

“ดีใจจัง” ผมเดินไปอยู่ข้างๆ แล้วยื่นหน้าไปมองคนหน้าดุที่ก้มลงมองเครื่องเพชรที่จัดแสดงอยู่

“อะไรของมึง”

“เปล่า”

รู้อยู่แก่ใจก็พอว่าเขาแสดงออกว่าแคร์ผมมากกว่าเดิม ท่าทางก็ดูอ่อนลงหลายเท่า ถึงจะยังเป็นพี่ภูคนเดิมอยู่แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมเริ่มเจาะกำแพงน้ำแข็งของเขาได้แล้ว แถมท่าทางจะลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย

แต่ไม่หรอก...มันยังไม่พอ

เป็นคนที่อยากให้ใช่มันก็น่าดีใจ แต่ถ้าได้เป็นคนที่ใช่...ผมไม่อาจจินตนาการได้เลย...ว่าตัวเองจะมีความสุขขนาดไหน

“มึงคิดยังไงกับเครื่องเพชรชุดนี้” พี่ภูถามขึ้นมาลอยๆ สายตาของเขาจับจ้องตู้เครื่องเพชรอย่างตั้งใจจนผมต้องดึงสติกลับมาที่เดิม ถึงจะรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เขาดูสนใจเรื่องนี้แต่ผมก็ยังก้มลงมองตาม

ในตู้จัดแสดงที่เขากำลังให้ความสนใจมีเครื่องเพชรชุดหนึ่งจัดแสดงอยู่ มันเป็นเครื่องเพชรครบชุดที่ค่อนข้างสะดุดตา ถ้าเทียบกับตู้อื่นๆ ที่ผมมองผ่านๆ เครื่องเพชรชุดนี้แลดูจะมีความโดดเด่นมากที่สุด แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจนัก

“ชุดนี้ดีที่สุดในงาน” ผมกวาดตามองอีกครู่เดียวแล้วละสายตาออก “แต่ก็ยังอยู่ในระดับธรรมดา”

“ธรรมดา?”

“โดดเด่นด้วยดีไซน์ก็จริง แต่ก็ยังหาได้ทั่วไป” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเข้าไลน์ที่เคยคุยกับจ๋าทิ้งไว้ พอเจอรูปที่ต้องการก็ส่งให้พี่ภูดู “เหมือนกันไหม”

พี่ภูมองสลับไปมาสักพักเหมือนกำลังพิจารณา จากนั้นก็พยักหน้า

“เหมือนเกือบแปดส่วน”

“นั่นแหละ ผมถึงบอกว่าธรรมดา” ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วยักไหล่ด้วยท่าทางเฉยชาไร้ความสนใจเครื่องเพชรราคาแพงในตู้ “คนในงานนี้ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องเพชรเลยด้วยซ้ำ สักแต่มองมูลค่าที่แปะอยู่หน้าตู้”

“อืม”

“แต่พี่ก็เก่งนะที่รู้ว่าตู้นี้ดีที่สุด”

“แม่เลี้ยงกูชอบเครื่องเพชร” พี่ภูตอบเสียงเรียบก่อนจะเลิกสนใจเครื่องเพชร

จะว่าไปเหมือนเฮียเจย์ เลขาพ่อซีก็เคยบอกผมอยู่เหมือนกันว่าแม่...ไม่สิ...แม่เลี้ยงของพี่ภูชอบเครื่องเพชร

อืม...แบบนี้เข้าทางแม่น่าจะสะดวก

“ที่น่าสนใจคือ...ทำไมมึงถึงดูรู้เรื่องเยอะต่างหาก” เขาหรี่ตามองผม “พ่อแม่มึงทำงานอะไร”

ผมทำหน้าเหวอเมื่อรู้สึกเหมือนพี่ภูกดดันให้ตอบ คือเขาทำเหมือนกับผมพยายามปิดบัง ซึ่งมันไม่ใช่เลยสักนิด

“ผมไม่เคยบอกพี่เหรอ...ว่าป๋าเป็นพ่อค้าเพชร”

“...”

 

 

วันนี้เป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวัน ผมยิ้มกว้างเหมือนคนบ้าตั้งแต่เช้ายันมืด ยิ่งยามถอดเสื้อสูทแล้วหันไปเห็นคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยิ่งอารมณ์ดี

ใช่...ตอนนี้พี่ภูอยู่ในห้องผม

หลังจากที่เราขับรถกลับจากงานและแวะกินข้าวข้างทางเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าทางที่เรากลับมันผ่านหอผมพอดี ด้วยความเป็นคนดีระดับสิบและเห็นว่ามันดึกแล้ว ผมเลยทั้งตะล่อม ทั้งหลอกล่อ...หมายถึงชวนให้พี่ภูมาค้างด้วยกัน ตอนแรกเขาก็ทำท่าจะไม่เอา แต่พอโดนสะกิดให้ดูน้ำมันที่ใกล้หมดรวมถึงโดนคะยั้นคะยอสารพัดว่าไม่อยากให้ขับรถคนเดียว สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามที่บอก

‘ผมเป็นห่วง’

น่าจะเป็นคำนี้ที่ทำให้เขายอม แต่จริงๆ ผมพูดไม่หมด ควรจะบอกว่า ผมเป็นห่วง...และผมอยากนอนกับพี่ แบบนี้น่าจะตรงประเด็นกว่า

“พี่ภู” ผมหันไปหาคนที่นั่งบนเตียง ตาเป็นประกายเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก “ไปเดินเล่นกันไหม”

“ตอนนี้?” คนที่กำลังกดโทรศัพท์เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามึงบ้าเหรออะไรแบบนั้น

“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

“ทำไม”

ผมไม่ตอบคำถามแต่ดึงมือคนที่ยังอยู่ในชุดสูทเต็มตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะพาเขาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน จริงๆ ห้องของผมอยู่ชั้นบนสุด ชั้นต่อไปคือชั้นดาดฟ้าที่ไม่มีคน เจ้าของหอบอกว่าเคยเปิดเป็นที่นั่งเล่นให้คนขึ้นไปนั่งชิล แต่พอไม่ค่อยมีคนขึ้นไปเลยไม่ได้บำรุงรักษาแล้วปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น...และที่นั่นคือจุดหมายของผม

ประตูดาดฟ้าที่ไม่ได้เปิดใช้มานานส่งเสียงดังแอดอย่างน่ากลัว จำได้ว่าปีก่อนที่ผมเคยขึ้นมามันยังไม่เป็นขนาดนี้นะ สงสัยว่าจะร้างมากจริงๆ

“ถึงแล้ว”

“ดาดฟ้า?” พี่ภูเปรยเบาๆ ก่อนจะก้าวนำผมไปด้านหน้าแล้วมองบรรยากาศสบายๆ รอบกายด้วยสายตาแปลกใจ

ตอนนี้ดึกมากแล้วก็จริง แต่ด้วยแสงสีอะไรหลายๆ อย่างทำให้ท้องฟ้าและพื้นที่บริเวณนี้ไม่มืดอย่างที่คิด ออกจะดูผ่อนคลายและน่ามองเสียด้วยซ้ำ ผมดึงแขนคนที่ยังยืนนิ่งให้เดินไปริมราวดาดฟ้าก่อนจะพยักพเยิดให้เขาถอดเสื้อสูทออกรับลม ซึ่งคนหน้าดุก็ยอมทำตาม เขาถอดเสื้อตัวนอกพาดไว้ที่บ่า จากนั้นก็ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองไปในทิศทางเดียวกับผม

“ปีที่แล้วผมชอบขึ้นมานั่งฟังเพลงคนเดียวที่นี่ แต่พอเริ่มมีกิจกรรมเยอะก็เลยเหนื่อย ถึงหอทีไรหลับเป็นตายตลอด”

“กินๆ นอนๆ มิน่า…”

“พี่นี่!” ผมหน้าตึง อยากจะหันไปตีคนพูดสักที แต่เพราะเป็นเขาเลยทำไม่ได้ ต้องยืนฟึดฟัดอยู่คนเดียวแบบนี้ “เอะอะก็ว่าอ้วนตลอด”

“ยังไม่ได้บอกเลยสักคำ...” พี่ภูยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มแก้มผม “ว่าอ้วน”

“ถ้าไม่ใช่พี่นะ…” ผมหรี่ตามองคนหน้าดุ

“จะทำไม”

“จะเชือดทิ้ง!”

พี่ภูแสร้งทำหน้าตกใจหน่อยๆ เขากวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาความมั่นใจที่เคยมีลดหายไปเกือบครึ่ง

“อย่างมึงเนี่ยนะ…”

“กับคนอื่นเขากลัวผมกันทั้งนั้นล่ะ” ผมบอกด้วยความมั่นใจแล้วชูคอขึ้นนิดๆ ให้ดูสูงส่ง แต่ลืมไปว่าชูยังไงก็เตี้ยกว่าเลยได้รับสายตาขบขันตอบกลับมาจากคนมองแทน...เอาซะหดคอแทบไม่ทัน

“เผอิญว่าเป็นกู”

“เผอิญว่าพี่ไม่ใช่คนอื่น” ผมแก้ให้ถูก แต่กลับโดนดึงแก้มไปหนึ่งทีโดยไร้เหตุผล

พี่ภูส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับวิวตรงหน้าแทน ผมเห็นเขาไล่สายมองตั้งแต่ด้านล่าง ลามไปยังตึกต่างๆ ย่านการค้าที่ห่างออกไป และสิ้นสุดอยู่ที่ท้องฟ้ามืดมิดที่มีแสงจากดวงดาวเป็นประกายสะท้อนลงมา โชคดีแล้วที่ขึ้นมาแล้ววันนี้ท้องฟ้าเปิดทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวได้เยอะกว่าปกติ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้มองเห็นใบหน้าผ่อนคลายของเขาอีกเมื่อไหร่

ผมปล่อยให้พี่ภูมองท้องฟ้า ส่วนตัวเองหยิบเรดที่พาดคอไว้ยัดใส่หูแล้วเปิดเพลงคลอเบาๆ แบบที่ชอบทำ จากนั้นก็เท้าแขนไว้กับราวระเบียงแล้วมองออกไปในทิศทางเดียวกับเขา เสียงเพลงที่ดังเบาๆ ในหูกับบรรยากาศตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก สบายใจจนเผลอหลับตาแล้วเงยหน้ารับลมเป็นเวลานาน

มารู้สึกตัว...ก็ตอนที่ใครอีกคนเอื้อมมือมาดึงหูฟังออกไปข้างหนึ่ง

“พี่ภู?”

เขาไม่ตอบแต่ยัดหูฟังข้างนั้นใส่หูตัวเอง ผมที่อึ้งไปตอนแรกหลุดยิ้มออกมาแทบจะทันทีก่อนจะโดนมือใหญ่ของคนที่เหลือบตามองผลักให้หันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง

ความเงียบที่ดำเนินผ่านไปไม่ได้น่าอึดอัดใจเลยสักนิด เพราะนอกจากจะมีเสียงเพลงเบาๆ คลออยู่ในหู ผมยังรับรู้ได้ว่าเรากำลังใกล้กันมากกว่าเดิมด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเรายืนฟังเพลงกันแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่ แต่จวบจนเพลงสุดท้ายจบลง ความเงียบเข้ามาครอบคลุมแบบสมบูรณ์แบบ เราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม…และใส่หูฟังไว้คนละข้างอยู่อย่างนั้น

“ทุกครั้งที่เจอกัน…” พี่ภูพูดขึ้นมาช้าๆ “มึงพาดหูฟังอันนี้ไว้ที่คอตลอด”

“มันชื่อเรด” ผมยิ้มเมื่อนึกถึงตอนที่ได้มันมา “ป๋าซื้อให้ผมตอนวันครบรอบ”

“ครบรอบ?”

“อื้อ...ครบรอบวันตายของไข่อูฐ”

“อะไรนะ” พี่ภูถามย้ำ เขาถอดหูฟังออกแล้วหันมามองหน้า ผมเลยจำต้องถอดตามแล้วหันไปหา “ไข่อูฐ?”

“หมาตัวแรกของผมอ่ะ”

“...”

ผมทำหน้างงเมื่อพี่ภูเงียบไป หน้าตาผ่อนคลายของเขากลับไปตายด้านเหมือนเดิม ท่าทางราวกับได้ยินอะไรแสลงหูสุดๆ ซึ่งผมลองทบทวนตัวเองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะพูดอะไรผิด

“ไข่อูฐ…” ยังไม่ทันพูดขยายความคนที่ยืนนิ่งก็ยกมือห้าม ผมเลยต้องหุบปากฉับตามคำสั่ง

“ข้ามชื่อนี้ไปที”

“ทำไมอ่ะ...มันมีสตอรี่นะพี่”

“บอกให้ข้ามก็ข้ามเถอะ” พี่ภูกลอกตา ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าถ้าผมพูดเรื่องนี้ต่อเขาจะผลักผมตกดาดฟ้าแน่นอน

“ก็...ป๋าซื้อให้เพราะผมเสียใจที่ไข่...ที่หมาตาย ผมเลยมองเรดเป็นเหมือนเพื่อนอีกคน พกไปไหนติดตัวมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เจ๊งเลยนะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ” ผมยิ้มอวดๆ ด้วยความภูมิใจ

“ก็ไปถามป๋ามึงสิว่าซื้อมาเท่าไหร่…” เขาพึมพำเบาๆ แต่พอเห็นผมตั้งท่าจะถามต่อก็หันหน้าหนีไปอีกทาง

“พี่…”

“เล่าอีก”

“หา”

“เรื่องของมึง…” เขาพูดต่อโดยไม่หันมามอง ในขณะที่ผมได้แต่เบิกตากว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ความตื่นเต้นดีใจวิ่งพล่านอยู่ในอกจนรู้สึกปวดไปหมด

“รอแป๊บ” ผมบอกก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหารูปที่ต้องการแล้วยื่นให้คนข้างๆ ดู

“หมา?”

“หมาผมเอง น่ารักไหม”

“ทำไมเยอะแบบนี้” พี่ภูขมวดคิ้ว เขากวาดตามองโทรศัพท์ผมด้วยความแปลกใจก่อนจะชี้นิ้วไปที่ปอมเมอเรเนียนสีขาวฟูตัวหน้าสุด “ตัวนี้เหมือนกระต่าย...เหมือนมึง”

เดี๋ยวๆ

“มันชื่อฮันโซ” ผมเมินคำพูดพี่ภูแล้วไล่บอกชื่อหมาให้เขาฟังแทน

“ตัวที่เหลือคงไม่ใช่…”

“ชิบะตัวนี้เก็นจิ โกลเด้นตัวนี้แมคครี ฮัสกี้ตัวนี้ดีว่า แล้วก็ร็อตไวเลอร์ตัวสุดท้ายเมอร์ซี่ เท่มะ”

“...”

ผมฉีกยิ้มให้คนที่ยืนทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ อยากจะถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าแต่ก็พอจะเดาได้ สงสัยตกใจที่ผมมีความสามารถในการตั้งชื่อสูงส่ง

“ไม่มีลูซิโอ้เหรอ”

“พี่โคตรรู้ใจผมอ่ะ!” ผมเบิกตากว้าง เปลี่ยนรูปในมือเป็นชิบะแล้วยื่นให้เขาดู “จ๋าส่งมาให้ผมดู บอกว่าเก็นจิกำลังท้อง ผมก็ว่าจะตั้งชื่อลูกมันว่าลูซิโอ้อยู่เลย”

“ชื่อเก็นจิ...แต่ท้อง?”

“ก็ใช่ไงพี่ มีแค่ดีว่ากับเมอร์ซี่ที่เป็นตัวผู้” ผมสลับรูปให้เขาดู แต่พอเงยหน้ามองก็ต้องงงเมื่อพบว่าพี่ภูทำหน้านิ่งเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

“เอาชื่อมาจากเกมแล้วยังเสือกสลับเพศอีก...กูจะด่ามึงว่าอะไรดี”

“เราต้องรู้จักสร้างความแตกต่างไง” ผมหัวเราะเสียงดังด้วยความอารมณ์ดี จำได้ว่าตอนบอกไอ้โซมันก็พูดแบบนี้เหมือนกัน “จ๋าบอกผมว่า ถ้าสิ่งที่เราทำมันแตกต่าง แต่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไปเถอะ”

“กูรู้แล้วว่าไม่ใช่คำสอนของแม่มึงหรอกที่ผิด” พี่ภูพูดหน้าตายก่อนจะยื่นมือมาจิ้มหน้าผากผมแรงๆ จนเกือบหงายหลัง “วิธีคิดมึงนั่นล่ะที่ผิด”

“ทำไมเหมือนโดนด่าเลย”

“ก็ด่าไง”

ผมร้องอ๋อดังๆ แล้วลากเสียงยาวกวนตีนจนโดนมือพิฆาตตบลงมากลางหน้าผากเสียงดัง ลำบากตัวเองต้องยกมือลูบหน้าผากให้หายแสบอีก

“ชอบเล่นแรงอ่ะ”

“แล้วโกรธไหม” คนที่ควรโดนโกรธยกยิ้มน้อยๆ สายตาเป็นประกายแวววาวเหมือนจะถามว่าโกรธลงเหรอ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของผมคือ…

“ไม่”

ใครจะโกรธลงกัน

พี่ภูหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันออกไปมองด้านนอกอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูอารมณ์ดี สังเกตได้จากรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของเขา เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมอารมณ์ดีตามไปด้วยแล้ว ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่าครั้งนี้ผมสบายใจมากกว่าครั้งก่อนที่เคยขึ้นมาบนนี้เสียอีก บรรยากาศเองก็ดีกว่ามาก…เหมือนทุกอย่างเป็นใจไปหมด

ในระหว่างที่กำลังมองท้องฟ้า อยู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่พัดผ่านเข้ามาจากด้านข้าง ผมรีบหลับตาเพราะกลัวฝุ่นเข้าตา เส้นผมตีหน้าจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ก่อนจะได้ยกมือขึ้นจัดทรง ใครอีกคนก็คว้าไหล่ให้หันไปหาแล้วใช้มืออีกข้างช่วยเกลี่ยผมให้ช้าๆ

“ทำไมถึงทำขนาดนี้”

“หือ”

“ทำไมถึงทำเพื่อกู…”

ผมเงยหน้าสบตาคนถาม จ้องมองดวงตาสีเทาดุที่ดูอ่อนลงหลายส่วนด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย คำถามที่เขาถาม ผมเองไม่เคยคิดหาคำตอบ แต่เมื่อได้ยิน...ได้สบตา...ความรู้สึกมากมายกลับล้นทะลักจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาถึงจะตรงกับความรู้สึกจริงๆ มากที่สุด

“กูไม่ได้มีอะไรดีพอ…”

ผมหยุดคำพูดของพี่ภูด้วยการกุมมือของเขาที่ละอยู่ตรงแก้มผมไว้

มาบอกว่าอยากให้เป็นคนที่ใช่ เปิดทางให้กันถึงขนาดนั้น...แล้วทำไมผมต้องทิ้งโอกาสที่ได้มา ที่ไม่พูดถึงไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะรู้สึกมากเกินไปถึงพยายามไม่นึกถึง กลัวว่าจะไปแสดงอาการน่าอายให้เห็น

"ที่ผมทำทุกอย่าง อยากรู้ไปทุกเรื่อง คอยวนเวียนอยู่ไม่ห่าง มันเป็นเพราะผมอยากอยู่ใกล้พี่...อยากเป็นเหมือนอากาศที่ทำให้พี่สบายใจ”

มองไปทางไหนก็เจอ แค่หลับตาก็ทำให้รู้สึกดี

 “...”

“แย่หน่อยที่ผมเป็นคนโลภมาก เลยไม่อยากเป็นแค่อากาศที่ไร้ตัวตน...”

เพราะคนอย่างผมก็มีความเห็นแก่ตัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ…ผมไม่อยากเป็นแค่อากาศที่วนเวียนอยู่รอบกายแต่กลับไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ

“...”

ผมกดมือใหญ่นั้นให้แนบแก้มพร้อมกับเอียงคอรับสัมผัสอบอุ่นที่ชื่นชอบ ก่อนจะช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งอัดอั้นอยู่ในใจ

“แต่อยากเป็นอากาศที่พี่รู้ว่ามี"

 

-----------------------


TALK : จริงๆ นังก้อนมันไม่ได้อ้วนนะคะ 5555 มีตอนนึงนางบอกแล้วว่านางสูง179หนัก60 คือมันไม่ได้อ้วนเลยนะ พี่ภูแค่แกล้งบ่อยไปนิดจนนางเริ่มไม่แน่ใจเฉยๆ ฮ่าๆ


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 18-07-2017 19:12:32
งือออ ตอนท้ายมันน //เขิลม้วนตัวว ///---///
เจ้าก้อนดาเมจมากกก เอามือพี่ภูแนบจับไว้ที่แก้มแล้วช้อนตามอง ช็อตนี้ข้าตายแล้วว  :jul1:
เจ้าก้อนรวยกว่าที่คิดนะเนี่ย มานั่งคิดๆดูแล้วเจ้าก้อนก็ดูเหมือนลูกคุณหนูจริงๆแหะ
ชักอยากรู้แล้วซิว่าป๋ากับจ๋าเลี้ยงมายังไง  :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 18-07-2017 19:21:58
ตอนก่อนเขินพี่ภูตอนนี้เขินเก้าแทน  :-[  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-07-2017 19:22:38
 :m31:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 18-07-2017 19:48:23
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 18-07-2017 20:32:36
เป็นอะไรที่ดีงามมมม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 18-07-2017 20:36:02
ประโยคสุดท้ายมัน... :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 18-07-2017 20:51:59
อ่อยไปให้สุดน่ะก้อนน พี่ภูเขาใจอ่อนโคตรๆแล้วว :mew4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 18-07-2017 21:32:32
ต้องถามพี่ภูว่ายังโอเคอยู่ไหม?? เจอพลังก้อนดาเมจอย่างรุนแรง 55555 ก้อนนี่เราเดาไว้อยู่ละว่ารวย แต่ก็น่าจะรวยมากระดับหรึ่ง แต่แค่ยังไม่รู้อาชีพของป๋ากับจ๋าแค่นั้นเอง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 19-07-2017 09:49:12
อะไรมันจะหวานขนาดนี้นะ
อิจฉาจังเว้ยยยยยยยย
พี่ภูยิ้มเก่งขึ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 19-07-2017 14:00:47
ความเก้านี่มันน่ารักจริงๆ
ตอนนี้หวานนิดๆอบอุ่นหน่อยๆ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-07-2017 14:36:33
นางน่ารักนะ รีบรับเลี้ยงเถอะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 19-07-2017 21:15:00
ลำไยนังก้อนยิ่งนัก
วาสนาดีมากๆ
ฮืออออ พี่ภูของน้อง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 19-07-2017 21:39:54
เขิน มีการช้อนตามองพี่ภูซะด้วยนะน้องเก้า  :-[
พี่ภู เปิดใจให้น้องมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้ว เริ่มหวานนิด ๆ
ชื่อน้องหมาแต่ละตัวของน้องเก้านี่สุด ๆ 555 นี่อยากรู้สตอรี่ชื่อของ ไข่อูฐ มากเลย
แล้วที่มาของเรด ก็มาจากน้องไข่อูฐนี่เอง คุณป๋าซื้อให้ด้วย ยิ่งสำคัญมาก ๆ
ป๋าน้องเก้า เป็นพ่อค้าเพชรเหรอเนี่ย จริง ๆ คิดว่าเป็นพวกนักการเมือง หรือ มาเฟียซะอีก
พี่ภู มาค้างห้องน้องเก้าครั้งแรก เขาจะนอนกอดกันไหมน้า >////<
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 23-07-2017 20:05:35
มันก็จะหวานๆอยู่หน่อยไ อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 25-07-2017 18:43:27


-20-

 

“ไอ้เก้า ตั้งใจซ้อมหน่อยสิวะ เป็นอะไรของมึง”

ผมมองพี่วินด้วยตาลอยๆ ก่อนจะพรั่งพรูลมหายใจใส่หน้าแกด้วยความหงุดหงิด เล่นเอาพี่ชายคนดีผงะถอยหลังจนลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น

“เหี้ย...เจ็บตัวอีกกู”

“พี่แม่ง...เฮ้อ” ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านแปดก่อนจะเอนกายลงนอนยาวเหยียดบนโซฟาโดยไม่ลืมพลิกเข้าหาพนังแล้วขดตัวเป็นก้อนแบบที่ชอบทำ

“กูผิดอะไรเนี่ย…”

“มันผีเข้า” ไอ้โซที่ดีดกีตาร์อยู่ข้างๆ ตอบแทนแล้วยื่นมือมาผลักหัวผม แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ไปสนใจมันนัก เพราะตัวเองยังหาทางออกไม่ได้เลย

“มันเป็นอะไรของมัน”

“ผัวทิ้ง”

“หาาาาา”

“ไม่ได้ทิ้งเว้ย!” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วฟาดหมอนรองคอส่วนตัวใส่หน้าเพื่อนเวรที่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำ อีกอย่าง… “เขาไม่ใช่ผัวกูสักหน่อย”

ตอนนี้อ่ะนะ…

เรื่องของเรื่องคือผมเพิ่งนึกได้ว่าพี่ภูจะกลับอังกฤษตั้งแต่จบเทอมหนึ่งและเขาบอกภามไว้แล้วด้วย ตอนนั้นผมอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องมองส่วนรวมมากกว่าเลยไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกใจหายหน่อยๆ แต่พอกลับมาคิดตอนอยู่กับตัวเองเลยรู้ว่าผมไม่โอเคมากๆ

แน่ล่ะว่าผมรวย...แต่อังกฤษกับไทยมันห่างกันน้อยเสียเมื่อไหร่ ไม่ใช่กรุงเทพกับภูเก็ตนะที่จะบินไปหาได้ทุกเวลาที่ต้องการ

นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เขามาค้างที่หอผม แถมวันนั้นยังผิดแผนเพราะพี่ภูยอมลงไปนอนที่พื้นอีกต่างหาก ผมจะห้ามก็ห้ามไม่ทันเพราะเขาเอนตัวนอนแล้วก็หลับไปเลย ทำเอาไม่กล้ากวนต่อ บางทีก็เกลียดความรู้ทันของเขาเหลือเกิน ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยนะ...แค่อยากแต๊ะอั๋งนิดๆ หน่อยๆ เอง

แต่ถึงจะไม่ได้เจอกันก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้าง อย่างเช่นการที่เขาทักมาบอกผมด้วยตัวเองว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามหา’ลัยแล้วเพราะมีเรียนแค่ไม่กี่คาบ คนอื่นๆ เตรียมตัวฝึกงานกันหมด หรือบางทีถ้าผมทักไปแล้วขี้เกียจตอบ เจ้าตัวก็ไม่ได้ส่งแค่สติกเกอร์กระต่ายอ้วนหน้านิ่งกลับมาแล้ว...แต่พัฒนาเป็นการส่งสติกเกอร์กระต่ายอ้วนทำท่าทางอย่างอื่นมาด้วย

เอาเถอะ...อย่างน้อยผมก็ยังรู้บ้างว่าเขาตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

“เลิกหงอยแล้วมาซ้อมมา” พี่วินส่งเสียงเรียกอีกครั้ง แต่ผมยกหมอนปิดหู ทำตัวเป็นซูชิอยู่บนโซฟาโดยการเอาผ้าห่มส่วนตัวคลุมโปงไว้

“จะนอน”

“มึงปล่อยมันไปเถอะไอ้วิน มันจำเพลงได้หมดแล้ว”

ผมเห็นด้วยอยู่ในใจเมื่อได้ยินคำพูดของเฮียเจมส์ ก็ตามนั้นล่ะ...ผมจำได้หมดแล้ว แทบจะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องซ้อมเลยด้วยซ้ำ ถึงการซ้อมจะทำให้รู้จังหวะมากขึ้น แต่แค่นอนฟังคนอื่นเล่นผมก็จำได้แล้ว

“ถ้าแม่งไม่ได้เก่งกูจะตบกะโหลกสักสามที” พี่วินบ่นเบาๆ ก่อนเสียงจะออกห่างไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าแกคงยอมแพ้แล้วเลยเลือกเดินกลับไปดูคนอื่นซ้อม

แต่พอเสียงกวนๆ หายไปเพราะคนอื่นหันไปตั้งใจซ้อม ผมก็กลับมาบ่นนั่นบ่นนี่ในใจเหมือนเดิม

เทอมนี้ผมเหลือเวทีที่ต้องขึ้นอีกงานเดียว เพราะพี่วินกระจายงานให้คนอื่นทำหมดแล้ว แต่เวทีที่ว่าคือเวทีใหญ่ เป็นเวทีประกวดวงดนตรีของมหา’ลัยที่จะจัดสองปีครั้ง ผมไม่ได้ลงประกวดในฐานะผู้สมัคร แต่เป็นหนึ่งในผู้จัดงานและอยู่ในนามกรรมการ ส่วนที่ต้องขึ้นเวทีคือการแสดงเปิดงานของวงดนตรีมหา’ลัย

ผมขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ เสียงดนตรีที่ซ้อมกันเงียบลง สิ่งที่กำลังคิดในใจหยุดชะงักลงตามไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พร้อมจะหันไปสนใจมองเพราะรู้สึกขี้เกียจ

“ไอ้เก้า…”

“ไม่ฟัง”

“สัตว์” สิ้นประโยคด่าของเพื่อนสนิท ผ้าห่มที่ผมคลุมตัวไว้ก็ถูกกระชากออก มันไม่ได้กระชากธรรมดา แต่กระชากจนตัวผมกลิ้งตกโซฟาลงมาด้วย ผมลูบสะโพกตัวเองแล้วตวัดตามองไอ้โซตาเขียว อยากจะกระโดดถีบยอดหน้าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่ข้างมัน

คนที่ทำให้จิตใจผมเตลิดไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยืนทำหน้าตายอยู่ข้างไอ้โซ เขาไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแต่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขน ดูแล้วน่าจะไปทำงานมาเพราะวันนี้เขาเซตผมเหมือนตอนไปงานไม่มีผิด

“พี่ภู” ผมแทบจะลอยตัวไปเกาะแขนคนหน้าดุ พอจับได้แล้วก็เขย่าๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “ไม่เจอกันเลย”

“แหมมมมมมมมมม”

จะแหมไปให้ถึงดาวอังคารเลยมะ

ผมมองพวกที่แหมขึ้นมาพร้อมกันทั้งห้องเหยียดๆ ก่อนจะเบะปากแล้วเลิกสนใจพวกมัน หันมาสนใจคนที่ยังคงยืนนิ่งแทน

“มาๆ มานั่งเลย ตรงนี้ที่ผมเอง” ผมดึงแขนพี่ภูไปที่โซฟาประจำตัว กวาดผ้าห่มประจำตัวกับหมอนประจำตัวไปติดมุมหนึ่งแล้วนั่งลงตาม

“ได้ข่าวว่านั่นผ้าห่มกู”

“นั่นก็หมอนกู”

“โซฟาก็ของชมรมกู”

ผมเมินเสียงเพื่อนที่พูดแทรกขึ้นมาแบบจงใจให้ได้ยิน หันมาหยิบน้ำหยิบขนมที่พกไว้ในกระเป๋าออกมาส่งให้พี่ภูแทน

“อันนี้ลูกอมชาเขียว ป๋าส่งมาจากญี่ปุ่น พี่ลองกินดู”

“หูววว ไอ้เก้ายอมให้คนอื่นกินชาเขียวว่ะ”

“พวกมึงไปซ้อมไป!” หันไปตวาดจนพวกมันหัวเราะแล้วยอมกลับไปซ้อมแล้วผมก็กลับมาสนใจคนข้างตัวอีกครั้ง พี่ภูยังคงมองรอบด้านด้วยความสนใจแต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ จวบจนสายตาคมเบนมาสบผมพอดีและผมยิ้มให้ เขาถึงได้เริ่มพูดออกมา

“เพิ่งกลับจากต่างจังหวัด”

“พี่เลยแวะมาหาผมเหรอ”

“ปะ…” คนที่โดนผมจ้องเขม็งชะงักคำพูดไปก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “อืม”

“เย้!” ผมชูสองมือ ทำตัวเหมือนเป็นเด็กๆ ทั้งหมดเพื่อให้ได้รับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของเขาเหมือนในตอนนี้ “แบบนี้สิพูดความจริง”

“ไม่คิดว่ากูพูดให้มึงดีใจเลยหรือไง”

“แบบนั้นก็ดีกว่าเดิมอีกสิ” ผมอธิบายก่อนจะขยับตัวให้ชิดเขามากกว่าเดิมแล้วค่อยพูดต่อ “ถ้าพี่พูดให้ผมดีใจ แสดงว่าพี่แคร์ผมมากกว่าเดิมไง แบบนั้นดีกว่าอีก”

คนฟังทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายเหมือนไม่รู้ว่าควรตอบอะไรแต่สุดท้ายเขาก็ยังใจดีพยักหน้าให้

“เออ เอาที่มึงสบายใจ”

เผื่อไม่รู้...เอาที่สบายใจคือรูปแบบของประโยคซึ่งบ่งบอกว่าผู้พูดจะตามใจเรา เวลาได้ยินจงพึงระลึกไว้ว่าควรขอบคุณ

“ขอบคุณครับ”

พี่ภูไม่ตอบแต่กดหัวผมให้เอนตัวลงนอนกับโซฟา จากนั้นก็นวดขมับให้ผมเบาๆ ถึงมันจะให้ความรู้สึกสบายใจแปลกๆ แต่บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกไม่ดีเลย มันเหมือนเขากำลัง…

“จูนสมองให้เหมือนคนปกติหน่อย”

นั่นไงล่ะ

ผมมุ่นคิ้วแต่ก็ยอมให้พี่ภูนวดต่อเพราะมันรู้สึกสบาย รอจนเขายอมถอนมือออกไปเองแล้วผมถึงผงกหัวขึ้นมาคุยต่อจากที่คุยทิ้งไว้ พอคิดอะไรแล้วอยากพูดแต่ไม่ได้พูดมันจะรู้สึกแปลกๆ ทุกที

“พี่รู้จักของแรร์ไหม”

พี่ภูทำท่าทางสนใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะบอกให้พูดต่อ

“คนแรร์มันคือของหายาก...แสดงว่าแตกต่างจากของทั่วไปใช่ป่ะ เวลาพี่มีของแรร์ที่ไม่เหมือนใคร พี่จะอยากทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนของปกติเหรอ”

“ก็ไม่…”

“ถูกต้อง…” ผมพยักหน้ายืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดถูกต้องแล้วจากนั้นก็ทำหน้าตาจริงจังใส่ “ผมเนี่ยซุปเปอร์แรร์ รู้แบบนี้แล้วพี่ยังอยากให้กลับไปเป็นคนปกติอีกเหรอ...โอ๊ย!”

“อีกสักทีไหม”

ผมยกมือห้ามไม่ให้คนใจร้ายยื่นมือมาดีดหน้าผาก ส่วนอีกมือก็ลูบๆ คลำๆ หน้าผากตัวเองป้อยๆ เขาไม่ได้ดีดธรรมดานะ แต่ดีดแบบเต็มไม้เต็มมือเต็มแรง ทำเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองแรงเยอะขนาดไหน

“ทำไมชอบทำร้ายร่างกาย เดี๋ยวสึกหรอไปหาใหม่ไม่ได้แล้ว...โอ๊ย!”

“หึ”

สองที!...เขาดีดหน้าผากผมสองทีแล้วนะ!

“ชอบทำร้ายร่างกาย” ผมบ่นแล้วเอาสองมือปิดหน้าผากตัวเองไว้ ไม่ให้เหลือช่องว่างพอจะให้เขาทำร้ายได้อีก แต่ลืมไปว่าตัวไม่ได้เล็กๆ ปิดยังไงก็ปิดไม่หมดเลยโดนหยิกแก้มจนร้องโอดโอยแทน

ย้ำว่าหยิก ไม่ใช่ดึงแบบน่ารักๆ

“กระต่ายบางตัวมันชอบให้เล่นแรง” เขาตอบหน้าตายก่อนจะออกแรงหยิกซ้ำอีกทีจนผมต้องตีมือให้เอาออกแล้วมองเคืองๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” ว่าแล้วก็ลูบๆ แก้มเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้ชอบเลยสักนิด

“เหรอ...เห็นกูทำร้ายทีไรทำหน้าฟินตลอด”

“เดี๋ยวๆ” ผมยกมือห้ามไม่ให้พูดต่อก่อนอะไรๆ มันจะไปไกลกว่านี้ ส่วนคนพูดพอเห็นผมทำหน้ายุ่งจริงจังก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี

ไม่ไหว...จะทางคำพูดหรือการกระทำ ผมสู้เขาไม่ไหวเลยสักทาง

ถ้าจ๋ารู้ว่าคุณอชิราแพ้คนอื่น ไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง

“พี่ภูครับ” ไอ้เปรมที่มาจากไหนไม่รู้คลานเข่าเข้ามาเกาะโซฟาอยู่ข้างๆ พอเห็นผมหรี่ตามองเป็นเชิงด่าที่มาขัดจังหวะมันก็รีบหลบสายตาหันไปมองพี่ภูเหมือนจะร้องไห้ใส่ “ช่วยผมด้วยเถอะครับ”

มาขอให้ช่วยมึงถึงกับคลานเข่า...ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ไหม

พี่ภูยังคงทำหน้าตาเย็นชาเหมือนเดิม แต่ผมสัมผัสได้ว่าเขาดูเกร็งขึ้นเล็กน้อย แค่นั้นก็พอจะเดาได้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังทำอะไรไม่ถูก เหมือนเขาคิดว่าคำพูดตัวเองอาจจะดูใจร้ายเลยยอมเงียบดีกว่า

“พี่วินกับพี่ๆ คนอื่นๆ บอกให้ผมเป็นหน่วยกล้าตายมารบกวนเวลา...คือ...พวกเขาอยากให้พี่ช่วยบอกให้พี่เก้าไปซ้อมรวมวงครับ” ไอ้เปรมจ้องพี่ภูเขม็งไม่ยอมหันมาสบตาผม พอจะรู้อยู่หรอกว่ามันกลัว แต่ไม่เห็นต้องทำเหมือนผมเป็นยักษ์ขนาดนั้นเลย

“กูไปซ้อมก็ได้ ไม่เห็นต้องกลัวขนาดนั้น” ผมบ่นมันเบาๆ ได้ยินเสียงไอ้เปรมร้องเย้ ยกมือไหว้พี่ภูทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรก่อนจะวิ่งหนีไปซ้อมต่อ ผมมองตามความไวระดับสิบของมันแล้วก็ได้แต่ขำ เหมือนพี่ภูจะยังงงๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ

“ไปซ้อมไป” เขาโบกมือไล่

“พี่รอก่อนนะ ซ้อมไม่นาน เดี๋ยวไปหาข้าวกินกัน” ผมรอจนเขาพยักหน้าตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง วิ่งไปหาพวกพี่วินอย่างรวดเร็วจะได้ซ้อมเสร็จไวๆ โดนไอ้โซมองแรงยังไงก็ไม่สน

ณ จุดๆ นี้มีความสุขมากบอกเลย ส่วนเรื่องที่เครียด...เอาไว้ก่อนแล้วกัน

ผมเริ่มซ้อมดนตรีโดยการเล่นตามเพลงที่วางแผนกันไว้ ใช้เวลาไม่นานก็เข้ากับพวกมันได้เพราะนอนฟังจังหวะมานานแล้ว จุดไหนที่คิดว่าควรปรับก็บอกพวกมัน โชคดีที่ผมเก่งเลยไม่โดนอะไรมาก ออกคำสั่งอย่างเดียวก็ว่าได้ แต่ไอ้เปรมที่เข้ามาดูการซ้อมเฉยๆ โดยพี่วินด่าเละเทะ เพราะมันบอกให้พี่แกสอนเล่นกีตาร์ แต่ตัวเองทำอะไรไม่ดีสักอย่าง เล่นยังไงก็ไม่ได้เรื่อง ดีที่มันร้องเพลงเพราะ ถ้าไม่นับผมมันก็น่าจะเป็นคนที่เสียงดีที่สุดในตอนนี้

“มึงเบาหน่อย ทำไมมือหนักนักวะ” ผมหันไปบ่นไอ้มือกลองที่เพิ่งเคยเล่นด้วย เหมือนมันจะเป็นเด็กปีหนึ่งที่มีฝีมือแต่ออกจะเอาสนุกเกินไปหน่อย พอผมพูดจบมันก็ชักสีหน้า เห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ อยากจะถามว่ามีสิทธิ์ทำด้วยเหรอ…กิจกรรมก็ไม่เข้าร่วม เพื่อนก็ไม่เอา ถ้าไม่ติดว่าเฮียเจมส์ขอให้พาขึ้นเวทีผมเทแม่งไปแล้ว

พอถึงเวลาเป็นเรื่องงานผมจะจริงจังขึ้นนิดหน่อย เพราะงั้นพวกมันถึงไม่ได้ทำเล่นๆ ด้วยเหมือนปกติ ต้องจริงจังตามกันไปหมด สำหรับคนที่ทุกอย่างได้ดี เป็นปกติที่จะหงุดหงิดเมื่อพบเจอข้อผิดพลาด ผมเองก็เหมือนกัน ยิ่งเวลาเจออะไรซ้ำๆ ซากๆ ผมก็ยิ่งหงุดหงิด ไอ้โซต้องคอยดึงออกจากวงตลอด แต่ที่ผมหงุดหงิดครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะมันพลาดซ้ำๆ แต่แม่งเสือกชักสีหน้าแล้วทำท่าทางไม่พอใจไง

“เก้า…” พี่วินที่เห็นผมหยุดร้องกะทันหันละสายตาจากไอ้เปรมแล้วเดินมาหา พี่แกคงเริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาช่วยหยุด

“พี่ไปบอกมือกลองให้เล่นดีๆ ก่อนค่อยเรียกผมดีไหม”

“อะไรวะ” มือกลองที่ว่าลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินมามองหน้าผมด้วยความหงุดหงิด พอเห็นหน้าตากวนตีนๆ ของแม่งยิ่งทำให้ผมของขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมองกลับไปด้วยใบหน้านิ่งๆ ไม่ได้หัวร้อนเป็นคนโง่แบบมัน

“มึงเล่นเป็นวงไม่ได้เล่นคนเดียว ถ้ายังจะไม่สนใจใครก็ออกไปเล่นข้างนอก”

“มึง…”

“มึงพูดดีๆ ไอ้เก้ามันเป็นพี่” เฮียเจมส์ปรามเสียงดุ รั้งแขนไอ้หน้าเหียกไว้ให้อยู่กับที่ ส่วนผมแค่ปรายตามองมันต่ำๆ ก่อนจะยักไหล่พูดเสียงเรียบ

“มึงขอขึ้นเวทีเพราะอยากเด่น แต่ถ้าเล่นกากใครจะสนใจ”

“พูดเหมือนตัวเอง...”

“มึงคิดดีๆ ก่อนจะพูด” ผมตัดบทหน้าตาย “ถ้าจะบอกว่า ‘พูดเหมือนตัวเองเก่งตาย’ ไม่ต้องถามกูมึงก็น่าจะรู้มั้ง”

ไม่ใช่แค่พูดปากเปล่าว่าตัวเองเก่ง แต่ผมแสดงให้เห็นมาตั้งแต่แรกว่ามีฝีมือ ถ้าไม่เก่งจริงผมไม่มีทางพูดให้ตัวเองดูโง่ในสายตาคนอื่นหรอก

 “เหอะ…” มันหัวเราะในลำคอ เหลือบตามองพี่ภูที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วเบนกลับมาสบตาผม “เก่ง...แต่ชอบผู้ชายด้วยกันเอง ทุเรศทั้งคู่ พวกเกย์”

อารมณ์หงุดหงิดจากเรื่องงานเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบในใจอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้หงุดหงิดเหมือนเดิม แต่มันยิ่งกว่าความหงุดหงิดหรือความโกรธ

“มึงนี่ก็แปลกนะ…เรื่องให้ยุ่งมีตั้งแต่เยอะแยะ…แต่เสือกมาแตะเรื่องที่ไม่ควรแตะ” ผมก้าวเท้าเข้าหามัน ดันแขนพี่วินออกให้พ้นทาง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมองด้วยความโกรธหรือหัวร้อน แต่ผมมองมันด้วยสายตาที่สงบนิ่งที่สุด “กูชอบเขามาตั้งนาน รอมาเป็นปี ได้ใกล้ชิดเขาที่สุด ถึงจะสนิทกันแล้วกูยังไม่เคยพูดไม่ดีกับเขาสักคำ”

“ถอยไปนะเว้ย!” มันง้างแขน ทำท่าจะต่อย แต่เท้ากลับก้าวถอยหลัง

“ขนาดกูยังไม่ทำ….”

“...ถอย”

“แล้วมึงมีสิทธิ์อะไรมาแตะ”

อีกนิดเดียว...ขอแค่อีกนิดเดียวไอ้คนโง่อวดฉลาดที่ทำหน้าตาลุกลนต้องต่อยผมแน่

“ไอ้เกย์!”

“เกย์แล้วหนักหัวมึงเหรอ”

เป็นเหี้ยไรนักหนากับเรื่องเพศ ทำตัวเป็นพวกไร้การศึกษา จะรักจะชอบเพศอะไรมันทำให้อวัยวะเพศมึงเล็กลงหรือไง ถ้าเกลียดนักเวลาเห็นคนชอบเพศเดียวกัน ไปเกิดเป็นไส้เดือนเถอะไอ้ห่าจะได้ไม่ต้องคิดเยอะ

“ต่อยดิ” ผมยื่นหน้าเข้าหา ใกล้จนเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมาจากหน้าผากมันทั้งที่เป็นห้องแอร์

“อย่าคิดว่ากูไม่กล้า”

“กล้าก็ทำดิ...ต่อยเลย...ต่อยดิวะ!” ผมตะโกนดังลั่นจนมันสะดุ้ง ปล่อยหมัดเข้าใส่เต็มแรง ได้ยินเสียงร้องตกใจของพวกพี่วินแต่ผมไม่สนใจ

หมับ!

ทว่าหมัดกระจอกกลับมาไม่ถึงใบหน้าเมื่อมือของใครอีกคนรับหมัดมันไว้ ผมหันไปมองคนหน้าดุที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มให้เขา หลังจากนั้นก็เบนสายตาไปทางไอ้โซที่ยืนถือโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล พอมันพยักหน้าให้ ผมก็หันกลับไปหาไอ้รุ่นน้องปากหมาตัวเดิม ก่อนจะ…

ผัวะ!

“ไอ้เก้า!”

ซัดแม่งเต็มแรงจนมันหล่นไปกองที่พื้น ผมคุกเข่าตาม กระชากคอเสื้อมันขึ้นมาสบตา ก่อนจะมองดวงตาสั่นๆ นั่นเย้ยๆ

“มึงแตะผิดคนแล้ว”

มึงไม่ผิดที่หาเรื่องกู...แต่ผิดที่แตะคนสำคัญของกู

“ไอ้เก้า พอแล้ว” พี่วินดึงผมให้ออกห่าง แต่แกไม่ว่าอะไรสักคำ คงเพราะรู้ดีว่าผมไม่ได้ชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้

นานแล้วที่ไม่ได้ต่อยคน แต่ถ้าไม่ได้สักหมัดผมต้องคาใจไปนานแน่...ถ้ามันไม่ได้ด่ารวมพี่ภูไปด้วย ทุกอย่างจะไม่มีวันเป็นแบบนี้

ถึงอย่างนั้น...ผมก็ยังไม่ได้ขาดสติจนลืมใช้สมองอยู่ดี

“มึงถ่ายไว้แล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อย”

ผมรับโทรศัพท์ที่มีรูปถ่ายฉากไอ้เด็กนั้นกำลังจะต่อยหน้าผมคืนมาจากไอ้โซ โชคดีที่มันรู้ทันผมแทบทุกอย่าง ตอนเดินผ่านแค่ผมยัดโทรศัพท์ใส่มือมันก็รู้ทันทีว่าควรทำอะไร

จัดการเองได้ก็จัดการก่อน...อย่าเพิ่งพึ่งป๋าเลยดีกว่า ไม่งั้นมันคงไม่โดนแค่หมัดเดียวแน่

“ก้อน” พี่ภูดึงแขนผมเบาๆ ให้หันไปหา ใบหน้าของเขาราบเรียบไร้อารมณ์เหมือนเคย ผมพยายามกัดริมฝีปากตัวเอง ไม่อยากเผลอมองเขาด้วยดวงตาแข็งๆ แบบที่กำลังทำอยู่ แต่เมื่อก้มหน้าลงก็โดนเชยคางให้เงยมองอีก

“พี่ภู”

“ไม่เป็นไร” มือใหญ่ที่ยังคงอบอุ่นเหมือนทุกครั้งวางแปะลงบนหัวผมแล้วโยกไปมาเบาๆ “กูหิวแล้ว”

ผมถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อรู้สึกเหมือนถูกดูดอารมณ์ร้ายๆ ออกไปจนหมด ทั้งที่เขาทำเพียงแค่โยกหัวไปมาแล้วบอกว่าหิวเท่านั้นเอง

“พี่วิน…”

“เออ ไว้ค่อยซ้อมพรุ่งนี้” พี่วินพยักหน้าเข้าใจ มือยังคงวุ่นกับการทำแผลให้ไอ้เด็กปากดีที่ยังไม่กล้าสบตาผม…แค่เห็นหน้ามันก็เหมือนอารมณ์บูดๆ จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก่อนจะได้คิดหาแผนการเชือดไก่อีกรอบ ผมดันถูกดึงแขนให้ออกเดินโดยคนรู้ทันที่ยังทำหน้าตายเสียก่อน ถึงจะยังหงิดๆ อยู่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม จนเขาพาเดินมาถึงรถนั่นล่ะความหงุดหงิดของผมถึงได้จางหายไป

“อยากกินอะไร”

“อยากกินไอติมชาเขียว” ผมตอบแล้วคว้าลูกอมชาเขียวในกระเป๋ามาแกะกินอย่างรวดเร็ว หวังว่าชาเขียวจะทำให้อารมณ์อึมครึมนี้หายไปจนเกลี้ยงเสียที

“อืม”

พี่ภูจอดรถที่ห้างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเขานัก พอเดินเข้ามาถึงในตัวห้างเจ้าตัวก็เดินดุ่มๆ นำผมไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งจุดหมายที่ว่านั่นก็คือ...ร้านไอติม

ผมสั่งไอติมชาเขียวที่ตัวเองชอบมาสี่ลูกโดยไม่ต้องรอให้เขาบอก พอมาเสิร์ฟแล้วก็จ้วงเอาๆ โดยลืมถามไปด้วยซ้ำว่าเขาไม่กินอะไรเหรอ แต่พี่ภูก็ยังมีความอดทนมากพอจะนั่งมองนิ่งๆ รอให้ผมกินจนหมด พอได้กินของที่ชอบเยอะๆ ผมก็ลืมเลือนอารมณ์ความรู้สึกแย่ๆ ไป สามารถกลับมายิ้มเป็นไอ้บ้าให้เขาได้เหมือนเดิม

“พี่กินอะไรไหม”

“มาถามตอนมึงกินเสร็จแล้วเนี่ยนะ” พี่ภูส่ายหน้าหน่าย เขายื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงิน ส่วนผมก็ทำตัวเป็นลูกกระต่ายที่ดีเดินตามหลังเขาต้อยๆ โดยไม่บ่นอะไรสักคำ

คนตัวสูงไม่ได้พาเดินไปขึ้นรถแบบที่คิด แต่เขาพาผมเดินไปที่ขอบตึกตรงลานจอดรถ แล้วทอดสายตามองออกไปด้านนอก ท่าทางเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรอยู่ ผมพอมองออกว่าเขาน่าจะมีเรื่องอยากพูด เลยเลือกทรุดตัวนั่งที่บันไดใกล้ๆ โดยไม่พูดอะไร

“เพิ่งเคยเห็นมึงเป็นแบบนั้น” นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดออกมา...และช่างเป็นประโยคเกริ่นเรื่องที่อ้อมโลกเสียเหลือเกิน

“ก็มันแตะเรื่องที่ไม่สมควรแตะ”

“ถ้ามันไม่ได้พาดพิงกู...แต่บอกว่ามึงเป็นเกย์ทุเรศ แบบนั้นมึงยังจะโกรธอยู่ไหม”

ผมมองหน้าพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าเขาจะสื่ออะไร รวมถึงไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตอบเขาไปตามความจริงโดยไม่ปิดบัง

“เรียกว่าโกรธคงไม่ถูก ผมคงหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะโดนบอกว่าเป็นเกย์ แต่เพราะน้ำเสียงและท่าทางที่หาเรื่องของมัน...แต่อย่างมากก็น่าจะแค่ด่ากลับกวนตีนๆ แบบที่ชอบทำ” เพราะเวลากวนตีนกลับไอ้พวกสมองเล็กพวกนี้มักจะหัวร้อน และมันไม่มีอะไรสร้างความสุขให้ผมได้มากเท่าการเห็นพวกมันหัวร้อนอีกแล้ว เต้นเป็นเจ้าเข้าแต่เสือกทำอะไรไม่ได้ แค่คิดก็สนุกละ

“คนที่โตในที่ที่เปิดกว้างแบบกูยังพอเข้าใจ แต่กูจำได้ว่าที่นี่ไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ทำไมมึงถึงยอมรับอะไรง่ายนัก” พี่ภูถามต่อด้วยใบหน้าข้องใจ เขาดูเหมือนกำลังสงสัยเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ใส่ที่เป็นประเด็นอยากพูด...ไม่รู้ว่าผมอยู่กับเขาและสังเกตเขามากไปจนเพ้อหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะมองยังไงผมก็ยังคิดแบบนั้น

“โลกใบนี้มันกว้างแบบที่เดินเป็นร้อยเป็นพันปีก็ไม่มีวันทั่ว หรือต่อให้เดินทั่วก็ไม่มีวันมองเห็นทุกซอกทุกมุม แถมทุกวินาทีที่เดินเรายังแก่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ป๋าบอกผมว่าอย่าตัดสินอะไรแค่เพราะเห็นภายนอกหรือเพราะมันไม่เหมือนใคร แล้วทำไมผมต้องจำกัดความสุขของตัวเองแค่เพราะชอบเพศเดียวกันด้วย…”

“...”

“ถ้าผมชอบพี่แล้วต้องเรียกว่าตัวเองว่าเกย์...ผมก็จะบอกว่าตัวเองเป็นเกย์”

จะเพศอะไรก็ช่าง แค่ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครก็พอ ผมรู้ดีว่าที่ที่เราอยู่ยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น แม้แต่จ๋ายังตกใจที่ผมชอบผู้ชาย แต่ผมเชื่อว่าครอบครัวของตัวเองจะเข้าใจ เพราะขนาดรู้แล้วจ๋ายังช่วยให้คำปรึกษาผมอยู่เลย

ถ้าคนที่เราแคร์เข้าใจและเราไม่ได้ทำความเดือดร้อนหรือทำตัวน่าเกลียด ไม่ว่าใครจะมาพูดจาไม่ดีใส่ ก็มองมันเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งก็พอ

“งั้นเหรอ” พี่ภูยิ้มบาง ก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างผม “ดีแล้วที่คิดได้แบบนั้น”

“อื้อ”

“ก้อน…”

“ครับ” ผมเงยหน้ามอง ยิ้มส่งไปให้เหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้พี่ภูไม่ได้ส่งส่ายตาหน่ายๆ กลับมา เขามองผมด้วยสายตานิ่งๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกกังวล

“อีกเดือนเดียวก็จะจบเทอมหนึ่งแล้ว”

“ใช่...เดี๋ยวผมมีขึ้นเวทีใหญ่ด้วยนะ เป็นเวทีประกวด ผมแสดงเปิดงาน แล้วจัดก่อนสอบด้วยอ่ะ เท่ไหมล่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนพี่วินมาบอกว่างานนี้จะจัดก่อนสอบแค่อาทิตย์เดียว ตอนนั้นคนอื่นๆ ร้องกันเป็นแถบ แต่คนเก่งแบบคุณอชิราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

ก็ผมน่ะ…

“ก้อน…”

“พี่มาดูผมเล่นด้วยนะ แค่เปิดงานก็ได้ ผมจะ…”

“สอบเสร็จกูต้องกลับอังกฤษ”

“...”

“และยังไม่มีแพลนจะกลับมาที่นี่อีก...อย่างน้อยก็สองปี”

ก็คิดไว้อยู่แล้ว...แต่พอมาได้ยินชัดๆ…

“พี่ภู”

“อืม”

“เวลากระต่ายปวดใจ...มันทำยังไงกันเหรอ”

ผมเงียบไปเพื่อรอคอยคำตอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังได้รับเพียงสายตานิ่งๆ กลับมา ผมจับมือเขาขึ้นมากุมไว้ อยากจะบีบแรงๆ ให้เข้าใจความรู้สึกตอนนี้ แต่กลับไม่มีแรงมากพอจะทำ...

เป็นได้แค่กระต่ายอ่อนแอที่คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว

“ไม่รู้…”

“ผมเข้าใจ” ทำได้เพียงพูดถ้อยคำที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง ลูบมือที่กุมไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยออก...

แต่คนที่นิ่งมาตลอดกลับคว้าจับมือผมไว้ ก่อนเขาจะยกมันขึ้นวางทับลงบนอกซ้ายของตัวเอง แล้วมองมาด้วยสายตาแบบที่ผมไม่เคยเห็น

สายตา…ที่สื่อความรู้สึกแบบเดียวกัน

“กูจะตอบได้ยังไง...ในเมื่อเจ้าของกระต่ายก็ปวดใจไม่แพ้กัน”

 

-------------

 


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 25-07-2017 19:11:31
 :sad4: พี่ภู ตายๆๆๆ

"กูจะตอบยังไงในเมื่อเจ้าของกระต่ายก็ปวดใจไม่แพ้กัน"

อะเฮื้อออออ!!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 25-07-2017 19:38:32
ฮึก แงงง ไม่เอานะ ฮื้อออ ทำไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: GimNgek ที่ 25-07-2017 20:05:22
ฮืออออ พี่ภูของน้องเก้่า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 25-07-2017 20:26:11
กระต่ายปวดใจ...เจ้าของกระต่ายก็ปวดใจ
คนอ่านก็ปวดใจตาม ฮือออ :hao5:
เก้าตามพี่ภูไปมั้ยไปอยู่ช่วงปิดเทอมก็ยังดี :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-07-2017 20:31:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-07-2017 21:11:47
ประโยคสุดท้ายของพี่ภูนี่บาดลึกเลย

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 25-07-2017 21:27:20

“กูจะตอบได้ยังไง...ในเมื่อเจ้าของกระต่ายก็ปวดใจไม่แพ้กัน” ตายกันระเนระนาดกันเลยทีเดียว ก้อนปวดใจ พี่ภูก็ปวดใจ เราเองก็ปวดใจ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 25-07-2017 21:30:19
งื้อออออออ ไม่รู้ว่าต้องฟินหรือต้องเศร้าดี  :mew6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 25-07-2017 21:45:37
แงงงง สองปีเลยเหรอพี่ภู  นานไปแล้วว  :monkeysad:
ตอนนี้ น้องเก้าเท่ห์สุด ๆ อ่ะ ตอนจัดการไอ้เด็กปีหนึ่งปากเสียนั่น
แตะใครไม่แตะ มาแตะคนสำคัญ ซัดไปหมัดเดียวมันน้อยไปนะเนี่ย
ชอบความสัมพันธ์โซเก้ามากเลย ไม่ต้องพูด ก็เข้าใจหมดว่าต้องการอะไร
ยังไง พี่ภูก็รอสอบเสร็จ ต้องได้มาดูน้องเก้าแสดงแน่ ๆ น้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-07-2017 22:30:31
ตอนท้ายๆ นี่แบบ...
ไม่รู้จะร้องให้ หรือจะฟินดี แง้
 :o12: :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 25-07-2017 23:07:59
ช็อตสุดท้ายนี่แบบบ....โอ้ยยยย ขอปวดใจด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 26-07-2017 00:45:52
คือน้ำตาซึมอ่ะ อินแรง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 26-07-2017 00:52:31
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 26-07-2017 02:05:45
ตายๆๆ ปวดใจแทน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 26-07-2017 05:13:02
คนอ่าก็ปวดใจค่ะ ถถถถ
ตอนนี้แอบมีความสวีทนะ ปริ่มมม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-07-2017 07:38:47
ทำยังไงดี คนอ่านก็ปวดใจเหมือนกัน ตั้ง2ปีเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-07-2017 09:12:22
บทหน้า ตัดฉับไปสองปี พี่ภูกลับมาหาเก้าเลยได้มั้ยคะ  :mew2:

นี่ปวดใจ :m15:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-07-2017 09:31:04
ถึงมันจะฟิน แต่มันฟินไม่สุดอ้ะ !!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 26-07-2017 17:11:25
โอยยยย คนอ่านก็ปวดใจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 26-07-2017 17:19:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 26-07-2017 17:28:54
กริ๊ดดดดดดดดดดด

ยอมค่ะ ยอมพี่ภูแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hikkie ที่ 26-07-2017 17:55:41
เรื่องดีๆระหว่างก้อนกะเจ้าของกระต่าย ตอนหน้าเอาหวานๆทิ้งทวนก่อนไปนอกนะคะ
ยังไม่อยากดราม่า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 31-07-2017 09:28:56
 :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 31-07-2017 15:02:09


-21-

 

เราใจตรงกันแล้วใช่ไหม…ใช่สิ...ใช่หรือเปล่าวะ

กลิ้งไปกลิ้งมาก็แล้ว ม้วนตัวเป็นซูชิก็แล้ว ทำยังไงผมก็ยังคิดคำตอบไม่ออกเสียที และประเด็นมันอยู่ตรงที่ผมนอนคิดมานานถึงสามวัน คนอย่างคุณอชิราย่อมไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน เวลาอยากรู้อะไรต้องหาคำตอบ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล แต่เรื่องของเรื่องคือผมเพิ่งรู้ว่าเรื่องนี้มันใช้อะไรช่วยไม่ได้ทั้งนั้น ทางเดียวที่มีคือการได้ฟังจากปากเจ้าตัวเอง

แล้วทำไมไม่ถาม คนหน้าด้านกลัวเหรอ…

ขอบอกย้ำๆ ชัดๆ ว่าผมพยายามแล้ว...พยายามสุดๆ แล้วด้วย สามวันมานี้ผมได้เจอพี่ภูครั้งเดียวตอนที่เขาแวะเข้ามามหา’ลัยเพื่อส่งงาน พอเจอหน้าผมก็พุ่งเข้าใส่ ตั้งท่าแน่นอนว่าต้องคลายความสงสัยให้ได้ แต่พอได้เจอ…

‘ทำไมหน้าแดง’

ว่าแล้วก็ยกมือมาแปะหน้าผากเหมือนจะวัดไข้ด้วยหน้าตาที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนมองนี่ใจสั่นแปดสิบริกเตอร์ เล่นเอาคนหน้าด้านอย่างผมวิ่งหนีแบบที่ไม่เคยทำ แถมกลับมาถึงห้องแล้วยังเอาหัวโขกเตียงอยู่ตั้งนาน

ทำไมไม่ทักไลน์ไป…

นั่นก็พยายามแล้ว พยายามตั้งแต่เอาหัวโขกเตียงแล้วด่าตัวเองอยู่ในใจ บอกว่าถ้าเรื่องกากๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ไปตายให้หนอนแดกซะ แต่…

KAO: พี่ภู!

PHU: *สติกเกอร์กระต่ายงง*

KAO: ผมมีเรื่องจะถาม

PHU: กินข้าวหรือยัง

KAO: กินแล้วครับ

PHU: ไปนอนได้แล้ว

KAO: แต่ผมมีเรื่องจะถาม

PHU: เอาไว้ค่อยถามตอนเจอ ไปนอนได้แล้วไอ้กระต่ายก้อน

KAO: *สติกเกอร์กระต่ายกราบ*

นอกจากจะไม่ได้ถามแล้วกูยังซื้อสติกเกอร์กระต่ายที่โคตรเกลียดมาใช้ตามอีกต่างหาก จะบ้าตาย!

ตอนแรกก็เครียดนะเรื่องที่เขาใกล้จะกลับอังกฤษแล้วแถมยังไม่มีแพลนจะกลับไทยอีกตั้งนาน แต่พอเจอปวดใจไม่แพ้กันนี่...ผมตาย กลายเป็นเอาเวลามาคิดว่าเราใจตรงกันหรือเปล่าแทน เพิ่งรู้ก็ตอนนี้ว่าเรื่องแบบนี้มันยากมากขนาดไหน จะถามใครก็ไม่...ได้

เดี๋ยวดิ ยังเหลืออีกคนนี่นา

ผมกดโทรศัพท์หาเป้าหมายที่มักจะคิดถึงเวลานึกอะไรไม่ออก ได้ยินเสียงรอสายนานก็เริ่มใจเสีย กลัวว่าจะไม่ได้คุย และถ้าวันนี้ผมยังคิดไม่ออกอีก คราวนี้คงต้องหัวแตกตายแน่

[สวัสดีค่ะ]

“จ๋าาาาาาาาาาาา”

[ว๊ายตายแล้ว คนแปลกหน้าที่ไหนโทรมากันคะนี่]

“เราเอง” ผมหน้าหงิก ทั้งดีใจที่จ๋ารับโทรศัพท์และหงุดหงิดใจที่โดนแกล้งตอนต้องการความช่วยเหลือ

[มีอะไรคะ โทรมาหาคุณแม่แบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ ทำไม...โดนเขาโกรธเพราะจับได้ว่าจงใจพาหลงป่าเหรอ คิกๆ] ปลายเสียงหัวเราะคิกคักจนน่าตี…ถ้าไม่ติดว่าเป็นจ๋านะ

“เรายังไม่ได้พาเขาหลงป่าเลย”

[ทำไมล่ะคะ...หรือคุณอชิรากาก ทำตามแผนไม่สำเร็จ คิกๆ]

“หยุดหัวเราะเรานะ!” ผมพ่นลมหายใจบรรเทาอาการหัวร้อนก่อนจะรีบหยิบลูกอมชาเขียวข้างเตียงมายัดใส่ปาก

[ไม่แกล้งก็ได้...แต่โทรมาหาคุณแม่ทีไรเป็นเรื่องตลอดเลยนะ โทรมาบอกว่าคิดถึงเฉยๆ หรืออยากกลับบ้านบ้างได้ไหมคะ คุณอชิราไม่กลับบ้านสักทีจนคุณป๋าจะบินไปหาหลายทีแล้วนะ คุณแม่ล่ะเบื่อที่ต้องหาเชือกมาคล้องไว้ มีหมาห้าตัวยังไม่พอ ต้องมาดูแลหมาตัวเท่าควายอีกตัว เหนื่อยค่ะ!] จ๋าได้ทีบ่นยาว ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างตามประสา

“ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากกลับ…”

[ก็กลับสิคะ]

“เราติดคนอยู่อ่ะ”

[ติดผู้! นี่คุณอชิราเห็นผู้ดีกว่าคุณแม่กับคุณป๋าแล้วเหรอคะ ถ้าคุณป๋ารู้ต้องร้องไห้แน่ๆ] จ๋าพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยแบบที่คุณหญิงคุณนายชอบทำ

“เรารู้หรอกว่าจ๋าไม่อยากให้เรากลับ จ๋าชอบบอกว่าเราทำให้จ๋าปวดหัว”

[ตายแล้ว...คุณแม่ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะคะ]

ไม่เคยคิดนะ แต่เสียงหุหุที่ดังมาแบบจงใจนี่โคตรชัดเจน

“อย่าเพิ่งนอกเรื่องดิจ๋า เราจะโทรมาปรึกษานะ” ผมรีบบอกก่อนจะโดนพาออกทะเลไปไกลกว่าเดิม ถ้าให้จ๋าพูดถึงอดีตขึ้นมาเมื่อไหร่ต้องยาวไปถึงพรุ่งนี้แน่

[ลำไยจังเลยค่ะ มาขัดจังหวะคุณแม่เลือกเครื่องเพชรไปงานแล้วยังพูดมากอีก]

“จ๋าจะไปไหนอ่ะ” ปกติจ๋าก็ไม่ชอบงานเลี้ยงเหมือนผมเพราะมันวุ่นวายน่ารำคาญ จะมีก็แต่โดนป๋าลากไป แต่ครั้งนี้ถึงกับเลือกเครื่องเพชรไปเอง ดูยังไงก็น่าสงสัยสุดๆ

[ไปงานแต่งคุณวิบูลย์เพื่อนคุณแม่เองค่ะ ไม่ได้ไปไร่ดอกไม้ของที่นั่นมาตั้งนานเลยตื่นเต้นนิดหน่อย]

“คุณลุงจะแต่งงานใหม่เหรอ” ผมจำได้ว่าลุงวิบูลย์เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของจ๋า อายุก็น่าจะพอสมควรแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันก็เป็นพ่อหม้ายมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะมาแต่งเอาป่านนี้

[ใช่ค่ะ คืนนี้จะจัดงาน เพราะงั้นคุณแม่ถึงบอกว่าคุณอชิราโทรมาขัดจังหวะไงคะ สรุปจะพูดไม่พูด ถามเยอะเดี๋ยวก็ตัดสายซะนี่]

“ทำไมต้องเกรี้ยวกราดอ่ะ” ผมบ่นเบาๆ กับตัวเอง ถามนิดถามหน่อยแต่จ๋าตอบยาวเองไม่ใช่หรือไง

[พูดมาเร็วๆ ค่ะ อย่าลีลา]

ผมกลอกตาแรงๆ ไปหนึ่งทีก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกสติ จากนั้นก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้จ๋าฟังช้าๆ

“ก็…”

ทุกอย่างที่ผมจำได้ ผมเล่าให้จ๋าฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังแม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเรื่องความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่รับรู้ได้จากพี่ภู เรื่องราวที่เราคุยกัน รวมถึงเรื่องที่เขาพูดวันนั้น… ตลอดเวลาที่ผมพูด จ๋าไม่ได้พูดอะไรแทรกเลยแม้แต่อย่างเดียว ถ้าเราคุยกันเรื่องทั่วไปผมคงคิดว่าจ๋าแกล้งวางหูไปแล้ว แต่ทุกๆ ครั้งที่ผมจริงจัง จ๋าเองก็จะตั้งใจไม่แพ้กัน เพราะงั้นผมถึงพูดทุกอย่างออกไปโดยไม่ได้ปกปิดหรือเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว

“เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยจ๋า…”

[เป็นยังไงคะ]

“แค่เขาทำอะไรให้หรือพูดจาดีๆ ด้วยก็ดีใจแทบตาย มีความสุขมากจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ตอนที่เห็นเขารู้สึกแย่ก็รู้สึกตามไปด้วย ทำเหมือนเป็นตัวเองทั้งที่ไม่ใช่ แล้วยิ่งตอนรู้ว่าเขาจะกลับอังกฤษ…”

[เจ็บ?]

ผมยกมือกุมอก แค่นึกถึงตอนที่เขาบอกก็จำความรู้สึกในตอนนั้นได้แทบจะทันที

“อื้อ...เจ็บมากเลยจ๋า เราปวดใจไปหมดเลย”

[เฮ้อ...คุณอชิราคะ] จ๋าถอนหายใจ เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดต่อ [คุณอชิราเคยบอกคุณแม่ว่าตัวเองชอบเขาใช่ไหมคะ]

“ตอนนี้เราก็ยังชอบเขาอยู่”

[ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย] จ๋าบ่นอะไรก็ไม่รู้เบาๆ แต่ผมไม่อยากถามให้พูดซ้ำเพราะกลัวโดนแซะกลับมาอีก แม่นางหาเรื่องจิกได้ทุกอย่างนั่นล่ะ [คุณอชิราเคยบอกคุณแม่ว่าจะทำให้เขาชอบให้ได้ใช่ไหมคะ]

“อื้อ”

[แล้วยังบอกว่าจะพยายามหยุดความรู้สึกตัวเองไว้ จะพยายามให้เขาชอบกลับให้ได้ก่อนถูกมะ]

เคยพูดด้วยเหรอวะ...เออ ถ้าจ๋าว่าเคยก็น่าจะเคย

“ถูกมั้ง”

[คุณแม่รู้ว่าต่อให้เป็นคนหน้าด้านอย่างคุณอชิราก็ยังกลัวความผิดหวัง อยากจะปรบมือให้ที่คิดแบบนั้น แต่พอมาดูวันนี้แล้ว...ไม่ใช่ว่าตกหลุมที่ตัวเองขุดหรือไงคะเนี่ย]

“จ๋า…” ผมครางเสียงอ่อย ไม่ต้องเสียเวลาคิดยังรู้เลยว่าที่จ๋าพูดมันคือความจริง ผมตกหลุมที่ตัวเองขุดจริงๆ นั่นล่ะ

[ตายจริง...ทำไมลูกชายคุณแม่ถึงได้ใจง่ายแบบนี้นะ]

“จ๋า เราโทรมาขอคำปรึกษานะ ไม่ใช่ให้ด่าเราซ้ำ”

[อุ๊ย! ลืมค่ะ ถึงไหนแล้วนะ] จ๋าหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ดูท่าทางดีใจที่ผมห่อเหี่ยวเกินกว่าจะเถียงอะไรได้เลยเล่นเสียใหญ่โต

“ถึงไหนอะไรล่ะ เราเล่าจบจ๋ายังไม่เริ่มเลย” ผมกลิ้งไปนอนคว่ำพาดหัวอยู่ริมเตียงแล้วรอฟังคำตอบจากปลายสาย

[คุณอชิราแค่กังวลเรื่องที่จะไม่ได้เจอเขาอีกสินะ]

“อือ”

[ตอนนี้สิ่งที่ควรคิดไม่ใช่การวางแผนแล้วนะคะ สิ่งที่ควรคิดคือจะทำยังไงถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่ต่างหาก ถ้ายังมัวคิดหาเหตุผลอยู่แบบนี้…รู้หรือเปล่าคะว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เท่าไหร่แล้ว] จ๋าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย ถึงจะมีเสียงเล็กเสียงน้อยแทรกมา แต่ผมก็ยังตั้งใจฟังทุกอย่างที่จ๋าพูด

“แต่เราอาจจะไม่ได้เจอเขาเป็นปี”

[คุณอชิรารับปากว่าจะช่วยเรื่องน้องเขาไม่ใช่เหรอคะ คิดเสียว่าใช้เวลานี้คิดแผน หรือคิดว่าเป็นการทดสอบอะไรก็ได้สิ จะคิดอะไรก็ได้ที่ทำให้เราสบายใจ คิดไปเถอะค่ะ]

นั่นสินะ...ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้คิด ให้นึกถึง ผมยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ต้องทำอยู่อีก อย่างน้อยก็เรื่องภาม...ต่อให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน แต่ถ้ารับปากแล้วผมก็ไม่คิดจะผิดสัญญา

“เราเข้าใจแล้วจ๋า...เวลาเป็นเรื่องของตัวเองมันไม่เหมือนเวลาที่เราให้คำปรึกษาคนอื่นเลย”

พอได้เป็นเองถึงรู้ว่าที่ใครๆ บอกว่าปวดใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง

[อ้อ...อีกอย่างนะคะ อย่าลืมใช้เวลาที่มีคิดหาทางรับมือกับคุณป๋าด้วย ทุกวันนี้ยังถามคุณแม่ไม่หยุดว่าคนที่คุณอชิราชอบเป็นใคร ถ้ารู้แล้วจะส่งคนไปเก็บหรือเปล่าก็ไม่รู้] จ๋าว่าเสียงร่าเริงแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง

“จ๋า แล้วเรื่องความรู้สึกของเขา…” ผมดึงจ๋ากลับมายังประเด็นที่สงสัยที่สุด ประเด็นที่ทำให้ต้องนั่งคิดมาหลายวัน

[ที่คุณอชิราไม่กล้าถามเขาน่ะเหรอคะ กากจัง]

เดี๋ยวเหอะ แอบพูดเราก็ได้ยินนะ…

“นั่นล่ะ”

[เรื่องบางเรื่องเราไม่ต้องตามหาคำตอบก็ได้นะคะ...ถ้าคนสองคนใจตรงกันก็คือใจตรงกัน ถ้าเขาคิดแบบเดียวกับเรา สักวันเขาก็ต้องพูดออกมาเอง…]

“จ๋า”

[แต่คุณแม่ทราบดีค่ะว่าคุณอชิราขี้เสือก อยากรู้แล้วไม่ได้รู้อาจจะลงแดงตายได้]

เบื่อคนรู้ทัน แต่ก็นั่นแหละ...ผมก็พอรู้ตัวเองอยู่

“เราก็เหมือนจ๋าอ่ะ”

[หยาบคาย...เอาล่ะ จริงจังกันหน่อยดีกว่า คุณแม่ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว]

“เราฟังอยู่”

[เรื่องของเรื่องคือไม่กล้าถามเขาสินะคะ งั้นเอาแบบนี้ไหม คุณอชิราก็…]

ถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความทำให้ผมตาสว่าง แค่จ๋าพูดออกมาก็ถึงกับร้องอ๋อในใจ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงคิดไม่ได้กันนะ ในเมื่อถามในไลน์ก็ไม่ตอบ ไม่ว่าจะเพราะเจ้าตัวรู้ทันเลยแกล้งหรืออะไรก็ตาม แถมผมยังติดอ่างถ้าต้องถามต่อหน้า งั้นก็เหลือแค่ทางเดียว…

 

 

“มึงบอกว่าพี่ภูไปไหนนะ”

“ไปให้ห่างจากมึงไง” ไอ้หมากวนตีนหน้าตาย ผมเลยชูนิ้วกลางตอบแทนมันไปหนึ่งทีเป็นรางวัลก่อนจะดันตัวเข้าไปในห้องซึ่งมีพี่กีล์คนดียืนยิ้มต้อนรับอยู่

วันนี้ผมมารบกวน...หมายถึงมาหาไอ้โซกับพี่กีล์ด้วยความจำเป็น อันที่จริงที่ผมจะมาหาคือเจ้าของห้องตรงข้ามมันนั่นล่ะ แต่เผอิญเขาไม่อยู่ ผมเลยต้องมาเคาะห้องส่วนตัวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสีชมพูมุ้งมิ้งของคู่รักคู่นี้แทน แค่เห็นหน้าพี่กีล์ที่ยืนรออยู่ก็รู้สึกสงบใจเหมือนได้ไหว้พระ แต่วินาทีต่อมาหมาตัวใหญ่ของเขาก็มายืนขว้างหน้าไว้แล้วทำหน้าตาบึ้งตึงเหมือนผมไปฆ่าใครตายพร้อมกับบอกว่าไม่ต้อนรับ ร้อนถึงพี่กีล์ที่ต้องเข้ามาขวางไว้เพราะผมทำท่าจะกระโดดบีบคอมัน

“ตอนโซไปรับพี่เราเจอคุณภูเข้าพอดีน่ะครับ” พี่กีล์ยิ้มใจดีก่อนจะหยิบจานขนมมาเซ่นผมถึงโซฟา “เห็นบอกว่าจะไปธุระ แต่พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะกลับตอนไหน”

ผมพยักหน้าแล้วบอกขอบคุณพี่กีล์ มือหยิบขนมในจานใส่ปากรัวๆ พร้อมกับกดโทรศัพท์ไลน์หาคนที่รอยุกยิก

KAO: ผมรออยู่ห้องไอ้โซนะ

พอเห็นว่าเขายังไม่ตอบอะไรผมก็วางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปเรียกไอ้หมาที่นอนอืดอยู่บนโซฟาอีกฝั่งให้มาเล่นเกมด้วยกันแก้เซ็ง โซมันคงเห็นว่ายังไงก็ไม่ได้สวีทกับพี่กีล์อยู่แล้วเลยยอมปล่อยให้พี่แกไปยืนทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ในครัวแล้วหันมาเล่นเกมกับผมแทน

หลังจากใช้เวลาเป็นชั่วโมงไปกับการเล่นเกม ทั้งผมทั้งไอ้โซต่างก็เบื่อกันทั้งคู่ พี่กีล์ยังถึงกับเอาเอกสารมานั่งอ่านฆ่าเวลา ผมบอกว่าจะอยู่ตรงนี้คนเดียวก็ยังไม่ยอมไปไหนกัน ฝั่งคุณพี่แอบกระซิบบอกผมว่าไอ้โซมันเป็นห่วง เห็นผมทำท่าทางเหมือนกังวลอะไรอยู่ตลอดเลยไม่อยากไปไหน จริงๆ เกมมันก็เพิ่งเล่นไปแต่ก็ยังยอมมานั่งเล่นกับผมต่อ

ไอ้หมาปากหนัก…

ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกดีอยู่หน่อยๆ ตอนที่มันมีปัญหาถึงผมจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนแต่ก็พร้อมช่วยในแบบของตัวเอง ส่วนเวลาที่ผมมีปัญหามันเองก็ทำแบบเดียวกัน...ไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ

ครืด

ผมเหลือบตามองโทรศัพท์ที่สั่นเพราะมีไลน์เข้าโดยไม่ได้ละมือออกจากเกม แต่เมื่อเห็นว่าใครที่ส่งข้อความมาเท่านั้นล่ะ…

“ไอ้เก้า โยนทำเหี้ยไรเนี่ย ไม่ใช่บาทสองบาทนะมึง”

ลืมตัว...แต่ผมไม่มีเวลาหันไปตอบอะไรมันเพราะตากำลังจ้องมองจอโทรศัพท์จนแทบทะลุ

PHU: *สติกเตอร์กระต่ายพยักหน้า*

KAO: ผมมีเรื่องจะคุยด้วย รีบกลับมานะครับ

KAO: *สติกเตอร์กระต่ายอ้อน*

PHU: อีกสิบนาที

KAO: โอเค

“ยิ้มเป็นคนบ้าเฉยเลย” ไอ้โซแซวแทบจะทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ลง มันทำหน้าตาเป็นหมาง่วงเหมือนเคย แต่ปากไม่รู้ไปอัพเกรดมาจากไหน แซะแม่งทุกเรื่องเหมือนจะเอาคืน...ผมจำได้ว่าไม่เคยทำอะไรให้มันเลยนะ

“พี่กีล์ ผมไปและพี่” ผมหันไปยกมือไหว้พี่กีล์โดยเมินคำพูดไอ้หมาไป จากนั้นพอพี่เขาพยักหน้าให้แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูโดยไม่ลืมหันไปปาหมอนใส่เพื่อนเป็นการลา

ผมไม่ได้ยืนรอพี่ภูอยู่หน้าห้องแบบที่ควรทำ แต่เดินไปยืนยิ้มแฉ่งรอเขาอยู่หน้าลิฟต์ กะเอาให้เปิดออกมาแล้วเจอหน้าผมเป็นคนแรก คิดว่าถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นพี่ภูตกใจก็เป็นได้

ติ๊ง!

ประตูลิฟต์เปิดออกช้าๆ พร้อมกับที่ผมขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มกว้าง เสี้ยววินาทีที่ประตูเปิดออกดวงตาสีเทาคุ้นเคยคือสิ่งแรกที่เห็น แต่นอกจากเขาจะไม่ตกใจเมื่อเห็นผมแล้ว คนตรงหน้ายังขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่ามายืนทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้อีกต่างหาก

“เป็นเด็กถือกระเป๋าหรือไง” พี่ภูถามพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ท่าทางของเขาดูเหนื่อยๆ จนผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ครับผม” ผมสวมบทบาทเป็นเด็กถือกระเป๋า มือรับกระเป๋ากับเสื้อตัวนอกของเขามาถือไว้ให้แล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเดินนำไปก่อน ดูเหมือนพี่ภูจะเหนื่อยจริงๆ เขาถึงได้ยอมอย่างง่ายดายโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เมื่อเข้ามาถึงห้องคนหน้าดุก็เดินไปหยิบน้ำออกมาดื่มเป็นอย่างแรก พอเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็หันมาบอกให้ผมรอแล้วเดินเข้าห้องนอนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเลยอาศัยช่วงเวลานั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมความพร้อมเพื่อถามคำถามคาใจ เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้วก็เอนตัวนอนแผ่อยู่บนโซฟาเพื่อขบคิดถึงปัญหาเดิมๆ

ความตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยสัมผัสส่งผลต่อหัวใจเข้าอย่างจัง ยิ่งยามเห็นร่างสูงของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องนอนก็ยิ่งอาการหนักจนอยากจะเอาหัวมุดโซฟาหนี

“เป็นอะไรของมึง” พี่ภูเอาผ้าขยี้หัวที่เปียกชุ่มของตัวเองก่อนจะนั่งลงข้างหัวผม แต่เพราะยังทำใจไม่ได้ผมเลยเลือกนอนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัวลุกขึ้นแบบที่ควรทำ

“กำลังเครียด”

“เครียด?”

“ผมมีเรื่องจะถามพี่” ผมตอบด้วยเสียงอึนๆ ตามความจริง

“ถามสิ”

“ขอทำใจอีกแป๊บ”

“เครียดขนาดนั้นเลย?” คนพูดหัวเราะหึในลำคอก่อนจะยื่นหน้ามาอยู่เหนือหัวผม เราจ้องตากันโดยที่พี่ภูก้มหน้ามอง หยดน้ำที่เปียกผมเขาอยู่หยดแหมะลงบนหน้าผมสองสามหยด แต่พอคิดจะขยับมือไปเช็ดกลับรู้สึกเสียดายบรรยากาศที่เป็นอยู่จนต้องยอมปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป ผมมองดวงตาสีเทาที่เป็นประกายขบขันนิ่งงัน ไม่นึกสงสัยเลยสักนิดว่าเขากำลังขำอะไรเพราะรู้ดีอยู่แล้ว

เขากำลังขำ...ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าพี่ภูรู้ทันผม และดูท่าเขาจะแกล้งกันมาแต่แรกแล้วด้วย

“ไม่กะพริบตาหรือไง” คนหน้าดุยกมือโบกไปมาตรงหน้าผมเป็นเชิงถาม แต่เพราะเขายังไม่ยอมถอนหน้าออกไปผมเลยไม่คิดละสายตาออกเช่นกัน

“อยากมองหน้าพี่นานๆ”

เขาหัวเราะหึก่อนจะยกมือดีดหน้าผากผมเบาๆ แล้วผละหน้าออก ถึงจะรู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อยแต่ผมก็ทำได้แค่ขยับตัวลุกตามแล้วหันหน้าไปหาเขา

“พี่รู้อยู่แล้วว่าผมจะคิดมากใช่ไหม” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เรียบเฉย แต่พอเห็นมุมปากของคนฟังยกขึ้นน้อยๆ หน้าที่เฉยมาตลอดก็บูดบึ้งในทันที กะแล้วว่าต้องแกล้งกัน แต่พอมาเห็นเขายอมรับแบบนี้รู้สึกเหมือนโดนกวนตีนยังไงก็ไม่รู้ “พี่ไปดูดนิสัยใครมาเนี่ย”

“ต้องถามด้วยเหรอ” เขาตอบกลับทันควันพร้อมกับมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แหม...ไม่รู้เลยเนอะว่าดูดใครมา

“แล้วนี่พี่ไปไหนมาอ่ะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เขา ไม่ใช่อะไร...แค่รู้สึกว่าเวลาอยู่ใกล้ๆ ติดๆ แล้วมันอุ่นใจ อาจจะเป็นการคิดไปเองแต่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ นะ

“ไปเคลียร์งานสุดท้าย”

“งานสุด…” ท้าย...งานสุดท้าย…ต่อให้เขาไม่พูดผมก็เข้าใจว่างานสุดท้ายที่ว่าหมายถึงอะไร

“อย่าหงอย” เขายื่นมือมาแตะคาง ออกแรงดันเบาๆ ให้ผมเงยหน้ามอง แต่มองไปมองมากลับโดนขำใส่ “เหมือนลูกกระต่ายตัวกลมๆ กำลังอ้อน”

“ผมเปล่าสักหน่อย” ผมว่าเสียงอ่อยเพราะหมดแรงจะเถียง ใจยังนึกถึงคำว่าสุดท้ายที่พี่เขาพูดอยู่เลย

วันนี้เขาไปทำงานสุดท้าย...งานสุดท้ายที่ไทยก่อนจะกลับอังกฤษ...

“เฮ้อ…” พี่ภูถอนหายใจยาวก่อนจะกอดคอผมให้ขยับเข้าไปหา มืออีกข้างที่ว่างของเขายกขึ้นมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงเหมือนอยากให้อารมณ์ดีเหมือนเดิม…ซึ่งมันก็ได้ผลอยู่หน่อยๆ “ทำเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีก”

“ผมกำลังจะเริ่มเรียนซัมเมอร์...ทุกวันนี้ก็ลงเรียนเยอะกว่าเดิมเพราะอยากจบสามปีครึ่ง” ผมอธิบายออกมาช้าๆ แล้วแอบเอนตัวพิงเขาไว้ทั้งที่โดนกอดไหล่อยู่แบบเนียนๆ รวมถึงพยายามบังคับไม่ให้ยิ้มมากเกินไป ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ยอยู่ดี “คงไม่มีเวลาไปหาพี่แน่ๆ”

“กูก็คงไม่มีเวลาเพราะต้องลุยงาน...ในฐานะประธาน”

“ประธาน!?” ผมเบิกตากว้างมองพี่ภูด้วยความตกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงขึ้นตำแหน่งประธานไวแบบนั้น...มิน่าถึงได้งานหนักแม้แต่ตอนมาเรียน ทุกอย่างเป็นเพราะเขากำลังเตรียมพร้อมจะเป็นประธานนี่เอง

แต่ทำไม...ผมถึงรู้สึกเหมือนเราห่างไกลกันมากขึ้นทุกทีนะ

“พ่อกูอายุมากแล้ว หลังกลับอังกฤษรอบนี้คงจัดการเรื่องตำแหน่งเลย”

งั้นก็สองปี...สองปีกว่าผมจะได้เจอเขาอีก

“ผม…”

“ตอนกูหายไปเป็นปีมึงก็ทนได้” เขาพยายามพูดให้ผมรู้สึกดี แต่กลับกัน...ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมเสียอีก

“ตอนนั้นผมแค่ถูกใจพี่…แต่ตอนนี้...” มันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเลยสักนิด

ตอนเราเจอกันครั้งแรกผมถูกใจเขาเพราะดูสะดุดตา เขาแปลก เขาไม่เหมือนใคร เป็นคนแบบที่ผมมองเป็นไอดอล แต่ตอนนี้มันต่างกัน ต่างกันมากแบบที่เทียบกันไม่ติด ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่แค่ความถูกใจหรือชอบแบบผิวเผิน...แต่มันมากเกินกว่านั้น...มากขนาดที่ทำให้ผมปวดใจได้แค่เพราะรู้ว่าจะต้องห่างกัน

‘สิ่งที่ควรคิดคือจะทำยังไงถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่’

ผมหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของจ๋า ทุกสิ่งที่จ๋าเตือนวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นผมเห็นพี่ภูมองมาด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วง แม้จะเล็กน้อยแต่มันก็เติมกำลังใจได้จนเต็ม

“เราไม่พูดเรื่องนั้นกันดีกว่า จำได้ไหมที่ผมบอกว่ามีอะไรจะถามพี่”

“อืม”

พอเขาตอบแล้วผมก็อมยิ้มก่อนจะผละตัวออกมาจากอ้อมแขนอุ่นๆ ที่เนียนซบอยู่ตั้งนาน โทรศัพท์ที่ทิ้งไว้บนโซฟาถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ผมเปิดเขาโปรแกรมที่เตรียมพร้อมไว้ เมื่ออ่านทวนข้อความบนนั้นเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมันไปตรงหน้าคนข้างๆ ก่อนจะกดเพลย์เสียงที่ตั้งไว้

‘เราใจตรงกันหรือยัง’

พี่ภูทำหน้างง ไม่ยอมตอบอะไรทั้งที่ประโยคคำถามจบตั้งนานแล้ว ผมเลยต้องดึงโทรศัพทกลับมาพิมพ์ข้อความใหม่แล้วกดเพลย์อีกครั้ง

‘พี่ชอบผมบ้างไหม ชอบเหมือนที่ผมชอบพี่’

คราวนี้พี่ภูเงียบสนิท ปล่อยให้ผมนั่งหน้าร้อนอยู่คนเดียว แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็ได้สติ ยื่นมือมาหยิบโทรศัพท์ออกไปจากมือผม แล้วพอก้มหน้าดูเท่านั้นล่ะ…

“Google Translate?…”

ผมพยักหน้ารับเพื่อบอกว่าใช่ก่อนจะยืดอกรับด้วยความภูมิใจกับการทำตามคำแนะนำของจ๋า

‘คุณอชิราก็ใช้ตัวช่วยพูดแทนสิคะ คุณแม่บอกแค่นี้น่าจะคิดได้นะ’

นี่แหละตัวช่วยของผม...กูเกิลทำได้ทุกอย่าง

“มึงนี่มัน...หึ...ฮ่าๆๆๆ”

ผมหน้าเหวอเมื่อได้มองเห็นคนหน้าดุหัวเราะแบบเต็มๆ ตาเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าอะไรน่าตลกแต่ก็ยังยิ้มเอ๋อตามเขา พี่ภูยกมือปิดปากแล้วหัวเราะแบบผู้ดี แต่ดวงตาสีเทาดุของเขาเป็นประกายระยิบระยับน่ามองสุดๆ จนผมเผลอจ้องค้างอยู่นาน

“ไอ้กระต่ายเอ๋อ” เขาพูดแล้วเอามือออก และนั่นทำให้ผมเห็นริมฝีปากที่ยกเป็นรอยยิ้มแบบชัดเจนเต็มสองตา

ดาเมจคูณสิบ…เอาซะลืมเขินเลย

“พี่ตอบก่อนนนน” ผมรีบดึงแขนอีกคนไว้เมื่อเห็นเขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่โดนดันหัวกลับมาจนหงายลงไปกองบนโซฟาอีกรอบ หลังจากนั้นพี่ภูก็โยนโทรศัพท์ของผมคืนมาให้ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ห้องนอน

เดี๋ยว…ทิ้งกันไว้ง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

“ง่วงแล้ว จะนอน”

“เดี๋ยว…”

ผมหงายหลังอยู่บนโซฟาค้างอยู่เป็นนาทีเพราะไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี จะเดินตามเข้าไปเอาคำตอบก็ดูไม่ใช่เรื่อง สุดท้ายเลยได้แต่หยิบโทรศัพท์ที่ถูกปาไว้ข้างๆ มากดแก้เก้อ แต่ว่า…

‘อืม’

เสียงยานคางของกูเกิลไม่ได้ทำให้ผมอึ้งเท่าความหมายของมัน

‘อืม’

เดี๋ยวนะ…

‘อืม’

กดกี่ทีก็ยังเป็นแบบเดิม..

เราใจตรงกันหรือยัง...อืม มันแปลว่าใช่ใช่ไหม…

“ถ้าผ่านสองปีไปได้...จากอยากให้ใช่...คงกลายเป็นใช่ได้ไม่ยาก” คนที่ยืนพิงขอบประตูอยู่เมื่อไหร่ไม่รู้พูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องไปและทิ้งให้ผมนั่งเอ๋ออยู่คนเดียว

ถ้าคุณถามว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่...คำตอบของผมคือว่างเปล่า ว่างไปหมดตั้งแต่หัวสมองจนกระทั่งความรู้สึก แม้กระทั่งหัวใจก็รู้สึกเหมือนมันหยุดเต้นไปแล้ว ผมพยายามคิดหาความหมายของทุกอย่าง แต่สติที่ไม่เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวทำให้อะไรๆ ก็ยากไปหมด

“ตะ...ตรงกัน”

ใจตรงกัน...ชอบเหมือนกัน

ถึงจะยังไม่ใช่แต่ก็เป็นคนที่อยากให้ใช่…

ดูเหมือนผมจะรู้แล้วว่าจะผ่านสองปีนี้ไปได้ยังไง...ก็แค่คิดถึงคำพูดของเขาเท่านั้นเอง

ถ้าผ่านสองปีไปได้...จากอยากให้ใช่...คงกลายเป็นใช่ได้ไม่ยาก…

โอย...ใจกู

 

-----------------------




หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-07-2017 15:46:23
 :man1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 31-07-2017 15:57:34
สองปี ใจบางๆ ของ "ก้อน" จะพังมั๊ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 31-07-2017 17:03:43
 :heaven :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 31-07-2017 18:55:28
โอยยย ใจก้อนน Google Translate เป็นตัวช่วยที่ดีของความกากของเก้า 55555 พี่ภูแม่งง เขินเลย #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 31-07-2017 19:33:35
เก้าเอ้ยยย  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 31-07-2017 20:34:48
เพราะฉะนั้น จะเป็นคนที่ใช่ของพี่ภูได้ น้องเก้าก็ต้องผ่านสองปีไปให้ได้น้า
พี่ภู วางตำแหน่งแฟนไว้รอแล้วน้องเก้า สองปีเท่านั้นน้องเก้าเอ๋ย  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-08-2017 02:45:16
ตายยยยค่ะกับคู่นี้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 01-08-2017 14:12:49
โอ้ยยย ใจคนอ่านนนน จะวายตายพร้อมน้องเก้า 55

เรื่องนี้คือแบบแม้แต่จูบยังไม่ได้ แต่เขินฝุดๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 02-08-2017 00:38:02
ดาเมจรุนแรงเหลือเกิน  :hao7: :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-08-2017 10:10:20
ก้อนสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-08-2017 14:19:58
โอ๊ยยยย ใจชั้น
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 02-08-2017 15:54:32
กรีดร้องงงงงงง omgggg หัวใจจจจจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[21]==[P.13]== [31/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 05-08-2017 17:08:53


-22-

 

ผมตื่นมาด้วยความสดใสระดับสิบ อะไรร้ายๆ หรือทำให้รู้สึกแย่เทมันไปจนหมดตั้งแต่เมื่อคืน ไม่แม้แต่จะเก็บเอามานึกถึง ทั้งหมดเป็นเพราะได้ฟังคำพูดที่ย้ำความตั้งใจของใครอีกคนมาแล้ว และผมยังคงเชื่อมั่นว่าพี่ภูเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าเขายอมพูดออกมาแล้วจะต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน…

ไม่ใช่ยังไม่รู้สึก...แต่อยากให้มั่นใจและมั่นคงกว่านี้ ถ้าผ่านสองปีไปได้…ทุกอย่างจะกลายเป็นความชัดเจน

ถึงจะเป็นการเอาคำพูดของเขามาต่อกันเองแต่ผมก็ยังพอใจที่ตัวเองคิดและเข้าใจแบบนั้น จะบอกว่าดื้อหรือดึงดันก็คงใช่ ผมรู้ตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นนิสัยของตัวเอง คิดแค่ว่าถ้ายังไปไม่สุดทาง ยังสู้ไม่เต็มที่ ทุกอย่างที่ผ่านมาก็จะไร้ความหมาย…และผมคงยอมไม่ได้

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้เจอคนที่รู้สึกว่าใช่...บางทีถ้าพลาดไปแล้วอาจจะไม่เจออีกเลยก็ได้

พี่ภูบอกผมว่าเขาไม่เหลืออะไรให้เรียนแล้ว รวมถึงงานที่ไทยก็เคลียร์หมดแล้วด้วย อาทิตย์หนึ่งไปเรียนแค่วันเดียวแล้วก็รอสอบปลายภาคเลย เพราะงั้นช่วงนี้เจ้าตัวเลยนั่งว่างอยู่เฉยๆ ผมมีแพลนจะชวนเขาไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่กลายเป็นตัวเองที่ติดเรียนทุกวัน แถมตอนเย็นยังต้องซ้อมดนตรีอีก ต้องรอเสาร์อาทิตย์ถึงจะหาเวลาไปไหนมาไหนได้

ผมใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานแล้วก็เดินชิลไปมหา’ลัย ก่อนออกไม่ลืมทักไปหาใครอีกคน ซึ่งเจ้าตัวก็กดอ่านอย่างรวดเร็วแล้วส่งสติกเกอร์กระต่ายหาวกลับมาให้ ผมได้แต่อมยิ้มกับความเปลี่ยนแปลงแล้วเดินไปเรียนด้วยความสุขใจ

“เย็นนี้มีคัดวง มึงต้องอยู่” ไอ้โซถ่ายทอดคำสั่งจากเฮียเจมส์ให้รู้ก่อนมันจะฟุบหน้าหลับเหมือนเคย

ผมพอจะจำได้อยู่เหมือนกันว่าวันนี้มีคัดวงดนตรีก่อนจะได้ขึ้นเวทีประกวดรอบสุดท้ายในสองอาทิตย์หน้า จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าลืมเท่าไหร่หรอก แต่คงเพราะเอาแต่สนใจอะไรอย่างอื่นถึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก

“จะนานหรือเปล่าวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองพลางนึกถึงเวลาที่พี่วินเคยบอกไว้ ตอนนั้นมัวแต่เหม่อเลยฟังไม่ละเอียดนัก แต่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะหลายชั่วโมงอยู่ กว่าจะเริ่มก็เย็นแล้วด้วย...แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาพี่ภูล่ะเนี่ย

“นัดกับภูไว้?” มันยกหัวขึ้นมาถาม

“เปล่า กูแค่จะไปหาเขา”

“ค่อยไปวันหลังดิ”

“เวลาน้อยแล้ว กูกลัวไม่คุ้ม” พูดแค่นั้นมันก็เงียบไปไม่ถามอะไรต่อ เพราะน่าจะรู้แล้วว่าผมจะสื่ออะไร โซมันก็เข้าใจดีว่าการที่ต้องห่างกันมันรู้สึกแบบไหน เพราะตัวมันเองกับพี่กีล์ก็เคยห่างกันมาก่อน เรียกว่าผมเข้าใจความรู้สึกมันในเวลานั้นน่าจะถูกกว่า แต่แน่นอนว่าผมเก่งกว่ามัน เพราะงั้นผมย่อมจัดการทุกอย่างได้ดีกว่า

ผมรอเวลาจนเลิกเรียนแล้วถึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ในไลน์ที่ใช้คุยกับใครบางคนมีข้อความเข้าใหม่โดยที่ผมไม่ได้เริ่มก่อนเป็นครั้งแรก พอเข้าไปอ่านแล้วก็อมยิ้มแก้มแทบแตกเพราะเขาส่งสติกเกอร์มาให้

PHU: *สติกเกอร์กระต่ายตื่นนอน*

KAO: พี่เพิ่งตื่นเหรอ

PHU: อืม

ตื่นตอนสี่โมงเนี่ยนะ…

KAO: ตื่นสายมาก

PHU: หิวข้าว

KAO: มากินกับผมไหม

PHU: ขี้เกียจออก

KAO: อ่า…

PHU: มึงเลิกแล้วมากินที่ห้องแล้วกัน เดี๋ยวทำเผื่อ

KAO: ผมเลิกดึกนะ

PHU: ก็มากินมื้อดึก กูจะกินข้าวเช้าก่อน จะมาไม่มา

KAO: ไปครับ! *สติกเกอร์กระต่ายเขิน*

ถ้าเผื่อไม่รู้นะ...คนที่ไม่ค่อยแสดงออก เวลาเขาพูดหรือแสดงออกตรงๆ ทีนี่ตายสุดๆ ผมพิสูจน์มาแล้ว

“อารมณ์ดีอะไรนักวะ เปิดประตูเข้ามาแล้วหน้าบานอย่างกับจานดาวเทียม” พี่วินเดินมาคล้องคอในทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องซ้อม ใกล้ๆ กันมีไอ้เต๊ะที่เล่นกลองแทนเด็กเหี้ยนั่นนั่งยิ้มแซวอยู่อีกคน

“อารมณ์ดีเพราะมีความสุขไง”

“เออ วันนี้ซ้อมชั่วโมงเดียว เดี๋ยวห้าโมงไปคัดวงต่อ เสร็จเมื่อไหร่กลับได้เมื่อนั้น”

เยี่ยม...ขอให้มาสมัครกันน้อยๆ ทีเถอะ

“พี่วิน ผมเอารายชื่อมาให้ละพี่ น่าจะมีสามสิบหกวงนะ”

ไอ้เปรม...ไอ้ตัวทำลายความหวัง

“ทำไมพี่เก้ามองผมเหมือนจะฆ่าให้ตายเลยอ่ะ ฮือ”

อย่าว่าแต่ทุ่มเลย...สองทุ่มกูจะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้

 

 

สุดท้ายด้วยความหัวร้อนส่วนตัว...ผมสามารถคัดวงดนตรีให้เหลือสิบสองวงได้ในเวลาสามชั่วโมง ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันจบสิ้น ไอ้โซไม่ได้เป็นกรรมการเลยกลับไปก่อนแล้ว ส่วนผมก็คว้าข้าวของด้วยความไวแสงแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้องคัดโดยไม่สนใจเสียงเรียกของใครทั้งนั้น

ผมแวะเข้าหอตัวเองเพื่อเอาของใช้จำเป็นยัดใส่กระเป๋า จากนั้นก็เรียกมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่คอนโดพี่ภูโดยกินเวลาในการทำทุกอย่างไปเพียงครึ่งชั่วโมง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนมันจะสั่นอยู่ในกระเป๋าตอนกำลังเดินทางแล้วก็พบว่าเป็นพี่ภูที่ทักมา

PHU: กูออกไปข้างนอก กลับดึกๆ

ข้อความตั้งแต่หกโมง...ผมส่งสติกเกอร์กลับไปแล้วนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ คิดว่าถ้ารอตรงนี้เขากลับมาจะได้ขึ้นไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นก็กดโทรศัพท์เล่นเกมไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงคอยชะเง้อคอมองประตูเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของคนตัวสูงเดินเข้ามาเสียที

สามทุ่มแล้ว...ผมไม่มีสมาธิกับการเล่นเกม นึกห่วงคนที่ยังไม่กลับมาเสียที ข้อความที่ผมตอบกลับไปแต่แรกก็ยังไม่ได้อ่าน แถมยังกลัวว่าเขาจะขับรถอยู่เลยไม่อยากกวนอีก ผมลองทักไปหาไอ้โซ ถามมันว่ารู้หรือเปล่าว่าพี่ภูไปไหน แต่ก็ยังได้รับคำตอบกลับมาว่าไม่รู้ เพราะตั้งแต่กลับมามันยังไม่ได้ออกจากห้องเลย

สี่ทุ่ม...ผมเริ่มเอนตัวไหลไปตามโซฟา ถ้าไม่ใช่เพราะพนักงานคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วคงโดนเดินเข้ามาถามหรือเชิญให้ออกไปข้างนอกแน่ แต่เพราะผมมาหาเจ้าของคอนโดอยู่บ่อยๆ เลยได้รับการต้อนรับดีถึงขนาดมีขนมกับน้ำผลไม้วางเซ่นอยู่บนโต๊ะ

ผมหมดความอดทนเลยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กะว่าจะโทรไปหาใครอีกคนที่ยังไม่กลับมาเสียที แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้ามาเสียก่อน

“พี่ภู…” เสียงที่กำลังจะตะโกนเรียกเบาลงกะทันหันเมื่อพบว่าคนที่รอมากว่าสองชั่วโมงไม่ได้เดินเข้ามาคนเดียว

ข้างกายพี่ภูคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินหันข้างให้ผม เธอเป็นชาวต่างชาติที่แต่งตัวทันสมัยและดูดีเหมือนเพิ่งมาจากต่างประเทศ ถึงแม้จะเห็นแค่ด้านข้างแต่ก็ยังรู้ได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยขนาดไหน น่าเสียดายที่เธอใส่แว่นกันแดดอยู่ผมเลยไม่สามารถคาดเดาอายุได้

ใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสงบมาตลอดอยู่ๆ ก็เต้นแรงจนแทบบ้า ทั้งปวดทั้งร้อนไปหมดจนเหมือนจะตายให้ได้ ผมก้าวเท้าตามไปช้าๆ ก่อนจะมองภาพสองคนนั้นขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ใคร...แล้วทำไมพี่ภูถึงยอมให้เข้าใกล้

ทำไมทำกับผมแบบนี้อ่ะ…

ผมก้มหน้าลงด้วยทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่ในใจ จ๋าเคยบอกว่าห้ามแย่งของคนอื่นเพราะมันจะไม่แมน ถ้าเขาเป็นอะไรกันแบบที่คิดผมก็จะยอม แต่ก่อนจะยอม...กูต้องได้สามหมัดเป็นอย่างต่ำ!

เดี๋ยวๆ...ผมสะบัดหัวไล่ความคิดชั่วร้ายทิ้ง ก่อนหน้านั้นต้องไปดูความจริงก่อน มโนไปไม่ได้ประโยชน์ บางทีอาจจะเป็นน้องหรือพี่หรืออะไรก็ได้

ด้วยการมองโลกในแง่ดีระดับสิบทำให้ผมสามารถขึ้นลิฟต์มาได้โดยไม่เผลออาละวาดไปเสียก่อน หลังจากยืนกระดิกเท้าอยู่หน้าห้องของคนคุ้นเคยอยู่สักพักผมก็ตัดสินใจเคาะประตู

“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายภาษาไทยแบบแปล่งๆ ดังออกมาจากปากของผู้หญิงที่ผมเห็นด้านล่าง เธอยังคงอยู่ในชุดเดิม ทั้งยังใส่แว่นตาเหมือนเดิมทำให้ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“สวัสดีครับ ผมมาหาพี่ภู”

“ภูมีคนมาหาด้วย…” เธอทำท่าตกใจโอเวอร์ มือยกป้องปากแบบไม่รู้จะทำยังไง แต่พอเห็นผมเริ่มหน้าหงิกก็หัวเราะคิกคักแล้วหันไปเรียกคนด้านในด้วยภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ “ภู มีคนมาหาจ้า!”

ผมมองพี่ภูเดินออกมาจากห้องนอนด้วยหน้าตาบูดๆ และต้องการคำอธิบาย เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็เดินมาหาก่อนจะดึงแขนผมให้เดินเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูห้อง

“ทำไมไม่ตอบไลน์” เขาถาม

“พี่ทักมาตอนไหน ผมดูล่าสุดก็ยังไม่เห็น…”

“ทักตอนกลับมาถึง”

อ้อ...ก็เพิ่งเมื่อกี้เองไม่ใช่หรือไง ลองได้มาเห็นเขาเดินมากับผู้หญิงผมคงมีอารมณ์ก้มดูไลน์หรอก

“ผู้หญิงคนนั้น…” ผมหันไปมองผู้หญิงคนเดิมที่กำลังมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง เธอเดินไปมุมนู้นมุมนี้โดยลากกระเป๋าใบโตของตัวเองเดินไปด้วย แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวของพี่ภู

“เฮเลน”

“อ้อ…” ผมลากเสียงยาว รอให้เขาอธิบายต่อว่าเธอเป็นใคร แต่จนแล้วจนรอดพี่ภูก็ยังไม่พูดอะไรออกมาจนผมเริ่มใจเสีย “พี่…”

“ภู นั่นเพื่อนเหรอจ๊ะ” ผู้หญิงที่พี่ภูเรียกว่าเฮเลนเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะฉีกยิ้มส่งมาให้

“กระต่าย”

“กระต่าย?” เฮเลนมองผมที่ตอบแทนพี่ภูด้วยสายตางงๆ ผมเลยสนองด้วยการตอบให้ชัดเจนขึ้นแล้วหันไปจ้องคนข้างๆ เพื่อสังเกตท่าที

“ผมเป็นกระต่ายของพี่ภู”

“ว้าย!” เธอส่งเสียงตกใจ แต่ผมไม่ได้สนใจหันไปมองเพราะเอาแต่จ้องหน้าพี่ภูอยู่ ถึงจะใจชื้นหน่อยๆ ที่เขาไม่ได้ขัดอะไรแต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ผมต้องการความชัดเจนมากกว่านี้

“ผม…”

“อืม...นี่เก้า เป็นกระต่ายของผมเอง”

อย่ามาพยายามทำให้ยิ้มนะ!

“ทำแก้มพองทำไม” พี่ภูถามยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มแก้มผมเบาๆ อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำเลยสักนิด...แต่พยายามกลั้นยิ้มอยู่ต่างหาก

“สวัสดีอีกครั้งนะหนูเก้า...ฉันชื่อเฮเลน” เธอยกมือถอดแว่นกันแดดออกก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าผมเพื่อทักทาย “เป็นแม่ของภูจ้ะ”

ฉิบหาย…

“สวัสดีครับ” ผมตอบแบบเหวอๆ แล้วยืนมือไปจับ ตาหันไปมองพี่ภูที่ยิ้มขำอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว

“เอาไว้ค่อยคุยกันนะจ้ะ ฉันขอไปพักก่อน เดินทางมาทั้งวัน”

“ครับ”

เพราะใส่แว่นตาไว้ผมเลยมองไม่ค่อยเห็นริ้วรอยบนใบหน้า พอได้เห็นชัดๆ ถึงรู้ว่าท่านน่าจะอายุเกินสี่สิบแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแม่...หมายถึงแม่เลี้ยงของพี่ภูก็ยังเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง

“กูหึงเพื่ออะไรเนี่ย” ผมยกมือขยี้หัวตัวเองเพราะทำอะไรไม่ถูก มองหน้าพี่ภูแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะรู้สึกหน้าแตกเบาๆ อีกทั้งคนข้างๆ ยังทำเหมือนจะขำด้วย แล้วเขาจะขำทำไมล่ะถ้าไม่ใช่ว่ารู้แต่แรกแล้วว่าผมคิดอะไร!

“กระต่ายโง่” พี่ภูยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ จนสติที่จางหางไปเริ่มเข้าที่ ผมเงยหน้ามองเขาทั้งที่หน้ายังร้อนก่อนจะโยนขี้แบบหน้าด้านๆ

“พี่ไม่บอกผมแต่แรกอ่ะ”

“ก็อยากดูท่าทีมึง เสียดายเฮเลนบอกก่อน…” เขาหัวเราะหึในลำคอ ท่าทางเหมือนกำลังสนุก “ตอนแรกกะว่าจะเอาให้หัวร้อนจนหน้ามืดแล้วค่อยบอกว่า ‘แม่กู’ ทีหลัง แค่คิดก็สนุกละ”

“แกล้งผมทำให้พี่สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เปล่า” เขาตอบแล้วยกมือมาโยกหัวผม “เห็นมึงเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ แล้วสนุก”

ไม่ได้ต่างกันเลย…

“พี่แม่ง…”

“เดี๋ยวกูจะคุยกับภาม วันนี้คุยช้าเพราะไปรับเฮเลน มึงอยากฟังด้วยกันไหม”

ผมเงยหน้ามองคนพูดแล้วยิ้มกว้าง รีบพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตกลง แล้วก็คิดไม่ผิดที่ทำแบบนั้น เพราะทันทีที่ตอบตกลง...คนถามก็ส่งรอยยิ้มน้อยๆ กลับมาให้เป็นรางวัล

พี่ภูเดินนำผมเข้าไปในห้องนอนตัวเอง คราวนี้เขาเปิดคอมและเป็นฝ่ายคอลไปก่อนโดยที่ตัวเองไม่ได้เปิดกล้องเช่นเดิม ส่วนผมก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วจับจ้องจอคอมด้วยความตั้งใจ

ถ้าจะช่วยเขา...ในอีกสองปีข้างหน้าที่ผมมีเวลาไปหาอาจได้เจอภาม การศึกษาไว้แต่เนิ่นๆ น่าจะจำเป็นมากที่สุด ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่ได้ศึกษาภาษามือจริงจังแต่ก็ดูไว้บ้างแล้ว

ผมคิดไว้แล้วว่าจะไม่หาเวลาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อบินไปหาพี่ภู เพราะนอกจากปีใหม่ก็คงไม่มีเวลามากพอจะไปอยู่นานๆ แต่ผมจะอดทนและทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อเตรียมการและวางแผน ทั้งเรื่องอนาคตของตัวเองและเรื่องที่ผมอยากช่วยเขาด้วย

เหมือนที่พี่ภูคิดว่าผมพิเศษกว่าคนอื่น...แต่เขาก็ยังต้องเอาครอบครัวก่อน ผมเองก็เหมือนกัน…

พี่ภูสำคัญ...แต่ครอบครัวของผมสำคัญกว่า จ๋ากับป๋าคือคนที่ผมจะไม่ยอมทำให้เสียใจเด็ดขาด ตอนเขาอยู่ที่นี่ผมอาจจะพร้อมสู้เพราะมันไม่ได้ส่งผลต่ออนาคตตัวเอง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน…

ผมต้องเรียนทุกวันเพื่อให้จบสามปีครึ่งแบบที่หวัง ปีก่อนไม่ได้เรียนซัมเมอร์ ปีนี้เลยต้องลงเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก ผมไม่มีเวลามากพอจะจัดการทุกอย่าง ต่อให้ไปหาได้ก็อยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์ แล้วแบบนั้นจะช่วยอะไรเขาได้ สู้พยายามอย่างหนักเพื่อให้ไปหาได้เร็วที่สุดดีกว่า

หลังจากจัดการเรื่องอนาคตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นผมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา เอาให้คุ้มค่ากับเวลาที่หายไป

 อีกอย่าง...ทั้งตัวเขาและตัวผมอาจต้องการเวลาและระยะห่างเพื่อทบทวนตัวเอง

“พี่จะนอนแล้ว”

รู้ตัวอีกทีก็นอนที่เขาบอกลาภามและกดปิดจอคอม ผมนั่งจ้องจนคนถูกมองรู้ตัว เขาหันหน้ามาหาก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมมองอะไร

“ผมจำหน้าพี่อยู่...เผื่อเวลาที่จะไม่ได้เจอกัน” เผื่อว่าอีกสองปีเขาจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้

“นั่นสินะ” เขาว่าแบบนั้นแล้วจ้องผมกลับเหมือนจะทำแบบเดียวกัน

“ตอนปีใหม่ผมคงไม่ได้บินไปหาพี่...เพราะทุกปีต้องอยู่ฉลองกับครอบครัว”

“กูคงทำงานหัวปั่นอยู่ ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน” เขายกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าหมายความตามที่พูดจริงๆ

“ถ้าผมจบสามปีครึ่งแล้วไปหาพี่ ตอนนั้นคงเป็นฤดูหนาวพอดี ถึงตอนนั้นเราไปฉลองปีใหม่ด้วยกันนะ”

“มึงไม่ต้องอยู่กับครอบครัวหรือไง”

“ผมจะขอจ๋าหนึ่งปี...บอกว่าจะไปตามลูกเขยกลับมาให้” ผมว่าติดตลกแต่แอบหมายความตามนั้น ปากก็ยิ้มเมื่อเห็นพี่ภูหัวเราะ ทั้งที่ใจเริ่มหน่วงเมื่อนึกถึงเวลาที่เหลือน้อยลง

“แม่มึงจะตามฆ่ากูหรือเปล่า”

“ไม่หรอก” แต่ถ้าป๋าก็ไม่แน่…

“เอาให้แน่…” เขาหันออกไปมองนอกกระจก สายตาทอดมองวิวเบื้องล่างเหมือนที่เราเคยดูบนดาดฟ้าหอผม ต่างกันแค่ครั้งนี้ไม่มีลมเย็นๆ เหมือนตอนนั้น แล้วท้องฟ้าก็ไม่ได้เปิดจนเห็นดาวชัดนัก

มองไปแล้วก็รู้สึกอึมครึมเหมือนความรู้สึกตัวเองไม่มีผิด

“แล้วแม่พี่มาทำไมเหรอ”

“มาเที่ยวน่ะ...แล้วก็รอกลับพร้อมกูเลยด้วย”

“งั้นเหรอ…”

“อย่าทำหน้าแบบนั้น” คนพูดยื่นมือมาหาก่อนจะแตะเบาๆ ที่แก้มผมแล้ววางทิ้งไว้แบบนั้น

“ผมทำหน้าแบบไหนอยู่”

“เหมือนจะร้องไห้” ปลายนิ้วเรียวเขี่ยข้างแก้มผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบ และมันทำให้รู้สึกดีมากจนสามารถยิ้มออกมาได้ในที่สุด

“ผมจะไม่ไปหาพี่จนกว่าตัวเองจะเรียนจบ…” ผมอธิบายความตั้งใจของตัวเองช้าๆ จากนั้นก็พูดทุกอย่างให้เขาฟัง...ทั้งเรื่องที่อยากรักษาอนาคตของตัวเอง เรื่องที่อยากทบทวนหลายๆ อย่าง และเรื่องการรอเวลาที่เหมาะสม ตลอดเวลาที่ผมพูดพี่ภูไม่แสดงท่าทีใดๆ เลยแม้แต่อย่างเดียวนอกจากการพยักหน้า “ผมกลัวว่ายิ่งเจอจะยิ่งอยากอยู่ด้วย และสุดท้ายจะทำให้ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้พังหมด”

ตอนเจอกันคงมีความสุขมากกว่าอะไร แต่ตอนที่ต้องจากกันอีกครั้ง ต้องรอจนกว่าจะมีเวลา ต้องทำแบบนี้ตลอดสองปี แบบนั้นมันยากมากเลยไม่ใช่หรือไง...บอกลากันครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว

“กูดีใจที่มึงคิดแบบนั้น” เขาส่งยิ้มน้อยๆ ที่ดูจริงใจมาให้ผมก่อนจะพูดต่อ “ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำอนาคตของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ความรักอาจเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต รักตัวเองให้มากที่สุดแล้วค่อยคิดไปรักใคร”

“ครับ”

“เพราะมึงคิดแบบนี้…ถึงทำให้กูรู้ว่าเลือกคนไม่ผิด” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่ปิดบัง เขาลูบแก้มผม ทั้งยังยอมปล่อยให้ผมยกมือแตะแก้มเขาด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังถ่ายทอดความรู้สึกให้กันช้าๆ และมันช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจได้มากยิ่งกว่าอะไร

“พี่จะจุ๊บผมไหม” ถามด้วยความจริงใจ แต่กลับได้รับสายตาเหมือนจะด่ากลับมา บางทีถ้าไม่มีกระจกปิดไว้เขาอาจจะโยนผมลงไปข้างล่างก็เป็นได้

“มึงแม่ง….”

“ไม่เหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวอยู่หน่อยๆ เมื่อคนที่แตะแก้มตัวเองจนถึงเมื่อครู่เอามือลง สุดท้ายเลยได้แต่เอามือลงตามเพราะกลัวเก้อ ไหงบรรยากาศหวานๆ ปนหน่วงๆ เมื่อกี้ถึงกลายเป็นบรรยากาศเขินๆ ได้วะ…ผมเนี่ยล่ะที่เขิน

“เออใช่...ถึงจะพูดให้ดูเท่มาตั้งนาน แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องคอลให้ได้เห็นหน้าพี่อย่างน้อยอาทิตย์ละสามวันอ่ะ”

“...”

“อ้าว...ไม่รู้เหรอ”

“กระต่ายเหี้ย”

ด่ากันทำไม กระต่ายไม่เข้าใจแรง ผมได้แต่ทำหน้าอึนๆ งงๆ มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ได้รับสายตาเหมือนจะด่าว่าโง่ตอบกลับมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เพราะผมเอาแต่จ้องหน้าคนข้างๆ เพื่อเก็บบันทึกใบหน้าของเขาไว้ในใจตามที่พูด

“จริงๆ กูไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนี้” พี่ภูเริ่มพูดขึ้นมาก่อนหลังจากเราเงียบไปนาน พอเห็นว่าผมจ้องอยู่เขาก็ใช้สองมือหยิกแก้มผมให้เงยขึ้นและขยับเข้าไปใกล้ “แต่ถ้าไม่พูดให้ชัด กระต่ายโง่ที่มั่นใจในตัวเองเกินเหตุแบบมึงคงคิดมาก”

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย” แต่ก็ยอมรับว่าอยากฟัง...ใครบ้างจะไม่ชอบความชัดเจน

พี่ภูทำเมินคำปฏิเสธของผมด้วยการหันออกไปมองนอกกระจก เขาทอดสายตาไปไกลเหมือนกำลังตัดสินใจจะว่าพูดหรือไม่พูดดี ซึ่งผมก็ทำได้เพียงรอคอยอยู่เงียบๆ ว่าเขาจะพูดอะไร เพราะกลัวว่าถ้ายิ่งร้องขอสิ่งที่ได้รับกลับมาจะทำให้ยิ่งผิดหวัง

“กูรู้ดีว่าตัวเองยังมีภาระถึงได้พยายามผลักไสให้ทุกคนออกห่าง...” เขาเริ่มพูดด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องนิ่งงัน ไม่กล้าแม้แต่จะละสายตาออกมา เพราะกลัวว่าแค่พริบตาเดียวจะพลาดโอกาสได้ยินเรื่องสำคัญไป “แต่เพราะมึงไม่เหมือนใคร ทำยังไงก็ไม่ยอมหยุด ยังหาวิธีเข้าหาอยู่ตลอด โคตรน่ารำคาญ”

“อ้าว…”

“แต่สุดท้ายก็กลายเป็นกูที่พลาดท่า...เปิดทางให้มึงเดินเข้ามาทำให้ทุกความตั้งใจเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไป…” ผมทวนคำพูดของเขาช้าๆ สายตาหลุบลงต่ำเมื่อพยายามตีความคำพูดนั้น แต่ดูเหมือนครั้งนี้พี่ภูจะไม่ปล่อยให้ผมเข้าใจไปเอง เพราะเขาหันมาหาก่อนจะดันคางผมให้เงยขึ้นสบกับดวงตาสีเทาคู่สวยที่กำลังทอประกายอ่อนโยน

“ทำให้กูปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความรู้สึก”

หัวใจของผมที่สงบนิ่งมาตลอดเริ่มเต้นระรัวกับคำสารภาพกลายๆ ที่ได้รับ แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรกลับไปพี่ภูก็หลุบตาลงต่ำเหมือนกับไม่ต้องการสบตาผม ฝ่ามือที่เชยคางผมอยู่จนถึงเมื่อครู่เองก็ผละออกไปด้วย

“กูไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ให้ใคร แต่พอมีแล้วก็มั่นใจว่ามันจะอยู่ไปอีกนาน เพราะงั้นถึงอยากให้มั่นใจว่าต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปีกูก็จะยังรู้สึกแบบนี้…” เขาพูดโดยไม่สบตา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย แต่ทั้งที่ผมควรดีใจกับความรู้สึกที่ได้รับรู้ หัวใจกลับปวดหนึบเพราะรู้ดีว่าคำพูดของเขาจะไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น และมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด… “แต่ถ้ามึงไม่ต้องการ ถ้าคิดว่ามันเหนื่อยก็ลืมกูซะ ไม่ต้องทักมา ไม่ต้องตามหา แค่ลืมไปว่าเคยชอบคนแบบกูแล้วไปเริ่มต้นใหม่ก็พอ”

เริ่มต้นใหม่งั้นเหรอ…

ผมไม่ได้พูดตอบอะไรไปในทันที แต่เลือกที่จะหยุดคิดตามคำพูดของเขา เวลาพูดอะไรออกไปคำพูดจะกลายเป็นนายเรา จ๋าเคยบอกผมแบบนั้น และผมไม่ต้องการพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจ เพราะงั้นถึงได้นิ่งเพื่อทบทวนทุกอย่าง

ความชอบมีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ…

มันมีค่ามากขนาดที่ทำให้ผมยอมหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่ง….รอคอยเพื่อจะได้เจอเขาในอีกสองปีข้างหน้า...ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนน่ะเหรอ ผมจะมีความอดทนและความตั้งใจมากขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่า ทำไมต้องทำขนาดนั้น มันก็แค่ชอบ...ก็แค่ชอบ...ไม่นานความรู้สึกนี้ก็หายไป เราอาจจะได้เจอคนใหม่หรือบางทีอาจจะหมดความรู้สึกไปเอง ถึงเวลานั้นจะทำยังไงกับคำพูดที่พูดออกไปแล้ว

แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งชัดเจน...ไม่ว่าจะมองในแง่ร้ายมากแค่ไหน คำตอบของผมกลับยังคงเป็นคำตอบเดิม

“ถ้าสิ่งที่ผมเป็นอยู่มันคือความถูกใจหรือความชอบผิวเผิน คนขี้รำคาญแบบผมคงจะทำตามที่พี่บอก”

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะรักใครสักคนได้...

“แต่เพราะมันเกินกว่าคำคำนั้นมาแล้ว...แล้วผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง”

สำหรับผมความรู้สึกนี้ไม่ได้เริ่มขึ้นจากสามหรือสี่เดือนก่อน...แต่มันเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้วที่ผมได้เจอเขา ยิ่งเข้าใกล้กลับยิ่งรู้สึกว่าใช่ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นแบบที่เคยคิดถูกใจในตอนแรก จวบจนมาถึงตอนนี้ก็ยิ่งแน่ชัด...

“อีกสองปี…”

ดูเหมือนจะ ‘รัก’ ไปแล้ว

“ตอนที่หิมะตก...ผมจะไปหาพี่ที่นั่น”

“อืม” คนฟังตอบแค่นั้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับจากเขา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจพองโตจนไม่รู้ว่าควรอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมทำได้เพียงยิ้มกลับไปเหมือนคนบ้า กอบกุมมือที่แตะแก้มตัวเองไว้แล้วเอียงใบหน้าเขาหาเพื่อซึมซับความอบอุ่นนั้นไว้

“กูจะไปหาอาซีกับเฮเลน...แล้วก็จะบินกลับอังกฤษเลย เรื่องสอบก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”

“อื้ม” ผมตอบรับอย่างง่ายดาย

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ภูกำลังจะไปก่อนกำหนด...ทั้งเสื้อผ้าที่เก็บใส่กระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ทั้งตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมแค่ทำตัวเป็นคนโง่เพราะไม่อยากยอมรับ แต่แค่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาบ้างสักเล็กน้อยก็สามารถทำใจได้อย่างง่ายดาย

“ตอนแรกผมคิดอยู่ว่าจะด่าพี่ยังไงดีที่ทำเหมือนผมเป็นตัวคั่นเวลา ให้ความหวังกันแล้วก็จะทิ้งกันไป” ผมพูดติดตลกแล้วหัวเราะเบาๆ ไม่อยากจะบอกว่าตอนรู้สึกแย่ๆ คิดไปถึงขั้นจะฟ้องป๋าแล้วด้วยซ้ำ “แต่เหมือนพี่จะรู้ทันเลย”

“หึ” พี่ภูยิ้มมุมปากก่อนจะให้มือทั้งสองข้างดันหน้าผมให้เงยขึ้นมอง เขาก้มลงมาจนจมูกของเราแทบจะชนกัน ความใกล้ชิดที่ได้รับทำให้ใจของผมที่เพิ่งเต้นเป็นจังหวะปกติกลับมาเต้นกระหน่ำรัวแรงอีกครั้ง “กระต่ายบ้า”

“กระต่ายอีกแล้ว...เลื่อนขั้นให้หน่อยไม่ได้เหรอ”

“อยากเป็นอะไร”

เออว่ะ...แล้วจะอยากเป็นอะไรดี

“ผมก็ไม่รู้อ่ะ”

“เป็นกระต่ายของกูยังไม่ดีอีกเหรอ”

มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี...แต่ก็อยากให้ชัดเจนกว่านี้ไง

“ไม่เลื่อนขั้นก็ได้ งั้น...คือผมไม่ได้โลภมากนะ...แต่อยากฟังชัดๆ สักครั้งอ่ะ” อย่างน้อยถ้าไม่ได้เลื่อนขั้น...ได้ฟังชัดๆ ว่าชอบสักคำคงต่อชีวิตไปได้อีกสองปี

พอเห็นผมจ้องตาแป๋วทั้งที่หน้ายังใกล้กันอยู่คนมองก็ยิ้มบาง แล้วอยู่ๆ เขาก็พ่นลมหายใจออกมาเหมือนจะแกล้งกันจนผมต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้ลืมตามองแบบเคืองๆ ตามที่คิดไว้ว่าจะทำ…เขาก็ปิดโอกาสนั้นด้วยการกดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผม…

มันเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาเหมือนแค่วางทับไว้เฉยๆ แต่สองมือที่ประคองใบหน้าผมไว้กลับไม่มีทีท่าว่าปล่อยออก ผมลืมตาขึ้นมองเมื่อริมฝีปากบางนั้นผละออก แต่แล้วก็ต้องหลับตารับสัมผัสอบอุ่นอีกครั้งเมื่อเขาวางหน้าผากทับลงมาโดยปล่อยให้จมูกของเราชนกันราวกับจะซึมซับความรู้สึกในตอนนี้ไว้….นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าใจความรู้สึกของพี่ภู

เข้าใจว่าเขาเอง...ก็อยากเก็บความทรงจำนี้ไว้เหมือนกัน

“มึงเป็นกระต่ายของกู...เป็นกระต่ายที่มีตัวเดียวในโลก…”

“...”

“กระต่ายตัวเดียวที่กูชอบ”

“ขอบคุณนะครับ”

“ดูแลตัวเองดีๆ”

“พี่ก็เหมือนกัน”

“อืม…”

เรายิ้มให้กันเป็นครั้งสุดท้าย เป็นรอยยิ้มของการจากลาที่มีแต่ความสุข ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจอีก

เขาจากไปเพื่องานและครอบครัว ในขณะที่ผมอยู่เพื่ออนาคตของตัวเอง เราทั้งคู่ต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ พี่ภูทิ้งครอบครัวกับงานไม่ได้ ผมเองก็ทิ้งอนาคตของตัวเองไม่ได้ เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...เวลาที่เราคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จแล้ว...

ถึงตอนนั้นเราจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง...ในสถานะที่แตกต่างไปจากเดิม

 

--------------------------

 

ตอนนี้คือตอนสุดท้ายของเล่มหนึ่งค่ะ :D

พอขึ้นเล่มสองแล้วก็จะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ตามไปพร้อมกันนะคะ



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 05-08-2017 17:45:16
 :mew6: :mew6: :mew6:  สู้ๆนะ กระต่ายก้อน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-08-2017 18:24:41
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-08-2017 19:16:01
 :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 05-08-2017 19:41:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 05-08-2017 19:50:39
คุณอชิราต้องเปลี่ยนเป็นผู้ที่พี่ภูทึ่งแน่นอน...
แต่จะทึ่งในเรื่องอะไรนั้น..... 555555
รอนะคะ อยากให้ตินหน้าข้ามไปเจอกันเลยได้มั้ย
คิดว่าความห่างไกลอาจจะทำให้คนอ่านปวดใจ...
...หรือว่าฟินกว่าเดิม -.-
เจ้าเก้านี่คาดเดาอะไรไม่ได้จริง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 05-08-2017 23:34:58
ความคิดน้องเก้าดีมาก ๆ สมแล้วที่เอาชนะใจพี่ภูได้ คุณค่าที่พี่ภูคู่ควร
อ่านไป ก็ลุ้นไป ว่าน้องเก้าจะได้จุ๊บจากพี่ภูไหม สุดท้ายก็แค่หน้าผาก 555
โอเค รออีกสองปีก็ได้ ถึงจะแค่หน้าผาก จมูกชนกัน แต่ก็ละมุนละไมที่สุดที่พี่ภูเคยทำแล้ว
ที่สำคัญ บอกชอบแล้วจ้า ถึงจะยังเป็นกระต่ายอยู่ก็เถอะ ฮาาา
อยากวาปไปสองปีแล้ว น้องเก้าจะทำให้พี่ภูทึ่งได้ขนาดไหนกันน้อ
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 06-08-2017 00:13:06
อ๋ออออออ ตอนสุดท้ายของเล่ม เราก็ใจกายแวปปปปเลยนึกว่าจะจบแบบนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 06-08-2017 00:54:08
เก้าเด็กดี เก่งมากลูก เวลามันเดินแปปเดียวเด๋วก็เจอกันละ สู้ว้อยกระต่ายของพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 06-08-2017 08:22:37
ตอนนี้พี่ภูพูดเยอะแล้ววววว #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 07-08-2017 03:40:44
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 07-08-2017 20:33:55
สู้ๆนะกระต่ายโง่ของพี่ภู
แค่สองปีเองเนอะ แป๊บเดียวเอง ✌✌
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-08-2017 15:58:51
เพิ่งเห็นนังก้อนดูเป็นคนปกติมีสาระก็ตอนนี้ 55555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 09-08-2017 21:27:46
พี่เพิ่งจบล่มหนึ่งเองเหรอคะ เอื้ออออออออออออ หนทางยังอีกยาวไกล กลัวจะหน่วงๆเวลาสองคนไกลกัน  :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[22]==[P.13]== [05/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-08-2017 20:39:28
-23-


สำหรับภูริ เดรค สิ่งที่เคยสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคือ ‘หน้าที่’...

ตั้งแต่มารดาเสียชีวิต หน้าที่ของเขาไม่ใช่แค่การเรียนให้จบเพื่อหางานดีๆ ทำแบบที่เคยวางแผนไว้ แต่เป็นการทำงานในตำแหน่งที่ใหญ่กว่านั้น และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือการดูแลน้องชายให้ดีที่สุดเท่าที่พี่คนหนึ่งจะสามารถทำได้

ภูไม่เคยคิดว่าตัวเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ภาม น้องชายของตัวเองกลายเป็นแบบนั้น เขาเพียงแค่คิดว่าจะดูแลภามให้ดีที่สุดตามหน้าที่ที่ได้รับ แม้ว่ามันจะเหนื่อย แต่เพื่อน้องชายที่ผูกพันมาเขายอมทำทุกอย่าง นั่นรวมถึงการยอมทิ้งระยะห่างจากทุกคนด้วย สิ่งที่ภูแบกอยู่บนบ่าคือภาระในการทำงาน และหน้าที่ในฐานะพี่ชาย เขายินยอมทิ้งความต้องการของตัวเองเพียงเพื่อให้น้องมีความสุขและไม่คิดสั้นอีก...แต่ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

หน้าที่ ‘เคย’ สำคัญที่สุด แต่ตอนนี้ภูกลับคิดว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน...นั่นคือ ‘ความรู้สึก’ และมันเกิดขึ้นตอนที่เขาได้พบเจอกับใครคนหนึ่ง…

‘แปลก’ คือคำจำกัดความของมัน เด็กคนนั้นชื่อเก้า เจอกันครั้งแรกก็เข้ามาสารภาพบอกว่าชอบ หลังจากนั้นก็ตามติดเขาเป็นตังเม ทำตัวเป็นเหมือนอากาศที่วนไปวนมาอยู่รอบกายทั้งที่เขาไม่ต้องการ แต่สุดท้าย ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ควรเกิดก็เกิดขึ้น…

ไม่ใช่แค่เอ็นดู แต่เพราะการกระทำของมันไม่ได้ทำให้รำคาญแบบที่คิด ทั้งยังทำให้สบายใจอย่างประหลาด เขาเลยเผลอปล่อยให้มันขยับเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว นึกได้อีกทีก็หมดทางหนี จำต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความรู้สึก

“คุณเดรคคะ คุณออสตินกลับมาแล้วค่ะ”

ภูละสายตาออกจากจอโทรศัพท์ที่ใครบางคนกำลังบ่นเรื่องการเรียนของตัวเองไม่หยุด เขาขยับกายลุกขึ้น เรือนร่างสูงโปร่งดูดีแม้จะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตธรรมดาเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกของห้องทำงาน โดยไม่ลืมคว้าเสื้อสูทตัวนอกมาใส่ให้เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานพ่อแท้ๆ ของเขาก็เดินเข้ามาในห้อง

“พ่อเห็นมิลินอยู่ข้างล่าง ทำไมไม่เชิญขึ้นมาล่ะ” ออสตินยกยิ้มให้ลูกชายก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ

“น่ารำคาญ” ภูตอบกลับเสียงราบเรียบ ใบหน้าเย็นชาจับจ้องบิดาเพียงครู่เดียวแล้วผละออก สายตาคมยังคงให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือมากกว่าชายสูงอายุวัยหกสิบตรงหน้า

“ตอนแรกเป็นเลขาอยู่ดีๆ ไม่ใช่หรือไง ทำไมโดนไล่ออกได้”

“เลขาห่วยๆ”

“หืม...นั่นลูกสาวท่านทูตเชียวนะ” ออสตินส่ายหน้าหน่าย เขาไม่ได้สนใจท่าทีของภูเพราะเข้าใจดีอยู่แล้วว่านิสัยที่แท้จริงของลูกชายเป็นยังไง ถึงอย่างนั้นก็อยากให้สนใจหน้าตาท่านทูตที่ส่งลูกสาวมาทำงานด้วยเสียหน่อย แม้การผิดใจกับฝั่งนั้นจะไม่ได้ทำให้เขาเสียหาย แต่ก็ยังนับเป็นสหายที่สนิทกันมานาน

“เลิกพูดเรื่องนั้นได้แล้ว อยากให้ผมแต่งงานกับเธอมากหรือไง”

“หนูมิลินก็นิสัยดีออก”

ภูกลอกตาเมื่อได้ฟังคำพูดของพ่อตัวเอง จริงอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้นนิสัยใช้ได้ หน้าตาก็ดี คำพูดคำจาสุภาพตามประสาคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาแบบเอาใจใส่ แต่เรื่องทำงานกลับไม่เอาไหน อีกทั้งยังชอบยุ่งในเรื่องที่เขาไม่ต้องการให้ใครยุ่งอีกต่างหาก คนแบบนี้อย่างดีก็เป็นได้แค่คนรู้จัก เขาไม่มีวันเอามาอยู่ข้างตัวเด็ดขาด

“หรือลูกมีใครในใจแล้ว”

“...”

“หืม…” ออสตินเหลือบตามองด้วยความแปลกใจ คนแบบภูเมื่อต้องตอบมักจะตอบตรงๆ โดยไม่เสียเวลาคิด ยิ่งเมื่อต้องการปฏิเสธอะไรจะชัดเจนเป็นพิเศษ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ อีกทั้งสายตาคมที่เคยเย็นชายังทอประกายอ่อนลงยามมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์อีกต่างหาก “ลูกเปลี่ยนไปนะ”

“เปลี่ยน?”

“ตั้งแต่กลับมาจากไทยเมื่อปีก่อน ลูกมักจะสนใจโทรศัพท์อยู่เสมอทั้งที่ไม่เคยเป็น ไหนบอกว่าโทรศัพท์ส่วนตัวเครื่องนั้นมีไว้คุยแค่กับภามไง” แม้แต่เขาหรือเฮเลนที่เป็นแม่เลี้ยง ภูก็ยังไม่เคยติดต่อผ่านโทรศัพท์ส่วนตัว เขายังต้องโทรหาผ่านทางโทรศัพท์คุยงานเลยด้วยซ้ำ จะบอกว่าคุยกับภามก็ไม่ใช่ เพราะปกติจะคุยกันเป็นเวลา และตั้งแต่ภูกลับมาทั้งคู่ก็ไม่จำเป็นต้องคอลกันอีก เพราะงั้นก็เหลือแค่เหตุผลเดียว… “มีคนที่ชอบแล้วสินะ”

คนที่ชอบ…

คนฟังทวนคำพูดนั้นในใจ ได้ยินแล้วพาลนึกไปถึงตอนที่ได้เจอกับกระต่ายของเขาเป็นครั้งสุดท้าย กระต่ายบ้าที่พยายามทำตัวเป็นปกติ แต่พอเห็นกระเป๋าเดินทางกับตั๋วเครื่องบินของเขาก็ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ ปากเบะเป็นตูดแบบที่มันชอบทำเวลาไม่พอใจ...ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามเข้าใจเขา

มันไม่เคยทำตัวงี่เง่า ยิ่งยามได้ยินเหตุผลที่จะไม่มาหากันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันคือคนที่ควรได้เจอแต่สิ่งดีๆ...ทั้งที่ดูก็รู้ว่าเป็นกระต่ายเอาแต่ใจ แต่จริงๆ แล้วกลับควบคุมตัวเองได้เก่งกว่าที่คิด คนทั่วไปบางครั้งเมื่อถึงเวลาต้องเลือกก็มักจะเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข แต่เก้าไม่ใช่แบบนั้น…มันมองโลกทุกด้าน มองเผื่อไปถึงคนรอบข้าง มองไปถึงอนาคตของตัวเอง จะบอกว่าโลภมากจะเอาทุกอย่างไว้ในกำมือก็คงใช่ แต่ในทางกลับกัน...มันก็เป็นคนรอบคอบที่ไม่ผูกตัวเองไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็น

ครืด

ภูก้มลงมองโทรศัพท์ที่สั่นเครืออยู่ในมือ บนหน้าจอปรากฎภาพไลน์ของคนที่กำลังนึกถึง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฝั่งนั้นทักมาถามคำถามราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดถึงเจ้าตัวอยู่

KAO: พี่คิดถึงผมไหม

หึ...จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจ้าเด็กนี่ถามคำถามนี้คือวันแรกที่เขาบินกลับอังกฤษ ตอนนั้นเขาส่งสติกเกอร์ทำหน้าเอือมกลับไปให้ แต่ครั้งนี้…

PHU: อืม

ปากตรงกับใจบ้างก็น่าจะดี ไม่ได้เจอมันมาเป็นปีแล้วด้วย ไม่รู้จะเฉาตายไปหรือยัง

KAO: *สติกเกอร์กระต่ายเขิน*

ริมฝีปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นการตอบกลับกวนๆ ตามสไตล์มัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของออสตินทั้งหมด ชายสูงวัยอมยิ้มตามเมื่อเห็นท่าทางลูกชายดูมีความสุข นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นภูยิ้มแบบนี้ คงต้องขอบคุณใครสักคนที่เป็นต้นเหตุ

นับตั้งแต่ภูกลับมาจากไทยเมื่อปีก่อน เขาก็ดูเปลี่ยนไปจากเดิม หากเป็นคนนอกคงไม่สังเกต แต่พ่อแท้ๆ อย่างออสตินย่อมรู้ดีว่าลูกชายตนเปลี่ยนไปมากขนาดไหน จากคนที่ไม่เคยใส่ใจอะไรนอกจากทำตามหน้าที่เหมือนเป็นหุ่นยนต์ กลับกลายเป็นคนที่ต้องหาเวลาคุยหรือกดโทรศัพท์อยู่เสมอ ออสตินเคยคิดว่าลูกชายอาจจะติดพันกับเพื่อนที่ไทย เวลาผ่านไปก็คงห่างกันไปเอง แต่ตลอดเวลาหนึ่งปีมานี้ ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่เห็นภูแตะโทรศัพท์

ชักอยากเจอแล้วสิ…

“ถ้าจริงจัง อย่าลืมพามาหาพ่อนะ” เขาอดเอ่ยปากไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางเหมือนกำลังกลั้นขำของอีกฝ่าย ใจนึกไปถึงเรื่องที่เฮเลยเคยเล่าตอนไปรับภูกลับอังกฤษ

‘ภูของเรามีเพื่อนด้วยนะคะ เขาถึงขนาดให้เข้ามาอยู่ในห้อง ฉันเห็นแล้วดีใจมากๆ เลยค่ะ’

ตอนนั้นเขาก็ดีใจไม่แพ้กัน สำหรับคนเป็นพ่อ ลูกชายคนโตเองก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้คนเล็กเลยสักนิด กับคนที่ปิดกั้นตัวเอง พยายามกันทุกคนให้ออกห่าง พอได้ยินว่ามีคนที่ยอมให้เข้าใกล้ก็อดดีใจแทนไม่ได้

“อืม” ภูตอบรับคำพูดนั้นโดยไม่รู้ตัว เขาแค่ตอบรับไปโดยไม่ทันคิด เพราะสมาธิยังคงจดจ่ออยู่กับข้อความบนหน้าจอ กระต่ายบ้ายังส่งข้อความมาบ่นเรื่องการเรียนไม่หยุด บอกว่าโดนอาจารย์ใช้งานอย่างนั้นอย่างนี้ พอรู้ว่าจะจบก่อนก็ยิ่งโดนใข้งานหนัก แค่นึกถึงหน้ามันกำลังพ่นไฟก็ต้องหลุดยิ้มออกมาหลายที

เขาไม่ค่อยมีเวลาคอลแบบเห็นหน้ากับมันนัก ทั้งจากเวลาที่แตกต่าง และจากที่ต่างคนต่างไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพราะงั้นช่องทางติดต่อเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการพิมพ์คุยกันทางไลน์ มีบ้างนานๆ ครั้งที่จะได้คอลกัน ซึ่งวันนี้ที่มันดี๊ด๊าเป็นพิเศษก็เป็นเพราะเขาสัญญาไว้ว่าจะเปิดกล้องตอนช่วงพักกลางวัน

“แล้วชินกับตำแหน่งหรือยัง” ออสตินดึงความสนใจของลูกชายกลับมา ซึ่งฝั่งนั้นก็ยอมวางโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มพูดเรื่องงาน ภูก็เป็นแบบนี้เสมอ...จริงจังกับทุกเรื่อง

“ก็ไม่มีปัญหาอะไร”

ภูเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนออสตินแบบเต็มตัวตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน โดยที่เขาใช้เวลาเรียนรู้งานเพียงแค่หกเดือน หลังจากจัดการเรื่องเรียนจบเรียบร้อยแล้วเขาก็เข้ารับตำแหน่งทันที แน่นอนว่าย่อมมีคนคัดค้านเพราะอายุยังน้อย แต่สำหรับทายาทที่แท้จริงนั่นย่อมไม่ใช่ปัญหาสำคัญ อีกทั้งออสตินยังยืนกรานจะวางมือเพราะอายุที่มากแล้ว สุดท้ายภูเลยได้รับตำแหน่งโดยไม่จำเป็นต้องสนใจใคร และเพียงแค่หกเดือนเขาก็สามารถสร้างผลงานได้มากมาย เป็นการปิดปากพวกพูดมากไปโดยปริยาย

“พูดกับพ่อเยอะๆ หน่อยสิ” ออสตินพูดด้วยความน้อยอกน้อยใจ ยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาเหนื่อยหน่ายของลูกชายก็ยิ่งทำหน้านอย ใช่ว่าเขากับภูมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นเหมือนพ่อลูกทั่วไป เพียงแต่ด้วยนิสัยของภูเลยทำให้ดูเหินห่าง พอได้มาเห็นลูกชายแสดงท่าทีแบบที่ตัวเองไม่เคยได้รับก็อดอิจฉาไม่ได้

“แก่แล้วยังทำตัวเป็นเด็ก”

“พ่อกลับก่อนดีกว่า อยู่ไปก็โดนว่า”

“ครับ เชิญ” ภูตอบสั้นๆ แล้วลุกขึ้นยืนตามมารยาท ไม่ได้สนใจสายตางอนๆ ของพ่อตัวเองเลยสักนิด รอจนออสตินเดินออกไปจากห้องแล้วเขาก็หันกลับมาสนใจโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง

ครืด

เขากดรับสายแล้วเปิดกล้องเมื่ออีกฝ่ายคอลมา ภาพที่ปรากฎในจอเป็นอย่างแรกคือหน้ายุ่งๆ ของกระต่ายโง่ที่กำลังปรับกล้องอยู่ เขามองใบหน้าได้รูปนั้นแล้วก็หยุดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรีบหุบยิ้มฉับเมื่อสายตาของคนมองหันมาสบเข้าพอดี

[พี่ภูวววววววว] มันลากเสียงยาวแล้วยื่นหน้าเข้าหาจนติดกล้อง ท่าทางดูดีใจจริงจังจนเขาอดรู้สึกดีตามไม่ได้

“อืม”

[คิดถึง]

“รู้แล้ว” ภูถือกล้องเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้นิ่งๆ เพื่อให้เห็นกันได้ชัดทั้งคู่

[ทำงานอยู่เหรอ]

“พักอยู่”

กระต่ายของเขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วจ้องจอตาแป๋วเหมือนอยากจะมุดจอมาหา ภูได้แต่อมยิ้มแล้วนั่งนิ่งๆ ให้มันมองต่อไป เห็นแก่ที่ไม่ได้เปิดกล้องกันมานาน คงต้องยอมมันเสียหน่อย

[ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย] เก้าโอดครวญแล้วเอามือลูบท้องป้อยๆ ท่าทางของมันดูน่าสงสารปนน่าหมั่นไส้ไปพร้อมๆ กัน ถ้าอยู่ใกล้ๆ เขาคงผลักหัวมันสักที แต่เพราะอยู่ห่างไกลเลยทำได้เพียงส่งสายตามองแรงไปให้

“ขนาดไม่กินยังตัวเป็นก้อน”

[ผมผอมลงขนาดนี้พี่ยังว่าก้อนอีกเหรอ!]

“หึ” ภูกลั้นยิ้มเมื่อเห็นมันก้มลงมองพุงตัวเอง จริงๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้อ้วนอะไรมาแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาชอบมองปฏิกิริยาของมันเวลาโดนแซวก็เท่านั้น ยิ่งยามหูกระต่ายกับหางกลมๆ ของมันดุ๊กดิ๊กไปมาเหมือนกำลังกังวลว่าจะอ้วนก็ยิ่งสนุก

[น้ำหนักลงมาเกือบสองโล]

“ทำไมน้ำหนักลด” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วลอบสังเกตมันอีกครั้ง จะว่าไปก็ดูผอมลงจริงๆ อีกทั้งยังดูโทรมๆ เหมือนคนนอนน้อยด้วย “ไม่ดูแลตัวเอง”

[ผมดูแลแล้วนะพี่ แต่บางทีไม่ไหวจริงๆ] คนพูดถอนหายใจก่อนจะเอาคางพาดกับโต๊ะ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมละสายตาออกจากจอ เหมือนกลัวว่าจะเสียโอกาสที่ได้มองหน้าเขา

“เรียนหนักมากเหรอ” ภูทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจนึกเป็นห่วง อยากจะลูบหัวมันให้รู้สึกดีขึ้น แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้เลยหักห้ามใจไว้ “บ่นทุกวัน”

[เรียนมันไม่เท่าไหร่หรอกพี่ แค่หลายวิชาแต่ก็ไม่เกินแรง ผมเก่งอยู่แล้วด้วย แต่ประเด็นคือโดนใช้งานเหมือนทาสเลยนี่ดิ]

ภูอยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก อยากจะบึ้งก็บึ้งไม่ลง นึกอยากขยี้หัวเจ้ากระต่ายอวดดีสักทีสองที แต่จะบอกว่ามันพูดเกินจริงก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะในสายตาคนอื่นเจ้ากระต่ายนั่นก็เป็นเด็กเก่งคนหนึ่งจริงๆ ออกจะมีความสามารถมากเกินชาวบ้านด้วยซ้ำ เพียงแต่เวลาอยู่กับเขามักจะทำตัวอีกแบบจนลืมไปบ่อยๆ ว่านั่นคือคนที่ใครๆ ต่างก็นับถือ เวลาเดียวที่เขาได้เห็นมันจริงจังและทำตัวเป็นผู้นำ คงเป็นยามอยู่บนเวทีที่มันจับไมค์ร้องเพลง แล้วก็ครั้งล่าสุด...ที่มันปกป้องเขา

‘กูชอบเขามาตั้งนาน รอมาเป็นปีจนได้ใกล้ชิดเขา ถึงจะสนิทกันแล้วกูยังไม่เคยพูดไม่ดีกับเขาสักคำ...แล้วมึงมีสิทธิ์อะไรมาแตะ’

สำหรับภู เขาไม่ได้ยอมคนอยู่แล้ว ใครมาหาเรื่องก่อนก็เอาคืน แต่ถ้าเป็นแค่คำพูดสั่วๆ เขาไม่เคยนึกเอามาใส่ใจ แต่ใครอีกคนกลับไม่ใช่แบบนั้น...แค่รู้ว่าเขาโดนดึงไปเอี่ยวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติคิดวางแผนอย่างรอบคอบ นับเป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนปกป้องเขาอย่างออกนอกหน้า ความรู้สึกในตอนนั้นคงเป็นความดีใจลึกๆ...จำได้ว่าเขาเกือบโกรธมันอยู่เหมือนกันที่คิดจะทำให้ตัวเองเจ็บ แต่แค่มองหน้าก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามันคิดไว้แล้วว่าเขาต้องช่วยทัน

เป็นกระต่ายที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ…

[พี่ภู...พี่ภู อย่าเหม่อสิ] คนในจอร้องเรียกเสียงงอแงเมื่อไม่ได้รับความสนใจ มันทำปากคว่ำเป็นสระอิ คิ้วขมวดน้อยๆ เหมือนจะขัดใจที่โดนเมิน ทุกการกระทำของมันน่าเอ็นดูไปหมด เหมือนกระต่ายตัวน้อยๆ ที่กำลังเรียกร้องความสนใจ

“ว่าไง”

[พี่ไม่ได้ฟังผมพูดเลยใช่ไหมเนี่ย...เหม่ออะไรก็ไม่รู้] มันบ่นพึมพำอยู่คนเดียว  แต่เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็ทำตาโตแล้วหันมาหาอย่างรวดเร็ว [เหลืออีกสิบนาทีพี่ก็ต้องทำงานแล้วดิเนี่ย]

ขนาดเขาเองยังไม่รู้ตัว แต่มันกลับขี้สังเกตยิ่งกว่าใคร ทุกครั้งที่ได้เปิดกล้องคุยกันภูมักจะอยู่ในช่วงเวลาพัก พอได้เห็นหน้าแล้วก็ลืมเวลาอยู่บ่อยๆ แต่ฝั่งนั้นกลับเป็นฝ่ายเตือนยามที่เห็นเวลาเหลือน้อยตลอด เหมือนกับมันกลัวว่าจะไม่ได้พูดอะไรที่อยากพูดก่อนวางแล้วจะเสียใจทีหลัง

[เหลืออีกสามร้อยยี่สิบเอ็ดวันเองนะครับ] กระต่ายก้อนของเขาพูดเสียงอ่อนด้วยรอยยิ้มนิดๆ มันชูปฎิทินตั้งโต๊ะที่มีรอยขีดค่าให้เขาดูเหมือนทุกครั้งที่ได้เปิดกล้องคุยกัน

“นี่เลือกวันมาแล้วเหรอ”

[อื้อ ผมจองตั๋วล่วงหน้าไปแล้วด้วยนะ] มันหัวเราะอยู่กับตัวเอง จนสุดท้ายเขาก็ทนทำหน้านิ่งต่อไม่ไหว ต้องเผยรอยยิ้มให้ฝั่งนั้นดีใจจนได้ [คิดถึงรอยยิ้มของพี่จัง]

“ยิ้ม?”

[ใช่ อยากเห็นใกล้ๆ อีกจังเลย] ว่าแล้วก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้กล้องจนเขามองเห็นแค่ตาสองข้างของมัน

“หึ” ภูหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับหน้าเข้าไปใกล้บ้าง “ใกล้พอยัง”

[ไม่เอาแล้ว] คราวนี้กระต่ายเจ้าอารมณ์ทำหน้ามุ่ย มันขยับหน้าถอยห่างแล้วทำท่าทางไม่พอใจ [แบบนี้คิดถึงมากกว่าเดิมอีก]

“อีกแค่สามร้อยยี่สิบเอ็ดวันเอง” ภูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นการย้ำทั้งมัน...และตัวเขาเอง

[อื้อ สิ้นปีนี้เอง]

กับคนบางคนอาจเหมือนไม่นาน แต่สำหรับคนรอคอย...แค่นาทีเดียวก็รู้สึกเหมือนยาวนานเป็นปีได้

“กูต้องไปทำงานแล้ว” เขาจำต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเตือนให้ไปประชุม ดวงตาคมดุมองไปทางประตูด้วยความหงุดหงิดทั้งที่เลขาไม่ได้ทำอะไรผิด

[งั้นไว้คุยกันต่อในแชทนะ] กระต่ายทำหน้าหงอยเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องวางสาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเป็นการปิดท้ายให้เขา [บ๊ายบาย]

“บาย” ภูถอนหายใจยาวเมื่อสายตัดไปแล้ว ร่างสูงโปร่งเอนกายพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลงเพื่อพักกายและใจชั่วครู่...คงต้องยอมรับเสียทีว่าเขาเองก็ ‘หวง’ ช่วงเวลาที่ได้คุยกันไม่แพ้ใครอีกคน



ภูเดินนวดขมับที่ปวดตุบจากการทำงานเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวขนาดใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่กับครอบครัว การต้องประชุมและต่อสู้กับกรรมการบริหารหลายๆ คนพร้อมกันไม่ใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบนัก ยิ่งผู้ช่วยที่เพิ่งขยับตำแหน่งเข้ามาใหม่มีความสามารถไม่เพียงพอเขายิ่งเหนื่อยกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คิดดังนั้นแล้วก็นึกถึงสิ่งที่เคยคุยกับใครบางคนไว้

‘อีกสองปีพี่จะรับสมัครเลขาใหม่ไหม’ 

อาจจะบ้าที่นึกอยากให้เด็กดุริยางค์มาทำงานเป็นเลขา แต่ที่บ้ายิ่งกว่าคือการที่เขาคิดถึงมันไม่หยุดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม

ไม่อยากเป็นอากาศที่ไร้ตัวตน...แต่อยากเป็นอากาศที่รู้ว่ามี

ดูเหมือนมันจะทำได้โดยไม่ต้องพยายามเลยสักนิด เพราะขนาดไม่ได้วนเวียนอยู่รอบกาย เขายังรู้สึกว่ามี มาเข้าใจว่าใครคนหนึ่งทำให้เป็นได้ขนาดไหนก็วันนี้เอง

“คุณเดรคคะ!”

ภูหลุดออกจากภวังค์เมื่อป้าเจนซึ่งเป็นแม่บ้านให้ครอบครัวของเขามานานวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา คิ้วเข้มขมวดมุ่นเพราะรู้ดีว่าเจนไม่ใช่คนที่แตกตื่นได้ง่ายๆ

“คุณหนูเธอไม่ยอมทานข้าวอีกแล้วค่ะ ป้าขอร้องยังไงก็ไม่ฟัง นี่ก็ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่ยอมออกจากห้องเลยด้วย ป้าเป็นห่วงจังเลยค่ะ”

ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้…

 “เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอกับข้าวง่ายๆ สักอย่างแล้วกัน” เขาสั่งก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน มุ่งตรงไปยังห้องนอนของน้องชายที่อยู่บนชั้นสองอย่างรวดเร็ว

ก๊อก ก๊อก

ความเงียบคือสิ่งที่ภูได้รับเมื่อลงมือเคาะประตู ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่นแต่ไม่ใช่ภู เพราะภามไม่เคยพูดหรือยอมให้ใครเข้าไปด้านในอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ที่พี่ชายตัวเองมาเคาะ เจ้าตัวมักจะเปิดประตูให้เหมือนรู้ว่าใครมาเสมอ

“ภาม เปิดประตู” เสียงทุ้มเยือกเย็นเอ่ยด้วยความไม่พอใจ ทั้งโกรธที่น้องไม่ยอมทานข้าวจนใครๆ เป็นห่วง และโกรธตัวเองที่มาช้าจนอีกฝ่ายไม่พอใจ

ไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็เปิดออกโดยฝีมือของคนที่กลัวพี่ชายโกรธมากที่สุด ภามเปิดประตูรับเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ภูมองภาพนั้นด้วยความกังวลใจ ถึงจะรู้ว่าน้องชายป่วยและมีปัญหา แต่ภามก็พูดคุยรู้เรื่อง ไม่ใช่คนคิดอะไรไม่ได้ เขาเคยคิดว่าการคุยกับหมอจะทำให้เจ้าตัวดีขึ้นเรื่อยๆ แต่แทนที่จะดีกลับกลายเป็นน้องแย่ลงทุกวัน

‘พี่มาช้า’ เจ้าตัวใช้มือในการสื่อสาร ใบหน้าซูบทอแววไม่พอใจชัดเจนเหมือนจะตำหนิที่เขาไม่มาตามนัด

“ติดงาน”

‘ผมไม่ชอบ’

“อย่าเอาแต่ใจ” ภูดึงแขนน้องชายเบาๆ ให้เดินตามไปนั่งที่เตียง

‘ทำไมต้องทำงานด้วย พ่อก็อยู่’

“พ่อสมควรพักแล้ว” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล ถ้าเป็นคนอื่นภามคงแสดงอาการไม่พอใจ แต่เพราะเป็นภูเจ้าตัวเลยทำเพียงแค่สะบัดหน้าหนี “เดี๋ยวป้าเจนทำข้าวมาให้ กินข้าวแล้วกินยาซะ”

ภามหันหน้ากลับมามองแล้วส่ายหัว

“อย่าดื้อภาม” คนเป็นพี่จำต้องทำเสียงดุเมื่อน้องไม่ยอมฟัง แม้จะปวดใจเมื่อเห็นน้องชายทำหน้าเศร้าเพราะโดนดุ แต่ถ้าไม่ดุภามคงไม่ยอมง่ายๆ เขาจำเป็นต้องใช้จุดอ่อนเรื่องกลัวโดนโกรธของอีกฝ่ายมาจัดการ ทั้งหมดก็เพื่อตัวภามเอง

‘แต่ผมไม่หิว’

“ไม่หิวก็ต้องกิน ผอมจนเห็นกระดูกหมดแล้ว” ภูพูดเสียงอ่อนลง มือยกลูบหัวอีกคนอย่างอดไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนทุกที

ภามมีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจตั้งแต่ที่แม่แท้ๆ ของพวกเขาตายไป เขาเคยคิดว่าครอบครัวใหม่ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจะช่วยน้องได้ แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผนเมื่อภามไม่เปิดรับใครเลย อีกทั้งยังเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วถึงสองรอบ แพทย์ลงความเห็นว่าภามป่วย และน้องของเขาไม่ได้ป่วยที่กาย...แต่ป่วยที่ใจ

ถึงจะดูเหมือนภามยอมแค่พี่ชาย แต่ภูรู้ตัวดีว่าไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเขาคือคนที่ภามต้องการจริงๆ น้องคงดีขึ้นนานแล้ว แต่เพราะไม่ใช่เลยทำได้เพียงยื้ออยู่อย่างนี้ เขาได้แต่หวัง...ว่าสักวันภามจะเจอใครสักคนที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นโดยไม่ต้องพยายาม คนที่น้องจะเปิดรับให้เข้าหาเหมือนที่เขาเปิดรับใครบางคนเข้ามาในชีวิต

‘แค่ห้าคำ’ ภามชูนิ้วค้างไว้ เหมือนจะบอกว่าถ้ามากกว่านี้เขาจะไม่ยอมกิน แต่เมื่อพี่ชายชูนิ้วกลับมาสิบนิ้วก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับทั้งที่ไม่พอใจ เพราะรู้ดีว่าถ้าเถียงเรื่องกินข้าวจะโดนพี่ชายโกรธ

“น่าจะเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปยกมาให้’ ภูรอจนน้องชายตอบรับแล้วเขาก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไปยกข้าวต้มที่เจนทำขึ้นมาให้น้องกิน

หลังจากจัดการให้น้องกินข้าวกินยาแล้วภูก็ไล่ภามไปอาบน้ำ เขานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง รอจนน้องหลับสนิทเหมือนทุกวันที่ผ่านมาแล้วถึงได้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างเงียบงัน

เหนื่อย...จะว่าแบบนั้นก็คงได้ การที่ต้องทำงานทุกวันทำให้เขาไม่มีเวลาพัก หลังจากกลับมาบ้านแล้วก็ต้องมาดูแลภามทุกคืน คุยเป็นเพื่อน รอจนน้องหลับแล้วถึงจะกลับห้องไปอาบน้ำนอนได้ ไม่ใช่ว่าภามงอแงว่าเขาต้องทำ แต่ภูรู้สึกเหมือนมันเป็นสิ่งที่เขาควรทำ และเขาก็เต็มใจทำ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าน้องจะกินข้าว ไม่แอบเททิ้งบ่อยๆ เหมือนที่เจนฟ้อง

ครืด

อา...ดูเหมือนนอกจากการนอนแล้วจะมีอีกสิ่งที่ช่วยทำให้เขาผ่อนคลายได้

KAO: ฝันดีครับ

KAO: *สติกเกอร์กระต่ายหลับ*

รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว รู้สึกราวกับความหนักหน่วงตลอดทั้งวันได้รับการบรรเทาลงไปหลายส่วน ภูเอนกายนอนลงบนเตียง ก่อนจะกดโทรศัพท์คุยกับกระต่ายดื้อที่ควรจะหลับไปนานแล้ว

PHU: ทำไมทักมาได้ ถึงเวลาตื่นแล้วเหรอ

KAO: ผมตื่นมาเข้าห้องน้ำ มองนาฬิกาแล้วน่าจะถึงเวลาพี่เข้านอนพอดีเลยทักมา

PHU: อืม ไปนอนต่อไป

KAO: ครับผม

เขาเองก็อยากคุยกับมันมากกว่านี้ ถ้าออกปากนิดเดียวกระต่ายบ้าคงยอมคุยต่อด้วยยันเช้า แต่ความเห็นแก่ตัวนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เก้ายังต้องเรียน และเขาจะไม่มีทางเอาความเห็นแก่ตัวไปลงที่มันแน่ๆ

ภูหลับตาลงเพื่อเตรียมตัวนอน ถึงแม้ความเหนื่อยที่สะสมจะไม่ได้ทำให้รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ใบหน้าราบเรียบเย็นชาเผยความอ่อนล้าออกมาเมื่อได้อยู่ตัวคนเดียว เขายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อตั้งสติให้พร้อมกับการรับความเหน็ดเหนื่อยในวันถัดๆ ไป เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกวันตรงที่…

ครืด

KAO: พี่ภูนอนยัง

KAO: ผมนอนไม่หลับเฉยเลย *สติกเกอร์กระต่ายร้องไห้*

KAO: *แนบรูปเซลฟี่ตัวเองกับลูกอมชาเขียว*

เป็นอีกครั้งที่คนๆ เดิมทำให้เขาสบายใจขึ้นโดยไร้เหตุผล ภูเลิกล้มความตั้งใจที่จะนอน เขาหยิบโทรศัพท์มาถือไว้เพื่อตอบกลับ มือกดเซฟรูปที่อีกฝ่ายส่งมาเหมือนทุกครั้งที่มันส่งหน้าตัวเองมาให้

PHU: ระวังฟันผุ

KAO: ระดับนี้แล้ว ไม่มีผุ *แนบรูปเซลฟี่ตัวเองยิงฟัน*

ใบหน้าราบเรียบยามไม่มีใครเห็นเผยรอยยิ้มอ่อนใจโดยไม่ต้องปิดบัง เขาขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงแล้วมองภาพถ่ายกระต่ายบ้ายิงฟันนิ่งงัน ใจนึกสงสัยว่ามันมีเรดาห์รับความรู้สึกของเขาหรือเปล่า ทุกครั้งที่เขารู้สึกแย่มันถึงได้เข้ามาถูกเวลาตลอด ขนาดอยู่ไกลกันมากเท่านี้มันยังรับรู้ได้ ครั้งหน้าที่ได้เจอกันเขาคงปิดบังอะไรมันไม่ได้อีกแน่

KAO: พี่นอนไม่หลับเหมือนกันใช่ไหม

PHU: รู้ได้ไง

KAO: ก็ถ้าหลับไปแล้วพี่คงไม่ตอบผมหรอก

ภูนึกขันในใจกับความฉลาดปนกวนตีนของกระต่ายก้อน เขานึกอยากจับมันมาบีบให้หายบ้าอยู่หลายครั้ง แต่พอเห็นหน้าอ้อนๆ ก็ทำไม่ลง ต้องยอมมันทุกที

KAO: แต่พี่ต้องนอนได้แล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปทำงาน

ถึงจะพูดยังไง สุดท้ายมันก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ดี

PHU: อืม

KAO: เดี๋ยวอีกชั่วโมงผมก็ต้องตื่นไปเรียนแล้ว ที่นั่นขึ้นวันใหม่แล้วใช่ไหม

สายตาคมมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ตามคำพูดของอีกคน แต่ก่อนจะได้ตอบรับว่าใช่เขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเห็นสิ่งที่มันพิมพ์มา

KAO: ขึ้นวันใหม่แล้ว...

KAO: เหลืออีกสามร้อยยี่สิบวันก็จะได้เจอกันแล้วนะ

KAO: ถ้าหมดแรง นึกถึงหน้าผมเหมือนที่ผมนึกถึงพี่นะครับ

KAO: *สติกเกอร์กระต่ายถือหัวใจ*

เก้ามันเก่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้...ทั้งมันหรือเพื่อนมันต่างก็บอกเขาแบบนั้น ภูไม่เคยนึกเชื่อเพราะในโลกนี้คงไม่มีใครทำได้ทุกอย่าง แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องที่อยากหรือตั้งใจทำ กระต่ายก้อนของเขาสามารถทำได้ทั้งหมดจริงๆ

การทำให้เขายิ้ม หายเหนื่อย และคิดถึงได้ไปพร้อมๆ กันในวันเดียวน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด


-----------------------

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 11-08-2017 21:01:55
 :-[ :-[ :-[  พี่ภูน่ารักกก ก้อนน่ารักกก  คนเขียนก้อน่ารักก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-08-2017 21:29:26
อีกแค่สามร้อยกว่าวัน สู้ๆ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 11-08-2017 21:40:06
อยากให้เก้ามาเจอกับพี่ภูเร็วๆจังเลยยยย ใจคนรอมันคิดถึงงง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-08-2017 21:42:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 11-08-2017 22:10:45
น้องก้อน~~~~~
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 11-08-2017 22:36:32
โอย ดีใจ ได้รู้ความรู้สึกฝั่งพี่ภูบ้าง น้องเก้าของเรา มีความสำคัญต่อพี่ภูเหลือเกิน  :m3:
ภาระหน้าที่ของพี่ภู อ่านแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน ทั้งงาน ทั้งภาม
ยังดีที่มีน้องเก้าเป็นที่พักพิงหัวใจ นี่ขนาดอยู่ห่างกัน น้องเก้ายังช่วยเยียวยาหัวใจพี่ภูได้ขนาดนี้
อยากให้ถึงวันที่น้องเก้ามาหาพี่ภูเร็ว ๆ จัง อยากให้เจอน้องภามเร็ว ๆ ด้วย
อ่านแล้วก็สงสารทั้งน้องภาม ทั้งพี่ภู ยังไงน้องเก้า สามารถเปิดใจภามได้แน่
แต่แอบกังวล ว่าถ้าอนาคต คนที่ภามเปิดรับและต้องการคือน้องเก้า แล้วพี่ภูจะทำยังไง
ชอบเรื่องนี้มาก ๆ รอตอนต่อไปน้า ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 11-08-2017 22:59:09
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 11-08-2017 23:14:04
ก้อนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-08-2017 03:54:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 12-08-2017 07:00:42
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 12-08-2017 15:13:31
เพิ่งมาตามค่ะ รวดเดียวเลยยย แบบวางไม่ลงเลย เราเข้าใจเก้านะเวลาิยู่กับคนที่รักทุกอย่างที่ฉลาดดูโง่เลย และเก้าเก่งมากที่วางตัวเหมาะอ่ะ เหมือนเค้าคือคนที่ใช่คือคนที่ภูขาดไปสิ่งที่ภูไม่มีคือสิ่งที่เก้ามาเติมเต็ม อบอุ่นและขำมาก ชอบ55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 12-08-2017 15:58:34
ชอบเก้าอ่ะ อยู่ด้วยคงมีความสุขมากๆอ่ะ
พี่ภูรีบกลับมานะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 12-08-2017 16:06:26
ดีต่อใจมาก อ่านแล้วมีความสุข
เก้าเก่งมาก น่ารักมากด้วย
ชอบโมเม้นก้อนของพี่ภู
สงสารพี่ภูมากเลย สู้ๆนะพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-08-2017 20:39:07
พี่ภูสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sangzaja122 ที่ 12-08-2017 21:31:11
ฮือออวว น่ารักมากค่ะ อบอุ่น และให้ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต ให้กำลังใจคุณCHEES รัวๆค่ะ  o14 o14
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Evergreen ที่ 13-08-2017 01:00:50
ชอบบบบบบบบบ
อยากให้มาเจอกันเร็วววๆ
น้องภาม เจอก้อนแล้วห้ามแย่งไปจากพี่ภูนะ
ก้อนของพี่ภูคนเดียวววว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 13-08-2017 10:15:16
เจอกันเร็วๆนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 13-08-2017 12:04:39
งื่ออออ พี่ภูสู้ๆ  ไม่นึกว่าเปิดตอนมาจะได้อ่านพาร์ทพี่ภูเลยนะเนี่ยะะ อิอิ

เก้ามาช่วยภามได้แน่ๆ พี่ภูไม่ต้องห่วงงงงง(เนอะะะะ)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 15-08-2017 01:15:36
สู้ไปด้วยกัน :กอด1:

เก้าสู้ พี่ภูสู้ คนอ่านก็จะสู้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 15-08-2017 01:16:15
น้ำตาซึมตอนเขาต้องมาห่างกันนี่แหละ ก้อนเข้มแข็งและพยายามมาก มาเป็นผู้ช่วยพี่ภูมา
ห่างกันเป็นปีแล้วยังเหนียวแน่น น่ารักเนอะ แต่ถ้าต้องมาอยู่กับผู้ที่ ตปท. จ๋ากับป๋าจะยอมไหมนะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 15-08-2017 01:40:37
แม้ตัวห่างไกล แต่หัวจยังคงใกล้กันเสมอ  พี่ภูกับน้องเก้าน่าจะใช้นิยามนี้ได้ :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-08-2017 09:29:46
กระต่าย สู้ ๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[23]==[P.14]== [11/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-08-2017 16:16:19


-24-



ผมไม่เชื่อว่าการรอคอยสามารถทำให้คนตายได้ ใครหลายๆ คนบอกว่ามันเจ็บและทรมาณแทบตาย ยิ่งกับการรอคอยที่ไร้จุดหมายยิ่งแล้วใหญ่ แต่เมื่อได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องรอคอยเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมเลยเริ่มเข้าใจสิ่งที่คนพวกนั้นพูดกันขึ้นมานิดหน่อย การรอคอยสำหรับผมคือการรอคอยที่มีจุดหมาย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกทรมาณที่ต้องคอยนับวันเวลา

การนับถอยหลังเจ็ดร้อยสามสิบวันเริ่มขึ้นตอนวันขึ้นปีใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว ทุกๆ ครั้งที่ขีดปฏิทินมันคือระยะเวลาที่ผมได้เข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะรู้สึกเหนื่อยเป็นสองเท่าเมื่อต้องเร่งเวลาในการเรียนหรือการทำทุกอย่าง แต่เมื่อได้เห็นเป้าหมายก็มีกำลังใจขึ้นมาทุกที

ตั้งแต่ขึ้นปีสี่ผมมีเวลาน้อยลงเพราะต้องเก็บรายละเอียดของงานทุกอย่างให้เสร็จภายในครึ่งปีแรก จะได้จบแบบไร้พันธะใดๆ แต่นั่นก็ทำให้เวลาที่มีน้อยอยู่แล้วระหว่างผมกับพี่ภูน้อยลงกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว เขาต้องทำงานหนัก ในขณะที่ผมต้องตั้งใจทำให้คะแนนออกมาเพอร์เฟคแบบที่ต้องการ หนึ่งอาทิตย์ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่ภูแค่ครั้งเดียว หรือบางทีก็สองอาทิตย์ครั้ง แล้วแต่เวลาที่เราว่างตรงกัน การที่ช่วงเวลาแตกต่างกันมากทำให้ลำบากพอสมควร ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหาเวลามาให้ผมได้สม่ำเสมอ

สองปี...จะว่าไวก็ไว แต่สำหรับคนรอแม่งช้าเหมือนเต่าคลาน ผมอยากเจอพี่ภูไวๆ อยากให้เขารู้ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากขนาด...

“เหม่อเป็นพระเอกเอ็มวี”

“เมื่อไหร่จะเลิกไอ้นิสัยชอบขัดความคิดคนอื่นวะไอ้หมากาก”

สองปีกับการเป็นเพื่อนมันยังคงเหนื่อยเหมือนเดิม ผมเอาเท้าเขี่ยไอ้หมาหน้าโง่ที่กำลังจัดกระเป๋าก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟา ข้างๆ กันคือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองที่จัดเรียบร้อยแล้ว

ผมกับไอ้โซเรียนจบพร้อมกันในเวลาสามปีครึ่ง แต่จุดหมายปลายทางของเราไม่เหมือนกัน ผมมาหามันก่อนจะเดินทางไปอังกฤษตามที่สัญญากับใครบางคนไว้ ส่วนมันจะบินตามแฟนไปที่ภูเก็ตเพื่อเจอกับพ่อตัวเอง ถึงจะใจหายอยู่หน่อยๆ ที่ต้องห่างกันหลังจากตัวติดกันมาเกือบสี่ปี แต่ใช่ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก อย่างน้อยไอ้โซมันก็ต้องบินไปอังกฤษบ่อยๆ ถึงเวลานั้นค่อยเจอกันก็ยังไม่สาย คิดได้แบบนั้นแล้วเราเลยไม่มีอะไรต้องคุยกันมาก ผมแค่มานั่งรอมันเพราะจะไปสนามบินพร้อมกันเฉยๆ และอีกอย่าง…

ก๊อก ก๊อก

ไอ้โซเดินไปเปิดประตูต้อนรับคนที่ผมนัดไว้ วินาทีแรกที่ไอ้เจไดปรากฎตัวในห้อง หน้าตาของมันบูดบึ้งเหมือนโกรธใครมาสิบชาติ แต่พอเดินมาถึงโซฟาไอ้หมอปัญญาอ่อนก็ยกมือขยี้ตาแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“หนึ่งปีได้เจอกันแค่ครั้งสองครั้ง มานัดกูอีกทีตอนเรียนจบก่อนแล้วจะแยกย้ายเนี่ยนะ”

“ต่อให้พวกกูจบสี่ปีเต็มก็ยังจบก่อนมึงอยู่ดี” ผมบอกมัน แล้วก็ได้รับสายตามองแรงกลับมาจากว่าที่คุณหมอ จะโทษใครได้ ก็มันเสือกเรียนยากเอง กว่าจะจบก็อีกตั้งสองสามปี

“ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้เจอก่อนไปด้วยซ้ำ” ไอ้โซว่าแล้วเดินไปตบไหล่เจไดเบาๆ ให้มันนั่งลง ซึ่งผมก็รู้ดีว่ามันไม่ได้โกรธอะไรจริงจังหรอก แค่งอแงที่พวกผมจบก่อนก็เท่านั้น

“กูก็คิดว่าจะไม่ได้เจอพวกมึงเหมือนกัน ดีที่เร่งอ่านจบไปตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้เลยมาหาได้”

ผมมองสภาพโทรมๆ ของเพื่อนแล้วก็ได้แต่สงสารมันในใจ เจอกันนานๆ ครั้งไอ้เจไดมันโทรมทุกครั้ง เกือบหมดมาดรองเดือนมหา’ลัย ดีที่มันดูแลตัวเองเลยไม่ได้ดูน่าอนาถนัก

“ไอ้เก้า”

“หือ”

“ไอ้โซมันบอกว่ามึงจะบินไปหาผัวถึงอังกฤษ เรื่องจริงเหรอวะ”

“ไอ้เหี้ยโซ” ผมหันไปด่าไอ้หมาทันทีที่ได้ยินคำพูดเจได ถึงจะเป็นเรื่องจริงแต่คำพูดแม่งโคตรน่าเหยียบ “เขายังไม่ใช่ผัวกู”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” มันตอบกลับหน้าตายก่อนจะหันหน้าหนีผม

“ยังกัดกันเหมือนเดิม” ไอ้เจไดบ่นเบาๆ มันส่ายหน้าหน่ายแล้วเลิกสนใจไอ้โซที่ทำท่าจะนอน แต่หันมาหาผมที่นั่งอยู่อีกฝั่งของมันแทน “ใช่คนเดิมที่มึงเคยบอกกูไหม”

“ใช่” ก็มีอยู่คนเดียวมาตลอด

“จะได้เจอแล้วดิ...ปีใหม่พอดีเลยนะมึง”

“เออ” ผมตอบมันแล้วนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อหันไปเห็นกล่องของขวัญที่วางอยู่ข้างกระเป๋าเดินทาง กว่าจะทำใจซื้อของขวัญชิ้นนั้นได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ยิ่งคิดภาพตอนบากหน้าไปซื้อเมื่อวานยิ่งอยากจะร้องยี๋ดังๆ แต่พอนึกถึงหน้าคนรับว่าจะดีใจขนาดไหนตอนได้เห็นก็ลืมเลือนทุกอารมณ์หงุดหงิดไปจนหมด

“แล้วนี่จะไปกันกี่โมง”

“เครื่องออกสิบเอ็ด...อีกครึ่งชั่วโมงก็ต้องออกจากที่นี่แล้ว” พอไอ้เจไดได้ยินคำตอบผมมันก็ทำหน้าเศร้า เหมือนจะซึมๆ ที่จะห่างกันไกลและแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ผมเลยยื่นมือไปตบขามันเบาๆ แล้วยิ้มให้ “เดี๋ยวก็ได้เจอกัน รอมึงจบก็น่าจะมีเวลาเจอกันมากกว่านี้ละมั้ง”

“เออ” มันยิ้มออก “มึงไปนั่นก็อย่าไปทะเลาะกับชาวบ้านชาวช่องเขาล่ะ”

“จะพยายาม” จนตอนนี้ก็ยังนึกสภาพตอนญาติดีกับภามไม่ออกเลยกู ถึงจะคิดวางแผนอะไรไว้หลายๆ อย่าง แต่ถ้าได้เจอตัวจริงอาจจะเกินคาดก็ได้ แถมผมยังไม่เคยวางแผนไว้ใช้กับคนที่ไม่รู้นิสัยด้วยดิ แต่ก็ช่างมันเถอะ...ไปเจอแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง วินาทีนี้ผมสนใจแค่การจะได้เจอหน้าคนที่คิดถึงมาตลอดเท่านั้นล่ะ

“จะว่าไป...เหมือนมึงจะดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยผิดปกตินะ” ไอ้เจไดหรี่ตามองผมขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจะสำรวจ ก่อนมันจะหันไปสะกิดไอ้หมาที่นอนหันหลังให้อยู่ยิกๆ ส่วนไอ้โซ...พอมันขยับตัวนั่งได้ที่แล้วก็เริ่มปากหมาต่อทันที

“มันเก็บอาการอยู่ กลัวไปเจอเขาแล้วจะเผลอทำตัวน่าอาย”

“มึงจะรีบเก็บอาการอะไรนักวะ ได้ข่าวว่าต้องนั่งเครื่องเป็นสิบชั่วโมง” ไอ้เจไดยิ้มขำ ท่าทางมันดูดีใจที่ผมมีเรื่องให้แซว “ตอนจะลงจากเครื่องมึงค่อยเก็บก็ทันมั้ง”

ผมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงคงเถียงไปนานแล้ว แต่เพราะเป็นเรื่องจริงเลยทำได้เพียงเงียบแล้วปล่อยให้มันเปลี่ยนเรื่องไปเอง ผมไม่มีทางบอกเด็ดขาดว่าจริงๆ เริ่มเก็บอาการมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทำอย่างกับไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรมากๆ ไปได้ ไม่เข้าใจหรือไงว่าการรักษาหน้ามันสำคัญ จะให้เจอแล้วดีใจออกนอกหน้ามันก็ดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ

“กูอยากตามไปถ่ายคลิปแม่งจริงๆ อยากรู้ว่าจะเก็บอาการได้อย่างที่พยายามไหม” ไอ้หมาโซยังคงไม่เลิกปากมอมใส่ผม มันทำเหมือนถ้าไม่ได้ด่าเผื่อเวลาที่ไม่เจอหน้ากันแล้วมันจะนอนไม่หลับ

เอาเลย...เอาที่เพื่อนสบายใจ วันนี้กูต้องสะสมแต้มบุญ งดด่าหมาชั่วคราว

“แม่งไม่เถียงด้วยว่ะ” ไอ้เจไดหัวเราะเสียงดังแล้วหันไปตีมือกับไอ้โซเหมือนจะดีใจที่เล่นงานผมได้ ถามว่าผมทำอะไรไหม...นอกจากชูนิ้วกลางให้ก็ยังนิ่งเหมือนเดิม อย่างที่บอก ตอนนี้ต้องสะสมแต้มบุญเยอะๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยเอาคืนแบบทบต้นทบดอกทีเดียว

“มึงจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้เก้า” เจไดมันยังถามต่อไม่หยุด แต่คราวนี้มันเปลี่ยนท่าทีให้ดูจริงจังมากกว่าเดิม ผมเลยยอมตอบมันแบบดีๆ

“จริงจังไม่จริงจังกูก็รอมาสองปีแล้ว”

ขนาดตัวเองยังงงว่าผ่านมาถึงวันนี้ได้ยังไง บางทีอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ขาดการติดต่อกันไปเลยผมถึงได้ไม่เหงานัก หรืออาจเป็นเพราะผมทุ่มเวลาให้กับการเรียนและกิจกรรมเต็มที่จนแทบไม่มีเวลาว่างคิดถึงเรื่องแย่ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหนสุดท้ายผมก็ยังผ่านมาถึงวันนี้จนได้

“เออ งั้นก็พยายามเข้าแล้วกัน” มันตบไหล่ผมเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนตามไอ้โซ ไม่ต้องพูดอะไรก็คงเข้าใจว่าถึงเวลาต้องแยกกันแล้ว “โชคดีนะมึง”

ไม่รู้ว่าแยกกันครั้งนี้อีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาเจอกันอีก ถึงปกติจะไม่ได้เจอไอ้เจไดบ่อยนัก บางทีทั้งปีได้เจอกันหนเดียว แต่มันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของพวกผมเหมือนเดิม เพราะงั้นต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนความเป็นเพื่อนก็คงไม่หายไป

“มึงก็รีบจบล่ะ” ผมบอกมันแล้วเป็นฝ่ายเข้าไปกอดก่อน แต่ยังไม่ทันได้ผละออกไอ้บ้าอีกคนก็ขยับมากอดซ้ำ ถึงไอ้เจไดมันจะไม่ได้สูงเท่าไอ้โซแต่ก็ยังตัวแน่นกว่าผมอยู่ดี กลายเป็นล็อคกูไว้ตรงกลางระหว่างควายตัวโตสองตัว

“กระต่ายแบน” คือมึงก็รู้นะว่ากูจะแบนไอ้หมาโซ แล้วยังมีหน้ามาออกแรงดันพุงใส่กูอีก

“ถอยๆ ใกล้พวกมึงมากเดี๋ยวขี้กากขึ้น” ผมดันพวกมันออกแล้วยืนนวดตัวที่โดนรัดเบาๆ แม่งกะให้กระดูกหักเลยหรือไงก็ไม่รู้ คือมันกอดแบบไม่ได้มีความรักอะไรเลย ที่รัดมาเต็มแรงนั่นคือแกล้งผมอย่างเดียว...พวกเลว

ไอ้เจไดเดินไปส่งผมกับไอ้โซที่รถก่อนมันจะแยกกลับไปที่รถของตัวเอง พอเห็นหลังเหงาๆ ของเพื่อนแล้วผมก็อดรู้สึกสงสารมันไม่ได้ ถึงจะดูเฮฮาแต่ไอ้เจไดมันไม่ใช่คนที่มีเพื่อนเยอะนัก อย่างพวกที่เรียนด้วยกันส่วนใหญ่ทุกคนก็ตั้งใจเรียนกันหมด สังคมของมันเหมือนสังคมการแข่งขันและเอาตัวรอด ผมก็ได้แต่หวังให้มันมีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างในสักวัน ถึงตอนนั้นผมกับไอ้โซคงดีใจกับมันมากกว่าใคร...แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่คิดในใจ ผมไม่มีทางยอมเสียมาดพูดออกไปเด็ดขาด

ครั้งนี้ไอ้โซไม่ได้ขับรถไปเองเพราะมันก็จะบินเหมือนกัน แต่ได้พนักงานคอนโดคนหนึ่งขับไปส่งแทน หลังจากถึงสนามบินเรียบร้อยแล้วผมก็แยกกับมันไปคนละทางโดยไม่ต้องลาอะไรกันอีก เพราะรู้ดีว่ายังไงไม่ช้าก็เร็วต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอน ที่สำคัญคือเครื่องมันออกไวกว่าผม แต่เพราะบินในประเทศเลยไม่ต้องเผื่อเวลาเยอะเท่า

ผมได้ขึ้นเครื่องในอีกประมาณสามชั่วโมงต่อจากนั้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนเครื่องสิ่งที่ผมทำนอกจากการนอนคือการนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิ เข้าใจนะว่าตัวเองโตขึ้นแล้วต้องควบคุมอารมณ์เก่งกว่าเดิม แต่ใครมันก็ต้องตื่นเต้นทั้งนั้นล่ะ…

สองปี...สองปีเลยนะ สองปีที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน ยิ่งระยะทางลดลงเท่าไหร่ใจผมก็เริ่มสงบไม่ไหว ไม่รู้ว่าเพราะได้อยู่กับเพื่อนหรือเปล่าก่อนหน้านี้ถึงยังโอเคอยู่ แต่ตอนนี้พอได้อยู่คนเดียวความคิดมากมายกลับวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด

ลืมบอกพี่ภูหรือเปล่าวะว่าจะไปหาวันนี้...ไม่ได้บอกนี่หว่า แต่ก็นั่งไล่ปฏิทินให้เขาฟังอยู่ทุกครั้งที่คุยกันนะ

แล้วถ้าเขาไม่มารับผมจะไปหายังไง...ถึงที่นั่นค่อยติดต่อไปก็ได้มั้ง

เจอภามครั้งแรกจะทำยังไงดี...กำลังตัดสินใจอยู่ระหว่างมองเมินๆ กันไปหรือฉีกยิ้มทักทายเพื่อทดสอบความเป็นมิตร

ก่อนจะเจอภาม คิดก่อนไหมว่าเจอพี่ภูจะทำยังไง...เออ อันนี้ปัญหาโลกแตกของจริง

ลองจินตนาการดู กรณีที่ผมเลือกกระโดดกอด มีสองอย่างที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งคือพี่ภูถีบกระเด็นกลับมาหน้าหงายเงิบ สองคือเขาขยับหลบจนผมหน้าจิ้มพื้น ไม่ว่าจะทางไหนก็เจ็บตัวทั้งนั้น ส่วนกรณีที่ผมเลือกยื่นของขวัญให้เป็นอันดับแรก รายนั้นคงมองนิ่งๆ แล้วถามว่าอะไรของมึงชัวร์ คือไม่ว่าจะเลือกกรณีไหนก็น่าจะเอ๋อพอๆ กัน เพราะงั้นเลิกคิดถึงประเด็นนี้แล้วเอาให้มันเป็นเรื่องของอนาคตจะดีกว่า

ส่วนตอนนี้จะทำอะไร...เหลือทางเดียวคือนอน นั่งเฟิร์สคลาสทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มสิวะ




การเดินทางมาอังกฤษครั้งนี้ผมใช้เวลาทั้งหมดสิบเอ็ดชั่วโมงนิดๆ เวลาที่ว่าคือรวมเวลาทุกอย่างแล้ว เอาง่ายๆ คือพร้อมออกจากสนามบินตอนนี้เลย เพียงแต่ผมไม่รู้เส้นทางอะไรทั้งนั้น จะให้ไปเองก็ใช่เรื่อง ที่สำคัญคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ภูอยู่ไหน ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการติดต่อไปหาเขา แต่คิดไปคิดมา...อยากไปเซอร์ไพร์สเหมือนกันว่ะ

KAO: โซ

KAO: มึงรู้ที่อยู่พี่ภูเปล่าวะ

SOLO: เดี๋ยวให้คนไปส่ง

สายเยอะก็ดีแบบนี้แหละ หึ

ผมมองนาฬิกาที่ปรับเวลาเรียบร้อยแล้วอีกรอบ เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะปีใหม่แล้ว ได้แต่หวังว่าคนที่ไอ้โซเรียกให้มารับจะพาไปถึงที่หมายทันเวลา

“คุณเก้า!”

“อ้าว พี่เองเหรอ” ผมจับมือทักทายพี่คนขับรถที่เดินเข้ามาหาหน้าตาตื่น ที่จำเขาได้เป็นเพราะเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งบินไปไทยเพื่อคุยธุระกับไอ้โซ ทั้งยังอยู่ช่วยขับรถให้มันอีกเป็นเดือน ผมที่ติดสอยห้อยตามเลยมีโอกาสได้พูดคุยตามไปด้วย จนเขากลับอังกฤษไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนถึงไม่ได้ติดต่อกันอีก

“คุณชายบอกว่าคุณเก้ารีบ...เชิญทางนี้เลยครับ”

ผมพยักหน้าแล้วรีบเดินตามเขาไป และพอขึ้นรถเท่านั้นล่ะ...ผมก็ได้เข้าใจทันทีว่าคนขับรถของนักธุรกิจต้องเป็นแบบไหน เวลาไม่รีบก็สบายๆ ไป แต่ถ้ารีบขึ้นมาคือนรกแตก

บรรยากาศของถนนด้านนอกที่ไม่ได้เห็นมานานเรียกความสนใจจากผมได้มากพอควร ถ้านับจากที่ได้มาอังกฤษครั้งล่าสุดก็น่าจะเกือบสามปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาเหยียบอีกเลย ผู้คนเต็มสองข้างทางที่รอเวลาฉลองวันขึ้นปีใหม่ทำให้ผมอดนึกถึงปีที่ผ่านๆ มาไม่ได้

จำได้ว่าปีก่อนก็กลับไปฉลองกับครอบครัวเหมือนกัน ตอนนั้นผมไม่ลืมทักไปหาคนอยู่ไกล แต่เขากลับบอกว่าตัวเองยังทำงานอยู่เลยคงไม่ได้ไปฉลองที่ไหน นับจากวันนั้นผมก็ปฏิญาณไว้กับตัวเองว่าจะต้องลากพี่ภูไปเที่ยวให้จงได้ ถ้าไม่ใช่ปีนี้...ก็ต้องเป็นปีถัดๆ ไป ต้องมีสักปีที่ผมพาเขาไปเที่ยวได้แน่นอน

“คุณเก้า ถึงแล้วครับ”

ผมรู้สึกตัวตอนที่พี่คนขับซึ่งไม่รู้ชื่อหันมาเรียก สายตาหันออกไปมองบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ผมบอกขอบคุณเขาก่อนจะลงมาจากรถ ไม่ขอรับความช่วยเหลือต่อเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ได้เจอพี่ภูแล้ว แต่เพราะมันมืดแล้วหรืออะไรก็ไม่รู้ถึงเริ่มกังวลขึ้นมา ไม่รู้พี่ภูคิดยังไงถึงมาอยู่ที่บ้านซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากผู้คนขนาดนี้ แถมต้นไม้ยังเยอะโคตรอีก

“คุณ...มาทำอะไรคะ” เสียงเรียกภาษาอังกฤษชัดเจนจากอีกด้านของรั้วทำให้ผมต้องละมือจากออดหน้าบ้านแล้วหันไปมอง ผู้หญิงวันกลางคนร่างท้วมยืนถือถุงขยะอยู่ตรงนั้น ท่าทางดูไม่ไว้ใจผมพอสมควร แต่เมื่อสบตากันท่าทางนั้นก็อ่อนลง

“ผมมาหาพี่ภูครับ” ผมรีบแสดงเจตนาที่จัดเจนของตัวเองออกไปก่อนจะโดนเข้าใจผิด ชั่วขณะหนึ่งเหมือนจะเห็นดวงตาอ่อนโยนของคุณป้าดูตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีอย่างรวดเร็ว

“คุณเก้าใช่ไหมคะ”

“ป้ารู้จักผมด้วยเหรอ” ผมทำตาโต ขาก้าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วเมื่อป้าแกเดินมาเปิดประตูให้ เพราะเริ่มรู้สึกหนาวนิดๆ จนมือสั่นไปหมด โชคดีที่หิมะยังไม่ตก ไม่งั้นเสื้อผ้าที่ผมเตรียมมาคงไม่พอรองรับอากาศหนาวขนาดนั้นแน่

“เชิญทางนี้เลยค่ะ ตอนนี้มีแต่คุณผู้หญิงกับคุณหนูที่อยู่บ้าน คุณเดรคเธอยังไม่กลับเลย ยังไงเข้าไปทักทายคุณผู้หญิงก่อนเถอะนะคะ”

“ครับ” ผมพยักหน้าตกลงก่อนจะเดินตามเข้าไป สายตาสอดส่องมองไปรอบๆ เพื่อเก็บรายละเอียดบ้านขนาดใหญ่ของพี่ภู ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก แค่ตกแต่งแบบดูดีมีสไตล์ตามแบบฉบับคนรวยเท่านั้นเอง

“คุณผู้หญิงคะ มีคนสำคัญมาหาค่ะ” คุณป้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความสุขเมื่อเราเดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น ก่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโซฟาจะหันมาหาด้วยใบหน้าแปลกใจ แต่เมื่อมองเห็นผมท่านก็เบิกตากว้างก่อนจะรีบลุกขึ้นมาหา

“หนูเก้า”

“คุณแม่ สวัสดีครับ” โมเมไว้ก่อน แม่พี่ภูก็เหมือนแม่เรา

“มาได้ยังไงจ๊ะเนี่ย” แม่เฮเลนยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะดึงให้นั่งลงข้างๆ กัน ท่านลูบตาลูบตาผมแล้วถามยกใหญ่ว่าหนาวหรือเปล่า “ทานอะไรอุ่นๆ ก่อนดีกว่า”

“เดี๋ยวป้าจะไปเตรียมมาให้นะคะ” คุณป้าที่พาผมเข้ามายิ้มให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับแม่เฮเลนสองคน

“ผมว่าจะมาเซอร์ไพร์สพี่ภู แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่กลับ” ผมบอกเหตุผลเป็นอันดับแรกก่อนจะถามต่อแบบมีมารยาท “พี่ภูจะกลับมาทันปีใหม่หรือเปล่าครับ”

พอได้ยินคำถามผู้หญิงสวยตรงหน้าผมก็ขยับยิ้มกว้าง ท่านดูดีใจที่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดจนผมอดแปลกใจไม่ได้

“น่าจะทันนะ แม่เพิ่งโทรไปหาเมื่อกี้ เห็นบอกว่าอีกสิบห้านาทีน่าจะถึง”

“ดีเลยครับ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนั้น ใจที่เต้นสงบมาได้พักใหญ่ๆ เริ่มเต้นระรัวด้วยความแตกตื่นอีกครั้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นไม้เย็นมือขึ้นมา แต่ปากก็ยังหุบยิ้มไม่ได้อยู่ดี

“ทานหน่อยนะคะจะได้อุ่นขึ้น” คุณป้าเดินถือถ้วยชามาส่งให้ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมได้แต่มองสายตาเอ็นดูของผู้ใหญ่ทั้งสองคนแบบงงๆ แม่เฮเลนพอเข้าใจได้เพราะเคยเจอกันมาก่อน แต่คุณป้าคนนี้แลดูจะเอ็นดูผมมากเหลือเกินทั้งที่เราไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ

“แม่เล่าให้ป้าเจนฟังเองจ้ะ” แม่เฮเลนยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ เหมือนจะบอกว่าท่านเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังสงสัย “ป้าเจนเป็นคนเลี้ยงภูมาตั้งแต่เด็ก พอแม่เล่าว่าภูยอมให้หนูเข้าห้องแล้วยังทำตัวสนิทด้วยก็เลยถามกันยกใหญ่ แถมคุณพ่อของภูยังมาเล่าอีกว่าภูยอมรับว่ามีคนที่ชอบแล้ว แม่ว่าแม่เดาไม่ผิดหรอก”

ผมก้มหน้าลงเพราะรู้สึกดีใจที่พี่ภูยอมรับว่ามีคนที่ชอบแล้วจนกลัวว่าจะเผลอแสดงท่าทางสมใจหรือหัวเราะฮี่ๆ ออกไป แต่ดูเหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองคนจะเข้าใจผิด…

“ไม่ต้องเขินหรอกจ้ะ น่ารักจริงเชียว” ป้าเจนจับมือผมไปลูบแล้วยิ้มให้ เล่นเอาปฏิเสธอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้พวกท่านเข้าใจผิดต่อไป “มาอยู่ยาวๆ เลยนะคะ คุณเดรคเธอจะได้มีความสุข”

“ครับ...ว่าแต่ ทำไมคุณป้าถึงเรียกพี่ภูว่าเดรคล่ะครับ” ไม่ใช่แค่ป้าเจน แต่ไรอันก็เรียกพี่ภูว่าเดรคเหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่าทำไมแต่คิดว่าคนที่นี่น่าจะเรียกเขาแบบนั้นทั้งหมดยกเว้นพ่อแม่ของเขา

“จริงๆ เดรคเป็นเหมือนชื่อในวงการของคุณภูมาตั้งนานแล้วค่ะ ป้าเองก็ชินเพราะชื่อนี้เรียกง่ายกว่าชื่อไทยที่คุณผู้หญิงคนเก่าตั้งให้” ป้าเจนไขข้อข้องใจให้ผมก่อนจะคะยั้นคะยอให้ทานน้ำชาร้อนๆ ต่อ

“แบบนี้นี่เอง…”

“แล้วหนูเก้าคิดวิธีเซอร์ไพร์สไว้หรือยังจ๊ะ” แม่เฮเลนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมเลยส่ายหน้าตอบเพราะลืมคิดเผื่อไว้ เอาแต่ตื่นเต้นจนมึนงงไปหมด “งั้นเอาแบบนี้ดีไหม…”

การสุมหัวกับผู้หญิงสองคนทำให้ผมเหวอเบาๆ อยากจะบอกว่าในโลกนี้นอกจากจ๋าแล้วยังมีอีกสิ่งที่ร้ายกาจไม่แพ้กัน...นั่นก็คือคุณแม่สองคนที่ต้องการหาลูกสะใภ้ให้กับลูกชายตัวเอง

“ฮิๆๆๆ”

เสียงหัวเราะนี้น่ากลัวพอๆ กับจ๋าเลยล่ะ




แผนการของสองคุณแม่คือการให้ผมแอบไปนอนบนเตียงพี่เขาแล้วรอเซอร์ไพร์ส ทั้งคู่คาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าตื่นเต้นดีใจของพี่ภูที่แตกต่างไปจากใบหน้าเย็นชาเหมือนปกติ แล้วก็ไม่ลืมย้ำผมให้เอามาเล่าให้ฟังด้วย แต่เพราะผมหน้าบางไปหน่อยก็เลยไม่กล้านอนลงบนเตียงเขา เอาง่ายๆ คือไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงถ้าพี่ภูเปิดผ้าห่มมาเจอ สุดท้ายเลยกลายเป็นแอบอยู่ข้างตู้แล้วเอาผ้าม่านปิดแทน

ผมยืนรอจนเมื่อย ตาเหลือบมองนาฬิกาอยู่หลายทีเพราะกลัวว่าใครอีกคนจะมาไม่ทัน แต่แล้วเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของใครบางคนเดินเข้ามา

จากมุมที่ยืนอยู่ ผมมองเห็นร่างสูงโปร่งของคนที่แสนคิดถึงได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แค่ได้เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าแบบไม่รักษามาดของเขาแล้วก็รู้สึกร้อนขึ้นมาที่ขอบตา ใจที่เคยเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นเหี่ยวแฟบลงทันทีที่ได้เห็นสภาพของเขา

ผอมลงเยอะเลย…

ยิ่งยามเจ้าตัวยกมือขึ้นนวดขมับผมก็ยิ่งใจหาย รู้สึกแย่ตามจนอยากเดินเข้าไปกอดเขาไว้ตามที่ใจคิด ถ้าผมมาแบบปกติ มาแบบที่เขารู้ตัวก่อนคงไม่มีทางได้เห็นพี่ภูในลักษณะนี้เลย อยากจะนึกขอบคุณความคิดในยามนั้นของตัวเองสักร้อยครั้ง และที่ต้องขอบคุณยิ่งกว่าคือแม่เฮเลนกับป้าเจนที่แนะนำให้ผมทำแบบนี้

ไม่ใช่ว่าท่านอยากให้ผมเซอร์ไพร์สพี่ภู แต่เป็นเพราะอยากให้ผมมาเห็นเขาในเวลาแบบนี้ต่างหาก

ไม่ใช่แค่ผอม...หน้าตาก็ดูซูบกว่าเดิมด้วย

ผมสำรวจเขาอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ถ้าให้เดาคนตรงหน้าคงปิดบังความทรุดโทรมของตัวเองต่อหน้าคนอื่นมาตลอด แม้แต่เวลาที่เปิดกล้องคุยกับผมก็แทบไม่ได้สังเกตเห็น แต่พอได้มาเจอตัวจริงแบบนี้มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

ไม่ได้ไกลกันจนสัมผัสไม่ได้อีกแล้ว…

ตอนที่นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้า พี่ภูเดินมาเปิดระเบียงแล้วออกไปยืนด้านนอกอย่างโดดเดี่ยว ผมเลิกซ่อนตัวอยู่หลังม่าน แต่ยังคงยืนห่างจากเขาประมาณสามก้าว จ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ดูเหนื่อยล้าด้วยความรู้สึกปวดใจ

พี่เองก็นับเวลาอยู่เหมือนกันกับผมใช่ไหม…

วินาทีที่พลุหลากสีถูกจุดขึ้นบนท้องฟ้า ผมก้าวเท้าเข้าไปหาเขาหนึ่งก้าว

เมื่อผ่านไปครึ่งนาที ผมขยับเท้าอีกครั้ง

และสุดท้าย...เวลาเดียวกันกับที่พลุลูกสุดท้ายกระจายบนท้องฟ้า ผมอ้าแขนทั้งสองข้างออกแล้วสวมกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง

“สวัสดีปีใหม่ครับ” ผมซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่สะดุ้งเกร็งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้ความร้อนในดวงตาที่สะสมมาตลอดไหลออกมาโดยไม่สนใจอะไรอีก

“ก้อน?” น้ำเสียงแหบแห้งของเขาทำให้ผมใจหาย จากที่น้ำตาไหลเฉยๆ เริ่มกลายเป็นการสะอื้นแบบที่ไม่เคยเป็น ผมรับรู้ได้ว่าคนที่ตัวเองกอดอยู่กำลังตกใจ แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากก้มหน้าแล้วกัดริมฝีปากไว้แน่น

“พี่ภู…”

ผมทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนแกะแขนออก แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นก้มหน้าลงเมื่อคนตรงหน้าหันหลังกลับมาสบตา ดวงตาคมสีเทาเป็นประกายรับกับพระจันทร์ด้านหลัง ฝ่ามือที่ดูเหมือนจะหยาบขึ้นเล็กน้อยแตะแก้มผมเบาๆ ก่อนจะดันให้เงยขึ้นมองกันอีกครั้ง

“อย่าร้อง…” เขาใช้ปลายนิ้วไล้คราบน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน แต่เพราะมันมีมากเกินไปจนน่ารำคาญผมเลยทำได้เพียงกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วมุ่นไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา ซึ่งดูเหมือนความพยายามจะไร้ผลเมื่อฝ่ามืออ่อนโยนข้างเดิมไล้ลงมาที่ริมฝีปากก่อนจะลูบเบาๆ เหมือนจะบอกให้ผมหยุดกัดปาก คราวนี้หน้าผมเลยยับยู่ยี่จนต้องเอื้อมสองแขนไปไขว่คว้าใครอีกคนเข้ามากอดอีกครั้ง

“คิดถึง” ผมสูดน้ำมูกอยู่ในอ้อมกอดของพี่ภู นึกขอบคุณที่เขาไม่ได้เตะกระเด็นแบบที่คิด ทั้งยังลูบหลังปลอบอีกต่างหาก

“อืม”

“พี่เหนื่อยมากไหม”

“ไม่หรอก…”

คนโกหก

พอเห็นว่าผมผละออกแล้วทำหน้าตาไม่พอใจคนหน้าดุก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยอมพูดใหม่

“จริงๆ ก็เหนื่อย”

“เหนื่อยก็พูดว่าเหนื่อยสิ ไม่ต้องมาปิดบังผมเลย” เพราะไม่ได้สะอื้นอะไรแล้วเลยพูดได้แบบเป็นปกติ ผมใส่เอาๆ จนคนฟังยอมแพ้ต้องยกมือขึ้นปิดปากผมให้หยุดพูด

“คิดว่าหิมะไม่ตกแล้วมึงจะไม่มา” เขาว่าพร้อมรอยยิ้มบาง ก่อนจะใช้มือลูบหน้าลูบตาให้ผมเบาๆ เหมือนไม่อยากให้มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่

‘ตอนที่หิมะตก...ผมจะไปหาพี่’

“ตอนนั้นพูดไปแล้วลืมคิดว่าอังกฤษหิมะเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้” ผมว่าแล้วหัวเราะเสียงดัง เอาซะคนมองทำท่าเหมือนอยากตบกะโหลก แต่สุดท้ายเขาก็แค่วางมือลงบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ

“แต่ดูเหมือนหิมะจะเข้าข้างมึงนะ”

ผมเงยหน้ามองพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆ ที่แขนก็ต้องละสายตาออกไปมอง แล้วก็พบว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงกับเขากำลังตกลงมาจริงๆ

หิมะแรกของปี…

“อะไรก็เป็นใจเนอะ” ผมยิ้มกว้างยามได้แตะหิมะ ถึงจะเริ่มรู้สึกหนาวอยู่หน่อยๆ แต่ก็ยังสนใจการได้เห็นมันมากกว่า เอาเป็นว่าเพลินจนต้องหันไปเกาะขอบระเบียงมองท้องฟ้าอยู่เป็นเวลานาน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นึกได้ว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ข้างๆ ผมรีบหันกลับไปหาพร้อมรอยยิ้ม แต่ทุกคำพูดกลับต้องกลืนหายไปเมื่อพบว่าคนๆ นั้นมองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาอ่อนโยนอันหาได้ยาก

พี่ภูยกมือขึ้นปัดปอยหิมะที่ติดอยู่บนหัวให้ผมเบาๆ ก่อนเราจะยิ้มให้กันโดยไม่ต้องพูดอะไร ผมเข้าใจแล้วว่าความคิดถึงไม่ได้ทำให้คนเป็นบ้า แต่ยามได้เจอกันต่างหาก...ที่ทำให้มีความสุขจนแทบบ้า

“รอนานหรือเปล่า…” ผมยิ้มบางเมื่อได้เห็นสายตาเป็นคำถามของเขา “ตัวช่วยมาแล้วนะ”

มาหาถึงที่เลย…

พี่ภูยังคงยกยิ้มน้อยๆ เหมือนเดิม ผมหลับตาลงเมื่อเขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ สัมผัสแรกที่รับรู้คือความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากบางที่กดลงบนหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน และเพียงไม่นานมันก็จางหายไป ก่อนจะแทนที่ด้วยความแข็งของหน้าผากใครอีกคนที่วางทับลงมาบนหน้าผากผม...เหมือนที่เคยทำเมื่อสองปีก่อน

“ขอบคุณที่มา”



-----------------



กำลังจะปิดจองแล้วนะคะ พรุ่งนี้วันสุดท้าย ปิดวันที่20สิงหา โอนได้ถึงวันที่20สิงหาน้า



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 19-08-2017 17:47:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ก้อนกะพี่ภูน่ารัก  สู้ๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-08-2017 18:13:42
ปริ่มมากกกกก :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2017 18:29:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 19-08-2017 20:13:48
น้ำตาไหล .....

 :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 19-08-2017 20:19:38
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-08-2017 21:22:55
ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ ฮืออแอ ซึ้งมากเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 19-08-2017 21:26:08
ปริ่ม...ปริ่มสุดๆ...น้ำตาละปริ่มเลย ฮือออออ (˘ ³˘)♡ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 19-08-2017 21:30:24
ทำไมร้องไห้ :mew4:
มีฟามสุข เค้าได้เจอกันแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 19-08-2017 21:39:36
มาช่วยหรือมาป่วนคะคุณเก้า
อยากเห็นน้องเป็นเลขาพี่ภู คงจะแซ่บ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 19-08-2017 22:24:49
น้ำตาซึมไปกับน้องเก้าด้วย สองปีที่รอคอย ได้เจอกันแล้ว
พี่ภูขาดีใจใช่ไหมล่า เก้าเก่งมากเลย เข้มแข็งมากด้วย กำลังใจคนสำคัญของพี่ภู

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 19-08-2017 22:38:40
หวานละมุนละไม พี่ภูอ่อนโยนกับกระต่ายก้อนเหลือเกิน :-[
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสักที ฮือออ ครอบครัวพี่ภู ต้อนรับน้องเก้าอบอุ่นมาก
เหลือแต่ภามนี่แหละ เจอกันครั้งแรก จะเป็นยังไงน้า
เอาใจช่วยน้องเก้าพี่ภู รอตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 20-08-2017 10:35:51
เจอกันแล้วววววววว ฮิ้ววววววววว

ละมุนละไมสู้ๆนะก้อนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-08-2017 12:46:32
อบอุ่นจังพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 20-08-2017 12:53:43
 :hao5: :heavenฟินนนนนนนนนรนนจ้าาสสา มันฟินอบอุ่นเนาะ สมกับที่รอคอยมาตลอด และสมกับที่เฝ้ารอให้เค้ามาหา เค้ารักกันมานานและอยุ่ด้วยกันแล้วเว้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 20-08-2017 14:32:06
ฮืออ ก้อนของพี่ภู  :monkeysad: อบอุ่นจริงงงง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Guitar. ที่ 21-08-2017 00:17:16
เข้ามาอ่านเรื่องนี้ แบบน่ารักดีอ่ะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป มีความพอดีๆ เก้าน่ารักมากๆ555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 21-08-2017 00:53:37
เราไปโอนไม่ทันนนนนน ฮือออออออออออ
อยากด้ายยยยยยยยยย  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-08-2017 09:07:56
คือดีย์ !!!!!

โอ้ย มีความละมุนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sangzaja122 ที่ 22-08-2017 09:53:08
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-08-2017 22:40:46
นึกว่าจะพลิกล็อคคนที่ก้อนกอดเป็นภาม แอบระแวง 555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 23-08-2017 15:42:59
ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 26-08-2017 01:23:43
พี่ภูไม่เหงาแล้วนะน้องก้อนมาแล้ว :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[24]==[P.14]== [19/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 26-08-2017 16:42:50


-25-


การตื่นมาในยามเช้าโดยมีใครสักคนอยู่ข้างๆ มันรู้สึกดีขนาดไหน ผมเองก็เพิ่งได้รู้ในวันนี้ สิ่งที่น่าแปลกใจคงเป็นการที่คนข้างๆ ผมนอนหลับสนิทโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นทั้งที่เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว และผมเองก็นิสัยเสียพอที่จะปล่อยให้เขานอนต่อโดยไม่ปลุก ผมรู้ดีว่าพี่ภูคงไม่ได้หยุดงานในวันนี้ แต่วันที่หนึ่งใครๆ เขาก็ไปพักผ่อนกันทั้งนั้น ขอทำตัวเด็กไม่เตือนเขาสักครั้งก็แล้วกัน

“โทรมจริงๆ ด้วย” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ เมื่อได้มองใบหน้าของเขาในระยะประชิด ยิ่งเป็นช่วงเวลาเช้ายิ่งเห็นได้ชัด ทั้งรอยคล้ำหรือปากแห้งผากล้วนทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจทั้งนั้น ถ้าให้เดาคนตรงหน้าคงลืมรักษาสุขภาพแน่ๆ เผลอๆ อาจจะกินข้าวไม่ครบทุกมื้อด้วยซ้ำ

“ไม่ชอบเลย” อยากจะเอามือถูๆ เพื่อลบรอยพวกนั้นออกให้หมด

เหมือนจะไม่ใช่แค่คิด แต่ผมดันเผลอยื่นมือออกไปแตะใบหน้าของคนนอนหลับจริงๆ ทว่าก่อนจะได้ลงมือถูตามที่ต้องการ คนที่ควรจะหลับอยู่กลับลืมตาแล้วจับมือผมไว้ได้ทันเวลา

“ไม่ชอบอะไร” คิดไปเองเปล่าวะว่าเสียงเขานุ่มกว่าเดิม

“ไม่ชอบรอยบนหน้าพี่เนี่ย” ผมตอบแล้วเอานิ้วจิ้มหน้าเขาเป็นคำตอบ แล้วก็ตามที่คาด...โดนดึงแก้มจนหน้าทิ่มเตียงเป็นการเอาคืน

“แก้มยานว่ะ”

เออ...สรุปไอ้ที่คิดเมื่อกี้คือคิดไปเอง ยังกวนตีนหน้าตายเสียงเรียบเหมือนเดิมเป๊ะ

“พี่ไม่ไปทำงานหรือไง” ผมเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนคนมองขำ ดวงตาคมดุคู่นั้นเปล่งประกายของความสุขจนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“กะจะไม่ไปอยู่แล้ว”

“หืม…” คนที่ดูขยันสุดๆ แบบนี้เนี่ยนะยอมอู้ไม่ไปทำงาน

“คิดอะไรของมึง” คนรู้ทันบิดแก้มผมให้ยกหัวขึ้นสบตาเหมือนเดิม โชคดีที่ยกหน้าตามทัน ไม่งั้นคราวนี้แก้มหลุดติดมือเขาไปจริงๆ แน่ บิดซะเต็มไม้เต็มมือ ไม่เกรงใจกันเลย “ดูทำหน้าเข้าดิ”

“หน้ายังไง”

“หน้าเหมือนตูด”

“ตูดที่หน้าพี่สิ!” ผมใช้สองมือหยิกแก้มสองข้างของคนที่ยังนอนหงายอย่างหมดความอดทน หยิกไม่พอต้องบี้ไปบี้มาให้เจ็บด้วย แต่เพราะเนื้อแก้มเขาน้อยเหลือเกิน จากที่จะแกล้งผมเลยเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแล้วปัดป่ายไปทั่วใบหน้าคมเพื่อสำรวจแทน “ทำไมผอมแบบนี้”

จับแล้วไม่ตุ้ยนุ้ยเลย อย่างน้อยก็น่าจะมีแก้มให้ดึงบ้าง

“ใครจะจับตรงไหนก็ก้อนแบบมึงฮึ” ว่าแล้วคนพูดก็ยื่นมือมาบีบพุงเสียเต็มแรงจนผมสะดุ้ง ต้องรีบกลิ้งตัวไปอีกฝั่งของเตียงด้วยความตกใจ

“ไม่ต้องมาว่าผมคืนเลย อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ” ผมขยับตัวนั่งคุกเข่าแล้วมองใบหน้าขบขันของคนหน้าดุด้วยความไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าบ้าจี้นะ แต่ไม่เคยโดนบีบพุงเหรอ มันคนละเรื่องกับจั๊กจี้เลยเถอะ ใครก็สะดุ้งได้ทั้งนั้น

คนที่ยังทำหน้าเหมือนจะขำไม่เลิกยันกายขึ้นนั่งพิงพนักเตียงแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ เขาทำตัวเป็นแป๊ะยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ประมาณว่าไม่ได้แสดงออกว่ายิ้ม แต่แค่มองผมก็รับรู้ได้ว่าเขายังขำอยู่

“ยังเงียบอีก”

“เดี๋ยวนี้กล้าว่ากูแล้วเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามด้วยท่าทางกวนๆ

“สองปีผ่านไป คุณอชิราก็ต้องมีภูมิต้านทานเสน่ห์ของคุณภูริเยอะขึ้นเป็นธรรมดา” ผมส่งเสียงหึเบาๆ แล้วยืดอกด้วยความมั่นอกมั่นใจสุดๆ

“ก็ยังเป็นกระต่ายบ้าเหมือนเดิม”

“เดี๋ยว!...” ถ้อยคำที่กำลังจะพูดเพื่อแสดงออกว่าไม่กลัวเขาหยุดชะงักเมื่อคนที่เคยนั่งพิงหัวเตียงอยู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาหาจนหน้าแทบติดกัน รอยยิ้มน้อยๆ ที่ติดอยู่ตรงมุมปากของเขาทำให้ผมเอ๋อแดกไปชั่วขณะ รู้ตัวอีกทีก็… “โอ๊ย!”

โดยผลักตกเตียงมานั่งหน้าเหวออยู่บนพื้นเฉยเลย

“ไหนภูมิต้านทาน”

“ขี้โกงนี่หว่า” ผมบ่นเบาๆ เมื่อได้สติก่อนจะเงยหน้ามองแรงใส่คนพูดที่ยังขำไม่เลิกอยู่บนเตียง อยากจะทราบเหลือเกินว่าพี่ท่านไปกินยาอะไรผิดสำแดงมา ทำไมต้องหาเรื่องแกล้งกันขนาดนี้ด้วย แต่เดี๋ยวก่อน… “นี่พี่หาทางเปลี่ยนเรื่องอีกแล้วใช่ไหม”

“เหรอ...ไม่เห็นรู้ตัวเลย” พูดเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องยื่นหน้ามาใกล้ ใจจริงอยากจะขยับหน้ากลับเข้าหาให้สะดุ้งกันไปข้าง แต่เหมือนผมจะเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว “ไหนว่ามีภูมิต้านทานไง”

“พี่ภู…” ผมหรี่ตามองคนช่างเปลี่ยนเรื่องอย่างหมดความอดทน และในวินาทีที่เขากำลังหัวเราะแล้วผละหน้าออก ผมใช้โอกาสนั้นลุกขึ้นแล้วโถมตัวใส่คนบนเตียงเต็มแรงจนเราล้มกลิ้งกันทั้งคู่ แต่เมื่อหยุดหมุนติ้วกลับกลายเป็นผมที่อยู่ใต้ร่างคนตัวสูงกว่า “ผมต้องนั่งทับพี่ดิ”

“ขอแบบนี้ก็ได้เหรอวะ” เขาเปรยเบาๆ แต่ก็ยอมพลิกตัวให้ผมนั่งทับแต่โดยดี คราวนี้ได้โอกาสแล้วผมเลยทับช่วงท้องที่ดูผอมกว่าเดิมของเขาไว้แน่น จากนั้นก็จับมือเขาไม่ให้ขยับ

“พี่เป็นรองแล้ว ทีนี้บอกมาเลยว่าทำไมผอมแบบนี้”

“ไม่บอก”

“ไม่บอกผมจูบนะ” ผมข่มขู่ด้วยวิธีที่น่าจะได้ผลมากที่สุด แต่นอกจากจะไม่กลัวแล้วคนตกเป็นรองยังทำตาแวววาวแล้วเงยหน้าให้อีก

“เอาสิ”

“พี่ภู พี่เป็นอะไรเนี่ย” ผมปล่อยมือที่จับแขนสองข้างของเขาไว้เพื่อใช้ในการเปิดตาเปิดปากหาความผิดปกติ แต่เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเมื่อคนที่ยอมอยู่ด้านล่างมานานออกแรงนิดเดียวก็สามารถพลิกตัวกลับมาอยู่ด้านบนได้อย่างง่ายดาย แถมมือเขายังล็อคแขนผมไว้แน่นยิ่งกว่าคีมอีก

“ก้อน”

“หือ” ถ้าเสียงดูเหม่อก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะใคร

คนที่มองหน้าผมอยู่ก้มลงมาหา ก่อนริมฝีปากของเขาจะเฉียดผ่านแก้มผมไปจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รดอยู่ข้างใบหู แล้วเสียงทุ้มต่ำที่เคยเย็นชาก็เอ่ยคำสั้นๆ ออกมาด้วยความอ่อนโยน

“คิดถึง”

เอาเป็นว่า...ที่เคยบอกว่าสองปีมานี้ผมมีภูมิคุ้นกันคุณภูริมากกว่าเดิม ขอสารภาพบาป ณ ตรงนี้เลยว่ามันไม่จริง...ไม่จริงเลยสักนิดเดียว

“ผมก็…”

“หิวข้าว”

“...”

“หิว”

“อันนี้จะกวนตีนหรือจะกวนตีน”

“ตลกว่ะ” คนตรงข้ามมองหน้าผมด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ “ปากเก่งกับกูมากขึ้นนะมึง”

“คนเราต้องมีการพัฒนาไง” ผมตอบกลับทันควัน แล้วก็พบว่าพลาดอีกแล้วเมื่อใบหน้าคมคายขยับเข้าใกล้ แต่ครั้งนี้ผมจ้องหน้าเขานิ่ง ไม่คิดจะหลงกลทำหน้าตาตลกให้คนขี้แกล้งขำอีก

“พัฒนา?”

ทำไมจมูกชนกันเฉยเลยวะ ไม่ขยับไปข้างๆ แล้วเหรอ..

“พี่…”

“พัฒนาจริงเหรอ”

“โอเคผมยอมแพ้” ผมชูมือเป็นรูปตัวเอกซ์ตรงหน้าเพื่อขวางกั้นใบหน้าใครอีกคนไม่ให้เข้าใกล้มากกว่าเดิม คราวนี้คนหน้าดุส่งเสียงขำออกมาแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน ผมอยากจะดีใจที่เห็นเขายิ้มได้แต่ก็ดีใจไม่ลงเพราะตัวเองยังคงหน้าบูดสนิท

“เลิกแกล้งละ ไปอาบน้ำไป จะได้ไปกินข้าว” พี่ภูขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมที่ยังหน้างอให้ขยับตัวลุกตาม พอเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปเปิดตู้ส่งผ้าเช็ดตัวมาให้ก่อนจะบอกผมว่าตัวเองจะไปอาบอีกห้องแทน

ผมจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อออกมานั่งรื้อกระเป๋าแล้วแยกของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา จะให้จัดเสื้อผ้าเลยก็ยังไม่กล้าเพราะไม่รู้ว่าพี่ภูจะให้นอนที่ไหน กล่องของขวัญปีใหม่ที่ผมเอามาจากไทยมีอยู่แปดกล่อง กล่องใหญ่สุดเป็นของพี่ภู นอกนั้นเป็นกล่องขนาดกลางที่เตรียมไว้ให้พ่อแม่เขาแล้วก็คนในบ้านที่ไม่รู้ว่ามีกี่คน ถ้าเกินแปดคงต้องไปหาซื้อเพิ่มเอา

ตอนแรกผมคิดไว้ว่าจะเข้าทางแม่พี่ภูเลยจัดการเตรียมของไว้แค่อย่างเดียวตั้งแต่ขึ้นปีสาม แต่พอผ่านไปนานๆ ความคิดต่างๆ เริ่มตกตะกอนผมก็เริ่มมองภาพให้กว้างขึ้น...ผูกใจไว้แค่คนเดียวจะสู้ผูกใจทุกคนได้ยังไง อย่างน้อยถ้าภามต่อต้านผมจะได้มีคนช่วยนอกเหนือจากแม่เฮเลน

“สองปีแล้วยังชอบทำหน้าตาชั่วร้ายไม่เปลี่ยน” คนที่มายืนพิงขอบประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยติดขบขัน ผมได้แต่หันไปมอง ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่คนตรงหน้าดูจะขำบ่อยเสียเหลือเกิน

“พี่มาช่วยผมขนของลงไปหน่อย” ผมกวักมือเรียกคนตัวสูงให้เดินเข้ามาหา แต่มาถึงเขาก็ทำท่าจะยกกล่องใหญ่ของตัวเองก่อนเลย เอาซะผมต้องดึงกล่องมากอดไว้เพราะกลัวจะโดนเปิดก่อนเวลาอันควร “อันนี้อย่าเพิ่ง พี่ถือของคุณแม่กับป้าเจนไปก่อน”

“คุณแม่?”

“แม่เฮเลนไง”

“เฮเลนไปเป็นแม่มึงตอนไหน” เขาถามด้วยน้ำเสียงข้องใจก่อนจะหยิบกล่องกำมะหยี่ของแม่เฮเลนกับกล่องของขวัญอีกชิ้นของป้าเจนขึ้น

“เป็นมานานแล้ว พี่ไม่รู้หรอก” ผมตอบยิ้มๆ แล้วยกกล่องของขวัญกล่องใหญ่ในมือขึ้น “เออใช่ ว่าแต่บ้านพี่มีคนอยู่กี่คน ผมจะได้เอาของขวัญลงไปถูก”

“มีกู ภาม เฮเลน ป้าเจน แล้วก็ลุงอดัมคนขับรถอีกคน ส่วนพ่อกูไปต่างประเทศยังไม่กลับ”

หืม...คนน้อยกว่าที่คิดนะเนี่ย

ผมหยิบกล่องของขวัญของลุงอดัมเพิ่มมาอีกกล่อง ส่วนของภามที่เตรียมไว้เป็นพิเศษยังวางอยู่ที่เดิมเพราะคิดว่าฝั่งนั้นคงไม่มาร่วมโต๊ะอยู่แล้ว หลังจากจัดการของเรียบร้อยแล้วผมก็เดินตามพี่ภูลงไปด้านล่าง

“หนูเก้า!” แม่เฮเลนเดินยิ้มกว้างเข้ามาหาแต่ไกล ข้างๆ กันมีป้าเจนที่อมยิ้มแปลกๆ เดินตามมาด้วย พอเข้าถึงตัวผมท่านก็เข้ามาควงแขนแล้วพาเดินไปที่ห้องรับแขกแบบไม่สนใจพี่ภูเลยสักนิด

“เป็นยังไงบ้างคะ” ป้าเจนที่เดินตามติดอยู่ข้างๆ กระซิบถาม

ผมนิ่งไปเมื่อพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ภาพที่ชัดเจนที่สุดในความทรงจำกลับเป็นภาพตัวเองร้องไห้น่าอายกอดคนหน้าดุไว้แน่น เท่านั้นล่ะ...ความร้อนพาดผ่านใบหน้าไร้ยางอายของผมแทบจะทันที

“หน้าแดงขนาดนี้...เอาเป็นว่าแม่รู้คำตอบแล้วจ้ะ” แม่เฮเลนหันไปหัวเราะกับป้าเจนแบบไม่ฟังคำอธิบายใดๆ จากผมอีก ซึ่งดูเหมือนผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ยิ่งยามหันหลังไปเห็นสายตาเป็นประกายของคนด้านหลังก็ยิ่งพูดไม่ออก

ตกลงแม่ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจกระซิบแต่จงใจพูดให้พี่ภูได้ยินถูกไหม

“คือผมเอาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาฝาก” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนกดดันมากกว่าเดิม ทีนี้เลยได้รับเสียงหัวเราะจากพวกผู้ใหญ่ดังกลับมา ท่าทางคงคิดว่าผมเขินเรื่องเดิมอยู่แน่ๆ

“งั้นเดี๋ยวเราค่อยมาเปิดดูกันเนอะ ตอนนี้ไปทานข้าวก่อนดีกว่าจ้ะ” แม่เฮเลนว่าจบก็ยกกล่องออกไปจากแขนผมแล้วจูงให้เดินตามไปที่ห้องอาหารอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้รื่นเริงอย่างที่คิด กลับกันผมว่ามันค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนพอควร ป้าเจนที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบมากระซิบบอกว่าปกติครอบครัวนี้ไม่ได้ทานข้าวพร้อมกันเท่าไหร่นัก หรือถ้าทานพร้อมกันก็มักจะทานเงียบๆ ทั้งยังแอบบอกผมว่าพี่ภูทานข้าวน้อยด้วย บางครั้งจมอยู่กับกองเอกสารไม่ยอมทานก็มีเหมือนกัน กลายเป็นไปบังคับภามแต่ตัวเองไม่ยอมทานเสียเอง

ผมรอบสังเกตการทานอาหารของพี่ภูอย่างจริงจังอีกครั้ง มีหลายคราวที่สังเกตเห็นว่าแม่เฮเลนแอบเหลือบมองเขาด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ตามคาด...ท่าทางพี่ภูดูเหมือนคนกินอะไรไม่ลงจริงๆ

“ป้าเจนครับ ผมขอยืมครัวหน่อยนะ” ผมหันไปบอกป้าเจนเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“ได้ค่ะ”

“ขออนุญาตสักครู่นะครับ” หลังจากขอโทษแม่เฮเลนแล้วผมก็วางช้อนส้อมก่อนจะเดินเข้าครัวไปกับป้าเจน

สิ่งที่ผมทำคือกับข้าวง่ายๆ ที่ฝึกทำมากว่าร้อยครั้งในช่วงที่ห่างกับเขา อยากจะอวดว่าผมทำอาหารได้เยอะแล้วด้วย แต่เพราะเวลาตอนนี้มีน้อยแล้ววัตถุดิบที่ต้องการก็คงไม่เพียงพอ ผมเลยเลือกทำไข่เจียวหมูสับง่ายๆ แล้วยกออกไปด้านนอกโดยไม่ลืมทำเผื่อแม่เฮเลนกับป้าเจนด้วย

“ลองทานดูนะครับ” ผมวางจานอาหารตรงหน้าแม่เฮเลนก่อนจะเดินไปวางอีกจานตรงหน้าพี่ภู สายตาของเขามองผมเหมือนจะตั้งคำถามกับสิ่งที่ผมทำ ผมนึกอยากอวดสรรพคุณของตัวเองตามนิสัย แต่เพราะต้องรักษาหน้าเลยทำได้เพียงก้มลงกระซิบกับเขาสั้นๆ “ผมเก่งใช่ไหมล่ะ”


หน้าตาแบบนั้น...ชัดเจนเลยว่าคำตอบคือใช่

“หนูเก้าทำอาหารเป็นด้วยเหรอจ๊ะ” แม่เฮเลนตักไข่เจียวเข้าปากก่อนจะหันมาถามด้วยความแปลกใจ

“พอได้ครับ”

“เมื่อก่อนทำทีครัวแทบพัง”

ผมหันไปถลึงตาใส่คนที่พูดขัดโดยอัตโนมัติ ยิ่งเห็นเขาลอยหน้าลอยตาตักไข่กินแล้วยักไหล่เหมือนจะบอกว่างั้นๆ ก็ยิ่งของขึ้น

“ใครจะไปทำอร่อยเหมือนพี่ล่ะ” ผมแสร้งตัดพ้อแล้วส่งสายตาไปหาคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ซึ่งท่านก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง

“หนูเก้าทำอร่อยแล้วจ้ะ ภูอย่าแกล้งน้องสิ”

“ผมแค่พูดความจริง”

“อย่าสนใจเลยจ้ะ ยิ่งชอบมากก็ยิ่งอยากแกล้งมากเป็นธรรมดา” คุณแม่ผู้เริ่มเข้าข้างผมมากกว่าลูกตัวเองปลอบเสียงหวาน เล่นเอาหน้าพี่ภูมืดมนไปครึ่งแถบ ถึงอย่างนั้นเมื่อได้เห็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เริ่มผ่อนคลายมากกว่าเดิมผมก็ดีใจ และเมื่อได้หันไปเห็นข้าวในจานพี่ภูที่ลดลงกว่าเดิมรอยยิ้มก็กว้างขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

“คุณแม่ครับ แล้วภาม…” ผมไม่แน่ใจนักว่าควรถามเรื่องภามตรงนี้หรือเปล่า แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็รู้สึกว่าถ้าไม่พูดอาจจะยาว ผมไม่อยากให้ภามคิดว่าการที่ผมมาที่นี่จะทำให้ทุกคนสนใจเขาน้อยลงกว่าเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นคงแย่แน่ๆ “เขายังไม่กินอะไรเหรอครับ”

พอได้ยินคำถามความเงียบก็เข้ามาปกคลุมรอบโต๊ะอาหารอีกครั้ง ผมเห็นสายตาของพี่ภูดูแย่กว่าเดิมก็รู้สึกแย่ตาม แม้แต่ความไวในการกินข้าวของเขาก็น้อยลงด้วย

“ปกติแม่จะรีบทานให้เสร็จแล้วถึงจะยกไปให้ภามจ้ะ” แม่เฮเลนยิ้มเศร้าให้ผมก่อนจะพูดต่อ “ถ้าภูอยู่บ้านภูจะเป็นคนยกไปเอง ส่วนใหญ่ภามจะยอมทาน แต่ถ้าแม่หรือป้าเจนยกไปให้จะไม่ค่อยทานเท่าไหร่”

“เดี๋ยวผมยกไปเอง เฮเลนไปนั่งดูของขวัญกับเก้าเถอะ” พี่ภูรวบช้อนแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว อยากจะรั้งเขาไว้ก็ไม่ได้เพราะไข่เจียวที่ผมทำให้เขากินจนหมดจานไปแล้ว

ผมได้แต่มองตามภาพพี่ภูยกถาดอาหารขึ้นไปด้านบนจนลับสายตา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกแม่เฮเลนแตะแขนเบาๆ ให้ลุกขึ้นยืนตาม ท่านพาผมเดินมานั่งตรงโซฟาห้องรับแขกที่เราทิ้งกล่องของขวัญเอาไว้ ผมกอดกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้พี่ภูแน่นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

เรื่องของภามผมควรเริ่มยังไงดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตามเขาไปง่ายๆ แล้วทำทุกอย่างตามที่อยากทำ แต่ยิ่งศึกษาผมก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่ภามเป็นอยู่มันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน การทำตามความรู้สึกทั้งหมดไม่ใช่เรื่องดี ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ต้องคิดให้เยอะกว่าเดิม

“ค่อยๆ คิดนะคะ” ป้าเจนดึงมือผมไปจับไว้แล้วบีบเบาๆ สายตามากประสบการณ์ของท่านมองผมอย่างทะลุปรุโปร่ง “แค่อยากช่วยพวกเราก็ดีใจมากแล้ว”

“อีกอย่างหนูเก้าก็ช่วยอยู่แล้วด้วย” แม่เฮเลนพูดแทรกก่อนจะมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน “ถ้าไม่ใช่เพราะหนู พวกเราคงไม่ได้กังวลแค่เรื่องภาม”

เรื่องพี่ภูก็น่ากังวลไม่แพ้กันสินะ...แค่นึกถึงภาพเขาตอนได้เจอกันเมื่อวานผมก็เข้าใจในสิ่งที่แม่อยากสื่อในทันที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ควรเอาความคิดมากของตัวเองไปทำให้แม่เฮเลนกับป้าเจนเครียดกว่าเดิม

“ผมเอาของมาฝากด้วยนะครับ” ผมสลัดเรื่องพี่ภูกับภามออกจากหัวก่อนจะหันไปหยิบกล่องของขวัญที่อยู่ด้านข้างส่งให้ทั้งคู่

“ของป้าด้วยเหรอคะ” ป้าเจนรับของไปจากมือผม ก่อนท่านจะทำหน้างงเมื่อผมส่งให้อีกกล่อง

“อันนี้ผมฝากให้ลุงอดัมด้วยนะครับ”

“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ท่านขยับยิ้มกว้างก่อนจะดันกายลุกขึ้น “งั้นป้าขอตัวไปหาอดัมก่อนนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรคุณเก้าเรียกได้ตลอดเวลาเลยนะ”

“ขอบคุณครับป้า”

หลังจากป้าเจนเดินออกไปแล้วผมเลยหันกลับมาสนใจแม่เฮเลนที่กำลังสำรวจกล่องกำมะหยี่ในมืออย่างละเอียด ผมเข้าใจดีว่าทำไมท่านถึงสังเกตรายละเอียดแม้กระทั่งกล่องใส่ ทั้งที่แค่เปิดดูข้างในก็น่าจะรู้แล้ว กล่องกำมะหยี่ทรงแบนมีตราสัญลักษณ์ด้านหน้าแบบนั้นคงใส่อะไรไม่ได้มากนัก ยิ่งกับคนที่ชื่นชอบอยู่แล้วย่อมเดาได้ไม่ยากว่าในนั้นมีอะไร

“นี่มัน…”

ผมเห็นท่านจ้องมองตราสัญลักษณ์บนกล่องด้วยสายตาเป็นประกายแล้วก็ต้องอมยิ้ม สิ่งที่สะดุดตาแม่เฮเลนไม่ใช่กล่องกำมะหยี่ที่ดูธรรมดานั่นหรอก แต่เป็นตราบนนั้นและของที่อยู่ภายในต่างหาก เพราะมูลค่าของสิ่งของไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอก บรรจุภัณฑ์เป็นแค่สิ่งที่เพิ่มความน่าดึงดูดให้แก่สินค้าเท่านั้น คนเลือกซื้อของอาจจะซื้อเพราะลักษณะภายนอกสวยงาม แต่เมื่อพบว่าของภายในไม่มีคุณภาพก็สามารถทิ้งได้ง่ายๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

“ของขวัญจากทางบ้านผมครับ” อันที่จริงคือจากผมแล้วก็จ๋า เพราะป๋าไม่มีทางสนับสนุนให้ผมเอาของมาเซ่นครอบครัวว่าที่แฟนอยู่แล้ว

“ตายแล้ว!” แม่เฮเลนอุทานเสียงดังเมื่อเปิดกล่องออก ด้านในก็ไม่ใช่อะไรที่เกินคาด...มันคือสร้อยคอเพชรที่จ๋าสั่งทำให้ผม ตัวสร้อยไม่ได้ใหญ่โตอะไรออกจะเล็กด้วยซ้ำ เพียงแต่ถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นความวิจิตรและปราณีตของช่างอย่างชัดเจน ยิ่งเป็นลวดลายแบบไทยๆ ก็ยิ่งทำให้สร้อยเส้นนี้ดูแปลกตาสำหรับคนต่างชาติเข้าไปใหญ่

“ถูกใจไหมครับ”

“สวยมากเลยจ้ะ” ท่านตอบโดยไม่ละสายตาออกจากตัวสร้อย “ไม่ต้องดูใหญ่หรือเยอะ แต่แค่มองก็รู้สึกได้ถึงมูลค่าข้างใน ทั้งความปราณีตและความตั้งใจทุกอย่างใส่อยู่ในนี้หมดเลย”

“สำหรับคนที่โตมากับเพชร ผมดีใจมากเลยครับที่แม่เข้าใจความงามของมันจริงๆ” ผมบอกจากใจก่อนจะได้รับสายตาตกใจตอบกลับมา

“หนูเก้าโตมากับเพชรเหรอจ๊ะ”

“พ่อผมเป็นพ่อค้าเพชรครับ ส่วนแม่เคยเป็นนักออกแบบเครื่องประดับก่อนจะผันตัวมาเป็นแม่บ้าน ปัจจุบันก็ยังทำงานบ้างนานๆ ครั้ง นอกจากดนตรีแล้วก็คงเป็นเรื่องนี้ที่ผมค่อนข้างจะมีความรู้”

“ไม่เห็นเคยรู้” เสียงทุ้มที่ดังมาจากประตูห้องรับแขกเรียกให้ผมกับแม่เฮเลนหันไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นพี่ภูที่กำลังเลิกคิ้วแปลกใจขณะที่จ้องมาที่ผม

“ผมไม่เคยบอกพี่อีกแล้วเหรอ” จำได้ว่าตอนนั้นบอกไปว่าป๋าเป็นพ่อค้าเพชร...เออว่ะ ไม่ได้บอกว่าจ๋าทำอะไรนี่หว่า

“เล่าก็เล่าไม่หมด” คนหน้าดุเขกหัวผมเสียงดังก่อนจะทรุดกายนั่งลงข้างๆ เขาคว้ากล่องที่ผมกอดอยู่ออกไปโดยไม่ให้ตั้งตัวก่อนจะลงมือดึงโบว์ออกอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยว!” ผมดึงมือพี่ภูไว้ไม่ให้ลงมือแกะต่อ แต่พอได้สบตาแล้วก็ต้องงงว่าจะห้ามทำไมในเมื่อเอามาให้เขาอยู่แล้ว สุดท้ายเลยได้แต่กลับมานั่งบีบมือตัวเองไว้เหมือนเดิมเพื่อคิดหาเหตุผล

“ทำไมเบา” คนที่กำลังแกะเขย่ากล่องเบาๆ เพื่อทดสอบ ผมที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มโดยไร้สาเหตุ ยิ่งกระดาษถูกฉีกออกมากเท่าไหร่ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น จวบจนเขากำลังจะเปิดกล่องออกนั่นล่ะ…

“พี่” ผมเรียกเขาไว้ ไม่รู้ความมั่นใจตอนแรกหายไปไหนหมดเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือเริ่มไม่โอเคกับของที่อยู่ในนั้นแล้ว

“อะไรของมึง” สิ้นคำ พี่ภูเปิดกล่องออกแล้วกระชากของในนั้นออกมาอย่างแรง ผมรีบหันหน้าหนีกะทันหัน มาถึงตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไร

ไม่ใช่ว่าเขิน...แต่เพราะไม่อยากเห็นไอ้กระต่ายขนปุยตัวเท่าควายในมือเขาต่างหาก!

 “ตุ๊กตา?”

“น่ารักจังเลย” ณ จุดนี้แม้แต่เสียงของแม่เฮเลนก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย

“หึ” เสียงหัวเราะไม่น่าไว้วางใจของคนข้างๆ ทำเอาขนลุกชัน และวินาทีต่อมาผมก็ได้คำตอบว่าเขาจะทำอะไร “เหมือนมึงเลยดูดิ”

“พี่ภู!” ผมรีบเอามือดันไอ้ตัวขนปุยที่เขายื่นมาตรงหน้าออก ขนาดเป็นแค่ตุ๊กตายังรู้สึกได้ถึงความปุกปุยหยึยๆ ของมัน ไม่ควร...ไม่ควรจำใจซื้อมันมาสุดๆ ซวยเองเฉยเลยกู

“ดูก่อนดิ หน้าเหมือนมึงจริงๆ”

“เอาไปห่างๆ!”

“หน้าเอ๋อๆ ด้วยว่ะ”

“พี่ภู ผมบอกให้เอาออกไปปปปป”

“ไม่”

“คิกๆ แม่เอาสร้อยไปเก็บก่อนนะจ๊ะ” แม่จะหัวเราะอะไรครับ แล้วยังจะหนีอีก ทำไมไม่ช่วยผมก่อนเล่า

คราวนี้คนแรงเยอะกว่าล็อคคอผมแล้วดึงเข้าไปหาจนแทบจะปลิวไปนั่งเกยบนตัก ก่อนเขาจะจับไอ้ตัวปุกปุยยัดใส่หน้าให้ผมโวยวายเล่นท่ามกลางเสียงหัวเราะของแม่เฮเลนที่ดูห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่เอาปุกปุย!”

“ลืมตาเร็ว”

สัมผัสจั๊กจี้ที่จมูกบวกกับแรงจิ้มที่เอวทำเอาคนไม่บ้าจี้อย่างผมต้องหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ยิ่งขำตัวก็ยิ่งเอนไปข้างหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะคนขี้แกล้งเอาแขนรองรับไว้ผมคงกลิ้งลงไปอยู่ที่พื้นเป็นแน่

“ก้อน ไม่ลืมตาดูกูดีใจเหรอ” ได้โปรดอย่าพูดด้วยเสียงนุ่มแบบนั้นจะได้ไหม

“พี่ดีใจก็พอแล้ว”

“ลืมตาเร็ว...นะ”

แล้วแบบนี้ใครจะหลับตาอยู่ได้วะ

“นิสัยไม่ดี” ผมครวญครางหน้าบูดก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ...แล้วก็เป็นไปตามคาด คนอย่างพี่ภูไม่หยุดแกล้งแล้วเอาหน้าตัวเองยื่นมาแทนหรอก เพราะลูกกะตาสีดำสนิทของไอ้กระต่ายปุกปุยมันจ้องผมเขม็งเลย “พี่แม่ง!...”

“ขอบคุณ”

 “...”

“กูชอบมาก…”

ผมลืมว่ามีกระต่ายตัวโตจ้องหน้าอยู่ ลืมว่าตัวเองเอนกายนอนอยู่บนตักของใคร ลืมแม้แต่ความขุ่นเคืองหัวร้อนที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะตอนนี้ใจเต้นแรงไปกับคำพูดสั้นๆ แค่ไม่กี่คำของเขาจนเผลอยื่นมือไปดึงกระต่ายนุ่มนิ่มเข้ามากอด ถึงจะเกลียดแต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวโตๆ ของมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ช่วยซ่อนใบหน้าแดงเถือกของผมได้

“ผมก็ชอบ”

“กูหมายถึงกระต่าย”

“******”

“บ่นไร” คนฟังหัวเราะร่วนเสียงดังไม่เกรงใจใคร เล่นเอาผมปากระต่ายใส่หน้าเขาแทบไม่ทัน

กูเกลียดความพลาดนี้! พลาด พลาดมากๆ พี่ไปอัพเกรดตัวเองมาตอนไหนวะ

“เหมือนมึงจริงๆ นะ” พี่ภูพูดหลังจากดันตัวผมขึ้นมานั่งเป็นปกติแล้ว เขาวางกระต่ายไว้บนตักแล้วจับหูมันพลิกไปมาเหมือนกำลังพิจารณาอยู่ “ตัวขาวๆ ก้อนๆ กลมๆ”

“ไม่เห็นน่ารักเลย” ผมเบะปากแล้วมองกระต่ายเหยียดๆ แต่คนที่ถือมันไว้กลับเลิกคิ้วแล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ

“แล้วกูบอกตอนไหนว่าน่ารัก”

แพ้...แพ้ทุกทาง

ผมยกมือกุมขมับด้วยความปวดไตระดับสุด ปากยังอ้าเงิบๆ เหมือนเดิมด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดี สุดท้ายเลยได้แต่เงียบแล้วคุยกับตัวเองในใจไปตามระเบียบ

“ก้อน…”

“คุณเดรคคะ”

ทั้งผมทั้งพี่ภูหันไปตามเสียงเรียกร้อนรนของป้าเจนที่มายืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือร่างสูงโปร่งผอมแห้งของ ‘คุณหนู’ ของบ้านที่ยืนทำหน้าตาว่างเปล่าอยู่ข้างๆ ป้าเจน

“ภาม…”

เจ้าของชื่อมองใบหน้าพี่ชายตัวเองนิ่งงัน ก่อนเขาจะค่อยๆ ใช้มือในการสื่อสารช้าๆ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่เข้าใจว่าภามพูดอะไร แต่การเตรียมตัวมากว่าสองปีไม่เสียเปล่า เมื่อผมสามารถเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน

‘พี่ทำอะไร’

“...”

‘ทิ้งผมลงมาหามัน?’

อ้าว...ไม่ให้ลงมาแล้วจะให้เขาล็อคตัวเองไว้บนห้องเหมือนเอ็งหรือไง แล้วอะไรคือการลงมาได้จังหวะเหลือเกิน ได้ข่าวว่าร้อยวันพันปีไม่เคยยอมออกจากห้อง

“พี่ภู…” ผมกระซิบเรียกคนข้างๆ เบาๆ จนเขาหันมาหา “น้องพี่มีเครื่องตรวจจับระเบิดติดตัวเหรอ”

“ระเบิด?”

“ผมไงระเบิด”

อยากจะบึ้มไอ้หน้าว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตานั่นเหลือเกิน เดี๋ยวจะเอาให้หน้าตายด้านนั่นหงิกงอไม่เว้นวันเลยคอยดู



------------------------






หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 26-08-2017 18:18:31
 o18 สู้ๆ นะคุณชายภูเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 26-08-2017 19:32:57
จะเกิดศึกน้องชายกับพี่สะใภ้รึป่าวเนี่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 26-08-2017 19:55:23
โอ่ยยยย เขิน ดีต่อใจเหลือเกิน ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 26-08-2017 20:07:24
เจอกันแล้ว ขอให้เก้าเอาชนะใจน้องแฟนให้ได้นะ
เก้าน่ารัก ใส่ใจคนในครอบครัวพี่ภูด้วย

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2017 20:16:00
ได้เวลาทำงาน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 26-08-2017 20:28:32
น้องเก้าสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 26-08-2017 20:52:42
สู้ๆน้ะเก้าาา o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 26-08-2017 21:18:01
#จุดพลุฉลอง เค้าเจอกันแล้ว เย้ๆ 55555. หมายถึงเจ้าก้อนกับภามนะ ระเบิดชัดๆ ส่วนพี่ภูนั้น...รักค่ะ ♥ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 26-08-2017 22:34:41
โอ้โห  เจอกันครั้งแรก ก็เหมือนจะมีสงครามเล็ก ๆ ในบ้านแล้วสินะ มีระเบิดเสียด้วย 555
แล้วอย่างนี้ ของขวัญที่เตรียมให้ภาม จะได้ให้เมื่อไหร่น้อ ให้ตอนนี้โดนปาทิ้งแน่ ๆ
อยากรู้จริง ๆ กระต่ายก้อนจะเอาวิธีไหนมารับมือและช่วยเหลือภาม ภามก็ไม่ใช่ย่อย ๆ เลย
แต่ตอนนี้ มีความสุขตามพี่ภู น้องเก้าเพิ่งมาถึงวันเดียว ก็ทำให้พี่ภูหัวเราะได้เยอะขนาดนี้แล้ว
ถึงขนาดหยุดงาน เพื่ออยู่กับน้องเก้าเลย กินไข่เจียวน้องเก้าหมดเลยด้วย
พี่ภูน่ารัก แสดงออกมากขึ้นเยอะเลย ถึงจะขี้แกล้งเหมือนเดิมก็เถอะ
ชอบที่ขยันทำตาประกายวิบวับใส่น้องเก้าอ่ะ อยากฟัดกระต่ายละสิ >////<
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 26-08-2017 22:37:17
สู้ๆๆๆๆๆ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของน้องเก้าคนนี้ได้ เราเชื่อ5566 ชอบความเอาเพชรมาให้แม่สามี แบบบปลื้มปิ่มแน่ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-08-2017 23:05:37
รอดูบ้านระเบิด พี่ภูดูห่างๆ นะ  :m20: ให้น้องชายกะพี่สะไภ้เค้าตีกัน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hpimmc ที่ 27-08-2017 00:15:12
น้องเก้าคะ นั่นวิธีสานสัมพันธ์หรอคะลูก
5555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 27-08-2017 00:31:55
เหมือนน้องภามจะหวงพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-08-2017 00:44:48
ก้อนจะมาช่วยหรือจะมาแกล้งภามกันแน่เนี่ย 555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 27-08-2017 06:49:41
คำทักทายของน้องว่าที่สามรโหดร้าย55⅝
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-08-2017 09:49:47
อิชั้นว่า น้องภามยอมพูดเพราะความกวนติงของอิก้อนนี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 28-08-2017 21:05:09
พอเก้าจะมีความสุขหน่อย เรื่องก็มาเลยน้าาาาา เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 30-08-2017 00:54:28
ตามทันแล้ววว :-[ ตามมาจากอีกเรื่องชอบมากๆเลยค่ะ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-08-2017 02:15:51
 o18 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-08-2017 02:23:18
งานหนักสุดในชีวิตเลยมั้งก้อน  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[25]==[P.15]== [26/08/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 02-09-2017 19:02:37



-26-

 

เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก...สำหรับคนอื่นนะ

ทั้งพี่ภู ป้าเจน หรือแม้แต่แม่เฮเลนที่เพิ่งเดินมาถึงต่างก็มีใบหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันนัก คงมีแค่ผมกับภามที่ยังนิ่งอยู่ได้ สำหรับภามผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมไม่รู้ว่าจะเครียดไปทำไมอยู่แล้ว อาจเพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว หรือเพราะยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจ้องมองคนตัวผอมนิ่งๆ อย่างพิจารณา

ภามยังคงดูผอมแห้งไม่ต่างจากในกล้องเท่าไหร่ แต่หน้าตาเขาดูดีกว่าในกล้องที่ผมเคยเห็นพอสมควร ไม่รู้ว่ากินเยอะขึ้นหรืออายุเยอะขึ้นถึงได้ไม่ดูตาโบ๋เหมือนเมื่อสองปีก่อน ยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายพี่ภูมากขึ้นทุกที แต่ดวงตาและบรรยากาศยังคงแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

“คุณหนู มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” ป้าเจนเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวและเดินเข้าไปทักทายภามก่อน แต่ฝั่งนั้นนอกจากจะไม่หือไม่อือแล้วยังเดินสวนผ่านผู้ใหญ่มาโดยไม่สนใจ เล่นเอาป้าเจนหน้าเศร้าไปแวบหนึ่ง

ผมมองภามเดินตรงเข้ามาหาคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความไม่พอใจหน่อยๆ ถึงตัวเองจะไม่ใช่คนดีนักแต่ผมก็ไม่เคยเมินผู้ใหญ่ด้วยการกระทำแบบนั้นเลยสักครั้ง แล้วเด็กนี่อายุน้อยกว่าผมอีก ทำไมถึงได้กล้าทำแบบนั้นกัน

“ขอโทษป้าเจนซะ” ยังดีที่พี่ภูเองก็คิดเหมือนผม เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซึ่งภามเองก็ไม่ได้แสดงอาการต้อต้านอะไร เขาแค่หันหน้าไปหาป้าเจนแล้วใช้ภาษามือบอกขอโทษสั้นๆ ก่อนจะหันกลับมาโดยไม่สนใจอะไรอีก ส่วนคนสั่งถึงจะขมวดคิ้วไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ

‘นั่นอะไร’ ภามชี้นิ้วไปที่กระต่ายปุกปุยที่พี่ภูอุ้มอยู่ คราวนี้ผมเริ่มรู้สึกไม่โอเคจนต้องแอบยื่นมือไปจับหางกระต่ายไว้ล่วงหน้า

“ตุ๊กตาของพี่” พี่ภูตอบสั้นๆ เขากอดกระต่ายแน่นกว่าเดิม ท่าทางคงเดาได้ไม่ต่างจากผมว่าภามจะทำอะไร

‘ผมอยากได้’

กูว่าแล้ว ซื้อหวยไม่ถูกงี้วะ

“ไม่ได้” พี่ภูทำหน้าตายุ่งยากใจหน่อยๆ เขาเหลือบตามองผมเหมือนจะบอกให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ยกให้ภามแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงรู้สึกไม่ดีพอควรที่ตัวเองได้ของแล้วน้องไม่ได้ เห็นแบบนั้นผมเลยจำเป็นต้องพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงต่อหน้าคนๆ นี้ดี

“ผมมีของขวัญมาให้ภามเหมือนกันนะ”

‘ผมไม่ได้ถาม’

“ผมพูดกับพี่ภู” ผมฉีกยิ้มเมื่อเห็นความแปลกใจในดวงตาว่างเปล่าแวบหนึ่ง แต่วินาทีถัดมาความเป็นศัตรูก็ฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่นั้นทันที ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดนัก ถ้าภามยิ้มยินดีที่เห็นกันสิผมคงแปลกใจน่าดู

‘คุณเป็นใคร’ พยายามแปลให้เป็นกลางแล้วกัน เพราะถ้าเอาแบบจากความคิดตัวเองผมว่าอีกฝ่ายคงอยากถามว่ามึงเป็นใครมากกว่า

“เป็นเพื่อนพี่ภู”

‘พี่ไม่มีเพื่อน’

นี่มันน้องภาษาอะไรวะเนี่ย

“เก้าเป็นเพื่อนพี่” คนข้างๆ ที่ยืนนิ่งมานานยกมือแตะไหล่ผมเพื่อย้ำความมั่นใจ แต่การกระทำนั้นกลับทำให้ภามขมวดคิ้วหนักด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม

อันที่จริงผมยังไม่รู้จักภามดีนักเลยไม่กล้าตัดสินว่าจะเล่นกับเขาได้ในระดับไหน เพราะงั้นเลยพยายามไม่พูดให้ตัวเองดูใกล้ชิดกับพี่ภูหรือกวนตีนมากเกินไป แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะพูดจามุ้งมิ้งกับเขาอยู่ดี

“ภาม ไปทานขนมกับแม่เถอะลูก” แม่เฮเลนที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้ามาแตะแขนภามเป็นเชิงเรียก ตอนแรกผมคิดว่าฝั่งนั้นจะมองเมิน แต่ผิดคาด...ภามแค่ปรายตามองผมครู่เดียวก่อนจะเดินตามแม่เฮเลนออกไปด้านนอกแต่โดยดี

“น้องพี่คาดเดายากไปไหมเนี่ย” ผมแอบกระซิบกับคนข้างๆ “คงไม่ได้แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเมนส์มานะ”

แค่คิดภาพภามที่เข้าใจยากและอารมณ์รุนแรงหมุนไปหมุนมาเหมือนจ๋าเวลาประจำเดือนมาก็อยากจะกุมหัวแล้ววิ่งหนีไปไกลๆ แล้ว

“เปรียบเทียบอะไรของมึง”

“แค่จะบอกว่าแบบนั้นเก้าไม่โอเคมากๆ”

“กระต่ายบ้า” คนหน้าดุส่ายหน้าหน่าย ท่าทางดูผ่อนคลายกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แค่นั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำความดีใหญ่หลวงแล้ว

“แล้วทำไมวันนี้ภามยอมลงมาข้างล่างได้ล่ะ”

“น่าจะได้ยินเสียงมึงโวยวาย”

“เดี๋ยวๆ โทษกันแบบนี้เลยเหรอ” ผมทำหน้าเหวอสนิท อยากจะอ้าปากค้างแถมอีกอย่างให้คนที่พูดออกมาได้หน้าตาเฉย

“หึ”

ไม่แก้ด้วยนะคนเรา

“ล้อเล่น” พี่ภูขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนเขาจะเข้ามาล็อคคอแล้วลากให้เดินตามออกไปจากห้อง “มึงพร้อมแล้วใช่ไหม”

“พี่ต้องถามน้องพี่ว่าพร้อมเจอผมแล้วเหรอ”

“ปากดี” คนหน้าดุยิ้มมุมปากก่อนจะขยี้หัวผมซ้ำอีกรอบ เจอแบบนี้เข้าจะไม่ยิ้มตามก็คงยาก ผมเลยถือโอเคยิ้มแล้วเดินเกาะเอวพี่ภูตามไปโดยไม่สนใจอะไรอีก

ดูเหมือนพี่ภูจะรู้อยู่แล้วว่าภามจะกลับขึ้นไปบนห้องตอนไหน เพราะในห้องอาหารที่พวกเราเพิ่งเดินเข้ามามีเพียงแค่ป้าเจนที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่ แถมขนมในถ้วยยังดูสดใหม่เหมือนไม่ได้ถูกแตะเลยสักนิดด้วยซ้ำ

“ป้าครับ ภามไม่กินเหรอ” ผมเดินเข้าไปเกาะหลังป้าเจนจนท่านสะดุ้งหันมามองอย่างตกใจ แต่พอเจอรอยยิ้มอ้อนเข้าไปท่านก็รีบยิ้มกลับแล้วจับมือผมไว้

“ป้าเข้าไปเตรียมขนมครู่เดียว พอออกมาคุณผู้หญิงก็บอกว่าคุณหนูเธอขึ้นข้างบนไปแล้วค่ะ”

“งั้นป้าไม่ต้องเก็บนะ เดี๋ยวผมกินเอง” อุตส่าห์ทำขนมมาให้แต่กลับไม่ยอมแตะสักนิด แบบนี้คนทำไม่เสียใจตายเลยหรือไง

“เดี๋ยวป้าไปเอามาให้ใหม่นะคะ”

“ไม่ต้องครับป้า ผมกับพี่ภูกินได้” ผมเอาแขนสะกิดคนข้างๆ ที่กำลังทำหน้างงเบาๆ ให้เขาช่วยสนับสนุน ซึ่งพี่ภูก็ทำเพียงแค่พยักหน้าทีเดียวเป็นคำตอบ แต่เห็นแค่นั้นป้าเจนก็ยอมถอยห่างออกไปอย่างง่ายดาย

ขนมเค้กที่น่าจะเป็นขนมทำมือในจานไม่ใช่รสที่ผมชอบ แต่หลังจากโดนดัดนิสัยหักค่าขนมมาเป็นเวลานานก็ทำให้ผมคิดได้ว่าไม่ควรเลือกกินมากเกินไปนัก...ไม่งั้นจะโดนหักอีก

“หวาน” พี่ภูจิ้มกินเพียงคำเดียวแล้วทำหน้าแหยะ เขาหันหน้าหนีไปคุยเล่นกับกระต่ายปัญญาอ่อนปล่อยให้ผมนั่งกินอยู่คนเดียว เท่านั้นยังไม่พอ...ผมแอบเหลือบตามองก็แทบหัวลุกเป็นไฟเมื่อพบว่าสายตาที่เขาใช้จ้องไอ้กระต่ายนั่นดูอ่อนโยนกว่าเวลาจ้องผมเสียอีก

ไม่ได้การ...เผา ต้องเผา

“ไอ้หน้าตาชั่วร้ายของมึงมันแก้ไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม” คนพูดเอานิ้วจิ้มๆ แก้มผมแล้วมองมาด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน ทำเอาความชั่วร้ายวิ่งออกจากหัวแทบไม่ทัน ผมเองก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเวลาคิดอะไรชั่วร้ายสติจะหายจนโดนจับได้ทุกที น่าจะเป็นมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วด้วยมั้ง

“เลิกวิจารณ์เรื่องความชั่วร้ายของผมแล้วพูดเรื่องภามดีกว่า”

“มึงดูมีความคิดขึ้นนะ”

“อันนี้ด่าถูกไหม” จะบอกว่าเมื่อก่อนไร้ความคิดก็ว่ามาตรงๆ เลยก็ได้มั้งแบบนี้

“คิดไปเอง” เขาหัวเราะหึเบาๆ แล้วผลักหัวผมจนแทบกระเด็น “เมื่อก่อนมึงมองแต่เรื่องตัวเองไม่ใช่หรือไง”

นั่นก็ใช่อยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงปล่อยเรื่องของภามไปง่ายๆ คิดแค่ว่าถึงเวลาเดี๋ยวก็ได้คุยแล้วหาวิธีได้เอง ไม่มีทางมานั่งคิดนั่งคุยถามรายละเอียดเยอะแยะขนาดนี้ก่อนแน่ๆ

“แต่ผมก็ยังเป็นผมนะ” ผมวางช้อนลงก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ภูเต็มตา “ยังทำอะไรตามสไตล์ตัวเองเหมือนเดิม ถึงจะคิดเยอะขึ้นเพราะโตขึ้น แต่ผมก็ยังเป็นเก้าคนเดิม”

ไม่อยากให้คาดหวังว่าผมจะเปลี่ยนไปทุกอย่าง เก่งขึ้นทุกอย่าง หรือเอาใจใส่ทุกอย่าง เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังเป็นคนๆ เดิมที่สนใจเขามากกว่าใคร

“รู้แล้ว” พี่ภูยื่นมือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ เหมือนจะบ่นที่ผมคิดมาก ใบหน้าราบเรียบของเขาอ่อนลงหลายส่วนในขณะที่ยื่นมือมาลูบหัวผมเป็นการปลอบ “กูแค่ดีใจที่มึงโตขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้มึงเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น”

“อื้อ”

“แล้วเข้าใจที่ภามสื่อสารได้ยังไง ไปเรียนมา?”

“อื้อ ลงเรียนวันเสาร์ โคตรเหนื่อย” ผมยักไหล่เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น จำได้ว่าตอนไปลงเรียนก็คิดหนักอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร สุดท้ายก็ผ่านมาได้

“ขอบคุณที่ทุ่มเท” คนพูดยิ้มบางให้ผม แค่นั้นก็เหมือนได้รางวัลจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดแล้ว

“ผมเต็มใจ”

“กูให้มึงเลือก”

“เลือก?”

“จะไปวันนี้หรือพรุ่งนี้”

“หือ…” ผมทำหน้างงก่อนจะตาเป็นประกายอย่างรวดเร็วเมื่อตีความหมายออก สาเหตุที่พี่ภูไม่ไปทำงานก็เพราะ…

“กูหยุดสองวัน อยากไปเที่ยววันไหน”

“พรุ่งนี้!” เสียเวลามาเกือบครึ่งวันแล้ว เรื่องอะไรผมจะยอมไปวันนี้กันเล่า สู้รอไปพรุ่งนี้แล้วได้อยู่ด้วยกันทั้งวันดีกว่าตั้งเยอะ แถมวันนี้ยังเป็นวันต้นปี คนน่าจะเยอะกว่าพรุ่งนี้แน่ๆ เรื่องมองการณ์ไกลนี่ขอให้บอก

“เป็นกระต่ายดี๊ด๊าเชียวนะมึง”

“แน่นอน” ผมหัวเราะรับรอยยิ้มเอ็นดูอย่างยินดี มีความสุขจนอยากจะให้เวลาแบบนี้อยู่ไปนานๆ ยิ่งได้เห็นความชัดเจนของเขาตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันยิ่งแล้วใหญ่ ณ เวลานี้คำพูดจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ มาเจอการกระทำอย่างนี้ใครจะทนสงสัยได้อีกวะ

“ถ้างั้นวันนี้จะทำอะไร”

“พี่อยากทำอะไรล่ะ” ผมถามกลับทันควันแล้วยกให้เขาตัดสินใจเอง ไม่ใช่เพราะคิดอะไรไม่ออก แต่เป็นเพราะอยากให้เขาได้ทำสิ่งที่อยากทำในวันหยุดที่นานๆ จะมีสักทีมากกว่า

“คิดไม่ออก” เขาตอบไวเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่ไม่เคยอยากทำอะไรบ้างเลยเหรอ” ผมถามด้วยความข้องใจ บางทีก็นึกอยากแกะสมองพี่ภูมาแยกส่วนดูเหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง

“สองปีมานี้คงอยากอย่างเดิมซ้ำๆ จนลืมความอยากอย่างอื่นไปหมดแล้วมั้ง”

“อยาก?”

“อยากเจอมึง”

“อย่ามาโจมตีกันด้วยคำพูดแบบนี้ดิ!” ผมชี้หน้าคนที่นั่งยิ้มขำไม่เลิกอย่างหมดความอดทน มาทำให้หน้าร้อนโดยตั้งใจแบบนี้เป็นการแกล้งที่เลวร้ายมาก ช่างเป็นคนที่พัฒนาได้น่ากลัวที่สุดในสามโลก

“เออ ไม่เล่นแล้ว นั่งดีๆ เดี๋ยวตกเก้าอี้” เขาทำหน้าดุก่อนจะดึงแขนผมให้นั่งตรงๆ “มึงอยากขึ้นไปคุยกับภามไหม”

เป็นการตัดอารมณ์เข้าโหมดเคร่งเครียดที่ได้ผลฉับพลันไปอีก

“ไปสิ ผมรู้ว่าพี่ห่วงภาม ขึ้นไปดูกันเถอะ” อีกอย่าง...ถึงจะเขม่นกันแต่ผมก็ยังอยากให้ของขวัญกับเขาอยู่ อุตส่าห์เตรียมการมาตั้งนาน ถ้าไม่ได้ให้คงเสียดายแย่

ผมเดินตามพี่ภูกลับไปที่ห้องของเขา คนหน้าดุวางกระต่ายหน้าโง่ลงบนเตียงก่อนจะเป็นฝ่ายยกกล่องของขวัญที่ผมจะให้ภามขึ้นมาถือไว้ให้ เขาคงรู้อยู่แล้วว่ามันหนักเลยจะช่วย…

“ยืนทำไม มาถือดิ”

“...”

“กูล้อเล่น”

ผมว่าผมเริ่มเกลียดการล้อเล่นหน้าตายของเขาแล้วล่ะ

ห้องของภามอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของพี่ภู แค่ได้มายืนอยู่หน้าประตูผมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมืดมนที่กำลังขับไล่คนมาเยือนเหมือนจะบอกให้ไปไกลๆ แน่นอนว่ามันเป็นการมโนของตัวเอง วินาทีที่พี่ภูเคาะประตูผมยืนนึกอยู่ในใจว่าจะโดนอะไรเป็นอย่างแรก ขอแค่ไม่โดนเอาของแข็งปาหัวแตกก็พอ

ภามเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าว่างเปล่าเหมือนเคย แต่เมื่อเขาเหลือบมาเห็นผมยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเจ้าตัวก็หรี่ตาลงในทันที

“เก้าเอาของมาให้” พี่ภูเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน ฝั่งนั้นแค่มองของในมือเขาเงียบๆ ก่อนจะถอยออกให้เดินเข้าไปด้านใน ผมถอนหายใจโล่งออกเมื่อพบว่าเขาไม่ได้เอาอะไรมาปาหัวแบบที่คิด

ห้องภามไม่ได้แตกต่างจากห้องพี่ภูมากนักในเรื่องของการตกแต่ง เพียงแต่ผ้าม่านในห้องนี้มีสีเข้มมากจนทำให้ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด ไม่รู้เจ้าของห้องคิดว่าตัวเองเป็นแวมไพร์หรือยังไง

“เอาดิ” พี่ภูสะกิดแขนผมแล้วยื่นกล่องที่เขาถืออยู่มาให้ เล่นเอาผมที่สำรวจห้องอยู่เงียบๆ ออกอาการเอ๋อแดก ผมชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่าจะให้ผมให้เองจริงเหรอ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแค่ครั้งเดียว

“ถ้าเขาปาทิ้งนี่ผมร้องไห้เลยนะ” ผมกระซิบเบาๆ ในขณะที่รับกล่องมาถือไว้เอง “พี่รู้ไหมว่าในนี้มีมูลค่าเท่าไหร่”

มูลค่าทางราคาอาจไม่มากมายสำหรับเขา แต่มูลค่าทางใจสำหรับผมเรียกได้ว่ามากมายมหาศาลเลยล่ะ

“ไม่ปาหรอกน่า”

“ภาม…” ผมเรียกคนที่นั่งหันหลังอยู่ที่อีกฝั่งของเตียงเบาๆ รอจนเขาหันมาหาแล้วก็ยื่นกล่องในมือไปให้ “ผมให้”

เขาละสายตาจากผมลงไปมองกล่องที่วางอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง แต่พอผมคิดจะพูดอะไรต่อเจ้าตัวก็หันหน้าหนีกลับไปนั่งหันหลังให้เหมือนเดิม เล่นเอาปากที่กำลังจะพูดสั่นยิกๆ

เกิดมาไม่เคยโดนคนเมิน เป็นการกระทำที่น่าเตะสักร้อยตลบ

“ภาม รับของก่อน” ร้อนถึงคนหน้าดุที่น่าจะรู้ทันความคิดผมต้องรีบเรียกให้น้องชายตัวเองหันกลับมารับของ แล้วภามก็ทำตัวเป็นน้องที่ดีโดยการ....แตะที่กล่องเบาๆ เป็นเชิงรับแล้วหันกลับไปเหมือนเดิม

ไอ้เด็กกวนตีน!

คิดว่าผมไม่เห็นตอนเขาพ่นลมในจมูกแล้วมองเหยียดกันหรือไง

“น้องพี่ต้องโดนสักที ไม่วันนี้ก็วันหน้า ผมบอกเลย” ผมหันกลับมากระซิบกับคนที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่ข้างๆ แล้วแทนที่เมื่อได้ยินคุณพี่จะสลด ไม่สักนิด...ทำหน้าขำใส่เฉยเลย

“ดีแล้วไง เท่าเทียมกัน”

สรุปพี่ห่วงน้องบ้างเปล่าวะเนี่ย งงใจ

“ภามไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง” พี่ภูอธิบายต่อเมื่อเห็นผมทำหน้าตาสงสัยแบบจริงจัง “น้องกูก็เหมือนคนปกติทั่วไป แต่แค่มีอะไรหลายอย่างอยู่ในใจ บางการกระทำเราเลยคาดเดาไม่ได้”

“อืม…”

“ที่นี่ไม่มีใครเข้าถึงภามได้เลยสักคน แต่ถ้าเป็นมึง...อาจจะทำได้”

“ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมจะทำได้”

“เพราะมึงไม่ปกติ”

“ตอบเร็วไปนะบางที” ช่วยคิดสักนิดก็ได้ จะด่าก็ไม่ว่ากันแต่น่าจะหยุดคิดสักหน่อย

“กูจะไปคุยงานสักพัก มึงดูแลภามให้หน่อยแล้วกัน”

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อคนพูดขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปจากห้องหน้าตาเฉย ทิ้งผมไว้กับตุ๊กตาหน้าตายอีกตัว อย่างน้อยก็ควรจะให้คำแนะนำอะไรหน่อยไม่ใช่เหรอวะ ทิ้งกันไว้ดื้อๆ แบบนี้ก็ได้ด้วย

ว่าแต่...เด็กนี่คงไม่ได้ซ่อนมีดหรือปืนอะไรไว้แอบยิงหัวผมใช่ไหม

คิดแล้วก็เสียวสันหลังจนต้องกวาดสายตามองรอบห้องโดยละเอียดอีกหนึ่งครั้ง และเมื่อไม่พบสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายกับตัวเองแล้วผมก็ถอนหายใจก่อนจะเอนกายนอนลงบนเตียงโดยตะแคงหันไปมองแผ่นหลังกว้างของตุ๊กตาที่นั่งอยู่ริมเตียงไม่ขยับ

“นี่นายไม่คิดจะแกะของขวัญของผมจริงๆ เหรอ”

เงียบ…

“ให้ผมแกะให้ไหม”

เงียบ…

“ในนั้นมีอะไรสนุกๆ อยู่นะ”

คราวนี้คนฟังหันหน้ามามองด้วยสายตาไม่พอใจ ผมมองมือที่เขาใช้สื่อสารจนจบด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม

‘เลิกเสแสร้งสักทีได้ไหม’

“งั้นก็ดีเลย อยากให้คุยตรงๆ ก็บอกแต่แรกดิวะ กูแอ๊บเรียบร้อยจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย” ผมผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือตบไหล่ภามแรงๆ เป็นการผูกมิตรอย่างจริงใจ ให้พูดผมๆ นายๆ กับคนอายุน้อยกว่ามันจั๊กจี้จริงๆ นะ คนห่ามๆ อย่างผมรับไม่ไหว

‘...’ เด็กหน้าตายมองผมด้วยใบหน้าที่ดูว่างเปล่ากว่าเดิมหนึ่งระดับ แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้หันหน้าหนีเหมือนตอนแรก

“เปิดดูดิ รับรองถูกใจ” ผมพยักพเยิดไปที่กล่องข้างๆ ใจอยากเปิดให้ด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามันดูเสียมารยาทเกินไป ดีที่คราวนี้ภามไม่ได้เมินผมอีก เขายอมหันมานั่งบนเตียงแล้วเปิดกล่องออกแต่โดยดี และในวินาทีที่เห็นของด้านใน ผมมองเห็นความแปลกใจปะปนอยู่ในสายตาว่างเปล่าของเขาได้อย่างชัดเจน

ไม่ใช่แค่เครื่องเล่นเกม แต่มีแผ่นเกมมากมายอยู่ด้านในนั้นด้วย

“นั่นคอลเล็คชั่นหายากของกูเลยนะ” ผมพูดอวดๆ แล้วมองแผ่นเกมมากมายในกล่องด้วยสายตาอาวรณ์

‘ไร้สาระ’ ว่าจบเจ้าตัวก็ยกแผ่นเกมมวยปล้ำแผ่นหนึ่งขึ้นสูงคล้ายจะปา แต่ผมรู้ตัวทันเอามือชี้หน้าเขาไว้ก่อน

“มึงหยุดความคิดนั้นเลย!” ตวาดก้องจนสะดุ้งกันทั้งคู่ ผมคว้าแผ่นเกมแผ่นนั้นมาถือไว้เองก่อนจะตีมันลงบนหัวยุ่งๆ ของไอ้เด็กหน้าตุ๊กตาเต็มแรง “มันเป็นของเล่นก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปาทิ้งได้นะ”

ยิ่งเป็นเกมที่มีความทรงจำร่วมกับผม...เกมที่ผมเคยเล่นกับพี่ภูเมื่อสองปีก่อน ผมอุตส่าห์ยกให้ทั้งหมดแต่ไอ้เด็กบ้านี่กลับจะปาแผ่นเกมแผ่นนี้ทิ้ง

‘กล้าตีผมเหรอ’ ภามยกมือลูบหัวแล้วมองหน้าผมด้วยดวงตาวาวโรจน์

“แล้วทำไมจะตีไม่ได้วะ” ผมถามก่อนจะดึงกล่องใส่เกมออกห่างจากมืออีกฝ่าย เพราะดูท่าทางถ้าไม่ทำเจ้านั่นต้องหยิบมาปาใส่หน้าผมแน่

‘ผมจะบอกพี่’

“ก็เอาดิ คิดว่าทำแล้วสบายใจก็ทำไป แต่…”

‘...’

“กูก็จะฟ้องเหมือนกัน...จะบอกให้หมดเลยว่ามึงจะปาแผ่นเกมที่เขาชอบทิ้ง…” ผมวางแผ่นเกมที่ถืออยู่ลงในกล่องก่อนจะเงยหน้ามองภามด้วยสายตาจริงจัง “อย่าทำลายข้าวของดิวะ ในนั้นมีความทรงจำของพี่ภูอยู่ด้วยนะ ไม่กลัวเสียใจทีหลังเหรอ”

เอาแต่รับความรักจากคนอื่น เรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามใจต้องการ แต่จะว่าเจ้าตัวอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะคนรอบข้างก็ไม่ได้ช่วยเขาแบบถูกวิธีแต่แรก สิ่งที่ภามรู้สึก ถ้าไม่พูดออกมายังไงก็คงไม่มีใครเข้าใจ

“มึงจะไม่ไว้ใจไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ก็ทำไป แต่คนที่นี่เขาห่วงมึงจริงๆ นะ”

คนฟังหลุบตาลงต่ำแต่ยังมีท่าทีไม่ยอมลง ผมลอบสังเกตท่าทางของภามดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าพูดตรงจุด ถึงจะไม่แสดงออกแต่ก็คงส่งเข้าไปถึงข้างในได้แน่ ดูท่าทางทั้งชีวิตคงไม่เคยโดนพูดดุแบบจริงจังมาก่อนมั้ง พี่ภูก็ดุไปแป๊บๆ แล้วก็กลับมาโอ๋เหมือนเดิม เอาจริงๆ ผมว่าบ้านนี้ควรปฏิวัติทั้งบ้าน แต่ก็ไม่ได้อีก...ปฏิวัติที่ตัวต้นเหตุน่าจะได้ผลดีที่สุด

“เดี๋ยวกูมาหาใหม่แล้วกัน อย่าเสือกปาของล่ะ จะเตะให้เอวหัก” ผมขู่ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนบิด ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไม่วายหันหน้ากลับไปบอกย้ำอีกที “ในนั้นมีแผ่นเกมที่พี่ภูชอบเล่นอยู่ตั้งหลายแผ่น ลองทำพังดูดิ โดนโกรธแน่”

ถึงให้ไปแล้วเขาจะทำอะไรกับของก็ได้ แต่ผมคงทนดูแผ่นเกมของรักของหวงที่อุตส่าห์ยกให้เพื่อกระชับมิตรถูกขว้างปาเป็นเศษขยะไม่ไหว การเอาพี่ภูมาขู่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“เป็นไง”

ว่าแล้วว่าต้องไม่ได้ไปคุยงานแบบที่บอก

ผมมองคนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ข้างประตูห้องเคืองๆ ก่อนจะออกแรงดึงแขนเขาแล้วลากให้เดินตามเข้าไปในห้องตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของเจ้าตัว

“พี่เป็นคนนิสัยไม่ดี” ผมเริ่มบ่นเขาเป็นลำดับแรก แน่นอนว่าคนหน้าดุไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากยืนกอดอกพิงกำแพงมองผม “กล้าทิ้งผมไว้แบบนั้นได้ยังไง”

“แล้วทำไมไม่ตามออกมาล่ะ”

“พี่เห็นผมเป็นคนยังไง” ผมจับกระต่ายหน้าโง่มาบีบคอเล่นอยู่บนตักก่อนจะมองคนถามด้วยสายตาไม่พอใจ “ถ้าผมลุกขึ้นเดินออกไปด้วยพี่คิดว่าภามจะรู้สึกยังไงไม่ทราบ”

“นั่นสินะ”

“เดี๋ยวนะ พี่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมไม่มีทางตามออกไป”

“...” เขาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ เท่านั้นผมก็รู้ความหมายของเขาได้ในทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะไม่ปล่อยภามไว้เขาถึงทำแบบนั้น แล้วเขาไม่กลัวมีเหตุฆาตกรรมเกิดในบ้านเลยหรือไง แค่เห็นก็น่าจะรู้ว่าเขม่นกันตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว “แล้วมึงคิดว่ายังไง”

“เรื่องภาม?” ผมหยุดทุบกระต่ายในมือเมื่อเจ้าของเดินมานั่งข้างๆ แล้วดึงมันออกไปลูบอย่างทะนุถนอมด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ระดับสิบ

“อืม”

“จริงๆ ผมต้องถามพี่หรือคนอื่นๆ รอบตัวภามมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

“คนใกล้ตัวก็เห็นแต่อะไรเดิมๆ ที่เจ้าตัวอยากให้เห็น กูเจอแบบหนึ่ง ป้าเจนเจอแบบหนึ่ง พ่อกับเฮเลนก็เจออีกแบบ เอาทุกนิสัยมารวมกันพวกเรายังรู้จักภามไม่ครบทุกด้านเลยด้วยซ้ำ”

ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นพี่ภูทำหน้าเศร้า ถึงจะดีใจที่ได้เห็นเขาในทุกสีหน้า แต่ถ้าต้องเห็นสีหน้าแบบนี้ผมยอมเห็นแค่ใบหน้าเย็นชาเหมือนปกติดีกว่า แค่มองก็รู้สึกปวดใจตามไปด้วยแล้ว

“ไม่ใช่ว่าพี่รู้จักภามไม่ครบทุกด้านหรอก แต่ผมว่าเขาอยากให้พี่เห็นแต่ด้านดีๆ ของตัวเองมากกว่า” ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ แต่พอได้คุยและสังเกตอย่างจริงจังก็พบว่าภามไม่ได้เลวร้ายแบบที่คิด เขาแค่ปิดใจและต้องการการดูแลมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น “เมื่อกี้ผมเกือบบอกภามว่าการป่วยไม่ใช่ข้ออ้างของการเรียกร้องสิ่งต่างๆ”

คนฟังเงยหน้ามองด้วยสายตาตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าผมยังไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไรเขาก็ลดความตกใจลง คงจะกลัวว่าถ้าพูดไปแบบนั้นแล้วภามจะทำอะไรผม

“แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดกับภาม เลยเอามาบอกพี่แทน ผมขอพูดในฐานะของคนเอาแต่ใจที่เคยโดนดัดนิสัยมาแล้วเลยนะ…”

“อืม”

“ไม่มีอะไรเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการเอาแต่ใจได้ทั้งนั้น แต่การที่เขามีอาการมันเป็นสัญญาณเตือนเพื่อให้คนรอบข้างใส่ใจเขามากกว่าเดิม ใส่ใจ...ไม่ใช่ตามใจ” ลำพังตัวพี่ภูยังพอว่าเพราะเขาก็พยายามไม่ตามใจภามอยู่ อย่างเรื่องน้ำเสียงหรืออะไรเวลาพูดกับภามผ่านโทรศัพท์เมื่อก่อน ที่ทำก็คงเพราะไม่อยากให้น้องได้ใจ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วก็ไม่รู้จะทนได้นานแค่ไหน แต่ป้าเจนกับแม่เฮเลนแล้วก็พ่อเขาที่ผมยังไม่เคยเจอต่างหากที่เป็นปัญหา “ผมคงพูดอะไรกับครอบครัวพี่ไม่ได้ แต่ถ้าพี่ให้ผมช่วยดูแลภาม ผมจะพยายามช่วยทางนั้นแล้วกัน”

“เข้าใจแล้ว” ไม่รู้ว่าเผลอทำหน้าเครียดคิดหนักออกไปตอนไหน แต่พอสัมผัสอ่อนนุ่มของมือ...กระต่ายแตะลงที่แก้มผมก็รู้สึกตัว

“พี่ต้องให้รางวัลผมเยอะแน่ๆ บอกเลย”

“รู้แล้ว”

“ต้องตามใจด้วย”

“เมื่อกี้บอกไม่ให้ตามใจคนเอาแต่ใจไม่ใช่หรือไง”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเลิกเอาแต่ใจได้นะ แต่ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งไง คือเอาแต่ใจเฉพาะกับคนที่เต็มใจ ไม่ผิดๆ” ผมโบกไม้โบกมือประกอบจนคนมองยิ้มขำ

“งั้นก็ได้”

“แล้วนี่พี่ทำงานทุกวันใช่ไหม”

“อืม” เขาพยักหน้าตอบ

“ไม่ได้ๆ ผมไปสืบมาแล้วว่าบริษัทพี่หยุดวันอาทิตย์ ปล่อยให้ประธานทำงานคนเดียวได้ไง บ้าเปล่า” ถ้าไอ้โซไม่บอกผมคงไม่รู้เลยว่าบริษัทพี่ภูเองก็มีวันหยุดเหมือนกัน เขาเล่นทำงานเหมือนเป็นเครื่องจักรตั้งแต่กลับมาอังกฤษ ผมเพิ่งรู้ก็ตอนก่อนมานี่เองว่าจริงๆ เขาต้องหยุด “พี่ต้องให้เวลากับคนอื่นบ้าง ทำงานอย่างเดียวไม่ได้ มิน่าผอมเป็นกุ้งแห้ง”

“ให้เวลากับภาม?”

“ให้เวลากับผมดิ” คิดว่าบินมาหาถึงที่นี่เพื่อช่วยเรื่องภามอย่างเดียวหรือไง ทำอะไรไม่ได้กำไรผมไม่ทำหรอก “อีกอย่างนะ ช่วยรับประทานอาหารให้ครบด้วย ถ้าเบื่ออาหารที่นี่ผมจะทำข้าวกล่องไปให้ทุกวันเลย โอเคดีล”

“เดี๋ยว…”

“ไม่ต้องพูดเลยพี่ ถ้าปล่อยให้พูดพี่ต้องหาเรื่องขัดผมได้อีกแน่ๆ เพราะงั้นเงียบไว้เลย” ผมดึงตุ๊กตากระต่ายในมือเขามาถือไว้เองแล้วเอามือมันแปะปากคนหน้าดุไม่ให้พูดต่อ “เรื่องภามผมดูแลเอง แต่พี่ต้องดูแลตัวเองเป็นการตอบแทน ต้องเชื่อฟังโทษฐานที่หนีมาตั้งสองปี เข้าใจเปล่า”

คนฟังหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเขาจะส่งสายตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกำลังกลั้นขำมาให้ รอจนผมพูดจบแล้วมือใหญ่ก็ดึงกระต่ายที่ปิดปากตัวเองอยู่ลง

“ปฏิเสธไม่ได้เลยใช่ไหม”

“ใช่”

“กระต่ายบ้า” ว่าแล้วก็ส่งมือมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง “เข้าใจแล้ว”

ผมเงยหน้ามองคนพูดด้วยความตกใจเมื่ออะไรๆ ง่ายดายผิดคาด อุตส่าห์คิดคำพูดร้อยแปดพันเก้าไว้ในใจแต่กลับไม่ได้ใช้ซะงั้น แถมเมื่อเงยหน้ามองแล้วยังโดนแอทแทคด้วยสายตาอ่อนโยนซ้ำอีก

“ฝากด้วยนะ”

จะเอาให้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหม

 

-------------------------

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 02-09-2017 19:17:07
รักเก้ามากกกกกกบอกเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 02-09-2017 20:05:41
ในขณะที่คุณภูได้เมี- น้องภามได้อม่ด้วยนะคะ555555
เก้าโตขึ้นเอะเลยย
คิดได้ ดุแลเป็น แก้ปัญหาถูก ภูเลือกไม่ปิดหรอกจริงๆๆนะ
ดูแลตัวเองตอบแทนนางๆเนาะ555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 02-09-2017 21:00:09
เก้าต้องแก้ปัญหาน้องภามได้แน่ๆ ขำ ที่ว้ากใส่ภาม 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 02-09-2017 21:03:58
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 02-09-2017 21:34:52
เก้าาาาา ไปว้ากภามซะแล้ววว
ภามคงช้อคน่าดูอะ
ใครไม่รู้ทำท่าจะมาแย่งพี่ภูไป แถมยังมาดุตัวเองอีก
มารอดูว่าภามจะเอาคืนอะไรได้บ้างมั้ย555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 02-09-2017 21:53:02
งื่ออออออ สู้ๆนะเก้า :)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 02-09-2017 22:06:42
โอ๊ยความน่ารักมุ้งมิ้งนี้  :hao7:
เก้าคงต้องอาศัยความกวนเพื่อให้สนิทกับภามแล้วละ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 02-09-2017 22:18:49
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 02-09-2017 22:40:53
น้องเก้า สุดยอด เก่งมาก ๆ
นี่ขนาดเพิ่งวันแรกนะ รู้สึกเหมือนว่า จะเริ่มเอาภามอยู่ละ แบบโหด ๆ ด้วย 555
แต่น้องเก้าสรุปที่เตรียมตัวมาสองปีนี่ เพื่อจัดการทั้งภาม ทั้งพี่ภูเลยสินะ
พี่ภู ก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีเสียด้วย น่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 03-09-2017 00:30:22
เห็นแววว่าเก้าเอาอยู่ และน่าจะเอาอยู่ทั้งบ้านอ่ะ 5555555 ความไม่ปกติของเก้าจะใช้ประโยชน์ได้จริง ในส่วนของพี่ภูนั้น ดีเลิศตลอด #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 03-09-2017 01:08:56
เอาใจช่วยน้องเก้า ให้เอาชนะใจคนทั้งบ้านได้ โดยเฉพาะภาม
แน่นอนว่าทำได้ มั่นใจในตัวเก้ามาก

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 03-09-2017 01:22:58
อยากให้อัพทุกวันเลยอ่า ไม่อยากรอ :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-09-2017 03:37:00
ภามกำลังอาฟเตอร์ช็อค เจอคนบ้า  555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-09-2017 09:03:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 03-09-2017 10:56:45
ภาม แกทนไม่ได้แน่ ๆ เจอคนบ้ากว่า

ยังไงต้องพูดแล่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 03-09-2017 12:04:22
จะบอกว่าอีกหน่อยภามต้องติดเก้าแน่ๆ

แลดูนิสัยเข้ากัน ดื้อรั้น แต่ใจดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-09-2017 00:45:36
คนเคยเอาแต่ใจจะมาสู้กับคนเอาแต่ใจแล้วว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nantarat ที่ 04-09-2017 21:21:38
 :o8: :o8:ชอบน้องเก้า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-09-2017 00:47:37
ความเก้านี้ ไม่ทันไรก็ดุภามแล้ว 55555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 07-09-2017 01:25:41
รักภามเด้ออ
มาอีกไวๆน่ารออยู่ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 07-09-2017 14:40:51
เด่วปัดเตะเอวขาด 5555 ดุแท้เล๊ยกระต่ายอ้วนเอ้ย มีความหวานละมุนอยู่ในบรรยากาศ ไม่ต้องมีเหตุหักเหดราม่าไรแล้วนะ เอาแบบนี้พอ ใจพี่บ่ดีรับเรื่องหนักๆ ไม่ได้ เอาใจช่วย เก้า พี่ภู น้องภามนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[26]==[P.16]== [02/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 09-09-2017 15:58:23


-27-

 

ผมเคยนึกสงสัยว่าคนเราสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้ไวขนาดไหน แต่ในชีวิต…เราคงไม่จำเป็นต้องใช้ความไวในการเปลี่ยนสีหน้าบ่อยนัก ผมเป็นคนหนึ่งที่มักแสดงทุกอย่างออกมาตามที่ใจคิด เบื่อก็บอกว่าเบื่อ ใครมองก็รู้ว่าเบื่อ แล้วก็ไม่เคยมีความคิดอยากปกปิดสิ่งที่รู้สึก แต่ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมต้องปั้นหน้าว่าไม่เป็นไรทั้งที่เป็นสุดๆ

“หนูเก้าอย่าโกรธพี่เขาเลยนะลูก” แม่เฮเลนปลอบแล้วปลอบอีกเป็นรอบที่สามสิบ

“ไม่โกรธหรอกครับแม่” ผมยิ้มอ่อนทั้งที่ในใจกำลังเดือดปุด

พี่ภูเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อถือไม่ได้! เมื่อวานรับปากเสียดิบดี แต่ตื่นเช้ามาหนีไปทำงานหน้าตาเฉย ทั้งยังเตี๊ยมกับแม่เฮเลนให้ช่วยโอ๋ผมเพราะตัวเองมีงานด่วนอีกต่างหาก

“เดี๋ยวผมยกข้าวไปให้ภามเองครับ” ผมรับถาดอาหารมาจากป้าเจนแล้วเดินขึ้นไปด้านบนด้วยความฉุนเฉียว ถ้ายังอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็ต้องยิ้มเพื่อที่พวกท่านจะได้ไม่กังวลใจ แต่ผมไม่มีความอดทนในการรักษาสีหน้ามากนัก หนีขึ้นมาแลดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ทว่ายิ่งได้เห็นประตูห้องคนต้นเหตุก็ยิ่งเคืองจนต้องยกเท้าเตะไปหนึ่งทีข้อหาทำให้หงุดหงิด

พี่ภูบอกผมว่าบ้านเขามีห้องนอนพอดีกับคน นั่นทำให้ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนอนห้องเดียวกับเขาไปโดยปริยาย แต่เตียงพี่ภูกว้างชนิดที่นอนแผ่ห้าคนก็ไม่เบียดกัน แล้วผมก็หลับลึกอยู่แล้วด้วย เขาลุกไปตอนไหนจึงไม่อาจรู้ได้เลย ตื่นมาคนข้างกายก็หายไปจนต้องวิ่งลงไปถามคนข้างล่าง…รู้งี้เลือกไปเที่ยวตั้งแต่เมื่อวานก็ดี

ผมเคาะห้องภามเป็นจังหวะแบบที่พี่ภูสอน ฝั่งนั้นเองก็น่าจะตื่นนานแล้วเลยเดินมาเปิดไวผิดคาด แต่พอเห็นหน้าผมก็ทำท่าจะปิดประตูใส่ทันที โชคดีที่ผมแทรกตัวเข้ามาก่อนแล้วครึ่งหนึ่งเลยไม่โดนปิดประตูใส่หน้า

“เอาข้าวมาให้” ผมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงโดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าของห้อง

‘เสร็จแล้วก็ออกไปสิ’ ภามขมวดคิ้วแล้วชี้ไปที่ประตู

“ไม่เหงาหรือไง”

‘ไม่’

“แต่กูเหงา ขออยู่ด้วยคน” เป็นน้องก็ควรจะรับผิดชอบแทนพี่ ในเมื่อเขาปล่อยให้ผมไม่มีอะไรทำ งั้นขอมาป่วนเด็กหน้าตายแทนก็แล้วกัน “อยู่คนเดียวมันไม่ดีหรอก มีกูอยู่ด้วยรับรองมีความสุข ชีวิตสดใส”

‘ผมไม่ชอบหน้านาย’ ภามทำไม้ทำมือ ก่อนจะชี้มาที่หน้าผมเป็นการย้ำ

“รู้ตัวอยู่ แต่ขอถามเหตุผลได้ไหม”

‘นายมาหลอกพี่ใช่ไหม’

“หลอกพี่ภู?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะขยับกายเข้าใกล้ภามมากกว่าเดิม ชักเริ่มสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดขึ้นมาแล้วสิ

‘คนข้างนอกมีแต่พวกไว้ใจไม่ได้ ทุกคนเข้าหาเราเพราะผลประโยชน์’ ภามหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนเขาจะมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ ‘ปกติพี่ไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้ นายหลอกอะไรพี่’

ที่แท้ก็ไม่ใช่หวงพี่จนเกินเหตุ แต่เด็กหน้าตายนี่เป็นห่วงพี่จนเกินเหตุต่างหาก ผมขยับยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้เมื่อได้รู้อะไรมากกว่าเดิม…อย่างน้อยภามก็ยอมคุยกับผมมากขึ้นแล้ว และถ้าครั้งนี้ผมทำได้ดี บางทีทุกอย่างอาจจะไปได้สวยกว่าที่คิด

“ถ้ากูจะหลอกพี่ภู กูคงไม่ทนรอมาจนถึงสองปีหรอก”

ยอมเป็นคนอดทน ยอมทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทุกๆ อย่างล้วนมีเหตุผล

‘สองปี?’ คนที่ทำหน้าตายมาตลอดเริ่มมีปฏิกิริยาเหมือนจะสนใจขึ้นมา ผมเลยถือโอกาสนั้นหยิบถาดอาหารมายื่นให้

“ถ้ากินหมดจะเล่าให้ฟัง” ผมหยิบยากับน้ำมาถือเตรียมพร้อมไว้เมื่อภามรับถาดอาหารไปแล้ว “ทุกอย่าง…ไม่มีปิดบัง”

‘นายพูดแล้วนะ’

“อือ แน่นอน” ผมทุบอกตัวเองเบาๆ เป็นการให้สัญญา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าแล้วยอมก้มลงกินข้าวแต่โดยดี

ผมเพิ่งรู้ว่า ภามเป็นคนประเภทที่ถ้าจะทำอะไรสักอย่างเขาจะทุ่มเทและตั้งใจมากเป็นพิเศษ ป้าเจนบอกผมว่าภามไม่เคยกินข้าวหมดเลยสักครั้ง ต่อให้พี่ภูเป็นคนมาเองก็ตาม แต่ครั้งนี้พอผมให้สัญญาตรงกับสิ่งที่เขาต้องการรู้ เจ้าตัวก็ตั้งอกตั้งใจกินโดยไม่ว่อกแว่กเลยแม้แต่นิดเดียว

‘เล่ามาได้แล้ว’ ภามบอกในทันทีที่กินยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เริ่มถามมาหน่อย ไม่รู้จะเล่ายังไงดี”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นเหมือนเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามยังไง ผมไม่พูดแทรกแต่ปล่อยให้ภามคิดเองว่าอยากรู้อะไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรามีเวลาคุยกันมากกว่าเดิม แล้วผมก็ไม่ต้องการให้เขารู้สึกกดดันด้วย

‘นายรู้จักพี่ตั้งแต่ตอนไหน’

“ตอนอยู่ปีสอง จริงๆ เคยเห็นเขาตั้งแต่ก่อนเข้าปีหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสคุยจริงๆ จังๆ ตอนปีสอง ไม่รู้ใช้คำว่ามีโอกาสคุยได้หรือเปล่านะ ถ้าบอกว่ากูหาทางเข้าหาน่าจะเหมาะกว่า” ผมอมยิ้มเมื่อสีหน้าตายด้านแปรเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น ท่าทางภามจะงงกับสิ่งที่ผมพูดพอสมควร

‘หาทางเข้าหา?’

“อือ ก็ตอนแรกพี่ภูเขาไม่ชอบกู พยายามผลักไสให้ออกห่างทุกวิธีเลยล่ะ” นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ “แต่เพราะกูไม่ยอมแพ้ก็เลยมาถึงจุดนี้ได้”

‘นายทำอะไรบ้าง’

“เยอะแยะ ร้องเพลงจีบยังทำมาแล้ว”

‘ร้องเพลง?’

“ทำหน้าแบบนั้นคือไร” ผมถลึงตาใส่เมื่อภามทำหน้าตาแหยะๆ เหมือนจะบอกว่าหน้าอย่างนี้ร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ “เห็นแบบนี้แต่กูเป็นถึงอดีตนักร้องมหา’ลัยนะ เครื่องดนตรีอะไรก็เล่นเป็นหมด เป็นคนเก่งแบบที่ชาติเศษจะมีสักคน เจ๋งสุดๆ”

เห็นเขาว่าพี่น้องมักจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน เกิดมาไม่เคยมีพี่น้องก็เลยไม่เข้าใจ แต่พอได้มาเจอพี่น้องคู่นี้ผมจึงเริ่มรู้สึกว่าพวกเขาจะเหมือนกันมากเกินไปหน่อยละ โดยเฉพาะไอ้สีหน้าเหยียดๆ มองแรงเหมือนผมไปฆ่าใครตายมาเนี่ย

“เดี๋ยววันไหนออกไปซื้อของแล้วจะซื้อกีตาร์มาเล่นให้ดู โดนดูถูกแบบนี้ยอมไม่ได้ว่ะ”

‘จะรอดู’ ว่าแล้วก็ยิ้มเหยียดหยามส่งมาให้อีกที

“ก็ถ้าพี่มึงไม่เบี้ยวกูวันนี้ก็คงได้กีตาร์มาแล้ว!” ผมทำหน้าตึงแล้วหายใจฟืดฟาดด้วยความหงุดหงิด “ไม่พอนะ กูอุตส่าห์วางแผนจะลากมึงออกไปด้วย เสียแผนหมดเลย พี่ภูแม่ง”

‘คิดว่าผมจะไป?’

“มันมีวิธีอยู่แล้วถ้าจะทำ”

ภามกลอกตาทำท่าทางไม่เชื่อ พอเห็นผมเริ่มหาวก็ใช้มือแห้งๆ ของตัวเองตีลงมาที่หน้าขาผมดังเพียะ นี่ไง…ชอบเล่นแรงเหมือนพี่ภูไม่มีผิด

‘เล่าต่อ’

“คิดแป๊บ…เออ กูเคยโดนซ้อมมาแล้วแกล้งไปนอนอ่อยอยู่หน้าห้องพี่มึงด้วย” เป็นวีรกรรมติดดาวอย่างหนึ่งเลยนะนั่น จำได้ว่าตอนนั้นได้เข้าห้องพี่ภูโดยที่เขาเต็มใจด้วย เป็นอะไรที่น่าดีใจไปอีก

‘ทำไมตอแหล’

“เขาเรียกว่ามีชั้นเชิง” ผมอธิบายความคิดของตัวเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คือมึงต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้อยู่เฉยๆ ไม่ได้แดก จุดหมายมีไว้พุ่งชนเข้าใจเปล่า”

‘เขาไม่ชอบแล้วต้องพยายามด้วยเหรอ’

“ก็ไม่เชิงหรอก…” จะพูดยังไงให้เข้าใจได้ดีวะเนี่ย “คือเราต้องดูความเหมาะสมก่อน ถึงกูจะทำเหมือนไม่คิดอะไรแต่ก็สังเกตเขามาแต่แรก ที่สำคัญเลยคือเขามีคนของเขาหรือยัง ถ้าไม่มีก็ลุยได้เท่าที่เหมาะสม โชคดีที่พี่ภูเป็นคนดีเลยไม่ฆาตกรรมกูเพราะรำคาญไปเสียก่อน”

ภามพยักหน้าแล้วก็เงียบไป ผมเลยรอจนเจ้าตัวเลิกทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่แล้วถึงพูดต่อ

“ไม่แปลกใจเรื่องของกูกับพี่ภูเหรอ”

‘ไม่…ผมแค่กลัวว่าเขาจะไปเจอคนไม่ดี แต่ถ้าไม่ใช่…ขอแค่พี่มีความสุขก็พอ’ ภามยิ้มเศร้าแบบที่ทำให้ผมรู้สึกใจหาย ความรู้สึกในส่วนลึกกำลังร้องเตือนถึงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

“รู้เปล่าว่าความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนคนเดียวนะ” ผมเรียกความสนใจกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง ถึงจะไม่อยากพูดขัด แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกโล่งอกที่พูดตัดความคิดเขาได้ทันเวลา “สมมติว่ากูมีปรอทวัดความสุขอยู่ที่ตัวเต็มร้อยส่วน พี่ภูอาจจะเทียบเท่ากับห้าสิบส่วนก็ได้”

‘แล้วที่เหลือล่ะ’

“อยู่ที่คนอื่น” ผมยิ้มบางแล้วแตะมือคนตรงหน้าเบาๆ “แถมตอนนี้ยังแบ่งบางส่วนให้มึงไปแล้วด้วย รู้ไหมว่าถ้าแต่ละส่วนลดลงมันจะเป็นยังไง”

‘ไม่รู้’

“นอกจากจะไม่มีความสุข ปรอทวัดความเศร้าที่อยู่ข้างๆ มันยังเพิ่มขึ้นด้วย แล้วถ้ายิ่งมันหายไป…เราคงจะเจ็บปวดจนยากจะอธิบายเลยล่ะ”

ภามก้มหน้าลงเหมือนกำลังคิดตาม แต่ผมหยุดการกระทำของเขาด้วยการจับมือผอมแห้งขึ้นมากุมไว้

“มึงเพิ่งรู้จักกู แต่กูรู้จักมึงมาสองปีแล้ว” ได้มองผ่านหน้าจอ ได้ฟังจากคำบอกเล่า เรื่องราวมากมายที่ได้รับรู้ทำให้รู้สึกผูกพันโดยไม่รู้ตัว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็มองเขาเป็นเหมือนเพื่อนอีกคน “กูไม่ได้ต้องการรักษา ไม่ได้ต้องการทำหน้าที่เป็นจิตแพทย์หรืออะไรทั้งนั้น แต่อยากให้มึงยอมรับกูเป็นเพื่อนอีกคน แบบนั้นได้หรือเปล่า”

‘เพื่อน…’

“เวลามีอะไรก็ปรึกษากัน อยากระบายอะไรก็พูดให้กันฟัง คอยอยู่ข้างๆ เวลาที่ต้องการ ถ้าเบื่อก็ไปเล่นเกม ไปเที่ยว เวลาชอบใครถ้าคิดอะไรไม่ออกก็มาปรึกษา ฟังดูเข้าท่าไหม” ผมเงียบไปเพื่อให้เวลาเขาคิด สุดท้ายภามก็ยอมพยักหน้าน้อยๆ เล่นเอาต้องร้องเยสในใจไปหลายที “เอาแบบนี้เป็นไง พี่ภูบอกว่ามึงฟังไทยรู้เรื่อง ถ้าไม่อยากให้แม่เฮเลนหรือป้าเจนรู้ กูจะพูดเป็นภาษาไทยแบบนี้ตลอด โอเคไหม”

‘อืม’

“เยส!” ฉิบหาย เผลอดีใจออกนอกหน้า

‘ตื่นเต้นอะไร’

พอโดนถามผมก็ขี้เกียจปิดบัง เลยเลือกบอกเขาไปตรงๆ แล้วหัวเราะฮ่าๆ ใส่ยกใหญ่

“กูกลัวมึงไม่ตกลง รู้ไหมว่าพูดขนาดนี้แล้วเฟลนี่หน้าแหกชนิดโดนล้อได้อีกร้อยปีเลยนะเว้ย”

‘ทำตัวเป็นเด็ก’

“อย่ามามองด้วยสายตาแบบเดียวกับพี่ภู เดี๋ยวก็จิ้มตาแตก” ผมชูสองนิ้วขู่แล้วทำท่าทางจะจิ้มจริงจัง แต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งหัวเราะตัวเองในขณะที่อีกคนส่ายหน้าหน่าย “เออภาม เอาเกมลงไปเล่นข้างล่างกัน ห้องมึงทีวีจอเล็กเกิน”

อดอยากปากแห้งไม่ได้เล่นเกมจริงๆ จังๆ มาร่วมสองปี เอามาให้ภามครั้งนี้ย่อมเป็นหนึ่งในแผน เพราะนอกจากจะได้เล่นเองแล้วผมยังได้เพื่อนเล่นอีกด้วย ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

‘เล่นไม่เป็น’

“เดี๋ยวสอน แต่มึงจะแพ้บ่อยหน่อยนะ เผอิญกูเก่งมาก”

คนฟังเงียบกริบไม่ตอบอะไรอีก แต่เดินไปอุ้มกล่องเกมที่ผมให้ขึ้นแล้วเดินนำออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ผมที่มองตามถึงกับขำก๊ากกับนิสัยของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้

สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเดินลงมาด้านล่างคือ ใบหน้ามีรอยยิ้มยินดีของป้าเจนกับแม่เฮเลนที่ยืนคุยกันอยู่หน้าประตูห้องรับแขก พอพวกท่านหันมาเห็นผมก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้แล้วเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“หนูเก้า ขอบใจมากนะลูก”

ผมแปลกใจนิดหน่อยเมื่อไม่ได้รับคำถามอะไรแบบที่คิด พวกท่านเอาแต่บอกขอบใจไม่หยุดทั้งยังแอบปาดน้ำตากันหลายรอบ มองแล้วผมก็รู้สึกตื้อในใจขึ้นมา ที่แท้ที่ไม่ถามก็เพราะพวกท่านไม่ได้ต้องการรู้ว่าผมทำยังไง แต่แค่ดีใจที่เห็นเขายอมลงมาข้างล่างบ้างเท่านั้นเอง

“ไม่เป็น…!” ผมโยกหัวหลบแทบไม่ทันเมื่อเห็นหมอนใบเล็กๆ ถูกปามาจากในห้อง พอหันไปมองแล้วก็พบว่า คนที่นั่งหัวหมุนกับการเลือกแผ่นเกมอยู่กำลังขมวดคิ้วพร้อมกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ เหมือนจะบอกให้ผมไปจัดการต่อ มองแล้วก็หัวร้อนไม่ลง ออกจะรู้สึกตลกมากกว่า

“ไปเถอะค่ะ” ป้าเจนแตะไหล่ผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ ผมเลยพยักหน้าให้พวกท่านอีกที ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยภามต่อสายเครื่องเล่นเกมในห้อง

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็ปล่อยให้คนข้างๆ เลือกแผ่นเกม แล้วก็ไม่ผิดคาดเท่าไหร่…ภามเลือกเกมมวยปล้ำที่ผมเคยเล่นกับพี่ภูเมื่อนานมาแล้วเป็นแผ่นแรก

“พลาดแล้ว” ผมหันไปมองอวดๆ เป็นลำดับแรก “เกมนั้นกูชนะพี่ภูมาแล้วนะบอกเลย”

ถึงเขาจะจงใจก็นับว่าแพ้ เพราะบนจอผมขึ้นว่า winner เข้าใจตรงกันนะ

‘สอนผมก่อน’ ภามรีบบอกเหมือนกลัวจะโดนโกง ผมเห็นแล้วก็อดไม่ไหว…ขอแกล้งหน่อยเหอะวะ

“เห็นปุ่มไหม” ถามจบเขาก็พยักหน้ารับทันที ผมเลยพูดต่อหน้าตาย “กดๆ ไปเถอะ”

ภามไม่ตอบ ไม่ชักสีหน้า ไม่แสดงอาการอะไรทั้งนั้น แต่เขาหยิบหมอนที่ผมเพิ่งวางคืนที่ขึ้นมาฟาดหัวผมอย่างแรงเป็นการเอาคืน

“เล่นแรงว่ะ” ผมหัวเราะเสียงดังอารมณ์ดี ก่อนจะปาหมอนกลับที่ แต่ในขณะที่กำลังจะสอนภามแบบจริงจังผมดันหันไปสบเข้ากับสายตาแปลกใจของใครบางคนเข้าเสียก่อน

คนที่หนีไปทำงานตั้งแต่เช้ายืนเท่พิงขอบประตูมองมาที่ผมกับภามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สายตาเย็นชาที่มักจะมองรอบข้างอย่างไม่แยแสทอประกายอ่อนโยนโดยไม่คิดปิดบัง พี่ภูเดินเข้ามาด้านในเมื่อรู้ตัวว่าผมเห็นเขาแล้ว จากนั้นก็เดินตรงมานั่งลงตรงกลางระหว่างผมกับภามที่กำลังก้มลงจำปุ่มโดยไม่สนใจสิ่งใด

“กูไม่สอนแล้ว ให้พี่มึงสอนเลย” ผมพูดจบ คนฟังก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเจอเข้ากับพี่ภูที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาก็ถึงกับทำหน้าเหลอหลาหมดมาดตุ๊กตาหน้าตาย

‘มาตอนไหน’ ภามวางจอยเกมในมือลงแล้วถามยกใหญ่ มือรัวยิกจนดูน่าสงสารมากกว่าน่าขำ

“ตั้งแต่ปาหมอนใส่เก้า” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เล่นเอาคนฟังหน้าเสียคล้ายกลัวจะถูกดุ เขาทำท่าเหมือนจะขอโทษล่วงหน้าด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าพี่ภูยกมือไปลูบหัวเสียก่อน “ไม่เป็นไร พี่รู้ว่าเล่นกัน”

คราวนี้ภามยกยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึกหงัก เขาชี้ไปที่จอยเกมแล้วฟ้องพี่ชายยกใหญ่ว่าผมกวนตีนไม่ยอมสอนดีๆ ทั้งยังชี้บอกให้ดุผมอีกต่างหาก

“เดี๋ยวเหอะ กูชวนมึงเล่นนะ” ผมชี้หน้าคาดโทษ อย่าหวังเลยว่าจะออมมือให้ ยิ่งมีพี่ภูช่วยยิ่งแล้วใหญ่ ต้องเจอกันสักตั้ง

“จะทำอะไรน้องกู” คนเป็นพี่ออกรับหน้าแล้วดันน้องตัวเองไปอยู่ข้างหลัง ทำอย่างกับผมเป็นปีศาจจะไปกะซวกไส้น้องเขางั้นแหละ

“พี่เข้าข้างภามเหรอ”

“ไม่เข้าข้างน้องแล้วจะให้เข้าข้างใคร”

“แล้วกระต่ายล่ะ” ผมชี้หน้าตัวเองอย่างจ๋อยๆ ก่อนจะทำท่าให้แลดูรอคอยคำตอบจนโอเวอร์ แล้วก็ตามคาด…

มีคนกำเสื้อพี่ตัวเองแล้วเอามือปิดปากหัวเราะจนตัวสั่นอยู่ข้างหลัง ผมสบตากับคนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มให้เขาเป็นอันเข้าใจตรงกัน ภามเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวถึงได้กลับมานั่งตัวตรงหน้าตึงจนดูตลกเหมือนเดิม

‘สอนผมสิ’ เขาชี้จอยเกมยิกๆ แล้วสะกิดพี่ภูให้เริ่มสอน

เห็นเจ้าตัวยิ้มได้แบบนี้ ทั้งผมทั้งพี่ภูก็รู้สึกสบายใจตามไปด้วย ผมนั่งมองพี่ชายสอนน้องตัวเองเล่นเกมจนปากเปียกปากแฉะอยู่ข้างๆ ได้มาเห็นพี่ภูในมุมพูดเยอะแล้วก็ขำอยู่หน่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ตลกไม่ใช่เพราะเขาพูดเยอะหรอก เป็นเพราะเขาต้องยกน้ำขึ้นดื่มเหมือนกับคอแห้งอยู่ตลอดเวลาต่างหาก

ภามเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ไวมาก ด้วยเขาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อายุน้อยกว่าผมแค่นิดเดียว พี่ภูบอกผมว่าเจ้าตัวไม่เคยแตะเกมมาก่อนเพราะไม่เคยสนใจอะไรทั้งนั้น พอได้เริ่มสนใจ ได้เริ่มเรียนรู้อะไรพวกนี้เลยดูจริงจังขึ้นมาได้ไม่ยาก

‘มาเจอกัน’ พอเริ่มเล่นเป็นแล้วเด็กหน้าตายก็หันมากระดิกมือเรียกผมยิกๆ ด้วยความมั่นใจ

การเล่นเกมเป็นไปอย่างตึงเครียด แน่นอนว่าภามแพ้รัวๆ โดยมีพี่ภูคอยให้คำแนะนำนานๆ ครั้งอยู่ข้างๆ ส่วนผมก็นั่งฮัมเพลงไปเล่นไปอย่างสบายใจ แต่พอหันไปเห็นเด็กหน้าบูดก็เริ่มกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว สุดท้ายพอจบตาที่หก ผมก็หัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดไม่อยู่เมื่อภามถอนหายใจดังเฮือก

“เปลี่ยนเกมเปล่าน้อง”

เกมเมอร์หัวร้อนระดับหนึ่งส่ายหน้าพรืดแล้วมองผมอย่างเคืองๆ ก่อนจะ…

‘พี่เล่นให้หน่อย’ ยื่นจอยให้พี่ตัวเองหน้าตาเฉย

“เดี๋ยวๆ อย่างนี้ก็ได้เหรอ”

“เดี๋ยวจัดการให้” พี่ภูตอบรับหน้าตาย ก่อนจะหยิบจอยขึ้นถือแล้วหันมายิ้มเหยียดให้ผม “แก้มือจากสองปีก่อน”

“มาเหอะ เดี๋ยวจะทำให้รู้ว่าไม่ต้องแกล้งแพ้ผมก็ชนะพี่ได้”

 

 

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…

“ผมขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้แล้วก้มลงกราบแนบตักคนตัวสูงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมา ก่อนคนที่นั่งนิ่งจะเอามือแตะหัวผมเป็นเชิงรับไหว้

“รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”

ผมเงยหน้าแยกเขี้ยวใส่คนพูด อยากจะพุ่งเข้าไปกัดสักที แต่ติดที่เขามีลูกน้องตัวดีซึ่งกำลังยิ้มกว้างอยู่ข้างหลังอีกคน ประเมินสถานการณ์ดูแล้วไม่น่าสู้ไหว หนึ่งคือทั้งคู่ตัวสูงกว่าผมหมดเลย แม่ง…พูดแล้วกระดาก สองคือน่าจะแรงเยอะทั้งคู่ แม้แต่ภามที่ตัวผอมแห้งยังลากเก้าอี้หนักๆ ออกไปเพื่อใช้พื้นที่เล่นเกมได้แบบชิวๆ ผมลองไปดันมาแล้วยังเหนื่อยเลย…สรุปมันแรงเยอะหรือกูแรงน้อยเองวะ

“ไงเรา สนุกหรือเปล่า” พี่ภูหันไปถามคนที่ยังขำผมไม่เลิก ภามมองพี่ชายตัวเองกลับก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วยิ้มบาง

‘สนุก’

“งั้นตอนพี่ไปทำงานก็ลงมาเล่นกับเก้าแก้เบื่อแล้วกัน”

‘ครับ’

“ทำอะไรกันอยู่คะ” ป้าเจนที่เดินถือถาดเข้ามาด้านในยิ้มกว้าง ท่านมองไปที่ภามอย่างสุขใจ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีตามไปด้วย

“ป้าเอาอะไรมาครับ ผมหิวมากเลย” ผมเป็นคนแรกที่ขยับตัวพุ่งเข้าไปหา ยิ่งเห็นสีเขียวๆ ของขนมในจาน ตาก็เป็นประกายด้วยความชอบใจในทันที

“คุณเดรคบอกป้าว่าคุณเก้าชอบทานชาเขียว ป้าเลยลองทำวุ้นให้ทานค่ะ”

“ขอบคุณนะครับป้า” ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะจิ้มวุ้นนิ่มๆ กินไม่รอใคร พอเห็นภามขยับกระดุกกระดิกเข้ามามองจานตาวาว ผมก็รีบหยิบจานวุ้นชาเขียวมาถือไว้แล้วชี้ไปที่จานอื่น “กินอันอื่นไปเลย ชาเขียวของกู”

‘ผมอยากลองกิน’ ว่าแล้วก็ชี้มาที่จานผมด้วยท่าทางที่บอกว่าจะเอาให้ได้

“แบ่งกันทานนะคะ” ป้าเจนหัวเราะคิกคักแล้วเดินหนีออกไปเป็นคนแรก ส่วนพี่ภู…รายนั้นต้องเข้าข้างน้องตัวเองอยู่แล้ว

ผมมองจานวุ้นชาเขียวในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองภามสลับกันไปมาสองสามที สุดท้ายก็ตัดสินใจยื่นจานไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ

“ให้กินก็ได้ กินชาเขียวเยอะๆ จะได้ฉลาด”

“ตำราไหนวะ” คนที่นั่งเงียบรอดูสถานการณ์พูดแทรกงงๆ

“ตำราของคุณอชิราไง ที่ผมเก่งและเพอร์เฟกต์ขนาดนี้เพราะกินชาเขียวเยอะเนี่ยแหละ” ตั้งแต่จำความได้ก็ชอบกินชาเขียวมาตลอด เพราะงั้นเรื่องนี้ต้องเป็นจริงแน่

‘พี่’ ภามสะกิดเรียกพี่ชายตัวเองให้หันไปมอง ‘พี่เลือกคนผิดหรือเปล่า’

อ้าว…พูดงี้ก็สวยดิวะ อะไรคือการมองเหมือนผมเป็นคนบ้า เมื่อไหร่ทุกคนจะเลิกเข้าใจผิดเสียที ไม่รู้หรือไงว่ามองเทพเป็นคนไม่ดีมันบาป

“ก็ว่าอยู่” นี่ก็ตอบแบบหน้าตาจริงจัง แถมยังหันหน้ามาถามผมต่ออีก “ช่วงนี้มึงดูร่าเริงผิดปกตินะ”

“ที่นี่อากาศดีไง”

“แล้ว?”

“ที่ไทยอากาศร้อน…อากาศร้อนทำให้คนเป็นบ้า” อันนี้เรื่องจริงนะ สำหรับคนที่โตมาแบบร้อนๆ แล้วมาเจออากาศหนาวๆ น่าจะเข้าใจว่ามันรู้สึกต่างกันขนาดไหน แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก…

“เอาดีๆ” พี่ภูหยิกแก้มผมเป็นรอบที่หนึ่งพัน ต่างกันที่ครั้งนี้เขาไม่ได้ดึงแล้วปล่อยเหมือนเดิม แต่กลับดึงแล้วยื้อไว้แบบนั้น “ไม่ตอบแก้มขาด”

เท่านั้นไม่พอ เด็กหน้าตายที่ซุ่มอยู่นานยังบังอาจยื่นมือมาดึงแก้มอีกข้างของผมแล้วยิ้มกว้างอีกต่างหาก ไอ้สองพี่น้องนี่!

“อ่อยอ่อนนน” ผมพยายามแกะมือทั้งสองที่ดึงแก้มตัวเองไว้ออก แต่เหมือนจะไม่ทัน…เพราะตอนนี้ความรู้สึกชาได้ลามไปทั่วหน้าแล้วเรียบร้อย

“อ่อย?”

“อ้อย!”

“อ้อย?”

“เหี้ย!”

“ทีงี้ชัดเลยนะ” พี่ภูหัวเราะก่อนจะยอมปล่อยมือออก ภามเองก็ปล่อยตามไปด้วย ผมอยากจะด่าแต่ไม่มีแรง อีกทั้งยังต้องใช้มือคลึงแก้มตัวเองให้หายเจ็บอยู่

“ก็มันไม่กดดันแล้ว” ผมขมวดคิ้วตอบทั้งที่ยังนวดแก้มตัวเองอยู่ “ตอนอยู่ที่นั่นผมต้องทำหลายอย่าง ทั้งที่อยากหรือไม่อยากก็จำเป็นต้องทำ พอมาที่นี่เลยเหมือนมาพักผ่อน”

ไม่ว่าจะทำตัวชิวขนาดไหน แต่คนทุกคนย่อมมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ตอนอยู่ไทยผมมีหน้าที่ที่ต้องทำมากมาย ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่แค่เรียน แต่มันยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่ผมต้องทำเพื่อคณะหรือมหา’ลัยอีก ไหนจะงานเล็กงานน้อยที่มีคนไหว้วานให้ทำ ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ เวลานอนก็ยังต้องนึกถึงว่าวันต่อไปจะทำอะไร ต้องซ้อมดนตรีไหม พอได้มีโอกาสหยุดพัก ป๋าก็ขอให้ไปเที่ยวบ้าง รวมถึงจ๋ายอมให้มาอังกฤษ ผมเลยรู้สึกเหมือนตัวเองได้พักผ่อนโดยไม่ต้องคิดอะไร

เรื่องของภามก็ไม่ใช่หน้าที่ ถึงแรกๆ จะเครียดและเตรียมตัวมาเยอะ แต่พอได้รู้จักกันผมก็เริ่มมองว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งไปแล้ว ทีนี้เลยรู้สึกเหมือนการมาที่นี่ทำให้ผมสามารถพักทุกเรื่องไว้ได้จริงๆ…ทั้งยังได้อยู่ใกล้คนที่อยากอยู่ใกล้ด้วย

“ก้อน” พี่ภูเรียกเบาๆ แล้วพยักพเยิดไปทางภามที่นั่งจิ้มวุ้นอยู่ ผมพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจเพราะยังจำได้ดีถึงเรื่องที่คุยกันไว้เมื่อคืน

“ภาม”

เจ้าของชื่อเงยหน้ามองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ผมรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา เลยต้องส่งไม้ต่อกลับไปให้คนข้างๆ โดยการสะกิดแล้วส่ายหน้า ถ้าให้ช่วยพูดยังพอไหว แต่ให้เริ่มเองเลยผมว่าคงไม่เหมาะแน่

“อีกสามวันมีนัดกับหมอ” คุณพี่ชายคนนี้ก็ดันตรงเป็นไม้บรรทัดจนผมต้องฟาดหน้าขาเขาดังเพียะ

“พี่พูดตรงๆ ได้ไงเนี่ย”

“อะไร” พี่ภูขมวดคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็เราตกลงกันว่าจะตะล่อมให้เต็มใจไง” ผมขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงเมื่อสิ่งที่คุยไว้ไม่เป็นไปตามแผน

เรื่องของเรื่องคือเมื่อคืนเราคุยกันไว้ว่า ถ้าผมพอจะเข้าใกล้ภามได้แล้วจะช่วยกันพูดให้เขายอมพบจิตแพทย์ อาการป่วยของภามต้องรักษาโดยการเข้าพบจิตแพทย์และกินยาเพื่อรักษาตามสั่ง แต่ที่ภามยังมีอาการต่อเนื่องเป็นเพราะสภาพจิตใจและการต่อต้านของเขาเอง พี่ภูบอกว่าภามไม่เคยเต็มใจพบแพทย์ ทุกครั้งทำเพราะพ่อกับพี่ขอร้อง แต่เขาไม่เคยให้ความร่วมมืออะไรจริงจังทั้งนั้น เพราะแบบนั้นอาการถึงไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด…

เราไม่ได้อยากเร่งอะไร แต่เรื่องของเรื่องคือพ่อพี่ภูตามจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาที่นี่ และนัดเรียบร้อยแล้วว่าจะเข้ามาที่บ้านในอีกสามวัน เขากลัวว่าถ้าให้รู้เองภามจะไม่พอใจ เพราะงั้นเลยอยากให้ช่วยกันคุยก่อนจะถึงเวลา

“แบบนี้ไม่ได้เรียกตะล่อมเหรอ” พี่ภูทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจจริงจัง ถ้าเป็นเพื่อนผมจะตบกะโหลกสักหนึ่งที แต่เพราะไม่ใช่เลยทำอะไรไม่ได้

“พี่แม่งน่าตี”

“ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดยังไง” เขาตอบหน้าตาเฉย แต่ท่าทางคงจะเครียดอยู่ในใจนั่นล่ะ เพราะผมเห็นเขาแอบเหลือบมองท่าทีของภามอยู่เหมือนกัน สุดท้ายเมื่อพูดไปแล้วก็ไม่สามารถเอาคำคืนมาได้ เราได้แต่หันไปมองหน้าภามเพื่อรอคำตอบ แม้จะคาดหวังไม่ได้มากเพราะเขาดูต่อต้านเรื่องนี้สุดๆ แต่จะบอกว่าไม่คาดหวังเลยก็คงไม่ได้

ภามทำหน้านิ่งสนิทไปพักใหญ่ ก่อนเขาจะเงยหน้ามองพี่ภูแล้วเบนสายตามามองผม

‘ผมจะลองดู…ถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว’

ผมหันไปมองหน้าพี่ภูแล้วยิ้มยินดี เขาเองก็ส่งยิ้มที่กว้างไม่แพ้กันตอบกลับมา

ยังหรอก เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา

แต่นี่เป็นก้าวแรก…เป็นก้าวแรกที่สำคัญมากจริงๆ

 

--------------------------



หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 09-09-2017 17:45:55
เก้ากวนทรีนได้โล่จริงๆ  :m20: แต่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นละ ภามก็เปิดใจ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 09-09-2017 18:00:37
อะไรๆมันก็เริ่มดีขึ้นแล้วนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 09-09-2017 18:04:39
ก้อนทำได้จิงๆ พี่ภูไม่ผิดหวังงงงง o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 09-09-2017 18:40:52
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 09-09-2017 19:56:27
ว่าแล้วว่าเก้าต้องใช้วิธีที่ไม่ปกติ โอ้ยยย 555555555 ช็อต2พี่น้องดึงแก้มเก้า รู้สึกวงวารจัง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 09-09-2017 21:12:30
ทำไมเก้าไม่งอนพี่ภูอ่าาาา หนีไปทำงานได้ไง ผิดสัญญาสุดๆๆๆ ถ้าเป็นเรานะจะงอนๆๆ จะถุยแต่กับภาม เมินพี่ภูไปเล๊ยย #ทีมก้อนภาม #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 09-09-2017 21:14:41
แอบขัดใจพี่ภูนิดๆนะ  นึกว่าตอนนี้จะได้ไปเที่ยวกันหวานๆ
จะหวังให้เก้างอนก็คงไม่ได้ ยอมคนพี่ตลอด  :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 09-09-2017 21:45:04
ภามเปิดใจแล้วว ตลกตอนรุมกันแกล้งน้องก้อน อยากบีบแก้ม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Somo2712 ที่ 09-09-2017 22:33:47
ฮือออออ ขอแบบเก้า 1 คนนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 09-09-2017 22:39:27
บรรยากาศ 3p นีสๆ อิอิ ชอบตอนดึงแก้มอ่ะ น่ายัก ขอให้ภามหายเร็วๆน้าาาา อยากให้น้องมีคู่ด้วย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-09-2017 22:48:33
ภามเริ่มเปิดใจแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-09-2017 01:01:29
น้องเก้าเก่งมาก เอาความจริงใจเข้าสู้ืคสามเป็นธรรมชาติด้วย ดีค่ะ ดีงาม พี่ภูนี่ปลื้มเลย
ภามก็น่ารักดีเนอะ มีเพื่อนแล้ว

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 10-09-2017 01:32:59
น้องภามเริ่มเปิดใจจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 10-09-2017 06:44:33
สู้ๆเชื่อว่าภามต้องหายเก้าเก่งเพราะกินชาเขียวได้กล่าวไว้5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 10-09-2017 07:19:16
เก้าน่ารัก 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-09-2017 10:09:32
มันดีอ่ะ อบอุ่น เก้าแกมันกวน
ภามเปิดใจ นี่อยากได้ยินภามพูดแล้วอ่ะ จะดีใจจนน้ำตาไหลแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-09-2017 10:55:02
เอาเก้าไปติดกะภาม เท พี่ภูไปเลยยยย หนีน้องไปทำงานเฉย ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 10-09-2017 13:07:02
ภามน่ารักจัง คิดว่าจะร้ายเอาแต่ใจกว่านี้ แต่ไม่ใช่เลย
เป็นเด็กน้อยน่ารักมาก แค่ต้องรู้วิธีเข้าหาเท่านั้นเอง
แล้วน้องเก้าเราก็เก่งมาก เป็นนายเอกที่น่าประทับใจมาก ๆ
เก่ง ฉลาด รู้จักคิด ที่สำคัญ จริงใจสุด ๆ เพราะความจริงใจนี่แหละ
ถึงเข้าใกล้ภามได้เร็วขนาดนี้ อะไร ๆ กำลังจะดีขึ้นแล้ว
ภามกินข้าวได้หมดครั้งแรกเลยด้วย ยิ้ม หัวเราะมากขึ้น
รอแต่ว่า คำแรกที่ภามจะกลับมาพูดอีกครั้ง คืออะไรน้อ
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 12-09-2017 20:03:49
ภามน่ารัก...
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[27]==[P.17]== [09/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 15-09-2017 21:33:44


-28-

 

ผมเพิ่งรู้ในตอนเช้าของวันนัดว่าบ้านพี่ภูกว้างขวางกว่าที่คิด นอกเหนือจากชั้นสองที่เป็นพื้นที่ของห้องนอนแล้วยังมีชั้นสามที่เป็นห้องหนังสือกับห้องอื่นๆ ด้วย ส่วนห้องที่ปกติคุณหมอจะใช้คุยกับภามคือห้องว่างชั้นหนึ่งที่อยู่ข้างห้องรับแขก ซึ่งเหตุผลที่ผมรู้ก็เป็นเพราะเด็กหน้าตายเกิดว่างไม่มีอะไรทำเลยชวนไปเดินชมบ้าน มือขยับดุ๊กดิ๊กอธิบายนั่นนี่ตลอดเวลาอย่างกระตือรือร้น ตอนแรกผมก็ขี้เกียจ แต่พอโดนสวนกลับมาว่า…

‘เป็นคนของพี่ก็ต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่ไม่ใช่เหรอ’

“ปะ ไปเดินกันให้ทั่วเลย”

ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ผมอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลยสักครั้ง เพิ่งจำได้ว่าหิมะตกก็ตอนที่เดินผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ผมนึกอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกอยู่เหมือนกัน เพราะหิมะไม่ได้ตกหนักจนน่ากลัวอะไร แต่ติดอยู่ที่คนพาชมบ้านไม่ได้คิดจะพาออกไปเลยสักนิด

“ภาม” ผมหยุดเท้าอยู่ตรงบานหน้าต่างที่เรากำลังจะเดินผ่าน พอคนที่เดินนำรู้ตัวว่าผมหยุดเดินก็หยุดตามแล้วหันมาหา ภามพยักพเยิดออกไปข้างนอกเป็นเชิงถามว่าอยากออกไปเหรอ ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบกลับไปตามตรง “กูอยากออกไปสูดอากาศ มึงอยากออกไปไหม”

‘เดี๋ยวจะถึงเวลานัดแล้ว’

ผมหันไปมองนาฬิกาแล้วก็พยักหน้า อีกสักพักหมอก็คงมาแล้ว ผมสัญญาไว้ว่าจะเข้าไปกับเขาด้วย เพราะงั้นไม่มีทางผิดคำพูดแน่ๆ แต่ว่า…

“งั้นเย็นๆ ออกไปเดินเล่นกัน”

คนฟังทำหน้าคิดหนัก เม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าให้

‘ก็ได้’

หลังจากได้อยู่กับภามมาสองสามวัน ผมก็ได้รู้เกี่ยวกับเขามากขึ้นอีกอย่าง จริงๆ เขาไม่ได้ปิดกั้นอะไรมากขนาดนั้น แต่เป็นเหมือนคนที่ต้องการมีเพื่อนไปนั่นไปนี่ด้วยมากกว่า ลักษณะเหมือนทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน รวมถึงไม่ชอบที่จะต้องทำอะไรคนเดียว เพราะงั้นเลยเลือกอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น พอผมเข้ามาเป็นเหมือนเพื่อน ชวนทำหลายๆ อย่างด้วยกัน เจ้าตัวเลยยอมง่ายๆ โดยไม่คิดค้านเลยแม้แต่น้อย

เขาก็แค่เด็กขี้เหงาที่ต้องการมีคนอยู่เคียงข้าง คงต้องยอมรับว่าครอบครัวกับเพื่อนมันต่างกันจริงๆ แล้วภามก็ต้องการทั้งสองอย่าง ไม่ใช่แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

“จะว่าไปกูยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเลย” ผมบ่นเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ เพราะชุดที่ผมเอามาไม่ได้หนาพอจะเอาไปเดินลุยหิมะนานๆ…สงสัยคงต้องออกไปซื้อก่อนเป็นอันดับแรก

‘ใส่ของผมก่อนก็ได้’ ภามบอก ก่อนจะชี้ไปที่ชุดตัวเอง

“ดีๆ”

‘ถึงจะเตี้ยไปหน่อย แต่ถ้าเป็นเสื้อนอกคงไม่มีปัญหา’

ผมชักสีหน้าทันควันเมื่อเจอกับคำต้องห้าม อยากจะบ้าตายกับพวกเปรตสองพี่น้องที่พูดจาเหมือนกันไม่มีผิด ขนาดทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกันผมยังหัวร้อน คิดสภาพตอนโดนพูดกรอกสองหูไม่ออกเลย

“รำ”

ภามทำหน้างงเมื่อได้ยินศัพท์ภาษาไทยที่ไม่คุ้นเคย คงงงว่ารำเกี่ยวอะไร ผมเลยมองแรงใส่ไปหนึ่งทีเป็นเชิงด่าว่าโง่

“กูหมายถึงรำคาญ”

‘อะไรวะ’ เขาทำหน้ายุ่ง ก่อนจะหันหน้าหนีเหมือนไม่ชอบใจที่โดนด่าแบบงงๆ

จะว่าไป…ถึงวันนี้จะมีแพลนแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง แต่พรุ่งนี้ก็ยังว่างอยู่ดีนี่หว่า ให้นั่งเล่นเกมทั้งวันมันก็ได้อยู่หรอก แถมยังมีเพื่อนเล่นอยู่แล้วด้วย แต่ช่วงเวลาที่ภามต้องเรียนกับแม่เฮเลนแล้วผมต้องอยู่คนเดียวมันก็น่าเบื่ออยู่หน่อยๆ

“เออภาม มึงรู้ไหมว่าพี่ภูทำงานที่ไหน” ผมหันไปถามเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก

‘ก็รู้อยู่ แต่ไม่เคยไป’

“แค่นั้นก็ได้…แล้วพรุ่งนี้มึงเรียนกี่โมง”

‘ว่าจะเรียนเช้า ตอนบ่ายผมอยากเล่นเกม’

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้คือภามเองก็เรียนอยู่ แต่เขาเรียนที่บ้านโดยมีแม่เฮเลนซึ่งเป็นอดีตบุคลากรอาวุโสของมหา’ลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นคนสอนและให้ความช่วยเหลือ

“พรุ่งนี้งดเล่นเกมนะ กูมีแพลนอย่างอื่น”

‘แพลน?’

“ไปบุก…หมายถึงไปหาพี่ภูกัน” ผมคลี่ยิ้มเมื่อคนที่กำลังงงเริ่มทำหน้าตาสนอกสนใจ ดูก็รู้ว่าเขาคล้อยตามทั้งที่ยังไม่ต้องโน้มน้าวเลยด้วยซ้ำ “ไง สนใจล่ะสิ”

‘อืม’

“งั้นก็จัดไป” ผมแปะมือกับภามแล้วยืนหัวเราะชั่วร้ายกันอยู่สองคน สมน้ำหน้าคนหน้าดุไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน อยากทำงานหนักกลับดึกดีนัก ถ้าไม่มีเวลาให้ก็ไปป่วน…หมายถึงไปหาถึงที่เลยแล้วกัน แต่ก่อนอื่นผมต้องหลอกถามก่อนว่าพรุ่งนี้เขางานยุ่งหรือเปล่า ถ้าไปแล้วเจ้าตัวงานยุ่งเดี๋ยวจะกลายเป็นไปทำเสียงานอีก

“คุณหนูคะ! คุณหมอมาแล้วค่ะ!” เสียงป้าเจนที่ตะโกนเรียกทำให้ผมกับภามสะดุ้งแล้วหันไปมองหัวบันไดพร้อมกัน ผมเห็นคนข้างๆ ทำหน้าตากังวลก็รู้สึกเป็นห่วงจนต้องยกมือตบไหล่เขาเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอก”

ภามพยักหน้าเข้าใจ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินนำลงไปด้านล่าง ข้างๆ ป้าเจนที่ยืนรออยู่ตรงหัวบันไดมีชายสูงอายุหน้าตาใจดียืนอยู่อีกคน ท่านมองมาที่ผมกับภามแล้วยิ้มให้ ผมเลยทักทายกลับไป แต่คนข้างตัวกลับยืนแข็งเป็นหินไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น

“ภาม จำที่เราคุยกันได้ไหม” ผมกระซิบถามเบาๆ จนคนฟังรู้สึกตัว เขาหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองคุณหมอ จากนั้นคนที่ไม่เคยยอมสื่อสารกับจิตแพทย์ดีๆ มาก่อนก็ยกมือขึ้นเพื่อสื่อสารเป็นครั้งแรก

‘ผมอยากให้เพื่อนเข้าไปกับผมด้วย’

“ได้แน่นอนครับ” คุณหมอที่ดูจะรู้ภาษามือเป็นอย่างดีรับคำอย่างรวดเร็ว ท่านก้มหัวน้อยๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้องพร้อมกับป้าเจน ขณะที่ผมยืนกอดอกมองภามอย่างภูมิใจ

“ไง ไม่ได้แย่ใช่ไหมล่ะ”

‘อื้ม’

“ดีแล้ว” ผมตบบ่าภามเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะกอดคออีกฝ่ายให้เดินไปด้วยกัน

วันก่อนผมคุยกับภามตามตรง แล้วบอกเขาว่าถ้าอยากให้เข้าไปด้วยเจ้าตัวจะต้องบอกหมอเอง ถึงจะเป็นจิตแพทย์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรู้ทุกอย่าง ยิ่งภามเปลี่ยนหมอบ่อยแบบนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจก็คงต้องแยกกันแล้วล่ะมั้ง อีกอย่าง…ถ้าได้เริ่มสื่อสารเป็นครั้งแรกแล้วเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าจิตแพทย์ไม่ได้แย่แบบที่คิด

“อาชื่อวิล เป็นเพื่อนกับออสติน พ่อของหลานมายี่สิบกว่าปี หลานตรงนั้นก็ช่วยเรียกอาวิลด้วยนะ ไม่เอาตาแก่อะไรแบบนั้นล่ะ” นั่นคือการแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดีของอาวิล ท่านให้ความรู้สึกสบายใจจนผมเริ่มหายกังวล ภามเองก็ดูไม่ได้ต่อต้านอะไร เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแต่ก็ยังหันมามองผมอยู่หลายครั้ง

พอเวลาผ่านไปนานเข้าผมก็เริ่มง่วง บอกตรงๆ ว่าผมแพ้น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นที่สุด ได้ยินทีไรหาวทุกที อย่างพี่กีล์แฟนไอ้โซก็เหมือนกัน รายนั้นคุยกันนานๆ ทีไรผมหลับคาโซฟาตลอด และมันแย่ตรงที่อาวิลเองก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ยิ่งฟังเสียงนุ่มๆ ของท่านก็ยิ่งทำให้ผมง่วงจนต้องเอนกายลงนอนอย่างช่วยไม่ได้

“คุณเก้าคะ คุณเก้า” แรงเขย่าเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว สิ่งแรกที่เห็นคือสีหน้ากลั้นขำของป้าเจน ถัดมาคือหน้าบึ้งตึงของภามที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ และสุดท้ายคือใบหน้าอ่อนโยนของอาวิลที่ยืนถือเสื้อสูทยิ้มอยู่ด้านหลัง

“ขอโทษครับ” ผมรีบลุกขึ้นนั่งขยี้ตาแล้วขอโทษอาวิลเป็นลำดับแรก

“ไม่เป็นไรหรอก ดูท่าเมื่อคืนนอนน้อยล่ะสิเรา”

“ครับ เมื่อคืนผมนั่งหาคู่มือทำอาหารดึกไปหน่อย” เพราะคิดได้ว่ายังไม่ได้ทำข้าวกล่องให้พี่ภูสักทีเลยกะจะหาข้อมูลเสียหน่อย หาไปหามากลายเป็นใครอีกคนหลับไปก่อนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“อามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” อาวิลหันไปส่งสายตาให้ป้าเจน ซึ่งท่านเองก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเลยหันไปแตะแขนภามให้เดินตามออกไปด้านนอก

“เรื่องภามเหรอครับ”

“ใช่” ท่านถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งลงข้างผม “อาได้ยินเรื่องของเด็กคนนี้มาจากออสตินเยอะพอควร ช่องว่างในใจของเขาเป็นรูใหญ่และลึกกว่าที่คิด สิ่งที่ช่วยได้คงไม่ใช่แค่แพทย์ แต่หมายรวมถึงคนรอบตัวด้วย”

ผมขยับกายนั่งและรับฟังอย่างตั้งใจ เพื่อเก็บข้อมูลทั้งหมดแล้วเอาไปเล่าให้คนที่กำลังทำงานอยู่ฟังอีกต่อ

“เดี๋ยวอาจะคอยบอกออสตินเอง แต่จากที่คุยมา ดูเหมือนคนที่ภามแคร์ที่สุดน่าจะเป็นพี่ชายที่กำลังทำงานอยู่ แล้วก็เพื่อนใหม่ของเขาอีกคน…” อาวิลยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนท่านจะหัวเราะเบาๆ “เขาบอกอาว่าเพื่อนใหม่เป็นคนแปลกๆ ทั้งยังมาหลงชอบพี่ชายของเขาอีกต่างหาก”

อ้าวเวร…บอกหมดเลย

“แต่เหนือสิ่งอื่นใด…ดูเหมือนเขาจะชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากเลยนะ”

“เขาบอกเหรอครับ” ผมถามแล้วเกาหัวอึนๆ

“เปล่า อาเดาเอาจากการเล่าน่ะ” อาวิลหัวเราะเสียงดังจนผมหน้าหงิก หลังจากนั้นท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วลูบหัวผมเบาๆ “เรื่องของภามอาจจะยาก แต่ไม่ได้เกินความสามารถ ในฐานะของผู้ใหญ่ที่เห็นเจ้าพวกนี้มาตั้งแต่ตัวยังเล็ก ขอบคุณมากนะที่มาช่วย อาเพิ่งมีโอกาสกลับมาอังกฤษหลังไปอยู่ที่ญี่ปุ่นมานาน ได้โอกาสมาช่วยก็จริง แต่ให้ทำคนเดียวคงไม่ไหว ถ้าไม่ได้หลานคงแย่เลย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ภามก็แค่ต้องการเพื่อน” ผมตอบแบบถ่อมตัว ทั้งที่จริงๆ อยากยืดอกยอมรับด้วยความภูมิใจ

“แต่เพื่อนแบบที่เด็กคนนั้นต้องการคงหาไม่ได้ง่ายๆ หรอก” อาวิลยิ้มบาง ก่อนจะชวนให้ผมเดินออกไปด้านนอกในขณะที่พูดคุยกันไปด้วย “ภามยังไม่ไว้ใจเล่าเรื่องที่ติดค้างในใจให้ใครฟัง ไม่แน่หลานอาจจะเป็นคนที่ภามเลือก ถ้าถึงเวลาแล้วเขาเลือกที่จะพูดออกมาเอง ยังไงก็ช่วยรับฟังหน่อยนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้า เรื่องรับฟังคงไม่มีใครทำได้ดีเท่าผมแล้ว จะบอกว่าเป็นคนขี้เสือกในทุกเรื่องก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอด ไม่เชื่อถามไอ้โซเลย

“งั้นอากลับก่อนนะ อาทิตย์หน้าจะมาใหม่”

“ขอบคุณมากครับอาวิล” ผมยกมือไหว้ตามแบบฉบับคนไทยเมื่อเดินไปส่งท่านที่หน้าประตูแล้ว อาวิลโบกไม้โบกมือตอบกลับมา ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน

ดูเหมือนจะมีคนห่วงเด็กหน้าตายมากกว่าที่คิด แม้แต่พ่อเขาก็พยายามช่วยแม้จะอยู่ไกล ภามโชคดีมากจริงๆ ที่มีครอบครัวที่รักเขามากขนาดนี้ ถึงตอนนี้จะยังไม่สังเกตเห็น แต่สักวันเจ้านั่นต้องรับรู้ได้แน่ๆ

ระหว่างที่เดินกลับเข้าไปด้านใน ผมเดินสวนกับป้าเจนที่กำลังถือถาดอาหารอยู่ ท่านบอกว่าภามนั่งเล่นเกมอยู่ในห้องรับแขก แต่ภาพที่ผมเห็นเมื่อเดินเข้ามาด้านใน กลับเป็นภาพเพื่อนใหม่ของตัวเองนั่งเหม่อราวกับกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แม้แต่ตาที่เคยดูเป็นประกายมากกว่าวันแรกที่ได้เจอกันก็กลับมาแลดูว่างเปล่าราวกับตุ๊กตาอีกครั้ง

“ภาม” ผมเรียกคนที่นั่งเหม่ออยู่เป็นลำดับแรก แม้จะเพิ่งเจอกัน ได้เห็นภามเหม่ออยู่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ผมไม่เคยรู้สึกดีเลย มันเป็นความกังวลใจแปลกๆ เมื่อได้เห็นเขาจมอยู่กับความคิดตัวเอง…เป็นความรู้สึกอึดอัดข้างในเมื่อได้รับรู้ส่วนหนึ่งในความคิดนั้น…และผมไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองได้รู้เลย “ภาม”

คนที่กำลังเหม่อสะดุ้งและรู้สึกตัวหลังจากโดนเรียกซ้ำ เขาหันมามองผมด้วยสายตางงๆ เหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ แต่ผมรู้ว่าภามจำความรู้สึกนั้นได้แน่นอน

‘โทษที ผมเหม่อไปหน่อย’

“ไม่เป็นไร”

ผมใช้เวลาว่างที่มีเพื่อศึกษาอาการป่วยของภามเบื้องต้น แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ หาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หนังสือ ถามคนที่รู้จัก แต่มันก็แค่นั้น…

‘โรคซึมเศร้า’ ไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่โรคที่ใครก็รักษาได้ แค่เริ่มเป็นก็รู้สึกทรมานมากแล้ว แล้วคนที่อยู่กับมันมาหลายปีอย่างภามจะต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนคงไม่มีใครรู้เลย ตอนที่ได้อ่านข้อมูลผมนึกขอบคุณอยู่ในใจที่ครอบครัวเขาให้เข้าพบจิตแพทย์มาโดยตลอด แม้ว่าภามจะต่อต้านแต่มันก็ยังส่งผลอยู่บ้าง

เพียงแต่…ในขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้น เหตุการณ์มันกลับไม่เป็นแบบที่คิด แค่ได้เห็นเขาเหม่อผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าในช่วงนี้ไม่ควรปล่อยให้เจ้าตัวอยู่คนเดียวเป็นอันขาด

“เออภาม ฮีตเตอร์ห้องกูพัง เดี๋ยวต่อไปกูกับพี่ภูไปนอนกับมึงนะ”

‘พังได้ไง’ ภามทำหน้างง

“ไม่รู้ รู้แต่พังแล้ว” จริงๆ ก็ยังไม่พังหรอก แต่เดี๋ยวพังแน่…พังด้วยมือผมเนี่ย

ถึงจะยังไม่ได้ปรึกษาพี่ภูในเรื่องนี้ แต่ถ้าผมอธิบายเหตุผลให้ฟังเขาต้องยอมแน่ แถมห้องภามก็ใหญ่โต ถึงเข้าไปนอนห้าหกคนก็ไม่น่ามีปัญหา

‘เรียกคนมาซ่อมสิ เดี๋ยวก็เสร็จ’

“ไม่อยากเรียก อยากไปนอนห้องมึงจะได้สนิทกันไวๆ พี่ภูเองก็คิดเหมือนกัน” อะไรก็ตามเหมารวมพี่ภูไปก่อนดีที่สุด ภามแพ้พี่ชายตัวเอง ขอแค่อ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ลังเลแล้ว

‘แล้วแต่’

นั่นไง…ทีนี้ก็เหลือแค่บอกคนที่ยังทำงานไม่รู้เรื่องละ

 

 

ผมใช้เวลาเล่นเกมอยู่กับภามสองสามชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็ตกลงกันว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกระหว่างรอพี่ภูกลับ ฝ่ายนั้นบอกผมว่าวันนี้เขาจะกลับไว จะมากินข้าวด้วย เพราะงั้นเลยหมดปัญหาเรื่องรอจนดึกไป ผมถือโอกาสที่โทร. ไปหาเขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าอาวิลพูดอะไรบ้าง แล้วก็บอกเลยไปถึงเรื่องที่จะไปนอนกับภาม ถึงจะยังไม่ได้เล่าเหตุผลโดยละเอียด แต่พี่ภูก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เขารับปากผมโดยไม่ถามอะไรสักคำก่อนจะบอกว่าจะรีบกลับ หลังจากนั้นก็ตัดสายไป

ภามชูเสื้อโคตตัวหนึ่งให้ผมดูแล้วจึงยื่นมาให้ ในขณะที่ตัวเองใส่เสื้อโคตอีกตัวที่ดูใหญ่กว่า เห็นความสูงที่แตกต่างแล้วผมก็ได้แต่บ่นในใจอีกทีอย่างอดไม่ได้

‘นั่นเสื้อตอนผมเด็กๆ ตัวเตี้ยๆ’

“ย้ำแบบนี้อยากโดนตีหัวใช่ไหม”

‘ไปกันเถอะ’ เขายิ้มขันนิดหน่อย ก่อนจะลากแขนผมให้เดินตามไปที่ประตู อีกทั้งยังเป็นฝ่ายหันไปสื่อสารบอกป้าเจนว่าจะออกไปข้างนอกด้วยตัวเองอีกต่างหาก เล่นเอาป้าเจนยิ้มกว้างไม่หุบแม้กระทั่งตอนที่เดินมาส่งถึงหน้าประตูเลยทีเดียว

พอได้ออกมาเดินข้างนอกแล้วรู้สึกเหมือนอากาศจะหนาวกว่าที่คิดนิดหน่อย หิมะดูจะเยอะกว่าเมื่อเช้า ผมได้แต่เดินซุกมือเข้ากระเป๋าในขณะที่ภามเดินชิวเหมือนกำลังเดินเล่นในสวนหย่อม ลองได้มาเดินแล้วผมถึงรู้ว่าบ้านพี่ภูเป็นบ้านเดี่ยวที่แยกตัวออกจากคนอื่นมากพอควร เราเดินกันมาหลายนาทีแล้วผมยังเห็นหลังคาบ้านอื่นอยู่ไกลๆ เหมือนเดิม ท่าทางบ้านหลังนี้คงเป็นบ้านพักส่วนตัว มิน่าถึงได้อยู่ห่างไกลชุมชนขนาดนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่วิวธรรมชาติ

‘จะไปไหน’ ภามหันมาสะกิดถามเมื่อเห็นผมเอาแต่สนใจมองไปรอบๆ

“นำเลย ไปไหนก็ได้” จริงๆ ผมแค่อยากให้เขาออกมานอกบ้านบ้าง ไม่ได้มีความคิดอยากจะเดินเล่นอะไรมากมายนักหรอก

สถานที่ที่ภามพาผมเดินมาคือสนามเด็กเล่นที่ไร้ซึ่งผู้คนแห่งหนึ่ง เขาหันมาบอกผมว่าแถวนี้เคยมีบ้านคน พวกเด็กๆ จะชอบมาเล่นกัน แต่ต่อมาก็ย้ายออกไปหมดเพราะที่นี่ค่อนข้างห่างไกล จะเดินทางก็ต้องใช้เวลา เจ้าของที่…ซึ่งก็คือพ่อของภามเลยจัดการแถวนี้ใหม่ โดยยังเหลือสนามเด็กเล่นนี้ไว้เพราะภามกับพี่ภูเคยมาเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ

“หนาวว่ะวันนี้” ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะยกขาขึ้นมากอดบนชิงช้า

‘เดี๋ยวก็ชิน’

“หวังว่านะ” แต่ถึงจะหนาวผมก็ยังชอบอยู่ดี มันทำให้รู้สึกดีสุดๆ เลยละ ผมมองไปรอบๆ และปล่อยให้ภามจมอยู่กับความคิดตัวเองเมื่อเห็นเขายิ้มน้อยๆ ในขณะที่มองไปยังม้าโยกตรงหน้า…ดูราวกับเขากำลังนึกถึงเรื่องราวดีๆ ในอดีตอยู่

“ก้อน” เสียงกระซิบที่ข้างหูพร้อมการแตะเบาๆ ที่บ่าทำให้ผมรู้สึกตัว เมื่อหันไปมองด้านหลังถึงได้พบว่าใครบางคนที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้กำลังมองมาที่ผมด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย ทว่าแววตาของเขากลับอบอุ่นอ่อนโยนไม่ต่างจากหลายวันมานี้

“พี่มาได้ไง” ผมกระซิบถามเพราะเห็นว่าภามยังเหม่ออยู่ คนตัวสูงที่ยืนค้ำหัวผมไม่ตอบอะไร แต่เขากลับถอดเสื้อโคตออกแล้วสวมทับให้จนผมกลายเป็นก้อนกลมๆ

“แก้มแดงหมดแล้ว” ปลายนิ้วเย็นของคนที่ไม่ได้สวมถุงมือแตะเบาๆ ที่แก้มผมและลูบเบาๆ ผมเลยถือโอกาสนั้นดึงมือเขามาซุกไว้ในเสื้อให้หายเย็นแล้วมองด้วยสายตาตั้งคำถามเหมือนเดิม พี่ภูเห็นแบบนั้นก็หัวเราะหึก่อนจะยอมตอบ “กลับไปบ้านแล้วป้าเจนบอกว่าออกมาเดินเล่นกัน ก็เลยตามมา”

“ตามมาถูกด้วย”

“กูเก่ง” พี่ภูพูดหน้าตาย รู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าติดโรคหลงตัวเองของผมเข้าให้แล้ว

“พี่ภูๆ” ผมเรียกแล้วขยับตัวไปยืนข้างเขา พอมั่นใจว่าภามยังอยู่ในภวังค์ก็หันไปถามด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “ที่นี่เคยมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นใช่ไหม”

พี่ภูไม่ได้ตอบในทันที เขากวาดสายตาไปรอบด้านช้าๆ ราวกับกำลังนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ไม่ต่างจากภาม สุดท้ายเมื่อสายตาคมหยุดอยู่ที่ม้าโยก ดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววเคร่งเครียดออกมาอย่างปิดไม่มิด

“ตอนเด็กๆ…ก่อนที่พ่อกับแม่จะเลิกกัน พวกเราชอบมาเล่นที่นี่”

“พวกเรา? พี่หมายถึง…”

“ภามชอบเล่นม้าโยกตรงนั้นกับแม่” สิ้นคำพูดของเขา สายตาของเราทั้งคู่เบนไปมองคนที่นั่งเงียบพร้อมกัน และมันเป็นวินาทีเดียวกับที่รอยยิ้มซึ่งมีมาตลอดเริ่มจางหายไปจากใบหน้าภาม

พี่ภูเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาเดินตรงเข้าไปหาน้องชายจากทางด้านหลัง แล้วรั้งหัวภามที่นั่งอยู่บนชิงช้าให้ซบลงตรงเอวของตัวเอง เพียงเท่านั้นใบหน้าที่แข็งเกร็งก็ผ่อนคลายลงแทบจะทันที ผมเดินตามไปอยู่ข้างๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงมือภามเข้ามาซุกในเสื้อตัวเอง ฝั่งนั้นพอเห็นสภาพผมที่มีเสื้อตัวใหญ่ๆ คลุมทับสองตัวจนเป็นก้อนก็ทำท่าเหมือนจะหัวเราะ…น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

“ทำไมมือผอมแห้งกันทั้งคู่เลยวะ” ผมทำลายบรรยากาศเงียบงันด้วยการพูดจาตามความรู้สึกหลังจากได้จับมือภาม เล่นเอาสองพี่น้องมองงงๆ เพราะตามอารมณ์ไม่ทันกันเลยทีเดียว

“อะไรของมึง”

“เนี่ยดูดิ” ผมจับมือพี่ภูมาชูข้างๆ มือภามแล้วมองอย่างพิจารณา คือผอมจริงๆ นะ ภามอาจจะผอมอยู่แล้ว แต่พี่ภูนี่ผอมลงจากสองปีก่อนเยอะจนน่าตี “ไม่ได้ละ ต้องขุนให้อ้วน”

“งึมงำอะไรของมึง” พี่ภูดึงมือออกแล้วขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง ส่วนภามก็เอาแต่มองเหมือนจะขำไม่หยุด

เราใช้เวลานั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นไม่นานนักเพราะผมเริ่มหนาวจัด ซึ่งในระหว่างที่เดินกลับภามก็ยังเดินนำอยู่ด้านหน้าแล้วมองไปรอบๆ อย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ผมกับพี่ภูเดินตามอยู่ด้านหลัง

“ที่มึงโทร. มาบอก” พี่ภูได้ทีขยับเข้าใกล้ผมแล้วเกริ่นเรื่องที่เราคุยกันในโทรศัพท์เบาๆ

“วันนี้ผมเห็นภามเหม่อ” ผมรีบพูดเพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาส ตอนนี้ภามเดินห่างจากเราพอควรเลยไม่น่าได้ยิน แต่ถ้าถึงบ้านขึ้นมาคงหาจังหวะคุยกันได้ยาก

“เหม่อแบบไหน”

“แบบที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี”

“มึงช่วยขยายความที ก่อนที่กูจะตีหัว” คนพูดว่าเสียงดุแล้วทำท่าจะยกมือตีหัวผมจริงๆ เล่นเอาผมเกือบขยับออกห่างถ้าไม่ติดว่ามือข้างนั้นเปลี่ยนมาโอบไหล่แล้วรั้งให้เข้าหาตัวเขาแทนเสียก่อน

“ผมอธิบายไม่ถูก…แค่รู้สึกว่าอึดอัดมาก แล้วก็…”

“เหมือนพร้อมจะไปตลอดเวลาใช่ไหม”

“พี่รู้…”

พี่ภูยิ้มเศร้าก่อนจะพยักหน้า มือที่โอบไหล่ผมไว้บีบแน่นขึ้นจนผมสัมผัสได้แม้มีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่

“ก่อนที่ภามจะพยายามฆ่าตัวตายครั้งแรก ป้าเจนเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน…แต่พอกลับมาคราวนี้ก็ไม่ได้เห็นภามเป็นแบบนั้นอีก ไม่คิดเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วน้องกูแค่พยายามไม่แสดงออกให้ใครเห็น”

“ผมจะให้ป้าเจนบอกอาวิลให้ พี่ไม่ต้องกังวลนะ” ผมยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อเขาเพื่อให้เจ้าตัวหันกลับมาสนใจผมแทน “เราจะช่วยกัน ทั้งพี่ ทุกๆ คน รวมถึงผมด้วย”

“อืม” พี่ภูยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย สัมผัสที่ลูบหัวผมยังคงอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง แม้จะอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนแทบกลายเป็นน้ำแข็ง

พวกเรากลับมาถึงบ้านทันเวลาอาหารเย็นพอดี วันนี้ภามอยู่ร่วมโต๊ะอาหารข้างล่างด้วยเช่นเดียวกับเมื่อสามวันที่ผ่านมา แม่เฮเลนที่เพิ่งกลับมาจากนอกบ้านดูมีความสุขมากเมื่อเห็นว่าพวกเรากลับมาพร้อมกัน ยิ่งท่านเห็นว่าภามเองก็ออกไปด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าสวยก็กว้างยิ่งขึ้นไปอีก เป็นอีกวันที่การกินอาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข…และกลายเป็นว่าภามกินข้าวเยอะกว่าพี่ภูเสียอีก

ภายในห้องนอนของภามมีเตียงเสริมที่ผมกับพี่ภูช่วยกันยกมาจากอีกห้องเพิ่มขึ้นมาอีกเตียง โดยในขณะที่ผมกับพี่ภูแยกกันไปอาบน้ำ คนที่อาบเสร็จคนแรกและเป็นเจ้าของห้องก็โดดขึ้นเตียงเสริมแล้วหลับไปเป็นคนแรก ปล่อยให้ผมกับพี่ภูยืนมองหน้ากันงงๆ แต่ผ่านไปแค่สามวินาทีผมก็นึกขอบคุณภามในใจ กะไว้ว่าพรุ่งนี้จะต้องขอบคุณเจ้าตัวแน่นอน…ช่างเป็นเพื่อนที่ดีเหลือเกิน ยกนิ้วโป้งให้เลย

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งนอน” ผมยกมือห้ามไม่ให้ใครอีกคนเอนตัวนอน

“หืม”

“ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับพี่”

พี่ภูเลิกคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากับผมอย่างจริงจัง เห็นแบบนั้นแล้วผมก็พ่นลมหายใจออกเพื่อคลายความเครียดและความหงุดหงิด ก่อนจะขยับเข้าหาเขาจนเข่าของเราชนกัน

“ฟังแล้วคิดตามนะ”

“อือ”

“สมมติว่าผมกับพี่ไม่ได้เจอกันมาสองปี ก่อนที่เราจะแยกกันพี่มองผมเป็นคนเพอร์เฟกต์มากๆ คือดูดีทุกย่างก้าว แล้วพี่ก็ชอบผมมากด้วย” ผมถลึงตาใส่เมื่อคนฟังทำเหมือนจะขำ พอเห็นว่าเขาแค่ยิ้มหน่อยๆ เลยยอมพูดต่อ “ทีนี้พอเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งพี่ก็ดีใจมากที่ได้เจอกัน แต่พี่ดันพบว่าผมกลายร่างจากกระต่ายก้อนสมบูรณ์แข็งแรง เป็นกระต่ายยาจกผอมแห้งไม่มีเนื้อไม่มีหนัง…”

“หึ…”

“ห้ามขำ! ผมจริงจังนะ” ผมชี้หน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว

“โทษที ว่าต่อสิ”

“พี่จะรู้สึกยังไง”

“อ้าว ผอมแล้วเหรอ” พี่ภูร้องอ้าวหน้าตายแล้วพูดออกมาหน้าตาเฉย เล่นเอาผมหัวร้อนเป็นไฟจนเกือบกระโดดกัดหัวเขาถ้าไม่ได้ยินประโยคต่อมาเสียก่อน “ล้อเล่น”

“เอาดีๆ ดิ”

คราวนี้เขานิ่งไปแล้วทำหน้าตาจริงจัง ตาคมมองมาที่ผมเหมือนกำลังคิดภาพตาม แล้วอยู่ๆ คนหน้าดุก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

“ไม่ชอบ”

“เห็นไหม ผมก็…”

“ไม่ชอบกระต่ายแห้ง ไม่น่ากิน” พี่ภูปิดปากหัวเราะแล้วก้มหน้าลงเมื่อเห็นผมทำหน้าเหวอสนิท คือนึกไม่ถึงว่าจะโดนแบบนี้ เงิบหนักมาก “ดูทำหน้าเข้าดิ…หึๆ”

“พี่แม่ง…พูดไรวะ” ผมร้อนหน้าจนต้องใช้มือตีขาเขาแก้เก้ออยู่หลายที เล่นเอาความตั้งใจตอนแรกกระจัดกระจายหายไปในอากาศแทบไม่ทัน

“สรุปว่ากูต้องรู้สึกไม่ดีแน่ โอเคไหม” คนพูดว่าเสียงอ่อน ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ จนต้องยอมพยักหน้าให้

“ทีนี้ฟังต่อ”

“อืม”

“แค่คิดพี่ก็ไม่ชอบแล้วใช่ไหมที่จะเห็นผมเป็นแบบนั้น” ผมรวบรวมสติกลับมาแล้วตั้งใจพูดสิ่งที่ต้องการจะสื่อต่อ “ผมเองก็ไม่ชอบที่เห็นพี่เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ผมรู้ดีว่าพี่ทำงานหนักแล้วอาหารก็อาจจะไม่ถูกปาก เพราะงั้นผมเองก็จะช่วยด้วย”

“ยังไง”

“จำที่บอกว่าจะทำข้าวกล่องให้ได้ไหม”

“อืม”

“ผมจะทำจริงๆ นะ แต่อยากให้พี่สัญญาอย่างหนึ่ง…” ผมจับมือผอมแห้งมากุมไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา “สัญญาได้ไหมครับว่าพี่จะกินข้าวกล่องของผมให้หมดทุกครั้ง”

เพราะคงตามไปที่ทำงานทุกวันไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงขอให้เขารับปากและเชื่อใจ

“นะครับ” ผมเขย่ามือคนที่ยังนิ่งแล้วมองเขาอย่างอ้อนๆ แบบหวังผล

ตอบรับทีเถอะ ถ้าปฏิเสธจะเงิบแรงมาก

พี่ภูเริ่มขยับโดยการดึงมือของเราที่กุมกันไว้ไปแนบชิดที่ริมฝีปาก ก่อนเขาจะกดจมูกลงบนหลังมือผมเบาๆ เป็นคำตอบของคำถามทุกอย่าง

“ครับ”

“…”

ผมจะจำไว้ว่าอย่าให้พี่ภูพูด ‘ครับ’ เด็ดขาด…เพราะสุดท้ายคนที่ตายคือกูเอง

 

---------------------------

 

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 15-09-2017 22:05:33
เอ่อเก้าเนี่ยโดนพี่ภูกินไปหรือยังอะ :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 15-09-2017 22:16:57
ภามสู้ๆนะลูก มีคนรัก คนเป็นห่วงเยอะเลย
ที่สำคัญมี "ก้อน" เป็นคู่หูคู่ฮาแล้ว ไม่เศร้านะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 15-09-2017 22:57:11
ก้าภมมภูสู้ๆนด
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-09-2017 22:58:27
ความเก้าก้อจะแพ้พี่ภูตลอดดด  :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 15-09-2017 23:45:44
ภามนี่จะยังงัยดี จะหายใช่มั้ย นี่ก็อึดอัดไปกะเก้าด้วยเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 15-09-2017 23:55:39
เขิล. เรื่องภามกะสู้ๆน้าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 16-09-2017 00:00:47
ครับ....คำเดียวนี่เขินไปถึงดาวอังคารเลย  :o8:  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 16-09-2017 07:54:45
ฮื่อออ พี่ภู  หวานละมุนละไมจัง   :m1:
น้องเก้ากับพี่ภูนี่ เขายังไม่เคยจุ๊บปากกันเลยใช่ไหม
แต่สัมผัสแต่ละครั้งของพี่ภูนี่ ทำเอาเขินยิ่งกว่าจุ๊บปากอีกอ่ะ
โหยย จุ๊บหลังมือ แล้วพูด ครับ  ใจละลาย ๆ เลยน้องเก้า >////<
น้องภามน่ารักมากกก อยากให้น้องหายเร็ว ๆ ยอมพูดเร็ว ๆ
คงเป็นคู่หูกับน้องเก้า ให้พี่ภูได้ปวดหัวเล่นแน่นอน 555
รอตอนต่อไปค่า  ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-09-2017 08:14:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 16-09-2017 13:46:48
“ไม่ชอบ”

“เห็นไหม ผมก็…”

“ไม่ชอบกระต่ายแห้ง ไม่น่ากิน”
----------------------
ตกลงอีพี่ภูเป็นคนยังไงค่ะ ตอบ! เป็นกำลังใจให้ภามมากๆนะ ส่วนก้อนนั้น ตายไปแล้วค่ะ แค่ 'ครับ' คำเดียว ตายทั้งก่อน ตายทั้งเรา 555555 #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-09-2017 20:33:44
ยัยก้อนฟินเชียวแบบนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 16-09-2017 20:43:09
ฮือออพี่ภูทำไมเป็นคนแบบนี้ อะไรคือกระต่ายแห้งไม่น่ากิน ะไรคือจุ้บ ไรคือ'ครับ' ชวนใจละลาย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-09-2017 22:17:33
น้องภาม สู้ ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 17-09-2017 10:12:09
เขินนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 17-09-2017 11:34:27
ครับของพี่ภูนี่มันนน ฮึ่ยยย เขินน
เก้าคือตายแล้วรึยังคะะ
ภามสู้ๆนะ อย่างน้อยตอนนี้ก้ดีขึ้นแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Daramin ที่ 17-09-2017 12:38:04
เขินนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 20-09-2017 23:12:12
คบกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยจูบกันเลยอ่ะ คู่นี้ 55555555555555555555 รอฉากนี้อยู่นาาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-09-2017 08:36:55
แพ้เวลาพี่ภูพูดเพราะๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[28]==[P.17]== [15/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 22-09-2017 17:51:00
-29-

 

พี่ภูไม่รู้ว่าผมจะไปหาเขาที่บริษัทในวันนี้ ผมหลอกถามไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ได้ใจความว่าวันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน งานไม่น่ายุ่งเท่าไหร่ คงอยู่แต่ในห้องทำงานทั้งวัน พี่ภูคงรู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้างที่อยู่ๆ ผมก็ถาม แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีโทรศัพท์เข้าพอดีผมเลยหนีไปนอนโดยไม่ต้องคิดหาข้ออ้างต่อ

ตื่นมาตอนเช้าคนข้างกายก็หายไปเหมือนเคย…เหลือเพียงผมกับภามที่นอนอยู่บนเตียงเสริมแค่สองคน ภามตื่นไปเรียนกับแม่เฮเลนตั้งแต่เช้า เขาดูกระตือรือร้นมากกว่าผมที่เป็นคนชวนเสียอีก นอกจากนั้นยังตั้งอกตั้งใจเสียจนแม่เฮเลนยิ้มไม่หุบ เสียงหัวเราะของท่านดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ส่งตรงมาถึงผมกับป้าเจนที่ช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว

ผมใช้เวลาในขณะที่ป้าเจนเตรียมอาหารให้เราเพื่อทำข้าวกล่องให้พี่ภู ถึงเมื่อวานจะตกลงกันไว้ว่าผมจะเริ่มทำข้าวให้เขาในวันถัดไป แต่เจ้าตัวคงไม่รู้แน่ว่าผมจะเอาไปให้เขาตั้งแต่วันนี้ แค่คิดก็อารมณ์ดีจนต้องฮัมเพลงในลำคอ

“คุณเก้าทำอาหารเก่งนะคะเนี่ย” ป้าเจนชมไม่หยุด ก่อนจะหัวเราะคิกคักเมื่อยื่นหน้ามามองข้าวกล่องของผม ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธว่าชอบคำเยินยอนั้นเหลือเกิน

สองปีที่ไม่ได้เจอกันผมเตรียมตัวมาหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือการทำอาหาร ผมรู้ดีว่าพี่ภูทำอาหารเก่งขนาดไหน แต่ก็คิดไว้แล้วว่าเขาคงไม่มีเวลาทำแน่ๆ เพราะงั้นเลยศึกษาข้อมูลรวมถึงทดลองปฏิบัติมานับครั้งไม่ถ้วน ไข่เจียวคือเมนูแรกที่ผมใช้เวลาฝึกนานที่สุดอย่างที่เคยบอก หลังจากนั้นพอได้กลับบ้านช่วงปลายปีหรือหยุดยาวก็มีโอกาสได้เรียนรู้แบบจริงจังจากที่บ้านโดยตรง…ไม่ใช่จากจ๋านะ รายนั้นห่วยแตกพอๆ กับผม แต่คนที่สอนคือนมสายซึ่งเป็นแม่นมสุดที่รักของผมต่างหาก

“ป้าว่าพี่ภูจะชอบไหมครับ” ผมยกกล่องข้าวที่เสร็จสมบูรณ์แล้วขึ้นมองอย่างภูมิใจ ไม่ลืมยื่นไปให้ป้าเจนดูใกล้ๆ อีกรอบ

“คุณเก้าทำอะไร คุณเดรคเธอก็ชอบหมดแหละค่ะ”

“พูดแบบนี้อยากได้อะไรบอกเลยครับ เก้าพร้อมเปย์” ว่าแล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกันจนคนที่อยู่อีกห้องน่าจะได้ยิน และในไม่ช้าภามกับแม่เฮเลนก็เดินเข้ามาด้านในด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“ขำอะไรกันจ๊ะ…ตายแล้ว น่ารักจังเลย” แม่เฮเลนอุทานแล้วยิ้มกว้างขณะมองกล่องข้าวของผม ภามที่เดินตามมามองก็ยิ้มเหมือนกัน ต่างกันแค่ภามไม่ได้ยิ้มเพราะว่ามันน่ารัก แต่เขายิ้มเหมือนจะขำมากกว่า เล่นเอาผมต้องปิดกล่องอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเสียเซลฟ์

“อย่าลืมแวะซื้อเสื้อผ้าเพิ่มด้วยนะคะ ดูสิ คุณเก้าใส่เสื้อโคตของคุณหนูแล้วดูไม่พอดีตัวเลย”

ผมก็เข้าใจนะว่าป้าเจนหวังดี แต่พอได้ยินแล้วมันรู้สึกอึนๆ ยังไงไม่รู้ ป้าครับ…ผมไม่ได้ตัวเล็กเลยนะ คุณหนูกับคุณเดรคของป้าตัวโตเองต่างหาก…ต้องย้ำอีกกี่ทีวะเนี่ย

“เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ” แม่เฮเลนลูบหลังผมกับภามคนละทีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปฝากฝังพวกเรากับลุงอดัมเสียยืดยาว

ผมมีโอกาสได้เจอลุงอดัมอยู่ไม่กี่ครั้งเพราะท่านเป็นคนขับรถให้พี่ภู พอไปส่งเสร็จก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่บ้านของท่านในเมืองหรือไปที่อื่นๆ ตามใจระหว่างรอรับพี่ภูกลับหลังเลิกงาน แต่วันนี้ผมให้ป้าเจนช่วยติดต่อไว้ให้ ท่านเลยกลับมารับพวกเราอีกที

“พร้อมยัง” พอหันไปถามแล้วตบไหล่คนข้างตัวเบาๆ ก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา ภามถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยักคิ้วกวนให้ผมเพื่อบอกว่าพร้อม ถือว่าเขาเตรียมใจมาดีพอควร เพราะผมได้ข่าวว่าภามไม่ได้ออกจากบ้านไปเจอผู้คนเยอะๆ มานานแล้ว บางทีอาจจะตั้งแต่ที่เขาเคยโดนพวกนักเลงซ้อมจนโดนพาตัวกลับอังกฤษ

ได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นในวันนี้…

 

 

เรามาถึงที่ทำงานของพี่ภูในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผมหันไปขอบคุณลุงอดัม ก่อนจะเดินลงมาจากรถพร้อมภาม ตึกสูงใหญ่หรูหราเบื้องหน้าคือบริษัทของพี่ภูที่ดูจะใหญ่กว่าที่ผมคาดไว้พอควร ขนาดภามที่เป็นน้องชายเจ้าของยังมองด้วยสายตาแปลกใจหน่อยๆ เลย

“ภาม กูมีอะไรจะถาม” ผมหยุดเท้าเมื่อกำลังจะเดินเข้าประตู ซึ่งคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็หยุดตาม ก่อนจะหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ “เราจะขึ้นไปยังไงโดยไม่ให้พี่ภูรู้วะ”

ทันใดนั้นสีหน้าว่างเปล่าของคนที่มองผมอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าขบคิดอย่างหนัก…เห็นได้ชัดว่าลืมคิดมาทั้งคู่

‘บอกพนักงานไหม’

“ถ้าบอกเขาก็ต้องติดต่อไปหาพี่ภูดิวะ” ผมบอกแล้วทำหน้าเครียด ไม่รู้ลืมคิดเรื่องสำคัญไปได้ยังไง “เอาหน้ามึงยื่นให้ดูก็ไม่ได้อีก ไม่ว่าทางไหนพี่ภูก็ต้องรู้ตัว”

แบบนั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์ดิ

‘เข้าไปแล้วค่อยคิด ตัวนายสั่นหมดแล้ว’ ภามบอกแล้วดันตัวผมเข้าไปด้านใน มารู้ตัวว่าหนาวก็ตอนที่เขาเตือนเหมือนกัน เวลาคิดอะไรติดพันผมชอบลืมสิ่งรอบข้างทุกที เป็นนิสัยเสียๆ แบบเดียวกับที่ชอบคิดอะไรชั่วร้ายจนพี่ภูสังเกตเห็นแต่ดันไม่รู้สึกตัวนั่นล่ะ

“เราจะโดนไล่ออกไปไหม” ผมหันไปกระซิบกับคนข้างๆ ขำๆ

จะว่ายังไงดี…บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ดูหรูหราขนาดนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าออกได้ตามสบายอยู่แล้ว เพราะงั้นเพียงแค่ก้าวเข้ามาก็โดนจับจ้องเป็นจุดสนใจอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสภาพของผมกับภาม…จะบอกว่าแต่งตัวปอนๆ ก็พูดได้ ท่ามกลางคนในชุดสูทเรียบร้อยดูดีที่อยู่ๆ ก็มีเด็กสองคนเดินเข้ามา ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” นับว่ายังดีที่พนักงานมีมารยาท ไม่ได้เดินมาไล่กันออกไปแบบที่คิด

“คือพวกผมอยากจะขึ้นไปชั้นบนสุด” ผมบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา แต่เล่นเอาคนแถวนั้นที่ได้ยินมองมาอย่างตกใจกันเป็นแถบ

“ไม่มีใครขึ้นไปด้านบนได้นะคะนอกจากท่านประธาน ถ้ามารอใคร รบกวนรอบริเวณที่รับแขกนะคะ” เธอยิ้มใจดี ก่อนจะผายมือไปยังโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง ผมพยักหน้าขอบคุณแล้วลากภามที่อยู่ข้างๆ ให้เดินตามไปนั่งโดยไม่ปฏิเสธอะไร

‘แล้วจะทำไงต่อ’ ภามถามยิ้มๆ

“ขอคิดก่อน” นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แถมคนยังเยอะเหลือเกิน แม้แต่หน้าลิฟต์ยังมีพนักงานยืนอยู่ แบบนี้คงหมดหวังที่จะขึ้นไปโดยที่พี่ภูไม่รู้ตัวแน่

ในขณะที่ผมกำลังคิดหาแผนการเพื่อขึ้นไปด้านบน อยู่ๆ เสียงพูดคุยที่เบามากอยู่แล้วจากรอบด้านก็เงียบสนิทจนผิดปกติ ผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองถึงกับต้องเงยหน้า แต่ยังไม่ทันได้หันไปมองต้นเหตุ เสียงเรียกหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ภาม!” เป็นการเรียกที่โคตรจะไม่ชัดของชาวต่างชาติคนหนึ่งที่รีบวิ่งเข้ามากอดภาม “มาได้ยังไงลูก”

เพียงเท่านั้นผมก็รู้ในทันทีว่าชายสูงอายุตรงหน้าคือใคร…คุณออสติน พ่อพี่ภูกับภาม ท่านเอาแต่จับลูกตัวเองพลิกซ้ายพลิกขวาจนไม่ทันได้สังเกตผม ซึ่งมันก็เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ผมได้มีเวลาพิจารณาใบหน้าของว่าที่พ่อคนใหม่ ถึงจะดูอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังเป็นผู้ชายที่ดูดีมากไม่ต่างจากแม่เฮเลน อีกทั้งยังดูสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าภามเสียอีก

“หรือว่ามาหาพ่อ” ว่าแล้วก็ยิ้มดีใจในขณะที่ลูกชายตัวเองยังทำหน้าตาย ภามจ้องมองมาที่ผมเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือเมื่อโดนกอดแน่นจนแทบแบน แล้วถามว่าผมจะช่วยไหม…แน่นอนว่าไม่

ผ่านไปสักพัก คนที่นิ่งมาตลอดก็หยุดพ่อตัวเองด้วยการ…

เพียะ!

ตีเข้าเต็มแรงที่แขนแข็งแกร่งซึ่งอยู่ภายใต้ชุดสูท เล่นเอาคนที่กำลังดี๊ด๊าทำท่าซึมเซาแล้วทรุดลงนั่งข้างๆ แทบไม่ทัน และเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้ท่านสังเกตเห็นผมเสียที

“หืม…” ดวงตาสีเทาที่เหมือนกันกับของลูกชายคนโตมองผมด้วยความสนใจ

“สวัสดีครับ ผมชื่อเก้า” ผมเริ่มแนะนำตัวก่อนเมื่อเห็นว่ายังโดนจ้องไม่หยุด “เป็น…”

“ไม่ต้องอธิบายหรอก พ่อรู้จากเฮเลนหมดแล้ว” ท่านยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะส่งมือมาให้จับ “เรียกพ่อว่าพ่อเถอะนะ ขอบคุณที่มาที่นี่นะลูก”

แววตาที่แสดงถึงความดีใจทำให้ผมต้องยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ เพียงแค่มองก็เข้าใจว่าท่านดีใจจริงๆ ที่ผมมาที่นี่ และคงไม่มีอะไรดีเท่าการที่ผู้ใหญ่ของคนสำคัญยอมรับเราอีกแล้ว

“แล้วนี่พวกลูกมาทำอะไรกัน มาหาภูเหรอ” พอได้ยินพ่อออสตินพูดแบบนั้นผมก็นึกขึ้นได้ สายตาเบนไปสบกับภามโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะสะกิดเรียกพ่อตัวเองอย่างรู้หน้าที่

‘พาพวกผมไปหาพี่หน่อย อย่าให้รู้ตัวนะ’

“ที่แท้ก็มาเซอร์ไพรส์ภูกันหรอกเหรอ คิดว่ามาหาพ่อเสียอีก” ท่านว่าด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อโดนภามตีมืออีกทีก็ยอมลุกขึ้น “ว่าแต่ทำไมไม่ขึ้นไปแต่แรกล่ะ”

ภามเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี ส่วนผมเองก็ไม่อยากพูดแทรก พ่อออสตินเลยหรี่ตาลงแล้วมองไปรอบๆ ด้วยสายตาสงสัย

“หรือว่าใครไม่ให้ขึ้น” น้ำเสียงราบเรียบสมกับเป็นอดีตประธานทำเอาเสียงสูดหายใจจากคนรอบด้านดังขึ้นแทบจะทันที

“จริงๆ พวกพี่เขาทำตามหน้าที่ครับ แล้วก็พูดจากับเราดีมากด้วย พวกผมเลยมานั่งรออยู่ตรงนี้แทน” ผมอธิบายแทนเพราะกลัวจะเกิดความเข้าใจผิด ได้เห็นสายตาขอบคุณจากคนที่ยืนอยู่รอบข้างแล้วก็ต้องยิ้มรับไว้ตามมารยาท ลองถ้าพนักงานมาพูดจาไม่ดีใส่ผมคงไม่ช่วยหรอก แต่เพราะเขาพูดจาดีก็เลยยอมเถียงให้ อีกอย่าง…ผูกมิตรไว้ก็ไม่เสียหาย หึๆ

“งั้นก็แล้วไป…ต่อไปจำไว้ว่าถ้าสองคนนี้มา ฉันกับภูอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต”

“ค่ะท่าน”

พ่อออสตินพาผมกับภามเดินไปขึ้นลิฟต์ด้วยท่าทางดี๊ด๊า มือขยับชี้โน่นชี้นี่ให้ดูตลอดเวลา ภามอาจไม่สนใจเท่าไหร่เพราะเอาแต่มองไปด้านข้าง แต่ผมจดจำรายละเอียดที่พ่อบอกไว้อย่างแม่นยำเผื่อจะได้ใช้งานในวันหน้า

“เออใช่ พ่อซื้อของมาให้ภามด้วยนะ ลงไปเอากับพ่อก่อนไหมลูก” พ่อออสตินหันไปถามภามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เหมือนเป็นการบีบบังคับกลายๆ ว่าให้ไปด้วยเพราะท่านอยากอวด สุดท้ายเด็กหน้าตายก็พยักหน้าให้พ่อตัวเองแต่โดยดี “เก้าลงไปกับพ่อไหม หรือจะไปหาภูก่อนเลย”

“งั้นผมไปหาพี่ภูก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวเลยเวลาพักแล้วจะไม่ยอมกินข้าวอีก” ผมชูถุงที่ถืออยู่ให้ท่านดู ก่อนจะเดินแยกออกมาเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดแล้ว

ชั้นบนสุดคือที่ทำงานของประธานบริษัท นอกจากปลายทางซึ่งเป็นประตูห้องของพี่ภู บนชั้นนี้ก็แทบไม่มีอะไรอยู่เลย จะมีก็แค่ห้องใสด้านหน้าซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะเลขาฯ ที่มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่

“คุณเก้าใช่ไหมคะ” เธอเดินมาทักในทันทีที่เห็นผม พอได้รับคำตอบแล้วก็รีบอธิบายต่อ “ดิฉันเป็นเลขาฯ ของคุณออสตินค่ะ มาช่วยงานคุณเดรคชั่วคราวในระหว่างหาเลขาฯ ใหม่”

“แล้วเลขาฯ พี่ภูไม่อยู่เหรอครับ”

“โดนไล่ออกไปสามสี่คนแล้วค่ะ” เธอยิ้มอ่อนใจก่อนจะพูดต่อ “งานคุณเดรคค่อนข้างยุ่ง บุคลากรต้องมีความสามารถ แต่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็ใช้เส้นสายผ่านทางคุณออสตินทั้งนั้น ดิฉันก็เพิ่งเริ่มมาช่วยเมื่อสองสามวันก่อนนี่เองค่ะ”

“เหนื่อยหน่อยนะครับ” ผมยิ้มเป็นมิตรให้ ก่อนจะครุ่นคิดในใจเงียบๆ เธอพูดจาดูเป็นมืออาชีพก็จริง แต่รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่เอามาพูดให้ผมฟังเสียละเอียด

“คุณออสตินบอกดิฉันเรื่องคุณเก้าแล้ว เชิญด้านในได้เลยค่ะ”

ดูเหมือนพ่อคนใหม่ของผมจะต้องการอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ ถึงได้บอกให้เลขาฯ ตัวเองมาบอกผมแบบนี้…ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว ณ เวลานี้สิ่งที่ควรทำคือการเอาข้าวไปให้พี่ภูกินต่างหาก

เสียงเปิดประตูเบาๆ ไม่ได้ทำให้คนที่นั่งขีดเขียนเอกสารอยู่บนโต๊ะรู้สึกตัว ผมคิดว่าเขาคงนึกว่าเป็นคุณเลขาฯ ถึงได้นิ่งขนาดนั้น ผมใช้เวลาชั่วครู่ในการกวาดสายตาสำรวจ แล้วก็พบว่าห้องทำงานของพี่ภูเป็นห้องกว้างขวางครบครันมาก จะใช้กินนอนเหมือนเป็นบ้านก็ยังได้ แต่มองแค่ครั้งเดียวก็รับรู้ได้ในทันทีว่าคนบนโต๊ะคงไม่ได้ใช้งานส่วนอื่นๆ มากนัก

เดินเข้าใกล้ก็แล้ว คนที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามอง จนผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาจนติดเก้าอี้อีกฝ่ายถึงยอมมีปฏิกิริยา แต่เขายังไม่ทันได้เงยหน้า ผมก็วางถุงที่ถือไว้ลงบนโต๊ะแล้วโถมเข้ากอดคนหน้าดุจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีหนึ่งรู้สึกอยากแกล้ง แต่เมื่อได้กอดไว้แล้วกลับไม่อยากปล่อย

และด้วยความไวพอๆ กัน…มือของคนที่นั่งอยู่จับแขนผมที่คล้องผ่านหน้าเขาไว้แล้วกระชากอย่างแรง สายตาคมดุดันมองผมอย่างน่ากลัว แต่เมื่อเราสบตากันท่าทางนั้นก็หายไป ใบหน้าพี่ภูปรากฏความงุนงงอยู่แวบหนึ่งก่อนเขาจะคลายแรงที่บีบแขนผมลง

“มาได้ยังไง”

“ตกใจไหม” ผมถามแล้วยิ้มแฉ่ง ความปวดที่แขนทำให้ต้องใช้มืออีกข้างลูบบริเวณที่ปวดเบาๆ พลางคิดว่าไม่น่าแกล้งเลย

“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” พี่ภูขมวดคิ้ว ก่อนจะยอมวางปากกาลงแล้วดึงแขนผมไปดู

“ก็พี่ไม่สนใจผมนี่นา”

“กูไม่รู้ว่าเป็นมึง” พูดเองชะงักเอง ถึงอย่างนั้นคนพูดก็ไม่ได้คิดแก้ไขแต่อย่างใด เล่นเอาผมยิ้มกริ่มลืมความปวดไปชั่วขณะ

“หมายความว่าถ้าเป็นผมพี่จะสนใจใช่ไหม”

“คิดเองเออเอง” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่แววตาอ่อนโยนที่ส่งมาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่ผมพูดคงไม่ผิดสักเท่าไหร่

“เออใช่ ผมเอาของมาให้พี่ด้วย” ผมหัวเราะฮี่ๆ เมื่อนึกได้ว่าเอาอะไรมา มือข้างหนึ่งยื่นไปหยิบถุงที่วางอยู่มาถือไว้ ในขณะที่มืออีกข้างขยับกวาดเอกสารตรงหน้าเขาออกไปอีกทางอย่างไม่คิดใส่ใจ “ผมรู้ว่าพี่ยังไม่ได้กินข้าว”

พี่ภูเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมยันตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วหันหน้าเข้าหาเขา เพื่อปิดโอกาสไม่ให้มือนั้นเอื้อมไปหยิบเอกสารมาทำต่อ ผมยกกล่องข้าวออกมาเปิดฝาแล้ววางมันลงบนตัก ก่อนจะมองด้วยความภาคภูมิใจ

“น่ากินใช่เปล่า”

“ข้าวผัด?”

“ข้าวผัดแบบฉบับคุณอชิราต้องมีสามช่อง” ผมชี้นิ้วไปตามช่องแล้วค่อยๆ อธิบาย “ช่องแรกใส่ข้าวผัดหมู ไก่ ปลา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศลายหัวใจ ช่องที่สองใส่ไส้กรอก ต้องผ่าเป็นแฉกๆ เหมือนปลาหมึกด้วยนะ เนี่ยพี่ดู…ผมเอามีดแคะให้มันมีตาด้วยเห็นเปล่า แล้วก็ช่องที่สามใส่ผัก ผมไม่ชอบกินแตงกวาเลยไม่ใส่มา อันนี้กะหล่ำผัดน้ำปลา เจ๋งสุดเลยใช่ไหม”

“สรุปทำให้กูกินหรือกินเอง”

“ทำให้พี่กินไง แต่เลือกจากของที่ผมชอบ”

“…” คนที่ก้มลงมองกล่องข้าวในมือผมเงียบสนิทไม่ตอบอะไรสักคำ ทำเอาความมั่นใจที่มีเริ่มหดหาย รอยยิ้มแฉ่งเมื่อครู่เริ่มเหี่ยวลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นยิ้มแหย

“พี่ไม่ชอบเหรอ” ผมตั้งใจทำมากเลยนะ…กะว่าเห็นแล้วต้องยิ้มแน่ๆ แต่ทำไมนิ่งไปเฉยเลย

“คิดไปเอง” คนหน้าดุยื่นหน้ามาจนชิดกล่องข้าว ก่อนจะยิ้มมุมปาก “แค่ตกใจที่เห็นมึงทำอาหารแล้วหน้าตาดูดีผิดปกติ”

“บอกแล้วว่าผมเก่ง” อารมณ์หงอยๆ หายสนิทเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า ผมขยับตัวลุกโดยแอบหยิบปากกาของพี่ภูติดมือมาด้วย ไม่ใช่ว่าจะแกล้งเขาหรอก แต่เป็นการป้องกันไม่ให้เขากลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานอีกต่างหาก “พี่นั่งเฉยๆ เลย ผมเอาข้าวไปอุ่นก่อน”

ในห้องพี่ภูมีมุมที่เป็นครัวเล็กๆ อยู่ด้วย ผมรีบเอาอาหารเข้าไปเวฟแล้วหันกลับไปจ้องเจ้าของห้อง พอเห็นเขาทำท่าจะเปิดลิ้นชักโต๊ะผมก็ขมวดคิ้วมองโดยไม่พูดอะไร รอจนเขายอมกลับไปนั่งนิ่งๆ เหมือนเดิมแล้วถึงยอมละสายตากลับมาสนใจของที่เวฟอยู่ คนแบบนี้เผลอไม่ได้หรอก…นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังหยิบงานมาทำได้ ไม่รู้จักห่วงตัวเองบ้างเลย

“เวฟแล้วซอสเละเลย” ผมบ่นเบาๆ เมื่อเห็นว่าซอสที่บรรจงเทเป็นรูปหัวใจกระจัดกระจายไปทั่ว รู้งี้ยกขวดมาเทที่นี่ดีกว่า

“โต๊ะกูเป็นที่นั่งมึงไปแล้วเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามหลังจากที่ผมนั่งลงบนโต๊ะด้านหน้าเหมือนเดิม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ

“ที่ประจำผม…เอาไว้นั่งเวลาจะบังคับให้คุณเดรคกินข้าว แต่ผมนั่งได้คนเดียวนะ”

“หึ” สีหน้าผ่อนคลายของพี่ภูทำให้ผมยิ้มตาม ยิ่งเห็นเขาหยิบช้อนจากมือผมไปตักข้าวเข้าปาก รอยยิ้มที่มีก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม “มึงชอบกินข้าวผัดกับซอสเหรอ”

“ผมชอบกินทุกอย่างกับซอส” วุ้นเส้น ไข่ มาม่า ทุกอย่างกินกับซอสอร่อยหมด

“ผิดปกติแม่งทุกอย่าง”

“พี่ว่าอะไรนะ”

“อร่อยดี”

“ใช่ไหมล่ะ” บอกแล้วว่าอร่อย “กินให้หมดนะครับ”

ผมทำหน้าที่ถือกล่องข้าวให้พี่ภู ทำตัวเหมือนเป็นโต๊ะให้เขาเพราะนั่งแทนที่มันอยู่ ซึ่งคนกินข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่ตักข้าวที่วางอยู่บนตักผมกินเรื่อยๆ ยิ่งเห็นว่ามันเหลือน้อยลงเท่าไหร่ผมก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

“กินอีกๆ เอาให้อ้วนๆ”

“อ้วนแบบมึงเหรอ” คนที่กำลังเคี้ยวข้าวว่าหน้าตาย เล่นเอาผมสะดุ้งแรงเผลอจับพุงตามสัญชาตญาณ แล้วก็ได้รับรอยยิ้มขันของเขาตอบกลับมาแทบจะทันที

“พี่แกล้งผม”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ”

นั่นไง!

“พี่ปล่อยให้ผมคิดว่าตัวเองอ้วนมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วนะ”

“เหรอ…”

ก๊อก ก๊อก

เป็นการขัดจังหวะที่น่าขัดใจที่สุดในแปดโลก…ผมหันหน้าไปมองแขกที่เปิดประตูเข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพี่ภู แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าผู้ที่เดินเข้ามาเป็นผู้หญิงสวยที่ผมไม่รู้จัก มองจากลักษณะภายนอกแล้วน่าจะเป็นคนเรียบร้อยนุ่มนวลในระดับหนึ่ง ว่าแต่เธอมีสิทธิ์อะไรถึงได้เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต

“คุณ…” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกด้วยความแปลกใจเมื่อสบตาเข้ากับผม เธอคงมองไม่เห็นพี่ภูเพราะมีผมนั่งบังอยู่บนโต๊ะอย่างถือวิสาสะ “มิลินมาหาคุณเดรคค่ะ”

อ๋อ…ที่แท้แม่สาวสวยคนนี้ก็คือคุณหนูมิลินที่พี่ภูเคยเล่าให้ฟังนี่เอง จำได้ว่าเมื่อปีก่อนเขาบอกผมว่าเคยมีลูกสาวท่านทูตคนหนึ่งมาทำงานเป็นเลขาฯ แต่เพราะทำอะไรไม่ได้เรื่องแถมยังชอบยุ่งเรื่องภาม เขาเลยไม่พอใจ พอสบโอกาสก็ไล่ออกในทันที แต่ดูเหมือนพี่ภูจะลืมบอกผมไปอย่างหนึ่ง…เขาลืมบอกผมว่า นอกจากจะอยากเป็นเลขาฯ แล้วเธอยังอยากเป็นอย่างอื่นด้วย

ผมขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างๆ พี่ภูเพื่อให้พวกเขาได้มองเห็นกัน ตาคมของคนที่นั่งอยู่หรี่ลงอย่างไม่พอใจยามมองไปที่ผู้มาเยือน

“ใครอนุญาตให้ขึ้นมา” น้ำเสียงเรียบเย็นเป็นปกติยามพูดกับคนนอกทำให้ผมต้องร้องหืมอยู่ในใจเงียบๆ เห็นแบบนี้แล้วค่อยวางใจหน่อย

“คือ…คุณลุงบอกให้มิลินขึ้นมาได้เลย” เธอว่าเสียงสั่นหน่อยๆ ในขณะที่พี่ภูถอนหายใจยาวราวกับไม่ชอบใจในคำตอบที่ได้รับ

“อย่ามายุ่งกับผมอีก”

“ทำไมคุณเดรคพูดแบบนี้ล่ะคะ…” มิลินก้าวเท้ามาจนติดโต๊ะทำงาน เธอมองหน้าพี่ภูนิ่งงันและทำราวกับผมเป็นอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน “ทั้งที่คุณพ่อของพวกเราคุยกันไว้แล้วแท้ๆ”

เป็นละครที่น่าสนใจมาก…แต่ผมไม่นึกอยากให้มันดำเนินไปนานกว่านี้ ถ้าให้ดีข้ามไปตอนจบเลยจะดีกว่า ก่อนที่ความสดใสที่สะสมมาจะกลายเป็นความหัวร้อนแทน

“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกันคะ” ดวงตากลมโตเบนมามองผมเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากคนที่กำลังทำหน้ารำคาญใจ ถึงน้ำเสียงจะอ่อนหวานเป็นปกติ แต่ผมคิดว่าภาพความใกล้ชิดของตัวเองกับพี่ภูเมื่อครู่คงทำให้เธอตั้งตัวเป็นศัตรูไปแล้วเรียบร้อย

“สวัสดีครับ” ผมยิ้มให้อย่างมีมารยาท เล่นเอาสาวสวยที่น่าจะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีปรับสีหน้าแทบไม่ทัน

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมิลิน…” เธอยื่นมือมาตรงหน้า ก่อนตาหวานๆ จะมองผมอย่างไม่ยอมแพ้ “เป็นว่าที่คู่หมั้นของคุณเดรค”

เสียงถอนหายใจของพี่ภูไม่ได้ทำให้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของมิลิน ผมไม่แน่ใจว่าเธอทำเป็นไม่ได้ยินหรืออะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งยิ้มกลับและยื่นมือไปจับตามมารยาท

“ผมชื่อเก้า…” ใบหน้าสวยนิ่วลงเล็กน้อย เมื่อผมบีบมือเธอกลับด้วยความแรงระดับเดียวกันกับที่เธอส่งมา “เป็นกระต่ายของพี่ภูครับ”

“กระต่าย?…”

“ครับ กระต่าย…‘ของพี่ภู’ ” เมื่อได้ยินการพูดย้ำ คนที่กำลังงุนงงก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะแววตาของเธอยังบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ยอมแพ้

“คำพูดของคุณจะทำให้คนเข้าใจผิดนะคะ”

“มิลิน” คนที่เงียบไปนานพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะยืนขึ้นช้าๆ พี่ภูจ้องหน้ามิลินนิ่งงัน ใบหน้าของเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ แม้จะเห็นว่าเธอเริ่มน้ำตาคลอ “ผมพูดชัดแล้ว”

“แต่…แต่ว่ามิลินชอบคุณ”

“แต่ผมไม่ได้ชอบคุณ” ถ้อยคำเรียบง่ายทำร้ายจิตใจคนฟังจนผมเริ่มสงสารนิดๆ แค่คิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ปวดใจจนแทบทนไม่ไหว และดูเหมือนคนข้างๆ จะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาถึงได้ใช้แขนโอบเอวผมให้ขยับเข้าไปแนบชิดโดยไม่สนใจสายตาของใครอีกคน

“นี่คุณ…” มิลินเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ “ไม่จริง มิลินไม่เข้าใจ…ทำไมล่ะคะ…ทำไมคุณถึงได้…”

“โลกเรามันไม่ได้แคบแบบที่คุณเห็น…แต่เหตุผลที่คุณไม่เข้าใจ…อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยมองโลกให้กว้างเลยก็ได้” ประโยคคุ้นเคยที่ดังออกมาจากปากพี่ภูทำให้ผมหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มน้อยๆ ตอบกลับมา ทำเอาเสียงสะอื้นจากหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องดังยิ่งขึ้นไปอีก “นอกจากครอบครัว…คนที่ผมจะยอมให้อยู่เคียงข้างมีแค่กระต่ายตัวนี้เท่านั้น”

เป็นการปฏิเสธที่ชัดเจนและทำลายหัวใจคู่สนทนาอย่างเลือดเย็น แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นยามได้สบตากับคนพูด นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันที่เขายอมพูดย้ำสถานะระหว่างเราให้ผมฟัง และมันทำให้ดีใจจนลืมเลือนได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า

“ขอ…ขอตัวก่อนนะคะ”

มิลินเป็นคนดี…พี่ภูเคยบอกผมแบบนั้น พอวันนี้ได้มาเจอตัวจริงผมเองก็มองออกแต่แรกว่าเธอเป็นคนดี เพียงแต่…เรื่องของความรักมันไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน มันก็แค่…รักหรือไม่รัก…ง่ายๆ เท่านั้นเอง

“นั่นลูกทูตเลยนะ” ผมทำลายความเงียบด้วยการหันไปหาคนที่ยังเกี่ยวเอวผมไว้ไม่ปล่อย “จะไม่เป็นไรเหรอ”

“แล้วไงล่ะ” พี่ภูยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ เขากระชับแขนที่โอบผมไว้แน่นจนตัวเราแนบชิดติดกัน จากนั้นก็พูดต่อหน้าตาเฉย “กูก็มีลูกพ่อค้าเพชรอยู่ตรงนี้แล้วไง”

เพียงเท่านั้นความร้อนก็พุ่งกระจายไปทั่วใบหน้าจนผมไม่อาจสู้สายตาไหว ต้องก้มหน้าหลบแล้วแอบเนียนกอดคนตัวสูงไว้ พร้อมกับซ่อนใบหน้าไว้ที่อกอุ่นๆ ของคนที่กำลังหัวเราะไม่หยุด

“แล้วดูท่าทางพ่อจะโหดมากด้วย…น่ากลัวกว่าท่านทูตตั้งเยอะ”

ยัง…ยังไม่หยุดพูดอีก

“ใบ้แดกเลยว่ะ” คนขี้แกล้งยังหัวเราะเยาะผมไม่หยุด ยังดีที่มือข้างที่ไม่ได้กอดเอวผมไว้ยังช่วยลูบหัวให้อยู่ ไม่งั้นได้มีเรื่องกันหลังผมสงบอารมณ์ได้แล้วแน่ “ไหนดูหน้าหน่อย”

“ไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธแล้วกอดพี่ภูแน่นเป็นลูกลิงไม่ให้เขาแงะหน้าออกมาได้ แต่ดูเหมือนจะออกแรงมากไปหน่อย เราเลยเอนล้มลงไปบนเก้าอี้ด้วยกันทั้งคู่ พอได้ท่าที่ถนัดแล้วผมก็ยังซุกหน้ากอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

“ตัวก็ไม่ได้เบาเลยนะ” คนที่โดนนั่งทับบ่นเบาๆ ทั้งที่ยังลูบหัวลูบหลังผมไม่หยุด ถึงตอนนี้พี่ภูคงรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เพราะเขินผมถึงไม่ยอมปล่อยเขาเสียที…

หลังจากได้กอดเขาในวันแรกตอนที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ผมกับพี่ภูแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเลย เวลานอนก็ไม่เคยพร้อมกันเพราะเขาต้องทำงาน เวลาตื่นยิ่งแล้วใหญ่เพราะเขาต้องตื่นก่อน มาช่วงหลังเราก็ยังย้ายไปนอนห้องภามด้วยกันทั้งคู่ พอได้มากอดแบบนี้แล้วผมถึงได้รู้ว่าตัวเองโหยหาเขาแค่ไหน…

มันคือความคิดถึงมากมายที่เก็บสะสมมาตลอดสองปี…และคงไม่อาจทดแทนได้ด้วยเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์

“อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ”

“ไม่ต้องรีบหรอก…” เขากระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้ให้แน่นกว่าเดิม ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่ามั่นคง “ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต”

ผมเงยหน้ามองคนพูดอย่างรวดเร็วเพื่อหาวี่แววล้อเล่นบนใบหน้านั้น แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงสายตาจริงจังที่ส่งผ่านกลับมา

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ…พี่ให้เวลาที่เหลือกับผมแล้ว”

“อืม…” เขากดหัวผมให้ซุกลงที่อกเหมือนเดิม ก่อนจะใช้สองแขนกอดกันไว้แน่นราวกับจะย้ำคำพูดสุดท้าย “ให้ทั้งหมดเลย”

-------------------------

 

 TALK : ฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ เรื่องของสามพี่น้องที่เคยโผล่ในออกซิเจนมาก่อนค่ะ มีสามคู่นะ ไม่ใช่สามพี ฮา

3KINGS (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)

'ได้แต่ขอดูแลรักเธอแค่เพียงไกลๆ และยังเก็บอยู่ในใจตลอดมา..."
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 22-09-2017 18:48:09
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2017 19:06:22
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-09-2017 19:26:19
 :-[ :-[  :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 22-09-2017 19:37:06
น่ารักอีกแล้วเก้าอ่ะ

ภามหนูยิ้มเก่งขึ้น
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 22-09-2017 19:47:37
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 22-09-2017 20:04:31
จะไม่ให้พี่ภูหลงได้ยังไงรงน้องเก้าน่ารักขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-09-2017 20:43:35
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 22-09-2017 21:02:07
พี่ภูพูดแล้ว. ชื่นใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 22-09-2017 21:14:54
น่ารัก....
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-09-2017 22:12:27
ภามหายยยยยย.  หวานจ๋อยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 23-09-2017 00:28:19
ฮือออออออ พี่ภูทำใจสั่นนนนนนน  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 23-09-2017 01:53:43
ฉันจะแย่งพี่ภูจากเก้า!!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 23-09-2017 10:36:49
โอ้ยยย ฉันเขินพี่ภู #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nutipkra ที่ 23-09-2017 15:41:24
 :impress2: :impress2: :impress2:เมื่อไหร่จะได้กันนะ เราลุ้นทุกตอน 55555 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-09-2017 16:19:55
โว้ยเขินนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 24-09-2017 00:20:29
 :o8: :o8: :o8: เขินนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: phongphaew ที่ 24-09-2017 10:31:22
เก้าน่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 24-09-2017 13:46:41
พี่ภู ชัดเจนจริงจัง สุดยอด เขิน ๆ  :m1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 24-09-2017 15:59:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-09-2017 20:02:35
พี่ภูสุดยอดมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-09-2017 23:32:28
พี่ภูอบอุ่นอะไรเบอร์นี้  :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[29]==[P.18]== [22/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-09-2017 17:57:29



-30-

 

“สรุปว่ามันคือแผนของพ่อพี่?”

“ใช่”

ผมมองหน้าพี่ภู ก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างอดไม่อยู่ เขาเองก็ยิ้มน้อยๆ ยามมองกลับมาเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าพ่อออสตินจะเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น ตัวเองไปรับคำกับเพื่อนซึ่งเป็นพ่อของมิลินไว้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จะให้ผิดคำพูดทีหลังโดยการไปบอกยกเลิกก็ดูน่าเกลียด เพราะงั้นวันนั้นถึงได้บอกให้มิลินขึ้นมาหาพี่ภู ส่วนตัวเองพาภามไปเดินเล่นอยู่ที่อื่น ทั้งหมดก็เพื่อให้เธอมาเห็นความสัมพันธ์ของผมกับพี่ภูแล้วเลือกถอยหลังด้วยตัวเอง…จะบอกว่าสมเป็นนักธุรกิจก็พูดได้ไม่เต็มปาก

วันนี้เป็นวันหยุดตามที่ผมตกลงกับพี่ภูไว้ แน่นอนว่าคนอย่างคุณภูริย่อมทำท่าจะหนีไปทำงานแต่เช้ามืด แต่ผมกับภามรู้ทันเลยตื่นก่อนแล้วช่วยกันล็อกแขนล็อกขาเขาไว้ ใช้เวลาสองนาทีคนที่โดนจับได้ก็หยุดขัดขืนแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายขนโน้ตบุ๊กกับเอกสารมากมายลงมาทำข้างล่างอีก

“ภู! น้องไปไหน!” บ่นถึงไม่ทันไรคุณพ่อผู้หวงลูกก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง

“คุยกับอาวิลอยู่” พี่ภูขมวดคิ้วตอบพ่อตัวเอง จากนั้นจึงหันกลับไปจดจ้องเอกสารในมือต่อ ได้ยินแบบนั้นแล้วพ่อออสตินก็ทำหน้าตาตกใจ ก่อนจะบ่นกับตัวเองแล้วเดินออกไป

“ลืมไปได้ยังไงเนี่ย”

เห็นครอบครัวของคนหน้าดุอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วผมก็ได้แต่อมยิ้ม มองแล้วก็นึกถึงครอบครัวตัวเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าจ๋าช่วยเถียงช่วยพูดอะไรแทนผมอยู่ป๋าถึงยังไม่ติดต่อมาตามตัว แค่คิดถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตอนป๋ารู้ ผมก็สยดสยองขึ้นมานิดๆ ลำพังกับตัวเองไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่คนที่ทำให้ผมยอมมาหาถึงที่นี่สิน่าห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนที่เมื่อครู่ยังตั้งใจทำงานวางเอกสารในมือลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามองผมด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนปกติ แต่ความอบอุ่นของมือที่วางทาบลงมาบนมือผมส่งผ่านความเป็นห่วงมาให้อย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไรครับ” อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ดีกว่า แค่นี้พี่ภูก็มีเรื่องให้คิดเยอะแล้ว…ทั้งเรื่องภามแล้วก็เรื่องงาน ส่วนเรื่องผม…ตราบใดที่จ๋ายังช่วยอยู่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

“มีอะไรก็บอก” พี่ภูทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ “ไรอันบอกว่าจะมาหา”

“ไรอัน?” ผมใช้เวลาทบทวนอยู่นานพอควรกว่าจะนึกออกว่าไรอันที่ว่าหมายถึงใคร เพราะได้คุยกันครั้งสุดท้ายก็ตอนปีก่อนที่ผมทักไปถามเรื่องพี่ภู หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

“เห็นว่าจะมาเยี่ยมมึง”

ผมร้องอ๋อเบาๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก จะว่าไปตอนที่คุยกันครั้งสุดท้าย ไรอันก็บอกอยู่ว่าถ้าผมมาอังกฤษเมื่อไหร่เขาจะหาเวลามาเยี่ยม ถึงแม้จะไม่อยากเจอภามสักเท่าไหร่ก็ตาม

“จะว่าไป…ทำไมไรอันกับภามถึงไม่ถูกกันล่ะ” ผมหันไปถามคำถามที่คาใจกับพี่ภู ตอนเจอกันครั้งแรกผมจำได้ดีว่าไรอันพูดเหมือนภามก้าวร้าวแล้วก็หัวรุนแรงพอควร เล่นเอาผมกังวลตั้งนาน แต่พอมาเจอตัวจริงแล้วก็ไม่ได้แย่แบบที่เขาว่าเสียหน่อย

“เจ้านั่นมาผิดจังหวะ กูให้ช่วยมาดูภามตอนที่กูไม่อยู่พอดี แล้วตอนนั้นภามก็ยังเด็กด้วย”

พอความประทับใจแรกพบไม่ค่อยจะดีเรื่องเลยยาวสินะ โชคดีที่ความประทับใจแรกพบของผมกับพี่ภูดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เพราะงั้นอะไรๆ เลยไม่แย่นัก

“เข้าใจละ”

“มึงแม่ง…”

“หา?” ผมหันไปทำหน้างงใส่คนพูดเมื่อไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด พี่ภูส่ายหน้า ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดึงแก้มผมยืดไปยืดมา ถึงจะร้องโอดโอยยังไงก็ไม่ยอมปล่อย รอจนเขาพอใจแล้วนั่นแหละแก้มผมถึงเป็นอิสระ

“ทำไมชอบทำหน้าตาน่าบีบนัก”

“ผมผิดอะไรเนี่ย” หน้าตาน่าบีบนี่มันเป็นยังไงวะ

“หึ”

พอไม่อยากคุยต่อ คนหน้าดุก็เอนกายพิงโซฟาแล้วหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาทำงานต่อหน้าตาเฉย ทิ้งให้ผมนั่งค้างอยู่คนเดียวเพราะยังไม่เข้าใจว่าหน้าตาแบบที่ว่ามันเป็นยังไง แล้วก็รู้ดีด้วยว่าถ้าเขาคิดอุบอย่างนี้ ต่อให้อ้อนวอนก้มกราบพี่ภูก็ไม่มีวันบอกแน่ สุดท้ายเลยได้แต่นั่งหน้าตึงเอาคางพาดโซฟามองหน้าเขาเงียบๆ

“ทำตัวเป็นหมา” เขาเหลือบตามอง ก่อนจะยกมือมาลูบหัวผม

“เป็นกระต่ายต่างหาก…นั่งแบบนี้จะได้มองหน้าพี่ถนัดๆ” ลงทุนมานั่งพื้นแล้วหันหัวพาดโซฟามองหน้าเขา รู้ตัวอยู่ว่าเป็นเอามาก แต่ทำไงได้…พอมีเวลาอยู่ด้วยกันแล้วผมไม่อยากละสายตาไปไหนเลย

“เหรอ” พูดเหมือนจะไม่ใส่ใจ แต่คนที่นั่งทำงานอยู่ก็ยังยอมให้ผมยึดมือมาจับเล่น ในขณะที่ตัวเขาใช้มือเดียวกดโน้ตบุ๊กต่อ

ผมใช้เวลาไปกับการนั่งเล่นมือพี่ภูจนเริ่มง่วง ตาปรือจนเกือบจะหลับอยู่หลายรอบ แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่คิดเสียงโทรศัพท์ของคนงานล้นมือก็ดังขึ้น พี่ภูใช้มือข้างที่กดโน้ตบุ๊กรับสายเพียงครู่เดียวแล้ววาง เขากระตุกมือผมเบาๆ ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะลากให้เดินตามออกไปที่ประตูด้วย

“ฮายยยยยยย” น้ำเสียงเริงร่าเป็นสิ่งแรกที่ได้ยิน ก่อนคนพูดจะดึงผมเข้าไปกอดไว้ ท่าทางไรอันคงลืมไปว่าเขาตากหิมะมา เล่นดึงเข้าไปกอดแบบนี้ตัวผมเลยแทบจะแข็งติดไปกับเสื้อเขา “ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“ทำอะไร” เจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด จากนั้นก็ดึงผมให้กลับไปยืนเคียงข้างเหมือนเดิม

“ขี้หวงจริงนะ”

“ไม่เข้ามาก็กลับไป”

“ใจเย็นสิเดรค แตะนิดแตะหน่อยเอง” ไรอันหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะรีบเดินเข้ามาแล้วปิดประตู เขาคงรู้ว่าพี่ภูไม่ได้ล้อเล่น ถ้าขืนยังพูดมากต้องโดนเตะโด่งออกนอกบ้านแน่

“มึงไปเอาน้ำให้กูที”

ผมพยักหน้ารับคำพูดของพี่ภู เพราะรู้ดีว่าเขาคงอยากคุยธุระกับไรอันเป็นการส่วนตัวก่อน และท่าทางมันคงเคร่งเครียดพอสมควร ไรอันที่ปกติจะขี้เล่นถึงได้ทำหน้านิ่งผิดปกติแล้วเดินตามเขาไปที่ห้องทำงานซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขก

“ป้าครับ” ผมเดินไปเกาะไหล่ป้าเจนที่ยืนอยู่ในครัว ท่านสะดุ้งน้อยๆ เหมือนทุกครั้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

“คุณไรอันมาใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ ผมมาเอาน้ำไปให้พี่ภู”

“คุณไรอันเธอชอบดื่มน้ำส้มค่ะ ส่วนคุณเดรคคงเป็นกาแฟเหมือนทุกที” ว่าแล้วท่านก็เดินไปหยิบขวดน้ำส้มจากในตู้เย็นมาเทให้ แต่ก่อนที่ป้าเจนจะหันไปชงกาแฟ ผมก็หยุดมือท่านไว้ก่อน

“ไม่เอากาแฟครับ ดื่มแล้วพี่ภูนอนดึกตลอดเลย” ปล่อยให้ผมนอนก่อนทุกที ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง คงต้องเริ่มแก้ที่นิสัยเรื่องการกินของเขาเนี่ยล่ะถึงจะได้ผลดีที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นให้คุณเดรคดื่มอะไรดีคะ”

“มีผงโกโก้อยู่ในตู้ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมทำให้พี่ภูเอง” ผมชงโกโก้แบบหวานน้อยให้พี่ภู ก่อนจะเทใส่แก้วกาแฟที่เขาใช้เป็นประจำ พอเห็นสีที่ไม่ได้ต่างจากกาแฟเท่าไหร่ก็ต้องแอบยิ้ม ลองเป็นแบบนี้ถึงไม่อยากดื่มก็ต้องเผลอดื่มเข้าไปบ้างแน่ๆ ถึงตอนนั้นค่อยอ้อนให้ดื่มต่อให้หมดก็แล้วกัน

บรรยากาศในห้องทำงานดูเคร่งเครียดกว่าที่ผมคาดพอสมควร ไรอันเองก็ดูจริงจังมากตอนที่พูดคุยเรื่องที่ดินอะไรสักอย่างกับพี่ภู แม้ว่าผมจะเคาะประตูและเดินเข้ามาแล้วพวกเขาก็ยังคงคุยกันต่อ แค่หยุดไปชั่วครู่เพื่อดูว่าใครเข้ามาก็เท่านั้น

“ขอบคุณมาก” ไรอันยิ้มให้ผม ก่อนจะยกแก้วน้ำส้มดื่ม

“ก้อน” คนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ทำงานเรียกและตบเบาๆ ที่แขนเก้าอี้ “มานั่งนี่”

เดี๋ยวนะ…ถึงเก้าอี้ที่เขานั่งจะตัวใหญ่แล้วแขนก็แบนพอให้นั่งได้สบายๆ แต่ทำแบบนั้นจะดีเหรอ ผมครุ่นคิดถึงมารยาทอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อเห็นคิ้วของคนพูดขมวดน้อยๆ ก็ลบความลังเลทิ้ง ก่อนจะเดินถือแก้วกาแฟเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจอะไรอีก ในเมื่อเจ้าของห้องเขาอนุญาตก็ช่างมันแล้วกัน

“ลองอ่านดู”

“เดรค?” ไรอันเรียกพี่ภูด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ซึ่งผมก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กันเมื่อคนข้างๆ ยื่นเอกสารมาให้

“ไม่เข้าใจถาม” เขายังคงพูดต่อโดยไม่สนใจไรอัน หลังจากนั้นก็ยกแก้วขึ้นดื่ม ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วมองผมดุๆ “โกโก้?”

“ผมชงเอง…พี่ดื่มให้หมดนะ ผมตั้งใจอ่านก่อน” พอจัดการมัดมือชกเรียบร้อยแล้วผมก็หันกลับมาสนใจเอกสารในมืออย่างจริงจัง รู้สึกเหมือนจะได้ยินไรอันพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะสมาธิยังจดจ่ออยู่กับสิ่งสิ่งเดียวผมเลยไม่ได้สนใจฟังอะไรนัก

เอกสารที่ผมถืออยู่เป็นเอกสารรายละเอียดของที่ดินผืนหนึ่ง กับเอกสารประวัติของใครสักคนที่น่าจะเป็นเจ้าของที่ หลังจากอ่านซ้ำเป็นรอบที่สองผมเลยสามารถเดาได้คร่าวๆ ว่าคนคนนี้ต้องการขายที่ให้กับพี่ภู จริงๆ ก็อาจไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนั้น…ถ้าหากประวัติของคนขายไม่ได้โชกโชนเรื่องการโกงจนน่ากลัว

“พี่อยากได้ที่เหรอ” ผมเงยหน้าถาม คิดว่าถ้าไม่อยากได้พี่ภูคงปฏิเสธไปตรงๆ แต่ที่ยังต้องคิดมากแบบนี้คงเป็นเพราะต้องการ

“ไม่ใช่เดรคหรอก” ไรอันเอ่ยแทรก ก่อนจะยิ้มเครียดเมื่อผมหันไปมอง “ฉันอยากได้ที่ผืนนั้น แต่เจ้านั่นยืนยันจะขายให้เดรคแค่คนเดียว”

พอได้ยินอย่างนั้นผมเลยเครียดตามไปด้วย ยืนยันจะขายให้พี่ภูเท่านั้น แสดงว่าคงมีแผนการหรือความต้องการอะไรอยู่ในใจแน่ๆ

“ไม่ต้องเครียดตามหรอก” พี่ภูดึงเอกสารออกไปจากมือผม ก่อนเขาจะยื่นมือมาคลึงหัวคิ้วที่ขมวดของผมให้คลายออก “แค่ให้ดูไว้เผื่อเป็นทางเลือกในอนาคต”

“ทางเลือกในอนาคต?”

“ไม่ว่าจะอยากรับผิดชอบงานต่อจากครอบครัวหรืออยากทำอะไรอย่างอื่น มึงก็ต้องมีประสบการณ์บ้าง จะทางไหนก็ต้องแบกรับความเครียดทั้งนั้น”

“เรื่องนั้น…” ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลย

“โดยเฉพาะถ้าจะมาทำงานกับกู”

ผมเงยหน้ามองคนพูดด้วยความตกใจ เพียงแค่ได้สบตาผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพี่ภูจำเรื่องที่ผมเคยบอกได้…

“พี่จำได้”

“เป็นเลขาฯ กูมันไม่ง่ายหรอกนะ…ไม่งั้นตำแหน่งคงไม่ว่างมานานขนาดนี้” เขายกมือโคลงหัวผม ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ คิดไป”

ถึงแม้จะเรียนจบก่อนเพื่อน แต่ผมก็ยังมองหาอนาคตของตัวเองไม่เจอ ที่ผมเลือกเรียนดนตรีก็เพราะชอบ ผมมองว่าการเรียนจบคืออนาคต คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อครอบครัว ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ป๋ากับจ๋ารู้สึกพลาดที่ยอมให้ผมเรียนสายนี้ แต่ผมก็ยอมรับว่า…ตัวเองยังไม่มีสิ่งที่อยากทำเป็นอาชีพจริงจัง ผมมีเพียงความฝันเล็กๆ ที่แค่พร้อมก็สามารถทำได้

“ลืมกันไปหรือยังเนี่ย” ไรอันที่เงียบไปนานพูดตัดความคิดของผม เขาเท้าคางมองหน้าพี่ภูนิ่งงันเหมือนอยากจะแซวแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยได้แต่ส่งสายตาล้อเลียนมาให้

“สรุปรู้เหตุผลที่ฝั่งนั้นอยากขายแล้วใช่ไหม” พี่ภูเริ่มพูดเรื่องงานต่อโดยไม่ให้ตั้งตัว เล่นเอาไรอันปรับสีหน้าแทบไม่ทัน เขาทำหน้าตาจริงจังก่อนจะพยักหน้ารับ

“ดูเหมือนฝั่งนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องธุรกิจอยู่ ขายที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการหาเงิน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือคงอยากให้นายช่วย ถ้าการเสนอครั้งนี้ได้ผลและนายสนใจจะเอาที่ตรงนั้นจริงๆ ทางนั้นคงเรียกร้องเพิ่ม อาจจะเป็นเรื่องธุรกิจ”

“อืม” พี่ภูตอบรับสั้นๆ ก่อนจะหรี่ตาลง เขาใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะเหมือนกำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ บรรยากาศรอบกายเหมือนกำลังกันทุกคนออกห่างและบีบบังคับไม่ให้ใครพูดอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพี่ภูในมุมแบบนี้…

ดูเหมือนผมจะได้เห็นด้านใหม่ๆ ของเขาเพิ่มขึ้นอีกด้านแล้ว

“ฉันจะปฏิเสธแบบจริงจัง” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยบอกพร้อมกับที่เจ้าตัวหยุดเคาะนิ้ว พี่ภูรวบเอกสารบนโต๊ะด้วยมือเดียวส่งคืนให้ไรอัน “ถ้าทำแบบนั้น เจ้านั่นคงไม่มีทางเลือกนอกจากไปเกาะแข้งเกาะขาคนอื่นแทน ถึงเวลานั้นก็ตัดสินใจเองแล้วกัน”

“เข้าใจแล้ว” ไรอันยิ้มบาง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เอาไว้ฉันจะมาเยี่ยมใหม่นะเก้า วันนี้ขอตัวไปจัดการธุระก่อน”

“โอเค”

พี่ภูไม่ได้ให้ผมเดินไปส่งไรอัน เขารั้งแขนผมไว้ก่อนที่จะได้ลุกขึ้นยืน สีหน้าที่เคยเรียบเฉยมาตลอดเผยความหนักใจออกมาชั่วครู่ ก่อนเจ้าตัวจะเอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงทั้งที่ยังจับแขนผมไว้อยู่

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร”

“บอกผมได้นะ”

คนฟังลืมตามองผม ก่อนมุมปากจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา เขายอมปล่อยให้ผมดึงมือมาแต๊ะอั๋งอย่างง่ายดายโดยไม่คิดขัด ทั้งยังแอบส่ายหน้าหน่ายใส่อีกต่างหาก

“เรื่องงาน…เป็นใครก็ต้องนึกถึงตัวเองก่อน ต่อให้เป็นเพื่อนหรืออะไร ถ้าคิดแล้วว่ามันอาจทำให้ตัวเองเดือดร้อนก็ต้องตัดทิ้ง”

“พี่หมายถึงเรื่องไรอันใช่ไหม”

“ไรอันเป็นนักธุรกิจเหมือนกันย่อมเข้าใจสิ่งที่กูทำ แต่ที่กูพูดก็เพราะต้องการบอกมึง”

“บอกผม?” ผมทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เขามองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฉุดแขนให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปนั่งที่โซฟาตัวเล็ก พอได้นั่งหันหน้าเข้าหากันแบบนี้ผมเลยสามารถเห็นสีหน้าพี่ภูได้ชัดเจนขึ้น…และเขาเองก็เห็นผมได้ชัดขึ้นเช่นกัน

“มึงเจออนาคตของตัวเองหรือยัง”

“จริงๆ ผมก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากทำ” ผมเลือกตอบไปตามตรง แม้ใจจะยังลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่า “เป็นความฝันตั้งแต่เด็ก เพราะงั้นถึงเลือกเรียนดุริยางค์”

“นั่นคือสิ่งที่มึงอยากทำ ก้อน” พี่ภูมองผมด้วยสายตาจริงจัง “กูถามถึงอนาคต…เป้าหมาย…อาชีพ…สิ่งที่มึงจะต้องอยู่กับมันไปอีกนาน”

“…” ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบคำถามของเขา แต่ผมยังมองไม่ออกเลยว่าตัวเองควรจะตอบยังไง เพราะในหัวตอนนี้ว่างเปล่าไปหมด ไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว

“สิ่งที่มึงบอกว่าอยากทำคืออะไร” พอเห็นว่าผมนั่งเครียดพี่ภูก็ลดเสียงให้อ่อนลง เขาจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ ก่อนจะถามต่อ “ความฝันตั้งแต่เด็กที่บอก”

“ผม…อยากเปิดโรงเรียนสอนดนตรี”

“อยากเป็นครู?”

อยากเป็นครูเหรอ…มันก็ไม่ใช่อีก ที่ผมต้องการเรียนให้จบดุริยางค์และบอกว่าเพื่ออนาคตของตัวเอง ก็เพราะผมอยากเปิดโรงเรียน มันคือความฝันในตอนเด็กๆ ที่คิดว่าเป็นไปได้ยาก ผมแค่รู้สึกว่าอยากทำสิ่งนี้เพราะตัวเองชอบ แต่คงไม่สามารถเรียกได้ว่าอยากทำเป็นอาชีพประจำ

“เมื่อสองปีก่อน ผมก็คิดว่าการเปิดโรงเรียนสอนดนตรีเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ตอนไหนเบื่อก็เข้าไปสอน ตอนไหนอยากอยู่เฉยๆ ก็อยู่ได้ แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่…มันเป็นเหมือนความฝันที่อยากทำให้เป็นจริงมากกว่า” เหมือนกับการอยากไปนั่นไปนี่ อยากไปเที่ยวในที่ไกลๆ อะไรแบบนั้น

“ที่เลือกเรียนต่อให้จบเมื่อสองปีก่อนมึงทำถูกแล้ว…มันจะอยู่ติดตัวไปตลอดชีวิต เรื่องเปิดโรงเรียนจะทำเป็นงานเสริมก็ได้ ถ้ามึงไม่อยากยึดติดอยู่กับมันตลอดเหมือนเป็นอาชีพ กูเข้าใจดีว่าเรื่องบางเรื่องก็เหมาะจะเป็นแค่งานอดิเรก เพราะยิ่งจริงจังมากแค่ไหนความสนุกก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น”

“ครับ” เป็นแบบที่เขาพูดทุกอย่าง…

“แต่มึงต้องมองหาอนาคตตัวเองให้เจอ” พี่ภูพูดต่อพร้อมกับมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ผมสัมผัสถึงความห่วงใยในน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน “ที่กูจะบอกคือให้คิดด้วยตัวเอง ไม่ต้องนึกถึงว่าทำเพื่อใคร ในเมื่อพ่อแม่มึงพร้อมสนับสนุนแล้วมึงก็มีทางเลือก งั้นก็เลือกสิ่งที่มึงอยากทำและคิดว่าจะอยู่กับมันได้ อย่าเลือกแค่เพราะมันคืออารมณ์ชั่ววูบ”

“นั่นหมายถึงไม่ให้ผมเลือกแค่เพราะอยากอยู่กับพี่ด้วยใช่ไหม” ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่คิดว่ามันคงจะไม่ค่อยดีนัก คนหน้าดุถึงได้ยกมือขึ้นลูบหัวผมเหมือนจะปลอบ

“ใช่”

“…”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูไม่อยากให้มึงมา…กูแค่อยากให้มึงคิดให้เยอะ มองอนาคตกับความต้องการของตัวเองดีๆ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่พอเบื่อแล้วมึงนึกอยากจะไปก็ไป”

“ผมจะคิดให้รอบคอบ”

“อืม…ดีมาก” พี่ภูโคลงหัวผมเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้ ทำเอาผมต้องยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ เล่นแบบนี้แล้วใครจะทนทำหน้าซึมต่อได้กัน เขาคงรู้ดีกว่าใครว่าผมแพ้รอยยิ้มนั้นที่สุด

ผมเอนตัวนอนหันหัวไปทางพี่ภูโดยไม่บอกไม่กล่าว ถึงจะยังไม่อาจหาญพอจะเอาหัวไปนอนบนตักเขาเพราะกลัวโดนถีบ แต่ก็ยังกล้าจับมืออีกคนมาบีบเล่น พออยู่มุมนี้ผมเลยสามารถมองเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบของคนข้างๆ ได้อย่างชัดเจน แล้วก็เห็นด้วยว่าเขากำลังก้มลงมองผมด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ

“เออใช่พี่ภู ผมอยากได้กีตาร์สักตัว พี่หาให้หน่อยได้ไหม”

“หาทำไม ห้องข้างบนก็มี”

“ห้องข้างบน?” ผมขมวดคิ้วมุ่นขณะนึกว่าห้องไหน จำได้ว่าวันนั้นภามพาเดินดูรอบบ้านแล้วก็ยังไม่เห็นกีตาร์สักตัว มีแค่ห้องชั้นสามห้องเดียวที่ภามไม่ได้พาผมเข้าไปเพราะมันล็อกไว้

“อยู่ในห้องที่ล็อกไว้ เดี๋ยวกูเอากุญแจให้”

“แล้วทำไมพี่ถึงต้องล็อกล่ะ”

“มาเถอะ” พี่ภูดึงผมให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปโดยไม่ยอมตอบคำถาม ผมสังเกตเห็นความเศร้าวาบผ่านดวงตาคู่นั้นแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป แต่พอตั้งท่าจะถามกลับต้องเม้มปากแน่น เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกคนทำหน้าเศร้ามากกว่าเดิม และถ้าเป็นแบบนั้นผมคงต้องเจ็บตามไปด้วยแน่

ผมเคยขึ้นมาชั้นสามแค่สองสามครั้ง และส่วนใหญ่เวลาที่ขึ้นมามักจะมีภามพามา นี่เลยนับเป็นครั้งแรกที่พี่ภูพาผมขึ้นมาด้านบนด้วยตัวเอง ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูกำลังหาลูกกุญแจอยู่ถึงได้ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ แต่เมื่อยื่นหน้าไปมองจากด้านหลังจึงได้รู้ว่าเขาไขกุญแจออกตั้งนานแล้ว แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปเสียทีต่างหาก

“พี่ภู” ผมแตะแขนคนที่ยังนิ่งเบาๆ จนเขารู้สึกตัว พี่ภูหันมากะพริบตามองผม ก่อนจะบีบมือผมเบาๆ เพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไร

“เข้ามาเถอะ” สิ้นคำ เขาก็เปิดประตูออกแล้วเดินนำผมเข้าไปด้านใน และเพียงแค่เดินเข้ามาผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าห้องนี้คงไม่ได้มีคนเข้ามาใช้บ่อยนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังสะอาดสะอ้านมาก

จากที่เดาไว้ว่าน่าจะเป็นห้องเก็บของ เมื่อได้เห็นข้างในผมก็ถึงกับยืนอึ้งไปชั่วขณะ ที่น่าตกใจที่สุดคงเป็นภาพเขียนสีน้ำมากมายซึ่งแขวนอยู่รอบห้องจนแทบไม่มีช่องว่าง รวมถึงมีเปียโนที่ดูเก่าแก่หลังหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องด้วย ตอนแรกผมยังนึกสงสัยอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้ล็อกห้องนี้ไว้ แต่พอได้มองภาพวาดของผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ผมถึงได้เข้าใจ…คนในภาพคือแม่พี่ภู

ผมใช้เวลาเนิ่นนานไปกับการมองภาพเขียน จนกระทั่งพี่ภูยื่นกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งมาให้ถึงได้รู้สึกตัว

“พี่เล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ” ผมรับกีตาร์มาถือไว้ ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้เปียโน

“พอได้ แต่ไม่ได้เล่นมานานแล้ว”

“โชว์หน่อยๆ” ว่าแล้วก็ส่งกีตาร์ไปให้คนที่ต้องรับไปอย่างเสียมิได้ จากนั้นผมก็นั่งตัวตรงจ้องเขาตาแป๋วเพื่อรอคอย แต่พี่ภูกลับหัวเราะเบาๆ ใส่แล้วผลักหัวผมซะงั้น

“ไม่เล่นหรอก เดี๋ยวกระต่ายมันได้ใจ”

“อ้าว” ผมทำหน้ายุ่งเมื่ออดเห็นของดี แต่พอหันไปเห็นเปียโนที่ตั้งอยู่ก็ยิ้มออก “งั้นผมไม่ดูก็ได้ เดี๋ยวเล่นเปียโนตาม นะ…นะ”

พี่ภูทำเป็นนิ่งไม่ยอมตอบ แม้ว่าผมจะเกาะแขนก็แล้ว เขย่าแขนก็แล้ว เขาก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม

“เล่นแล้วได้อะไร” เขาเลิกคิ้วถาม ก่อนจะเกาสายกีตาร์เบาๆ เป็นเชิงยั่ว

“ถามว่าพี่อยากได้อะไรดีกว่า ก็รู้อยู่ว่าผมทำให้ได้ทุกอย่าง”

“มึงพูดแล้วนะ”

ตอนแรกก็มั่นใจกับสิ่งที่พูดนะ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังแบบแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ผมขมวดคิ้วมุ่นเพื่อชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียในใจ แต่เมื่อหันไปเห็นคนช่างยั่วดีดกีตาร์เป็นเพลงสั้นๆ ความลังเลทั้งหมดก็หายไป

“โอเค ตกลง”

“หึ” พี่ภูหัวเราะเบาๆ ก่อนเขาจะเริ่มดีดกีตาร์เป็นเพลง ผมฟังอยู่ครู่เดียวก็เล่นตามเขาได้เพราะคุ้นเคยกับจังหวะเพลงอยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าคนหน้าดุเองก็เล่นกีตาร์เป็นเหมือนกัน ถึงตอนแรกจะมีผิดพลาดบ้าง แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็เล่นได้ดีโดยไร้ที่ติ

เพราะไม่มีเนื้อร้องผมเลยฮัมเบาๆ ในลำคอแทนอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเมื่อได้หันไปมองใบหน้าที่ดูอ่อนโยนลงยามมองมาที่ผมก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ เขาคงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำส่งผลต่อใจผมมากขนาดไหน

“พี่ภู?” ผมหยุดมือที่กำลังกดเปียโนเมื่ออยู่ๆ คนข้างๆ ก็นิ่งไป นอกจากนั้นเขายังขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปที่กีตาร์ในมือด้วย

“จำคอร์ดไม่ได้”

“ตกใจหมด” ก็คิดว่าเป็นอะไรถึงได้ทำหน้าเครียด ที่แท้ก็แค่จำคอร์ดไม่ได้เอง

หลังจากนั่งมองเขาไล่หาคอร์ดอยู่นาน สุดท้ายเสียงเพลงก็ดำเนินต่อโดยที่ผมไม่ได้หันกลับไปนั่งเล่นเปียโนเหมือนเดิม ผมใช้เวลาไปกับการนั่งมองพี่ภูเล่นกีตาร์โดยไม่ส่งเสียงรบกวนเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติเขานั่งเฉยๆ ก็เป็นคนที่ดูดีมากอยู่แล้ว พอได้มาจับกีตาร์ด้วยท่าทางผ่อนคลายกับใบหน้าอ่อนโยนแบบนี้เลยยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่ เล่นเอาผมมองค้างอยู่นานจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายหยุดเล่นไปตั้งแต่ตอนไหน

“พุ่งเข้าใส่เลยไหม ถ้าจะมองขนาดนี้”

“ได้เหรอ” ผมถามเสียงอึนๆ เพราะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน พอจะรู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้กำลังทำหน้าเอ๋อขนาดไหน แต่จะเปลี่ยนก็ไม่ทันเพราะโดนบิดแก้มจนชาไปแล้วเรียบร้อย

“น่าบีบฉิบหาย”

“พี่ก็บีบไปแล้วไง” เอาซะปวดแก้มตุบๆ เลยเนี่ย

“บีบพุงด้วยได้ไหม”

“ไม่ได้!” ผมรีบเอามือปกป้องพุงตัวเองเมื่อคนพูดทำท่าจะยื่นมือมาบีบจริงๆ

“ทำไม”

“ให้ผมบีบพุงพี่มั่งไหม”

“เอาสิ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วางกีตาร์ลงข้างเก้าอี้และเปิดทางให้แต่โดยดี ผมได้แต่ถลึงตามองพี่ภูอย่างเคืองๆ เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่กล้าบีบแน่ๆ เพราะกลัวโดนเอาคืน “ถ้าไม่ทำงั้นกูขอใช้สิทธิ์เลยแล้วกัน”

“สิทธิ์?”

“ก็ที่ยอมเล่นกีตาร์ให้ฟังไง”

ได้ฟังคำตอบแล้วผมก็นิ่งงันไปในทันทีเพราะทำอะไรไม่ถูก ขอถอนคำพูด…ผมขอถอนคำพูดที่บอกว่าทำให้ได้ทุกอย่าง

“ไม่เอา…”

“จะผิดคำพูดเหรอ แค่บีบพุงเอง” คนหน้าดุพูดด้วยเสียงราบเรียบ แต่ตากลับเป็นประกายระยิบระยับราวกับกำลังสนุก

“นอกจากจะเจ็บแล้วมันยัง…” เขินด้วยนะ

“มันยังอะไร”

ผมกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจเอามือที่ปิดพุงไว้ออก เพียงแค่นั้นพี่ภูก็ยื่นมือมาล็อกคอไว้อย่างรวดเร็วเป็นการตัดทางหนี และยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ มืออีกข้างของเขาก็ล้วงเข้าไปใต้เสื้อแล้วออกแรงบีบพุงผมอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ยยยยย!…ฮ่าๆๆ…พอ…” ผมทั้งร้องทั้งหัวเราะอย่างอดไม่อยู่เมื่อมือซนๆ ของเขาบีบไปทั่ว เอาซะคนไม่บ้าจี้ต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ และไม่ใช่แค่นั้น…ขนาดผมทรุดตัวจนแทบลงไปกลิ้งกับพื้น มือของเขาก็ยังตามมาบีบต่อไม่หยุด

“อะไรนะ”

“พอ…ฮ่าๆ…พอแล้ว…”

“ไม่ได้ยิน” พี่ภูบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมนึกอยากจะหยิกหน้าหล่อๆ นั่นสักสองสามที ข้อหาเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก แต่แค่หันไปเห็นใบหน้าที่กำลังมีรอยยิ้มกว้างเพราะความสุข ก็ต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงไปอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆ…พอ…พี่…ฮือ”

“มึงร้องทำไมเนี่ย” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะหยุดมือที่กำลังแกล้งผม เห็นแบบนั้นแล้วผมก็เลิกแสร้งทำเหมือนจะร้องไห้แล้วพุ่งเข้าใส่เขาเต็มแรงจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้นด้วยกันทั้งคู่

“พี่พลาดแล้ว!” ผมหอบด้วยความเหนื่อยจากการหัวเราะต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ลืมจับมือของคนที่ผมนั่งทับอยู่ไว้ “ผม…ผม…แฮ่ก…เหนื่อยเลยเนี่ย”

“หัวเราะทำไมล่ะ” เขาว่าแล้วส่งยิ้มขันมาให้

“ยังจะกล้าถามอีก!”

“หึๆ”

เมื่อไม่เห็นเขาทำท่าจะแกล้งต่อแล้วผมก็ยอมปล่อยมือออก ตอนแรกกะจะลุกขึ้นยืนเพราะกลัวคนโดนทับหนัก แต่พอเห็นสีหน้าที่เหมือนจะยังขำไม่เลิกผมก็เปลี่ยนใจ…ทิ้งน้ำหนักลงนอนทับคนข้างล่างเต็มแรง

“จะทับให้แบนเลย”

“ตัวเท่าลูกกระต่าย”

“ไม่!…”

“ว้าย!”

เสียงของบุคคลที่สามทำให้ผมกับพี่ภูชะงัก เราหันไปมองทางประตูพร้อมกัน แล้วก็พบว่านอกจากจะมีบุคคลที่สามซึ่งก็คือแม่เฮเลนแล้ว…ตรงนั้นยังมีบุคคลที่สี่ ห้า หก และเจ็ดยืนอยู่ด้วย

“ไปทำอะไรกันบนพื้นจ๊ะ เตียงนุ่มๆ ที่ห้องก็มี”

“…”

 

----------------------

 

TALK: กำลังจะส่งของรอบแรกแล้วนะคะ เริ่มวันอาทิตย์หรือวันจันทร์นี้ เช็คชื่อและแทกกิ้งได้ทางเพจนะ

ปล. จะมีรอบสต็อกช่วงต้นเดือน พย ค่ะ แต่จะแจ้งให้ทราบในเพจกับทวิตนะ

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2017 19:48:48
อายไหม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-09-2017 20:01:30
โอ๊ยยย น่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 29-09-2017 20:36:26
“ไปทำอะไรกันบนพื้นจ๊ะ เตียงนุ่มๆ ที่ห้องก็มี” โอ้ยยยยยยย โคตรจี้อ่ะ 5555555555 #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 29-09-2017 20:38:35
บางทีก็จะทะมึนอึนๆ บางทีก็จะหวานๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-09-2017 20:51:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 29-09-2017 21:16:58
เขินเลยมั้ยละะ555
อยู่ในท่าชวนเข้าใจผิดซะด้วยยย
รู้กันทั้งบ้านนน555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-09-2017 22:35:29
ว้ายยยย พยานเพียบเลย 55555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 29-09-2017 23:38:50
มีความอยากอ่านเลิฟซีนของนุ้งเก้า ฮูยยย :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-09-2017 05:09:18
 o3 o3 o3 o3 o3
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 30-09-2017 05:35:41
 :laugh: :laugh: :laugh:    ไปที่เตียงเดะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 30-09-2017 07:22:12
พี่ภู  เดี๋ยวนี้มีหวงก้อนด้วยอ่ะ น่ารัก  :-[
เล่นกีต้าร์แล้วจะขออะไรก็ได้ แหม อุตส่าห์แอบลุ้น
ว่าจะได้อ่านฉากพี่ภูจูจุ๊บน้องเก้าเสียที ที่ไหนได้
มาขอบีบพุงซะงั้น ความโรแมนติกอยู่ที่ไหนคะ 555
น้องเก้าทำไมเครียดเรื่องคุณป๋านัก คุณป๋าดุมากเหรอ
ดูแล้วออกจะตามใจน้องเก้านิ แต่แค่นี้ ไม่สามารถทำอะไรพี่ภูได้หรอกน้า
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 01-10-2017 09:25:41
55555555แม่เฮเลนตลก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-10-2017 11:20:27
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 01-10-2017 13:36:11
 :pigha2: :pigha2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 01-10-2017 14:38:24
ชอบ!!?! มีความแกล้งน้อง...
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-10-2017 17:07:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 01-10-2017 23:38:49
ไปค่ะ อย่าได้เขิน ไปที่เตียงค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-10-2017 03:54:03
ลากไปต่อกันที่ใต้เตียงก็ได้ จะได้ไม่มีคนเห็น  :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[30]==[P.19]== [29/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-10-2017 18:23:38



-31-

 

‘เป็นไรไหม’

“ไม่เป็นไร” ผมโบกมือไปมาเพื่อตอบภาม ถึงคำถามจะเหมือนเป็นห่วง แต่สีหน้าเขาไม่ได้แตกต่างจากพี่ภูที่นั่งขำอยู่ข้างๆ เลยสักนิด

เออดี แซวกันเข้าไป

“พ่อแม่ไปไหนกันหมด” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนขำไปมากกว่านี้

‘ไปส่งอาวิลแล้วก็ไปเที่ยวต่อ’

“เลิกยิ้มสักที” นี่ถ้ายอมพูดขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมคงโดนหัวเราะใส่ไม่หยุดแน่ แล้วดู…ยังอีก…ยังไม่หยุดอีก

“ยิ้มก็ดีแล้ว” คนที่นั่งเป็นตอไม้อยู่นานพูดแทรก เขาตบบ่าน้องชายตัวเองเบาๆ เป็นการบ่งบอกว่าเข้าข้างใคร ทำเอาผมต้องถลึงตาใส่ด้วยความหัวร้อน เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ จากคนทั้งบ้านแล้วยังมีหน้ามาขำกันอีก มันน่า…

เรื่องของเรื่องคือหลังจากที่ทุกคนเข้ามาเห็นผมกับพี่ภูในสภาพนั้นแล้ว แววตาที่พวกเขามองเราก็แปรเปลี่ยนไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนมองราวกับเป็นลูกสะใภ้หัวแก้วหัวแหวนของพ่อกับแม่ มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีอยู่หรอก ถ้าไม่ใช่ว่าเดินไปทางไหนก็โดนจ้องตาวาวตลอดเวลา โชคดีที่พวกท่านต้องออกไปข้างนอกผมเลยทนรับสายตาเหล่านั้นอยู่แค่ไม่กี่นาที เหลือก็แต่เด็กหน้าตายที่ตอนนี้ชักจะแสดงอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และยังหัวเราะแซวผมอยู่ไม่เลิก

ผมพยายามมองหาโอกาสเพื่อถามพี่ภูเกี่ยวกับภาพในห้องนั้นอยู่นาน แต่ก็ยังไม่มีเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันสองคนเสียที ตอนแรกผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าจะถามต่อหน้าภาม แต่เมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขาล็อกห้องไว้ก็ต้องเปลี่ยนความคิด ยิ่งยามที่ทุกคนเข้ามาเห็นเราอยู่ด้วยกันแล้วพี่ภูรีบพาผมออกมาจากห้องนั้น ราวกับไม่ต้องการให้ใครเข้าไปด้านใน ผมก็ยิ่งต้องคิดหนัก

บางทีอาจจะเกี่ยวกับภาพภาพนั้น…ภาพคุณแม่ของเขากับภาม

“กับอาวิลเป็นยังไงบ้าง” ยามภามไม่ได้ทำตัวดื้อดึงหรือเอาแต่ใจ พี่ภูเองก็ใช้น้ำเสียงปกติที่ดูอ่อนโยนตามไปด้วย พอนึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นทุกวันผมก็ต้องอมยิ้มตามอย่างอดไม่ได้

‘อาวิลใจดี’

“ดีแล้ว”

หลังจากครั้งแรกที่ผมเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนภาม ครั้งต่อๆ มาที่อาวิลมาหาเขาก็ไม่ได้เรียกผมเข้าไปด้วยอีกเลย ผมคิดว่าอาวิลคงทำให้ภามไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่ออกมาจากห้องภามไม่เคยแสดงท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด เขาบอกว่าอาวิลชอบเล่าวีรกรรมสมัยยังเรียนอยู่ของตัวเองกับพ่อออสตินให้ฟัง แล้วก็บอกว่าตัวเองชอบฟังเรื่องเล่าเก่าๆ พวกนั้นมาก พอได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนว่าการรักษาครั้งนี้จะช่วยภามได้มากจริงๆ

“เออภาม วันนี้พี่ภูบอกว่าจะทำข้าวให้กินด้วย” ผมอาศัยจังหวะที่พี่ภูกำลังก้มมองจอโทรศัพท์สะกิดบอกภาม พอคนโดนกล่าวถึงได้ยินก็เงยหน้ามองแล้วขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากปฏิเสธ เพื่อนผู้รู้งานของผมก็ตาเป็นประกายแล้วหันไปมองพี่ชายตัวเองอย่างรวดเร็ว

‘จริงเหรอ’

“จริงสิ อยากกินอะไรบอกเขาไปเลย” ผมรีบเสริมต่อโดยไม่สนใจคนที่กำลังจ้องเหมือนอยากจะเข้ามาบีบคอ

‘เอาอะไรก็ได้ที่พี่ทำ’ ภามยกไม้ยกมือบอกด้วยความตื่นเต้น ผมเห็นยังอดยิ้มไม่ได้ แล้วมีหรือที่พี่ชายผู้ปากแข็งจะทนไหว เขายกมือลูบหัวภามเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น และตอนเดินผ่านผมก็ไม่ลืมขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงด้วยความหมั่นไส้ซ้ำอีกที

“รอนี่”

ในที่สุดก็จะได้กินอาหารฝีมือพี่ภูอีก…

เพียะ!

“ตีทำไมเนี่ย” ผมยกมือลูบแขนที่ถูกตีของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองคนทำ ภามไม่ได้ตอบอะไรเป็นประโยคแต่เขาชี้ไปที่หน้าตัวเองเป็นการตอบคำถาม ทำเอาผมต้องหันไปมองกระจกที่ติดอยู่ตรงฝาผนังอย่างรวดเร็ว

เวร…ทำสีหน้าชั่วร้ายอีกแล้วกู

“โทษทีๆ” ว่าแล้วก็ยกมือลูบหน้าลูบตาให้กลับเป็นปกติ แต่พอหันไปมองภามอีกครั้งผมก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าเขากำลังมองมาที่ผมเหมือนจะขำอีกแล้ว “อะไร”

‘พี่บอกว่านายชอบทำหน้าแบบนั้น’

“พี่ภูนินทาอีกแล้วเหรอ” ผมหน้าตึง ไม่รู้ว่าเขาไปพูดอะไรให้ภามฟังบ้าง และถ้าให้เดาคงไม่ใช่แค่เรื่องนี้แน่

‘แล้วพอรู้ตัวก็จะชอบลูบหน้าตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม’

“เขาพูดอะไรอีก”

‘เยอะแยะ’

เอาเวลาที่ไหนไปคุยกันวะน่ะ ปกติผมก็อยู่กับพวกเขาตลอด จะมีก็แต่…

‘อยากนอนก่อนเอง ช่วยไม่ได้’

“ก็ง่วงนี่นา” จะว่าไปผมก็นอนก่อนใครเพื่อนแทบทุกวันจริงๆ นั่นล่ะ มาจนถึงตอนนี้ผมกับพี่ภูก็ยังขนข้าวของไปนอนห้องภามอยู่ แต่ลืมคิดไปเลยว่าอาจจะโดนนินทาลับหลังตอนหลับ ไม่ได้ละแบบนี้…“วันนี้กูไม่นอนก่อนแน่”

‘จะคอยดู’

ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ คนที่ออกไปทำอาหารก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมจานข้าวสองจาน ผมกับภามหันไปมองพร้อมกันด้วยความตื่นเต้นเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรให้กิน และเมื่อได้เห็น…

“ไข่เจียว?”

มิน่า ทำไมถึงไวนัก…

“อืม” พี่ภูตอบรับก่อนจะเหยียดยิ้ม ท่าทางเขาดูสะใจมากที่เห็นผมผิดหวัง แต่เมื่อได้มองไปยังผู้ร่วมขบวนการอีกคนก็ต้องเลิกคิ้ว

‘ขอบคุณครับ’ ภามยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อได้เห็นอาหารหน้าตาธรรมดาที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เขามองมันอยู่นานโดยไม่คิดแตะต้อง จวบจนพี่ภูหุบยิ้มแล้วยื่นมือไปแตะบ่าเขาถึงได้รู้ตัว

“กินสิ”

ผมมองภาพเพื่อนตัวเองก้มหน้าก้มตากินข้าวไข่เจียวอย่างมีความสุขด้วยความรู้สึกแปลกๆ จะว่าสุขก็ใช่ แต่จะว่าหน่วงก็ใช่อีก ผมไม่เคยเห็นภามยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อน พี่ภูเองก็คงคิดเหมือนกันเขาถึงได้มองน้องชายตัวเองตาไม่กะพริบ สีหน้าเย็นชาเผยความเจ็บปวดออกมา ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปลูบหลังภามช้าๆ

“ค่อยๆ กิน เอาไว้ทีหลังจะทำให้อีก”

พอได้เห็นบรรยากาศระหว่างพี่น้องอันหาได้ยาก ผมก็แอบขยับตัวถอยมานั่งกอดเข่ามองอยู่ข้างๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกเขารู้สึกตัวแล้วหลุดออกจากบรรยากาศอบอุ่นนี้ บอกตรงๆ ว่าการได้เห็นภามอยู่กับพี่ภู ทำให้ผมเผลอนึกภาพตอนเขาอยู่คนเดียวขึ้นมาทุกที

ผมทำหน้างงเมื่ออยู่ๆ คนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน ภามมองหน้าผมจากนั้นก็หันไปมองพี่ภู พวกเขาสบตากันเหมือนจะสื่อสารอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองผมพร้อมกัน

‘ไปทำอะไรตรงนั้น’

“มานั่งใกล้ๆ”

“มีอะไรเหรอ” ผมคลานกลับไปนั่งใกล้ๆ พี่ภูเหมือนตอนแรก แต่แล้วก็ถูกล็อกคอให้ขยับเข้าไปหาแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาผมเซถลาจนล้มลงไปนอนคว่ำแปะอยู่กับโซฟา โดยมีแค่ส่วนหัวที่ถูกล็อกไว้ตรงหว่างแขนของเขา

“ใครใช้ให้ไปนั่งไกลๆ” ว่าแล้วคนหน้าดุก็ออกแรงขยี้หัวผมยกใหญ่ ทั้งยังยอมปล่อยให้น้องตัวเองขยับมาขยี้ตามอีกต่างหาก

“ภาม! มึงกล้าเหรอ” ผมถลึงตาใส่คนที่กำลังลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่รู้เรื่อง แต่แล้วก็ถูกคนที่ล็อกคอไว้บีบจมูกแล้วบังคับให้เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง

“อยู่ในสภาพนี้แล้วยังปากกล้าอีกนะไอ้กระต่าย”

ผมตั้งท่าจะอ้าปากเถียง แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของพี่ภูกับภามก็ต้องเงียบไป

มารู้สึกตัวเอาตอนนี้เอง…ว่าการกระทำของพวกเขาหมายถึงอะไร

‘ที่ของนายอยู่ตรงนี้’ ภามชี้นิ้วไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างเขากับพี่ภู จากนั้นก็ยิ้มให้ผมด้วยความจริงใจ

“ยินดีต้อนรับ” เสียงกระซิบจากคนข้างกายดังขึ้นแผ่วเบาข้างใบหู ผมไม่รู้เลยว่าอ้อมแขนซึ่งล็อกคอตัวเองไว้คลายออกตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกโอบไหล่ให้แนบไปกับอกอุ่นๆ นั้นแล้ว

“พี่ภู…”

ความรู้สึกอิ่มเอิบในใจทำให้ผมต้องกอดเอวคนข้างกายไว้แน่น เพราะไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าของตัวเองในยามนี้ สิ่งที่เขาพูดอาจเป็นเพียงถ้อยคำธรรมดา แต่เมื่อได้มองใบหน้าของสองพี่น้องชัดๆ ผมถึงรู้ว่าความหมายของมันไม่ธรรมดาเลยสักนิด

ถ้าการได้ยินพี่ภูบอกว่าชอบเมื่อสองปีก่อนทำให้ผมมีความสุขโคตรๆ งั้นความรู้สึกในเวลานี้คงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะมันไม่ใช่แค่มีความสุข แต่มันทั้งตื้นตันและอบอุ่นจนปวดในอกไปหมด

“ฝากตัวด้วยนะครับ”

ไม่ใช่แค่พี่ภู…แต่ครอบครัวของเขายอมรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้นแล้ว

“อืม” เขาโคลงหัวผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้ผมยันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นก็ส่งจานข้าวไข่เจียวมาให้ ครั้งนี้ผมไม่บ่นอะไรแต่รับมาถือไว้แล้วตักเข้าปากแต่โดยดี ซึ่งท่าทางคงดูสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยมากเกินไป สองพี่น้องถึงได้มองผมแล้วทำเหมือนจะขำกันทั้งคู่

อะไรอีกเนี่ย…ทำตัวว่าง่ายก็โดนขำเฉยเลย…เส้นตื้นกันแล้วหรือไง

“กินไป” พี่ภูบอกแค่นั้นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงหาเรื่องทำงานเหมือนเดิม โดนผมยึดโน้ตบุ๊กไว้ก็ยังอุตส่าห์เอาโทรศัพท์มากดได้อีก

ผมสบตาภามแล้วพยักหน้าเป็นอันเข้าใจกัน เราลงมือกินข้าวจนหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือพี่ชายเมื่อผมให้สัญญาณว่าพี่ภูอ่านอีเมลเสร็จแล้ว

“วันหยุดห้ามทำงาน” ผมกระตุกแขนเสื้อพี่ภูเมื่อเห็นเขาหันไปขมวดคิ้วใส่ภาม พอได้ยินอย่างนั้นคนหน้าดุเลยถอนหายใจ ก่อนจะเอนกายพิงโซฟาแต่โดยดี

“แล้วจะให้ทำอะไร”

นั่นสิ…จะเล่นเกมก็ยังไม่มีอารมณ์เล่นอีก

‘นายเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ’ คำถามของภามช่วยให้ผมมองเห็นทางสว่างในที่สุด ผมหยิบกีตาร์ที่เผลอเอาติดมือมาด้วยขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะหันไปตอบเขา

“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ากูเก่งมาก”

ภามกลอกตามองบนแล้วทำท่าจะไม่สนใจผมอีก แต่พอผมเริ่มดีดกีตาร์เบาๆ เขาก็หันกลับมามองอย่างสนใจ

‘ผมเคยเห็นพี่เล่นตอนเด็กๆ’

“กูเล่นเก่งกว่าพี่ภูเยอะ” ผมอวดหน้าด้านๆ แล้วก็ได้รับสายตามองแรงจากผู้ที่เทิดทูนพี่ชายเป็นพระเจ้ากลับมาเป็นรางวัล

‘ขี้โม้’

“เดี๋ยวรู้เลย” ว่าจบผมก็ดีดกีตาร์เป็นจังหวะเพลงที่กำลังนึกอยู่ในหัว โดยเลือกเพลงที่มีทำนองสนุกๆ ซึ่งจะช่วยให้ภามรู้สึกผ่อนคลายและมีอารมณ์ร่วมไปกับผมด้วย

‘ร้องด้วยสิ’ คนที่กำลังโยกหัวตามทำไม้ทำมือบอก พอเห็นไม่ร้องสักทีก็เขย่าขาพี่ชายตัวเองให้ช่วย เท่านั้นคนที่นั่งกอดอกอยู่ก็ปรายตามองผมเป็นเชิงสั่งทันที

แหม…ไม่ค่อยเลย

“ถ้าจะให้กูร้องต้องมีรางวัล”

‘อยากได้อะไร’

“อยากได้พี่มึง” ผมยิ้มยิงฟันแล้วตอบอย่างชัดเจน ทำเอาคนฟังหน้าเหวอไปครู่หนึ่ง ส่วนคนที่ถูกพาดพิงถึงนอกจากจะยกยิ้มมุมปากแล้วเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

‘ยังไงดีนะ’ ภามที่ดึงสติกลับมาแล้วอมยิ้ม เขามองผมสลับกับพี่ภูอยู่สองสามรอบ และสุดท้ายก็ยอมพยักหน้า ‘ถ้าร้องเพราะจะยกให้ก็ได้’

“ต้องอย่างงี้ดิ” ผมชนหมัดกับภามเป็นการยืนยันคำพูดระหว่างกัน แต่ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเล่นเพลงอะไรดี อยู่ๆ คนที่นั่งนิ่งดูท่าทีมาตลอดก็ขยับตัวมาดึงแก้มผมเหมือนมันเป็นยางยืด

“ถามกูหรือยัง”

“โอ๊ยยยยย! เจ็บนะพี่” ผมวางกีตาร์ลงข้างตัว ก่อนจะพยายามดึงมือพี่ภูออก แต่นอกจากจะดึงไม่ออกแล้วยังต้องเอนตัวไปตามแรงเพราะเริ่มเจ็บแก้มอีกต่างหาก

เขาไม่รู้หรือไงว่าเวลาดึงแก้มมันต้องดึงเบาๆ…แต่นี่มันดึงจริงจังแบบกะเอาให้ยานจริงๆ เลยไม่ใช่หรือไง!

“หมั่นไส้ว่ะ” ว่าจบแล้วก็บีบแก้มผมอีกทีแถมท้าย ก่อนจะยอมปล่อยมือออก “มองไร เริ่มสักทีดิ”

ยังมีหน้ามาถามอีก…

ผมยกมือนวดแก้มตัวเองเบาๆ อยู่เป็นนาที โดยไม่ลืมหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่นั่งขำแบบไร้เสียงมาตั้งแต่ต้นยันจบ ตกลงกันเสียดิบดี แต่สุดท้ายเด็กหน้าตายนี่มันก็ยังอยากเห็นผมโดนแกล้งเหมือนพี่ตัวเองไม่มีผิด

“จำไว้…”

“จำอะไร”

ไม่ต้องรอให้เขาเข้ามาบิดแก้มอีกรอบ ผมก็รีบหยิบกีตาร์ขึ้นมาบังไว้ในทันที พี่ภูแค่ส่งเสียงหึเหมือนจะขำเบาๆ ก่อนจะกอดอกแล้วเอนตัวพิงโซฟาเหมือนเดิม

อย่าให้ได้เอาคืนนะ ผมจะ…

“ยังไม่เลิกทำหน้าตาชั่วร้ายอีก”

“ครับ ขอโทษครับ” พูดด้วยความหัวเสียแล้วก็ต้องยกมือขยี้หัวตัวเองอีกที ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหน้าตาผมมันแสดงออกชัดมากเลยหรือไง ถึงได้รู้ตัวกันไวเหลือเกิน

หลังจากผ่อนลมหายใจคลายอารมณ์จนเป็นปกติแล้ว ผมก็เริ่มเกากีตาร์ช้าๆ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

 

“ไม่แน่ใจ กับท่าที แต่รู้ว่ามีความหมาย
ได้พบกัน อยู่ทุกวัน แต่ฉันไม่เคยมั่นใจ
จะให้ทำอย่างไร ก็ไม่รู้
ยังเฝ้ามองเธออยู่ ทุกคืนวัน
ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในดวงตาคู่นั้น
บอกฉันให้รู้อยู่ทุกวัน ว่าเธอมีใจให้เหมือนกัน”


 

ผมแอบเหลือบตามองพี่ภู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งจนเล่นผิดคอร์ดไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นว่าเขาอมยิ้มมองมาอยู่ก่อนแล้ว

ยิ้มอะไรก็ไม่รู้…ผมไม่ได้ตั้งใจเล่นเพลงให้เขาสักหน่อย แค่เห็นจังหวะมันเหมาะกับการเล่นให้ภามฟังเท่านั้นเอง

 

“รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
ไม่อยากจะคาดเดา เราอาจจะคิดไปเอง
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
รู้สึกบ้างรึเปล่า เพราะว่าฉันรักแต่เธอ
รู้สึกรึเปล่า…”


 

ไม่รู้ทำไมยิ่งร้องผมก็ยิ่งร้อนหน้าจนต้องก้มมองกีตาร์คอแทบพับ อยากจะหยุดร้องแล้วเปลี่ยนเพลงเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ทำไม่ได้อีก

เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้หน้าด้านหน้าทนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ว่ากันว่าตอนเด็กอยากทำอะไรให้ทำให้หมด พอหมดช่วงจะเริ่มรู้ผิดชอบชั่วดี ขอยืนยันตรงนี้เลยว่าจริง!

 

“จะให้ทำอย่างไร ก็ไม่รู้
ยังเฝ้ามองเธออยู่ ทุกคืนวัน
ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในดวงตาคู่นั้น
บอกฉันให้รู้อยู่ทุกวัน ว่าเธอมีใจให้เหมือนกัน…”


 

“ใช่เหรอ” คนขี้แกล้งก้มหน้าตามลงมามองแบบไม่บอกไม่กล่าว รอยยิ้มของเขาทำให้ผมสะดุ้งจนเผลออ้าปากค้าง เปล่งเสียงไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร อีกฝ่ายก็ชี้ที่ปากเป็นเชิงบอกให้ร้องต่อ แล้วคนอย่างผมจะทำอะไรได้…นอกจากทำตามที่เขาบอก

 

“รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
ไม่อยากจะคาดเดา เราอาจจะคิดไปเอง
รึเปล่า เธอคิดอยู่รึเปล่า
รู้สึกบ้างรึเปล่า เพราะว่าฉันรักแต่เธอ
รู้สึกรึเปล่า”


 

[รึเปล่า : Armchair]

 

แค่ร้องเพลงจบผมก็แทบจะร้องไชโย พอตั้งสติได้แล้วก็รีบเงยหน้ามองดูท่าทีของคนฟังทั้งสองคน แต่คนที่บอกให้ผมร้องเพลง…บัดนี้ล้มตัวลงไปนอนกับโซฟาหน้าตาเฉย ส่วนคนที่แกล้งผมไม่หยุดก็ยังคงมองมาที่ผมด้วยดวงตาเป็นประกายเช่นเดิม

“เอ่อ…”

“เพลง…เวลาร้องออกมามีความหมายไหม”

ผมเลิกคิ้วมองพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจ ถึงจะคิดว่าดีแล้วที่เขาช่วยเปลี่ยนเรื่องให้ แต่พอมาได้ยินคำถามแบบนี้ก็งงอยู่เหมือนกัน

“ต้องมีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งใจเขียนเนื้อกันทำไม” พอเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาถาม ผมก็ยืดตัวตรงก่อนจะพูดต่อ “ไม่ว่าจะจังหวะหรือเนื้อเพลง ทุกอย่างมีความหมายทั้งนั้น…พี่เคยได้ยินเรื่องดนตรีบำบัดไหม”

“ที่ใช้ช่วยผู้ป่วย?”

“อื้อ…มันช่วยได้มากเลยนะ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ” ผมศึกษาเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ถึงกับลงเรียนเพิ่มเพื่อให้รู้จริงเลยด้วยซ้ำ แม้จะไม่เก่งเท่าคนที่เรียนมานาน แต่ก็พอรู้ข้อมูลพื้นฐานที่สามารถเอามาปรับใช้ได้บ้าง “สภาพจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดนตรีอาจช่วยให้เขาดีขึ้นได้ ขอแค่เราเลือกความหมายให้ถูก…และมันก็ไม่ใช่แค่เนื้อร้อง แต่หมายรวมถึงจังหวะดนตรีด้วย”

“งั้นที่มึงขอให้กูหากีตาร์ให้ก็เพราะ…”

“ครับ” ผมตอบรับเมื่อเห็นพี่ภูหันหน้าไปมองภามที่นอนหลับอยู่ “ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยภามได้”

“มึงไปเรียนภาษามือแล้วก็ไปศึกษาเรื่องนี้มาในช่วงที่เราไม่ได้เจอกันเหรอ”

“อื้อ…เพื่อภาม…แล้วก็เพื่อพี่ไง”

ผมรับปากไว้แล้วว่าจะช่วย ไม่ว่าพี่ภูจะตั้งความหวังไว้หรือไม่ผมก็ยังอยากช่วย อาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับจิตใจคงไม่สามารถรักษาได้ด้วยการกินยาเพียงแค่อย่างเดียว มันยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ผมเพิ่งรู้หลังจากได้ศึกษาอย่างจริงจัง

“ผมรู้ว่าพี่กับครอบครัวก็คงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว หมายถึงวิธีรักษาที่ถูกต้อง…เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสสักทีใช่ไหม” ด้วยอุปนิสัยและอะไรหลายๆ อย่างอาจทำให้ภามไม่ยอมเปิดใจแม้แต่กับครอบครัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจ้างนักดนตรีหรือคนนั้นคนนี้มาช่วยเลย ต่อให้ผมเพิ่งมาได้ไม่นานก็ยังรู้ว่ามันต้องไม่ได้ผลแน่ “คนป่วยแต่ละคนมีอาการแตกต่างกันไป สภาพจิตใจของพวกเขาไม่ได้เหมือนกันทุกคน เพราะงั้นถึงต้องให้หมอช่วย แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมก็เลยช่วยในแบบฉบับของตัวเอง”

“อืม…”

“ที่ผมเลือกดนตรีจังหวะแบบนั้น ก็เพราะมันเหมาะกับภามและน่าจะช่วยให้เขายิ้มตามได้ พอได้เห็นเขาสบายใจจนหลับได้…” ผมเหลือบตามองคนที่กำลังหลับ ก่อนจะกัดฟันพูดต่อ “ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

พี่ภูหัวเราะหึเบาๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาลูบหัวน้องตัวเองสองสามทีแล้วหันกลับมาหาผมอีกครั้ง

“ตอนที่มึงเล่น ภามก็ดูมีความสุขนั่นล่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่มีวี่แววของการล้อเล่น “กูรู้แล้วว่ามันช่วยได้…แล้วก็มีความหมายทั้งจังหวะและเนื้อเพลงเหมือนที่มึงบอกไม่มีผิด”

“เห็นไหม…”

“ทั้งจังหวะที่ทำให้ภามมีความสุข…” ปลายนิ้วเรียวของคนพูดขยับมาเกี่ยวนิ้วก้อยของผมช้าๆ ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มที่ทำให้ผมหลงใหลครั้งแล้วครั้งเล่าออกมา “แล้วก็เนื้อเพลงที่ทำให้กูยิ้มได้…”

“…”

“ทุก ‘การกระทำ’ มันมีความหมายมากจริงๆ”

ผมไม่เคยนึกสงสัยเลยว่า เวลาที่ความพยายามต้องสูญเปล่าเราจะรู้สึกแบบไหน จะต้องเสียใจ จะต้องร้องไห้ จะต้องเจ็บปวดทรมานมากเท่าไหร่ แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่า ถ้าความพยายามมันไม่สูญเปล่าเราจะดีใจขนาดไหน ผมไม่เคยต้องพยายาม…อย่างน้อยก็ไม่เคยใช้ความพยายามนานถึงสองปี มาถึงวันนี้เมื่อรู้ว่ามันไม่สูญเปล่าก็เพิ่งได้เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริง…

ถ้าการพยายามเพื่อใครสักคนส่งผลให้คนถึงสองคนมีความสุข ผมคิดว่าตัวเองคงใช้แค่คำว่าดีใจไม่ได้

“ผมอยากได้ยินแค่นี้แหละ”

มันคือความรู้สึกอิ่มเอมที่มีค่ายิ่งกว่าความดีใจ และสามารถทำให้หายเหนื่อยได้ในระยะเวลาไม่ถึงนาที…

“หวังน้อยจังนะ” พี่ภูว่าก่อนจะลุกขึ้นยืน

“พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

“ก็มึงอยากได้ยินแค่นี้ไง” จบคำเขาก็เดินหนีออกไปข้างนอก ทิ้งให้ผมนั่งเอ๋ออยู่เพียงลำพัง

พลาดเลยกู!

ระหว่างที่กำลังนึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ คนที่เดินออกไปข้างนอกก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มผืนหนาสองผืน ผมมองภาพเขาเดินเข้าไปห่มผ้าให้น้องชายด้วยความอิจฉาริษยา ก่อนจะเอามือกอดอกตัวเองไว้แน่นเพื่อบอกให้รู้ว่าผมก็หนาวเหมือนกัน

“ทำหน้าแบบนั้นคือ?” พี่ภูหันมาเลิกคิ้วมองผมแล้วนั่งลงข้างๆ

“พี่ก็รู้อยู่แก่ใจ” ว่าแล้วผมก็ส่งสายตาแหลมคมไปยังผ้าห่มที่เขากอดไว้

“กูไม่มีแคร์รอตให้นะ”

“ผมไม่ได้จะเอาแคร์รอตสักหน่อย!”

“เหรอ…งั้นเอานี่ไป”

สงสัยได้ไม่ทันไรอีกคนก็โยนอะไรบางอย่างมาให้ ผมใช้สองมือรับไว้ตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากก้มลงมองสิ่งของนุ่มนิ่มในมือแล้วก็แทบจะปามันกลับคืนไปหาคนให้…

“ไอ้ปุกปุย!” ไอ้กระต่ายหน้าโง่ที่ผมให้พี่ภูไปแล้วเกือบจะถูกเขวี้ยงแบบไม่รักษาหน้า แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหน้าดุๆ ของคนข้างๆ ผมก็ต้องหดมือกลับพร้อมกับดึงมันมากอดไว้แทน

ถ้าเมื่อกี้ผมเผลอเขวี้ยงลงพื้น สงสัยได้กลายเป็นศพแน่…ดูเขาทำหน้าดิ

“มันชื่อเต็ม”

“ทำไมต้องเต็ม…”

พี่ภูมองหน้าผมเหมือนกำลังมองคนโง่ เขาคว้าไอ้เต็มคืนไปแล้วโยนผ้าห่มมาให้โดยไม่ยอมตอบอะไรอีก พอผมตั้งท่าจะถามเขาก็หันหน้าหนี

“กูไม่คุยกับคนโง่”

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย” ใครจะไปรู้ว่าเขาตั้งชื่อไอ้ปุกปุยนั่นว่าเต็มเพราะอะไร แค่ความคิดก็คาดเดายากแล้ว นี่ถึงขนาดให้หาเหตุผลเอง แบบนี้จะว่าผมโง่ได้ไงเนี่ย

“โง่”

“ผม…”

“ไหนว่าความจำดีนักหนา ปะติดปะต่อเรื่องเก่งไม่ใช่หรือไง” ว่าแล้วก็ฟาดตุ๊กตาใส่หน้าผมอีกทีเป็นการด่าซ้ำ

“ผมยอมโง่ก็ได้ พี่เฉลยหน่อย”

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่ผมจะยอมรับว่าตัวเองโง่แบบนี้ เออ…หมายถึงในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องของพี่ภู

“ไม่”

“อย่าทำให้อยากแล้วจากไปดิ” ผมเขย่าแขนคนข้างๆ ให้เขาตอบ แต่นอกจากจะไม่สนใจแล้วเขายังหันไปนั่งลูบหัวลูบตัวไอ้เต็มอีกต่างหาก “พี่…”

“พูดมากว่ะ อยู่นิ่งๆ กูจะนอน”

สิ้นประโยคคำสั่งที่ผมยังไม่ได้รับปาก คนหน้าดุก็ทิ้งตัวลงนอนหนุนตักผมอย่างรวดเร็ว เล่นเอาตัวแข็งใจแข็งไปหมด ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะคิดหาคำพูดใดๆ เขาหลับตาลงโดยกอดไอ้เต็มไว้และไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีก ทิ้งให้ผมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่เพียงลำพัง

เล่นแบบนี้แล้วจะกล้าถามต่อได้ยังไงวะ

“พี่แม่ง…” ผมคลี่ผ้าห่มออก ก่อนจะเอาไปคลุมตัวให้คนที่นอนหนุนตักตัวเองไว้ พอก้มลงมองใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของคนหลับแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “ไม่รู้ก็ได้”

ยังไงวันนี้ก็ได้กำไรแล้วนี่นะ…ผมยิ้มบาง ก่อนจะถือโอกาสลูบหัวของใครอีกคนแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

มาถึงตอนนี้ผมไม่คิดอยากถามหรือหาคำตอบแล้วว่าระหว่างเราคืออะไร… ทุกการกระทำมันชัดเจนอยู่แล้วโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา แม้จะไม่กล้าพูดว่าเป็นอะไรกัน แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราสำคัญต่อกันมากขนาดไหน

เขาสอนให้ผมรู้ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูดใดๆ ทั้งนั้น

เพราะงั้นไม่ว่าจะในสถานะอะไร…ขอแค่พี่ภูให้ผมอยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว

 

--------------------------

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 06-10-2017 18:50:35
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 06-10-2017 19:11:25
 :3123:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2017 19:23:04
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 06-10-2017 19:38:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-10-2017 19:49:00
 :กอด1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 06-10-2017 20:16:25
น่าร๊าก.....
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 06-10-2017 21:01:31
มีความอบอุ่นเจือสีเทาเบาๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 06-10-2017 22:31:44
พี่ภูแม่งชอบก้อนว่าโง่ ก้อนแค่ตามพี่ภูไม่ทันเองนะ 5555555  #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 06-10-2017 22:55:06
มันรู้สึกอุ่นๆ  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-10-2017 23:35:01
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 07-10-2017 00:35:30
งื้ออออ ละมุนค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 07-10-2017 12:56:39
เก้าอ่ะ ชอบเก้ามากเลยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nantarat ที่ 07-10-2017 18:17:18
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[0]== [29/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: chaWice ที่ 07-10-2017 22:06:45
ร้ายทั้งคู่

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-10-2017 00:52:45
เวลาเก้าเขินมันน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 09-10-2017 08:15:27
พี่ภูคนอบอุ่นนนนนน :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[31]==[P.19]== [06/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 14-10-2017 19:16:22


-32-

 

“งานนี้ผมจำเป็นต้องไปจริงๆ นะ”

“แต่คุณรับปากกับฉันว่าจะพาลูกไปเที่ยววันนี้นะคะ”

“เฮเลน่า…”

วันนี้ผมได้รู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง…ดูเหมือนจริงๆ แล้วแม่เฮเลนจะมีชื่อเต็มๆ ว่าเฮเลน่า ผมหันไปถามภามแล้วก็ได้ความว่าเขากับพี่ภูชินที่จะเรียกสั้นๆ มากกว่า จะมีก็แต่พ่อออสตินที่ยังเรียกชื่อเต็มอยู่

“เก้า ช่วยพ่อหน่อย”

อุตส่าห์ยืนคิดอะไรเพลินๆ…โดนลากเข้าไปเกี่ยวจนได้

“งั้นแม่ไปกับพ่อด้วยดีไหมครับ” ผมเดินเข้าไปเกาะแขนแม่เฮเลนที่ยืนขมวดคิ้วอยู่อย่างรู้งาน พอท่านหันมามองแล้วก็ยิ้มอ้อนให้จนใบหน้าแข็งกร้าวอ่อนลงอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องห่วงภามนะ เดี๋ยวผมดูแลให้เอง”

“จะดีเหรอลูก”

“เอาไว้เราไปเที่ยวกันวันหลังก็ได้ครับ แม่ไปกับพ่อเถอะนะ” พอผมพูดจบท่านก็ทำท่าคิดหนัก เอาแต่มองหน้าภามสลับกับผมอยู่นานหลายนาที จวบจนพ่อเดินเข้ามาโอบเอวนั่นล่ะท่านถึงยอมเดินตาม

“งั้นแม่ฝากด้วยนะลูก” แม่เฮเลนหันมาจับไม้จับมือผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินนำออกไปนอกบ้านโดยไม่รอพ่อ ฝ่ายคนที่โดนงอนพอเห็นแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจยาว ท่านหันมาตบไหล่ผมเป็นการขอบคุณสองสามทีแล้วรีบวิ่งตามภรรยาออกไป

เห็นคนมีอายุดูรักกันดีแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าดีจังเลยน้า…

“แผนล่มแบบนี้แล้วเราจะทำอะไรกันดี” ผมหันกลับไปถามคนที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ทั้งบ้านเหลือกันอยู่สองคน พี่ภูก็ไปทำงาน ป้าเจนก็ลากลับบ้านกับลุงอดัม พ่อกับแม่ก็เพิ่งออกไปเมื่อกี้ เหลือแค่ผมกับภามที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน

เรื่องของเรื่องคือจริงๆ วันนี้เราวางแผนร่วมกันไว้ว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอก โดยแม่เฮเลนจะพาผมเข้าไปเที่ยวในเมืองและถือโอกาสพาภามไปด้วย เราคิดว่าจะเที่ยวจนถึงเย็นแล้วรอพี่ภูเลิกงานเพื่อไปกินข้าวนอกบ้านพร้อมกัน แต่ทุกอย่างก็ล่มหมด เมื่อพ่อออสตินที่ต้องเป็นคนขับรถบอกว่ามีงานเข้าและอยากให้แม่เฮเลนไปด้วย ตอนแรกท่านจะให้ผมกับภามไปด้วยกันเลย แต่ภามบอกว่าไม่อยากไป ผมเองก็เห็นด้วยกับเขาเพราะไม่อยากไปเกะกะระหว่างพ่อทำงาน สุดท้ายสถานการณ์เลยกลายเป็นแบบเมื่อครู่

‘จริงๆ ผมมีเรื่องจะขอให้ช่วย’

“หืม…” ผมเดินกลับไปหาภาม ก่อนจะมองเขาด้วยความแปลกใจ จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายขอให้ช่วยก็คงได้

‘ผมอยากไปที่ห้องนั้น’

“ภาม…” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้รู้สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ต้องถามต่อก็รู้ว่าห้องที่ว่าคือห้องอะไร แต่ปัญหาคือ…

‘ผมรู้อยู่แล้วว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น’

ตั้งแต่หลายวันก่อนที่ผมกับพี่ภูขึ้นไปที่ห้องภาพซึ่งมีเปียโนอยู่ด้วย หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องห้องนั้นอีกเลย ผมแอบถามพี่ภูตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคน แล้วก็เป็นไปตามคาด…ที่เขาล็อกห้องไว้ก็เพราะมีภาพของแม่แท้ๆ อยู่ในนั้น และที่ต้องรีบออกมาก็เพราะไม่ต้องการให้ภามเห็น

“รอให้พี่ภูกลับมาก่อนดีไหม” ผมถามด้วยความกังวล บอกตรงๆ ว่าลำพังตัวคนเดียวคงรับมือไม่ได้แน่ถ้าภามแสดงอาการอะไรออกมา พี่ภูเคยบอกผมว่าที่บ้านเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับแม่แท้ๆ ของพวกเขาออกไปหมดแล้ว เพราะไม่ต้องการให้ภามเห็น พวกเขากลัวว่าภามจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม…เหมือนตอนที่เคยพยายามฆ่าตัวตาย

‘ไม่เป็นไรหรอก’

ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า แต่ถ้าถามว่าเชื่อไหม…เชื่อไม่เชื่อก็ส่งไลน์ไปหาพี่ภูแล้วเรียบร้อย กันไว้ดีกว่าแก้

“ภาม”

ภามหยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องไว้ เขาหันมามองผมเป็นเชิงถาม แต่เมื่อเห็นผมทำหน้ายุ่งเพราะกำลังคิดมากก็หลุดยิ้มออกมา

‘ผมไม่อาละวาดหรอกน่า’

“ถ้าทำขึ้นมากูตีหัวมึงสลบนะ” อันนี้จริงจัง ถ้าต้องเห็นอีกฝ่ายอาละวาดหรือนั่งซึมผมตีสลบจริงๆ แน่ ตัดปัญหา

ภามทำหน้าเหมือนอยากจะขำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้า เขาดึงแขนผมให้เดินเข้าไปด้านในโดยไม่ยอมให้ขัดอะไรอีก พอเข้ามาแล้วเจ้าตัวก็สอดส่ายสายตามองไปรอบห้อง ผมมองคนที่เดินไปดูภาพต่างๆ ด้วยความกังวลใจ สุดท้ายก็ต้องแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าคนที่กำลังทำงานอยู่ได้รับข้อความหรือยัง

 

PHU: กำลังไป

 

ค่อยยังชั่วหน่อย…ขอแค่พี่ภูมาอยู่ตรงนี้ผมก็เชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องดูแลภามด้วยตัวเองก่อน จะให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด

คิดได้แบบนั้นแล้ว ผมก็มองตามร่างของเด็กตัวสูงที่ดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าแต่ก่อนตาไม่กะพริบ จะว่าไปก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่านับวันคนตรงหน้าเริ่มดูเหมือนพี่ภูมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาก็ไม่ได้ซูบตอบเหมือนเดิมแล้วด้วย ส่วนสูงก็เท่าเทียมกัน ถ้าภามตัดผมทรงเดียวกับพี่ภูแล้วมองจากด้านหลังคงแทบแยกไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้เห็นหน้าก็ยังแตกต่างกันอยู่มาก และผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด

วินาทีที่ภามไล่มือไปตามภาพสีน้ำ ผมรู้สึกใจหายแปลกๆ เพราะยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเข้าใกล้ภาพวาดขนาดใหญ่ที่ตั้งหันหลังอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้เผลอส่งเสียงรั้งเขาไว้ ซึ่งดูเหมือนภามจะรู้ว่าผมคิดอะไร เขาถึงได้หันกลับมาหาแล้วยิ้มน้อยๆ เหมือนจะย้ำว่าไม่เป็นไรหรอก

ไม่เป็นได้ไงล่ะ…เมื่อไหร่พี่ภูจะมาเนี่ย ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยให้ตายเถอะ

ภามจับขอบไม้ของภาพวาดที่ตั้งหันหลังไว้ ก่อนเขาจะเดินไปด้านหน้ามันช้าๆ นั่นทำให้ผมมองเห็นหน้าของคนที่กำลังมองไปที่ภาพวาดได้อย่างชัดเจน…ใบหน้าที่ดูว่างเปล่าและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ…ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมองไปที่มันนิ่งๆ และยืนอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที…หลายนาทีจนผมเริ่มรู้สึกไม่ดีและต้องเดินเข้าไปหา

“ภาม พอเถอะ” ผมดึงร่างที่ยังยืนแข็งเป็นหินออกมาจากจุดนั้น แล้วบังคับให้เขาเดินตามไปนั่งที่โซฟาซึ่งอยู่ไม่ไกล “โอเคหรือเปล่า”

‘โอเค’ มือบอกว่าโอเค แต่หน้าตาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด

ได้เห็นเขาทำท่าเหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้งผมก็เริ่มใจไม่ดี คิดไปคิดมาว่าจะทำยังไงอยู่สักพัก สุดท้ายเลยใช้มือสองข้างจับแก้มอีกฝ่ายไว้แล้วบังคับให้มองหน้ากัน

“เป็นก็บอกว่าเป็นดิวะ” ว่าแล้วก็เขย่าหน้าที่จับอยู่จนสั่นคลอน ทำเอาอีกฝ่ายทำหน้างงไปครู่หนึ่งและต้องดึงมือผมออกเพื่อให้หยุดเขย่า

‘มึนหัว’

“ดีแล้ว” เอาให้ความคิดรวนไปเลย ไอ้ที่คิดในหัวจะได้หายไปให้หมด

‘บ้าบอ’

“กล้าว่ากูเหรอ”

ภามลอยหน้าลอยตาไม่ยอมตอบ แต่ผมไม่ถือสา ได้เห็นท่าทางกวนส้นตีนของเขาแล้วก็ยิ้มออก…อย่างน้อยไม่ทำหน้าตาว่างเปล่าแบบเมื่อกี้ก็พอแล้ว

“ภาม…มึงมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า” ผมถอนหายใจโล่งอก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่ประตูซึ่งไม่ได้ปิด แต่เพราะภามหันหน้ามาหาผม เจ้าตัวเลยไม่เห็นว่าพี่ชายตัวเองกลับมาแล้ว โดยพี่ภูก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเดินเข้ามาหาแต่อย่างใด เขาแค่ยืนพิงขอบประตูไว้นิ่งๆ แล้วส่งสัญญาณให้ผมคุยต่อ

‘พูด?’

“อือ…อะไรที่อยากพูด บอกกูได้นะ”

‘จะบอกให้ผมสู้ๆ อีกคนเหรอ’ เขายิ้มบิดเบี้ยว ท่าทางดูราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ผมเลยจัดการผลักหัวยุ่งๆ นั้นอย่างแรงจนภามเกือบตกโซฟาเป็นการเรียกสติ เล่นเอาคนถูกกระทำเงยหน้ามองตาขวาง

“หน้ากูดูเหมือนคนที่จะพูดว่า ‘สู้ๆ นะ’ เหรอ”

ผมไม่ใช่คนที่พูดไปเรื่อยแบบไร้ประโยชน์ คนแต่ละคนมีความต้องการแตกต่างกัน ยิ่งคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจก็ยิ่งต้องใส่ใจ คนพวกนี้เขาไม่ได้ต้องการคำพูดลอยๆ ตามมารยาทที่ใครก็พูดได้ จริงๆ ต้องบอกว่าคงไม่มีใครต้องการคำพูดตามมารยาททั้งนั้น มันก็เหมือนเวลาที่เรารู้สึกแย่หรือผิดหวัง สิ่งที่เราต้องการที่สุดคงไม่ใช่คำพูดจอมปลอม…แต่มันคือ ‘ความจริงใจ’ ต่างหาก

“ที่อยากให้เล่าเป็นเพราะกูอยากช่วย และคิดว่ามึงเองก็คงอยากพูดให้ใครสักคนฟัง…กูไม่รู้ว่ามึงเคยเจอคนแบบไหนมานะภาม แต่ตอนนี้กูคือครอบครัวมึงแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นคิดซะว่ากูเป็นกระต่ายก็ได้…มึงอยากลองเล่าให้กระต่ายฟังดูสักครั้งไหม”

‘กระต่าย?’ ภามทำหน้าตาเหลอหลา ผมเลยพยักหน้าตอบกลับไปอย่างจริงจัง

“เออ…ถ้ามึงไม่อยากเล่าให้ใครฟังก็คิดว่ากูเป็นกระต่ายก็แล้วกัน ทีนี้อยากบอกอยากระบายอะไรก็ว่ามาเลย” ไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่ผมจะยอมรับว่าตัวเองเป็นกระต่ายกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ภู แต่ในกรณีจำเป็นแบบนี้ก็คงต้องยอม อีกอย่าง เจ้าของก็ยืนมองอยู่แล้วด้วย

ภามส่ายหน้าหน่ายเมื่อผมพูดจบ เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดอะไรก็ไม่รู้ ผ่านไปสักพักโทรศัพท์ของผมก็สั่นเพราะมีไลน์เข้า

 

asdf: …

 

“มึงไปเอาไลน์กูมาตอนไหน” ผมเงยหน้าถามงงๆ จำได้ว่าเราไม่เคยแลกไลน์กัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าผมเพิ่งรู้ว่าภามมีโทรศัพท์มากกว่า

‘พี่’

“อ๋อ…แล้วตั้งชื่ออะไรของมึงเนี่ย”

‘ช่างผมเถอะน่า’ ภามโบกมือปัดไปมาแล้วทำหน้าตาไม่พอใจ ‘เคยมีใครบอกไหมว่านายชอบทำลายบรรยากาศ’

จำได้ว่ามี…แต่เยอะเกินจนนึกไม่ออกว่าใครบ้าง

 

asdf: ผมเคยเล่าเรื่องตัวเองให้เพื่อนฟังมาก่อนแล้ว

 

ผมเงยหน้ามองคนที่อยู่ๆ ก็พิมพ์ไลน์เปลี่ยนเรื่องด้วยความประหลาดใจ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วก้มลงตั้งใจอ่านสิ่งที่เขาพิมพ์มา…โดยไม่ลืมส่งทุกข้อความต่อไปให้พี่ภูดูด้วย โชคดีที่ฝั่งนั้นปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาภามเลยยังไม่รู้ตัว

 

asdf: หลังจากแม่ตายผมก็ไม่อยากพูดอะไรอีก แต่เพราะยังต้องไปโรงเรียนผมถึงพยายามพูดออกมาเพื่อไม่ให้เพื่อนมองว่าแปลก จนมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ผมเล่าทุกสิ่งที่คิดและรู้สึกให้ฟังเพราะเขาถาม แต่กลับกลายเป็นว่าเพื่อนคนนั้นก็แค่อยากรู้ พอได้คำตอบก็แค่บอกว่าสู้ๆ แล้วเอาไปพูดต่อสนุกปาก

 

เพราะแบบนั้นถึงไม่ยอมเล่าให้ใครฟังอีกสินะ…

 

asdf: หลุมในใจผมใหญ่กว่าเดิม ต่อให้ใครใส่อะไรมาก็ไม่มีวันเต็ม ผมไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากได้รับความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น

 

ภามนิ่งไปและทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาดูเหม่อลอยมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องตัดสินใจพูดออกมา

“ครอบครัวมึงอยู่ตรงนี้” รวมถึงผมด้วย…

เขาเงยหน้ามองด้วยสายตาเรียบเฉยแต่ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคย จากนั้นก็ส่งยิ้มบางมาให้ผม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อ

 

asdf: เวลาหลับตา…ผมมองเห็นภาพแม่จมอยู่ในกองเลือดและกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ผมนั่งหลบอยู่ในตู้เก็บของโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

 

ผมขมวดคิ้วเคร่งเครียด ก่อนจะเงยหน้าสบตากับพี่ภูเข้าอย่างจัง สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดไม่แพ้ภามเลยสักนิด

 

asdf: แค่หลับตาลงในความมืดผมก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์ในตอนนั้น มันอึดอัด มันเจ็บไปหมด…

 

“พอเถอะ” ผมจับไหล่คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาไว้แน่นและอยากบอกให้เขาหยุด เพราะยิ่งเล่าสีหน้าของภามก็ยิ่งดูเจ็บปวดจนผมเริ่มทนไม่ไหว เพียงแต่เขาไม่ฟังและยังคงก้มหน้าพิมพ์ต่ออยู่อย่างนั้น

 

asdf: ผมรักครอบครัว ผมไม่อยากให้ทุกคนลำบากเพราะตัวเอง แต่ยิ่งผมพยายามมากเท่าไหร่ทุกคนก็ยิ่งเจ็บปวด ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่เคยอยากเป็นแบบนี้เลยสักนิด

 

“พอแล้ว!” ผมปัดโทรศัพท์ออกจากมือภาม ก่อนจะดึงคนที่กำลังตัวสั่นเป็นลูกนกเข้ามากอดไว้แน่น ตอนแรกเขานิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร แต่เมื่อกายสูงใหญ่ของใครอีกคนขยับเข้ามากอดเราทั้งคู่ไว้ คนในอ้อมแขนผมก็ยอมกอดกลับและร้องไห้ออกมาโดยไม่คิดกลั้น

“ผมทรมานมากเลยกระต่าย…ฮึก”

นี่คือครั้งแรก…ที่ผมได้ยินเสียงภาม

คนที่จมอยู่กับความทรงจำเลวร้ายที่ฝังรากลึกอยู่นานหลายปี มันไม่ใช่ว่าตัวเขาต้องการให้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด แต่เป็นเพราะคนรอบข้างนอกเหนือจากครอบครัวไม่เคยเข้าใจเขาเลยต่างหาก ไม่ใช่ไม่เคยพยายาม…ภามเองก็เคยเล่าแล้ว แต่เพราะสิ่งที่เขาเล่ากลับกลายเป็นเรื่องตลกของคนอื่น เขาถึงได้เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้แบบนั้น

ถ้าการป่วยทางกายเป็นเรื่องน่ากลัว…ผมคิดว่าการป่วยทางใจเองก็น่ากลัวไม่แพ้กัน…โดยเฉพาะเมื่อคนป่วยที่มีความอ่อนไหวง่ายได้รับฟังคำพูดแย่ๆ หรือทัศนคติเฮงซวยจากคนรอบข้าง…คนที่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เกิดกับครอบครัวตัวเอง

“ไม่เป็นไร” อ้อมแขนที่กอดรัดผมกับภามเอาไว้กระชับแน่นกว่าเดิม ราวกับจะช่วยเรียกสติของเราทั้งคู่ พี่ภูวางคางลงบนบ่าผม ในขณะที่มืออีกข้างก็ลูบหัวลูบหลังปลอบน้องตัวเองที่ซุกหน้าไว้กับอกผมไม่หยุด

“เออ ไม่เป็นไร” ผมย้ำด้วยเสียงที่พยายามทำให้ดูร่าเริง

“ฮึก…”

ผมโคลงตัวโยกไปโยกมาเหมือนภามเป็นเด็กๆ โดยมีคนที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลังช่วยออกแรงตามอีกที เพราะลำพังผมคนเดียวคงลากพวกเราให้โยกตามกันไม่ไหว จวบจนเมื่อรู้สึกได้ว่าเสียงสะอื้นเริ่มเบาบางลงผมเลยพูดต่อ

“กูก็ชอบให้กอดแบบนี้นะ แต่เปลี่ยนเป็นกูซุกมึงแทนได้ไหม คือตัวมึงหนักมากเลย…”

ถึงจะมีพี่ภูอยู่ด้านหลังคอยประคองไว้อีกทีแต่มันก็ยังหนักอยู่ดี แถมตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บอกที่ถูกทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มๆ ไปหมดแล้วด้วย

“มึงนี่นะ” พี่ภูกระซิบเบาๆ ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่แล้วเราก็ต้องชะงักไปทั้งคู่ เมื่ออยู่ๆ คนที่เพิ่งหยุดร้องไห้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“ภาม?” ผมส่งเสียงเรียก แต่ภามไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่ดันตัวออกช้าๆ ก่อนจะยกมือเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง จนเมื่อเอามือออกแล้วผมถึงมองเห็นตาแดงๆ คู่นั้นได้อย่างชัดเจน

“ผะ…ผม…” ภามพยายามจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่มันก็ดูติดๆ ขัดๆ จนน่าสงสาร สุดท้ายคนที่ยังนั่งซ้อนหลังผมอยู่ก็ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยปากกับเขา

“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดก็ได้”

พอได้ยินคำบอกกับสายตาลุ้นๆ จากผมกับพี่ภูแล้ว ภามก็สูดหายใจเข้าจนสุด ก่อนจะจ้องมองกลับมาอย่างมุ่งมั่น

“ผม…อยากพูดกับทุกคน…มาตลอด”

ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่คนที่ดีใจมากกว่า…น่าจะเป็นคนที่กำลังกอดเอวผมไว้แน่นจากด้านหลังในตอนนี้

“กูรู้ว่ามันยาก แต่ตอนนี้ก็ทำได้แล้วนี่” ผมยื่นมือไปตบไหล่ภามแปะๆ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มน้อยๆ กลับมาให้

“คงเพราะ…ได้ระบาย” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของคนที่ไม่ได้พูดมานานฟังดูเศร้าสร้อยจนทำให้ผมรู้สึกแย่ตามไปด้วย และคิดว่าคนที่อยู่ข้างหลังก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ผมเลยวางมือทับไว้ที่มือของพี่ภูเพื่อให้กำลังใจเขา ก่อนจะมองหน้าภามแล้วพูดต่อ

“ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกเรื่องหรอก กูยอมรับว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดจะบอกอะไร แต่มึงก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจกับความห่วงใยที่กูกับพี่ภูมีให้ใช่ไหม” ไม่ใช่แค่ถามไปเฉยๆ เพื่อจะบอกว่าสู้ๆ หรืออะไรทั้งนั้น ผมอยากให้เขาพูดในสิ่งที่คิดเพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา รวมถึงอยากจะบอกว่ามีคนที่เข้าใจและพร้อมจะอยู่ข้างๆ เขาตลอดเวลาอยู่ตรงนี้ “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่อย่าคิดว่าไม่มีใครเข้าใจมึง อย่าคิดว่าไม่มีใครเป็นห่วง ถ้าหลับตาแล้วเห็นแต่ภาพที่ไม่ดี งั้นมึงก็ไม่ต้องหลับตา แค่มองความจริงตรงหน้า นึกถึงสิ่งที่จะเจอต่อไปในวันพรุ่งนี้แทน”

“…”

“เวลามันน่ากลัวนะ…แม้แต่กระต่ายอย่างกูยังกลัวเลย” เพราะถอยหลังกลับไปไม่ได้ แก้ไขอดีตไม่ได้ อะไรที่เสียไปแล้วก็ไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ใหม่ เพราะงั้นมันถึงน่ากลัวที่สุด…

“ผมรู้แล้ว” คนฟังตอบกลับพร้อมรอยยิ้มจาง เขามองหน้าผมสลับกับหน้าพี่ภูอยู่นาน มองจนผมเริ่มสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และเมื่อคิดที่จะขัดเพราะกลัวภามจะนึกถึงอะไรที่ไม่ดี อยู่ๆ เขาก็พูดออกมาเสียก่อน “ผมเองก็อยากมีคนอยู่เคียงข้างเหมือนที่พี่มีบ้าง”

“ชอบกูล่ะสิ” ผมเชิดหน้าขึ้นอย่างอวดๆ ก่อนจะหัวเราะหึ “แย่หน่อยนะที่กูเป็นของแรร์”

เพียะ!

“โอ๊ย! ตีผมทำไมเนี่ย” ผมลูบแขนที่โดนคนข้างหลังตีดังเพียะป้อยๆ ก่อนจะหันไปมองเคืองๆ แต่พี่ภูแค่ส่งสายตาเหนื่อยหน่ายกลับมาแล้วเมินผมไป

“เดี๋ยวก็เจอ” เขาบอกภามแบบนั้น “พอถึงเวลาเดี๋ยวมันก็มาอยู่ตรงหน้าเอง”

มือที่กอดเอวผมไว้กระชับแน่นกว่าเดิมราวกับจะย้ำให้ผมฟังด้วยอีกคน ในขณะที่ภามทำเพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ มาให้ ก่อนจะพยักหน้า

“แต่ก่อนหน้านั้นต้องตั้งใจรักษาก่อน เข้าใจหรือเปล่า” พี่ภูพูดในสิ่งที่ตรงกับใจผมพอดี จริงๆ ผมก็อยากหาเวลาพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถึงภามจะไม่ได้ต่อต้านอาวิล แต่ท่านก็มาบอกอยู่ว่าเขาไม่ได้เต็มใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่จะแค่รับฟังแล้วตอบแบบสั้นๆ มากกว่า หรือบางทีก็มีสิ่งที่ใช้มือสื่อสารออกมาได้ไม่หมด เพราะงั้นเลยยังน่าเป็นห่วงอยู่พอควร

“ครับ” ภามพยักหน้า “ผมจะพยายาม”

“เออภาม ถ้ามึงรู้สึกดีขึ้นแล้วไว้ไปเที่ยวไทยกับกูนะ” ผมตาเป็นประกายทันทีเมื่อนึกอะไรดีๆ ได้ ยิ่งเมื่อเห็นภามดูสนใจก็ยิ่งคันปากอยากพูด “บ้านกูอยู่เหนือ จ๋า…หมายถึงแม่กูมีไร่ส้มอยู่ด้วย บรรยากาศดีมากๆ กูว่ามึงต้องชอบ”

ภามพยักหน้าหงึกหงักรับคำอย่างรวดเร็ว ผมเลยแอบยิ้มกับตัวเอง ต้องขอบคุณความขี้เสือก…ไม่ดิ…ความช่างสังเกตของตัวเองที่ทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่น่าเห็น…

หลังจากได้เข้าไปนอนอยู่ในห้องภามมาหลายสัปดาห์ ผมสังเกตเห็นว่าก่อนนอนเขามักจะมีกิจวัตรประจำวันอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องทำตลอด สิ่งนั้นก็คือการเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องเพื่อดูรายการท่องเที่ยว ตอนแรกผมคิดว่าเขาแค่หาอะไรทำฆ่าเวลา แต่เมื่อสังเกตแล้วถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวดูรายการแบบเดียวกันแทบทุกวัน อีกทั้งยังมีการค้นหาข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ด้วย

“มึงอยากไปเที่ยวใช่ไหม”

“ผมชอบสถานที่สวยๆ” เขาตอบ “บางที่…แค่เห็นรูปก็รู้สึกดีแล้ว”

“แค่บอกพ่อหรือพี่มึงก็ไปได้สบายๆ แล้ว” ผมบอกก่อนจะเบะปาก ถ้าเป็นตัวเองนะ…นอกจากป๋าจะไม่ให้ไปคนเดียวแล้ว จ๋ายังจะไล่ให้ไปหาเงินเองด้วยเถอะ

“ไม่…” ภามส่ายหน้า เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ดูไม่ชิน เลยต้องใช้เวลาสักพักกว่าคำพูดจะหลุดออกมาได้ “ผมไม่ได้อยากไป แค่รู้สึกว่ามันสวยดี”

แบบนั้นมันก็เรียกว่าชอบไง…

“ลองหาเป้าหมายดูไหม” พี่ภูพูดก่อนจะปล่อยแขนออกจากเอวผม เขาจิ๊ปากเบาๆ เหมือนจะหงุดหงิด ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร แต่พอโดนผลักหัวจนตัวเอนตกจากโซฟาก็เข้าใจ…

เขากำลังจะบอกว่าผมเกะกะ! เกลียดดดด

แม้อยากเอาคืน แต่เมื่อเห็นว่าเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงจังเลยได้แต่ขมวดคิ้ว แล้วเอาคางเกยโซฟามองคนทางซ้ายกับคนทางขวาสลับกันเงียบๆ

“เป้า…หมาย?”

“ลองมองหาสิ่งที่อยากทำดู เผื่อทุกอย่างจะดีขึ้น”

“ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นแล้ว”

ผมสบตากับพี่ภูเพื่อสื่อสารกันทางสายตา เป็นอย่างที่ภามว่า…ตอนนี้เขาดูดีขึ้นแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไว้ใจไม่ได้หรอก ถ้าเขาอยู่ตัวคนเดียวแล้วคิดถึงเรื่องแย่ๆ อีก อารมณ์ตอนนั้นอาจทำให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ เพราะงั้นพี่ภูถึงอยากให้เขามองหาเป้าหมายของตัวเองเอาไว้ จะได้นึกถึงเรื่องอื่นๆ

“กูมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง…” ผมเริ่มพูดเรื่องของตัวเองขึ้นมา พอเห็นว่าคนฟังมองมาอย่างสงสัยก็ขยับยิ้มให้ “เพราะอยากเปิดโรงเรียนสอนดนตรีก็เลยเลือกเรียนดุริยางค์ แต่กูกลับไม่ใช่คนที่อยากสอนหรืออยากทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น อารมณ์ประมาณว่าอยากเปิดโรงเรียนเพราะมันดูเท่อะไรแบบนี้ ดังนั้นสำหรับตอนเด็กๆ มันเลยเป็นแค่ความฝันที่เป็นไปได้ยาก นึกออกไหม”

“นั่นมันเป็นเรื่องดีเหรอ” ภามถามหน้าตาจริงจัง

“ดีไม่ดีไม่รู้ รู้แค่อยากทำแล้วก็ตั้งมันเป็นความฝันมาโดยตลอด พอโตขึ้นมาถึงได้รู้ว่าอนาคตกับความฝันมันไม่เหมือนกัน…ความฝันก็เป็นแค่ความฝัน ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต เหมือนกับการที่กูฝันอยากเปิดโรงเรียนเลยเลือกเรียนสายนี้ ในขณะที่อนาคตหรือเป้าหมายคือความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่กับมันไปตลอด…ซึ่งจนถึงตอนนี้กูก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำอะไร” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าปวดตับของพี่ภู “แต่คิดว่ามีคำตอบอยู่แล้วล่ะ แค่ยังไม่ได้บอกใคร”

“อะไรเหรอ”

“ไม่บอก” ผมยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเห็นสีหน้าขัดใจของทั้งพี่ทั้งน้อง “มึงเองก็ลองมองหาดูสิ ความฝัน เป้าหมาย สิ่งที่อยากทำ จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ภามขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนคนคิดหนัก ผ่านไปสักพักเขาก็เงยหน้ามองพี่ภูสลับกับผมด้วยดวงตาที่ดูเปล่งประกายกว่าทุกครั้ง

“ผมอยาก…ไปเที่ยวบ้านเก้า”

“อื้อ ได้อยู่แล้ว” ผมรับคำด้วยรอยยิ้ม

“อยากไป…ว่ายน้ำ”

“หมดหน้าหนาวแล้วจะพาไป” พี่ภูตอบ

“ไปญี่ปุ่นด้วย” ภามยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงญี่ปุ่น จะว่าไปดูเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่เขาชอบค้นหาจะอยู่ในญี่ปุ่นเยอะเหมือนกัน

“ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ไปด้วยกัน” พี่ชายสายเปย์ตอบอย่างรวดเร็ว แถมยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กตารางงานอีกต่างหาก

“ผมอยากตามหาจุดหมายของตัวเอง”

“…”

“อยากตามหา…สิ่งที่เป็นของตัวเอง” ภามก้มลงมองมือทั้งสองแล้วกำมันไว้แน่น “อยาก…ลองดู”

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนบิดแก้มโดยไม่ทันรู้ตัว และเมื่อเงยหน้ามองถึงได้เห็นสายตาของคนหน้าดุที่กำลังบอกว่าให้พูดอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้

“ตัวเองพูดไม่เก่งเอง จะใช้งานแล้วยังทำร้ายร่างกายกันอีก” บ่นอุบอิบกับตัวเองเบาๆ พอโดนหรี่ตามองผมก็ยอมหันไปหาภามแต่โดยดี “ทำได้แน่”

“…”

“ถ้าพยายามและตั้งใจ สักวันหนึ่งมันจะเป็นของเรา” เหมือนกับที่ผมพยายามมาตลอด…

“ถ้าอดีตมันแย่ก็ไม่ต้องนึกถึงอะไรทั้งนั้น แค่มองหาอนาคตของตัวเองให้เจอก็พอ” พี่ภูพูดต่อจากผมอย่างรู้งาน ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวภามเบาๆ ซึ่งเขาก็พยักหน้าและส่งยิ้มกลับมาให้

“ครับ”

“มาเกี่ยวก้อยกันก่อน” ผมยื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้าคนที่กำลังทำหน้างง “ต่อไปรู้สึกแย่ตอนไหน สั่นกระดิ่งเรียกกูหรือพี่ภูทันทีเลยโอเคไหม”

“สั่นกระดิ่ง?”

“เปรียบเปรยๆ” อะไรวะ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

“สั่นเรียกกระต่ายโง่ไปคนเดียว สำหรับพี่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยโทร. มาก็พอ” พี่ภูหันไปบอกภามโดยจงใจทำเป็นไม่สนใจผมที่ทำหน้าบึ้งอยู่ด้านล่าง

“เก้าเป็น…กระต่ายโง่”

“พอเริ่มพูดรัวได้แล้วเอาใหญ่เลยนะมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษคนที่เริ่มพูดไม่ติดขัดเหมือนตอนแรก แต่เจ้าตัวกลับส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดีตอบกลับมา เล่นเอาจะเคืองก็เคืองไม่ลง ผมได้แต่สบตากับพี่ภู ก่อนเราจะยิ้มออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นภามดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

จนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ภามเคยเป็นมันไม่สำคัญเลยสักนิด ไม่ว่าจะเคยก้าวร้าวแค่ไหน อาการของเขาจะเป็นยังไง เขาจะคิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง ผมไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อย สำหรับครอบครัวของพี่ภูรวมถึงผม…เราขอแค่ภามยังอยู่ตรงนี้และมีความสุขก็พอ…

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ภามพูดได้ไม่ใช่แค่เพราะผมหรือเพราะเขาได้ระบาย แต่เป็นเพราะความพยายามทีละเล็กทีละน้อยของคนในครอบครัวที่สั่งสมมาตลอดหลายปี…

ต่อให้อาการของเขาจะยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ถ้าเราช่วยกัน ค่อยๆ ประคับประคองเขาไปเรื่อยๆ…สักวันหนึ่งภามจะต้องหายดีและพบเจอกับความสุขที่แท้จริงอย่างแน่นอน

 

-----------------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2017 19:47:28
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 14-10-2017 20:15:19
เก้าก็ยังคงเป็นซูเปอร์ฮีโร่กระต่าย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-10-2017 20:21:56
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-10-2017 20:42:25
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 14-10-2017 21:17:25
ชอบกระต่าย แรร์ตัวนี้จริงๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-10-2017 21:40:41
สู้ ๆ หลานภาม  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-10-2017 22:15:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 14-10-2017 22:16:02
อ่านในเด็กดีแล้วมาในเล้าอีกที  :mew1: :mew1: :mew1: 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-10-2017 22:36:09
น้ำตาซึม  ดีใจอ่ะ ดีใจที่ภามเปิดใจ พูดความรู้สึกออกมา


เก้าเก่งมากๆเลยลูกแม่
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 14-10-2017 23:17:19
หลงภาม
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 14-10-2017 23:17:51
อยากกอดภามแน่นๆๆเลยย
ในที่สุดก้มีวันนี้ ภามยอกพูดแล้ว
กระต่ายตัวนี้สารพัดประโยชน์จริงๆเลยย
พี่ภูต้องเก็บไว้ดีๆแล้ว ของแรร์ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 14-10-2017 23:24:38
ภามพูดแล้วว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 15-10-2017 05:17:50
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-10-2017 08:55:58
ภามดีขึ้นแล้ว ดีใจมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 15-10-2017 10:53:09
กอดภาม :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-10-2017 11:54:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-10-2017 12:42:48
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-10-2017 13:52:30
ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 15-10-2017 16:10:24
พึ่งได้อ่านเรื่องนี้ ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 15-10-2017 20:49:03
 :z10:ไม่นะ ไรท์คะ สักจูบก็ยังดี เติมความชุ่มชื่นให้คนอ่านหน่อย ลุ้นเหลือเกิน ได้แค่จุ๊บเหม่งเอง ต้องจูบบบบบบบบบแล้วค่ะ งานนี้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 15-10-2017 21:58:21
อ่านไป อ่านมา รู้ตัวอีกที อ้าว! น้ำตาไหลว่ะ 555555 ภามแกทำได้เว้ย #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2017 22:43:54
กระต่ายซุปเปอร์ฮีโร่  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 15-10-2017 22:47:13
กลัวใจภาม ไม่รู้ดิอะไรที่มันดูเหมือนจะดีบางทีมันก็ไม่ใช่ อย่าได้มีอะไรมากระทบใจน้องในตอนนี้เล้ย อยากเห็นภามมีความสุขจริงๆ ซะที ขอคู่ให้น้องด้วยนะค้าบบบ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 16-10-2017 00:32:22
อ่านตอนนี้แล้วสุขใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FiRMMiE ที่ 17-10-2017 08:34:01
ทำไมเพิ่งมาเจอเรื่องนี้อ่า
สนุกมากกกกก เก็บไว้ในลิสนิยายสุดที่รักอีกเรื่อง
จริง ๆ สนุก ชอบตั้งแต่อ่านอินโทรเลย
ชอบนังเก้ามาก ทำไมเป็นน่าหมั่นไส้และน่ารักได้ขนาดนี้
พี่ภูก็อีก ติดบ่วงแล้วค่ะคุณขาาาา สนุกมากกก ๆ
เดี๋ยวระหว่างรออัพ จะไปอ่านโซกีล์พราง ๆ
รู้สึกเสียดายที่เพิ่งมาเจอ

ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะ สนุกมาก ๆ
ทั้งเนื้อหา การเขียน ดีมาก ๆ เลย
 :pig4: :L1: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 19-10-2017 22:11:43
มาบ่อยๆๆกว่านี้ได้ไหม    :ling1:

รอออออออออต่อออออออไปปปปปปป  :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 22-10-2017 18:49:39

-33-

 

นับจากวันที่ผมมาหาพี่ภูที่อังกฤษเป็นวันแรก นี่ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว สองเดือน…ที่ผมยังไม่ได้ไปเที่ยวกับเขาสักทีเพราะโดนขัดตลอด! อย่างเขาสัญญาว่าจะพาไปเที่ยวแต่ก็มีเรื่องให้ออกจากบ้านแทบทุกวัน ขนาดวันอาทิตย์ที่ผมกับภามช่วยกันกักตัวไว้ให้หยุด เขายังจำเป็นต้องออกไปเกือบตลอด บางทีที่อยู่บ้าน พอมองเห็นสีหน้าอ่อนล้าของเขาแล้วก็เป็นผมที่หาเรื่องไม่ไปด้วยตัวเองอีก

เซ็งมันก็เซ็ง…แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นห่วงมากกว่า

หลังจากวันที่ผมกับพี่ภูแล้วก็ภามคุยกันจนเขากลับมาพูดอีกครั้ง ภามก็ดูร่าเริงกว่าเดิมมาก เขากินข้าวเยอะขึ้น ยิ้มมากขึ้น รวมถึงพูดคุยกับคนอื่นบ่อยกว่าเดิม ทำเอาพ่อออสตินกับแม่เฮเลนเกือบร้องไห้ตอนที่ได้รู้ และยิ่งได้เห็นว่าพ่อกับแม่รักเขามากขนาดไหน ภามก็ยิ่งร่าเริงขึ้นเรื่อยๆ เขาให้ความร่วมมือกับอาวิลเป็นอย่างดีจนท่านบอกว่าภามจะต้องหายได้แน่ๆ

เรื่องเดียวที่พวกเราเป็นห่วงคือเรื่องที่ภามชอบขึ้นไปนั่งดูภาพแม่แท้ๆ ของเขาบ่อยๆ ตอนแรกพ่อออสตินไม่อยากให้เขาขึ้นไปเพราะกลัวว่าภามจะนึกถึงอะไรแย่ๆ อีก แต่พอเขารับปากต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่มีทางคิดสั้นอีกเป็นอันขาดเราเลยต้องยอม แต่ก็มีผมตามขึ้นไปนั่งเป็นเพื่อนทุกครั้ง

“ถึงตอนนี้เวลาหลับตาผมก็ยังคิดถึงแม่…” ภามหลับตาลงในขณะที่แตะภาพวาด และดูเหมือนเขาจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ถึงได้หันมายิ้มให้แล้วพูดต่อ “แต่เป็นภาพแม่กำลังนั่งวาดภาพอย่างมีความสุข”

“ท่านก็คงมีความสุขที่เห็นมึงมีความสุข”

“อือ”

พี่ภูบอกผมว่า ภาพวาดในห้องนี้ทั้งหมดคือภาพที่แม่แท้ๆ ของเขาวาดไว้เมื่อนานมาแล้ว ไม่ใช่ภาพวาดของพี่ภูแบบที่ผมคิด ส่วนภาพแม่เขาภาพนั้นก็เป็นภาพเหมือนที่จ้างศิลปินคนดังวาด เพราะงั้นมันถึงได้ดูสมบูรณ์แบบขนาดนั้น แค่ได้ยินเขาเล่า ผมก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมงานอดิเรกของพี่ภูถึงได้เป็นการวาดภาพ ถึงจะไม่ได้เห็นเขาวาดมากว่าสองปีแล้ว แต่ผมก็ยังจำวันที่เขาจัดบูธที่มหา’ลัยได้เป็นอย่างดี บางทีพี่ภูคงจะอยากวาดภาพเหมือนคุณแม่…

“ไปเถอะ” ผมตบไหล่ภามเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่าถึงเวลาที่เราจะต้องลงไปกินข้าวแล้ว ซึ่งภามก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาหันไปมองภาพวาดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตามผมออกมาข้างนอก

วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพ่อออสตินเลยขอท่านไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ท่านดูยินดีมากและบอกว่าจะรอกินข้าวกลางวันพร้อมผมกับภาม ตอนที่เราเดินไปถึงห้องอาหารผมก็เห็นพ่อนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอป้าเจนเอาข้าวมาให้เรียบร้อยท่านก็แยกออกไปพร้อมบอกว่าจะไปช่วยแม่เฮเลนจัดหนังสือด้านบน ผมรู้ดีว่าพวกท่านทั้งคู่คงอยากให้ผมคุยธุระได้สะดวกถึงทำแบบนั้น ซึ่งก็คงต้องขอบคุณ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้จะคุยอะไรที่ซีเรียสมากนักหรอก

“ผมอยากจะปรึกษาพ่อเรื่องงานครับ”

“ได้สิ” ท่านยิ้มใจดีแล้วพยักหน้ารับ ผมเลยรีบจัดการกินข้าวของตัวเองให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็รอจนท่านทานเสร็จถึงเริ่มพูดต่อ

“ถ้าผมอยากมาทำงานกับพี่ภู พ่อจะว่าอะไรไหมครับ”

พ่อออสตินทำหน้าตาเหมือนจะแปลกใจ แม้แต่ภามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและยังกินข้าวไม่เสร็จก็มองมาที่ผมด้วยความแปลกใจเช่นเดียวกัน

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“จะว่ายังไงดี” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดไม่ออกว่าควรจะพูดยังไง “ผมเพิ่งเรียนจบ แล้วก็ไม่ได้เรียนมาทางสายงานนี้เลยด้วย ถึงจะอยากทำ แต่จริงๆ ก็กังวลอยู่เหมือนกันครับ”

“แล้วอยากทำเพราะอะไรล่ะ”

ผมกัดริมฝีปากก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่เมื่อได้สบเข้ากับแววตาใจดีของพ่อออสตินก็ต้องถอนหายใจยาว แล้วผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคำตอบสวยหรูไม่ได้ช่วยอะไร สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากมายจนคุมคนได้เป็นพัน สิ่งที่ควรพูดคือความจริงเท่านั้น

“เพราะพี่ภูครับ”

“ตรงดี” พ่อออสตินหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบ “พ่อรู้มาว่าบ้านเราทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรแล้วก็ไร่ผลไม้ด้วยไม่ใช่หรือไง มีลูกชายคนเดียวแบบนี้จะทำยังไงล่ะ”

“เรื่องนั้นผมวางแผนไว้แล้วครับ” ที่คิดมากมาหลายวันก็เพราะกำลังนึกหาคำตอบของเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่อยากทำอะไรผมได้คำตอบมาสักพักแล้ว “จริงๆ พ่อแม่ผมก็ยังอายุไม่เยอะเท่าไหร่ การทำงานในเวลานี้ก็ค่อนข้างสบายอยู่แล้ว ผมคิดว่าอยากจะทำงานกับพี่ภูก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควรแล้วค่อยกลับไปรับช่วงต่อ”

“หืม…”

“ผมอยากทำอะไรหลายๆ อย่างครับ นอกจากจะทำงานกับพี่ภูแล้วก็อยากจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีตามความฝันด้วย ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าคงมีเวลาไม่มากนัก ผมเลยกะจะหาที่หาทางไว้ก่อน เอาจนมีเวลาจริงๆ แล้วค่อยจัดการรายละเอียดอื่นๆ อย่างการชวนเพื่อนที่อยากทำแบบเดียวกันมาช่วย”

“รู้จักคิดวางแผนมันก็เป็นเรื่องดี แต่รู้ใช่ไหมว่ามันไม่มีทางเป็นแบบที่เราต้องการได้ทุกอย่าง” พ่อออสตินลุกขึ้นยืน ท่านพยักหน้าให้ภามลุกตาม ก่อนจะเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆ “ไปแต่งตัวเถอะ เลือกเสื้อผ้าหนาๆ หน่อย วันนี้หิมะตกหนัก”

ผมไม่คิดถามว่าท่านจะพาไปไหน แต่เลือกดึงแขนภามให้เดินตามขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกันแทน หลังจากลงมาข้างล่างก็พบว่าพ่อยืนรออยู่แล้ว ท่านยิ้มบางให้ผมก่อนจะเดินนำออกไปนอกบ้าน ปล่อยให้ผมกับภามมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ต้องงุนงงหนักกว่าเดิม…เมื่อรถมาจอดอยู่หน้าสถานที่คุ้นเคยซึ่งผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง

บริษัทพี่ภู…

การมาเยือนบริษัทในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง เพียงแค่เดินเข้าไปด้านในผมกับภามก็ได้รับการแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมจากพนักงานแทบทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำหน้าพวกเราได้ว่าเป็นใคร หรือเพราะมีพ่อออสตินเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่ถ้าให้เดาก็คงทั้งสองอย่าง

“ภูอยู่หรือเปล่า” พ่อถามคุณเลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องพี่ภู

“อยู่ค่ะ แต่กำลังจะเข้าประชุม…”

“วันนี้เธอไม่ต้องเข้าไปกับภู”

“ค่ะ”

ผมเริ่มมองเห็นเค้าลางของความหายนะลอยอยู่ไกลๆ และเมื่อพ่อออสตินเปิดประตูนำเข้าไปในห้องของพี่ภู ทุกสิ่งก็ชัดเจน

“ภู เอาน้องเข้าไปประชุมด้วยนะ”

คนที่กำลังจัดการเอกสารมากมายบนโต๊ะเงยหน้ามองด้วยสีหน้างงๆ ไม่รู้ว่างงคำเรียกแสดงความเอ็นดูสุดๆ ของพ่อหรืองงที่เรามากันครบทีม แต่ก่อนที่พี่ภูจะพูดอะไร ผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน…

“ทำไมยังไม่กินข้าว” ผมก้าวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะก้มมองกล่องข้าวที่ตัวเองทำให้เขาบนโต๊ะนิ่งๆ

ทุกๆ วันผมมักจะทำอาหารใส่กล่องไว้ให้พี่ภูเอาไปกินตอนทำงานอย่างสม่ำเสมอ ผมทำแบบนี้มาตั้งแต่วันที่เราตกลงกัน จนทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ทุกครั้งพี่ภูจะกลับมาพร้อมกล่องข้าวที่ว่างเปล่า แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขากินจนหมดจริงๆ หรือเปล่า มาเห็นแบบนี้แล้วก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้

“กูรีบก็เลยยังไม่ได้กิน” คนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แตะคางผมเบาๆ ให้หันไปมองเขา พอเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวไม่พอใจของผม คนหน้าดุก็คลี่ยิ้มบาง “กินหมดทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมถอนหายใจโล่งอก เกือบได้ฟาดประธานบริษัทแล้วไง

“แล้วมาที่นี่กันทำไม” คราวนี้พี่ภูวางมือลงบนหัวผม ก่อนจะหันไปถามพ่อออสตินกับภามที่ยืนกอดอกทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ไม่ไกล

“ก็อย่างที่บอก พาน้องเข้าประชุมหน่อย” พ่อยืนยันคำพูดเดิมโดยไม่ถามผมสักคำ

“จั๊กจี้ไหมวะ โดนผู้ใหญ่เรียกแทนตัวเองเหมือนลูกสะใภ้เนี่ย” ได้ยินเสียงกระซิบถามของพี่ภูแล้วผมก็ส่ายหัวดิก

“ไม่ใช่ก็เกือบใช่แล้วไง” ผมไม่ซีเรียสหรอกว่าจะเรียกยังไง บางทีได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนท่านเอ็นดูเราดี แต่ดูท่าคนข้างๆ จะไม่ได้คิดแบบนั้น เขาส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะโคลงหัวผมไปมาด้วยความหมั่นไส้

“ทำไมถึงให้พาเข้าไป”

“ถ้าน้องอยากจะทำงานกับภูจริงๆ พ่อก็ไม่ว่า แต่พ่ออยากให้น้องมั่นใจเสียก่อนว่าตัวเองอยากทำจริงๆ” พอตอบคำถามของพี่ภูเสร็จแล้วท่านก็หันมามองผม “งานบางงานไม่จำเป็นต้องเรียนจบตรงสายก็ทำได้ จะเรียนเพิ่มหรือไม่เรียนเพิ่มก็อยู่ที่ความคิดและการตัดสินใจของตัวเอง ถ้าเป็นคนมีความสามารถและขยัน ต่อให้ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนก็ยังประสบความสำเร็จได้”

พอได้เข้าใจเจตนาของพ่อออสติน ผมก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณท่าน ถึงผมจะคิดวางแผนและไม่ลังเลกับคำตอบของตัวเอง แต่ก็ยังกังวลและไม่มั่นใจอยู่พอสมควร อย่างที่พ่อบอก…เรื่องบางเรื่องมันไม่สามารถเป็นไปตามที่เราคิดได้ทุกอย่าง ผมเองก็เจอกับเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายมาแล้วมากมาย ทุกสิ่งย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงและผิดพลาดได้ เพราะอย่างนั้นพ่อถึงอยากให้ผมมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง

“พ่อจะพาภามไปเดินเล่นในบริษัท ภูดูแลน้องด้วยล่ะ” จบคำ ท่านก็หันหลังเดินออกไปกับภามโดยทิ้งผมไว้ให้อยู่กับพี่ภูสองคน

ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูอาจจะถามว่าไปคุยอะไรกับพ่อมา หรือไม่ก็รีบร้อนไปประชุมโดยไม่สนใจกันเพราะใกล้เวลาแล้ว แต่เขากลับยิ้มบางก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆ

“ได้คำตอบแล้วเหรอ”

ผมมองพี่ภูนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง มองเพื่อย้ำคำถามของเขาในใจตัวเองและพยายามค้นหาคำตอบ แต่ไม่ว่าจะถามอีกสักกี่ครั้ง คำตอบของผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม

“ครับ”

“แล้วถ้าไปลองดูแล้วไม่ชอบจะทำยังไง”

“ผมคงยึดติดกับสิ่งที่ชอบแค่อย่างเดียวไม่ได้…” ผมยิ้มให้พี่ภู ก่อนจะดึงมือเขามาจับไว้ “มันคงไม่มีใครสมหวังและได้ทำแต่สิ่งที่ต้องการไปหมดทุกอย่าง…พี่เองก็คงไม่ได้ชอบงานนี้นัก แต่จำเป็นต้องทำใช่ไหม”

“อืม”

“ถ้าผมมีสิ่งที่ชอบอยู่สิบอย่างแล้วเลือกได้แค่อย่างเดียว ต่อให้อย่างอื่นมันน่าดึงดูดมากขนาดไหน…ผมก็จะเลือกพี่”

แม้จะได้เจอกับสิ่งที่อยากทำในอนาคต หรือจะได้เจอกับอะไรที่สนใจ ถึงอย่างนั้นผมก็จะไม่มีวันเสียใจที่เลือกทำแบบนี้เป็นอันขาด เพราะอย่างน้อย…ตรงนี้ก็ยังมีเขาอยู่

“งั้นเหรอ” คนหน้าดุยิ้มน้อยๆ และบีบมือผมกลับ “งั้นก็ทดลองงานดูก่อนแล้วกัน”

“ครับผม”

“ขี้โกงนะมึงเนี่ย…ข้ามขั้นฉิบหาย”

“แน่นอนดิ นี่ใคร…คุณอชิรานะครับผม” ผมว่าก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ อย่างอารมณ์ดี จนโดนผลักหัวไปหนึ่งที

“เอาเอกสารบนโต๊ะไปอ่านรายละเอียดก่อน ยังพอเหลือเวลา” พี่ภูชี้ไปที่เอกสารบนโต๊ะซึ่งวางเรียงอยู่เป็นตั้ง “เดี๋ยวกูให้คนเอาสูทมาให้”

“เอาแค่สูทตัวนอกพอนะพี่”

“ทำไม”

“ผมเตรียมตัวมาแล้ว” ว่าแล้วผมก็ถอดเสื้อโคตที่ใส่อยู่ออก และนั่นทำให้พี่ภูต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ”

ผมก้มลงมองสภาพตัวเองก่อนจะส่ายหัว จริงๆ ที่ใส่เสื้อเชิ้ตมาก็เพราะผมตั้งใจใส่ให้ดูเหมาะสมเวลามาที่บริษัทของเขาต่างหาก ครั้งก่อนที่มากับภามยังไม่ได้ไปซื้อเสื้อผ้าเลยแต่งตัวธรรมดา แต่พอได้ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าเมื่อเดือนก่อนแล้ว ผมก็คิดมาตลอดว่าถ้าได้มาบริษัทพี่ภูอีกต้องแต่งตัวให้ดูดีหน่อย

“พี่เคยบอกผมว่าการแต่งตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ” จำได้ว่าตอนที่โดนเขาตำหนิเรื่องนี้ผมรู้สึกแย่มาก เพราะงั้นผมจะไม่ยอมให้มันเกิดซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาด

“ดีแล้ว” คนพูดพยักหน้าพอใจ เขาลูบหัวผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปกดโทรศัพท์ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบคว้าเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน

การทำงานไม่ควรเกิดข้อผิดพลาด และโดยส่วนตัวผมก็ไม่ชอบให้อะไรผิดไปจากที่คิดอยู่แล้วด้วย ถึงจะไม่เคยทำงานหรือศึกษาเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็คิดว่าไม่น่าเกินความสามารถ อย่างน้อยก็ต้องอ่านให้เข้าใจและฟังให้รู้เรื่องให้ได้

“ไปกันเถอะ”

“พี่ภู…” ผมดึงแขนคนที่เดินอยู่ข้างหน้าไว้ พอเขาหันมามองก็ทำหน้าตาเคร่งเครียดใส่ “ผมก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองเป็นคนเก่งมาก แต่จะให้เข้าใจในเวลาสิบนาทีมันออกจะยอดมนุษย์เกินไปหน่อย พี่ช่วยบอกทีว่าผมควรทำยังไง”

พี่ภูหัวเราะออกมาเบาๆ เขาขำโดยไม่สนใจหน้าตาจริงจังและจริงใจของผมเลยสักนิด อยากจะถามเหลือเกินว่าตลกอะไร นี่ผมจริงจังมากเลยนะ

“ไม่ได้กะจะให้เข้าไปทำอะไรจริงจังตั้งแต่วันแรกอยู่แล้ว ให้เข้าไปดูการทำงานเฉยๆ” เขาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงเละเทะ เสร็จแล้วก็เอามือลูบๆ จัดทรงให้ใหม่ ราวกับที่ทำไปตอนแรกเพื่อความสะใจล้วนๆ “ประชุมวันนี้ไม่ค่อยมีเรื่องเครียด กูไม่ต้องมีเลขาฯ ก็จัดการเองได้ แต่ถ้ามึงเข้าไปแล้วก็คอยจดรายละเอียดสำคัญต่างๆ ไว้แล้วกัน”

พี่ภูพาผมเดินออกมาจากห้อง พอสบตาคุณเลขาฯ ด้านนอกแล้วเธอก็ส่งเสื้อสูทมาให้ผมอย่างรู้งาน และยังส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ด้วย

“เครียดมากเลยเหรอ” คนข้างๆ กระซิบถาม

“พอควรเลยพี่ ผมไม่ชอบเวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจเลย” ผมตอบกลับไปตามความจริง “แต่ก็เข้าใจดีว่ามันต้องมีบ้าง ผมจะพยายามให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”

“มึงโตขึ้นนะ”

“หือ…” ผมเงยหน้ามองคนพูดด้วยความงุนงงจนเผลอหยุดเดินไปชั่วขณะ ในขณะที่พี่ภูแค่หันมามองนิ่งๆ แล้วดึงแขนให้เดินต่อ

“จริงๆ ก็รู้สึกตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันแล้ว แต่เพิ่งนึกออก”

“ผมดูเท่ขึ้นใช่ไหม”

“แต่ก็ยังเป็นกระต่ายบ้าเหมือนเดิม”

“เดี๋ยวๆ” ผมเกือบได้หันไปแยกเขี้ยวใส่พี่ภู ถ้าไม่ใช่เพราะเราเดินมาถึงหน้าห้องประชุมพอดีเสียก่อน เล่นเอาตัดอารมณ์กลับมาเครียดแทบไม่ทัน คนข้างๆ เห็นอย่างนั้นก็ลูบหัวให้กำลังใจผมอีกที ก่อนจะเดินนำเข้าไป

เอาเถอะ…มันคงไม่แย่นักหรอก

 

 

กูขอถอนคำพูด! ไม่แย่ก็เหี้ยแล้ว!

“น้ำ”

ผมรับขวดน้ำจากคนข้างๆ มากระดกทีเดียวครึ่งขวด แต่อารมณ์ที่ปะทุกลับไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง นาทีนี้ใช้คำว่าหัวร้อนยังบรรยายความรู้สึกผมได้ไม่หมด มันหงุดหงิดจนอยากจะกระทืบตัวต้นเหตุสักทีสองที

เรื่องของเรื่องคือ การประชุมที่ผมได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ของพี่ภูไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่นนัก ไอ้ที่เขาบอกว่าวันนี้ไม่มีเรื่องใหญ่โตเท่าไหร่ บอกเลยว่าหลอกลวงสุดๆ ตอนแรกๆ ก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอหมดจากเอกสารที่มีเท่านั้นล่ะ อยู่ๆ พวกบ้านั่นก็โยนเรื่องอะไรไม่รู้ที่ผมไม่ได้อ่านผ่านตามาก่อนเข้าใส่ เล่นเอาผมจดจนมือแทบพันกันเพราะสรุปใจความสำคัญไม่ได้ ดีที่พี่ภูไหวตัวทันบอกว่าผมกำลังฝึกงานในตำแหน่งเลขาฯ เสียก่อนเลยยังไม่โดนอะไรมาก แล้วก็ต้องขอบคุณหน้ากากสังคมที่สวมไว้ ผมเลยไม่เผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดระหว่างที่อยู่ในนั้น ไม่งั้นคงโดนตำหนิเป็นแน่

“ผมถามจริงนะ…พี่ทนตาแก่พวกนั้นได้ไง”

ดูท่าทางมีความรู้กันก็จริง แต่แค่ฟังคำพูดก็รู้ได้ในทันทีว่ามีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าไม่ใช่เพราะตาดุๆ กับน้ำเสียงเย็นชาของพี่ภู ผมเดาว่าพวกที่นั่งฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาคงตีกันตายกลางห้องประชุมไปแล้ว

“ชินแล้ว” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะยักไหล่ “พวกนั้นก็ชอบตีกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นนั่นล่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่จริงจังขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้ความร่วมมือดี”

“เห็นแล้วเอียนมาก”

“ไหวหรือเปล่า”

“ไหวสิ”

“ถ้าไม่ชอบ จะเปลี่ยนใจยังทันนะ”

ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่นิ่งๆ ก่อนจะดึงมือเขาให้นั่งลงบนโซฟาข้างๆ กัน เวลานี้เรากลับมาอยู่ในห้องทำงานของพี่ภูแล้ว ผมเลยกล้าถึงเนื้อถึงตัวเขา

“เห็นแล้วผมยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมอีก”

“…”

“จะปล่อยให้พี่เหนื่อยคนเดียวได้ไง อีกอย่าง…ผมไม่ยอมให้ใครมาดูถูกทิ้งไว้แบบนี้หรอก” ถึงพวกนั้นจะไม่ได้พูดอะไรออกมาชัดๆ แต่ผมก็เห็นสายตาไม่พอใจยามมองมาที่ตัวเอง แล้วก็คิดว่าพี่ภูคงเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาเหมือนกัน “ขนาดพี่ยังผ่านมาได้ แล้วทำไมผมจะผ่านไปไม่ได้”

“นั่นสินะ”

“คนเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางความกดดัน…ถือว่าผมฝึกงานกับพี่ก่อนจะไปรับช่วงต่อจากป๋าไง”

ก็แค่ฝึกงานนานหน่อยเท่านั้นเอง…

“ที่พูดมานี่ถามพ่อแม่ตัวเองยัง” พี่ภูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของผม เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“จ๋าไม่มีปัญหาหรอก เห็นว่าจะไม่ยกอะไรให้ทั้งนั้น อยากได้อะไรต้องขวนขวายเอง”

“แม่มึงสอนดี”

“ใช่มะ”

“แต่มึงดัน…เฮ้อ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะมองผมเหมือนกำลังหนักใจ และดูเหมือนจะไม่ได้แกล้งเล่นๆ ด้วย เพราะหน้าตานี่ดูจริงจังมาก

“พี่พูดดีๆ เดี๋ยวผมตีปาก” ว่าแล้วก็ยกมือทำท่าจะตีเขาจริงๆ ตามที่พูด แต่พี่ภูกลับดึงมือผมเข้าหาแล้วใช้แรงที่มีมากกว่าบังคับให้มือผมตบปากเขาเบาๆ

“เอาสิ”

อย่ามาทำหน้าตายียวนนะ!

“ทำไมเป็นคนนิสัยไม่ดี”

“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” คนที่ดูอารมณ์ดีผิดปกติยิ้มน้อยๆ ไม่หุบ คราวนี้เขายอมดึงมือผมลงและเอาไปกุมไว้เฉยๆ แล้ว

“พี่เป็นอะไร” ผมรีบถามเมื่อรู้สึกเหมือนบรรยากาศดีๆ เมื่อครู่จางหายไป และกลายเป็นความอึดอัดที่เข้ามาแทนที่ ยิ่งยามเห็นคนหน้าดุหุบยิ้มแล้วมองมาด้วยสายตาอ่านยากผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน “พี่ภู…”

“มึงคิดดีๆ นะก้อน อนาคตของตัวเอง…ชีวิตทั้งชีวิต” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ราบเรียบแต่กลับมีอารมณ์มากมายซ่อนอยู่ในนั้น น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมสามารถรับรู้ถึงอารมณ์เหล่านั้นได้ แม้จะไม่ทั้งหมด…แต่ก็รู้ว่าพี่ภูกำลังกังวลใจ

“พี่ฟังผมนะ…” ผมบีบมือพี่ภูเพื่อบ่งบอกให้เขารู้ว่าผมกำลังจริงจัง

“อืม”

“ครอบครัวผมมีกันอยู่สามคน ป๋าเป็นพ่อค้าเพชรที่เวลาไปไหนมักจะมีลูกน้องตัวโตเดินตามเป็นขบวน ส่วนจ๋าเป็นแม่บ้านที่ชอบนั่งดูละครไปวันๆ บ้านหลักของผมที่อยู่เชียงใหม่เป็นบ้านหลังกลางๆ มีไร่ผลไม้กี่ร้อยไร่ไม่รู้เป็นสนามหญ้าเอาไว้เดินเล่น…”

“…”

“ป๋าเคยบอกผมว่าอยากทำอะไรก็ให้ทำ ขอแค่ไม่เดือดร้อนใคร จะอยู่เฉยๆ ให้ป๋าเลี้ยงไปตลอดชีวิตก็ยังได้ ส่วนจ๋าบอกผมว่าให้ไปหาสิ่งที่อยากทำและช่วยให้มีเงินไว้ใช้เลี้ยงดูตัวเองก็พอ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ไปปรึกษาทั้งคู่ในวันปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว “จ๋าบอกผมว่าให้ไปลองผิดลองถูกข้างนอกก่อน ตอนไม่รู้อะไรก็ให้ไปทำพังที่คนอื่น พอรู้เรื่องแล้วค่อยกลับมาช่วยครอบครัว อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ แถมป๋ากับจ๋าก็ยังหนุ่มสาวอยู่ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”

พี่ภูยิ้มตามเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมพูด ผมคิดว่าเขาคงอยากรู้บ้างไม่มากก็น้อยว่าจ๋ากับป๋าเป็นคนแบบไหน พอเห็นเขานิ่งไปผมเลยเงยหน้ามองด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพูดต่อ

“ที่ผมจะสื่อก็คือ…ต่อให้ไม่ทำอะไรผมก็มีกินมีใช้เพราะรวยมาก แต่การอยู่เฉยๆ ตามตูดพี่ไปวันๆ ก็ไม่ใช่นิสัยของผมอีก เพราะงั้นผมถึงอยากช่วยงานอยู่ข้างๆ พี่ในตอนที่ช่วยได้ อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลที่ทำให้อยู่ตรงนี้ต่อ…พี่เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจ”

“เข้าใจก็เลิกกังวลแทนได้แล้ว อย่าลืมว่าผมคือกระต่ายที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลก”

“เหรอ…”

ให้เลิกทำหน้ากังวล แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ทำหน้าเบื่อโลกแทนนะ

“ยิ้มเลยยิ้ม” ผมบอกเขาก่อนจะขยับเข้าใกล้ และเมื่อไม่ได้รับสิ่งที่ร้องขอ…ผมเลยจัดการยื่นมือไปกดมุมปากเขาแล้วบังคับให้ยิ้มด้วยตัวเองอย่างถือสิทธิ์ ทำเอาคนหน้าดุตกใจไปชั่วขณะ เขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะกล้าทำ แต่บอกเลยว่าจุดนี้โดนถีบก็คุ้ม!

คิดสภาพคนเย็นชาที่อยู่ๆ ก็ทำหน้าเหวอโดยที่มีมือผมกดมุมปากบังคับให้ยิ้มอยู่ดิ

โคตรน่ารักกกกก

“ต่อไปพี่ยิ้มแบบนี้บ่อยๆ ดิ” เห็นแล้วใจเต้นแรงมาก

“ยิ้มให้คนอื่นด้วย?” เขาถามทั้งที่ยังไม่ได้ดึงมือผมออก เสียงที่ออกมาเลยอู้อี้จนผมต้องขำยกใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าตัวไปอารมณ์ดีมาจากไหน เขาถึงได้ไม่มีท่าทีจะเข้ามากินหัว ทั้งยังมองผมด้วยแววตาอ่อนโยนอีกต่างหาก

“ให้ผมคนเดียว ห้ามให้คนอื่นเห็น”

“ขี้งก”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ใครจะอยากเอาของดีไปให้คนอื่นเห็นกัน ลำพังแค่หนังหน้าของเขาก็ดึงดูดคนมากพออยู่แล้ว โชคดีที่มีบรรยากาศกดดันกับตาดุๆ แถมมา ไม่งั้นผมคงต้องหาวิธีกำจัดศัตรูจนหัวหมุนแน่

“ทำหน้าตาชั่วร้ายอีกละ” คนพูดดึงมือผมออกจากหน้าตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วเปลี่ยนเป็นเอานิ้วมาจิ้มๆ แก้มผมแทน เหมือนจะบอกว่าตอนนี้ผมก็ยังทำหน้าตาแบบที่เขาว่าอยู่

“ผมทำหน้าแบบไหนอยู่ พี่ทำให้ดูหน่อย” ชักสงสัยจริงจังละว่ามันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง

“อืม…” พี่ภูขมวดคิ้ว ท่าทางดูคิดหนัก “ประมาณนี้มั้ง”

“อุบ…” ผมยกมือปิดปากตัวเองเพื่อไม่ให้หัวเราะในขณะที่มองใบหน้าของพี่ภู อยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดอยู่ที่ถ้าทำคงไม่จบแค่โดนถีบ

ใบหน้าของพี่ภูที่ทำให้ผมหลุดขำจริงๆ ก็เป็นหน้าตานิ่งๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่พอผนวกรวมเข้ากับรอยยิ้มแสยะที่ดูก็รู้ว่าฝืนทำ มันเลยทำให้เขาดูตลกในสายตาผม

“ขำไร” เขากลับมาทำหน้าตาย ก่อนจะเลิกคิ้วถาม

“ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าไปอารมณ์ดีอะไรมา” ไม่ใช่แค่ตามใจและยอมทำตามที่ขอ แต่เขาถึงขั้นยอมทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะทำด้วย

“เห็นมึงเครียดเลยอารมณ์ดีมั้ง”

“ไหงงั้น…เห็นผมเครียดแล้วต้องเครียดตามไม่ใช่หรือไง” ผมทำหน้ายู่แสดงความสงสัยและไม่พอใจไปพร้อมๆ กัน แต่คนมองกลับเห็นเป็นเรื่องตลกแล้วขำกลับมาเสียได้ เออดี…สลับกันขำ

“ล้อเล่น” เขายักไหล่ ก่อนจะยกมือขยี้หัวผมแบบที่ชอบทำบ่อยๆ “คงเพราะได้ฟังคำตอบจากมึงเลยอารมณ์ดีมั้ง”

ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว ผมก็ได้แต่เงียบพูดอะไรไม่ออก ชักรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้พี่ภูจะแสดงออกทางคำพูดเยอะเกินจนรับไม่ทันยังไงไม่รู้

“ทำไมพี่ปากตรงกับใจนักเนี่ย”

“ไม่ดีเหรอ”

ไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่เข้าใจคำว่าเขินไหม อีกอย่าง…มาพูดอะไรแบบนั้นทั้งที่หน้าตายด้าน สุดท้ายคนที่ไม่กล้าสบตาก็เป็นผมคนเดียวไม่ใช่หรือไง

“ผมเปลี่ยนเรื่องดีกว่า”

“อย่างงี้ก็ได้เหรอ” พี่ภูส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคงจะเดินกลับไปทำงานต่อ เห็นอย่างนั้นผมก็รีบดึงมือเขาไว้แล้วกระตุกเบาๆ ให้หันมาสนใจ

“มาสรุปกันก่อน เผื่อเข้าใจไม่ตรงกัน”

“อะไรของมึง” คนหน้าดุขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ยังยอมนั่งลงตำแหน่งเดิม ผมเลยหันไปหาเขาแล้วทำหน้าตาจริงจังสุดขีด

“พี่จะให้เริ่มยังไง”

“งาน?”

“อื้อ”

“ต่อไปก็มาพร้อมกู เดี๋ยวจะให้คนมาสอนงาน มึงก็เรียนรู้จากเขาไปก่อน ผ่านโปรเมื่อไหร่ก็เริ่มงานเมื่อนั้น”

“ดีๆ” ผมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย แต่ไม่รู้ทำไมถึงโดนคนตรงหน้าเขกหัวเสียอย่างนั้น

“ก่อนจะคิดเรื่องมาทำงานกับกูจริงจัง เคลียร์เรื่องพ่อกับแม่ให้ชัวร์ก่อน ต่อให้บอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ แต่จะโอเคหรือไงที่ลูกต้องมาทำงานที่อังกฤษ”

“ผมน่าจะต้องกลับไปคุยให้เรียบร้อยก่อน” ผมตอบตามความจริง ก่อนมาที่นี่ก็ตกลงกับจ๋าไว้ว่าจะมาไม่เกินครึ่งปี แล้วจะเอายังไงค่อยว่ากันต่อ ส่วนป๋า…ฝั่งนั้นคงคิดว่าผมบินมาเที่ยวค้นหาแรงบันดาลใจธรรมดาโดยมีจ๋าช่วยแถให้ แต่ผมบอกจ๋าไว้แล้วว่าถ้ากลับไปจะยอมรับและบอกป๋าตามตรงทุกเรื่อง…ไม่ว่าพี่ภูจะไปด้วยกันหรือไม่ก็ตาม “พี่ภู…”

“หืม”

“ถ้าป๋าไม่โอเคเรื่องของเรา…ผมจะทำยังไงดี”

พี่ภูทำหน้างง เขาทำเหมือนผมกำลังถามคำถามที่ดูไร้สาระและไม่น่าถาม แต่สุดท้ายเมื่อผมจ้องมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน คนหน้าดุก็ถอนหายใจ ก่อนจะจับมือผมไว้

“มึงบอกเองว่า ถ้าจริงจังกับใครให้พาไปเจอพ่อแม่ใช่ไหม”

“อื้อ”

“พ่อแม่กู มึงก็เจอแล้ว…แล้วมึงจะเอาเปรียบกูโดยการไม่พาไปเจอพ่อแม่ตัวเองหรือไง”

“พี่หมายถึง…”

“กูกำลังบอกให้มึงนั่งรออยู่เฉยๆ ก็พอ…” เขายกมือขึ้นลูบหัวผม ก่อนจะมองมาด้วยแววตาอ่อนโยนทว่ามั่นคงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

“…”

“ให้กูได้ทำอะไรเพื่อคนของตัวเองบ้าง”

 

--------------------------------

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-10-2017 19:09:04
ว้าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 22-10-2017 19:21:53
มาแล้วดีใจจจจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 22-10-2017 19:32:01
พี่ภูจะทำเพื่อน้องเก้าของเราบ้างแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-10-2017 19:39:46
พี่ภูควรไปเจอพ่อแม่น้องสักทีค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 22-10-2017 19:41:28
โถถถถถถ น้องน่ารักขนาดนี้ ไม่จุ๊บเป็นรางวัลหน่อยหร๊อออออออออเออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 22-10-2017 20:05:49
น้องเก้าเก่งอยู่แล้ว ลบคำสบประมาทให้ได้เลยเน้อ
พี่ภู จะไปพบคุณป๋าน้องเก้าแล้วเหรอ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก
คุณป๋าหรือจะสู้น้องเก้า แถมยังมีจ๋าคอยช่วยอีกเนาะ
่ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-10-2017 20:28:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Axis._. ที่ 22-10-2017 20:42:30
พี่ภูกำลังจะได้ไปเจอกับพ่อตาเเล้วหรอเนี่ย  :laugh:  55555 จะเป็นยังไงนะ ลุ้นๆๆ รีบมาต่อน้าาไรท์  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 22-10-2017 22:03:08
โดนปืนจ่อหัวแน่ๆ ป๊าดๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-10-2017 22:25:28
พี่ภูวววววววว หล่อไปอีกกก o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-10-2017 22:55:31
ดีใจจัง ถึงตาพี่ภูเดินหน้าบ้างแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 23-10-2017 00:52:23
เฮือกกกก!!!! เขิลลลล
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 23-10-2017 01:18:40
อึก...อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ อย่างเช่นความเขินและความดีต่อใจ อิจฉาก้อนจัง #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 23-10-2017 02:34:32
เมื่อไรเค้าจะได้สวีทวี๊ดวิ้วกันสักที :z1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 23-10-2017 09:03:47
พี่ภูน่ารัก เจ้ากระต่ายก็น่ารัก

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-10-2017 09:21:24
โอยยย แต่ละประโยค ภูทำอิป้าตัวบิด เขินโว้ยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 23-10-2017 10:10:02
โอยยยยยยยยยย

พี่ภูจะไปเจอป๋ากับจ๋าแล้ววว วววววว อิอิ น่าสนุกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-10-2017 11:46:13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 23-10-2017 18:05:58
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-10-2017 19:58:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 24-10-2017 14:46:48
ดีงามพระรามแปด :katai3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-10-2017 21:56:16
พี่ภูคนดีของน้อง  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Guitar. ที่ 27-10-2017 12:04:10
พี่ภูไปหาพ่อเก้าจะเป็นไงนะ  :hao7: :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 27-10-2017 12:09:20
ไปเจอป๋ากับจ๋าเร็วพี่ภู :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 30-10-2017 00:32:56
มารอ :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[33]==[P.21]== [22/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 30-10-2017 16:46:47


-34-

 

เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ผมกับภามเกาะติดพี่ภูมาทำงานด้วย โดยที่ผมมาฝึกงานกับคุณเลขาฯ ของพ่อออสตินซึ่งช่วยงานพี่ภูอยู่โดยตรง ส่วนภามมาในฐานะตัวแถมที่นั่งกินนอนกินอยู่ในห้องท่านประธานอย่างสบายใจเฉิบ

ถ้าถามว่าสองสัปดาห์นี้ผมได้อะไรบ้าง บอกเลยว่าเยอะมากจนบอกไม่หมด เดินมาแล้วทั่วบริษัท ออกภาคสนามหลักสูตรเร่งรัดก็ทำมาแล้ว จากที่พนักงานดูเกร็งๆ ตอนแรกเพราะเห็นว่าผมไม่ใช่แค่ว่าที่เลขาฯ ธรรมดา ตอนนี้ผมสามารถกอดคอหัวเราะไปกับพวกเขาได้แล้วเรียบร้อย เพราะวิ่งไปช่วยงานมาแล้วแทบทุกแผนก ตอนแรกผมก็เหนื่อย แต่พอนึกได้ว่าพี่ภูต้องเจอแบบนี้ทุกวันก็ทำให้มีแรงขึ้นมา

ไม่ได้…ผมจะไม่ยอมให้ใครมาสบประมาทเด็ดขาด คิดได้แบบนั้นก็เริ่มมีกำลังใจ พอมีกำลังใจแล้วก็เริ่มสนุกกับมัน จนตอนนี้ผมรู้สึกเฉยๆ กับการทำงานทั้งวันไปแล้ว จะว่าเป็นคนค่อนข้างถึกก็คงได้ ขนาดพี่ภูยังแปลกใจมาแล้วตอนที่ได้ยินผมบอกว่าสนุกดี

“ภาม ไม่ไปเตรียมตัวเหรอ” ผมสะกิดคนที่นอนเอนกายอยู่บนโซฟายิกๆ หลังจากเห็นเขานอนอืดมากว่าสองชั่วโมง

“ไม่ไป”

“ทำไมล่ะ”

“ผมจะนอนยาว เมื่อคืนเล่นเกมดึก” ภามตอบ ก่อนจะพลิกตัวนอนหงายให้ผมได้เห็นหน้าชัดๆ ซึ่งดูจากตาปรือๆ แดงก่ำของอีกฝ่ายแล้ว ผมก็พอเข้าใจว่าทำไมอยากนอนต่อขนาดนั้น

“อ่อนแอว่ะ กูก็เล่นกับมึงยังตื่นไหวเลย” เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เมื่อคืนผมกับภามเลยจัดหนักเล่นเกมกันตั้งแต่ห้าทุ่มยันตีสี่ โดยมีพี่ภูนั่งทำงานอยู่ด้วย พอเขาทำงานเสร็จแล้วก็ไล่ให้เราไปนอน ตื่นมาตอนเช้าผมก็ไม่เจอพี่ภูแล้ว ส่วนภามก็นั่งตาแข็งอยู่ข้างๆ เหมือนคนนอนไม่หลับมาทั้งคืน

“พูดมากน่า” ภามทำหน้าบูด “ผมไม่อยากไปเป็นก้างด้วย เก้ารีบไปหาพี่ไป”

“ตอบงี้ค่อยน่าฟังหน่อย” ผมหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะตีตูดภามเป็นการลาแล้วเดินออกมาจากห้อง

นับตั้งแต่วันที่ภามยอมพูด ทุกคนในบ้านก็ดูมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นว่าเขาไม่ค่อยเหม่อแล้วเราก็ยิ่งยิ้มออก อาวิลบอกว่าถ้าไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจนทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆ ภามก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านว่าปัญหาหลักของภามคือเรื่องคุณแม่ และทุกครั้งที่เขาเกิดอาการซึมก็มักจะเป็นเพราะนึกถึงเหตุการณ์เดิม ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก เราต้องค่อยๆ ทำให้เขาเลิกนึกถึงมันไปเอง แม้จะลำบากเพราะเป็นเรื่องฝังใจและเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง แต่การที่เขายอมพูดก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินครึ่งแล้ว

เมื่อวานพี่ภูบอกพวกเราว่าจะพาไปเที่ยว เขาน่าจะอยากให้ภามออกไปเปิดหูเปิดตา รวมถึงอยากจะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับผมด้วย เพราะผ่านมาหลายเดือนแล้วผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวจริงๆ จังๆ เสียที

“ภามล่ะ” คนที่กำลังสวมเสื้อโคตส่งเสียงทักในทันทีที่ผมเดินลงมาข้างล่าง แต่ผมไม่มีอารมณ์ตอบ เพราะตายังจับจ้องคนตัวสูงด้วยความสนใจ

“หูย…”

“มองอะไร” พี่ภูขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองด้วยความสงสัย เขาคงคิดว่าตัวเองดูแปลกประหลาดอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่เลย…

“พี่หล่อมากอะ” ผมตบบ่าเขาอย่างถือวิสาสะแล้วจ้องต่อด้วยความภูมิใจ

ไม่ได้เห็นใส่ชุดไปรเวตมาตั้งนาน…โคตรเท่

“กระต่ายบ้า” คนที่โดนผมจับโน่นจับนี่ไม่หยุดส่ายหน้าหน่าย เขาทำหน้าเหมือนกำลังมองคนบ้าแต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร จวบจนนึกได้ว่าถามอะไรทิ้งไว้นั่นล่ะเขาถึงได้ดึงมือผมไปจับไว้ให้อยู่นิ่งๆ “ภามไปไหน”

“ภามไปไม่ไหวพี่ เมื่อคืนแอบเล่นเกมต่อในโทรศัพท์ ยังไม่ได้นอนเลย หน้าตาตอนนี้อย่างกับศพ” ได้ทีแอบฟ้องหน่อยก็แล้วกัน จะมาว่าผมไม่ได้หรอก สัปดาห์ก่อนผมแอบกินเค้กในตู้เย็นตอนเที่ยงคืนเขายังเอาไปฟ้องพี่ภูเลย เล่นเอาโดนจ้องจะหยิกพุงทั้งวัน…เลวมาก

“งั้นก็รีบไปเถอะ” ว่าแล้วเขาก็จัดการลากแขนผมให้เดินตามไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

ตั้งแต่ที่อาการภามดีขึ้น เราก็ไม่ได้เฝ้าหรือต้องให้คนตามติดเขาเป็นตังเมเหมือนแต่ก่อนอีก ซึ่งเรื่องนี้ภามเป็นคนพูดและขอเอง เพราะเขาไม่อยากทำให้ใครลำบากและไม่ได้ต้องการให้คนมาตาม พอได้ลองให้เจ้าตัวอยู่คนเดียวสักพักแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกผมเลยเริ่มวางใจ ยอมปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องคอยห่วงนัก คุณพี่ชายผู้เป็นห่วงน้องยิ่งกว่าสิ่งใดเองก็โล่งใจตามไปด้วย

“ไปไหนกันดี” ผมหันไปถามคนที่นั่งประจำที่คนขับด้วยความสดใส และดูเหมือนมันจะสดใสมากไปนิด บรรยากาศเดิมๆ อย่างการโดนผลักหัวจนแทบกระแทกกระจกเลยกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่นึกโกรธ เพราะการกระทำของพี่ภูทำให้นึกถึงอดีตเมื่อสองปีก่อนขึ้นมา มีหลายครั้งที่ได้นั่งรถเขาแล้วผมกวนตีน พี่ภูก็มักจะทำแบบนี้เสมอ พอมาอยู่อังกฤษเราก็ไม่ค่อยได้นั่งข้างหน้าคู่กันแล้วเพราะมีคนขับรถ เลยลืมความรู้สึกพวกนี้ไปนาน

เขาเองก็คงคิดเหมือนกัน…ถึงได้มองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มบางแบบนั้น

 

 

ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ผมมองวิวสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น พี่ภูพาขับรถมาไกลมากจนผมไม่แน่ใจว่าเรากำลังจะไปไหนกัน แต่เพราะรู้ว่ามากับใครเลยไม่ได้กังวลใจเท่าไหร่ เวลานี้บอกได้เลยว่าผมสนใจสองข้างทางมากๆ ถึงจะเคยมาอังกฤษแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้มองธรรมชาติรอบตัวอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ไม่แปลกใจเลยที่อังกฤษเป็นเมืองท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆ คน และสำหรับคนที่ไม่เคยมา…เส้นทางที่ผมใช้เดินทางอาจเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวทั้งเส้นทางเลยด้วยซ้ำ

“จริงๆ กูก็ไม่ได้ไปเที่ยวบ่อยนัก” คนที่นั่งเงียบมาตลอดทางพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของเขาจนต้องหันไปหา “นอกจากขับรถไปบริษัทก็แทบไม่ได้ไปไหนมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ขับมาไกลขนาดนี้ด้วยตัวเอง…”

“อย่าบอกนะว่าพี่…”

“เปิดกูเกิลแม็ปส์ให้กูที” เป็นการบอกว่าหลงทางที่หน้าตายที่สุดในโลก เชื่อเถอะว่าไม่มีใครทำได้แบบเขาอีกแล้ว

“ก็ว่าทำไมเงียบกริบ” ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะหัวเราะกับตัวเอง ทำเอาคนหน้าดุหันมามองแรงใส่อย่างรวดเร็ว เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มเข้าโปรแกรมเพื่อหาทิศทางแต่โดยดี

หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายที่พี่ภูต้องการ สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เพียงลงมาจากรถผมก็รู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ของเมือง วิถีชีวิตของคนที่นี่ดูแตกต่างจากคนในเมืองใหญ่อย่างชัดเจน แค่เดินเข้ามาในตัวเมืองก็มองเห็นร้านค้าแบบที่เห็นตามเกมหรือการ์ตูนตั้งขายของอยู่เต็มไปหมด

ผมหันซ้ายหันขวามองรอบด้านด้วยความสนใจ ลืมไปหมดว่ามาที่นี่กับใคร รวมถึงลืมด้วยว่าตอนนี้หิมะตกอยู่และไม่ได้เอาผ้าพันคอลงมาจากรถ รู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนดึงคอเสื้อไว้จากด้านหลัง ก่อนใครอีกคนจะจับให้หันกลับไปหา

“ทำตัวเป็นเด็ก” พี่ภูขมวดคิ้วมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ พอเห็นหน้าเขาแล้วผมก็เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน จนต้องยกมือกุมคอที่ว่างเปล่าของตัวเองไว้ เห็นแบบนั้นแล้วคนหน้าดุก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอาผ้าพันคอที่ผมลืมไว้มาพันคอให้ “วันนี้หิมะไม่ได้ตกหนักก็จริง แต่อย่าลืมว่ามึงไม่ใช่หมีขั้วโลก เป็นแค่กระต่ายอ่อนแอปัญญาอ่อนแล้วยังไม่ยอมดูแลตัวเองอีก”

“โห…ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” ผมเบะปากใส่คนขี้บ่นจนโดนดีดหน้าผากไปหนึ่งที และเพราะอากาศเย็นอยู่แล้วพอโดนดีดมันเลยเจ็บจนน้ำตาซึม แต่คนทำกลับไม่มีทีท่าจะสงสาร เขาเหยียดยิ้มมองผมเหมือนจะสมน้ำหน้า จากนั้นก็เดินนำไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ผมรีบก้าวเท้าไวๆ เพื่อให้สามารถเดินตามคนขายาวข้างหน้าได้ทัน โดยพยายามควบคุมไม่ให้เกิดกิเลสยามมองเห็นร้านขายของกินรอบๆ แต่แล้วเมื่อได้เห็นร้านขนมหวานซึ่งมีป้ายโฆษณาเป็นไอศกรีมชาเขียวแปะอยู่ข้างหน้า ผมก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป

“จะไปไหน” คนรู้ทันคว้าคอเสื้อผมไว้อีกครั้ง เมื่อเห็นผมทำท่าจะวิ่งผ่านหน้าเขาไป

“อยากกินไอติม” ผมชี้ไปที่ร้านเป้าหมายแล้วดึงชายเสื้อพี่ภูยิกๆ ให้เดินตามกันไป แต่เขากลับจับข้อมือผมไว้พร้อมส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะลากให้เดินไปอีกทาง

“อากาศอย่างนี้ยังจะกินไอติมอีก”

“ผมอยากกิน…”

“ไม่”

“ผมอยาก…”

“ไม่”

“ผม…”

“ไม่”

“ครับ” ก้มหน้าก้มตารับคำแล้วตัดใจจากขนมซะดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ผมถอนหายใจยาวด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินตามแรงจูงของคนข้างหน้าต้อยๆ เป็นลูกกระต่ายแสนเชื่อง แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงไหน คนที่เดินนำก็หยุดเท้าแล้วหันมามองหน้าผมด้วยความหงุดหงิด พี่ภูปล่อยมือผมออกก่อนจะเดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ผมได้แต่มองตามงงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกมาจากร้านพร้อมกับอะไรก็ต้องฉีกยิ้มกว้าง

“หิวก็กินนี่ไปก่อน” ว่าแล้วก็ยื่นถุงขนมมาให้ด้วยสีหน้าเฉยชา แต่คนรับอย่างผมยิ้มแก้มปริไปแล้วเรียบร้อย

“ขอบคุณครับ”

คนใจดี…

พี่ภูไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงล้วงกระเป๋าเดินนำไปเหมือนเดิม ในขณะที่ผมทั้งกินทั้งเดินตามหลังเขาไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ยังเดินทันอยู่ แต่พอเริ่มออกจากเขตบ้านเรือนและร้านอาหารกลายเป็นเขตธรรมชาติแล้ว ผมก็เริ่มหันไปสนใจทิวทัศน์รอบกายมากขึ้น กลายเป็นว่าเดินช้าจนห่างจากพี่ภูหลายก้าว ลำบากคนเดินนำที่ต้องก้าวฉับๆ กลับมาลากแขนให้เดินต่อไปอีก

“หยุดกินแล้วเดินก่อน”

“กินหมดแล้ว” ผมบอก ก่อนจะชูถุงขนมที่ว่างเปล่าให้เขาดู แต่พี่ภูกลับหันมามองด้วยแววตาอ่อนอกอ่อนใจ

“กินหรือยัดวะ”

ได้ยินคำที่เหมือนจะด่าแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ผมรีบเอาถุงขนมไปทิ้ง ก่อนจะวิ่งกลับมาเกาะแขนเสื้อเขาเหมือนเดิม ซึ่งคนหน้าดุก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเหลือบมอง ทั้งยังยอมลดความเร็วในการเดินลงเพื่อให้ผมตามทันอีกต่างหาก

“เราจะไปโบสถ์กันเหรอ” ผมหันไปถามเมื่อเริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทาง ห่างออกไปไม่ไกลนักมีโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้และธรรมชาติ ตอนแรกผมไม่มั่นใจนักว่าพี่ภูจะพาไปที่นั่นจริงๆ หรือเปล่า แต่พอเห็นว่านอกจากตัวโบสถ์แล้วก็ไม่มีสิ่งใดอยู่แถวนั้นอีกผมก็มั่นใจ “พี่…ผมเข้าไปได้เหรอ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร มันก็เป็นแค่ความสงสัยเพราะเห็นว่าตัวเองไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกันกับเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเดินเข้าไปโดยไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้จะให้ทำแบบเดิมคงไม่ได้

“ถ้ารู้กาลเทศะก็ไม่มีปัญหาหรอก” เขาบอกแค่นั้น ก่อนจะดึงผมให้เดินตามเข้าไปด้านใน

ตอนแรกผมคิดว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะเจอกับคนจำนวนมากที่มาประกอบพิธีต่างๆ ทางศาสนา แต่ก็ต้องผิดคาดเพราะที่นี่ค่อนข้างเงียบและปลอดคนพอสมควร การตกแต่งก็เป็นแบบง่ายๆ ไม่ได้อลังการอะไรนัก ผมนึกอยากหันไปถามว่าทำไมพี่ภูถึงพามาที่นี่ แต่เมื่อเห็นเขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหลังสุดโดยไม่พูดอะไร ก็เลยต้องเดินตามไปนั่งเงียบๆ พร้อมกับสังเกตรอบกายไปด้วย

“ช่วงค่ำๆ ร้านขายของข้างนอกจะคึกคักกว่านี้ เดี๋ยวจะพาไปเดินเล่น”

ผมหันไปมองพี่ภูอย่างงงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าให้

“ครับ”

คนฟังเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ตอบ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าตามเดิม ผมเห็นพี่ภูหลับตาลงแล้วนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานก็ไม่กล้ากวน ทำได้เพียงนั่งรอเขาอยู่เงียบๆ จนเจ้าตัวลืมตาขึ้นเอง

“พี่ภู ทำไมที่นี่ไม่มีคนเลยล่ะ”

“ยังไม่ใช่เวลา” เขาตอบสั้นๆ แต่แค่นั้นผมก็เข้าใจได้ไม่ยาก ถึงจะไม่ได้นับถือศาสนานี้ แต่ก็พอรู้มาบ้างว่าคนที่เข้ามาประกอบพิธีมักจะมากันเป็นเวลา

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมแตะปลายนิ้วของคนข้างๆ เพื่อเรียกให้เขาหันกลับมาสนใจ ถึงท่าทางภายนอกจะไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนพี่ภูแปลกไปจนอดห่วงไม่ได้

“ไม่เป็นไร” เขาตอบก่อนจะยิ้มนิดๆ เพื่อเสริมความมั่นใจให้ผม “แค่กำลังนึกถึงอดีตน่ะ”

“อดีต?”

“อืม…ตอนที่พ่อกับแม่เลิกกัน แม่เคยพากูมาอยู่ที่นี่ก่อนจะไปไทย เวลามีพิธีก็จะมาเข้าร่วมที่นี่ ตอนแรกที่ขับรถมาก็ขับมาตามความทรงจำเท่าที่จำได้ตอนนั่งมา แต่มันนานไปหน่อยเลยลืมไปหมดแล้ว”

“แล้วเวลามาที่นี่ พี่ทำอะไรบ้างเหรอ” ผมถามต่อด้วยความสนใจ และเมื่อคนหน้าดุเห็นผมจ้องตาแป๋วเขาก็ยิ้มออก

“จำไม่ค่อยได้แล้ว ก็ทำตามพิธีนั่นล่ะ พอโตขึ้นไม่มีเวลาแล้วก็ไม่ได้มาเลย”

“อื้ม…” ผมเม้มปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้เผลอถามเรื่องที่สงสัยออกไป แม้ใจจริงจะอยากถามว่าทำไมเขาถึงพาผมมาที่นี่ก็ตาม ถึงพี่ภูจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ควรจะถาม เขาอาจจะอยากพามาเที่ยวแล้วก็พามาในที่ที่เขารู้จักก็ได้ ไม่รู้ว่าพูดออกไปแล้วจะทำให้เขาคิดว่าผมไม่อยากมาหรือเปล่า

“ที่พามาก็เพราะ…”

“เดี๋ยวๆ” ผมยกมือห้ามไม่ให้พี่ภูพูดต่อ ในขณะที่เขาหันมามองขำๆ เหมือนจะรู้ว่าผมอยากพูดอะไร “พี่อ่านใจได้เหรอ หรืออะไรยังไง”

“ไม่บอก”

“ซะงั้น…”

คนหน้าดุหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เขาหันกลับไปมองลานด้านหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไปด้านนอกโดยไม่อธิบายอะไรสักคำ

“เราจะไปไหนกันเหรอ”

“ไม่บอก”

“กวน…” ละคำข้างหลังไว้ในใจแทบไม่ทันเมื่ออีกคนเบนสายตามาสบ บางทีผมก็เบื่อจริงๆ ที่ตัวเองแพ้เขาไปหมดทุกทาง “เย็นแล้วนะพี่”

พอเห็นเขาเดินไปในเส้นทางที่ไม่ได้กลับเข้าตัวเมืองผมก็ต้องแปลกใจ ตอนที่เราออกมาจากบ้านก็ไม่ใช่เวลาเช้าเท่าไหร่ กว่าจะมาถึงนี่ก็บ่ายแล้ว แถมพี่ภูยังบอกว่าจะพาเดินเมืองตอนค่ำด้วย ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่าวันนี้เราจะกลับถึงบ้านกันกี่โมง

“คงถึงดึกๆ” เขาตอบง่ายๆ ก่อนจะพาเดินต่อ

ทางที่พี่ภูพาผมเดินมาเป็นทางอ้อมไปด้านหลังโบสถ์ เดินมาแค่นิดเดียวก็เจอสุสานแบบอังกฤษซึ่งผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หลังจากด้อมๆ มองๆ ด้วยความสนใจอยู่สักพักก็ถูกคนข้างหน้ากึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตามไปอีก จวบจนมาถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่แทบไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากความว่างเปล่า ผมก็ตาวาวทันที

“โห โคตรดีอะ” ผมเดินนำไปด้านหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองพี่ภูด้วยความชอบใจ “เหมือนพี่รู้เลยว่าผมชอบสถานที่แบบนี้”

เขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่ทำเพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ จากนั้นก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ ผมก่อนจะทอดสายตาไปยังขอบฟ้าซึ่งอยู่ไกลๆ

“ที่พามาเมืองนี้ ก็เพราะอยากให้มึงรู้จักสถานที่ที่มีความสำคัญกับกู” พี่ภูหันหน้ามาหาพร้อมกับยกมือขึ้นวางบนหัวผมแล้วโคลงไปมา “คนสำคัญของกู มึงก็รู้จักหมดแล้ว…ถึงจะอยู่ที่นี่มานานแต่ก็มีแค่ไม่กี่ที่ที่กูรู้สึกว่าสำคัญ เพราะงั้นเลยอยากให้มึงเห็นให้หมด”

สายลมเย็นๆ กับหิมะประปรายทำให้ผมรู้สึกหนาวกายอยู่ไม่น้อย ทว่ามือที่วางอยู่บนหัวกลับส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ลึกไปถึงใจ สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ก้าวเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะเงยหน้ามองด้วยสายตาร้องขอ

“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม”

“อืม”

“ที่พี่เคยบอกว่าผมได้หกคะแนน…ตอนนี้เท่าไหร่แล้วเหรอ”

แม้จะดูเหมือนยึดติดกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยคุยกัน แต่ผมกลับคิดว่าคำเหล่านั้นได้ช่วยตัวเองไว้หลายครั้ง ตอนที่ท้อและเหนื่อยจากการรอ ก็มีเพียงคำพูดเก่าๆ ที่ยังติดอยู่ในหัวสมองของคนจำแม่นไม่ไปไหน มันทำให้ยังมีความอดทนและกำลังใจอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า…ใครอีกคนจะจำได้เหมือนกันหรือเปล่า

“เก้า” คำตอบสั้นๆ ของคนตัวสูงที่กำลังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ทำให้ใจเต้นแรงจนปวดหนึบไปหมด ผมไม่นึกอยากอ้อนวอนให้เขาเพิ่มให้อีกสักคะแนน แต่กลับรู้สึกว่าคำตอบนี้เหนือความคาดหมายไปไกลมาก

ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราไปไกลเกินกว่าเดิมตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันแล้ว แม้จะยังไม่ได้พูดชัดเจน แต่ก็ไม่นึกอยากถามเพราะรู้ดีว่าพี่ภูชอบทำมากกว่าพูด เขาเองก็แสดงออกให้เห็นมาตลอดว่าความรู้สึกของเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเขามองผมที่เป็นตัวเองจริงๆ ไม่ใช่แค่คนที่เข้ามาช่วยน้องชายตัวเองเลยเห็นเป็นน้องอีกคน

“เกือบเต็มแล้วนี่นา”

“หืม” พี่ภูเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนเขาจะส่ายหน้าหน่ายแล้วขยี้หัวผมอย่างแรง “ทีเรื่องแบบนี้ล่ะโง่นัก ไอ้กระต่ายโง่…”

“ผมทำไรผิดเนี่ย”

“อยู่ๆ ก็หวังน้อย บ้าบอ”

ผมได้แต่มองพี่ภูอย่างเอ๋อๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เล่นพูดขึ้นมาลอยๆ แบบนี้ใครจะไปจับใจความได้กันล่ะเนี่ย ไม่มีคีย์เวิร์ดอะไรให้เลยสักนิด…หรือผมนึกไม่ออกเองวะ

ถึงจะเริ่มเกิดความสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ไม่ว่าจะถามยังไงพี่ภูก็ยังไม่ยอมบอก ผมเลยได้แต่ยอมแพ้แล้วหยุดพูดเพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ ในเวลานี้เอาไว้ จนเมื่อรู้สึกตัวและหันไปมองอีกที ผมก็พบว่าเขามองอยู่ก่อนแล้วพร้อมด้วยใบหน้าตายด้านเช่นเดิม

“อะไรเหรอ”

“โง่”

“เอ้า!”

“ไปเถอะ” ว่าแล้วก็ลากผมให้เดินตามกลับไปทางเดิมเสียอย่างนั้น

พี่ภูพาผมเดินกลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้ง แต่บรรยากาศในยามนี้แตกต่างจากตอนที่เรามาถึงราวกับเป็นคนละที่ พอแสงเริ่มหมดไปเพราะเข้าสู่ช่วงค่ำ บรรดาร้านค้าต่างๆ ก็พากันเปิดไฟหน้าร้าน ผมมองภาพแสงสีที่สะท้อนออกมาด้วยความตื่นเต้น มันสวยจนเหมือนกำลังเดินไปตามทางที่เขาปูให้เราเดินโดยเฉพาะ ยิ่งยามนี้ไม่ค่อยมีคนก็ยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก สวย…จนทำให้ผมหลงลืมความข้องใจเมื่อครู่ไปเกือบหมด

“สวยมากเลยพี่” ผมหันไปบอกพี่ภูด้วยความตื่นเต้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งเขาก็ทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะส่งยิ้มเล็กๆ มาให้ตามแบบฉบับ

ผมหมุนไปหมุนมามองบรรยากาศรอบๆ อยู่สักพัก ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่ร้านข้าวร้านหนึ่ง นั่นทำให้ผมนึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่เรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยสักอย่าง ผมไม่ค่อยหิวเพราะยัดขนมใส่ปากไปเต็มที่ แต่คนที่พาเดินไปนั่นไปนี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย คิดได้แล้วผมก็เป็นฝ่ายคว้าแขนพี่ภูไว้บ้าง ก่อนจะออกแรงลากเขาเข้าไปในร้านข้าวโดยไม่ถามความเห็น

“เอาอันนี้ อันนี้ อันนี้ด้วย”

“กินหมดหรือไง” คนถามทำหน้าตาไม่เข้าใจก่อนจะก้มลงมองเมนู แต่ผมดึงกลับมาก่อนแล้วหันไปบอกพนักงานว่าเอาแค่นี้ พอสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วถึงหันกลับมาฉีกยิ้มให้พี่ภู

“ที่สั่งนั่นพี่ต่างหากที่ต้องกิน”

“กูไม่มีหลุมดำแบบมึง” เขาขมวดคิ้วทำหน้าเครียด

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมช่วยกินเอง”

เราใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็ลากคนที่ทำหน้าเหมือนอยากอ้วกออกมาจากร้าน แล้วพุ่งตรงไปยังร้านขนมต่ออย่างรวดเร็ว

“กูจะอ้วก” พี่ภูโบกมือปฏิเสธเค้กที่ผมยื่นให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะฟุบหน้าลงแบบหมดมาด ทำเอาผมขำก๊ากจากนั้นจึงรีบจัดการของกินในจานจนหมด

บางทีผมคงมีหลุมดำอยู่ในท้องอย่างที่เขาว่า เพราะไม่ว่าจะกินอะไรลงไปมากขนาดไหนก็ยังไม่รู้สึกแน่นเสียที แค่พาเขาเดินเข้าร้านโน้นร้านนี้ไม่นานก็ย่อยหมดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนนำเที่ยวทำหน้าจะอ้วกตั้งแต่ร้านแรกจนเข้าร้านที่สี่เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่

“ฮ้า…อิ่มละ” ผมยกมือตบพุงตัวเองเบาๆ หลังจากเราเดินออกมาจากร้านขนมร้านที่ห้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ภูทำหน้าเหลือเชื่อ

“มึงมันยอดมนุษย์” เขาส่ายหน้าเป็นรอบที่ล้าน ก่อนจะเบิกตาน้อยๆ เมื่อเห็นผมจ้องไปยังร้านไอศกรีมอีกร้าน “กูไปละ”

“เดี๋ยวดิ…ผมมองเฉยๆ เอง” ผมรีบดึงแขนคนที่ทำท่าจะเดินหนีไว้ และเมื่อได้เห็นสีหน้าสะอิดสะเอียนของเขาก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “พี่อ่อนแอว่ะ”

“เดี๋ยวตีปาก”

“ไม่เอา” ตอบแล้วก็รีบยกมือปิดปากตัวเองไว้เมื่อเขาทำท่าจะยกมือตีจริงๆ

“ปากดีแล้วยังงอแง” พี่ภูว่าก่อนจะเข้ามาล็อกคอผม ตอนแรกก็มองหน้ากันแล้วขำอย่างมีความสุขดีอยู่หรอก แต่อยู่ๆ คนข้างๆ ก็บีบแก้มผมอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ เขาคงลืมไปว่าตอนนี้อากาศเย็นและหิมะตก ความเจ็บปวดเลยเพิ่มเป็นสองเท่า ผมยกมือกุมแก้มน้ำตาคลอ ในขณะที่พี่ภูกอดคอผมหัวเราะหนักกว่าเดิม

“อย่าคิดว่าผมจะดีใจที่เห็นพี่หัวเราะหนักขนาดนี้นะ” ผมมองคนที่ยังขำไม่เลิกเคืองๆ แต่เขากลับยื่นมือมาขยี้หัวผมโดยไม่คิดขอโทษแต่อย่างใด

“โอ๋ๆ หน้าตาโคตรน่าสงสาร ขอถ่ายรูปก่อน” ว่าแล้วก็ล้วงโทรศัพท์ออกมากดเข้าโปรแกรมกล้องและยกขึ้นถ่ายอย่างรวดเร็วโดยที่ผมยังเอ๋อไม่เลิก รู้ตัวอีกทีคนถ่ายก็กดตั้งเป็นภาพพักหน้าจอแล้วเรียบร้อย

“น่าเกลียดดดดด” ผมมองความอุบาทว์ของตัวเองบนหน้าจอแล้วตั้งท่าจะหยิบโทรศัพท์ของเขามาลบออก แต่พี่ภูกลับเอามือหลบเหมือนคาดการณ์ไว้แล้ว

“จะทำไร”

“เอามาลบเลย” ผมว่าและพยายามไขว่คว้าเอาโทรศัพท์ในมือเขามา แต่พี่ภูปล่อยคอผมออกแล้วหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว วิ่งวนรอบตัวก็แล้ว ดึงแขนก็แล้ว ทำยังไงก็ไม่มีทีท่าว่าจะเอาชนะได้ ทั้งยังกลายเป็นผมที่เหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่างหาก

“ลบทำไม” เขาถามเมื่อเห็นผมทรุดลงไปนั่งยองๆ กับพื้นด้วยความเหนื่อย

“น่าเกลียด”

“น่ารัก”

“…”

“ทำหน้าอะไรของมึง” ว่าแล้วก็เอาเท้าเขี่ยๆ ขาผมเป็นเชิงหยอก

“ไม่ยุ่งดิ” ที่พูดไปนี่ด้วยแรงอารมณ์ล้วนๆ แต่คนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่กลับไม่ถือสา เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างๆ ผมแล้วพยายามยื่นหน้ามามอง

“ดูหน้าที”

“ไม่” ผมเอามือปิดหน้าตัวเองแล้วก้มลงซุกขาเพื่อไม่ให้พี่ภูมองเห็น แต่เมื่อโดนเอาอะไรแข็งๆ มาโขกหัวก็ต้องเงยหน้าอย่างช่วยไม่ได้

“หน้าแดง” เขายิ้ม ก่อนจะลูบหัวผมที่ตัวเองเอาหัวมาโขกเมื่อครู่เบาๆ ทำเอาอุณหภูมิที่ใบหน้าพุ่งสูงยิ่งกว่าเดิม

“พี่ชอบแกล้ง”

“ก็แกล้งแค่มึง”

“ไม่คุยด้วยแล้ว กลับๆ” ผมรีบลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินนำกลับไปทางที่จอดรถไว้ โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของคนที่เดินตามมาอีก ไม่รู้ไปอารมณ์ดีมาจากไหนถึงได้แกล้งกันเหลือเกิน แล้วเชื่อเถอะว่าพอกลับถึงบ้านต้องเอารูปน่าเกลียดๆ นั่นไปให้ภามดูต่อแน่

“ก้อน เสียงโทรศัพท์มึง” พี่ภูสะกิดผมที่กำลังเดินนำให้หลุดจากภวังค์ พอได้ยินคำเตือนของเขาแล้วผมถึงได้รู้ว่ามีสายเข้า แต่เมื่อหยิบขึ้นมาดูชื่อแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

แปลก…ปกติจ๋าจะโทร. มาสัปดาห์ละครั้ง เมื่อวานก็เพิ่งคุยกันไป ทำไมโทร. มาอีกแล้ว

“ว่าไงจ๋า”

[คุณอชิรา…คุณแม่ช่วยเต็มที่แล้วนะคะ]

“หา?…” ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ต้องงงหนักกว่าเก่าเมื่อจ๋าเงียบไปและมีเสียงเหมือนกำลังเปลี่ยนมือคนถือโทรศัพท์ ซึ่งฝั่งนั้นก็ไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนาน…

เพราะเพียงแค่ประโยคเดียว…ก็ส่งผลให้ผมหนาวเหน็บไปถึงใจ

[เก้า กลับบ้านเดี๋ยวนี้!]

นั่นเป็นครั้งแรก…ที่ป๋าเสียงดังใส่ผม

 

----------------------------

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 30-10-2017 17:16:27
พี่ภูก็ตามไปสู่ขอเก้าถึงประเทศไทยสะด้วยเลยสิ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 30-10-2017 17:22:45
คุณป๋า ในที่สุดก็ออกโรง
พี่ภูตามน้งเก้าไปด้วยเลย ยกขันหมากไปด้วย :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 30-10-2017 19:05:02
ไปขอน้องเลยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-10-2017 20:17:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 30-10-2017 20:18:27
พี่ภูต้องไปขอน้องแล้วล่ะ เรื่องในบ้านตัวเองหมดห่วงละ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-10-2017 20:32:51
เหมือนได้เที่ยวส่งท้าย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 30-10-2017 20:48:08
หูยยยย  คุณป๋า ที่ปรกติตามใจน้องเก้าตลอด ๆ พอโกรธขึ้นมา คงน่ากลัวมากอ่ะ
อย่างว่าเนอะ ไม่อย่างนั้นจะคุมลูกน้องตัวโต ๆ เคยผ่านคดีมาได้ยังไงถ้าไม่เก่งจริง
น้องเก้าถึงได้เครียดเรื่องคุณป๋าที่สุดสินะ พี่ภูตามน้องมาไทยด้วยเลย
มาพบว่าที่พ่อตาแม่ยายให้เป็นเรื่องเป็นราวไป ก่อนจะเอาลูกเขาไปอยู่ด้วยนะ
จะให้ดี คุณพ่อกับแม่เฮเลนกับน้องภามก็มาด้วยเลย แสดงความจริงใจ
น้องภามจะได้มาเที่ยวด้วย แฮบปี้ทุกฝ่าย ^^
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: gibebk ที่ 30-10-2017 21:29:00
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-10-2017 22:01:55
ป๋าเรียกแล้วหลานเก้า จะทำไรต่อดีน่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 30-10-2017 22:37:09
ขอต่อความหวานอีกไม่ได้เหรอคุณป๋าาาาาา กำลัง feel good เลยอ่า เดี๋ยวจะให้เก้าโกรธเยอะๆที่มาขึ้นเสียงใส่อ่ะ ชิๆๆ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 31-10-2017 00:26:48
เอาไงพี่ภู พ่อตาตามสะใภ้ใหญ่ตระกูลกลับบ้านแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 31-10-2017 03:36:44
พี่ภูยกขันหมากไปสู่ขอน้องด้วยเลยย
เคลียจบก้แต่วเลยงี้
มีงานเข้าาา มีคนงานเข้าค่าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-10-2017 08:58:16
ป๋าเรียกกลับบ้านซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-10-2017 11:31:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nuclear ที่ 31-10-2017 11:57:42
หุยยย .....

"กลับบ้านเดี๋ยวนี้!!"

เป็นประโยคที่สะท้านทรวงจริงๆ  :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Guitar. ที่ 31-10-2017 21:28:49
เก้าจะเป็นไงน้าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 31-10-2017 21:58:42
องค์พ่อมาอ้ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 31-10-2017 23:36:05
ยิ่งกว่าฟ้าถล่มก็งานนี้แหละ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 01-11-2017 08:35:55
ได้พบพ่อตาแน่แล้วววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-11-2017 21:19:20
กำลังหวานเลยคุณป๋าาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[34]==[P.22]== [30/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-11-2017 19:18:53


-35-

 

“จะไปจริงเหรอ”

“ต้องไปจริงๆ ว่ะ” ผมถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าภามเบาๆ เป็นการยืนยันคำพูด พอเห็นเขาทำหน้าเศร้าแล้วก็รู้สึกแย่ตาม จนผมต้องดึงไอ้เด็กที่ตัวสูงกว่าเป็นคืบมากอดไว้แล้วตบหลังเขาดังแปะๆ

“ผมไม่อยากให้เก้าไป” ภามผละตัวออกแล้วทำหน้าเครียด “พี่ก็ไม่อยากให้เก้าไป”

“รู้แล้ว แต่กูจำเป็น ไม่งั้นโดนป๋าตามมาถึงนี่แน่” ผมพูดติดตลกทั้งที่ในใจก็เครียดไม่ต่างกัน

เมื่อเช้าพอตื่นขึ้นมาผมก็รีบบอกทุกคนว่าต้องเดินทางกลับไทยก่อน พร้อมทั้งบอกเหตุผลที่แท้จริงกับพวกเขาอย่างชัดเจน แม่เฮเลนกับพ่อออสตินดูตกใจมาก พวกท่านบอกผมว่าจะช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ในขณะที่ภามไม่พูดอะไรแต่ก็ทำท่าไม่อยากให้กลับ ส่วนคนที่รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อคืน…

เขานั่งจัดกระเป๋าเป็นเพื่อนผมจนดึกดื่น หลังจากนั้นก็เข้านอนโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตื่นเช้ามาก็บอกแค่ต้องไปทำงานเพราะมีธุระด่วน ผมไม่นึกโกรธหรือไม่พอใจอะไรเลยสักนิด เพราะแค่ได้เห็นแววตาของพี่ภู ผมก็พอเดาความรู้สึกของเขาได้…และรู้ว่าเขาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องของผมอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ผมยังเดาไม่ได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก็เท่านั้น

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” คนที่แปลงร่างเป็นเด็กดื้อถามซ้ำเป็นรอบที่สิบ ทั้งที่คำตอบของผมก็เป็นแบบเดิมมาตั้งแต่ออกจากบ้านยันมาถึงสนามบิน

“ภาม ก่อนไปกูมีอะไรอยากถามมึงหน่อย” ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องโดยไม่สนใจหน้าตาบูดบึ้งของเขา “ทำไมตอนแรกมึงถึงยอมให้กูเข้าใกล้ง่ายนัก”

จะบอกว่าเพิ่งรู้ตัวก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีๆ ที่ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไร ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ แต่นั่นหมายถึงในกรณีที่ไม่มีตัวแปรอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อได้คิดจริงๆ จังๆ หลังจากนอนมองหน้าพี่ภูอยู่ทั้งคืน อยู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่าเรื่องนี้คงเกิดขึ้นเองไม่ได้ ซึ่งคนคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อภามมากที่สุดก็คือพี่ภู เพราะงั้นผมถึงอยากรู้…ว่าเขาไปพูดอะไร ทำไมภามถึงยอมให้ผมเข้าใกล้ได้ง่ายขนาดนั้น

“พี่ไม่เคยบอกเหรอ” ภามเริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินคำถาม ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกและยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก “หลังจากวันที่ผมเจอเก้าวันแรก…พี่เข้ามาคุยกับผมตอนเก้าหลับ”

“ชอบคุยกันตอนกูหลับ” ผมบ่นอุบอิบเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้ดูตั้งใจฟังเหมือนเดิม “ต่อๆ”

“พี่บอกผมว่าเก้าคือคนที่พี่เลือก…” ภามอมยิ้มแล้วทำหน้าเหมือนกำลังนึกถึงช่วงเวลานั้น “พี่อยากให้ผมเปิดใจให้เก้ากลายเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่อีกคน”

“นั่นคงไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดใช่ไหม” ผมถามเสียงเรียบโดยพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองเผลอฉีกยิ้มออกมา ซึ่งภามก็พยักหน้าเป็นคำตอบ

“พี่บอกว่าเก้าเก่งเหมือนแม่”

“…”

“ทุกคนบอกว่าแม่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีเมตตาและใจดีมาก ผมเองก็จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก รู้แค่ว่าแม่ตัวโตเหมือนยักษ์แล้วก็จะคอยยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องผมเสมอ…ผมจำได้ว่าตาของแม่เป็นสีดำสนิทเหมือนกับผม และสิ่งที่สะท้อนอยู่ในนั้นคือความเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด เวลาผมร้องไห้ แม่จะชอบชวนให้ทำนั่นทำนี่ ชวนให้เล่นเกม เล่าเรื่องพี่ตอนไปโรงเรียนให้ผมฟัง…”

จำได้ว่าตอนนั้นผมก็พยายามเปิดใจเขาด้วยการเล่าเรื่องพี่ภูให้ฟัง แล้วก็ชวนเล่นเกม…

“ผมเห็นแววตาของเก้า…” ภามจ้องหน้าผม เขาส่งรอยยิ้มน้อยๆ ที่มีแต่ความสุขมาให้ “แววตาที่เข้มแข็งและจริงใจเหมือนแม่ และน่าแปลก…ที่ตอนนั้นยามนึกถึงแม่ ผมไม่ได้เห็นท่านในช่วงเวลาแย่ๆ เหมือนทุกครั้ง แต่กลับเห็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน…เพราะงั้นผมถึงยอมให้เก้าเข้าใกล้”

“อือ…”

“จะบอกว่าผมเห็นเก้าเป็นเหมือนแม่อีกคนก็ได้นะ”

“เดี๋ยวๆ มากไป” ผมรีบยกมือห้าม ในขณะที่คนพูดหัวเราะร่าอารมณ์ดี

“อย่าไปเลยนะแม่”

“เพื่อนพอ!”

“ฮ่าๆ” ภามหัวเราะอยู่คนเดียว ส่วนผมหน้าบูดสนิท แต่สุดท้ายเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกของสนามบิน เขาก็หุบยิ้มแล้วกลับไปทำหน้าเศร้าอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี

“ไปเรียนสกิลตอแหลมาจากไหน”

“จากเก้านั่นล่ะ”

“เดี๋ยวเหอะมึง!” ผมทำท่าจะฟาดปากคนกวนตีนสักทีสองที แต่พอเห็นพ่อออสตินกับแม่เฮเลนที่รีบวิ่งมาหาหลังจากไปเข้าห้องน้ำก็ต้องรีบเอามือลงแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

“แล้วยังกล้าเถียงอีก”

ผมหันไปถลึงตาใส่คนข้างๆ ที่ถอนหายใจยาว ภามทำเป็นยักไหล่ไม่สนใจ ก่อนจะปล่อยให้พ่อกับแม่เดินเข้ามาลาผมแต่โดยดี

“ดูแลตัวเองดีๆ นะหนูเก้า เอาไว้แม่จะไปหานะจ๊ะ”

“ไว้เจอกันนะลูก”

“ครับ งั้นผมไปก่อนนะ” ผมยกมือไหว้ลาพวกท่าน ก่อนจะตบบ่าภามเป็นครั้งสุดท้าย เห็นเขาพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้มแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา ผมเชื่อว่าต่อให้ไม่มีตัวเองอยู่ตรงนี้ ภามกับครอบครัวก็จะต้องมีความสุขได้แน่ ถึงเวลาถ้าผมเคลียร์ตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว การเจอกันระหว่างพวกเราคงไม่ใช่เรื่องยากอีก

เอาล่ะ…ถึงเวลากลับบ้านแล้ว

 

 

สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อมาถึงเชียงใหม่ในตอนเช้าของวันถัดมาหลังจากไปนอนกรุงเทพฯ หนึ่งคืน คือการโทร. หาไอ้โซ หลังจากเล่าให้มันฟังหมดทุกอย่างแล้ว ไอ้หมาหน้าโง่ก็หัวเราะเยาะผมยกใหญ่ มันบอกว่าโคตรสะใจที่เห็นป๋าโกรธผมบ้าง แต่พอผมเริ่มพูดเสียงเครียดและจริงจังขึ้นมันก็ยอมเงียบฟัง สรุปได้ใจความว่าถ้าว่างมันจะชวนพี่กีล์บินมาหา ซึ่งอาจจะอีกเป็นเดือนอยู่เหมือนกันเพราะมันกำลังทำโพรเจกต์ใหญ่ ถ้าถึงเวลานั้นแล้วป๋ายังไม่หายโกรธจะให้พี่กีล์ช่วยพูดให้

จริงๆ ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก เพราะผมเชื่อว่าป๋าโกรธผมไม่ได้นานอยู่แล้ว แต่ผมกลัวว่าสิ่งที่กังวลจะเกิดขึ้นจริงต่างหาก…

ก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย พ่อออสตินกระซิบบอกผมว่าพี่ภูกำลังเร่งเคลียร์งานอย่างหนักเหมือนเตรียมตัวจะหยุดยาว ตอนแรกผมก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเคยพูด…

‘มึงบอกเองว่า ถ้าจริงจังกับใครให้พาไปเจอพ่อแม่ใช่ไหม’

‘อื้อ’

‘พ่อแม่กู มึงก็เจอแล้ว…แล้วมึงจะเอาเปรียบกูโดยการไม่พาไปเจอพ่อแม่ตัวเองหรือไง’

‘พี่หมายถึง…’

‘กูกำลังบอกให้มึงนั่งรออยู่เฉยๆ ก็พอ…’

‘…’

‘ให้กูได้ทำอะไรเพื่อคนของตัวเองบ้าง’

ผมคิดว่าตัวเองน่าจะคิดไม่ผิด…บางทีเขาอาจจะมาหาป๋ากับจ๋าในไม่ช้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมกังวล…จ๋าอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะขอแค่หล่อ รวย ดูแลผมได้ก็ไม่น่าใช่ปัญหา แต่ผมกลัวว่าป๋าจะไม่โอเคกับพี่ภู ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นแบบนั้น…นั่นล่ะที่น่ากลัวที่สุด

“คุณหนู!”

“เฮียหนึ่ง!” ผมหันไปยิ้มกว้างให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่มีกล้ามล่ำบึกที่กำลังเดินไวๆ มาหา นอกจากนั้นยังมีอีกสองคนที่มีหุ่นแบบเดียวกันเดินตามมา

“คุณหนูตัวโตขึ้นเยอะเลยนะครับ” เฮียสองที่อยู่ข้างๆ มองสำรวจผมแล้วทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เล่นเอาผมต้องรีบยกมือห้ามอย่างรวดเร็ว

“เฮียสองอย่าเล่นใหญ่”

“คุณหนู…” เฮียแกทำหน้าบิดเบี้ยวเหมือนจะงอน ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง ทำเอาผมต้องรีบกวาดสายตามองรอบด้าน แล้วก็พบว่าเป็นไปตามคาด…ตอนนี้ทุกสายตาของคนรอบข้างจับจ้องมาที่ผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด ยิ่งยามเฮียทั้งหลายหันไปกวาดตามองตามด้วยท่าทางเถื่อนๆ พวกนั้นถึงกับสะดุ้งแล้วรีบวิ่งหนีกันใหญ่

“ไปคุยกันบนรถดีกว่า”

“ครับคุณหนู” เฮียสามที่อยู่หลังสุดรับคำ ก่อนจะผายมือเชิญให้ผมเดินนำ

ตอนเด็กๆ ผมก็เคยสงสัยอยู่หรอกว่าทำไมทุกคนต้องมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ไม่เคยเห็นคนกันหรือยังไง แต่พอโตมาถึงได้เข้าใจ…ไม่แปลกเลยสักนิดที่คนรอบข้างจะคิดว่าพวกเราเป็นพวกนักเลงหรือมาเฟีย

ลูกน้องของป๋ามีอยู่หลายสิบคน แตกต่างกันทั้งเชื้อชาติและนิสัย ทำหน้าที่ตั้งแต่เป็นคนขับรถยันเป็นคนงานในไร่ แต่ทุกคนมีอยู่สองอย่างที่เหมือนกัน…หนึ่งคือมีกล้ามโตและหน้าตาโหดเถื่อนเหมือนมาเฟีย อีกทั้งส่วนใหญ่ยังชอบสักเพิ่มภาพความดุร้ายให้ตัวเองอีก และสองคือ…พวกเขาเคารพป๋ากับจ๋าและโอ๋ผมมาก เรียกได้ว่าป๋าโอ๋ผมมากเท่าไหร่พวกเขาก็โอ๋ผมตามมากเท่านั้นก็ว่าได้ พวกเฮียที่มาทำงานกับป๋าแล้วก็จ๋ามักจะเป็นพวกที่อดอยากปากแห้งมาก่อน หรือไม่ก็เคยติดคุกแล้วกลับตัวกลับใจ พอออกมาก็อยากทิ้งตัวตนเก่าๆ ประกอบกับตอนเด็กๆ ผมขี้เกียจจำชื่อและพวกเขาอยากให้ผมเรียกถูก ดังนั้นเวลาอยู่กับครอบครัวผมทุกคนเลยมีโค้ดเนมเป็นตัวเลข และพวกเขาก็ใช้ชื่อแบบนั้นมาตลอด โดยมีเลขเก้าเป็นตัวผมเอง

“เฮีย ป๋าเป็นไงบ้าง”

“เอ่อ…”

แค่เห็นพวกเฮียแอบมองหน้ากันผมก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที แม้แต่เฮียหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างผมและสนิทกับป๋าที่สุดก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา ท่าทางจะแย่กว่าที่คิด…

“พวกเฮียว่าป๋าจะโกรธผมนานไหม”

“ด้วยความสัตย์จริงนะครับคุณหนู…ผมว่าน่าจะห้า” เฮียหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ผมว่าอาจจะสิบ” เฮียสองที่นั่งอยู่ข้างคนขับสำทับด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน

“ผมว่าสามก็เยอะแล้วครับ เป็นผมแค่คุณหนูเขย่าแขนทีก็หายแล้ว” เฮียสามที่ขับรถว่าขึ้น ก่อนจะยิ้มให้ผมผ่านกระจกเป็นเชิงให้กำลังใจ

สาม ห้า สิบ…ถ้าป๋าโกรธผมนานขนาดนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ

“คุณหนูอย่ากังวลเลยครับ” เฮียหนึ่งปลอบผมที่กำลังนั่งหน้าบูด

“อย่างต่ำก็สามนาทีเลยนะเฮีย ถ้าโดนสิบนาทีผมอึดอัดตายแน่”

“คุณหนูอย่าคิดมากเลยครับ ยังไงคุณผู้หญิงก็ช่วยคุณหนูอยู่แล้ว” เฮียสองหันมายิ้มให้ผม แต่สิ่งที่เขาพูดกลับทำให้ผมหงอยหนักกว่าเดิมเสียอีก

“เงียบไปเลยไอ้สอง” เฮียหนึ่งที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างจ๋ากับผมเป็นอย่างดีตำหนิเฮียสองจนฝั่งนั้นหน้าเสีย รีบก้มหน้าขอโทษผม ก่อนจะหันกลับไปนั่งหน้าตรงเหมือนเดิม

จ๋าน่ะเหรอจะช่วย…เห็นผมโดนป๋าโกรธต้องหัวเราะฮิๆ ดังลั่นบ้านแน่

“เข้าเขตไร่แล้วนะครับคุณหนู”

“เฮียสาม ขับช้าๆ หน่อย” เอาจริงๆ เฮียสามไม่ต้องบอกผมหรอกว่าจะถึงแล้ว ช่วยทำให้ผมไปถึงช้าที่สุดจะดีกว่า

พวกเฮียทำท่าเหมือนอยากจะหัวเราะกัน แต่ก็พยายามกลั้นไว้สุดความสามารถ ผมเลยได้แต่ทำหน้าตึงแล้วหันออกไปมองนอกกระจกรถแก้เครียด

ไร่ผลไม้ของจ๋ามีพื้นที่กว้างขวางหลายร้อยไร่ ตั้งแต่จำความได้ผมก็วิ่งเล่นเหมือนเป็นสนามหญ้าหน้าบ้านมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ เคยวิ่งเล่นแล้วหลงทางจนโดนจ๋าดุก็บ่อย แต่ก็เป็นป๋ากับพวกเฮียๆ ที่ช่วยผมให้พ้นจากการโดนทำโทษได้ทุกที

“คุณหนู ถึงแล้วนะครับ” แล้วประโยคที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลานี้ก็ดังขึ้นจากปากเฮียสองที่เปิดประตูรถให้ผมแล้วเรียบร้อย

ผมถอนหายใจยาวเป็นรอบสุดท้าย ก่อนจะเดินลงมาจากรถ ตาก็มองบ้านไม้หลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นตรงหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกอึดอัดใจที่ได้กลับบ้านเหมือนครั้งนี้มาก่อน จะบอกว่าผมไม่อยากเห็นป๋าโกรธก็คงได้

“คุณหนู!”

“นม” ผมอ้าแขนออกเพื่อให้หญิงชราที่วิ่งมารับหน้าประตูกอดได้ถนัด ท่านลูบหัวลูบหลังผมยกใหญ่ ก่อนจะสำรวจดูผมเหมือนทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ผู้หญิงคนนี้คือนมสาย คนที่เลี้ยงและดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงเป็นคนเลี้ยงจ๋ามาด้วย ถ้าถามว่าใครเป็นคนที่จ๋าเกรงใจ ผมคิดว่าคงมีแต่นมนี่ล่ะ

“เป็นยังไงบ้างคะ”

“สบายดี…แต่กำลังจะไม่สบาย นมช่วยเก้าด้วยนะ” ผมได้ทีกอดแขนอ้อนนมยกใหญ่ ถ้านมยอมพูดให้ต้องช่วยได้แน่ๆ แต่ครั้งนี้นมกลับส่ายหน้าแล้วมองผมด้วยความรู้สึกผิด เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจในทันที

จ๋า…

“คุณผู้หญิงขอร้องให้นมรับปากว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้เมื่อครู่เองค่ะ”

เกลียดคนรู้ทัน!

“ไม่เป็นไรครับนม” ผมบอกทั้งที่หน้าตาบูดเบี้ยว “แต่นมดูดิ…จ๋าจะแกล้งเก้า”

“ใครจะแกล้งคุณอชิรากันคะ” เสียงพูดจีบปากจีบคอแสนคุ้นเคยซึ่งดังขึ้นไม่ไกล ทำให้ผมต้องปล่อยแขนนมสายออกแล้วหันไปมอง

ผู้หญิงที่มีศักดิ์เป็นมารดาของผมกำลังยืนทำท่าทางเรียบร้อยอยู่ไม่ไกล ใบหน้าสวยสดแม้วัยจะขึ้นเลขสี่ของจ๋าดูอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง แถมวันนี้ยังใส่เสื้อผ้าสีแดงแปร๊ดทั้งที่ตัวเองไม่ชอบมาต้อนรับผมอีกต่างหาก

“ตายแล้ว อ้วนขึ้นหรือเปล่าคะเนี่ย ท่าทางฝั่งนั้นเลี้ยงดีน่าดู” จ๋าเดินเข้ามาหาผม ก่อนจะจับหมุนตัวไปมาเพื่อสำรวจด้วยความเป็นห่วง…ต้องใช้คำว่าเหมือนจะเป็นห่วง

“ไม่ต้องเลยจ๋า เรารู้นะว่าจ๋าห้ามนมไม่ให้ช่วยเรา” ผมจับมือจ๋าเขย่าไปมาด้วยความหมั่นไส้ ในขณะที่จ๋าแค่หัวเราะคิกคักตอบอย่างอารมณ์ดี

“คุณแม่สอนว่ายังไงคะ ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรคุณแม่ไม่ว่า แต่…”

“ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เรารู้แล้วน่า” ผมตอบรับอย่างรู้งานเพราะจำคำสอนของจ๋าได้ขึ้นใจ “แต่จ๋าก็บอกว่าเราต้องรู้จักฉลาดคิดด้วยไม่ใช่เหรอ”

พอได้ยินคำพูดของผม จ๋าก็หุบยิ้มฉับ มือข้างที่ว่างและไม่ได้ถูกผมจับไว้ยื่นมาตีแขนผมเบาๆ เหมือนจะหมั่นไส้ โดยที่ผมได้แต่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิด

“เอาจริงๆ นะคะ คุณแม่สอนว่าให้ฉลาดคิด แต่ไม่เคยสอนให้ฉลาดแกมโกงค่ะ ไม่รู้ไปเอานิสัยเจ้าเล่ห์แบบนี้มาจากไหนกัน” ว่าแล้วก็บ่นพึมพำอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ปล่อยให้ผมยืนกลอกตามองแรงอยู่ข้างๆ คำถามแบบนี้ไม่น่าถามเลย ถ้าไม่ใช่คุณเธอ ผมจะไปติดมาจากใครกันเล่า

“จ๋า…”

“รีบเข้าไปข้างในเถอะค่ะ คุณป๋ากำลังหงุดหงิดได้ที่เชียว คิกๆ”

ผมเดินตามแรงจูงของจ๋าเข้าไปด้านในโดยไม่คิดขัด หันกลับไปมองอีกทีเฮียๆ กับนมก็หายไปไหนกันหมดแล้วไม่รู้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพวกเขารู้ตัวว่าถ้าอยู่แล้วต้องโดนผมขอให้ช่วยแน่ๆ เลยหนีไปเพื่อตัดปัญหาเสียเลย

ไม่มีคนธรรมดาตามใครไม่ทันอยู่ที่นี่บ้างเลยหรือไงนะ…

จ๋าพาผมมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องสี่เหลี่ยมบานใหญ่ซึ่งเป็นห้องทำงานของป๋า ผมครุ่นคิดจนหน้ายู่ยี่ไปหมดว่าควรทำอย่างไรหากเข้าไปถึงแล้วป๋าทำหน้าตึงใส่แบบที่ไม่เคยทำ สุดท้ายพอรู้ว่าคิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ผมเลยตัดสินใจผลักประตูเข้าไปเสียเลย

ผู้ชายที่นั่งประจำอยู่ที่เก้าอี้ตัวสูง เป็นชายวัยกลางคนหน้าตาดีที่มีใบหน้ามุ้งมิ้งเสมอยามอยู่กับผม ทว่าตอนนี้เขากลับทำท่าทางดุดันเหมือนตอนอยู่กับคนอื่น ที่ใครต่อใครบอกว่าป๋าน่ากลัวผมไม่เคยเชื่อเลยสักนิด แต่พอมาเห็นแบบนี้ก็หงอยอยู่เหมือนกัน…เพราะเวลาคุยกับผม ป๋าไม่เคยหยุดยิ้มเลยสักครั้ง

“ป๋า” ผมเรียกเสียงอ่อยโดยไม่สนใจจ๋าที่แอบหัวเราะอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็เดินไวๆ เข้าไปหาผู้ชายตัวโตหน้าเถื่อนแล้วคุกเข่าลงตรงหน้า “เราขอโทษน้า”

“…”

พอเห็นป๋าเงียบไม่ตอบและมองมาด้วยสายตาดุดันเหมือนเดิมผมก็ต้องก้มหน้าลง เริ่มรู้สึกแย่นิดๆ เพราะไม่ชอบให้ป๋าเป็นแบบนี้

“ป๋า…” ผมเขย่าขาป๋าอย่างอ้อนๆ อีกครั้ง จนเมื่อเห็นว่าป๋าหลบสายตาก็เข้าใจในทันทีว่ามาถูกทาง “ตัวเล็กขอโทษนะ…”

อีกนิดจะกราบแล้วสาบานได้…

“ตัวเล็กไม่รู้เหรอว่าป๋าเป็นห่วง” ในที่สุดป๋าก็ยอมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเหมือนปกติเวลาคุยกับผม เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ร้องเยสในใจไปหลายที ก่อนจะรีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว

“ขอโทษครับ”

“มานี่มา” ป๋าตบที่หน้าขาตัวเองสองสามที ผมเลยเด้งตัวไปนั่งคร่อมขาแล้วกอดป๋าไว้เป็นลูกลิงเหมือนที่ชอบทำตอนเด็กๆ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่โตมาแล้วป๋าก็ยังตัวใหญ่กว่าผมอยู่ดี เพราะงั้นเราเลยยังนั่งท่านี้กันได้โดยไม่มีปัญหาอะไร “ทำไมตัวเล็กถึงโกหกป๋า”

“เปล่านะ…” ผมส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก “เราไปตามหาเส้นทางในชีวิตตัวเองแล้วก็ไปพักผ่อนจริงๆ สาบานได้”

ก่อนจะไปอังกฤษผมบอกป๋าว่าอย่างนั้น ซึ่งมันก็เป็นความจริงทุกประการ เพียงแต่ไม่ใช่เหตุผลหลักเท่านั้นเอง เพราะงั้นผมถึงยังเชื่อว่าตัวเองไม่ได้โกหกป๋าแต่อย่างใด

“งั้นป๋าควรไปตำหนิคุณแม่ใช่ไหม ที่ช่วยตัวเล็กปิดบัง ไม่ยอมให้ป๋ารู้ว่าเหตุผลหลักที่ตัวเล็กไปอังกฤษคือการไปหาใครบางคนที่ป๋าไม่รู้จัก” ป๋าถามต่อในขณะที่มือก็ลูบหัวลูบหลังผมไปด้วย ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจ๋าร้องอ้าวเบาๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจ เอาแต่พยักหน้ายิกๆ แล้วฟ้องป๋าต่อ

“ใช่ๆ ป๋าโทษจ๋าเลย”

“คุณอชิราอยากโดนเตะใช่มะ” เสียงคาดโทษของจ๋าที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้ผมต้องกอดป๋าแน่นขึ้นเป็นเชิงขอให้ช่วย

“อย่าขู่ลูกนะคุณหญิง”

“เดี๋ยวนะคะคุณ ได้ข่าวว่าจะดุลูกไม่ใช่หรือไง เห็นเตรียมการมาเป็นวัน นี่ยังไม่ถึงนาทีเลยนะ”

“ก็ตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ จะโกรธลงได้ยังไงกัน” ป๋าดันหน้าผมออก ก่อนจะลูบหน้าลูบตาให้เบาๆ สายตาที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวมองมาอย่างอ่อนโยนจนผมต้องลอบยิ้มอยู่ในใจ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะยิ้มตอบนั้นเอง อยู่ๆ ป๋าก็หุบยิ้มฉับแล้วมองไปทางหน้าต่างด้วยสายตาโหดร้ายดุดัน “คนที่ผิดคือไอ้คนที่คิดจะล่อลวงตัวเล็กต่างหาก”

อ้าว…ฉิบหาย

“ป๋าจะฆ่าเขาไม่ได้นะ!” ผมรีบพูดดักทางไว้ก่อน

“ป๋าไม่ฆ่าคนหรอกครับ” ป๋าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขยี้หัวผม แต่ผ่านไปสักพักก็ทำหน้าตาบึ้งตึงขึ้นมากะทันหัน “ทำไมตัวเล็กต้องปกป้องมันด้วย”

“ก็เราชอบเขา”

“ไม่ฟัง” ป๋ายกมือปิดหูแล้วส่ายหน้าท่าเดียว “ป๋ายังไม่ยอมรับเด็ดขาด”

“ป๋า…”

“ถ้าไม่ดีพอ ป๋าไม่มีทางยอมยกตัวเล็กให้แน่”

“เขาเพอร์เฟกต์มาก เรารับรองได้” ผมชูนิ้วโป้งยืนยัน นึกอยากหยิบโทรศัพท์ที่แอบถ่ายรูปพี่ภูไว้มาเปิดให้ดูเสียด้วยซ้ำ แต่ห้ามใจไว้ก่อนเพราะกลัวป๋าจะหมั่นไส้เขามากกว่าเดิม

“เรื่องนั้นป๋าจะพิสูจน์เอง ตัวเล็กไม่ต้องพูดเข้าข้างมัน ทำไปก็ไม่ได้ผลหรอก” ป๋าบอกเสียงเข้ม ก่อนจะปล่อยให้ผมลุกขึ้นยืน “เล่าให้ป๋าฟังดีกว่าว่าไปที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

ผมพยักหน้าหงึกหงักและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับป๋า ส่วนจ๋าที่ตอนแรกยืนอยู่ตรงประตูไม่รู้ว่าเดินออกจากห้องไปไหนแล้ว

“เราไปเจอครอบครัวพี่ภู…”

“ไม่”

“เขาพาเราไป…”

“ไม่”

“เขา…”

“ไม่เอาเรื่องมัน” ป๋าตัดบทจนผมหน้าตึง ถ้าไม่ให้พูดถึงเรื่องพี่ภูหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับพี่ภู ผมก็ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ทั้งวันตลอดหลายเดือนก็ใช้ชีวิตโดยมีเขาอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด แรงบันดาลใจก็ได้จากเขาทั้งนั้น เพราะงั้นถ้าให้เล่าว่าไปทำอะไรมาบ้างก็ต้องติดเรื่องของเขามาด้วยเป็นธรรมดา

“ป๋า เรา…”

“คุณหนู! มีคนมาหาครับ!”

ผมสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงเฮียสิบสองที่เป็นคนงานในบ้านตะโกนมาจากนอกห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครมา บ้านผมไม่ได้ต้อนรับแขกบ่อยนัก ยิ่งคนส่วนใหญ่มองว่าป๋ากับพวกเฮียๆ น่ากลัวก็ยิ่งแล้วใหญ่ ต่อให้รู้ว่าเรามีฐานะก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งหรอก

“ตัวเล็กจะไปไหน!”

“เดี๋ยวเรามา!” ผมตะโกนตอบป๋า ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากห้องแล้วมุ่งตรงไปยังหน้าบ้าน…ที่ซึ่งมีรถออดี้สีดำคุ้นตาที่ไม่ได้เห็นมากว่าสองปีจอดอยู่

ข้างกายเฮียสิบสองที่ยืนหน้าตึง มีร่างสูงโปร่งของผู้ชายที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาหนึ่งวันอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้อยู่ในชุดสูทแบบที่ผมเห็นจนชินตา แต่อยู่ในชุดลำลองธรรมดาที่ไม่ได้ทำให้ออร่าของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย

“พี่ภู! ทำไมมาไว…” ผมรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วจับไม้จับมือเขาด้วยความตกใจ

แม้จะยังมีความกังวลและไม่มั่นใจ แต่ก็ยอมรับว่าผมดีใจมากที่เห็นเขามาหาถึงที่นี่

“เร่งเคลียร์งานแล้วก็ยังไม่ทันกลับรอบเดียวกับมึง” พี่ภูอธิบายเสียงเรียบ “เลยนั่งเครื่องมาทีหลังประมาณสองชั่วโมง”

“แล้วไม่บอกผมก่อน จะได้รอ”

“มึงรีบกลับมาก่อนก็ดีแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่จะว่าอีก”

“อื้อ แล้วนี่พี่มาคนเดียวเหรอ” ผมถามเขาด้วยความแปลกใจ

“อืม”

“แล้วภาม…”

“เดี๋ยวตามมาทีหลัง รอเจออาวิลอีกรอบก่อน” เขาบอกแล้วอธิบายต่อเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังเป็นห่วงเรื่องอะไร “อีกไม่กี่วันก็ตามมาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก อาวิลเองก็ยืนยันว่าอาการดีขึ้นมาก อาจจะไม่ต้องเจอบ่อยเท่าเดิมแล้ว”

“งั้นก็ดีแล้ว” ผมถอนหายใจโล่งอก ถ้าอาวิลถึงขั้นเอ่ยปากเองก็คงไม่มีปัญหาอะไร ให้ภามมาเที่ยวบ้างก็ดีเหมือนกัน เขาคงเบื่อบรรยากาศที่นั่นแล้ว

“คุณหนู” เสียงเรียกเหมือนจะเตือนจากเฮียสิบสองที่ยืนสอดส่องอยู่ข้างๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว ต้องรีบหันไปมองรอบกายก่อนจะแนะนำเขาให้พี่ภูรู้จัก

“พี่ภู…นี่เฮียสิบสอง เป็นคนดูแลบ้านผม แล้วก็เฮีย…นี่พี่ภู” จะแนะนำสถานะก็พูดไม่ถูก ยิ่งเห็นสายตาไม่ไว้วางใจจากเฮียยิ่งแล้วใหญ่ ลองบอกว่าเป็นคนที่ผมชอบอาการคงไม่ต่างจากป๋าแน่

“ครับ…”

แต่ดูจากท่าทีแล้ว…ผมว่าป๋าคงบอกพวกเฮียหมดแล้วชัวร์ ท่าทีถึงได้เหมือนจะเขม่นเขาแบบนั้น

“พี่ภู…” ผมขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกับเขาเบาๆ “พี่มั่นใจแล้วเหรอที่มาที่นี่…พี่รู้ใช่ไหมว่าจะเจออะไร”

“พอเดาได้” เขาตอบสั้นๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร

“พี่ไม่กลัวจนผมกลัวแทนแล้วเนี่ย”

“กลัวอะไรของมึง” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือมาเขย่าหัวผม “ก็มึงเคยชวนกูมาหาพ่อแม่เองไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่…” แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้กลัวป๋าเจื๋อนพี่ภูแบบตอนนี้นี่หว่า

“มึงจริงจัง กูจริงจัง งั้นก็ต้องมาหาผู้ใหญ่ก็ถูกแล้วนี่”

“ผม…เป็นคนที่ใช่แล้วเหรอ” ผมเผลอถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานานออกไปโดยไม่รู้ตัว และก็ได้สายตามองแรงเหมือนจะด่าว่าโง่ตอบกลับมาตามระเบียบ

ตั้งแต่ได้กลับไปเจอเขา ผมไม่ได้นึกอยากถามคำถามนี้ เพราะคิดว่าการกระทำและคำพูดของเขาเมื่อสองปีก่อนก็ชัดเจนพออยู่แล้ว และผมก็นึกถึงแต่เรื่องอื่นจนไม่ได้ต้องการคำตอบของเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่เมื่อได้โอกาสถามถึงได้รู้ว่า…จริงๆ นิสัยที่อยากได้ยินคำตอบชัดๆ ของผมเหมือนจะยังคงอยู่

“พูดอะไรของมึง” พี่ภูดีดหน้าผากผมอย่างแรงโดยไม่ออมมือเหมือนจะตำหนิ อีกทั้งเมื่อเงยหน้ามองแล้วเขายังบีบจมูกผมซ้ำเป็นของแถมอีกต่างหาก “กูเพิ่งจะบอกไปว่าเก้าคะแนน…อย่าบอกนะว่ามึงยังไม่รู้ความหมายอีก”

ผมส่ายหน้าตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอามือปิดหน้าตัวเองไว้เพราะพี่ภูทำท่าจะดีดหัวซ้ำอีกครั้ง

“กระต่ายโง่”

“ผมเปล่าสักหน่อย”

“ที่บอกว่าเก้า…ก็เพราะมันเต็มเก้า”

“…”

“ส่วนเรื่องคนที่ใช่…เป็นมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้หรือไง”

ผมเงยขึ้นมองคนพูดตาแป๋วทั้งที่หน้ายังเหวออยู่ ใจที่เต้นแรงกว่าปกติเพราะได้เห็นหน้าเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่า ครั้งนี้จะบอกว่าเป็นเพราะเขินก็คงไม่ใช่ แต่มันเป็นเพราะผมกำลังมีความสุขมากกว่า

เห็นแบบนั้นแล้วพี่ภูก็ยิ้มบาง ก่อนจะยกมือขึ้นมาคล้ายจะแตะแก้มผม แต่ยังไม่ทันที่มือนั้นจะสัมผัสโดน เสียงดุดันจนเกือบจะกลายเป็นการตะโกนจากเจ้าของบ้านก็ดังขึ้น คล้ายจะบอกให้เขาหยุดมือแต่เพียงเท่านั้น…

“ใครอนุญาตให้มาที่นี่!”

 

------------------------------------

 

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-11-2017 19:37:23
ป๋า  :laugh3: ทำมาดุใส่พี่ภู  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 03-11-2017 19:54:23
โอ๊ยยยย คุณป๊า ขอหวานนิดนึงก็ไม่ได้
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-11-2017 19:58:34
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 03-11-2017 20:07:19
พ่อตามาล้าวววว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-11-2017 20:33:58
 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 03-11-2017 20:41:25
เก้าเต็มเก้า เป็นคนที่ใช่มาตั้งนานแล้ว น้องเก้านี่ไม่รู้เรื่องเลย เขิน  :-[
คุณป๋าเนี่ย คิดว่าจะโกรธน้องเก้าได้สักแค่ไหน ไม่ทันไรเลย 555
แต่ชอบคุณป๋าอ่ะ น่ารักดี คนหลงลูกสุด ๆ ครอบครัวนี้เขามีบุคลิกเฉพาะตัวน่าสนใจทุกคนเลย
คุณป๋าทำเสียงเข้มใส่ แต่รู้สึกว่า แค่นี้ทำอะไรพี่ภูไม่ได้หรอก
เชื่อได้เลยว่า นิ่ง ๆ คนจริงอย่างพี่ภูนี่แหละ ต้องถูกใจคุณป๋าแน่ ๆ
คุณป๋าสัมผัสได้อยู่แล้ว ว่าพี่ภูสามารถดูแลลูกสุดที่รักได้ ผ่านชัวร์
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 03-11-2017 20:51:35
งือออออออออ  ขาดตอนนนนนนน  :ling1: :ling1:

พี่ภูจะเจอว่าที่พ่อตาแล้วววววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 03-11-2017 20:52:41
ป๋าาาา ขัดจังหวะะะ
ตอนที่บอกว่าป๋าจะโกรธ 5นาทีคือนานสุดนี่หัวเราะเลยค่ะ
555555555555
คือแบบ เด็กโดนสปอยที่แท้ทรูแล้วเก้าเนี่ย
ไม่แปลกที่จ๋าจะหมั่นไส้บ่อยๆ555
พี่ภูสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 03-11-2017 21:55:23
คุณป๋าทำเข้มต่อหน้าพี่ภูอ่ะ.  :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 03-11-2017 22:13:23
พี่ภูสู้โว้ย o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 03-11-2017 22:20:19
สาม.... สาม....
.
.
...
สามนาที!!!! โธ่ป๋าคะ จะงอนก้อนนานกว่านี้ก็ไม่ได้ กลัวใจบางๆ ของตัวเล็กพังเหรอ...
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 03-11-2017 22:28:38
คุณป๋ามาขัดจังหวะสวีทททเดี๋ยวก้อนก็โป้งให้หรอก555555555 แต่ตลกตอนเฮียๆทายกัน 3 5 10 ไอเราก็นึกว่าหน่วยเป็นวันโถ่แค่นาทีเนี่ยนะ!! :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-11-2017 01:48:17
ป๋าหนอป๋า  ถามได้ว่าใครให้เข้ามา  หันไปถามตัวเล็กของป๋าซิ  :o9:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-11-2017 02:12:08
ทำไมป๋าแพ้ลูกอ้อนง่ายแบบนี้555555
โถ้ไอ้เราก็นึกว่าจะนาน :hao6:
เอาใจช่วยพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 04-11-2017 04:21:23
ป๋าโหด ยอมให้แค่คนเดียวคือเก้า
ชอบที่พี่ภูบอกว่าคะแนนมันเต็มเก้า คึคึ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-11-2017 08:59:20
โถ่ป๋าาา ทำเป็นดุ พอเก้าอ้อนก็หาย 55555 พี่ภูสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 04-11-2017 09:39:40
ทำไมป๊าต้องดุพี่ภูด้วอ่าาาาา :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 04-11-2017 10:44:04
คุณป๋า!!!!!!!มามาดดุอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 04-11-2017 11:03:14
ป๋าาาาาาาาาาาาา คนเขาจะสวีทกัน แหมะ ขัดใจ! #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 04-11-2017 12:06:02
ป๋าาาาาา !!!  อย่าดุน้อง
อย่าทำพี่ภูน้าาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 04-11-2017 19:30:41
เขินแทนเก้า :-[
คุณพี่จะรับมือพ่อตาสุดหวงยังไงล่ะเนี้ย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-11-2017 15:52:29
ยังไงคุณป๋าก็แพ้ลูกอ้อนนังก้อนอยู่ดี ไม่กลัวแล้วววว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[35]==[P.22]== [03/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-11-2017 20:24:42
-36-

 

สถานการณ์ในตอนนี้อาจเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นตึงเครียดถึงขีดสุด…

บริเวณห้องรับแขกอันกว้างขวางของบ้านผมซึ่งปกติมักจะมีคนอยู่ไม่เกินสามคน บัดนี้เต็มไปด้วยบรรดาเฮียหน้าโหดเป็นสิบที่ยืนจ้องหน้าพี่ภูเขม็ง โดยที่ชุดโซฟาชุดใหญ่มีผมนั่งอยู่ข้างพี่ภู ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นจ๋าซึ่งกำลังมองสำรวจพี่ภูด้วยดวงตาแวววาว กับป๋าที่นั่งหน้าเข้ม ถกแขนเสื้อโชว์รอยสักเสริมความเถื่อนให้ตัวเอง

“จ๋า” ผมเรียกจ๋าด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้สึกว่าชักจะจ้องคนของผมมากเกิน ในขณะที่พี่ภูก็ยังคงนั่งหน้าตายด้านอยู่ข้างๆ ผมโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ แม้จะถูกจ้องด้วยสายตาดุดันจากรอบด้าน

“ผ่านค่ะ” จ๋าทำลายความเงียบด้วยถ้อยคำสั้นๆ ที่ทำเอาทุกคนหันขวับไปมองอย่างตกใจ โดยเฉพาะป๋าที่เกือบผุดลุกขึ้นยืนอย่างหมดมาด ดีที่ควบคุมตัวเองไว้ได้เสียก่อน

“คุณหญิง จะมาตัดสินใจง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง ผมไม่ยอมหรอกนะ”

“ไม่ยอมก็เรื่องของคุณสิคะ เอาเป็นว่าหล่อ…หมายถึงดูมีการศึกษา แล้วประวัติก็ขาวสะอาด ดิฉันโอเคค่ะ” จ๋าตอกกลับหน้าตาเฉย ก่อนจะหันมายิ้มให้พี่ภู “เรียกคุณแม่นะคะ”

“คุณ!”

“ว่าแต่ทำไมถึงหลงมาเอาคุณอชิราได้ล่ะคะ ดูแล้วคุณภูน่าจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้”

“จ๋า!”

“ลำไยสองพ่อลูกคู่นี้จัง” จ๋าบ่นเบาๆ ก่อนจะยอมเอนหลังพิงโซฟาโดยไม่พูดอะไรอีก ในขณะที่พี่ภูก็เอาแต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองมาที่ผมซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ

“พี่ภู อันนี้ป๋า จ๋า แล้วที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือพวกเฮียๆ ของผมเอง” ผมไล่แนะนำให้เขาฟังทีละคน “แล้วก็ทุกคน…นี่พี่ภูครับ”

ผมเห็นเฮียๆ ทำหน้าเหมือนสงสัยอยากถามเต็มแก่ก็ได้แต่อมยิ้มขำ อย่างน้อยการมีพวกเฮียอยู่ที่นี่ก็แลดูจะทำให้บรรยากาศกดดันโดยรอบลดลงไปไม่น้อย และในตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะพูดอะไรต่อดีนั่นเอง…อยู่ๆ ป๋าก็หันไปพยักหน้าให้เฮียหนึ่งแบบเนียนๆ

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นลูกเต้าเหล่าใครครับ”

ที่แท้ก็ทักให้ถามแทนเพราะกลัวเสียหน้า…

“ผมชื่อ ภูริ เดรค…” พี่ภูเริ่มพูดเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ ถึงอย่างนั้นก็ดูเป็นการเป็นงานและสุภาพกว่าปกติพอสมควร “ตอนนี้เป็นประธานบริษัท DR ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ครับ”

“ที่อังกฤษเหรอคะ” จ๋าพูดแทรกขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อบริษัท

“ใช่ครับ”

“มหาเศรษฐีเลยนะคะคุณ”

ผมแอบขำเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของจ๋ากับป๋า เพียงแต่ฝั่งหลังนอกจากจะทำหน้าไม่ยินดียินร้ายแล้วยังตอบกลับด้วยเสียงห้วนอีกต่างหาก

“แล้วไง”

พอจบคำพูดของป๋า ความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมอย่างรวดเร็ว เฮียหนึ่งที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยทำท่าจะถามต่อ แต่คราวนี้ป๋ายกมือห้ามไม่ให้เฮียหนึ่งถามและจ้องมองพี่ภูด้วยสายตากดดันโดยตรง

“อย่าคิดว่าแค่มีฐานะแล้วฉันจะยอมง่ายๆ”

ผมหันไปมองหน้าพี่ภูอย่างเป็นกังวล แล้วก็พบว่าเขากำลังจ้องป๋ากลับด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้กัน เพียงแค่นั้นผมก็กลืนคำพูดทุกอย่างที่คิดเพื่อจะช่วยเหลือเขากลับลงไปอย่างรวดเร็ว

“ผมทราบดี” เขาตอบก่อนจะหันมามองหน้าผม เพียงเท่านั้นแววตาก็อ่อนลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเขาจงใจเปิดเผยหรือผมมองออกเอง แต่แค่ได้สบตาผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง “เพราะงั้น…”

ทุกคนหันไปมองพี่ภูด้วยความสงสัย และเขาก็ให้คำตอบด้วยการหันไปพยักหน้าให้เฮียสองที่กลายเป็นพันธมิตรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพียงเท่านั้นเฮียสองก็รีบหลบสายตาป๋า แล้วเดินไปลากกระเป๋าเดินทางจากด้านหลังมาไว้ข้างๆ พี่ภูในทันที

“ตอนนี้ผมให้คนที่ไว้ใจได้ช่วยดูแลโพรเจกต์ปัจจุบันให้ และจะขอมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว”

“ไม่อนุ…!”

“ไม่ทราบว่าทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไรคะ” เสียงถามแทรกของจ๋าที่เงียบไปนานดังตัดคำปฏิเสธของป๋าได้ทันเวลา และเมื่อป๋าจะหันไปโวยวายก็โดนนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวยกขึ้นห้ามไว้จนต้องยอมนั่งนิ่งเหมือนเดิม พอจัดการป๋าเรียบร้อยแล้วจ๋าก็หันกลับมาหาพี่ภูอีกครั้งและพูดต่อ “ถึงจะไม่ได้ประกอบธุรกิจใหญ่โตมากมาย…แต่คุณแม่ก็พอทราบว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นประธานก็ยิ่งไม่ควรทิ้งบริษัทไว้นาน จากการคาดเดาแล้ว กระเป๋าใบนั้นของคุณภูน่าจะใช้สำหรับอยู่ยาวแน่นอน ช่วยบอกได้ไหมคะ…ว่าทำขนาดนี้เพื่ออะไร”

คำถามของจ๋าทำให้พี่ภูต้องเงียบอยู่พักใหญ่ เขาคงรับรู้ได้ว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นจ๋ากำลังจริงจังขนาดไหน ถึงได้ใช้เวลาที่มีเพื่อคิดและทบทวนคำพูด สุดท้าย…เขาก็พูดออกมาช้าๆ

“ทุกอย่าง…ก็เพื่อกระต่ายของผม” พี่ภูจ้องตากับจ๋าเหมือนจะดูว่าใครจะกะพริบตาก่อนกัน และสุดท้ายก็เป็นจ๋าที่เบนสายตามามองผมซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่ใช่หน้ากากออกมาเป็นครั้งแรก

“เดี๋ยวคุณแม่จะให้คนเตรียมห้องข้างๆ คุณอชิราไว้นะคะ”

“คุณหญิง!”

ผมหันไปชูนิ้วโป้งให้จ๋าเป็นการขอบคุณ ดูท่าเรื่องพี่ภู ผมน่าจะเบาใจได้เปลาะหนึ่งเพราะจ๋ายอมรับเขาแล้ว…

ถึงจะทำเหมือนเป็นคนง่ายๆ และช่วยผมโดยไม่บ่นอะไรสักคำ แต่จ๋าก็ไม่ใช่คนที่ยอมรับใครไปทั่ว จริงอยู่ที่มีผมยืนยันแล้วจะช่วยทำให้จ๋าลดเกราะลงหลายระดับ เพราะผมไม่ใช่คนที่จะไว้ใจใครง่ายๆ อยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายรวมถึงเรื่องคนที่ผมชอบและจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เพราะงั้นการที่พี่ภูตอบแค่สั้นๆ และทำให้จ๋ายอมรับได้เลยทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“ยังไงฉันก็ไม่ยอมรับ” ป๋าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดและหัวเสีย ทั้งยังหันไปมองพวกเฮียๆ เป็นการหาแนวร่วมอีกต่างหาก

“ผมยินดีทำให้คุณอายอมรับ…” คำตอบที่ไม่คาดฝันจากพี่ภูทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเขา ซึ่งฝั่งนั้นก็ทำเพียงยิ้มบางส่งมาให้เหมือนเคย “นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่อยู่แล้ว”

ป๋าทำหน้าบูดเบี้ยวแบบที่คนอื่นคงไม่ทันสังเกตเห็น แต่ผมย่อมรู้ดีว่าป๋ากำลังอยากเบะปากสุดขีด ดีที่สุดท้ายยังรักษามาดไว้ได้

“ได้…” ป๋าเหยียดยิ้มไม่น่าไว้วางใจ “ถ้าอยากอยู่ก็จะได้อยู่ แต่คนที่นี่ทุกคนต้องทำงาน โดยเฉพาะ…”

นั่นไง

“ถ้าอยากเข้ามาเกี่ยวดอง ก็ต้องทำให้เป็นทุกอย่าง”

“ผมยินดีทำทุกอย่าง”

“แม้แต่ออกไปทำงานตากแดด?”

“ครับ”

“พี่ภู…” ผมรีบร้องเรียกเพราะไม่อยากให้เขารับปาก

“ไม่เป็นไรหรอก” เขายกมือลูบหัวผมเบาๆ เหมือนจะยืนยันคำพูด แม้มันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะผมรู้ดีว่าป๋าเอาจริงแน่

“เอามือออกเดี๋ยวนี้!” ป๋าผุดลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าพี่ภูด้วยสีหน้าโกรธจัด “ในฐานะเจ้านาย ฉันขอสั่งว่าห้ามแตะต้องตัวเล็กอีก!”

“แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าดิฉันเยอะอีก” จ๋าถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน “คุณอชิราพาคุณภูไปดูห้องเถอะค่ะ งานเอาไว้เริ่มพรุ่งนี้ คุณแม่อนุญาต”

“ไม่ได้นะ!”

“ไปเร็ว” ผมรีบดึงแขนพี่ภูให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเขาเดินออกมา โดยมีเฮียสองลากกระเป๋าของเขาตามมาด้วย แม้จะได้ยินเสียงป๋าโวยวายให้เฮียหนึ่งฟังอยู่ข้างหลังก็ไม่สนใจอีกต่อไป

“จะไม่เป็นไรเหรอ” พี่ภูที่เดินตามแรงจูงของผมอยู่ถามขึ้นมาลอยๆ

“ไม่เป็นไรหรอก…” ผมตอบเขา ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง “พี่มาอยู่ห้องผมก่อน เดี๋ยวคนทำความสะอาดห้องพี่เสร็จแล้วค่อยย้ายของไป”

ใจจริงก็อยากจะบอกว่าผมนอนเตียงเดียวกับเขาจนชินแล้วอยู่หรอก แต่ลองได้พูดแบบนั้นป๋าคงอาละวาดบ้านแตกแน่

“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณหนู” เฮียสองวางกระเป๋าของพี่ภูไว้ตรงมุมห้อง ก่อนจะยิ้มให้ผมแล้วเดินออกไป

พอได้เข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว บรรยากาศกดดันและความกังวลที่สะสมมาตลอดก็จางหายไปช้าๆ ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองซึ่งไม่ได้แตะมานานอย่างหมดแรง ขนาดผมนอนพักที่กรุงเทพฯ ก่อนแล้วค่อยมาเชียงใหม่ยังเหนื่อยขนาดนี้ พี่ภูที่ใช้เวลาแค่นิดเดียวก็ตามมาทันคงได้พักน้อยกว่าแน่ๆ ถึงจะไม่แสดงออกแต่เขาก็คงเหนื่อยน่าดู

“พี่นอนพักก่อนก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร” คนที่กำลังเดินสำรวจห้องผมตอบกลับทันควัน

ผมมองตามเมื่อเห็นเขาเดินไปทั่วห้อง แต่แล้วพี่ภูก็หยุดอยู่ที่กรอบรูปมากมายซึ่งแขวนอยู่บนผนัง และเป็นจุดที่มีกีตาร์เก่าแก่ตัวหนึ่งของผมวางอยู่

“กีตาร์นี่ยังดีดได้อีกเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสงสัยจริงจัง

“ถ้าเปลี่ยนสายก็ยังดีดได้อยู่ แต่ผมไม่ได้เปลี่ยน แค่วางตั้งโชว์ไว้เพราะเป็นกีตาร์ตัวแรกในชีวิตเฉยๆ” ผมอธิบายแล้วกลิ้งตัวไปอยู่มุมเตียงฝั่งที่เขายืน “ส่วนพวกกีตาร์ที่ใช้เล่นได้จริงๆ อยู่ที่ห้องดนตรี เอาไว้ผมจะพาพี่ไปดู ที่นั่นมีเครื่องดนตรีเยอะมากเลยแหละ”

ถึงแม้จะไม่ได้เล่นทุกอย่างบ่อยๆ เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ยังอยู่ที่นี่แล้ว แต่ผมก็ยังให้พวกเฮียๆ ช่วยดูแลรักษาทุกอย่างในห้องดนตรีเป็นอย่างดี เพราะถึงจะไม่ได้ใช้งานแต่พวกมันก็เป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับผม กว่าจะเล่นได้ทุกอย่างและขอร้องให้จ๋าซื้อให้ได้ผมใช้เวลาอยู่นาน มีทั้งของที่ป๋าแอบซื้อให้และของขวัญวันเกิดแต่ละปี เพราะงั้นผมจึงรักษาของพวกนั้นเหมือนเป็นสมบัติที่มีค่ามากมายมหาศาล

“แล้วรูปพวกนี้…มึง?” เขาชี้ไปที่รูปทั้งหลายที่แขวนอยู่

“อื้อ”

“หึ…” พี่ภูหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะจ้องรูปเหล่านั้นทีละรูปจนครบ จากนั้นเขาก็หันมาหาผมแล้วชี้ไปที่รูปตรงกลาง “รูปนี้คนเยอะมาก”

“อันนั้นถ่ายตอนวันเกิดผมแปดขวบ” รูปใบที่พี่ภูชี้คือรูปที่มีผม ป๋า จ๋า นมสาย แล้วก็เฮียๆ อยู่กันครบทุกคน มันเป็นรูปที่ผมบังคับให้พวกเขายืนถ่ายเหมือนเวลาถ่ายรูปรวมนักเรียน พอออกมามันเลยดูตลกๆ ถึงอย่างนั้นก็เป็นรูปที่มีค่ามากสำหรับผม “จำได้ว่าตอนนั้นพวกเฮียๆ ที่ดูแลไร่เอาแต่ทำงานกันไม่ยอมมาร่วมงาน ผมเลยร้องไห้งอแงจนป๋าต้องประกาศเรียกรวมทุกคนให้มาถ่ายรูป กว่าเฮียคนสุดท้ายจะมาก็เล่นเอาเทียนบนเค้กแทบหมดเล่ม”

“เอาแต่ใจ” พี่ภูนั่งลงบนพื้นข้างๆ ก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวผมที่ห้อยอยู่ข้างเตียงเบาๆ

“ยอมรับเลย ตอนเด็กๆ ผมนี่โคตรเอาแต่ใจ”

“ตอนโตล่ะ”

“ก็ยังเป็นอยู่” เขาเรียกว่าเป็นคนยอมรับความจริง

“น่าเตะ”

“จะเตะก็รีบเตะนะ” ผมบอกเขายิ้มๆ ทั้งที่ยังมองคนหน้าดุแบบกลับหัวอยู่ “เดี๋ยวออกไปข้างนอกแตะตัวผมไม่ได้แล้วจะหมดโอกาส”

พี่ภูเลิกคิ้วเหมือนจะคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเข้าใจว่าผมหมายถึงเรื่องที่ห้ามแตะตัวผมต่อหน้าป๋า เขาก็ยิ้มออกมาแล้วยื่นมือมาบีบจมูกผมอย่างแรง

“หมั่นไส้ว่ะ มาอยู่นี่แล้วทำตัวใหญ่เลยนะมึง”

“แน่นอน…ให้รู้ซะบ้างว่าที่นี่ใครใหญ่” ผมแกล้งยิ้มเหยียดๆ จนโดนพี่ภูบิดแก้มกลับมาหนึ่งที หลังจากนั้นเขาก็มองหน้าผมต่ออีกสักพัก ก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วนั่งลงข้างๆ ผมบนเตียง

“พ่อมึงหวงมึงมากกว่าที่กูคิดเยอะเลย”

“อื้อ” ผมพยักหน้ายืนยัน “เพราะเป็นลูกคนเดียวด้วยมั้ง”

“พวกเฮียๆ ของมึงก็เหมือนกัน”

“ใช่…พวกเฮียก็ไม่ต่างจากป๋าหรอก”

“ชีวิตมึงสมบูรณ์แบบกว่าที่กูคิดเสียอีก…”

ผมยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขา สิ่งที่ผมรู้สึกได้จากคำพูดของพี่ภูมันไม่ใช่ความไม่สบายใจหรือหวังร้ายอะไร แต่เป็นเหมือนคำพูดของคนที่อยู่ต่ำกว่าและรู้สึกว่าไม่คู่ควร ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

“ผมก็บอกพี่แล้วว่าตัวเองเป็นคนเก่งและเพอร์เฟกต์สุดๆ…” ผมพูดติดตลกเพื่อเรียกให้คนที่กำลังเหม่อหันกลับมาสนใจ “ถ้าอยากจะทำอะไรให้สำเร็จ ขอแค่ตั้งใจผมก็สามารถทำได้ง่ายๆ เป็นคนเก่งเว่อร์แบบที่สมควรจะเอาไว้บูชาอะไรแบบนั้นเลยว่าไหม”

“เว่อร์…” พี่ภูส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม เห็นเขากลับมาเป็นคนเดิมได้ผมก็รู้สึกดีตามไปด้วย

“แต่ว่านะพี่ภู…เวลาผมบอกว่าตัวเองเพอร์เฟกต์หรือสมบูรณ์แบบ มันมักจะมีใครสักคนมาขัดนั่นขัดนี่อยู่ตลอด แล้วก็มีอยู่คนหนึ่งที่ชอบบอกว่าผมเตี้ย โง่ ปัญญาอ่อน ถึงเขาจะพูดเล่นๆ แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วผมถึงได้เข้าใจว่า…ความสมบูรณ์แบบในความหมายของคนแต่ละคนมันแตกต่างกัน” ผมจับมือเขามากุมไว้ ก่อนจะมองดวงตาสีเทาของคนตรงหน้านิ่งงัน “พี่อาจคิดว่าตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แบบ ผมต่างหากที่สมบูรณ์แบบ…ซึ่งพี่ควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว แต่จริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

“…”

“พอได้เจอพี่ ผมถึงรู้…ว่าตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แบบเลยสักนิด เพราะผมหน้าตาดีน้อยกว่า เตี้ยกว่า แถมจากที่ฉลาดยังโง่ขึ้นมาได้โดยไร้เหตุผลแค่เพราะคนคนเดียวอีกต่างหาก”

“อืม…”

“มันไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง…แม้แต่คนหน้าด้านและมั่นหน้าอย่างผมก็ต้องยอมรับ” อันนี้ยอมลงทุนว่าตัวเองแล้วนะ ถ้ายังทำหน้าเศร้าอยู่ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว แต่ดีที่พี่ภูยิ้มออกผมเลยไม่ต้องเครียดต่อ

“ขอบคุณ” เขาบอกผม ก่อนจะบีบมือกลับมาเบาๆ เป็นการย้ำคำพูดนั้น ซึ่งผมก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับด้วยความสุขใจ

จะมีอะไรดีไปกว่าการทำให้คนที่เรารักยิ้มได้อีกวะ…

 

 

ช่วงเวลาเย็นที่แดดหมดแล้ว ผมได้รับถ่ายทอดคำสั่งจากคุณหญิงเจ้าของไร่ให้พาพี่ภูไปเดินเล่นและสำรวจบ้านของเรา แน่นอนว่าบ้านในความหมายของจ๋าย่อมรวมถึงไร่ผลไม้หลายร้อยไร่ด้วย ผมเลยตัดสินใจพาพี่ภูเดินชมภายในบ้านแบบไวๆ เพราะรู้สึกเหมือนมีสายตาดุดันจ้องมองอยู่ตลอดเวลาคล้ายโดนวิญญาณอาฆาต พอได้ออกจากบ้านค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย

โปรแกรมทัวร์ของผมคือการพาพี่ภูเดินไปที่โรงรถและหารถสักคันขับพาเขาไปให้ทั่ว ซึ่งปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตอนเดินไปหรอก เพราะวันนี้แดดหมดแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ที่โรงรถต่างหาก…

“คุณหนู อย่างน้อยให้ผมขับให้เถอะนะครับ” เฮียสิบสี่ที่เป็นคนดูแลที่นี่แทบจะก้มกราบอ้อนวอนผมให้พาเขาไปด้วย เพราะไม่ไว้ใจให้ผมขับรถเอง

“เฮียไม่ให้ผมขับเองก็ไม่เป็นไร พี่ภูขับได้” พูดจบ คนข้างๆ ถึงกับเลิกคิ้วสูงคล้ายไม่เข้าใจว่ามาตกลงกับผมตอนไหน แต่ถึงอย่างนั้นพี่ภูก็ไม่ได้พูดปฏิเสธอะไรออกมา

“ลูกผู้ดีที่ขับออดี้คันละหลายล้านจะมาขับรถกระจอกๆ แบบนี้ได้ยังไงครับ”

“ป๋ายังขับได้เลย ป๋าก็รวยนะ” ผมเถียงอย่างเป็นเหตุเป็นผล

“คุณหนู…” เฮียทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ซึ่งมันดูไม่เข้ากับหนวดเฟิ้มๆ กับหน้าโหดๆ นั่นอย่างแรง

“ถ้าเป็นรถจี๊ปคันนั้นผมขับได้” พี่ภูที่เงียบไปนานกู้สถานการณ์คืนมาด้วยการชี้ไปที่รถจี๊ปคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก และมันทำให้เฮียสิบสี่ต้องรีบเก็บอารมณ์เมื่อครู่เหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนี้ ผมอยากจะขำก็ขำไม่ออกเพราะสงสาร สุดท้ายเลยได้แต่กลั้นยิ้มแล้วเสมองไปทางอื่นแทน

พอเห็นว่ายังไงผมก็ยืนยันที่จะไปกับพี่ภูแค่สองคนให้ได้ เฮียแกก็ถอนหายใจ หันไปกดโทรศัพท์ยุกยิกคุยกับคนอื่นอยู่สักพักแล้วก็พยักหน้าให้เป็นอันตกลง สรุปว่าผมใช้เวลาอยู่ในโรงรถครึ่งชั่วโมงพอดี…

“ตอนนี้คุณก็มีศักดิ์เป็นคนงาน คงรู้นะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแล้วจะเป็นยังไง”

ก่อนไปยังไม่วายขู่อีกรอบ…

“ผมจะดูแล ‘คุณหนู’ ให้ดีที่สุด”

โดนเรียกว่าคุณหนูมานาน ทำไมมาเขินเอาตอนนี้วะแม่ง…

“พี่ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหนูได้ไหม” ผมหันไปบอกพี่ภูหลังจากที่เราขับรถออกมาแล้ว

“ตอนนี้ผมเป็นคนงาน ก็ต้องเรียกคุณหนูว่าคุณหนูสิ” พี่ภูตอบกลับหน้าตาเฉย แต่ตากลับเป็นประกายขบขันโดยไม่นึกปิด

“แค่พูดเพราะก็ไม่ชินแล้ว”

“หึ”

“แล้วนี่เรื่องทำงานเอาจริงเหรอ” ผมถามต่อเพราะต้องการรู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร สิ่งที่ป๋าพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น พรุ่งนี้ต้องใช้งานพี่ภูจริงๆ แน่นอน ที่บอกว่าถ้าอยากให้ยอมรับและอยากมาเกี่ยวดองต้องทำให้เป็นทุกอย่าง ป๋าก็แค่พูดเพื่อให้ยอมแพ้แล้วไปให้พ้นๆ เท่านั้นเอง

“ก็บอกไปแล้วว่าจริง” เขาตอบง่ายๆ เหมือนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเครียดอะไร แต่ผมที่เป็นคนฟังเนี่ยดิ เครียดจะตายห่าอยู่แล้ว

“พี่…”

“อย่าคิดมากเลยน่า” พี่ภูลดความไวของรถลงจนเกือบเป็นหยุดนิ่ง ก่อนเขาจะหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้ “ทีมึงยังทำได้ตั้งหลายอย่าง แล้วกับแค่การทำให้พ่อมึงยอมรับ ทำไมกูจะทำไม่ได้วะ”

“นั่นมัน…”

“ทีนี้เลิกทำหน้าเครียดแล้วกลับมายิ้มให้กำลังใจกูเหมือนเดิมได้แล้ว” เขาว่าแล้วฉีกยิ้มแปลกๆ แบบที่ตาไม่ได้ยิ้มตามจนผมต้องหลุดขำออกมาเพราะมันดูตลก เห็นแบบนั้นแล้วพี่ภูก็กลับไปยิ้มบางๆ แบบปกติ ก่อนจะยกมือลูบหัวผม “แบบนี้ล่ะดีแล้ว”

“ครับ”

“แต่ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับพ่อมึงพรุ่งนี้…ตอนนี้พากูเที่ยวให้ทั่วก่อนดีกว่า”

“อื้อ…พี่เลี้ยวซ้ายตรงนี้เลย เดี๋ยวผมพาไปดูไร่ส้ม”

ผมให้พี่ภูขับรถไปที่ไร่ส้มซึ่งกินพื้นที่มากที่สุดกว่าทุกส่วน ก่อนจะบอกให้เขาขับอ้อมไปจอดรถตรงฟาร์มม้าที่อยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นผมก็เดินนำเขาไปหาเฮียหกที่กำลังแปรงขนให้ม้าอยู่ โชคดีที่เฮียแกรู้เรื่องพี่ภูอยู่แล้วเลยไม่ได้ทำตัวงอแงอะไร แค่ช่วยเลือกม้าให้ผมหนึ่งตัว ก่อนจะเดินกลับไปทำงานต่อ

“บ้านมึงมีทุกอย่างเลยหรือเปล่า”

“เหมือนเอาอะไรที่แต่ละคนชอบมารวมๆ กันมากกว่า” ผมอธิบายทั้งเสียงหัวเราะ ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าสีดำสนิทแล้วตบที่ด้านหลังตัวเองเบาๆ “มาๆ เดี๋ยวผมพาเที่ยวเอง”

คงต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้พี่ภูขี่ม้าไม่เป็น ผมเลยมีโอกาสได้นั่งม้าตัวเดียวกับเขา ซึ่งจริงๆ ก็อยากจะนั่งซ้อนหลังนะ จะได้แต๊ะอั๋งได้สะดวกๆ หน่อย แต่ผมรู้ตัวดีว่าถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะกลิ้งตกเสียเองเพราะพี่ภูตัวสูงกว่าใหญ่กว่า สุดท้ายเลยจำต้องนั่งหน้าให้เขาซ้อนอยู่ด้านหลังตามระเบียบ

“ไปสิ” เขากระตุกชายเสื้อผมเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ออกตัว ผมเองก็ทำตามนั้นโดยไม่คิดขัด “พูดต่อสิ…”

“อ๋อ…ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ ครอบครัวผมแยกระหว่างความฝันกับงานการที่ต้องทำ อย่างป๋าก็ต้องสืบทอดกิจการต่อจากปู่ แต่พออะไรๆ เริ่มอยู่ตัวแล้วก็จัดการทำฟาร์มม้าตามความฝันของตัวเอง ส่วนจ๋าพอมาแต่งงานกลายเป็นแม่บ้านแล้ว ก็เอาเงินเก็บที่มีมาลงทุนทำไร่ส้มตามความฝันเหมือนกัน…”

เราเป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและมีฐานะมาตั้งแต่รุ่นก่อนๆ ถึงอย่างนั้นป๋ากับจ๋าของผมก็ยังไม่อยากหยุดอยู่แค่นั้น พวกท่านยังคงต้องการทำตามความฝันเล็กๆ ด้วยความสามารถของตัวเองมาโดยตลอด

“ผมเองก็คงได้แนวคิดนี้มาด้วยเหมือนกัน…ความฝัน ขอแค่พร้อมแล้วเมื่อถึงเวลาก็สามารถทำได้ แต่เป้าหมายหรืออนาคตมีระยะเวลากำหนด อนาคตผมเองก็คงไม่ต่างกับพี่…อีกยี่สิบสามสิบปีอาจจะต้องไปรับช่วงต่อจากป๋า เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจอยากใช้เวลาที่ยังมีทำสิ่งที่ต้องการ ส่วนความฝัน…ถ้ามันพร้อมทุกอย่างจริงๆ สักวันก็ต้องได้ทำแน่”

ตอนแรกผมก็ยังลังเลและไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่ช่วยสอนให้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ และมองเห็นหนทางมากขึ้น รู้ตัวอีกทีก็ได้คำตอบแล้วว่าอยากให้อนาคตเป็นแบบไหน

“อืม” คนที่อยู่ด้านหลังผมตอบรับสั้นๆ

ผมพาพี่ภูขี่ม้าลุยไร่ส้มชื่นชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ พอไม่มีแสงอาทิตย์แล้วก็ไม่ต้องคอยห่วงว่าคนที่อยู่กับอากาศเย็นๆ มาโดยตลอดจะโอเคหรือเปล่า แต่ดูเหมือนผมจะเริ่มเพลินเกินไปหน่อยถึงได้เร่งความเร็วตามความเคยชิน มารู้ตัวเอาก็ตอนคนด้านหลังขยับแขนที่มากอดเอวไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งยังวางคางไว้บนไหล่ผมอย่างสบายอารมณ์อีกต่างหาก

“ลดความเร็วทำไม กำลังสบาย” เสียงกระซิบกับลมหายใจร้อนที่อยู่ข้างหู ส่งผลให้ความร้อนวาบผ่านใบหน้าอันหยาบกระด้างของผมในที่สุด ตอนนี้ไม่ต้องมองกระจกก็ยังรู้ว่าผมต้องกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ และดูเหมือนตัวต้นเหตุจะรู้ดีเสียด้วย เขาถึงได้หัวเราะเบาๆ แล้วขยับหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

“พะ…พี่แปลกไปนะ”

ตะกุกตะกักหาอะไรวะไอ้เก้า…โคตรน่าขายหน้า

“มึงน่าแกล้งเอง” ว่าแล้วก็กระชับอ้อมแขนเป็นการย้ำจนร่างกายผมแข็งเป็นหินหนักกว่าเดิม

“นิสัยไม่ดี”

“ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบทำเหมือนอยากแต๊ะอั๋งกูนักหนา ตอนจะเอาม้ามาก็ทำหน้าเหมือนอยากขี่ตัวเดียวกัน แต่พอกูจับแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึง ตัวแข็งเป็นหิน…แบบนี้จะไม่ให้แกล้งได้ยังไง”

เป็นการอธิบายความที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด…ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง สุดท้ายผมเลยได้แต่ทำหน้าบิดเบี้ยวโดยไม่เถียงอะไร…และคนที่ผมคิดไปเองว่าขี่ม้าไม่เป็นก็เอื้อมมือมากระตุกบังเหียนให้ม้าหยุด ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงติดจะขำอยู่ไม่น้อย

“กูแค่ไม่ตอบตอนที่มึงถามว่าขี่ม้าเป็นหรือเปล่า…ไม่ได้หมายความว่ากูขี่ไม่เป็น”

เกลียดพี่ภูได้ไหมวะ…

คนตัวสูงที่นั่งซ้อนหลังผมอยู่กระโดดลงจากหลังม้า แล้วมองผมจากด้านล่างด้วยใบหน้ายิ้มๆ เขาไม่ได้พูดอะไรตอนที่เห็นผมทำหน้าไม่พอใจ แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดังเหมือนกลั้นไว้ไม่ไหว ทำเอาหน้าผมบูดหนักกว่าเดิม

“พี่ไปอารมณ์ดีมาจากไหนเนี่ย” ผมถามอย่างอดไม่ได้ รู้สึกวันนี้จะอารมณ์ดีขี้เล่นเสียเหลือเกิน

“คำตอบเดียวกับที่กูถามตอนมึงไปอังกฤษนั่นล่ะ” เขาตอบง่ายๆ “เพราะมาที่นี่แล้วไม่มีภาระอะไร เหมือนได้พักผ่อนเต็มที่…แล้วก็ได้อยู่กับมึงด้วย”

ทำไมคนพูดเขาถึงไม่แสดงอาการอะไรได้…แต่คนฟังอย่างผมกลับต้องนั่งเม้มปากกำหนดลมหายใจ เพื่อควบคุมอุณหภูมิบนใบหน้าอยู่คนเดียววะ

“ผมจะฟ้องป๋าว่าพี่แกล้งผม”

“อยากให้ป๋ามึงเหม็นขี้หน้ากูมากกว่าเดิมเหรอ”

“…”

“ว่าไง”

“ไม่ฟ้องก็ได้”

“ฮ่าๆ น่ารักว่ะแม่ง”

ไม่ดีใจหรอกที่มาชม…ไม่ต้องมามองด้วยตาระยิบระยับด้วย ผมไม่หลงกลหรอกบอกเลย

“เงียบนะ” ผมพองลมจนแก้มป่องเพราะกลั้นยิ้มมากไป ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่ากำลังอยากยิ้มตามเขา แค่นี้ก็แพ้พี่ภูไปหมดทุกเรื่องแล้ว ขืนยังยอมอยู่อย่างนี้ผมไม่มีวันตามเขาทันแน่

“รับทราบครับคุณหนู” เขายื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ ก่อนจะหันไปจูงม้าให้เดินไปช้าๆ แทน “ตรงนี้วิวดี เดินสักพักก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวผมลงไปเดินด้วย” ผมว่าแล้วทำท่าจะลงจากหลังม้า แต่โดนอีกคนส่ายหน้าห้ามไว้

“ผมปล่อยให้คุณหนูลงมาเดินไม่ได้หรอก นั่งแบบนั้นดีแล้ว”

“บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไง แล้วก็อย่าพูดเพราะด้วย”

นอกจากจะทำให้ขนลุกเพราะไม่ชินแล้ว มันยังทำให้เขินด้วย…ไม่รู้หรือไง

“ครับคุณหนู”

“พี่ภู!”

“ว่าไงคุณหนู”

“กวนตีน…”

“ฮ่าๆ”

“แม่ง…”

ควรจะดีใจหรือเสียใจดีวะที่เห็นเขาอารมณ์ดีจนกวนตีนผมได้มากขนาดนี้

“คุณหนูนั่งดีๆ หน่อย เดี๋ยวหวอออก”

“กูไม่มีหวอ!”

 

-------------------------------------

 

 

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 10-11-2017 20:39:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 10-11-2017 20:46:25
 :katai2-1:ไม่มีอะไรเกินความสามรถพีภูหรอกเราเชื่อ เราเชื่อตัวนะๆๆๆๆๆ เรามาเชียร์ตัวนะๆๆๆ5555ผ่านเฮียๆไปก็พอจ้าอย่าเจ็บก็พอ55
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 10-11-2017 20:50:10
555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 10-11-2017 20:54:41
แหม หวานกันจริงเชียว  :-[
ครอบครัวนี้น่ารักจัง คุณป๋ากับเฮีย ๆ ตลกดีอ่ะ  555
พี่ภู จะต้องกลายเป็นคนงานจริง ๆ เหรอ โดนคุณป๋าแกล้งเยอะแน่เลย
แต่มีจ๋าเข้าข้างซะอย่าง คงไม่หนักหนาหรอกเนอะ
อยากให้ภาม มาเที่ยวไร่ส้มเร็ว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-11-2017 21:01:23
อะไรทำให้พี่ภูคิดว่าคุณหนูมีหวอ  :confuse:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 10-11-2017 21:15:29
555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 10-11-2017 21:29:11
คุณหนูเก้ามีหวอ .. หรอ :mew4: พี่ภู... เห็นอัลไรรร
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 10-11-2017 21:40:31
ความมุ๊งมิ๊งที่รอมานาน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-11-2017 22:01:01
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 10-11-2017 23:05:38
 :katai2-1:
ไม่มีอะไรเกินความสามารถพี่ภูแน่นอนนนนน5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 11-11-2017 01:27:31
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 11-11-2017 02:03:17
 :o8: :-[ :o8: :-[  เขิลลลลลลมากกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 11-11-2017 05:29:29
ชอบตอนล่าสุดมาก~
เค้ามุ้งมิ้งใส่กันแล้ว
พี่ภูน่ารักอ่ะ อิจฉาน้องกระต่ายเบาๆ
อ่านไปยิ้มไป น่ารักๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-11-2017 09:08:10
เอาใจช่วยพี่ภูผ่านด่านป๋าให้ได้นะ :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 11-11-2017 09:36:55
โอ๊ยยยยย ชอบบบบบบบบบ :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-11-2017 09:46:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-11-2017 16:43:45
โอ้ย เขินนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 11-11-2017 17:30:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-11-2017 20:31:48
อิจฉาเก้าได้มั้ยยย  ฮรื้อออ พี่ภูววววววววว :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 12-11-2017 22:35:39
ทำไมอิจฉาเก้าว่ะ!! ขอได้ไหม ขอพี่ภูมาให้เรา ฉันอยากได้พี่ภู #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-11-2017 00:07:54
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 13-11-2017 00:53:46
หูยยยพี่ภูสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 13-11-2017 01:00:44
เกลียดหวอออก555555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[36]==[P.23]== [10/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-11-2017 18:02:14



-37-

 

“เฮียสอง! พี่ภูหายไปไหน!”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณหนู”

“เฮียหก! เห็นพี่ภูไหม!”

“ไม่เห็นครับ คุณหนูมีอะไรรึ…”

“ไม่มี! ผมไปหาจ๋าก่อนนะ”

ผมใช้เวลาสิบห้านาทีไปกับการวิ่งไปวิ่งมาตามหาคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อคืนผมแยกห้องนอนกับเขาก็จริง แต่ก็บอกไว้แล้วว่าตอนเช้าจะไปปลุก แล้วนี่มันอะไรกัน…ผมว่าตัวเองตื่นไวกว่าปกติแล้วนะ แต่พอเปิดประตูเข้าไปในห้องข้างๆ กลับพบว่าข้าวของบนที่นอนถูกวางพับเก็บเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน แม้แต่กระเป๋าเดินทางของพี่ภูก็หายไปด้วย

อย่าบอกนะว่า…

“จ๋า! พี่ภูทิ้งเราไปไหนไม่รู้!” ผมโวยวายเสียงดัง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องดูหนังที่มีคุณผู้หญิงของบ้านนั่งทำกิจวัตรประจำวันอย่างการดูละครตอนเช้าอยู่

“เบาๆ ค่ะ กำลังสนุก” จ๋าหันมาดุผมแล้วหันกลับไปมองโทรทัศน์จอโตโดยไม่สนใจอะไรอีก ทำเอาผมต้องวิ่งเข้าไปหาแล้วเขย่าๆ แขนให้หันกลับมาสนใจตัวเอง

“จ๋าช่วยเราก่อน พี่ภูหายไปไหนไม่รู้”

“หยุดเขย่าเสียที เดี๋ยวก็ฟาดด้วยแก้วน้ำเสียนี่” จ๋าถลึงตาใส่ผมพร้อมกับชูแก้วน้ำส้มในมือขึ้นเป็นเชิงขู่ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยุดมือแล้วทำหน้าตึง

“พี่ภูหายไป เราเป็นห่วง จ๋าเห็นพี่ภูไหม”

“พอเป็นเรื่องคนคนนี้แล้วกลับไปทำตัวเหมือนเด็กทุกทีสิน่า” บ่นเสร็จแล้วก็ยกน้ำขึ้นจิบด้วยมาดผู้ดีที่ดูน่าหมั่นไส้ “คุณแม่ก็ยังไม่เจอคุณภูค่ะ แต่รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคุณป๋าพึมพำว่าจะให้ใครสักคนไปนอนที่บ้านเล็กริมน้ำ…”

“เราไปละ” ผมยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มจ๋าเป็นการขอบคุณจนฝั่งนั้นร้องยี้ ก่อนจะวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

บ้านเล็กริมน้ำที่จ๋าบอกเป็นบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านหลักนัก ถ้าเดินไปก็อาจต้องใช้เวลาประมาณสิบห้านาที มันเป็นบ้านพักนอนเล่นที่ไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่ผมที่มักจะแอบไปนอนเล่นบ่อยๆ เพราะชอบบรรยากาศบริเวณนั้น และอีกอย่าง…

โฮ่ง!

มันเป็นที่อยู่ของเดอะแก๊งผมเอง

“จัดของตามสะดวก ต่อไปมานอนที่นี่”

เพียงแค่เดินเข้าใกล้ประตูผมก็ได้ยินเสียงเฮียหนึ่งดังขึ้นมา และในวินาทีที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปด้านใน เสียงเห่าที่ได้ยินตอนแรกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเพื่อนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามานานจะวิ่งกรูกันมาจากหลังบ้าน

โฮ่ง! โฮ่ง!

เสียงเห่าของหมาโกลเด้นที่วิ่งนำมาก่อนใครเพื่อนดังที่สุด มันคงจำผมได้เลยวิ่งมาหาจากทางหลังบ้าน มาถึงแล้วก็วิ่งวนไปวนมาดมฟุดฟิดจนผมต้องนั่งยองๆ เพื่อเล่นด้วย จากนั้นไม่นานหมาอีกห้าตัวที่เหลือก็วิ่งตามมาบ้าง ผมได้แต่หัวเราะเมื่อโดนพวกมันแลบลิ้นเลียมือเลียเท้า

“ตัวเล็ก” เสียงป๋าที่พูดขึ้นอย่างตกใจทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง ก่อนจะพบว่าที่ประตูซึ่งเปิดอ้าไว้มีร่างของป๋า เฮียหนึ่ง แล้วก็พี่ภูยืนอยู่ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาพวกเขา

“ป๋าพาพี่ภูมาที่นี่ทำไม” ผมขมวดคิ้วมองป๋าด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางของพี่ภูวางอยู่ข้างๆ คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ขมวดแน่นกว่าเดิม

“ป๋าจะให้มัน…หมายถึงเขามาอยู่ที่นี่” ป๋าตอบก่อนจะหลบสายตาผม

“ทำไมให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่”

“เอ่อ…”

“จะได้มาทำงานสะดวกไงครับคุณหนู” เฮียหนึ่งเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นผมจ้องป๋าตาเขม็ง แต่ผมรู้ดีว่าเฮียก็แค่พูดไปแบบนั้นเอง เพราะจริงๆ แล้วที่ป๋าให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อกันเขาให้อยู่ห่างจากผมต่างหาก

“ป๋าจะให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ…” ไม่รู้หรือไงว่าเราต้องใช้เวลากว่าจะมาหาเขาได้ มันลำบากจะตาย

“ตัวเล็กอย่าเถียงป๋าสิครับ เรื่องเมื่อวาน…”

“ไม่เกี่ยว!” ผมรีบพูดแทรก “ป๋าหายโกรธแล้วก็คือหายโกรธแล้ว ห้ามเอามาโกรธใหม่ มันไม่แมน”

“อ้าว…”

“ก้อน…” พี่ภูเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะส่ายหน้า “กูเต็มใจมาอยู่ที่นี่เอง อย่าทำเสียงแข็งใส่พ่อ”

จริงๆ ผมก็ทำเล่นๆ ไปแบบนั้นเอง และป๋าก็รู้อยู่แล้วด้วย เพราะเราล้อเล่นกันแบบนี้มาโดยตลอด แต่พอเห็นพี่ภูดูจริงจังผมเลยได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจแล้วหันไปทำปากขมุบขมิบบอกป๋า

“เห็นไหมว่าเขาดีขนาดไหน”

“เฮอะ…ไม่รู้ล่ะ กลับไปกินข้าวที่บ้านใหญ่กับป๋าด้วย” ป๋าสะบัดหน้าหนีแล้วเดินออกไปด้านนอกเป็นการตัดบท แต่ก่อนไปไม่วายหันมาย้ำพี่ภูอีกที “ทำงานให้เรียบร้อย…แล้วก็อย่าลืม…ห้าม! แตะ! ต้อง! ตัว! เล็ก!”

จบคำแล้วป๋าก็หันหน้าเดินจากไปพร้อมเฮียหนึ่ง ปล่อยให้ผมกับพี่ภูมองตามหลังแบบเพลียๆ โดยมีบรรดาหมานั่งเงียบกริบรออยู่ข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม

“ป๋าสั่งงานอะไรพี่บ้าง” ผมหันกลับมาถามถึงเรื่องสำคัญ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ พี่ภูก็ดึงแขนให้เดินตามเข้าไปในตัวบ้านเสียก่อน

บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก ข้างบนมีห้องนอนแค่ห้องเดียว ส่วนข้างล่างมีห้องรับแขกและห้องครัวเหมือนบ้านทั่วไปทุกประการ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีเครื่องเรือนอะไรมากนักเพราะไม่เคยมีใครมาอยู่นานๆ ผมจะมาใช้ก็แค่ตอนที่ต้องการแต่งเพลงเงียบๆ คนเดียวหรือมาอ่านหนังสือ เพราะมันอยู่ติดกับสระขุดและเป็นทางรับลมเลยมีอากาศที่ดีมาก โดยเฉพาะบริเวณระเบียงห้องนอน

ส่วนพวกแก๊งหมาของผมเองจะมีที่นอนอยู่หลายจุด ถ้าผมไม่อยู่พวกมันจะไปอยู่ตรงบ้านพวกเฮียๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกล ช่วงกลางวันก็มักจะมีคนเล่นด้วยและดูแลตลอด บางทีก็จะปล่อยให้วิ่งอิสระเหมือนอย่างวันนี้ที่มันวิ่งมาหาผม ส่วนถ้าผมอยู่พวกมันจะไปนอนที่บ้านใหญ่ด้วยกัน แต่ส่วนมากพวกมันจะมาอยู่ที่นี่เสียมากกว่า เรียกได้ว่าชีวิตดีและมีที่นอนเยอะกว่าผมอีก

“กินข้าวยัง”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยพี่ภู สรุปว่าป๋าสั่งให้พี่ทำอะไรบ้าง” ผมมองหน้าคนที่ยังทำท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยความหงุดหงิด แต่แทนที่จะสำนึกแล้วรีบตอบ เขากลับหัวเราะแล้วยื่นนิ้วมาจิ้มมุมปากผมซะอย่างนั้น

“บอกให้ยิ้มให้กำลังใจก็พอไง”

“ไอ้ยิ้มมันก็ได้อยู่หรอก แต่ให้ทำอย่างเดียวไม่ไหว…พี่ก็รู้ว่าผมอยู่นิ่งไม่ได้” ผมอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่เมื่อโดนจิ้มมุมปากมากเข้าก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมาจนได้

“ไม่ได้ทำอะไรหนักหนานักหรอก” เขายักไหล่ ก่อนจะจับจ้องไปที่หมาของผมที่กำลังวิ่งไปวิ่งมาเต็มบ้าน

“บอกมาให้หมด”

“อย่างแรกก็ให้เข้าสวนกับคนชื่อแปด…ไปเรียนรู้งานแล้วก็รดน้ำส้มในไร่ เสร็จแล้วไปฟาร์มม้ากับคนชื่อหก ไปให้อาหารม้าแล้วก็ช่วยทำความสะอาด สุดท้ายตอนเย็นค่อยกลับมาอาบน้ำให้เพื่อนคุณหนูทั้งหกตัว”

“ทำไมมันเยอะแบบนั้น แค่งานที่ไร่ก็หนักจะตายแล้วนะ” ผมบ่นด้วยความหงุดหงิดใจ แค่ได้ยินแพลนที่ว่าก็เหนื่อยแทนแล้ว

“เปิดประสบการณ์ใหม่” พี่ภูตอบรับง่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “มึงไปหาอะไรทำไป กูจะไปทำงานแล้ว”

“ผมไปด้วยดิ”

“มึงกลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ไป” เขาโบกมือไล่

“แล้วพี่ไม่กินข้าวหรือไง”

“เดี๋ยวไปหากินที่นั่น”

ผมเม้มปากแน่นเพราะหมดทางเถียง ทั้งยังเป็นเวลาเดียวกับที่เฮียสามเปิดประตูเข้ามาหาพอดี สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยให้เขาเดินจากไปพร้อมเฮีย

ป๋านะป๋า…อยากแกล้งก็แกล้งไป แต่ผมไม่ยอมอยู่เฉยแน่

 

 

หลังจากกลับมาถึงบ้านใหญ่แล้วผมก็ไปกินข้าวกับป๋าตามปกติ ส่วนจ๋ากินหมดไปก่อนแล้วเพราะทนรอไม่ไหว บรรยากาศในบ้านเกือบจะเงียบเหงา เพราะผมเอาแต่คิดแผนว่าจะช่วยพี่ภูยังไงจนลืมชวนป๋าคุย มารู้ตัวก็ตอนเห็นอีกฝ่ายเดินสะบัดตูดงอนกลับเข้าไปในห้องทำงาน กว่าจะง้อได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบห้านาที

“นม…ข้าวกล่องของเก้าล่ะ” ผมกอดเอวนมสายที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในครัว แล้วถามหาของที่ฝากท่านจัดการให้ พอนมเห็นว่าผมอ้อนท่านก็ส่ายหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ตู้กับข้าว

“นมวางไว้ตรงนั้นแล้วค่ะ”

“ขอบคุณนะครับนม” ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะหอมแก้มนมไปหนึ่งทีแล้วรีบหยิบกล่องข้าวออกมาจากครัว แต่ยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน ร่างบอบบางของใครบางคนก็มายืนขวางไว้เสียก่อน

“คุณอชิรา”

“จ๋าจะห้ามไม่ให้เราไปเหรอ”

“พูดเหมือนห้ามได้เลยเนอะ” จ๋ากลอกตาแล้วมองผมหน่ายๆ “คุณแม่แค่จะมาเตือนค่ะ”

“เตือน?”

“คุณแม่เข้าใจดีว่าคุณอชิราเป็นห่วงคุณภูและไม่อยากให้เขาเหนื่อย” จ๋าเดินเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะมองมาด้วยสายตาจริงจัง “แต่คนบางคนเขาก็เต็มใจเหนื่อยเพื่อสิ่งสำคัญ และในเมื่อมันคือสิ่งที่เขาเลือกและต้องการ เราก็ควรเคารพและเชื่อใจเขาไม่ใช่เหรอคะ”

ผมเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร…มันเป็นอย่างที่จ๋าบอกทุกอย่าง พี่ภูกันผมออกหลายทีแล้วเหมือนไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง และผมก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะเขาต้องการทำให้ป๋ายอมรับเรื่องของเรา แต่ผมกลับคิดแต่จะหาทางลัดเพื่อเขา…

บางทีผมอาจจะเร่งจนเกือบลืมไปว่า เรื่องบางเรื่องถ้าใช้เวลา…ผลที่ได้ออกมามันอาจจะดีกว่า

“เรื่องบางเรื่องไม่ต้องคิดวางแผนอะไรหรอก…ให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองบ้างก็ได้”

“เราเข้าใจแล้ว”

สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้คือการเชื่อใจพี่ภู…และทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ที่ดี

“เห็นหน้าเหมือนตาสว่างแบบผิดๆ ของคุณอชิราแล้วคุณแม่เพลียจังเลย จะทำอะไรก็ทำเถอะ คุณแม่ไปทำอะไรที่มีประโยชน์ดีกว่า ลาค่ะ” จ๋าพูดรวดเดียวจบ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจผมอีก ในขณะที่ผมได้แต่มองแรงตามหลังไปเงียบๆ

ทำเป็นพูดว่าจะไปทำอะไรที่มีประโยชน์ จริงๆ คือจะหนีกลับไปดูละครชัดๆ

“อ้าวคุณหนู จะไปไหนเหรอครับ” เฮียสองที่เดินผ่านมาหน้าบ้านพอดีหันมาทักทายผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง นั่นทำให้ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในหัวผมอย่างรวดเร็ว

“เฮียจะเข้าไร่ใช่ไหม”

“ครับ ไม่ทราบว่าคุณหนูมี…เอ่อ…”

รู้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันละเฮีย…

“ผมไปด้วย” ว่าแล้วผมก็เดินไปเกาะแขนเฮียสองทันที เป็นอันเข้าใจตรงกัน

“คุณหนูไปเล่นกับเดอะแก๊งดีกว่าไหมครับ ไม่ได้เจอพวกมันมานาน” เฮียสองทำหน้าเคร่งเครียดและพยายามแกะมือที่เกาะติดเป็นตุ๊กแกของผมออกอย่างสุภาพที่สุด ซึ่งมันไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก เพราะยิ่งแกะเฮียแกก็ยิ่งลนลานมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครมาเห็น และผมก็รู้ดีว่าเฮียแกกลัวอะไร…

“ผมไปเล่นกับพวกมันมาแล้ว ตอนนี้ให้คนพาไปหาอะไรกิน ไว้เย็นๆ ค่อยไปหาพวกมันอีกที”

“คุณหนู…” เฮียสองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อผมยังยิ้มแป้นและไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้ายเขาก็ได้แต่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ผมพาไปก็ได้ รีบปล่อยก่อนที่นายจะมาเห็นเถอะครับ”

“โอเค” ผมพยักหน้ารับด้วยความพอใจ ก่อนจะยอมปล่อยแขนเฮียแต่โดยดี

ป๋ากับจ๋าไม่ใช่คนเข้มงวดกับลูกน้อง บ้านนี้เลยมีกฎอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ซึ่งกฎอันดับแรกที่ป๋าตั้งไว้คือห้ามใครแตะต้องผมเด็ดขาด อาจจะดูเป็นเรื่องที่เว่อร์เกิน แต่สำหรับป๋าผู้หวงผมโคตรๆ นั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก ครั้งล่าสุดจำได้ว่าตอนแปดเก้าขวบผมร้องจะขี่หลังเฮียสักคน ป๋ามาเห็นทีบ้านเกือบแตก โชคดีที่ตอนนั้นผมงอแงจนป๋ายอมลง เฮียคนนั้นเลยรอดไป

“คุณภูน่าจะเรียนรู้งานอยู่ตรงศาลาครับ” เฮียสองชี้ไปยังศาลานั่งพักซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ มันเป็นศาลาพักกินข้าวของคนงานแถวนี้ ส่วนใหญ่เวลามีประชุมอะไรก็จะจัดอยู่ตรงนั้น

“เฮียอ้อมไปข้างหลังหน่อย อย่าให้พี่ภูเห็นนะ” ผมบอกแล้วชี้ไปทางซ้ายมือเพื่อให้เฮียขับรถอ้อมหลังต้นส้มแถวแรกไป

“แต่ตรงนั้นไปไม่ถึงศาลานะครับ คุณหนูต้องลงไปเดินตากแดดต่อ”

“ไม่เป็นไร ผมเดินได้”

“แต่ว่า…”

“หรือเฮียอยากให้ผมลงไปตรงนี้เลย” ผมหันไปเลิกคิ้วมองเฮียสองเป็นเชิงกดดัน “เฮียเลือกเองแล้วกันว่าจะไปด้วยกันหรือให้ผมไปคนเดียว”

คำถามนี้คงไม่ต้องการคำตอบใดๆ เพราะเพียงแค่พูดจบ เฮียสองก็เลี้ยวรถไปตามทางที่ผมต้องการในทันที เราขับรถไปตามช่องทางแรกที่ผมบอกซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางที่รถวิ่งได้ แต่ตรงไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องหยุดรถเพราะไม่มีทางให้ไปต่อ

“คุณหนูจะทำอะไรเหรอครับ”

ผมตอบคำถามเฮียสองด้วยการกระโดดลงจากรถ โดยไม่ลืมคว้าเสื้อคลุมติดมือมาด้วย หลังจากนั้นก็เดินนำไปตามทางอย่างไม่เกรงกลัวแดด ปล่อยให้เฮียสองวิ่งตามมาด้านหลังแบบงงๆ

ถึงป๋าจะเลี้ยงผมแบบประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เรียบร้อยอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ไม่ได้ออกแดดมากมายยามอยู่กับป๋าแต่ก็แอบออกมาวิ่งเล่นเป็นประจำ แล้วก็มีทั้งที่โดนจับได้และจับไม่ได้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุขมากๆ…ถ้าไม่นับตอนโดนจ๋าบ่นนะ

“เฮียว่าพี่ภูจะอยู่ในไร่นานไหม” ผมหันไปถามคนข้างๆ เป็นการชวนคุยในระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทาง

“ด้วยความสัตย์จริงนะครับ…ผมคิดว่ายาว”

“ป๋าสั่งงานแบบไม่เกรงใจกันเลย”

“นั่นเพราะนายห่วงคุณหนูมากน่ะครับ” เฮียว่า ก่อนจะพยายามใช้ทั้งมือทั้งเสื้อพัดให้ผมหายร้อนยกใหญ่ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก แต่ถ้าให้อยู่เฉยๆ ก็คงไม่สบายใจ ผมเลยได้แต่ปล่อยให้แกทำต่อไป

“พี่ภูเป็นคนที่ผมเลือก…แล้วก็จริงจังมากด้วย”

“ก็เพราะรู้ว่าคุณหนูจริงจัง เขาถึงยังอยู่ตรงนี้ได้น่ะสิครับ ถ้าเป็นคนอื่นที่เข้ามายุ่มย่ามโดยที่คุณหนูไม่เต็มใจ คงถูกเตะโด่งไปแล้ว”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ในใจเงียบๆ สำหรับป๋าการยอมลงให้พี่ภูพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้คงเต็มที่สุดๆ แล้ว ตอนนี้ผมคงทำได้เพียงคอยมองคอยสังเกตเขาแบบที่กำลังจะทำเท่านั้นเอง ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เกินไปนักก็คงต้องอยู่เฉยๆ บ้าง

“เข้าไปใกล้ๆ กันเถอะ” ผมหันไปมองเฮียเมื่อเราเดินมาใกล้ถึงจุดหมายแล้ว “อย่าลืมนะเฮีย ห้ามให้พี่ภูรู้ตัว”

“ครับ” เป็นการรับคำที่ดูกล้ำกลืนฝืนทนมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น…สงสารเบาๆ จนเกือบจะบอกว่าผมอยู่คนเดียวก็ได้ แต่คิดไปคิดมา บอกไปก็เปล่าประโยชน์ เฮียไม่มีทางให้ผมทนร้อนอยู่คนเดียวแน่ เพราะงั้นผมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วเดินต่อไป

หลังจากเดินมาจนถึงจุดที่ต้องการแล้วผมก็นั่งยองๆ ใต้เงาต้นส้มที่อยู่ไม่ไกลจากศาลานัก แต่เป็นจุดที่มองเห็นแผ่นหลังของพี่ภูซึ่งกำลังฟังเฮียแปดอธิบายงานอยู่พอดี พอได้ที่นั่งสบายๆ แล้วผมก็นั่งลงทั้งอย่างนั้นและคอยเงี่ยหูฟังสิ่งที่คนในศาลากำลังคุยกัน

“มีตรงไหนไม่เข้าใจหรือเปล่า” เฮียแปดเงยหน้าถามพี่ภูด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ที่ผมไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

“ไม่มี” คนฟังว่าแค่นั้นก่อนจะยืดตัวตรง “ต้องลองทำดูก่อน รู้ทฤษฎีแต่ไม่ลงมือปฏิบัติมันก็เท่านั้น”

ถูกต้องพี่ภู ถูกที่สุด แต่บางทีพี่ลองทำอะไรไม่เป็นบ้างก็ดีนะ

“งั้นก็ตามมา”

ผมรีบผลักเฮียสองออกจากระยะสายตาของฝั่งนั้น เมื่อเห็นพี่ภูหันข้างเพื่อเดินออกไปพร้อมเฮียแปด รู้สึกเหมือนจะเห็นเขาขมวดคิ้วหน่อยๆ ด้วย แต่สัญชาตญาณการมองโลกในแง่ดีสั่งให้ผมเลิกสงสัยและตั้งใจทำสิ่งที่อยากทำต่อไป

“ไปเร็วเฮีย”

“คุณหนู ระวังล้มครับ” น้ำเสียงเป็นห่วงเหมือนผมเป็นเด็กน้อยไม่ได้สร้างความรำคาญให้แต่อย่างใด เพราะผมเคยชินกับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก กลับกันยิ่งเห็นพวกเฮียแกเป็นห่วงมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้นอีกต่างหาก…เพราะเวลาขออะไรไม่เคยโดนขัดสักที

“เฮียแหละระวังล้ม ห้าสิบแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ยังไม่ถึงครับคุณหนู…”

“ฮ่าๆ”

พอเฮียสองเงียบเพราะไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ผมเลยกลับมาตั้งสมาธิไปกับการแอบเดินตามพี่ภูอีกครั้ง เฮียแปดพาพี่ภูเดินไปตามทาง ก่อนจะชี้อธิบายเรื่องของส้มที่แม้แต่ผมยังไม่รู้ไปเรื่อยๆ โชคดีที่ไร่มีขนาดกว้างขวางมากแล้วต้นส้มก็โตหมดแล้ว ทางที่ผมกับพวกเขาเดินเลยมีต้นส้มช่วยบดบังสายตาไปมากพอดู ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบส่องจนมองเห็นใบหน้านิ่งๆ นั้นเป็นระยะจนได้

“คุณหนู” เฮียสองกระซิบเรียกจนผมต้องหันไปจุ๊ปาก แต่เขากลับชี้ให้ผมมองไปข้างหน้า “ไอ้สิบห้าอยู่นั่นครับ”

ฉิบหาย…

ผมเบิกตากว้างเมื่อหันไปเห็นเฮียสิบห้ายืนรดน้ำต้นส้มอยู่ตรงเส้นทางที่ผมเดินพอดี นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่เฮียแกหันมาเจอผม รอยยิ้มคือสิ่งแรกที่ถูกส่งมาให้ และในขณะที่เฮียแกกำลังอ้าปากนั่นเอง…ผมหันไปมองพี่ภูแวบเดียว เมื่อเห็นว่าเขากำลังหันไปคุยกับเฮียแปดก็วิ่งเข้าใส่เฮียสิบห้าอย่างรวดเร็วจนแกผงะไป

“เงียบเลยเฮีย” ผมปิดปากเฮียไว้แน่น ก่อนจะดันให้ลงไปนั่งยองๆ อยู่กับพื้น “ห้ามบอกฝั่งนั้นว่าเจอผมนะ”

“คะ…ครับ”

โอเครู้เรื่อง…

“คุณหนู พวกเขาจะเดินมาถึงแล้วครับ” ผู้ร่วมขบวนการโดยไม่เต็มใจกระซิบบอกผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมว่าเราไปดักรอข้างหน้าดีกว่า”

“โอเค” ผมพยักหน้าตกลงกับเฮียสอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้เฮียสิบห้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วรีบเดินต่อ

จุดที่เราหลบกันอยู่เป็นจุดรอยต่อระหว่างทางพอดี ผมใช้เสื้อคลุมที่พกมาคลุมหัวตัวเองไว้แล้วแอบมองคนผิวขาวจัดที่กำลังเดินมาเงียบๆ หลังจากไล่ตามอยู่นานผมก็พบว่าผิวขาวๆ ของพี่ภูเริ่มกลายเป็นสีแดงแทบจะทุกส่วน โชคดีที่เขาใส่เสื้อแขนยาวทั้งยังมีหมวกสานใบใหญ่อยู่บนหัวเลยไม่ได้โดนแดดมากนัก ถึงอย่างนั้นอากาศร้อนๆ ก็ทำให้คนไม่คุ้นชินเหงื่อออกเยอะจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นซับหน้าอยู่หลายที

“เฮ้ย!”

“คุณหนู…ชู่ววว” เฮียสองรั้งแขนผมไว้ เมื่อเห็นผมทำท่าจะกระโดดออกไปด้านนอกโดยไม่รู้ตัว

ภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ผมตกใจคือภาพพี่ภูที่กำลังรับจอบไปจากมือเฮียแปด ไม่ต้องเดาผมก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะได้ทำอะไร ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงเดินมาทางนี้…ที่แท้ก็จะให้พี่ภูไปช่วยงานตรงไร่เปล่าที่ยังไม่ได้ลงส้ม

“เฮีย มันไม่มากไปเหรอ ตรงนั้นยังไม่มีต้นไม้เลยนะ ร้อนจะตาย แล้วทำไมต้องให้เอาจอบไป มันต้องใช้ด้วยหรือไง” ผมเขย่าแขนเฮียสองยกใหญ่ จนผ่านไปเกือบนาทีอารมณ์ถึงได้เย็นลงบ้าง ถึงอย่างนั้นหัวก็ยังแทบจะลุกเป็นไฟเมื่อรู้ว่าพี่ภูจะต้องเหนื่อยขนาดไหน ซึ่งผมไม่โอเคมากๆ

“แต่คุณภูขอทำเองนะครับ”

“นั่นมันก็ใช่ แต่…” ผมตั้งท่าจะเถียงต่อ เพราะรถที่ใช้เพื่องานสวนก็มีเยอะแยะ เราไม่จำเป็นต้องลงมือใช้แรงด้วยตัวเองเสียหน่อย แต่พอเห็นเฮียสองส่ายหน้าผมเลยต้องนิ่งฟัง

“ผมคิดว่าเขาคงอยากเข้าใจคนที่นี่ เพราะคนของเราก็ยังมีบางส่วนที่ใช้แรงงานตามความเคยชินอยู่ คุณหนูเชื่อใจเขาเถอะครับ” เฮียสองก็ยังคงเป็นเฮียสองที่มีลักษณะนิสัยเป็นคนใจเย็นและช่วยเตือนสติผมได้เสมอ สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงพยักหน้าเข้าใจ และคอยมองคนที่กำลังเดินลุยดินโดยไม่กลัวเปื้อนอยู่ไกลๆ

มันแย่จริงๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีที่ให้ผมหลบได้เลย แม้จะมีคนงานอยู่ตรงนั้นคอยช่วยมองและสอนงาน แต่ผมก็ทำได้เพียงมองพี่ภูด้วยความเป็นห่วงจากร่มไม้ที่ช่วยบังแดดให้จนหมด แตกต่างจากเขาที่ต้องตากแดดทำงานโดยสิ้นเชิง และถึงจะเข้าใจเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ แต่มันก็อดทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ได้

ในความคิดของผมตั้งแต่ที่เริ่มชอบเขา พี่ภูคือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความสามารถ ฐานะทางบ้านหรือทางสังคมก็ตาม จริงอยู่ที่ผมเห็นพี่ภูเหนื่อยกับการทำงานในบริษัทมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะต้องมาเห็นเขาทำงานตากแดดร้อนๆ แบบนี้ ทั้งขุดดิน เดินไปเดินมากลางแดดเพื่อถามงาน รดน้ำต้นส้ม ไหนจะวันต่อๆ ไปที่ต้องทำมากกว่านี้อีก แค่คิดผมก็รู้สึกไม่ดีแล้ว

“คุณหนู…”

“หือ” ผมตอบรับโดยไม่หันไปมอง สายตาจดจ้องไปที่…อ้าว หายไปไหนแล้ววะ

“ทำไมถึงมีกระต่ายมานั่งเขี่ยพื้นอยู่แถวนี้ได้”

“พี่…ภู” มาอยู่ตรงนี้ได้ไง…

หลังจากจ้องมองคนที่มาปรากฏตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงอยู่สักพัก ผมก็ต้องส่งยิ้มแห้งไปให้เขา สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่ากระอักกระอ่วนสุดๆ เมื่อเฮียสองชิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

“คือว่า…” ผมหลุบตาลงแล้วเอานิ้วเขี่ยพื้นต่อเหมือนเด็กกลัวความผิด

“มึงมันน่าตี” พี่ภูพูดเสียงดุ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างผม “อยู่ในบ้านดีๆ ไม่ชอบ เสือกมาตากแดด”

“ไม่เลย ผมหลบในร่มตลอด” ผมรีบโบกมือไปมาขณะอธิบาย แล้วจ้องเขาตาแป๋ว “ตอนแรกก็อยากทำตัวเท่ๆ ด้วยการตากแดดเป็นเพื่อนพี่นะ แต่คิดไปคิดมามันปัญญาอ่อนเกิน แล้วผมก็ร้อนด้วยเลยขอหลบเข้าร่มดีกว่า”

“หึ” พี่ภูทำท่าจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมแบบที่ชอบทำ แต่อยู่ๆ เขาก็ชะงักไปแล้วค่อยๆ ลดมือลง ผมมองตามแค่ครู่เดียวก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร

“ตากแดดร้อนๆ แป๊บเดียวเชื้อโรคก็ตายหมดแล้ว” ว่าแล้วก็จัดการดึงมือที่เพิ่งจับจอบเก่าๆ มาแปะไว้บนหัวด้วยตัวเอง “ลูบๆ”

พี่ภูไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นการกระทำของผม แต่เมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้าเขาก็ยอมขยับมือลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้

“ก้อน…”

“หือ”

“ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรมันก็เหนื่อยเหมือนกันหมด ต่อให้เหนื่อยน้อยเหนื่อยมากแตกต่างกันไปก็ตาม…” เขาดึงมือออกจากหัวผม แต่ยังคงจ้องมองมาด้วยแววตาสงบนิ่งที่เต็มไปด้วยความหวังดี “แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือความสุขในการทำงาน”

“…”

“กูรู้ว่ามึงตามมาเพราะห่วง แต่อยากให้รู้เอาไว้อย่าง…ไม่ว่ากูจะเหนื่อยขนาดไหน แต่การได้อยู่ที่นี่และทำงานที่นี่ทำให้กูมีความสุขมากกว่าตอนทำงานบริษัทหลายเท่า”

“ผม…”

“ตอนแรกที่ต้องทำงานคนเดียวที่บริษัท ความคิดกูมีแค่อยากทำให้มันเสร็จไปวันๆ แต่เพราะนิสัยที่ไม่ยอมแพ้และต้องทำให้ดีที่สุดเลยทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี…แต่พอมีมึงเข้ามา กูกลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกับงานมากกว่าเดิม”

ผมได้แต่เงียบและมองหน้าคนหน้าดุด้วยความตั้งใจ ความรู้สึกแบบนั้นผมเองก็เข้าใจดี เพราะถึงจะยังไม่ได้ทำงานแต่มันก็เหมือนกันในหลายๆ เรื่อง อย่างตอนที่เขาหายไป ผมเองก็ไม่รู้สึกสนุกกับการไปเรียนเหมือนเคย

“และต่อให้งานที่นี่จะเหนื่อยมากกว่านี้อีกแค่ไหน กูก็ยังมีความสุข…”

“…”

“เพราะกูได้ทำเพื่อมึง…เข้าใจหรือเปล่า”

“น้ำตาจะไหล” ผมแสร้งสูดน้ำมูกเสียงดังจนคิดว่าอาจจะโดนพี่ภูตบหัวทิ่ม แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบว่าเขาไม่ได้ตั้งท่าจะตบผมแบบที่คิด แถมยังยิ้มมุมปากแบบแปลกๆ อีกต่างหาก

“ถ้าอยากทำตัวกวนตีนกลบความเขิน ทีหลังก็หัดควบคุมสีหน้าบ้างนะ”

อะไรวะ…ผมว่าผมควบคุมดีแล้วนะ

“ไม่ได้หมายถึงสีหน้าที่มึงแสดงออก…” พี่ภูหัวเราะหึ ก่อนจะยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผมแรงๆ “แต่หมายถึงสีแดงๆ บนหน้ามึง”

“พี่ก็หัดมองข้ามไปบ้างได้ไหม”

ของแบบนั้นใครมันจะไปควบคุมได้วะ…แค่ฟังแล้วไม่ระเบิดตายก็เก่งแล้ว

 

------------------------------

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 18-11-2017 18:23:30
พี่ภู  มีความอิจชายเก้า  อยากได้ๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 18-11-2017 19:23:51
งุ้ยยยยยยย :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-11-2017 20:08:53
โอ้ยยยย อืจฉาเก้าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 18-11-2017 20:37:20
น่ารักกกกกกอ่ะงื้ออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 18-11-2017 20:44:24
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 18-11-2017 22:50:48
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:ให้กำลังใจพี่ภูหน่อย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-11-2017 23:00:58
โธ่.... พี่ภูคนดีของคนแก่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 19-11-2017 08:08:23
คนมีบุญหนุนนำความมีสามมีดีๆเด้อ
เอาช้างมาฉุดแต้มบุญยังเหลือเลยอ่ะ
อยากมีพี่ภูเป็นของตัวเองอ่ะค่ะ
อิจจจจจจจจจ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-11-2017 08:33:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 19-11-2017 09:11:58
คุณป๋าาา ขอเถอะ ยกเจ้าเก้าให้พี่ภูไปเถอะนะ เราวงวารน้ำตาจะไหล #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 19-11-2017 10:34:48
อิจเก้าจริงๆ นี่เป็นชะนีที่ยังไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนทำอะไรให้แบบเก้าเลย

พี่ภูคนดีสามีแห่งชาติ  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 19-11-2017 17:30:26
9น่าร๊าก~~~~
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-11-2017 18:48:48
 :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 19-11-2017 21:11:57
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 19-11-2017 21:38:47
เขินนนนน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 20-11-2017 13:51:03
หูยยยยย...อิจน้องเก้าเบาๆ
พี่ภูนี่ทำทุกอย่างเพื่อน้องเก้าแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 20-11-2017 15:33:22
นี่สวนส้มรึไร่อ้อยคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Rainy_bl ที่ 20-11-2017 18:14:28
 :L1: :L1: :pig2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-11-2017 21:08:31
ไร่ส้มนี่กลายเป็นสีชมพูเลยค่าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[37]==[P.24]== [18/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 26-11-2017 19:27:34


-38-

 

ตั้งแต่เกิดมาภูไม่เคยต้องทำงานหนักแบบผู้ใช้แรงงานเลยสักครั้ง แม้แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างการมาอยู่ไทยแรกๆ กับแม่ในวัยเด็ก เขาก็ยังไม่เคยต้องเหนื่อยขนาดนี้ เหตุผลคงเป็นเพราะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการทำงานมากนัก อีกทั้งคนที่นี่ก็ดูเข้าถึงยากพอสมควร จึงทำให้อะไรๆ ก็ดูลำบากไปหมด เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วคนที่นี่ทุกคนล้วนเป็นคนดีและทำงานกันมานาน แม้แต่พ่อกับแม่ของเก้าก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่ยินยอมให้เข้าใกล้ง่ายๆ คงเป็นเพราะสถานะพิเศษที่เก้ามีให้เขา จะบอกว่าทุกคนที่นี่รักและหวงคุณหนูของตัวเองมากก็คงไม่ผิดนัก…

จนเมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง สถานการณ์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปช้าๆ…

“คุณภู มากินข้าวเร็วเข้า” คนงานที่แนะนำตัวว่าชื่อดำ แต่ถูกคุณหนูของตัวเองเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นเฮียแปดกวักมือเรียกยิกๆ จากศาลาที่มีคนงานมารวมกันอยู่หลายคน

“อันนี้ส่วนของคุณภู กินเลยกิน” คนงานอีกคนดันจานข้าวมาให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ

ภูได้แต่มองข้าวในจานอย่างเงียบงัน ใช่ว่าเขารังเกียจกับข้าวพื้นๆ ธรรมดาๆ พวกนี้ เพราะเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กินมาโดยตลอด เพียงแต่วันนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อวานดันไปสัญญากับกระต่ายบางตัวว่าจะรอมันมากินข้าวด้วยที่นี่

“พี่ภู!” แล้วเสียงของคนที่กำลังคิดถึงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ภูหันหน้ากลับไปมองแล้วก็ต้องยกยิ้มขัน เมื่อเห็นกระต่ายตัวก้อนๆ กำลังวิ่งมาหาโดยมีใครอีกคนวิ่งตามมาทั้งหน้าตาตื่น

“คุณหนู! รอร่มก่อนสิครับ” สองที่เป็นคนสนิทตะโกนไปหอบไป โดยพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกางร่มให้คนร่าเริงที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า แต่พอตามทันคุณหนูของบ้านก็เข้ามาถึงศาลาเสียแล้ว กลายเป็นคนวิ่งตามแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นเพราะความเหนื่อย

“ผมเอากับข้าวมาเพิ่มให้ด้วย” กระต่ายก้อนพูดจ้อพร้อมทั้งแกะกล่องใส่กับข้าวที่ถือมาออก มันทำการแหวกวงคนงานเข้ามาโดยไม่ถือศักดิ์ ก่อนจะวางกับข้าวห้าหกอย่างไว้กลางวง “อันนี้ผมช่วยนมสายทำ เจ๋งมะ”

“โห…คุณหนูทำเองเลยเหรอครับ”

“น่ากินมากเลยครับคุณหนู”

“คุณหนูเก่งมากเลยครับ”

บรรดาคนงานที่ล้อมวงอยู่ชื่นชมคุณหนูของตัวเองกันยกใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเก้าย่อมยืดอกรับอย่างภาคภูมิใจโดยไม่คิดปฏิเสธ ภูได้แต่ส่ายหน้าหน่าย มองทั้งเจ้านายและลูกน้องที่ขยันเข้าข้างกันเหลือเกินอย่างเพลียๆ แต่พอเห็นเขาจ้องมากเข้าคนที่กำลังยืดอกก็ทำหน้าตาตกใจ ก่อนจะรีบตักกับข้าวให้

“พี่ภูหิวใช่เปล่า กินเลยๆ”

“กินได้หรือเปล่า” เขาแกล้งเลิกคิ้วมองมันแบบไม่ไว้วางใจ เล่นเอากระต่ายทำหน้าบึ้งตึงแล้วตักข้าวในจานเข้าปากตัวเองคำโต

“พิสูจน์แล้ว อร่อยชัวร์” มันพยักหน้าหงึกหงักยืนยัน ปากก็เคี้ยวข้าวยกใหญ่โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ ภูเลยทำได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วตักกินบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่มันโฆษณาเท่าไหร่นัก กับข้าวที่มันทำอร่อยจริงๆ “เป็นไง”

มันทำหน้าตาตื่นเต้นจ้องมองเขาด้วยความตั้งใจ ทำเอาคนถูกถามที่กำลังจะเอ่ยปากชมต้องหุบปากเงียบแล้วแกล้งทำหน้าครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้ เห็นท่าทางเหมือนเด็กๆ ของมันเมื่อไหร่เขาก็อยากแกล้งขึ้นมาทุกที แล้วก็เป็นไปตามที่คิด…กระต่ายก้อนทำหน้าเครียดโดยไม่รู้ตัวจริงๆ

“ไม่อร่อยเหรอ”

“อร่อย” เขาเลิกแกล้งแล้วออกปากชมก่อนที่คนร่าเริงจะห่อเหี่ยวขึ้นมาจริงๆ และแค่คำพูดสั้นๆ ก็ทำให้คนฟังยิ้มได้แทบจะทันที เพียงเท่านั้นเสียงซุบซิบด้วยความไม่พอใจของบรรดาเฮียๆ ผู้หวงคุณหนูของตัวเองก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ

“หมั่นไส้…”

“ฮือ…คุณหนู”

ถ้าเป็นช่วงแรกๆ ภูก็คงคิดมากอยู่เหมือนกัน เพราะคนเหล่านี้แทบจะไม่สนใจเขาเลย ยิ่งรู้ว่าเก้าให้ความสำคัญกับเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งแยกตัวออกห่าง ทำตัวเหมือนนายใหญ่ของที่นี่ไม่มีผิด เพราะงั้นเขาถึงได้พยายามทำทุกอย่างให้คนเหล่านี้ยอมรับ และความพยายามนั้นก็เริ่มสัมฤทธิผลมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกนั้นยอมคุยและยอมรับเขามากขึ้นแล้ว ถึงแม้ทุกครั้งที่เป็นเรื่องของเก้าจะดูเข้มกันอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ออกไปทางหวงมากกว่าไม่พอใจ

“พี่ภู วันนี้ผมไปเล่นกับเดอะแก๊งมาตอนเช้า พวกมันบอกว่าอยากอาบน้ำแล้ว” กระต่ายที่ไม่เคยอยู่นิ่งได้นานหาเรื่องพูดคุยต่อ และเมื่อภูหันไปมองเป็นเชิงถามมันก็พูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น “วันนี้ผมไปขออนุญาตป๋ามา บอกว่าอยากให้พี่ภูไปช่วยอาบน้ำเดอะแก๊ง ป๋าเลยยอมอนุญาต บอกว่าวันนี้พี่อยู่ในไร่แค่ครึ่งวันพอ”

“มึงคุยกับหมารู้เรื่องเหรอ ถึงบอกว่าพวกมันอยากอาบน้ำ” ภูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

“มันไม่ตอบแสดงว่ามันตกลงไง”

“ใครสอนให้มึงคิดแบบนี้เนี่ย” เขาผลักหัวคนที่กำลังหัวเราะอารมณ์ดีด้วยความหมั่นไส้ เหตุผลที่มันพูดแบบนั้นออกมาไม่ใช่ว่ามันคิดจริงๆ แต่เป็นเพราะมันอยากให้เขาอารมณ์ดีตามไปด้วย เรื่องนั้นภูรู้ดีที่สุด แต่เห็นสีหน้าจริงจังของมันทีไร เขาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ทุกที

“พี่รีบกินเร็ว จะได้ไปอาบน้ำเดอะแก๊งกัน”

“อืม”

ภูจำได้ว่าเขาเคยได้รับคำสั่งให้อาบน้ำฝูงหมาของเก้าในวันแรกที่เริ่มทำงาน แต่วันนั้นเขาขลุกอยู่ในไร่ทั้งวัน กลับไปอีกทีก็มีคนอาบให้พวกมันไปแล้ว หลังจากนั้นเขาก็วนเวียนอยู่กับการทำงานในไร่หรือไม่ก็ไปช่วยงานบัญชีของแม่เก้าอยู่ทุกวัน ที่ครั้งนี้เด็กนี่ไปขอพ่อให้เขาไปช่วยงานเล็กๆ อย่างการอาบน้ำหมาก็คงเพราะอยากให้เขาพักบ้าง

“ไปเลยคุณภู เดี๋ยววันนี้พวกผมจัดการเอง” แปดซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานในไร่พยักหน้าให้เขา ก่อนจะบอกให้รีบเดินตามคุณหนูของตัวเองไป ภูเลยพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปพร้อมเก้า

ระหว่างทางเดินกลับไปที่บ้านพักของเขาซึ่งเก้าบอกว่าเอาพวกหมาไปทิ้งไว้ที่นั่นแล้ว กระต่ายก้อนทำหน้าตาอารมณ์ดีมีความสุขอยู่ตลอดเวลา จนไม่แม้แต่จะหันมาชวนเขาคุยแบบที่มักทำ ภูเหลือบตามองแล้วก็ได้แต่อมยิ้มตาม เห็นมันมีความสุขไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่ทำหน้าตาเศร้าๆ เพราะเห็นเขาทำงานหนักแล้วก็โล่งใจ

“เดินนานหน่อยนะพี่ ผมไม่ได้เอารถมา” มันหันมาบอกยิ้มๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ ไม่ต้องถามภูก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจไม่เอามาเพราะอยากอยู่กับเขานานๆ

เป็นความคิดที่ทั้งเด็ก…แล้วก็น่ารักพอๆ กัน

เมื่อได้กลับมาเจอมันอีกครั้งหลังจากห่างกันไปนานถึงสองปี ภูก็พบว่ากระต่ายของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ยามอยู่ที่อังกฤษมันคอยช่วยเหลือและคิดแทนเขาอยู่หลายครั้ง แถมความคิดหลายๆ อย่างก็เห็นแก่คนอื่นเป็นสำคัญมากกว่าแต่ก่อนพอสมควร แต่พอเคลียร์เรื่องราวทั้งหมดแล้ว รวมถึงได้กลับมาอยู่บ้านซึ่งมีครอบครัวที่รักตัวเองมากๆ อยู่ กระต่ายก้อนที่เป็นผู้ใหญ่มาหลายเดือนก็เผยมุมเด็กๆ ตามนิสัยของตัวเองออกมาในที่สุด…ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้เขาแต่อย่างใด กลับกันภูคิดว่าเขาชอบเห็นมันเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะมันดูมีความสุขมากกว่าปกติ แล้วเขาก็เชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องที่ต้องจริงจัง มันก็จะกลับไปเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิมได้แน่นอน

เพราะงั้นตอนนี้ให้มันเป็นเด็กให้เต็มที่…เป็นกระต่ายก้อนที่ชอบทำหน้าอ้อนเขาโดยไม่รู้ตัวก็ดีแล้ว

“พี่นั่งก่อน”

ภูมองตามหลังคนที่ออกคำสั่งในทันทีที่มาถึงบ้านเงียบๆ เขายอมนั่งลงตามที่มันพูดเพราะอยากรู้ว่าเจ้าตัวจะทำอะไร และวินาทีต่อมาก็ได้รับคำตอบ เมื่อสิ่งมีชีวิตหน้าขนกว่าหกตัววิ่งดุ๊กดิ๊กมาจากหลังบ้าน

“ห้ามขึ้นโซฟานะ ยังไม่ได้อาบน้ำ” เจ้านายของพวกมันตะโกนสั่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามมา ภูมองหมาหกตัวนั่งเรียงกันอยู่ที่พื้นด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าคนที่นี่คงจะฝึกพวกมันมาดีมากถึงได้เชื่อฟังคำสั่งขนาดนี้ และอีกอย่าง…

“คุยกับหมารู้เรื่องจริงๆ ด้วย”

กระต่ายก้อนชักสีหน้า แต่มันคงรู้ตัวว่าคนพูดเปิดประเด็นเรื่องนี้ไว้ในตอนแรกคือตัวเอง เพราะงั้นถึงได้ยอมเมินทำเป็นไม่สนใจและไม่ได้เถียงอะไร

“พาพวกมันไปอาบน้ำกัน วันนี้พี่จะได้พัก”

ภูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง เขาขยับกายลุกขึ้นยืนก่อนจะบอกให้มันนำทางไป แล้วเก้าก็พาเขามาที่หลังบ้านซึ่งมีสายยางกับแชมพูอาบน้ำหมาวางไว้อยู่แล้ว

“พี่เคยอาบน้ำหมามาก่อนไหม”

“ไม่”

“ดีเลย” มันบอกก่อนจะยิ้มแป้น และนั่นทำให้เขาต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ “ผมก็ไม่เคยเหมือนกัน”

ภูกลอกตาเมื่อสิ่งที่มันพูดตรงกับสิ่งที่เขาคิดจริงๆ คิดอยู่แล้วว่าคนที่นี่คงไม่ปล่อยให้คุณหนูของบ้านอาบน้ำหมาด้วยตัวเอง แถมเจ้าตัวก็ไม่น่าจะขยันอยู่แล้วด้วย ดูจากนิสัยแล้วน่าจะเป็นคนพาไปทำเลอะเสียมากกว่า

“ไปเลือกตัวแรกมา” เขาออกคำสั่ง ก่อนจะพับแขนเสื้อกับขากางเกงของตัวเองขึ้น จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ ที่วางอยู่สองตัว ซึ่งคนที่พยายามทำตัวให้มีประโยชน์ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างตั้งใจ แล้ววิ่งไปจับหมาฮัสกี้ตัวโตมาเป็นลำดับแรก

“หมาปัญญาอ่อน” มันจับหน้าหมาฮัสกี้ของตัวเองไว้แล้วเบะปากใส่ ภูได้แต่ส่ายหน้าหน่ายขณะมองไปยังคนที่กำลังจ้องหมาฮัสกี้ตาเขม็ง “ทำไมมึงเหมือนไอ้โซจังวะ”

“เอาเพื่อนไปเปรียบกับหมาอีก”

“อย่าว่าแต่ผมเลย ขนาดเมียมันยังบอกว่ามันเหมือนหมา” มันอธิบาย ก่อนจะขยี้หัวหมาตัวโตด้วยความหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

สรุปแล้วถึงจะทำท่าทางอยากช่วย แต่หลังจากจัดการหมาฮัสกี้เสร็จไปตัวเดียว เขาก็ออกคำสั่งเด็ดขาดให้กระต่ายก้อนคอยจับหมาอยู่เฉยๆ เพราะถ้าขืนยังให้มันช่วย นอกจากจะอาบน้ำให้หมาไม่เสร็จเสียทีแล้วมันยังจะทำให้เขาเปียกไปทั้งตัวด้วย

“คุณอชิรา…”

ภูหยุดมือที่กำลังล้างตัวให้หมาตัวสุดท้าย ก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก เช่นเดียวกันกับเจ้าของชื่อที่รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาแม่ตัวเอง

“จ๋ามาไม”

“คุณป๋าเรียกหาค่ะ คุณแม่ให้คนรออยู่หน้าบ้านแล้ว เสร็จแล้วค่อยกลับมาอีกที”

เก้าขมวดคิ้วมองคนพูดด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ถึงอย่างนั้นเมื่อหันไปเห็นใครอีกคนพยักหน้าให้ก็ยอมตกลง โดยไม่ลืมหันไปย้ำกับแม่ตัวเองอีกที

“ห้ามแกล้งพี่ภูนะ”

สิ้นคำ เจ้าตัวก็รีบวิ่งไปหน้าบ้านอย่างรวดเร็วเพราะจะได้รีบกลับ ปล่อยให้คนสำคัญของตัวเองทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น

เนิ่นนานหลายนาทีก็ไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรออกมา ภูมองธารินทร์นิ่งงันเช่นเดียวกับที่เธอมองเขา หนึ่งคนมีใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มทว่าดูอันตราย หากในยามนี้คนสำคัญของที่นี่ซึ่งเพิ่งวิ่งจากไปมาเห็น เจ้าตัวคงจะบ่นว่าจ๋าของตัวเองน่ากลัวยิ่งกว่าป๋าเสียอีกเป็นแน่

“คุณแม่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” แล้วก็เป็นภูที่เลือกทำลายความเงียบก่อนตามมารยาท เขาก้มตัวลงปิดน้ำ จากนั้นก็วางสายยางลงแล้วยืดตัวยืนตรง แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ผู้หญิงใจดีที่จะยอมยกลูกชายให้ง่ายๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินทางมาหาด้วยตัวเองแบบนี้

“คุณแม่แค่จะมาเตือนอะไรคุณภูสักนิดค่ะ” ธารินทร์แย้มรอยยิ้มสวยไปถึงดวงตา เธอจ้องมองคนที่ลูกชายเลือกด้วยความชอบใจเมื่อพบว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา ทั้งยังเหมือนจะรู้อยู่แล้วด้วยว่าเธอจะมาหา

“เชิญครับ”

“คุณภูดูไม่ตกใจเลยนะคะ”

“ผมทราบดีอยู่แล้วว่าคุณแม่คงไม่ยกลูกชายให้ง่ายๆ” ภูตอบกลับไปตามความจริง ก่อนจะสังเกตท่าทีของฝั่งตรงข้ามอย่างละเอียดผ่านสายตาเรียบนิ่งเย็นชา ยิ่งได้พูดคุยโดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจว่า…คนตรงหน้าน่ากลัวกว่าพ่อของเก้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนหลายเท่า

“อย่าเข้าใจผิดค่ะ” ธารินทร์ยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้าใกล้คนตัวเปียกที่ยังคงยืนนิ่งเป็นก้อนหินมากขึ้น “คุณแม่บอกว่ายอมรับก็แสดงว่ายอมรับ ไม่คิดคืนคำ ยิ่งเห็นคุณภูพยายามเพื่อคุณอชิรามากขนาดนี้ จะให้ใจร้ายใจดำก็คงไม่ได้”

“…”

“เพียงแต่…” รอยยิ้มสวยบนใบหน้าจางลงเล็กน้อยเมื่อมองสบกับดวงตาสีเทาของว่าที่ลูกเขย “แม้คุณอชิราจะโง่ บ้า ปัญญาอ่อนขนาดไหนก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของคุณแม่”

“…”

“ถึงคุณแม่จะยอมรับคุณภูแล้ว แต่ถ้าทำให้คุณอชิราเสียใจขึ้นมา…” ธารินทร์จับมือเปียกชื้นของคนที่เธอยอมรับขึ้นมาแล้วตบเบาๆ ราวกับจะย้ำ “ไม่ต้องให้ถึงมือคุณป๋า…คุณภูรู้ใช่ไหมคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มากขึ้น ภูจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้านิ่งงัน ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายบีบมือนั้นกลับเป็นการตอบคำถาม

“ถึงเวลานั้นถ้าคุณแม่อยากฆ่า…ผมก็จะมาให้ฆ่าถึงที่”

มันไม่ใช่เพียงการให้สัญญากับธารินทร์ แต่หมายรวมถึงการให้สัญญากับตัวเองว่า…เขาจะไม่มีวันทำให้มันเสียใจเป็นอันขาด

 

 

เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็มที่แขกผู้มาเยือนถูกใช้งานหนักยิ่งกว่าคนงานทั่วไป จากแรกเริ่มที่ต้องทำงานในไร่ส้ม ภูเริ่มได้รับงานทางด้านเอกสารเพิ่มเติมเข้ามา เขาได้รับคำสั่งจากธารินทร์โดยตรงให้ช่วยดูแลบัญชีเป็นการชั่วคราว หลังจากที่คนทำบัญชีคนเก่าขอลางาน ซึ่งภูก็เต็มใจทำทุกอย่าง เพราะเขามีความสุขทุกครั้งที่กระต่ายก้อนเข้ามาพัวพันและพยายามทำให้เขายิ้ม

แน่นอนว่ามันโดนพ่อกับแม่ขังไว้ในบ้านอยู่บ่อยครั้งเพราะมาหาเขาบ่อยเกินไป บางครั้งไม่ใช่แค่มาหา แต่ถึงขั้นมาช่วยรดน้ำต้นส้มอยู่เกือบครึ่งวัน ทำเอาคนงานทำงานกันแทบไม่ได้เพราะเป็นห่วงคุณหนูกันเหลือเกิน แต่ถึงมันจะโดนขังหรือห้ามยังไงก็ยังแอบปีนระเบียงออกมาหาเขากลางดึกได้ทุกวัน ภูไม่เคยตำหนิเพราะเขาเองก็อยากเจอมันไม่แพ้กัน เขาชอบเวลาที่มันมาบีบๆ นวดๆ แล้วถามว่าเหนื่อยไหม หรือบางทีก็พูดจากวนตีนเพื่อให้ยิ้ม

แม้จะเหนื่อย…แต่ทุกๆ วันก็เต็มไปด้วยความสุข

[เฮเลนบอกว่าจะพาผมไปหาอาซีก่อน แล้วถึงจะไปหาพี่]

“อืม ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”

[ครับ]

ภูละสายตาออกจากจอโทรศัพท์ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่นาน เขาตัดสินใจบอกแม่เลี้ยงตัวเองว่ายังไม่อยากให้ภามมาหา เพราะเขายังทำให้ครอบครัวเก้ายอมรับไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าทุกคนใจดีและแบ่งแยกสถานะได้แน่นอน แต่เขาก็ยังไม่อยากให้น้องชายมาเห็นตอนตัวเองทำงานหนักแบบนี้อยู่ดี ภามอาจไม่พูดอะไร แต่ถ้าวันไหนมีปัญหาขึ้นมาเขากลัวว่ามันจะไม่จบง่ายๆ…ยังไงเรื่องของภามก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และภูคิดว่าการป้องกันไว้ย่อมดีกว่าการตามแก้ทีหลังแน่นอน

“หมดเวลาพักแล้วนะคุณภู!”

“รู้แล้ว” ร่างสูงโปร่งขยับกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหาแปด ทว่าเดินไปได้ครู่เดียวก็ต้องหยุดเท้าแล้วยกมือนวดขมับที่ปวดตุบของตัวเองเบาๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกถึงลางไม่ดี ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมมานานกำลังร้องเตือนว่าถึงเวลาที่เขาควรพักได้แล้ว

การได้นอนน้อยติดต่อกันหลายวันเพราะต้องติดต่องานที่อังกฤษในเวลากลางคืน ทำให้ร่างกายของตัวเองเริ่มรับไม่ไหว เรื่องนั้นภูรู้ดีที่สุด แต่เขาก็ยังฝืนทนทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง เพียงแต่เขาเคยชินกับการทำงานเกินขีดจำกัดอยู่แล้ว ตั้งแต่สองปีก่อนที่เริ่มทำงานที่บริษัทในฐานะประธานเขาก็เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด มาได้พักจริงจังก็ช่วงที่โดนกระต่ายบางตัวสั่งให้หยุดวันอาทิตย์

“คุณภู โอเคหรือเปล่า” แปดแตะแขนของคนข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะสนิทที่สุดเขาถึงได้รู้ว่าคุณชายคนนี้ทำงานหนักมากขนาดไหน แม้อยากบอกให้พัก แต่เขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งของนายที่ป้อนงานให้อีกฝ่ายอยู่ทุกวัน

“โอเค” ภูยืดกายตั้งตรง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้กลับไปราบเรียบเหมือนเคย

“เออใช่…คุณหนูฝากบอกว่าออกไปข้างนอกกับคุณผู้หญิงนะ เดี๋ยวเย็นๆ จะมาหา”

“อืม” คนฟังถอนหายใจโล่งอก ดีแล้วที่มันไม่ได้มาที่นี่ เพราะถ้ามันมา แค่นาทีแรกก็ต้องสังเกตเห็นแน่

เวลานี้เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะเป็นยังไง…แต่เขากังวลว่าถ้าใครอีกคนรู้แล้วมันจะเป็นห่วงจนต้องทำหน้าเศร้ามากกว่า และถ้าเป็นแบบนั้น…ภูคงเจ็บมากกว่านี้อีกหลายเท่า

“ถ้าไม่ไหวโทร. เรียกผมนะ” แปดตบบ่าคนข้างๆ เบาๆ ก่อนจะเดินไปอีกทางเมื่อมาถึงจุดที่พวกเขาต้องแยกกันไปทำงาน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วกายสูงก็ทรุดลงนั่งยองๆ ที่พื้น ยกมือบีบขมับที่เริ่มปวดมากขึ้นของตัวเองแรงๆ ราวกับจะบังคับให้มันหยุดปวด

หลังจากสะบัดหัวเรียกสติอยู่หลายครั้งเขาก็สามารถลุกขึ้นได้ในที่สุด สีหน้าที่เคยราบเรียบเย็นชาฉายแววเคร่งเครียดเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะไม่ไหว และสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับอาการปวดหัวของตัวเองได้

“ก้อน…” รู้ตัวอีกทีภาพในสายตาก็เลือนราง ก่อนจะดับลงพร้อมกับที่ร่างสูงโปร่งล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น

ท่ามกลางความมืดและแดดร้อนจัดในเวลากลางวัน ภูได้ยินเสียงคุ้นเคยของใครสักคนเรียกเขาจากที่ไกลๆ เปลือกตาที่ปิดสนิทพยายามปรือขึ้นมอง เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเสียงของคนคนนั้นเริ่มสั่นเครือมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงปนสะอื้นในที่สุด

“เฮีย! ใครก็ได้!…ฮึก”

คนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่เหมือนใจจะขาด ฝ่ามือเย็นเฉียบพยายามลูบใบหน้าของคนที่กำลังหลับตาให้รู้สึกตัว แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบรับ น้ำตาที่ไหลเป็นทางก็ล้นทะลักมากกว่าเดิม

“พี่ภู พี่ภู”

ภูรู้สึกว่าเสียงนั้นดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เขาจะมองไม่เห็น และในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิผล เมื่อเขาสามารถเค้นแรงเพื่อลืมตามองมันจนได้

“พี่ภู อย่าหลับตานะ แป๊บเดียว…ฮึก…ใครก็ได้! มาช่วยผมหน่อย!” มันพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปวดร้าว ก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วพยายามคุ้ยกระเป๋าตัวเองหาอะไรบางอย่าง “โอ๊ย! ไอ้เหี้ย!…ฮึก…ลืมโทรศัพท์ไว้อีก ไอ้สัตว์!”

ภูอยากจะขำก็ขำไม่ออก เขาเห็นตามันแดงก่ำ น้ำตาไหลเป็นทางจนอยากจะยกมือขึ้นเช็ดให้ แต่ติดอยู่ที่ไม่มีแรงแม้แต่น้อย สุดท้ายกระต่ายไร้ความอดทนก็หุบปากฉับราวกับกำลังพยายามตั้งสติ มันหยิบโทรศัพท์ออกไปจากกระเป๋ากางเกงของเขา ก่อนจะกดโทร. หาใครสักคนแล้วเรียกให้ฝั่งนั้นมาหา จากนั้นก็หันมาพยุงเขาให้ลุกขึ้น

“พี่ทนก่อนนะ” มันบอกแล้วพยายามแบกเขาขึ้นหลัง แต่ด้วยสัดส่วนที่ต่างกันพอควรเลยทำให้ทุกอย่างดูยากลำบากไปหมด ภูอยากจะบอกให้มันพอ เขาไม่อยากให้มันเหนื่อย แต่สุดท้ายกระต่ายก้อนก็พาเขามาถึงร่มไม้จนได้ “พี่อย่าเป็นไรนะ…เพราะป๋าสั่งงานหนักไปแน่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ ผมจะโกรธป๋า จะงอนสามวัน จะฟ้องจ๋าด้วย แล้วก็…”

ไม่รู้ว่าน้ำตามันหยุดไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะตั้งแต่ที่ตั้งสติได้และรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พอหายเครียดแล้วก็บ่นงุ้งงิ้งไม่หยุดอยู่นานหลายนาที จนเมื่อภูหัวเราะออกมาเบาๆ มันถึงได้หันกลับมาสนใจ

“พี่เป็นไงบ้าง”

“โอเค” ภูตอบสั้นๆ แต่คนฟังกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจ เขาเลยต้องพูดต่อช้าๆ “ปวดหัว”

“เดี๋ยวเฮียสองก็เอารถมาแล้ว รอก่อนนะ”

“อืม” เขาตอบรับพร้อมกับจ้องหน้ามันเงียบๆ เมื่อได้เห็นเหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามกรอบหน้าของมันแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ และคงเผลอแสดงสีหน้าออกไป มันถึงได้ยกมือเช็ดเหงื่อตัวเองเป็นการใหญ่

“ตอนแรกผมก็จะไปกับจ๋าแล้วนะ แต่มีตัวเงินตัวทองวิ่งผ่านรถ จ๋าบอกลางไม่ดีไม่ไปดีกว่า ผมเลยรีบมาหาพี่” กระต่ายก้อนพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาเลยต้องยกยิ้มตามเมื่อเห็นความตั้งใจของมัน

“ขยับมาใกล้ๆ” ภูพูดเสียงแผ่ว ซึ่งคนฟังก็ทำหน้างงอยู่ครู่เดียว ก่อนจะขยับเข้ามาหาตามคำสั่ง เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ฝืนยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังติดอยู่บนแก้มใสให้แผ่วเบา

กระต่ายของเขาทำหน้าตาตกใจ มันยกมือกุมสองแก้มแดงเถือกของตัวเองไว้แล้วนั่งเงียบไม่พูดไม่จา ภูรู้ดีว่ามันกำลังเขิน และเขาก็กล้ายอมรับว่าชอบมากจริงๆ ยามได้เห็นมันแสดงอาการแบบนั้น เพียงแต่ความอ่อนล้าที่ยังคงอยู่ทำให้สติที่มีเริ่มจางหายไปอีกครั้ง แม้แต่เรี่ยวแรงก็ดูราวกับจะถูกใช้ไปจนหมดกับการเช็ดน้ำตาให้มันเมื่อครู่

“กูนอนแป๊บเดียว” เขาบอก ก่อนจะเอนกายไปพิงไหล่มันไว้…แล้วสติที่มีทั้งหมดก็จางหายไป

 

 

“ทำไมป๋าทำแบบนี้!”

“ตัวเล็ก…”

“เฮียแปดต้องรายงานป๋าอยู่แล้วว่าพี่ภูอาการไม่ค่อยดี แต่ป๋าก็ยังสั่งให้เขาไปทำงาน”

ภูขยับกายเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงเสียงรบกวนจากคนรอบข้าง เขาจำได้ว่าเสียงหนึ่งคือเสียงของกระต่ายก้อนที่กำลังโวยวาย ส่วนอีกเสียงคือนายใหญ่เจ้าของที่นี่ ถึงอย่างนั้นอาการอ่อนล้าและปวดหัวที่รุมเร้าก็ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะพูดอะไร

“ตัวเล็ก ป๋า…”

“ป๋า…พอเถอะนะ”

เขาพยายามฝืนลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเก้าพูดด้วยความปวดร้าว และในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ…ภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนสองคนซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาตื่นแล้ว

“เรายอมหมดแล้ว อย่าแกล้งพี่ภูเลยนะ” คนพูดยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยท่าทางน่าสงสารที่ทำให้คนมองปวดใจ และคนที่น่าจะปวดใจยิ่งกว่าคงเป็นเจ้าของไร่ที่กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตาม

“ตัวเล็ก อย่าร้อง…”

“เรารอเขามาสอง…ไม่สิ…สามปี เราพยายามทำให้เขาหันมามอง…ฮึก…สุดท้ายความพยายามก็ชนะใจเขาได้ ป๋าอย่าทำลายความพยายามของเราเลยนะ”

“ป๋าไม่ได้…”

“เรารู้ว่าป๋ารักเรา แล้วก็อยากให้เขาพิสูจน์ตัวเอง แต่แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอป๋า เขาทำงานให้เรามาเป็นเดือนแล้วนะ ทำทุกวันไม่มีหยุด ทำทุกอย่างยิ่งกว่าที่เฮียๆ ทำ” เก้าพูดเสียงสั่นเครือพลางกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นไม่ให้มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา

“ตัวเล็ก…อย่าร้องนะครับ…โอ๋ๆ ป๋าขอโทษนะ” ว่าแล้วนายใหญ่เจ้าของไร่ก็ดึงตัวคนที่กำลังสะอึกสะอื้นเข้าไปกอดไว้แน่นพลางลูบหัวลูบหลังปลอบยกใหญ่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ป๋าไม่แกล้งคนที่ตัวเล็กชอบแล้วครับ ไม่แกล้งแล้วจริงๆ”

“จริงนะ?”

“จริงครับ ป๋าสัญญา”

“ป๋าให้เขามาอยู่บ้านใหญ่กับเรานะ” คนที่สะอึกสะอื้นเมื่อครู่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ทว่าผู้ที่รักและหลงลูกยิ่งกว่าสิ่งใดก็ยังไม่รู้สึกตัว

“ครับ เอาแบบที่ตัวเล็กต้องการทุกอย่างเลยดีไหม”

“ถ้าป๋าคืนคำ เราจะโกรธป๋าสามวัน”

“ไม่โกรธป๋านะคนดี ป๋าไม่คืนคำแน่นอน ตัวเล็กหยุดระ…” คนพูดชะงักไป เมื่อผละกายออกแล้วมองเห็นใบหน้าของลูกชายสุดรักสุดหวงเต็มตา…ใบหน้ายิ้มแย้มที่ไร้ซึ่งความเสียใจใดๆ

“เรารักป๋าที่สุดเลย” เก้าฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะโถมกายเข้ากอดคนที่ยืนนิ่งเป็นหินเต็มแรง สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วกอดกลับ

ต่อให้เป็นการแกล้ง…แต่เขาก็ไม่อยากเห็นลูกชายร้องไห้อีกแล้ว

“เดี๋ยวป๋ามาใหม่พรุ่งนี้นะครับ ตัวเล็กล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมานั่งเฝ้าคนป่วยนะรู้ไหม”

“โอเค” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักรับคำ รอจนพ่อตัวเองเดินออกจากห้องไปแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขยี้ตา

“ก้อน…” ภูที่มองสถานการณ์ตรงหน้าอยู่นานส่งเสียงเรียกเบาๆ จนกระต่ายสะดุ้งแล้วรีบวิ่งมาหา

“พี่เป็นยังไงบ้าง”

“โอเคแล้ว”

“ค่อยโล่งอกหน่อย”

“มาใกล้ๆ” เขากวักมือเรียกให้มันเข้ามาหา ซึ่งกระต่ายก็ทำตามแต่โดยดี และเมื่อมันเข้ามาใกล้พอให้ยื่นมือไปหาได้แล้ว เขาก็ดึงแขนมันอย่างแรงจนร่างนั้นล้มลงมาทับอยู่ที่อกตัวเอง

“พี่ภู…”

“ว่าแล้ว…”

“หือ”

“มึงทายาหม่องใช่ไหม” สีหน้าของคนป่วยดูราบเรียบว่างเปล่า ในขณะที่คนฟังเงยหน้ายิ้มแห้งพลางหัวเราะแหะๆ เป็นการยอมรับ

“นิดเดียวเอง…”

ถึงขนาดเอายาหม่องป้ายตาเพื่อให้ตัวเองร้องไห้…

“เฮ้อ…”

ในโลกนี้คงหากระต่ายเจ้าเล่ห์แบบมันไม่ได้อีกแล้ว

 

------------------------

 

 TALK: กำหนดการรอบสต็อคจะออกสิ้นเดือนนะคะ ติดตามได้ทางเพจ Chesshire. กับทวิต @Chesshire04

 

 

 
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 26-11-2017 19:57:41
ยาหม่องง?!? ..เก้าลูกกหนูลงทุนมากกกกกกกกกกก 
ป๋าาายอมๆๆไปเถ้อออ 5555 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 26-11-2017 20:01:37
กระต่ายเจ้าเล่ห์.... o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 26-11-2017 20:15:46
เก้าเจ้าเล่ห์จริงๆเลย o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 26-11-2017 20:43:32
จิ้งจอกสุดๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 26-11-2017 21:22:04
โถ่ เก้าสงสารปะป๊าขึ้นมาทันที 555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-11-2017 21:54:29
นังนู๋เก้า ทำไมร้าย  :m20: สงสารพี่ภู สงสารป๋า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-11-2017 23:02:04
ใช้ยาหม่องป้ายตา วิธีนี้คิดว่าก้อนคงใช้มาไม่น้อย แล้วก็คิดว่าป๋าคงรู้แน่ ๆ แต่เพราะรักไงเลยยอม ๆ ไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 26-11-2017 23:04:48
กระต่ายก้อนร้ายยยยยย :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-11-2017 23:55:12
เจ้าก้อนร้ายกาจมาก!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Khaoggg ที่ 27-11-2017 00:55:53
กำลังจะซึ้งเลย  สุดท้ายก็อดขำไม่ได้ทุกทีสิน่า  :m20:
เอ็นดูนุ้งเก้าจริงๆ :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 27-11-2017 03:20:11
เก้าก็คือเก้า จะดึงดราม่าหน่ยก็ดราม่าไม่สุด 555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-11-2017 09:06:30
คนเจ้าเล่ห์มากกกกกก5555+

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-11-2017 10:30:16
กระต่ายของพี่ภูเจ้าเล่ห์อ่ะ  o13 o13 o13

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 27-11-2017 12:32:47
เกือบซึ้งละเก้า เกือบซึ้งจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเอายาหม่องป้ายตาอ่ะ ก้อนแม่ง! เจ้าเล่ห์ #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-11-2017 15:08:58
เอาความซึ้งเราคืนมา โธ่ ไอ้กระต่ายบ้าเอ้ย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-11-2017 17:18:27
โอเค สุดท้ายก็ยังเป็นกระต่ายบ้า 555
สงสารพี่ภูที่ตกหลุมกระต่ายแล้วสิ
แต่ดูแล้วน่าจะเห็นใจคุณป๋าที่สุด
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-11-2017 21:50:40
ก้อนคือกระต่ายเจ้าเล่ห์  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 27-11-2017 22:41:09
กร๊ากกกก...คุณป๊าเสียรู้ให้กระต่ายน้อยซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 28-11-2017 07:06:54
ก้อนลูกกกกกกกกกกกทำร้ายกาจแบบนี้ :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pamari ที่ 28-11-2017 19:22:26
ยัยก้อน!ทำไมเจ้าเล่ห์แบบเน้~~~~
ขอยายก้อนได้มั้ยพี่ภู❤ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 28-11-2017 21:53:04
5555555  ป๋าโดนน้องเก้าหลอก  แสบจริงๆๆๆเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pukpra ที่ 29-11-2017 12:40:21
ยาหม่อง โอ้ยย เก้าเอ้ย แสบจริงๆ  5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 30-11-2017 07:54:25
โอ้ยยอย่าว่าแต่คุณป๋าเราก็เชื่อน้องเก้าไปเหมิอนกัน :ling1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[38]==[P.25]== [26/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 02-12-2017 18:14:20


-39-

 

ศรันย์สบตากับภรรยาของตัวเองนิ่งงัน ใบหน้าสวยของคู่ชีวิตที่มักจะยิ้มแย้มเสมอยามนี้นิ่งสนิทยากจะคาดเดา ธารินทร์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานของเขาเบาๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิดที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ซึ่งนั่นนับเป็นการกระทำที่ดูน่ากลัวจนคนมองทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยืนตัวลีบอยู่เงียบๆ

“รันย์…” น้ำเสียงราบเรียบของภรรยาที่นานๆ จะได้ยินสักครั้ง ทำให้ผู้เป็นสามีถึงกับต้องหลุบตาลงต่ำ นับดูแล้วนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ธารินทร์เรียกเขาด้วยชื่อเล่นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาเธอมักจะเรียกเขาว่าคุณป๋าตามลูกชายสุดที่รักมาโดยตลอด

หากใครบอกว่าธารินทร์เป็นคนใจดีที่ดูลั้นลาไปวันๆ ศรันย์จะมองแรงใส่แล้วด่าว่าไอ้โง่อยู่ในใจทุกครั้ง เพราะเทียบกับเขาที่ดูดุเถื่อนแล้ว เธอที่เอาเขาอยู่ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน อีกทั้งถ้าธารินทร์ลั้นลาไปวันๆ จริงๆ กิจการไร่ส้มที่เธอทำเล่นๆ เพราะชอบคงไม่เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้แน่

“รันย์…” เสียงเรียกซ้ำทำเอาคนตัวโตสะดุ้งเฮือก ต้องรีบหันกลับไปสบตาแล้วตอบรับอย่างรวดเร็ว

“จ๋า”

“ได้ข่าวว่าคุณทำลูกร้องไห้…”

ใครเอาไปบอกวะ!

คนฟังหน้าตาซีดเซียว ในขณะที่คนพูดกลับมีท่าทีนิ่งเฉยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน และนั่นแหละที่น่ากลัว…

“ฉันบอกว่าจะยอมให้คุณพิสูจน์ตามที่ต้องการก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถแกล้งเขาแบบไร้เหตุผลได้ และที่สำคัญ…ทำไมถึงทำให้ลูกร้องไห้”

หากถามว่าคนที่ตามใจและหวงเก้าที่สุดคือใคร คนส่วนมากอาจตอบว่าคือศรันย์ แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่า ผู้หญิงที่ไม่ชอบแสดงออกคนนี้ต่างหากที่ตามใจและหวงลูกมากที่สุด เธอยินดีหากได้เป็นคนกวนประสาทเก้าด้วยตัวเอง แต่จะไม่ยินยอมให้ใครมาทำให้ลูกชายสุดที่รักต้องรู้สึกแย่เด็ดขาด…และนั่นรวมถึงเขาด้วย

“แต่ดูเหมือนลูกจะไม่ได้ร้องจริง…”

“ฉันไม่สนใจว่าลูกจะร้องจริงหรือแกล้งร้อง ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ คุณคิดว่าคุณอชิราจะใช้วิธีแบบนั้นเหรอคะ” ธารินทร์ขยับกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวเท้าไปหาสามีช้าๆ “เราเคยคุยกันแล้วว่าต่อให้คุณอชิราเข้มแข็งขนาดไหน เขาก็ยังต้องการคนดูแล เด็กคนนั้นต้องการคนมาอยู่เคียงข้าง และเขาก็เลือกแล้ว”

“…”

“ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาน่าจะมากพอกับการทดสอบคุณภูแล้วนะคะ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนดีและพร้อมทำเพื่อตัวเล็กของคุณ นอกจากนั้นยังมีความสามารถและความตั้งใจยิ่งกว่าใคร ขนาดคุณมอบหมายงานที่ไม่จำเป็นให้ทำเขาก็ยังทำโดยไม่บ่นสักคำ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”

ศรันย์ทำได้เพียงก้มหน้าลง เพราะเขาไม่สามารถเถียงในสิ่งที่ธารินทร์พูดออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว แม้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าคนที่ลูกชายของตัวเองเลือกมานั้นสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายใน ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงประธานบริษัทที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้เลยสักนิด แต่อีกฝ่ายก็ยังเต็มใจเข้ารับการทดสอบโดยไม่มีเงื่อนไข และเขารู้นิสัยของลูกชายดีอยู่แล้ว ศรันย์เชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะฝั่งนั้นพูดอะไรไว้ เก้าต้องไม่ยอมอยู่เฉยๆ ดูคนที่ตัวเองชอบทำงานงกๆ แบบนี้แน่

ที่ลูกลงทุนใช้แผนร้องไห้ให้เขาใจอ่อน นั่นคงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่เห็นหนทางแล้วจริงๆ

“ผมเข้าใจแล้ว” ศรันย์ถอนหายใจยาว “ผมจะไม่ขัดขวางลูกอีก”

“ทำเท่าที่ควรทำเถอะค่ะ” ธารินทร์แตะแขนสามีเบาๆ ก่อนจะยิ้มบาง “ฉันเองก็หวงลูกไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกของเราคือความรู้สึกของลูก คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหมคะ”

“ครับคุณหญิง”

“ดีมากค่ะคุณป๋า” ธารินทร์ฉีกยิ้มเป็นปกติ ก่อนจะกลับไปพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยแบบที่เธอชอบทำ “ทีนี้ก็ลองไปคุยกับว่าที่ลูกเขยดูนะคะ เปิดใจแล้วรับฟังเขา บางทีถ้าได้ลองคุยกันตรงๆ คุณอาจจะชอบเขาก็ได้”

 

 

ศรันย์หยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของคนป่วยเป็นเวลานานกว่าสิบนาทีแล้ว ในหัวของเขามีความคิดมากมายหลายอย่างตีกันอยู่ แต่น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ได้หงุดหงิดหรือหัวร้อนที่จะต้องมาเจอภูเหมือนเคย

บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นน้ำตา…ปลอมๆ…ของลูกชายไปเมื่อวาน อีกทั้งเขาก็รับปากไปแล้ว

สุดท้ายนายใหญ่ของที่นี่ก็ตัดสินใจเคาะประตู ก่อนจะเข้าไปด้านในโดยไม่รอคำตอบ สิ่งแรกที่เห็นคือภาพของคนป่วยที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงใช้มือเดียวกดโน้ตบุ๊ก ส่วนมืออีกข้างก็ทำหน้าที่ลูบหัวคุณหนูของบ้านซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ที่ตักเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องปลุก” ศรันย์รีบบอก เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเขย่าตัวปลุกคนที่กำลังนอนหลับสบาย

“คุณอามีอะไรหรือเปล่าครับ” ภูก้มหน้าลงมองคนที่พลิกตัวไปมา ก่อนจะลูบแก้มเบาๆ ให้เจ้าตัวสงบลงและกลับไปนอนนิ่งเหมือนเดิม ซึ่งคนที่นอนกลิ้งเล่นเกมอยู่ข้างเขาทั้งคืนก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี

แต่ดูเหมือนจะมีคนเข้าใจผิด…

“ตัวเล็ก…” คนเป็นพ่อมองลูกชายตัวเองที่ยังหลับสนิทด้วยความเศร้าสร้อย ยิ่งเห็นว่าตาสองข้างของเก้ายังคงแดงก่ำและบวมช้ำเขาก็ยิ่งปวดใจ

แน่นอนว่าภูมองเห็นและเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เลือกที่จะไม่อธิบายความจริงออกไปว่า…จริงๆ แล้วที่เด็กนี่ตาบวมแดงเป็นเพราะทายาหม่องเยอะเกิน แถมยังฝืนเล่นเกมจนดึกโดยไม่ยอมหยุดพักอีกต่างหาก เพิ่งจะได้นอนก็เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง ทั้งหมดไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากบอก แต่เป็นเพราะเห็นสีหน้าเสียใจโอเวอร์ของนายใหญ่แล้วไม่รู้จะพูดยังไงมากกว่า

“ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย” ศรันย์เปิดประเด็นขึ้นมา ก่อนจะยกมือเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าตัวเองเบาๆ

“ครับ”

“ฉันได้ฟังเรื่องราวของนายกับตัวเล็กผ่านคุณหญิงมามาก รวมถึงรู้ด้วยว่าเด็กคนนี้เป็นฝ่ายไปชอบและเกาะติดนายก่อน” วินาทีที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ศรันย์ยอมรับว่าเขาแทบจะอยากเอามีดไปกะซวกไส้ใครก็ตามที่บังอาจปฏิเสธลูกชายของเขา แต่เมื่อโดนสั่งทางสายตาจากภรรยาให้นั่งลงฟังต่อ โทสะของเขาก็ค่อยๆ คลายลงช้าๆ “แน่นอนว่านายจะชอบหรือไม่ชอบกลับย่อมไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการที่ยอมให้ตัวเล็กเข้าใกล้และไม่ทำร้ายร่างกายรวมถึงจิตใจของเขากลับมาก็ดีมากแล้ว…”

“…”

“ฉันเลยอยากถามว่า…ทำไมนายถึงหันกลับมาทำเพื่อเด็กคนนี้ได้มากขนาดนี้” ศรันย์จ้องมองใบหน้าไร้อารมณ์ของคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง “และทำไม…นายถึงคิดว่าตัวเองคู่ควร”

ไม่ใช่คู่ควรในเรื่องของฐานะหรือหน้าที่การงาน ไม่ใช่คู่ควรในเรื่องของลักษณะนิสัย แต่คำว่าคู่ควรของคนเป็นพ่อ…หมายถึงคู่ควรพอให้เขายอมรับ และคู่ควรพอที่จะทำให้เขายอมปล่อยดวงใจของตัวเองไปให้ดูแล ซึ่งเพียงแค่ได้สบตา ภูก็สามารถเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อได้อย่างชัดเจน

“เมื่อประมาณสองปีก่อนมีเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตผม…” เขาเริ่มพูดออกมาช้าๆ ก่อนจะก้มลงมองเด็กคนที่ว่าซึ่งยังคงหลับสนิท “มันชอบทำตัวเป็นกระต่ายก้อนน่ารำคาญที่วนเวียนอยู่รอบกายผมไม่ห่าง ไม่ว่าจะไปที่ไหน จะอยากหรือไม่อยากผมก็มักจะมองเห็นมันก่อนใครเสมอ มันทั้งแผนสูง คิดและพูดจาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป จะทำอะไรก็ทำตามอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนมีเหตุผลและคิดเป็น”

ศรันย์คลายมือที่กำไว้แน่นเพราะได้ยินคนตรงหน้าว่าลูกชายตัวเองออก ขืนไม่มีประโยคสุดท้ายมารองรับเขาคงได้เข้าไปตั๊นหน้าหล่อๆ นั่นสักหมัดสองหมัด

“ตอนแรกผมมองว่ามันน่ารำคาญ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากกำจัดไปให้พ้น เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตแน่ๆ…และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ” ภูปล่อยมือออกจากโน้ตบุ๊ก ก่อนเขาจะขยับหัวคนที่กลิ้งไปกลิ้งมาจนแทบจะตกจากตักให้กลับมานอนดีๆ “การที่ผมไม่สามารถผลักมันออกไปได้ ทั้งยังยอมให้มันเข้าใกล้มากขึ้นทุกที ทำให้ทุกความตั้งใจและความคิดของผมเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึง…คงเป็นที่ความเปลี่ยนแปลงนั้นมันไม่ได้เป็นไปในทางที่แย่ลง…คุณอาคงทราบเรื่องที่เก้าไปหาผมที่อังกฤษแล้ว”

“คุณหญิงบอกว่าตัวเล็กสัญญากับนายไว้”

“ครับ เราสัญญากันไว้…เก้าสัญญาว่าจะไปช่วยน้องผมที่กำลังป่วย สัญญาว่าจะไปหา เราไม่ได้เห็นหน้ากันมาสองปีเต็ม และตอนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้…ตอนที่มันไปหาผมที่อังกฤษ ช่วยให้น้องผมมีเพื่อนและมีอาการดีขึ้น ถึงตอนนั้นผมยิ่งมั่นใจว่ามันคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”

“…” ผู้เป็นพ่อไม่ตอบอะไรแต่กลับเบะปากไม่พอใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองก็คงคิดไม่ต่างกัน

“ตอนที่รู้ว่ามันต้องกลับมาที่นี่ ผมได้แต่คิดว่าทำไมถึงเป็นตัวเองที่ต้องให้มันวิ่งตามตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ชีวิตมันสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าผมเสียอีก” ภูเขี่ยแก้มขาวของคนที่กำลังหลับอีกครั้ง ก่อนเขาจะเงยหน้ามองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ “และตอนที่ผมได้มาเห็นว่ามันมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและรักมันมากขนาดไหน ผมที่ไม่เคยคิดดูถูกตัวเองมาตลอดชีวิตกลับคิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก…ว่าตัวเองมีอะไรคู่ควรกับมัน สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้…แล้วก็เป็นมันเหมือนเดิมที่เข้ามาปลอบโยนผมแบบที่เคยทำมาโดยตลอด”

ศรันย์เหยียดยิ้ม เมื่อรู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“แต่มาถึงตอนนี้ผมหาคำตอบได้แล้ว” คนพูดมองสบสายตาดุดันนิ่งงัน ในขณะที่คนมองต้องค่อยๆ คลายรอยยิ้มลงช้าๆ “สิ่งเดียวที่ทำให้ผมคู่ควร…”

นั่นเป็นครั้งแรก…ที่ศรันย์ได้เห็นแววตาที่ดูมั่นคงและจริงจังมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นจากใครสักคน

“คือการที่เก้ารักผม…และผมก็รักเก้าไม่แพ้กัน”

“…”

“ถึงตอนนี้คุณอาจะยังไม่ให้ผมผ่านเต็มร้อยก็ไม่เป็นไร เพราะคราวนี้ผมจะวิ่งตามเก้าบ้าง และต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต…ผมก็จะไม่มีทางยอมปล่อยให้คนที่ตัวเองรักเดินจากไปเด็ดขาด”

สิ้นประโยคบอกรักที่ไม่ได้บอกกับใครอีกคนโดยตรง กำแพงที่มีในใจของศรันย์ก็ทลายลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว ยิ่งยามได้มองใบหน้าของลูกชายซึ่งกำลังหลับสนิทและพลิกตัวไปซุกหน้าท้องเจ้าของตักเขาก็ยิ่งหมดแรงขัดขืน แม้ยากจะยอมรับ แต่ก็ต้องทำใจเพราะลูกเลือกไปแล้ว และระยะเวลาสองหรือสามปีที่คนอย่างเก้ายอมอดทนรอคงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้

ศรันย์ขยับกายเดินไปยืนอยู่ข้างเตียง ก่อนจะแตะแก้มของลูกชายตัวเองแผ่วเบา เพียงเท่านั้นเขาก็ได้คำตอบ…คนคนนี้คู่ควรกับตัวเล็กของเขามากที่สุดแล้วจริงๆ

“มื้อเย็นลงไปกินข้าวข้างล่าง” พูดเพียงเท่านั้น เขาก็หมุนกายเดินจากไปโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ อีก

ภูถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เพียงแค่ได้ยินเจ้าของบ้านชวนลงไปกินข้าวด้วยกัน ก็ทำให้ความกังวลทั้งหมดจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงมองคนหลับที่เริ่มอ้าปากหวอก่อนจะยิ้มบาง แรกๆ มันก็ยังนอนดีๆ อยู่หรอก แต่นอนไปนอนมาอยู่ดีๆ ก็เริ่มขดตัวเป็นก้อน แถมยังอ้าปากหวอแล้วงับพุงเขาเหมือนกำลังฝันถึงของกินอยู่อีกต่างหาก

ก้อนมันน่ารัก…เพราะอย่างนั้นใครๆ ถึงได้รักมัน ขอแค่ได้เข้ามาอยู่ในวงโคจรทุกคนก็คงหลงมันได้ไม่ยาก และภูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ขอบคุณนะ” คนพูดก้มลงกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของคนที่กำลังหลับสนิท ก่อนริมฝีปากบางจะประทับลงที่หน้าผากของใครคนนั้นอย่างอ่อนโยน

ขอบคุณที่มันเข้ามาหา…และขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้

“อือ…” คนหลับส่งเสียงอืออาแล้วพลิกตัวหนีราวกับรำคาญ ภูได้แต่ขำเมื่อเห็นปฏิกิริยาของมัน เชื่อว่าถ้าเจ้าตัวรู้ว่าเมื่อครู่หันหนีสัมผัสของเขา มันคงต้องเอาหัวโขกพื้นด้วยความหัวร้อนเป็นแน่ “…เขียว”

“อะไรนะ” ภูขมวดคิ้วมุ่น เมื่อได้ยินเสียงมันพึมพำอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเลยก้มลงไปใกล้ๆ เพื่อฟังอีกครั้ง

“หิวชาเขียว!” แล้วคนละเมอก็ลืมตาพึ่บอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเด้งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ และนั่นทำให้…

โป๊ก!

เต็มแรง…

“โอ๊ย!” คนทำกุมหน้าผากตัวเองแล้วล้มลงไปนอนหงายหลังด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่คนโดนประทุษร้ายได้แต่นวดขมับที่กระแทกกับหน้าผากอีกฝ่ายเข้าเต็มแรงเบาๆ “พี่เอาหัวมาใกล้ๆ ผมอะ”

ภูมองคนเพิ่งตื่นที่กำลังงอแงโดยไม่พูดตอบอะไร เขาปล่อยให้มันบ่นงุ้งงิ้งอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว จนสุดท้ายเมื่อรู้สึกเมื่อยปากมันก็หยุดพูดไปเอง

“เห็นมึงทำหน้าเหมือนกระต่ายเลยก้มลงไปดู”

“ผมเนี่ยนะ…เออใช่!” มันเอามือออกจากหน้าผากแล้วหันมาฟ้องเขาด้วยสีหน้าโมโห “ผมฝันว่าไอ้เต็มมันมาแย่งเค้กชาเขียวไปกิน!”

“เต็มเป็นตุ๊กตา…”

“นั่นแหละ ถ้ากลับไปเจอมันเมื่อไหร่ ผมจะควักไส้แม่งออกให้หมดเลย”

ภูส่ายหน้าหน่าย เมื่อเห็นคนพูดทุบเตียงด้วยความหงุดหงิดราวกับตุ๊กตากระต่ายของเขาไปแย่งชาเขียวมันมากินจริงๆ

“ก้อน”

“หือ”

“มึงรู้ความหมายของชื่อเต็มหรือยัง” เขาตัดสินใจยกเรื่องที่น่าจะทำให้มันเกิดความสนใจได้ขึ้นมาพูดเพื่อให้เจ้าตัวหยุดหงุดหงิด ซึ่งมันก็ได้ผลทันใจ เพราะแทบจะทันทีที่ได้ยินกระต่ายก้อนก็หันมาทำหน้าตาตื่นใส่ แถมพอประกอบท่าทางนั้นเข้ากับหัวฟูๆ กับตาแดงๆ ของมันแล้วก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่ “เต็มเก้า”

มันทำหน้างง คิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่วินาทีต่อมาก็เบิกตากว้างแล้วขยับเข้ามาหาจนแทบจะมานั่งบนตักเขา

“ที่แท้ผมก็ได้คะแนนเต็มมาตั้งนานแล้ว!”

“ถึงบอกว่าโง่”

“ใครจะไปรู้เล่า” มันทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่แค่แวบเดียวก็กลับมายิ้มกว้างมองเขาตาแป๋วเหมือนเดิม “พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องป๋าแล้วนะ ป๋าสัญญากับผมว่าจะไม่แกล้งพี่แล้ว”

ดูใช้คำ…

“รู้แล้ว” ภูเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องตอนที่มันหลับ เขาแค่ส่งยิ้มขอบคุณไปให้ ก่อนจะลูบหัวกระต่ายเป็นรางวัล ซึ่งเจ้าตัวก็ดูชอบใจกับสิ่งที่ได้รับเสียเหลือเกิน

หลังจากกลิ้งไปกลิ้งมาและขยันทำหน้าอ้อนโดยไม่รู้ตัวอยู่นาน กระต่ายก้อนก็ชวนเขาลงไปเดินเล่น โดยคาดว่าคนชวนคงจะลืมไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ แต่เพราะไม่ได้ปวดหัวหรือมีอาการอะไรอีก ภูเลยยอมพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามมันไปเงียบๆ

คนเดินนำพาคนป่วยเดินออกไปนอกบ้านแล้วตรงไปยังทางที่ภูไม่เคยไป เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนที่ฉีกยิ้มกว้างไม่แคร์โลกด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ จะบอกว่ามันร่าเริงผิดปกติเกินไปหน่อยก็คงได้ แต่ภูก็รู้ดีว่ามันจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาเฉพาะในเวลาที่อารมณ์ดีมากๆ เท่านั้น ดังนั้นเขาเลยปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไปโดยไม่คิดขัด

“ดีที่ไม่มีแดด” มันพึมพำเหมือนจะคุยกับตัวเอง “ผมโคตรเกิดมากับโชคเลย พี่ว่าไหม”

“อืม…” คนฟังทำได้เพียงตอบรับเสียงแผ่วเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง เขาเคยชินกับนิสัยหลงตัวเองของมันแล้ว เพราะงั้นอยู่เฉยๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“เออใช่…แล้วภามจะมาวันไหนเนี่ย ผมลืมถามไปเลย”

“ไปหาอาซีเสร็จแล้วจะบินมาพร้อมเฮเลน” ภูอธิบายเสียงเรียบ ใบหน้าเฉยชาเผยความหนักใจออกมาครู่หนึ่งเมื่อนึกอะไรได้ “ก้อน…”

“ครับ”

“อีกสามอาทิตย์กูต้องกลับอังกฤษ” เขาจับแขนคนที่หยุดเดินกะทันหันให้หันกลับมาหา ก่อนจะอธิบายต่อ “กูทิ้งงานมาเป็นเดือนแล้ว จะให้พ่อมาช่วยนานๆ ก็คงไม่ดี”

ที่ภูยังสามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นเพราะออสติน พ่อของเขาช่วยดูแลงานทางนั้นให้ ส่วนเรื่องสำคัญๆ เขาก็คอยสั่งงานผ่านโน้ตบุ๊กมาโดยตลอด ถึงอย่างนั้นตำแหน่งประธานบริษัทก็ยังไม่ควรว่างนาน อีกทั้งจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็สมบูรณ์ไปเกินครึ่งแล้วด้วย

“ผมรู้” คนเข้าใจง่ายพยักหน้าแล้วยิ้มบาง “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับป๋าแล้วก็จ๋าเรื่องงานอีกที คิดว่าไม่น่ามีปัญหาถ้าป๋ายอมให้ผมไปกับพี่”

“อืม…” เขาตอบแค่นั้น ก่อนจะจับมือคนข้างกายไว้แล้วดึงให้มันเดินต่อ

หลังจากที่พูดเรื่องกลับอังกฤษขึ้นมาคนที่เคยร่าเริงก็เปลี่ยนท่าทีเป็นนิ่งเงียบ ภูมองกระต่ายของตัวเองที่ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาเงียบๆ ซึ่งถ้าให้เขาเดาก็คงไม่พ้นคิดเรื่องการไปขออนุญาตพ่อกับแม่ของตัวเองเพื่อไปทำงานที่อังกฤษ

“อย่าเพิ่งคิดมากเลย” ภูตัดสินใจดึงคนข้างๆ ออกมาจากภวังค์ที่เจ้าตัวกำลังจมอยู่ เขาปล่อยมือออกจนโดนหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ แต่วินาทีต่อมามันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นเมื่อเขาโอบไหล่ให้เข้ามาแนบชิดกว่าเดิม “บอกกูก่อนดีกว่าว่าจะพาไปไหน”

“อ้าว…ผมยังไม่ได้บอกพี่เหรอ” มันทำหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจ “ผมแค่พาเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดหมายแต่แรกแล้ว”

“…”

“ลืมบอก โทษๆ” คนพูดยกมือไหว้อย่างสวยงามจนน่าตี ซึ่งเขาก็จัดการสนองท่าทีของมันด้วยการหยิกแก้มย้วยๆ นิ่มมือนั้นอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ จนเจ้าของแก้มร้องโอดโอย “ทำร้ายร่างกาย…”

“ก็มึงทำตัวน่าหมั่นไส้”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” กระต่ายก้อนเถียงหัวชนฝา อีกทั้งยังทำหน้าตาบูดเบี้ยวดูน่าแกล้งเป็นที่สุด

“ทำหน้าเหมือนกระต่ายก็ผิดแล้ว”

“ผมไม่ได้เหมือนมันเสียหน่อย”

“เหมือน”

“ไม่เหมือน”

“เหมือนสิ”

“บอกว่าไม่เหมือนไง” เถียงไปเถียงมามันก็เริ่มไม่พอใจหนักขึ้น ภูเลยพยักหน้ารับอย่างจำยอม ก่อนจะถามมันเป็นครั้งสุดท้าย

“ถ้างั้นมึงเป็นตัวอะไร”

“ก็เป็นกระต่ายไง…” พูดเองก็ตกใจเอง ทำเอาคนมองต้องยกมือปิดปากกลั้นขำจนร่างกายสั่นเทา และสุดท้ายเมื่อมันหาทางแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ แก้มขาวๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูเหมือนกำลังอายสุดขีด

“ดูหน้าดิ”

“เพราะพี่นั่นล่ะ” คนที่เพิ่งยอมรับต่อหน้าเขาว่าตัวเองเป็นกระต่ายทำหน้ามุ่ย ซึ่งภูก็ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วขยี้หัวมันด้วยความเอ็นดู

ดูเหมือนกระต่ายก้อนตัวนี้จะมีหนังหน้าบางลงยามอยู่ต่อหน้าเขาจริงๆ นั่นล่ะ…

“เฮ้ย! ดูนั่นดิ!” กระต่ายที่เปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าชี้นิ้วไปด้านหน้า ก่อนจะหันมาเขย่าแขนเจ้าของที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกใหญ่ “นั่นเส้นวิ่งแข่งที่ผมเคยขีดไว้เล่นกับพวกเฮียๆ ตอนเด็กๆ…นานจนเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย”

ภูเลิกคิ้วก่อนจะมองไปยังจุดที่มันบอก แล้วก็พบว่าตรงนั้นมีสีขาวๆ ของอะไรบางอย่างป้ายเป็นเส้นตรงอยู่ที่พื้น แม้จะจางไปมากแต่ก็ยังพอมองเห็นได้ กระต่ายก้อนที่กลับมาร่าเริงอีกครั้งวิ่งดุ๊กดิ๊กไปนั่งมองเส้นอย่างอารมณ์ดี ซึ่งเมื่อได้เห็นมันเป็นแบบนั้นเขาก็ทำได้เพียงยิ้มตาม

เดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวคิดมาก เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวงอแง…จะหาคนที่สลับอารมณ์ได้ไวขนาดนี้คงไม่มีอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าเขาชอบจริงๆ ที่ได้ผูกขาดมันไว้แต่เพียงผู้เดียว

“พี่ภู มาวิ่งแข่งกันเปล่า”

คนฟังทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แม้อยากปฏิเสธขนาดไหน แต่ก็ทำไม่ลงเมื่อได้เห็นหน้าอ้อนๆ ที่มันชอบทำออกมาโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายเลยทำได้เพียงถอนหายใจแล้วถามต่อ

“วิ่งแล้วได้อะไร”

“เอาไว้ค่อยคิด หาคนชนะก่อนดีกว่า”

“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ”

“ได้ดิ” มันหัวเราะฮ่าๆ อารมณ์ดี ก่อนจะดึงแขนเขาให้เดินไปอยู่ตรงจุดเริ่มต้น “วิ่งไปวิ่งกลับจากตรงนี้ถึงต้นไม้ตรงนั้นนะ”

เมื่อไม่มีอะไรให้เสียเขาก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับ โดยที่คนชวนเล่นไม่ลืมหันมาทำหน้าตึงใส่แล้วพูดสิ่งที่ต้องการออกมา

“ขาพี่ยาวกว่าผม รอให้ผมออกตัวไปก่อนสามวิแล้วพี่ค่อยตามนะ”

“กูก็เสียเปรียบสิ”

“ไม่หรอกน่า แค่สามวิเอง” นิดๆ หน่อยๆ มันก็จะเอาให้ได้ ไม่รู้ว่ากลัวแพ้หรือกลัวไม่ได้ทับถมเขากันแน่ แต่ดูท่าแล้วน่าจะเป็นทั้งสองอย่าง

ตอนแรกภูคิดว่าเขาจะทำตัวสบายๆ แล้วปล่อยให้มันชนะไป แต่เมื่อได้เห็นท่าทางตั้งใจเกินเหตุของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจ…

น่าแกล้งเป็นบ้า…แค่นึกถึงภาพมันงอแงเพราะตัวเองแพ้ก็สนุกขึ้นมาแล้ว

“เอานะ…เริ่ม!”

ไม่มีการนับหรือบอกให้ตั้งตัวอะไรทั้งนั้น แค่พูดว่าเริ่มจบมันก็ออกตัวอย่างรวดเร็วในทันที ภูมองตามแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขาเริ่มตั้งท่าจะออกวิ่งเมื่อครบเวลาสามวินาทีตามที่มันบอก แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น…

“เฮ้ย!”

กระต่ายขี้โกงร้องเสียงหลง เมื่อเท้าสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นสามตลบ สุดท้ายต้องนอนแผ่หลาหมดสภาพ ในขณะที่หัวมึนงงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เมื่อได้สติเพราะเห็นเงาของคู่แข่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ากลั้นขำเต็มกำลัง ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นเพราะกลัวเสียมาด

“โอ๊ย!” คนที่ข้อเท้าพลิกตัวเซจนแทบล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบเมื่อฝืนยืนกะทันหัน ยังดีที่มีอ้อมแขนแข็งแกร่งเข้ามารับตัวไว้ได้ทันเวลา

ภูมองคนเจ็บเท้าที่กำลังทำหน้าบูดเบี้ยวแล้วก็นึกสงสาร อยากจะขำก็ขำไม่ออก อยากจะปลอบก็ปลอบไม่ลง สุดท้ายเขาเลยได้แต่ประคองให้ค่อยๆ นั่งลงแล้วก้มลงดูเท้ามัน

“เจ็บสัตว์…” มันบ่นงึมงำเมื่อเขาแตะโดนจุด “ผมโทร. หาป๋าให้เอารถมารับแป๊บ”

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอารมณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเรียกคนอย่างมีสติ จนภูไม่รู้จะพูดยังไงกับกระต่ายผิดปกติตัวนี้ดี เขามองมันคุยโทรศัพท์จ้อทั้งที่หน้าเบ้ด้วยความเจ็บแล้วก็นึกนับถืออยู่ในใจ ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงทำไม่ได้แบบนี้แน่…

“ป๋าบอกว่ากำลังมา” มันยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันมาบอกเขา

“ไม่เจ็บแล้วเหรอ”

“เจ็บสัตว์ๆ แต่ทนอยู่”

“เจ็บก็ร้องออกมา” เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะมองคนที่ส่ายหน้าดิกเป็นเชิงดุ

“มันน่าขายหน้า…”

“ตรงนี้มีแค่กูกับมึง”

“ไม่ดีหรอก” ปากว่าอย่างนั้น แต่หน้าเริ่มเบี้ยว

ภูมองเด็กดื้อที่ยังเม้มปากไม่เลิกแล้วก็ต้องยอมแพ้ ไม่รู้ว่าจะกลัวขายหน้าอะไรอีก ในเมื่อสำหรับเขา มันก็แทบไม่มีอะไรเหลือให้อายแล้ว

“ดื้อจริงๆ” คนพูดว่าเสียงดุแล้วทรุดตัวลงนั่งหันหลังให้คนเจ็บ “ขึ้นมา”

ไม่มีการปฏิเสธหรือเล่นตัวอะไรทั้งนั้น คนที่ทำหน้าเจ็บปวดอยู่เมื่อครู่บัดนี้แย้มรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะโถมตัวเข้าใส่แผ่นหลังของคนอาสาเต็มแรงจนเจ้าตัวเซ ซึ่งเจ้าของร่างก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากทำหน้าเอือมระอา เขาใช้เวลาจัดท่าอยู่เพียงครู่เดียวก็ช้อนขาของคนที่กอดคอตัวเองไว้แน่นขึ้นแล้วขยับตัวยืน

“ขอบคุณครับ” คนเจ็บวางใบหน้าลงบนไหล่กว้าง ก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข ลืมเลือนแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่เพิ่งเกิดขึ้นในไม่ถึงนาที

“เกาะดีๆ”

ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ เพิ่มเติมอีก เพราะเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ชิด…พวกเขาก็เข้าใจความรู้สึกและความผูกพันที่แน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกันและกันได้อย่างช้าๆ

.

.

และถ้าจะขอบคุณใครสักคนในยามนี้ก็คงต้องขอบคุณหนึ่ง…ซึ่งเลือกที่จะหยุดรถแล้วมองภาพของคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ โดยไม่คิดเข้าไปขัดจังหวะ…

แม้จะต้องโดนนายด่าเขาก็ไม่สนใจ…

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้…คือใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขของคุณหนูต่างหาก

 

----------------------------

 



TALK : ตอนหน้าจบแล้วนะคะ สำหรับใครที่สนใจหนังสือ รอบสต็อคจะเริ่มแล้วนะ ตามได้ทางหน้าเพจกับทวิตค่ะ ส่วนใครสนใจ E-book เราลงขายแล้วนะคะ ทาง Meb ค้นหาชื่อเรื่องได้เลย (Apple ก็ซื้อได้แล้วนะ)

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 02-12-2017 18:56:55
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 02-12-2017 20:53:15
อะไรนะ!! ตอนหน้าจบเหรอ หม้ายยยยยยยย #พี่ภูของบ่าง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie12ck ที่ 02-12-2017 22:14:47
 :mew3: :mew1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 02-12-2017 22:27:48
ยังไม่อยากใ้ห้จบเลยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 02-12-2017 22:45:22
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-12-2017 22:47:00
ปัญหาทุกปัญหาคลี่คลายโดยจ๋าคนเดียว ๆ จริงเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 02-12-2017 23:15:34
พี่ภู บอกรักทั้งที ทำไมไม่บอกกับเจ้าตัวก่อน งือออ น้องเก้าอดฟังเลย

เอาใหม่นะคะ บอกรักพร้อมขอแต่งงานไปเลยเน้อ >////<
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 03-12-2017 00:14:42
เก้าน่ารัก  :o8: แต่พลาดโอกาสฟังพี่ภูบอกรักเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 03-12-2017 00:35:22
ตอนคุณป๋าหงอนี่น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-12-2017 00:15:27
จะจบแล้วหรอ :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Khaoggg ที่ 04-12-2017 00:54:16
 :-[ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-12-2017 09:32:20
โอ้ยยย ดีต่อใจมากกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 04-12-2017 15:17:32
เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้มีวันจบเลย ชอบเวลาที่กระต่ายวิ่งรอบๆพี่ภู ทำให้โลกดูสดใสมากๆ ขอบคุณ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 05-12-2017 12:05:35
ละมุนนนนนน ดี
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 08-12-2017 15:51:13

-40-

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่พี่ภูหยุดเข้าไปทำงานในไร่ ผมได้ต้อนรับแขกกลุ่มหนึ่ง…

“หนูเก้า…” แม่เฮเลนยิ้มกว้าง ก่อนจะเข้ามาสวมกอดผมด้วยความคิดถึง ด้านหลังของท่านคือเด็กหน้าตายที่กำลังยืนจ้องหน้าพี่ชายตัวเองอยู่

“ผมคิดว่าแม่จะไม่มาซะแล้ว” ผมผละตัวออกแล้วจับมือท่านไว้

“ต้องมาสิจ๊ะ จะไม่มาได้ยังไงกัน”

“แม่ตามนมเข้าไปด้านในก่อนนะครับ นมจะพาไปหาจ๋ากับป๋า”

แม่เฮเลนหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำเรียกพ่อกับแม่ของผม ก่อนท่านจะเดินตามนมสายที่ออกมาต้อนรับเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผม พี่ภู แล้วก็ภามอยู่ด้วยกันสามคน

“ไงมึง” ผมเดินเข้าไปหาภามแล้วพยักหน้าให้ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าตอบกลับตามปกติ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือการที่เขาเดินเข้ามาสวมกอดผมโดยไม่บอกกล่าว ผมได้แต่ยืนตัวแข็งแล้วมองหน้าพี่ภูงงๆ เป็นเชิงถาม พอไม่ได้รับคำตอบเลยต้องหันกลับมาถามเจ้าตัวแทน “คิดถึงกูอะดิ”

“อือ”

“หือ…” ได้ยินคำตอบตามตรงแล้วก็ต้องเงยหน้ามองพี่ภูด้วยความไม่เข้าใจแรง ซึ่งครั้งนี้เขาไม่ได้ยืนนิ่งเหมือนเคย แต่กลับขมวดคิ้วมองเหมือนจะไม่พอใจ สุดท้ายเจ้าตัวก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะดึงน้องชายตัวเองออกไปจากตัวผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“งก” ภามบ่นพึมพำ ก่อนจะโดนคนข้างๆ ขยี้หัวหนึ่งทีเป็นการลงโทษ

“ของพี่”

ทำไมเดี๋ยวนี้พูดตรงนักวะเนี่ย…

จะบอกว่าดีใจมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือผมเขิน! แล้วเจ้าตัวก็รู้ดีด้วยว่าแค่เขาพูดอะไรออกมานิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้ผมหน้าแดงได้ง่ายๆ แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังทำอีก…ไอ้คนขี้แกล้ง

“เข้าไปหาป๋ากับจ๋าก่อนไป” ผมหลบตาพี่ภู ไม่สนใจว่าเขาจะทำหน้าเหมือนอยากขำขนาดไหน โชคดีที่ภามให้ความร่วมมือโดยการเดินตามมาง่ายๆ ผมเลยไม่ต้องขายหน้ายิ่งกว่าเดิม

หลังจากวันที่ผมข้อเท้าพลิกจนได้ขี่หลังพี่ภูกลับมา เขาก็ยังทำตัวเป็นปกติอยู่ตลอด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก เพียงแต่อยู่ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เหมือนกับเวลาที่ได้สบตาเขา บรรยากาศที่อยู่รอบกายเรามันอ่อนโยนลง ผมรู้สึกเหมือนโดนเขาจ้องอยู่ตลอดเวลา และเมื่อหันไปมองก็จะเห็นว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ พี่ภูไม่เคยหลบตาผมเลยสักครั้ง แต่เป็นผมเองที่ไม่กล้าสบตาเขาขึ้นมาเสียเฉยๆ

ไม่ชินเลย…ปกติมันต้องเป็นผมที่สนใจเขาอยู่ตลอดไม่ใช่หรือไง

นับวันคนตัวสูงก็ยิ่งแสดงออกชัดเจนในแบบของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมดีใจมากที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังรับไม่ทันเสียที มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกินคาดและไม่ทันตั้งตัวมากๆ ยิ่งพี่ภูไม่ได้เข้าไปทำงานในไร่แล้วแต่อยู่ช่วยงานที่บ้านแทน ผมก็ยิ่งมีเวลาอยู่กับเขามากขึ้น และมันก็ทำให้ผมต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ซ้ำๆ จนแทบจะรับไม่ไหว…อยากบอกเหลือเกินว่าใจบางไปหมดแล้ว

“เหม่อ…”

“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งเมื่อโดนเป่าลมใส่หู พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสีหน้ากลั้นขำของคนที่กำลังคิดถึง

ขี้แกล้ง…ขี้แกล้งโคตรๆ

“เดินสักทีสิ” ยังมีหน้ามาดันหลังผมให้เดินต่ออีกนะ แถมยังเปลี่ยนสีหน้าให้กลับไปไร้อารมณ์เหมือนเดิมได้ไวเหลือเกิน

“พี่จะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ” ผมกระซิบบอกเขา ซึ่งเจ้าตัวก็แค่ยักไหล่ตอบกลับมาด้วยท่าทางน่าเตะ…แต่เตะไม่ได้เพราะเป็นเขา โอ๊ย!…ประสาทจะแดก

“เก้า…” ภามที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันมาเรียก “ไม่เห็นมีใครเลย”

“อ้าว…” จะไม่มีได้ไง ก็เมื่อกี้แม่เฮเลนเพิ่งเข้ามาเอง แล้วก่อนผมจะออกไปรับท่าน ป๋ากับจ๋าก็นั่งอยู่ในห้องนี้ “นมก็หายไปด้วย”

ดูๆ แล้วสถานการณ์ในตอนนี้น่าจะเข้าขั้นผิดปกติอย่างแรง ถ้าป๋ากับจ๋าหายไปด้วยกันสองคนยังพอว่า แต่นี่แม้แต่แม่เฮเลนที่เพิ่งมาถึงก็ยังหายไปด้วย จะบอกว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนก็ไม่น่าใช่อีก…

“คุณหนูครับ มีคนมาหา”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากประตูห้องรับแขก ทำให้ผมรวมถึงอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ต้องหันกลับไปมองพร้อมๆ กัน การได้เห็นเฮียสองซึ่งเป็นเจ้าของเสียงไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเอียงหัวมองงงๆ คือการที่มีร่างคุ้นตาของคนอีกสองคนยืนอยู่ตรงนั้นต่างหาก

“ไอ้โซ? ไอ้เจได?”

ผมมองพวกมันด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าพวกมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง และไม่เข้าใจว่ามาทำไม แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ไอ้ว่าที่หมอปัญญาอ่อนก็เดินเข้ามาดึงผมไปกอดแรงๆ จนรู้สึกจุก

“คิดถึงมึงว่ะ”

“ทำไมมึง…อุก” ผมจำต้องหุบปาก เมื่อโดนหมาอีกตัวเดินมากระแทกพุงใส่แล้วกอดซ้ำไว้จากทางด้านหลัง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเหี้ยอะไร ต้องให้กูโดนบีบอยู่ตรงกลางตลอด เห็นสู้ไม่ได้แล้วเอาใหญ่เลยนะไอ้พวกเลว…

หลังจากยืนอยู่ท่านั้นนานประมาณสามนาที ไอ้เพื่อนสองตัวที่บีบผมไว้ตรงกลางจนปวดตัวไปหมดก็ยอมผละออก ก่อนจะหันไปแปะมือกันด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ และที่ยิ่งกว่านั้นคืออีกสองคนที่ยืนนิ่งมองผมโดนแกล้ง…ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเหรอวะ

เออ ไม่คิด…ดูจากรอยยิ้มแล้วน่าจะตอบแบบนั้นกันทั้งคู่

“ทำไมต้องรุมแกล้งกูด้วย”

“กระต่ายงอนว่ะ” ไอ้เจไดหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะเอาไหล่มาแซะผมเป็นการแซว

“งอนมากจนอยากจะถีบมึงตอนนี้เลยไอ้เพื่อนเวร” ว่าแล้วผมก็ตั้งท่าจะถีบมันจริงๆ จนไอ้ว่าที่หมอต้องรีบวิ่งไปหลบหลังไอ้หมาหน้าง่วงอีกตัว “มึงเลือกช่วยมันเหรอไอ้โซ”

“กูเปล่า” เจ้าของชื่อตอบเสียงงัวเงีย “เชิญเลย”

พอไอ้โซหลบทางให้แล้วผมก็พุ่งเข้าใส่ไอ้เจไดในทันที แต่คงเพราะมันเคยชินกับการหลบอยู่แล้วเลยวิ่งหนีผมได้ทัน

“แก่แล้วนะมึง! ยังจะวิ่งเป็นเด็กอีก!” มันโวยวายแล้ววิ่งไปรอบห้อง

“มึงก็หยุดหนีสิวะ…ภามจับมันไว้!” ผมออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามันวิ่งไปหน้าสองพี่น้องหน้าตายที่ยืนนิ่งอยู่พอดี ลองถ้าบอกพี่ภูเขาคงมองเมินไป แต่โชคดีที่ภามเข้าข้างผม เขาเลยรวบตัวไอ้เจไดไปกอดไว้ได้อย่างทันท่วงที

“เฮ้ย! ปล่อยกู”

“…”

“เหี้ยนี่ใครวะ…ปล่อยกูนะเว้ย” มันโวยวายแล้วดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ยังคงไม่แสดงออกทางสีหน้า

เห็นแบบนั้นแม่งแรงโคตรเยอะ…ผมที่เคยแข่งงัดข้อกับภามมาแล้วรู้ดีที่สุด ต่อให้ไอ้เจไดมันแกร่งขนาดไหนก็สู้ไม่ได้หรอก ยิ่งตอนนี้ภามไม่ได้ผอมแห้งแบบเก่าแล้วด้วย บอกเลยว่าถ้าอยากจะดิ้นให้หลุด…ยาก

“มาให้กูถีบซะดีๆ” ผมย่างเท้าเข้าไปหาไอ้คนที่ยังดิ้นไม่เลิก แต่ก่อนจะถึงตัวมัน พี่ภูที่ยืนเป็นหินอยู่นานก็กระซิบอะไรบางอย่างกับน้องชายตัวเอง และนั่นทำให้ภามยอมปล่อยแขนออกจนไอ้เจไดเป็นอิสระในที่สุด

“ลาขาด!” ว่าจบมันก็วิ่งออกไปในทันที

“พี่บอกภามให้ปล่อยทำไมเนี่ย” ผมหันไปขมวดคิ้วมองคนหน้าดุด้วยความไม่พอใจ

“เลิกงอแงแล้วมานี่มา” คนพูดดึงแขนผมให้เดินตามออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันไปอธิบายอะไรให้ภามกับไอ้โซที่ยังยืนอยู่ที่เดิมฟังสักคำ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกมากที่สองคนนั้นไม่ได้เดินตามมาแบบที่ผมคิด

ชักจะมีอะไรแปลกๆ หลายอย่างเกินไปละ…

“หยุดทำหน้าฉลาดแล้วโง่เดี๋ยวนี้” คนที่หยุดเท้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้หันมาจิ้มหน้าผากผมเบาๆ แล้วออกคำสั่ง

“อย่างงี้ก็ได้เหรอพี่”

“กูก็สั่งอยู่นี่ไง” เขาบอก ก่อนจะยกยิ้มเจิดจ้าให้โดยไร้เหตุผล ผมก็รู้นะว่าเจ้าตัวจงใจแต่ก็ต้านทานไม่ได้ทุกที สุดท้ายก็ได้แต่ทำตัวเอ๋อเป็นกระต่ายโง่ต่อไปตามที่เขาต้องการ วินาทีนี้ความเจิดจ้าของรอยยิ้มนั้นมันบังตา…แต่ขอสัญญาว่าถ้ามีเวลาผมจะหลอกให้พี่ภูสอนเคล็ดวิชาตายด้านให้อย่างแน่นอน “ทำหน้าชั่วร้ายอีกแล้ว”

“เปล่าสักหน่อย” ผมยกมือกุมหน้าผากที่อีกนิดน่าจะปูดเท่าลูกมะนาว เมื่อโดนคนหน้าดุดีดซ้ำที่จุดเดิมพอดิบพอดี…ดีดซ้ำที่ว่านี่ไม่ได้หมายถึงวันสองวันนี้ซ้ำๆ นะ แต่หมายถึงซ้ำมาสองสามปีแล้วเนี่ย องศาเดิมไม่มีเปลี่ยน

“ไปเดินเล่นกัน”

“ไม่น่าไว้ใจสุดๆ”

อ้าว ฉิบหาย…เผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาเฉยเลย

“เดี๋ยวโดน” พี่ภูผลักหัวผมเบาๆ แต่เล่นเอาเซไปทั้งตัว ดีที่เขายังมีน้ำใจช่วยดึงแขนให้กลับมายืนตรงได้เหมือนเดิม “ยังไม่เลิกบ่นในใจอีก”

“ชักจะเก่งไปละ”

“เก่งให้ทันมึงไง”

“ผมเกลียดพี่ว่ะ” เกลียดความตรงที่มากขึ้นทุกวันของพี่เนี่ย รู้ทั้งรู้ว่าผมแพ้ทางก็ยังจะแกล้งกันอยู่ได้ แล้วดูเหมือนวันนี้จะแกล้งเยอะจนผิดปกติด้วยนะ นั่นไง! ก้มหน้าลงมาหาอีกแล้ว! ผมยกมือปิดสองหูของตัวเองไว้แน่นเมื่อรู้ว่าจะต้องโดนแกล้งแน่นอน แต่เดินถอยหลังหนีก็แล้ว คนที่ยังยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากก็ยังก้าวเท้าตามมาอยู่ดี สุดท้ายผมก็เดินมาจนติดผนังจนได้…

พี่ภูก้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องปิดหูแน่นกว่าเดิม ทว่าท่าทางนั้นกลับทำให้คนมองตาเป็นประกาย เขาเคลื่อนริมฝีปากเข้าใกล้ใบหูของผมที่มีมือปิดทับอยู่จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ก่อนจะ…วางมือทับลงมาเหมือนจะช่วยปิดหูผมให้แน่นกว่าเดิม

“แต่กู…มึง”

“อะไร! พี่พูดอะไร!” ผมรีบดึงมือออกแล้วมองคนหน้าดุด้วยความตื่นเต้น ใจเต้นรัวแรงจนปวดไปหมด อยากจะก่นด่าตัวเองสักล้านรอบที่เอามือปิดหูจนไม่ได้ยินเสียงกระซิบนั้น

“ไม่มีอะไร”

“ไม่ได้นะพี่ภู” ผมเขย่าแขนคนที่หันหลังหนี ก่อนจะรีบวิ่งตามเมื่อเขาเดินต่อโดยไม่สนใจกันอีก “พี่พูดอีกทีนะ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจฟัง”

“พูดอะไร”

“ก็เมื่อกี้…”

“คิดไปเอง” เขาว่าแค่นั้น ก่อนจะดึงแขนผมให้เดินออกไปด้านนอกด้วยกัน เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าต่อให้อ้อนวอนขนาดไหน คนหน้าดุก็ไม่มีทางใจอ่อนแน่ นึกแล้วก็หัวร้อนที่ตัวเองพลาดจนอยากจะกระทืบเท้าปึงปังเป็นเด็กสักทีสองที ติดที่โตแล้วเลยไม่กล้าทำ

ผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าพี่ภูกำลังพาเดินไปที่ไหน เพราะเอาแต่ตีกับความคิดตัวเองอยู่ในใจ จวบจนเขาหยุดเดินแล้วผมถึงได้รู้สึกตัวและหันไปมองรอบด้าน

ส่วนไหนของบ้านกูวะเนี่ย…

“พี่รู้จักที่นี่ได้ไง” ผมหันไปถามคนตัวสูงที่ยืนเงยหน้ารับลมอยู่ข้างๆ

บริเวณนี้เป็นพื้นที่ซึ่งมีต้นไม้ล้อมรอบเต็มไปหมด มีเพียงจุดที่เรายืนอยู่ที่โล่งพอให้มองเห็นท้องฟ้าได้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของไร่ที่ป๋าไม่ได้สั่งให้ตัดต้นไม้ อาจเพราะไม่มีความคิดจะเข้ามาทำการเกษตรบริเวณนี้อยู่แล้ว

“เดินมาเรื่อยๆ แล้วเจอเอง”

โคตรขี้โม้…

ในระหว่างที่ผมกำลังสำรวจรอบด้านเพราะต้องการรู้เป้าหมายที่แท้จริงของพี่ภู ผมสังเกตเห็นว่าเขามองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้งราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง และเมื่อเรายืนนิ่งกันอยู่สักพัก เขาก็ดึงแขนผมแล้วลากให้ออกเดินอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่เหม่อหรือคิดเรื่องเดิมๆ อีก แต่เลือกมองไปรอบๆ และสังเกตทุกสิ่งแทน เดินตามเขามาได้สักพักก็รู้ได้ในทันทีว่าจริงๆ แล้วพี่ภูไม่ได้เดินมั่วเลยสักนิด เขามีเป้าหมายอยู่ในหัวแต่แรกแล้ว เพียงแค่กำลังรอคอยเวลาเพื่ออะไรบางอย่างมากกว่า แต่ยังไม่ทันได้คิดให้ถ้วนถี่ อยู่ดีๆ คนที่เดินนำก็หันมาแล้ว…

“โอ๊ย!” ดีดหัวอีกแล้ว! ที่เดิมอีกแล้ว!

“บอกว่าอย่าฉลาดไง”

แค่ช่างสังเกตก็เรียกว่าฉลาด…แล้วที่รู้ทันผมทุกเรื่องนี่เรียกอะไรวะเนี่ย

“พี่จะ…”

 

“Happy Birthday to You…”

 

ผมหยุดชะงักทุกคำพูดและการกระทำ เมื่อได้ยินเสียงเพลงแปร่งๆ ดังมาจากทางด้านหลัง ในช่วงวินาทีที่กำลังทำอะไรไม่ถูกและงุนงงสุดขีด ผมโดนคนหน้าดุจับมือแล้วดึงเบาๆ ให้เดินตามไปทางต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาปล่อยมือออก ภาพของผู้คนมากมายก็ปรากฏอยู่ในสายตาผม…

“มาเป่าเค้กเร็วครับเก้า” พี่กีล์ที่ยืนอยู่ข้างไอ้โซฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะกวักมือเรียกผมยิกๆ ถ้าให้เดาเสียงร้องที่ดังที่สุดในกลุ่มคนเมื่อครู่คงเป็นของเขาแน่ๆ

“ตัวเล็กมาเร็ว” ป๋าเรียกซ้ำอีกคนเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ขยับ

จะให้ตั้งสติง่ายๆ ได้ยังไง…ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่มีคนมารวมกันในงานวันเกิดของผมเยอะแบบนี้ กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้จัดงานวันเกิด อย่างมากจ๋ากับป๋าก็ซื้อเค้กให้แล้วเป่ากันสามสี่คน แต่ครั้งนี้นอกจากจะมีป๋ากับจ๋า รวมถึงพวกเฮียๆ เป็นสิบแล้ว ที่ตรงนี้ยังมีไอ้โซ พี่กีล์ ไอ้เจได ภาม แม่เฮเลน และที่สำคัญ…

“สุขสันต์วันเกิด”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกตื้อไปหมด แค่เพราะได้เห็นว่ามีใครมาร่วมงานวันเกิดของตัวเองบ้าง มันไม่ใช่ความรู้สึกดีใจที่มีคนมาเยอะ แต่มันเป็นความรู้สึกดีใจที่ที่ตรงนี้มีคนที่สำคัญสำหรับผมรวมกันอยู่เต็มไปหมด…แม้จะติดงาน ติดเรียน หรืออยู่ห่างไกลขนาดไหน พวกเขาก็ยังมาที่นี่เพื่อผม

แค่คำว่ามีความสุขคงอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ของผมได้ไม่หมด…

“ตาแดงหมดแล้ว” พี่ภูยกมือลูบเปลือกตาผมเบาๆ ราวกับจะบอกให้หยุดทำหน้าแบบนี้ แต่ยิ่งได้เห็นการกระทำของเขา ผมก็ยิ่งต้องเม้มปากให้แน่นกว่าเดิม “ไปเป่าเค้กเร็วเข้า”

เขาจูงมือผมให้เดินตามไปหาทุกคนเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ในขณะที่ผมทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

“ผมรักพี่”

.
.

(ต่อด้านล่าง)


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[39]==[P.25]== [02/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 08-12-2017 15:52:25

.
.

“รักมานานแล้ว”

ไม่รู้ว่าจะรอเวลาที่เหมาะสมไปทำไม ในเมื่อทั้งใจผมให้เขาไปหมดแล้ว และแค่ได้เห็นเค้กชาเขียวก้อนโตกับสารพัดชาเขียวบนโต๊ะ ผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมดนี้…

‘เดือนหน้าวันเกิดผมแล้วนะ’

‘แล้วไง’

‘ผมอยากกินเค้กชาเขียวก้อนใหญ่ๆ’

‘เอาไว้ก่อน กูทำงานอยู่’

‘เอาแบบเสิร์ฟพร้อมสารพัดชาเขียวเลยนะ ขอมื้อเดียวอิ่มยันชาติหน้าเลยจะดีมาก’

‘…’

เพราะไม่ได้กินชาเขียวมานาน ผมถึงได้เก็บกดเอาไปบ่นให้เขาฟังตอนเดือนก่อน ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่เคยรับปากว่าจะหามาให้เลยสักครั้ง แต่เขากลับจดจำสิ่งที่ผมเคยพูดได้ทั้งที่ชอบแสดงท่าทีเหมือนไม่สนใจ

แม้จะไม่รู้…แต่ผมก็เชื่อว่ามีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาทำเพื่อผมโดยที่ไม่ยอมบอก แต่ก็เพราะเป็นคนแบบนี้…ผมถึงได้รัก

“จะอ้อนขออะไร” พี่ภูแกะมือผมออก ก่อนจะหมุนตัวมาเผชิญหน้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมพุ่งเข้าไปกอดเขาได้ถนัดขึ้นกว่าเดิม

“ไม่อยากได้อะไรแล้ว”

แค่พี่อยู่กับผมก็พอ…

“เดี๋ยวพ่อมึงก็เอามีดมาแทงกูหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่ก็ไม่ได้ดันผมออก ทั้งยังใช้มือข้างหนึ่งกอดกลับแล้วลูบหัวผมอีกต่างหาก

“ป๋าไม่ทำหรอก ป๋าใจดี”

“ถึงป๋าจะยอมรับแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าป๋าจะโอเคที่ต้องมาเห็นตัวเล็กกอดกับคนอื่นนะ…” น้ำเสียงเศร้าสร้อยของป๋าทำให้ผมรู้สึกตัว ต้องรีบผละออกจากพี่ภูแล้วหันไปมองคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากไอ้โซกับไอ้เจไดที่กำลังกลอกตา พี่กีล์ที่กำลังอมยิ้ม และแม่เฮเลนกับจ๋าที่กำลังคุยกันแล้ว…ตอนนี้พวกเฮียๆ กับป๋าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้กันแทบทุกคน

“คุณหนู…”

“คุณหนูของไอ้สาม…”

“ตัวเล็กของป๋า…”

จะเล่นใหญ่กันไปไหนวะเนี่ย

“ผมไม่ได้จะแต่งงานนะ ร้องไห้อะไรกันเนี่ย” ผมบ่นเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางโอเวอร์ของพวกเขา ก่อนจะก้าวเท้าไวๆ เข้าไปเป่าเทียนชาเขียวอย่างรวดเร็ว “ตัดๆๆ หิวแล้ว อยากกิน”

ช่างหัวความโรแมนติกมัน ในเมื่อช่วยกันทำลายไปหมดแล้ว งั้นผมก็ขอหันมาสนใจของกินแทนเลยแล้วกัน

“ตะกละ” ไอ้หมาที่เดินเกาะติดพี่กีล์เป็นตังเมเบะปากใส่ผมหนึ่งที จากนั้นก็หันไปอ้อนคนข้างๆ “กีตาร์ ตัดเค้กให้หน่อย”

“ตะกละพอกันนั่นล่ะ” ไอ้เจไดแทรก

“เสือก!” แล้วก็เป็นผมที่ด่าทีเดียวได้เหี้ยสองตัว

“อย่าทะเลาะกันสิครับ” พี่กีล์คนดีส่ายหน้าหน่าย ก่อนจะช่วยหยิบมีดมาตัดเค้กแบ่งให้พวกผมคนละชิ้นอย่างเท่าเทียม โดยหลังจากนั้นเขายังหันไปตัดให้พวกเฮียๆ ที่ทยอยเดินเข้ามาอวยพรผมด้วย

“คุณหนู มีความสุขมากๆ นะครับ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

“ขอโทษที่ผมไม่มีของขวัญมาให้นะครับ พอดีผมไม่มีเงิน”

“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผมครับ”

กว่าจะรับของขวัญมากมายจากบรรดาเฮียๆ หมดก็เล่นเอาเหนื่อย ผมตักเค้กเข้าปากไปเรียงของขวัญไปอย่างตั้งใจ สุดท้ายเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็หันไปแบมือใส่หน้าไอ้เพื่อนทั้งสอง

“ของขวัญกูล่ะ”

“ไม่มี/ไม่มี”

“ไอ้พวกขี้งก” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันหน้าหนีพวกมันเพื่อมองหาคนที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จะว่าไปป๋าเองก็หายไปด้วย…

หลังจากมองจนแน่ใจแล้วว่าพี่ภูไม่อยู่แถวนี้ ผมก็เดินไปหาผู้หญิงสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสโดยไม่สนใจเจ้าของวันเกิดเลยแม้แต่น้อย

“จ๋า แม่เฮเลน เห็นพี่ภูกับป๋าไหมครับ”

“แม่เห็นเดินไปทางนั้นนะจ๊ะ” แม่เฮเลนชี้มือไปทางหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ผม “สุขสันต์วันเกิดนะหนูเก้า ของขวัญเดี๋ยวแม่จะให้ตอนเรากลับไปอังกฤษด้วยกันนะ”

“ครับแม่…ว่าแต่…” ผมหันไปมองจ๋าด้วยความลังเลใจ เพราะเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องจะขอไปทำงานกับพี่ภูที่อังกฤษ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร จ๋าก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“คุณแม่ไม่ว่าค่ะ มันคืออนาคตของคุณอชิรา ถ้าคิดว่าดีก็ทำ ขอแค่เวลาท้ออย่ายอมแพ้ให้เสียชื่อคุณแม่ก็พอ”

“ขอบคุณนะจ๋า” ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปกอดจ๋าแน่นๆ หนึ่งที

ไม่ว่าเมื่อไหร่ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นกำลังใจให้ผมได้เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะจ๋า…ผมคงไม่มีทางกลายมาเป็นผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างนี้แน่

หลังจากคุยกับพวกคุณหญิงเสร็จแล้วผมก็เดินไปตามทางที่แม่เฮเลนชี้ มันเป็นทางที่ตัดผ่านต้นไม้ไปอีกด้าน เดินมาสักพักแล้วผมก็ยังไม่เห็นคนที่กำลังตามหา แต่ก่อนจะได้หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม คนที่หายไปไหนแต่แรกอีกคนก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน

“ไปไหนมา”

“ออกมาเดินเล่น” ภามตอบสั้นๆ ก่อนจะยิ้ม “มีความสุขมากๆ นะ”

“ขอบใจมาก” ผมตบบ่าเขาเบาๆ จากนั้นก็มองภามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “มึงก็เหมือนกัน”

ผมเชื่อว่าต่อจากนี้หนทางของภามจะต้องสดใสกว่าเดิม เพราะเพียงแค่ยอมเปิดใจและพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ เขาจะต้องได้พบกับสิ่งที่เป็นของตัวเองแน่นอน

“ตอนนี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว…เก้ารีบไปเถอะ” เขาดันหลังผมให้เดินต่อ

“เค เดี๋ยวเจอกันนะ”

“อือ”

พอแยกกับภามแล้วผมก็เดินไปตามทางอีกครั้ง แต่คราวนี้เดินมาอีกแค่นิดเดียวผมก็พบว่าหนทางด้านหน้าไม่ได้เต็มไปด้วยต้นไม้เหมือนเคย เพราะห่างออกไปไม่มาก…ผมเห็นร่างของผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงนั้น

ตรงพื้นที่โล่งเหมือนบริเวณที่พวกเราใช้จัดงาน ป๋ากับพี่ภูยืนหันหลังให้ผมและกำลังคุยกันอยู่ ผมไม่แน่ใจนักว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่ก็รู้ดีว่ายังไม่ควรเข้าไปกวนในเวลานี้ เพราะงั้นผมถึงได้เดินเข้าไปหาช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนห่างจากทั้งคู่ประมาณห้าก้าว

“ฉันเคยติดยา เล่นการพนัน มั่วผู้หญิง ทำทุกอย่างที่เลวร้ายโดยไม่สนใจว่าพ่อแม่จะรู้สึกยังไง สุดท้ายพอได้เข้าไปอยู่ในคุกถึงได้เริ่มคิดเป็น…” ป๋าเริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะตั้งตัวได้…โชคดีอย่างแรกในชีวิตของฉันคือการที่พ่อแม่มีฐานะ มีกิจการให้ดูแลต่อ และโชคดีอย่างที่สอง…คือการได้พบกับธารินทร์”

แม้จะไม่ได้เห็นหน้าคนพูด แต่ผมมั่นใจว่าในยามนี้ป๋าจะต้องกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่แน่ๆ…

“ใครจะเชื่อว่าผู้ชายเลวๆ อย่างฉันจะสามารถพิชิตใจผู้หญิงสมบูรณ์แบบอย่างธารินทร์ได้…แม้แต่พ่อกับแม่ยังดูถูกและบอกว่าเธออยู่สูงเกินไป แต่นายรู้อะไรไหม…”

“…”

“ตอนที่ฉันคิดจะปล่อยให้เธอไปมีชีวิตที่ดี ผู้หญิงคนนั้นกลับคลายรอยยิ้มหวานที่มีมาตลอด…แล้วตบหัวฉันเต็มแรง” ป๋าหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งผมเองก็ต้องหลุดยิ้มออกมาไม่ต่างกัน…สมเป็นจ๋าจริงๆ “เธอบอกว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่ากูท้องมึงยังมีหน้ามาขอเลิกอีกเหรอ อยากตายใช่ไหมไอ้เจี๊ยวหมา’ ”

โห…เมื่อก่อนจ๋าโคตรฮาร์ดคอร์ เจ๋งเว่อร์

“ตอนนั้นฉันอึ้งไป รู้ตัวอีกทีก็แต่งงานกันไปแล้ว มานึกได้ว่าไม่เคยมีอะไรกันเลยสักครั้งก็หมดทางหนีแล้วซะอย่างนั้น”

ผมจะบอกว่าป๋าโง่และเอ๋อเอง หรือจะบอกว่าจ๋าเก่งดีวะ…

“แต่ถึงผู้หญิงคนนั้นจะโหดร้ายยังไง ฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เลือกเธอ” น้ำเสียงของป๋าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มันเป็นน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนและทำให้ต้องนิ่งค้างอยู่นาน “แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราทั้งคู่…คงเป็นการที่เราได้ช่วยกันสร้างสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ คนหนึ่งขึ้นมา”

“ตอนที่ตั้งท้องตัวเล็ก ธารินทร์มีอาการผิดปกติหลายอย่าง…ทั้งครรภ์เป็นพิษและความดันโลหิตสูง” ป๋าพูดออกมาช้าๆ โดยที่ยังหันหน้ามองไปในทิศทางเดียวกับพี่ภู ผมไม่รู้ว่าสายตานั้นกำลังจับจ้องไปที่อะไร แต่ผมกลับรับรู้ได้ว่าป๋ากำลังนึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้นอยู่ “พวกเรากังวลกันมากว่าลูกจะมีปัญหา แต่สุดท้ายตัวเล็กก็ลืมตาขึ้นมา และกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ ที่น่ารักที่สุดในโลก”

“…”

“นายไม่มีทางจินตนาการได้เลย ว่าคนที่เคยทำเรื่องเลวร้ายมาแล้วทุกอย่างอย่างฉันจะรู้สึกยังไงในเวลานั้น…มันเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบหัวแรงๆ แล้วถามว่ามึงทำอะไรลงไป ทำไมไม่เป็นคนดีแต่แรกวะ แล้วถ้าเด็กคนนี้โตมาแล้วรู้ว่ามึงเคยติดคุก คิดบ้างไหมว่าเขาจะรู้สึกยังไง…ความคิดหลายๆ อย่างวนเวียนอยู่ในหัวทั้งที่เด็กตัวน้อยๆ คนนั้นเพิ่งเกิดมาได้ไม่ถึงสิบนาที และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องร้องไห้และก่นด่าตัวเองในใจเป็นล้านๆ ครั้ง”

ผมเม้มปากแน่นจนเจ็บไปหมด ใจอยากเดินเข้าไปกอดป๋าแล้วบอกว่าผมไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่เกิดมาเป็นลูกป๋า แล้วก็ไม่เคยสนด้วยว่าป๋าจะเคยเป็นยังไง เพราะเวลานี้ป๋าคือพ่อที่ดีที่สุดในโลกสำหรับผมแล้ว แต่เพราะไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ ผมเลยทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา

“ฉันเปลี่ยนตัวเอง กลายเป็นคนใหม่เพื่อตัวเล็ก ทั้งตั้งใจเรียนรู้งานจากพ่อ กลับไปเรียนต่อจนจบ รวบรวมคนไม่ดีที่เคยรู้จักและอยากกลับตัวกลับใจให้มาทำงานด้วยกัน เพราะฉันเข้าใจดีว่าคนบางคนไม่มีทางเลือก”

พวกเฮียๆ…

“ตอนแรกพวกนั้นก็ทำงานชุ่ยๆ ไม่ได้เต็มใจนัก แต่นายรู้อะไรไหม…สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่รวบรวมคนพวกนั้นไว้ด้วยกัน รวมถึงสามารถทำให้พวกเขามอบให้ได้ทั้งใจ…ก็คือเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอายุแค่หกขวบ…เด็กที่ชี้มือไปที่ทุกคนแล้วนับเลขให้ฟัง หลังจากนั้นก็เรียกพวกนั้นเป็นตัวเลขมาโดยตลอด”

“…”

“ชื่อจำยากจังเลย…เก้าตั้งชื่อให้ใหม่นะ นั่นเฮียหนึ่ง นั่นเฮียสอง นั่นเฮียสาม…จากหนึ่งไปจนถึงกี่สิบก็ไม่รู้ เด็กคนนั้นพูดแบบนั้น แล้วก็น่าแปลก…ที่เขาสามารถจดจำชื่อที่เป็นตัวเลขของทุกๆ คนได้โดยไม่เคยเรียกผิดเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ไร่ถูกวางเพลิงจนทุกคนไม่มีงานทำและตกอยู่ในอารมณ์หดหู่ ก็เป็นเด็กคนนั้นที่ก้าวเท้าเข้ามาแล้วบอกว่าเก้าจะช่วยปลูกใหม่เอง” ป๋าหันหน้าไปหาพี่ภู ซึ่งเขาเองก็หันกลับไปมองเหมือนกัน และนั่นทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน “ตัวเล็กคือความสุขของทุกคนที่นี่…เป็นหัวใจของทุกคน”

“…”

“สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะขอจากนาย…คืออย่าทำพัง”

เป็นเวลาเนิ่นนานที่ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยมีผมยืนมองอยู่ตรงกลาง ผมรู้ดีว่าพวกเขาเห็นผมแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา จวบจนเมื่อผมเห็นพี่ภูคุกเข่าลงกับพื้นและก้มลงกราบแทบเท้าป๋า น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาอย่างเงียบงัน

“ผมจะไม่มีทางทำให้ทุกคนที่นี่ผิดหวัง”

ป๋าทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้น ก่อนจะพยุงไหล่ของพี่ภูให้ยืนขึ้นตาม และนั่นเป็นครั้งแรก…ที่ผมเห็นป๋ายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ

“ฝากด้วยนะ”

“ป๋า…” ผมส่งเสียงเรียกแผ่วเบา ซึ่งป๋าก็หันมาหา ก่อนจะยิ้มให้ผมแล้วอ้าแขนออก

“มานี่สิตัวเล็ก”

ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อ ผมโผเข้าไปกอดป๋าเต็มแรง น้ำมูกน้ำตาไหลย้อยปนกันไปหมดจนแทบแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ป๋าก็ยังลูบหัวผมแล้วโยกไปมาเพื่อปลอบโยน โดยไม่บ่นที่เสื้อเลอะเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไปอยู่ที่นั่นก็ต้องหาเวลากลับมาเยี่ยมป๋าบ่อยๆ ด้วยรู้หรือเปล่า”

“ครับ”

“อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ”

“เราไม่ดื้อหรอก”

“เอ้า…ปล่อยป๋าก่อนเร็ว หายไปนานเดี๋ยวก็โดนคุณจ๋าของตัวเล็กกินหัวกันพอดี” ป๋าดันผมออกเบาๆ ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนสะอาดหมดจด “คุยกับพี่เขาเสร็จแล้วก็รีบกลับมากินต่อล่ะ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงักและยอมปล่อยให้ป๋าเดินจากไป เพราะแค่ได้เห็นขอบตาแดงๆ ผมก็รู้แล้วว่าป๋าคงไม่อยากให้ใครเห็นตอนร้องไห้เท่าไหร่ เพราะงั้นให้เดินกลับไปหาจ๋าคงจะดีกว่า “พี่…”

พอป๋าเดินหายไปจากสายตาแล้ว ผมก็หันกลับมาสนใจคนที่ยืนเงียบอยู่อีกครั้ง ซึ่งพี่ภูเองก็มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาแค่มองมานิ่งๆ ด้วยสายตาอ่านยากและไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายก็เป็นผมที่ทนไม่ไหวต้องเปิดบทสนทนาก่อน

“พวกเขาทำเหมือนเราจะแต่งงานกันเลยเนอะ”

“แล้วมึงอยากแต่งไหม”

“ฮะ…”

“กูจะไปคุยกับพ่อให้ช่วยจัดการเรื่องงานให้”

“เดี๋ยว…”

“แต่ก่อนอื่นต้องหาวันที่เหมาะสมก่อน”

“พี่ภู หยุดก่อน” ผมยกมือทั้งสองข้างจับแก้มคนหน้าดุที่กำลังขมวดคิ้วเคร่งเครียดไว้ ดีที่การกระทำของผมแลดูจะได้ผลพอสมควร พี่ภูถึงได้กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว

“โทษที…”

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า…” เขาแกะมือผมออกก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ดึงเข้าไปกอดหน้าตาเฉย เล่นเอาผมไปไม่เป็น จะเขินก็เขินไม่ทัน “แค่รู้สึกว่ามึงอยู่สูงกว่าเดิมอีก”

“พี่…”

“กูแค่อยากทำให้คนที่นี่รู้ว่ากูเองก็รักมึงไม่ต่างจากพวกเขา” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ใจผมนี่เต้นรัวแรงเหมือนจะตายเอาให้ได้เมื่อได้ยินคำบอกรักจากปากเขาเป็นครั้งแรก “ถ้าช้ากว่านี้คงโดนแย่งคืน…แต่งพรุ่งนี้เลยดีไหม…ไม่สิ เดือนหน้าแล้วกัน ต้องจัดการงานก่อน”

ผมทำหน้างงเป็นกระต่ายเอ๋อ เมื่อโดนอีกฝ่ายดันตัวออกแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“เคน…ช่วยทำแหวนให้ผมหน่อย ขอแบบที่เหมาะกับผู้ชาย ดูดีสมฐานะ ราคาไม่เกี่ยง ส่วนเรื่องขนาด…” เขาประสานนิ้วมือของตัวเขาเข้ากับของผม จากนั้นก็พูดต่อ “ใหญ่กว่าที่นายทำให้เฮเลนหนึ่งเบอร์”

“พี่…พี่ภู…”

“อืม ฝากด้วย” พี่ภูยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม “ว่าไง”

“ผมว่า…”

“ต้องติดต่ออะไรอีกนะ”

“ผมว่าไม่ต้องหรอก” ผมรีบยกมือห้ามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อ “ไม่มีใครมาแย่งผมคืนหรอกน่า”

“เหรอ…” เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ยังยอมเอามือออกจากกระเป๋ากางเกง

“ว่าแต่…เมื่อกี้พี่บอกรักผมด้วย” ผมรีบพูดถึงเรื่องที่ติดอยู่ในใจเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ผมคงพลาดเองที่ดันลืมไปว่าถ้าเข้าสู่ภาวะปกติแบบนี้แล้วคนตรงหน้าจะเป็นยังไง…

“มั่วว่ะ”

นั่นไง…

“เบื่อพี่ว่ะแม่ง” ผมจิ๊ปากเบาๆ ด้วยความไม่พอใจแล้วตั้งท่าจะเดินกลับไปหาตัวช่วย เพราะคิดว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้ต้องโดนแกล้งต่อแน่ๆ แต่ก่อนจะได้ทำแบบที่ใจคิด แขนก็ถูกดึงอย่างแรงด้วยฝีมือของคนด้านหลัง

“เงยหน้า” เขาออกคำสั่งสั้นๆ และที่บ้าคือผมเสือกยอมทำตามแบบไม่หยุดคิด หลังจากนั้นมือของอีกฝ่ายก็เกี่ยวเอวผมให้เข้าไปใกล้…ก่อนเขาจะกดริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว

แรกเริ่มผมมีเพียงความงุนงง แต่เมื่อระลึกได้ว่ากำลังถูกจูบตัวก็แข็งค้างเป็นก้อนหิน อีกทั้งหัวใจยังเต้นกระหน่ำจนน่ากลัวว่ามันจะเด้งหลุดออกมา คนที่เป็นฝ่ายรุกล้ำกอดเอวผมไว้แน่น ก่อนมืออีกข้างที่ว่างจะแตะที่แก้มผมแล้วลูบไล้ไปมาเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ผ่อนคลาย และเมื่อผมเริ่มคล้อยตามไปกับสัมผัสนั้น พี่ภูก็สอดลิ้นเข้ามาด้านในโดยไม่ให้ตั้งตัว ผมหมดแรงกะทันหัน ตัวแทบจะล้มพับลงไปกองอยู่ที่พื้น แต่โชคดีที่คนทำกอดเอวผมไว้แน่นจนแทบไม่มีช่องว่าง

“พะ…พี่…อื้อ” ผมตาลายเพราะถูกบดจูบซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นเนิ่นนานหลายนาที มือยังคงเกาะบ่าคนตัวสูงไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วผมจะละลายลงไปตายอยู่ที่พื้น จวบจนเมื่อเจ้าตัวพอใจแล้วถึงได้ยอมผละริมฝีปากออก แต่ตาคมคู่นั้นกลับเป็นประกายเมื่อได้จ้องหน้าผม และยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พี่ภูก็กดริมฝีปากลงมาอีกครั้งพร้อมทั้งดูดแรงๆ จนปากผมแทบเปื่อย

“น่าขยี้ชะมัด”

“ไม่เอาแล้วนะ…” ผมรีบร้องบอก ก่อนจะฟุบหน้าลงบนไหล่ของคนที่ยังกอดเอวตัวเองไว้อยู่ “เหนื่อย”

“โอ๋ๆ” เขาหัวเราะแล้วลูบหัวลูบหลังผมเป็นการปลอบ

“ไม่หาย…บอกรักผมอีกทีก่อน” ว่าแล้วผมก็ผละหน้าออกพร้อมทั้งจ้องมองคนหน้าดุด้วยความตั้งใจ พี่ภูไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เขาหรี่ตาลง ก่อนจะจ้องผมด้วยสายตาที่ทำเอาอยากหันหลังหนี

“รู้ไหม…ว่ากูบอกมึงไปสามรอบแล้ว”

“ตอนไหน…”

“ถ้าอยากให้บอกอีกก็ต้องหาอะไรมาแลก”

“พี่จะเอาอะ…”

“ลองบอกรักแล้วจูบกูก่อนเป็นไง”

ช่วยอย่าพูดเรื่องแบบนั้นทั้งหน้าตายได้ไหม…ทำได้ยังไงเนี่ย

“เร็วๆ”

“ไม่…”

“ก้อน…”

“ไม่ทำโว้ยยยยยยยยยยยยยย!”

“ฮ่าๆๆๆ”

เกลียด เกลียด เกลียด เกลียดที่สุดเลยแม่ง!

.

.

ชีวิตต่อจากนี้ของผมคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อตอนนี้มีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เขาอาจจะเป็นคนหน้าดุ เย็นชา น่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนอ่อนโยน ใจดี แล้วก็ขี้แกล้งด้วย ผมคิดว่าคนทุกคนไม่ได้มีเพียงด้านเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะแสดงด้านไหนให้ใครเห็น ซึ่งโชคดีเหลือเกินที่คนคนนั้นเขาเลือกแสดงทุกด้านให้ผมเห็น และผมก็เลือกแสดงทุกด้านให้เขาเห็นเช่นกัน แต่ถ้าคิดว่ามันง่ายกับการทำให้ใครสักคนบอกว่ารัก…ผมบอกเลยว่ามันยากมาก แค่คำพูดใครก็พูดได้ แต่การกระทำที่ตรงกับคำพูดต่างหากที่สำคัญที่สุด

ผมผ่านเรื่องราวมามากมายกว่าจะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา มันทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งอ่อนแรง แต่สุดท้ายเมื่อได้เดินมาจนถึงจุดหมาย ผมกลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก…และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก เพราะการได้ลองพยายามทำอะไรสักอย่างมันทำให้ผมรู้ว่า สิ่งสิ่งหนึ่งจะมีค่าได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพยายามนี่เอง ยิ่งเราได้พยายามมากเท่าไหร่…ถ้ามันล้มเหลวเราก็แค่หาทางเริ่มต้นใหม่ และถ้าครั้งไหนที่มันประสบความสำเร็จขึ้นมา…ถึงเวลานั้นรางวัลที่ได้จะยิ่งใหญ่มากเสียจนเรารู้สึกว่าความล้มเหลวที่เคยเจอมามันก็เป็นแค่ทางผ่าน

เหมือนกับที่ผมพยายามจนได้มายืนอยู่ข้างคนคนนี้…

จากเคยเป็นแค่อากาศที่ไร้ตัวตน…กลับกลายเป็นอากาศที่เขารู้ว่ามี…และสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่เขาบอกว่ารัก

มันเป็นความพยายามที่ยาวนานและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลยล่ะ

เออใช่…ขอประกาศความสำเร็จหน่อย

ผมทำลายกำแพงน้ำแข็งได้แล้วนะรู้ยัง

 

END



TALK: ในที่สุดเขาก็จูบกันแล้วนะ......

จบแล้วววว  สำหรับนิยายเรื่องที่สองของเรา ไม่คิดว่าจะเขียนได้จบสองเรื่องติดเยี่ยงนี้ ฮ่าๆ

เราก็เป็นแค่นักเขียนฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาเขียนหนังสือ ข้อผิดพลาดต่างๆนานาก็คงมากตามประสบการณ์ที่ยังน้อย ที่มาถึงจุดนี้ได้คงต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจริงๆ  ซึ่งขอยืนยันว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไปให้ได้มากที่สุดค่ะ ตอนเราเขียนออกซิเจนกับไนโตรเจนเราเขียนตามความชอบของตัวเอง มันอาจจะมีเรื่องไม่สมจริงใดๆไปบ้างแต่ก็เป็นไปตามจินตนาการของเราทุกอย่างเลย

ทั้งนี้เราจะไม่หยุดที่งานเขียนแนวเดิมๆค่ะ ต่อให้เราเขียนเรื่องต่อๆไป ใช้ตัวละครที่คุ้นหน้าคุ้นตายังไง แต่มันจะต้องไม่ใช่แบบเดิมๆแน่นอน (จริงๆที่เอาตัวละครเดิมมาเล่าต่อโดยไม่สนว่าคนกลุ่มเดียวกันจะชอบผู้ชายกันทั้งกลุ่มเลยหรือไงอะไรแบบนั้น เป็นเพราะว่าเราใส่ชื่อที่ชอบ Character ที่ชอบลงไปหมดแล้ว จะให้เขียนคนใหม่ๆขึ้นมาก็เสียดาย ฮ่าๆ)

 เราอยากจะขยับไปเรื่อยๆทีละก้าว เปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆ ซึ่งก็มีที่อยากเขียนแล้วทั้งแฟนตาซีและอื่นๆ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้

สุดท้ายนี้ก็...ฝากติดตาม 3KINGS กันต่อด้วยนะคะ แล้วก็เรื่องของน้องภามในอนาคตด้วย (ซึ่งจะไม่ใช่แนวมหา'ลัยอีกต่อไป!)

ปล. Oxygen กำลังจะได้เป็นซีรี่ย์แล้วนะคะ เข้าไปติดตามเพจหรือทวิตโดยค้นหาว่า OXYGEN The Series ได้เลย



รัก

Chesshire
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 08-12-2017 16:17:17
อ่านจบร้องไห้เลย ขอบคุณกับเรื่องราวดีๆ ที่แต่งมาให้อ่านกันนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-12-2017 16:45:50
อ่านแล้วก็อยากให้พี่ภูพาก้อนอยู่ด้วยกันกับป๋าและจ๋านะ ไปอยู่ไกลป๋าคิดถึงลูกแย่เลย
แต่ถ้าอยู่ไหนจะครอบครัวพี่ภู ภามเองก็ยังไม่เปิดใจแบบ 100%

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 08-12-2017 18:21:41
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย


หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-12-2017 18:41:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 08-12-2017 19:38:00
ซึ้งที่ป๋าพูดอ่ะ เราเชื่อว่าพี่ภูจะไม่ทำให้ก้อนต้องเสียใจแน่นอน โอ้ยย ต่อไปต้องคิดถึงนังก้อนแน่เลย ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ เป็นนิยายที่เราชอบมากเรื่องหนึ่งเลย เดี๋ยวรอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 08-12-2017 19:39:21
งื้อออออออ :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 08-12-2017 19:59:59
เขินจังเลย บิดไปแปดเกลียวแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: missm2c ที่ 08-12-2017 20:30:12
ทั้งเรื่องเราลุ้นแค่ว่า เมื่อไหร่เขาจะจูบกัน!  555555 #พี่ภูของบ่าว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 08-12-2017 21:29:18
จบอย่างแฮปปี้ เย้ ๆ ๆ   ได้ทั้งคำบอกรัก ได้ทั้งจูบดูดดื่มจากพี่ภู เขินไปกับน้องเก้าเลย   :-[
อ่านแล้วน้ำตาคลอตอนป๋าเล่าเรื่องอดีตให้พี่ภูฟัง โชคดีของป๋า ที่ได้พบจ๋า ได้มีลูกน่ารัก ๆ อย่างน้องเก้า
ชอบการรวมตัวคนสำคัญของน้องเก้าไว้ในตอนนี้มาก คิดถึงพี่กีล์ โซ กับเจไดมากเลย
อยากจะบอกว่า อ่านแล้วจิ้นคู่ภามกับเจไดเฉยเลยค่ะ เจอกันครั้งแรกก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันซะแล้ว >////<
คนหน้าตายไร้อารมณ์อย่างน้องภาม สมควรคู่กับหมออารมณ์ดี๊ดีตลอดเวลาอย่างเจไดมากนะ 555
ขอบคุณคนเขียน สำหรับนิยายดี ๆ เรื่องนี้มากค่ะ น้องเก้าเป็นนายเอกในดวงใจของเราเลยนะ ชอบมาก
แล้วก็ยินดีด้วย กับการที่ oxygen จะได้เป็นซีรีย์นะคะ แอบคาดหวัง Nitrogen ต่อเลยได้ไหมเนี่ย

หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 08-12-2017 21:33:05
"
ผมผ่านเรื่องราวมามากมายกว่าจะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา มันทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งอ่อนแรง แต่สุดท้ายเมื่อได้เดินมาจนถึงจุดหมาย ผมกลับรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก…และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก เพราะการได้ลองพยายามทำอะไรสักอย่างมันทำให้ผมรู้ว่า สิ่งสิ่งหนึ่งจะมีค่าได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความพยายามนี่เอง ยิ่งเราได้พยายามมากเท่าไหร่…ถ้ามันล้มเหลวเราก็แค่หาทางเริ่มต้นใหม่ และถ้าครั้งไหนที่มันประสบความสำเร็จขึ้นมา…ถึงเวลานั้นรางวัลที่ได้จะยิ่งใหญ่มากเสียจนเรารู้สึกว่าความล้มเหลวที่เคยเจอมามันก็เป็นแค่ทางผ่าน "
เราชอบที่เก้าบอกประโยคนี้มาเลย คนเรามันต้องผ่ายอะไรมาเยอะแยะมากๆๆก่อนจะถึงจุดหมายก่อนจะประสบความสำเร็จ ก้าวผ่านมาเยอะมากจนแบบฉันก็ผ่านกับนางมาด้วยยย ฮื่อออ มีความสุขอ่ะ คนนิ่งๆๆเวลารักนี่รักจริงๆๆเลยรักแบบรักมากกว่าคนที่รักก่อนนอ่ะอิจน้ิงก้าวอยากมีพี่ภูเป็นของตัวเอง เราขำตรงที่พี่ภูสั่งทำแหวนไวมาก555หลงเมียที่แท้ทรุ หลงรักการเดินทางชีวิตของคู่นี้จัง อบอุ่ยแปลกๆ ไรท์แต่งดีมาก และยังคงชอบโซ่กีล์อยู่ มายฮัสกี้5555 จบค่ะ ชอบบบบบบบบ มีผงานอีกไวๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 08-12-2017 21:41:58
                                                  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
                                      :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
                             :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 08-12-2017 22:53:58
เป็นนิยายอีกเรื่องื่เรารู้สึกผูกพัน ตามนุ้งเก้ามาตั้งแต่ oxygen ฮรืออ ชอบนางอ่ะ เห็นนางประสบความสำเร็จแล้วดีใจ เหมือนเราดูนางโตขึ้นเรื่อยๆ อ่ะ ตั้งแต่ไปวอแวกับคู่โซพี่กีล์ ตอนนี้มีคนให้วอแวแล้วดีใจแทนคู่นั้น 555 รักทุกตัวละครแล้วอ่ะ จะรอติดตามต่ไปค่าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 08-12-2017 23:10:52
จบแล้ววววว สนุกเหมือนเดิมเลยค่ะ
เผลอๆเราหลงรักเก้ามากกว่าเรื่องที่แล้วซะอีก
เด็กอะไรจะมีสีสันมีมิติได้มากขนาดนี้อะ
รักในความบ้าๆบอๆของนาง
รักในความหลงตัวเองกะยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
รักในความพยายามของนาง
รักความคิดทัศนคติที่ดีและบวกมากๆ
เอ็นดูนางมากกกเลยค่ะ บอกเลยตรงนี้อะ
พี่ภูก้อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ หลังๆเริ่มแสดงออกแบบไม่กั๊กอีกต่อไป
ยัยเก้าก้เขินกันไปรัวๆๆๆเลยสิ ดีแล้วเห็นนางมีความสุขจริงๆซะที
เก้าไม่ใช่คนที่เหมือนกับการจริงจังหรือการคิดเยอะแยะในทุกรูปแบบเลยค่ะ555
นางเหมาะกับการบ้าๆบอๆ หลงตัวเอง ไร้สาระ และมองโลกบวกไปวันๆมากกว่า
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้อีกเรื่องนะคะ จะรอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ
ปล.ดีใจกับซีรี่ย์โซโล่กีล์ด้วนนะคะ อยากให้นักเขียนเป็นคนล่วยแคสเองจังเลย
เรากลัวจะมีดราม่าเรื่องนี้เหมือนหล่ยๆเคส อยากจะชอบทั้งนิยายแล้วก้ซีรี่ย์ไปด้วยกันค่ะ
ปล.2 ดีใจที่ทานถูกว่าภาม-เจได เริ่มรู้สึกถึงความเมะของภามรั่งแต่ตอนยังไม่กลับไทย
คือนางดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ กับบุคลิกแบบพี่ภูที่ขี้อ้อนกว่านิดๆ
พอมาตอนวิ่งไล่จับเจไดนี่เลยแบบบ เปิดตัวเจ้าสาวววว!! ดีใจ ชอบภามมากด้วยย
ปล.3 เราก้รักพี่ภูเหมือนกันนะ ถึงจะชมแต่เก้าก้ตาม แต่พี่ภูเพอร์เฟคจนชมจนไม่รู้จะชมไรแล้วอะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 08-12-2017 23:20:43
ขอบคุณคนแต่งนะคะ จะติดตามผลงานต่อไป
คิดถึงกระต่ายก้อนกับพี่ภูแน่ๆ
❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Khaoggg ที่ 08-12-2017 23:42:49
 :กอด1: :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-12-2017 23:47:34
ตอนสุดท้ายนี้ เทใจให้กับป๊าไปหมดใจเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 09-12-2017 00:18:08
ฮืออออออออออ จบแล้ววววววง่ะ คือรู้สึกผูกพันธ์กับทุกๆตัวละคร เหมือนเอาใจช่วยเก้ามาตั้งแต่เรียน ยันเรียนจบ ยันได้อยู่ข้างพี่ภูสมใจ เหมือนเราอยู่กับเก้ามาตั้งแต่เริ่มจริงๆ ง่ะ ยังเหมือนเพิ่งอ่านตอนแรกๆไปไม่นานอยู่เลยรู้ตัวอีกทีจบซ้ะแล้ว คงคิดถึงคนประหลาดๆแบบเก้าแน่เลยย ขอบคุณสำหรับงานดีๆนะคะ รอติดตามสามคิงนะคะ :)
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 09-12-2017 00:50:43
 ยังไม่อยากให้จบเลยยยยยย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ รอติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: klongpani ที่ 09-12-2017 01:57:04
หวีดมาก ไม่อยากให้จบเลยค่ะ ใจหายเลย

อ่านไปยิ้มไป ตอนพี่ภูก้มกราบนี่ขยี้มาก ใจบางเป็นเพื่อนเก้าไปด้วยแล้ว ฮืออออออออออ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ทั้งออกซิเจนแล้วก็ไนโตรเจนนะคะ ชอบมาก เราอ่านซ้ำบ่อยมากกกกกๆๆๆๆๆ

เก้าเป็นตัวละครที่แบบ ไอดอลอ่ะ สำหรับเรานะ เราชอบวิธีคิดของเก้ามากกกๆๆๆๆ อะไรที่มันเหมือนจะม่าดันไม่ม่าเพราะเก้าแท้ๆ 5555555 แล้วที่ชอบก็ส่วนที่เล่นก็เล่นสุด แต่เวลาจริงจังก็หล่อจนใจบางเลยค่ะ คงเพราะคุณจ๋ากับคุณป๋าเชี้ยงมาด้วยความรักและหน้าแข้งเป็นอย่างดี 55555555555

ขอบคุณคนเขียนด้วยที่ส่งต่อความสนุกให้อย่างต่อเนื่อง พักผ่อนด้วยนะคะ เมอรี่คริสมาร์ตกับสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยเลยละกันค่า

เพิ่งแว๊บไปอ่านสามคิงมา นั่นก็ขยี้มากกกกกกกกกกกกกก เป็นความรู้สึกที่หน่วงแต่แบบเอาใจช่วยภีมกับพี่จักรไปพร้อมๆกันด้วย ฮรือ

ส่วนน้องภาม เราก็หวีดมาก ทำไมจู่ๆก็ฟินน้องภามกับเจไดนะ แง้ง 5555555555555555555555 คุงหมอเจไดของเพื่อนๆทำไมน่าเอ็นดู๊วววว 555555555

เป็นกำลังใจให้เรื่อยๆค่ะ รอติดตามผลงานเรื่อยๆเหมือนกัน

แล้วก็ยินดีด้วยกับออกซิเจนที่ได้ทำเป็นซีรี่ย์นะคะะ จะรอค่าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Chonlachy ที่ 09-12-2017 02:14:12
เราอยากจะบอกว่านิยายทั้ว2เรื่องนี้เป็นนิยายในดวงใจเราเลย รอติดตามนิยายเรื่องต่อๆไปนะ เป็นกำลังใจเล็กๆให้นักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: AppleA- ที่ 09-12-2017 02:35:09
ทำไมเรารู้สึกว่าภามอาจจะคู่กับเจได 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 09-12-2017 08:39:22
เย้! ในที่สุดเขาก็ได้จูบกัน!!!! เย้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 19:31:18
ชอบมากๆเลย แอบร้องไห้ตอนคุณป๋าเล่าความหลัง กับตอนก้อนเป็นเด็กที่ตั้งชื่อเฮียๆ ฟีลกู๊ดดีต่อใจมากเลยค่ะ เรื่องนี้คือเบามากถ้าเทียบกับตอนอ่านดราม่าพี่กีล์คือจะตายยย ส่วนพี่ภูคือความดีงามของโลกใบนี้ ดีมากๆเลย รักกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 10-12-2017 16:25:58
 o13 :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2017 17:19:43
จบซะแล้ว ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 10-12-2017 18:46:56
เรื่องนี้สนุกมากๆ ชอบจนอ่าน 2 วันจบ
เผลอตัวหลงมาอ่าน แล้วเลิกอ่านไม่ได้จริงๆ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 10-12-2017 20:39:54
จบแล้วววววว  เย้!  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: full ที่ 12-12-2017 15:21:10
 :o8: มันละมุนมากดีอ่ะ เก้าเจ้าเลห์ตั้งแต่ต้นจนจบพี่ภูเป็นคนหน้านิ่งแต่ใจดี เหมือนที่น้องเก้าบอกน่ารักมาก ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: pockypocky ที่ 12-12-2017 20:43:37
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ เก้าบ้ามากๆ แล้วก็น่ารักมากๆด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: FiRMMiE ที่ 13-12-2017 20:40:24
เป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่เรารักมาก
รักทุกอย่างในนิยายเรื่องนี้เลย
ไม่มีฉากหวือหวาอะไร แต่เนื้อเรื่องสุดยอดมาก
คนอย่างเก้านี้จะหาได้ที่ไหนนะ รักตัวละครตัวนี้มาก
ไม่แปลกใจที่เก้าจะเป็นที่รักของทุกคนในบ้านขนาดนั้น
พี่ภูก็ผู้ชายในฝันเลย โอ้ยยยย ไม่รู้จะอธิบายความชอบนิยายเรื่องนี้ยังไง แต่เรื่องนี้สุดยอดจริง ๆ
ชอบทุกอย่างเลย ฮืออออออ ไม่อยากให้จบ
ขอบคุณนิยายที่โคตรดีมาก ๆ เป็นเรื่องที่ล้ำค่ามากจริง ๆ
 :hao5: :กอด1: :L2: :3123: :pig4:

ต้องกลับมาอ่านเก้าอีกหลายรอบแน่ ๆ เลย ต้องคิดถึงมากแน่ ๆ เลย ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-12-2017 22:13:24
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะ มีความสุขมาก ๆ กับการอ่านทั้งสองเรื่อง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-12-2017 22:32:09
 :pig4: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ   o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 14-12-2017 01:23:05
รักคุณป๋ารักเฮียๆ โอ้ยย

ขอบคุณสำหรับนิยายเซตธาตุนะค่ะมีความสุขทุกครั้งที่อ่าน
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 14-12-2017 13:33:13
น้ำตาซึมมเลยยย ชอบมากก ฮืออ สุดยอดค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 14-12-2017 19:31:04
ชอบมากกกก นิยาย feel good มากจริงๆค่ะ
ชอบเก้ามาก ชีวิตเพอร์เฟคจริงๆนั่นแหละ ครอบครัวเก๋มาก ชอบเฮียๆ
และนางสามารถทำให้ทุกอย่างดูเป็นเรื่องง่ายได้ตามแบบของนาง555555555
ชอบความซึนแต่ไม่เย็นชาของพี่ภู เขินแต่ละคำพูดของพี่เขามาก
ดาเมจแรงมากจริงๆ  :o8:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ตามอ่านมาตั้งแต่ออกซิเจนแล้ว ชอบมาก

ป.ล.จะมีคู่ต่อไปมั้ยน้า ภาม-เจได รึเปล่า :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Madpinkie ที่ 16-12-2017 16:41:31
ถึงขั้นต้องไปสอย ebook มาอ่านตอนพิเศษเลยทีเดียว ชอบคาแรคเตอร์ที่ไม่ดราม่าและเข้าใจความเป็นไปของโลก(แบบตัวเอง)ของทั้งสองคน ทำให้้เรื่องมันดูเต็มอิ่มแล้วเต็มไปด้วยความเข้าใจ ขอบคุณที่สร้างงานดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==[P.26]==[08/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 17-12-2017 09:44:42
ขอบคุณคนแต่งสำหรับเรื่องราวที่สนุกน่าติดตามและ feel good  ยามที่ได้อ่าน  รอติดตามเรื่องต่อไปค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: BlogenzZ ที่ 22-12-2017 13:06:13
จบไปอีกเรื่องละเนอะ โดยส่วนตัวเราตามมาตั้งแต่Oxygen จนมาเรื่องนี้จบไปอีกเรื่อง คุณนักเขียนมีความพัฒนาขึ้นเยอะมากๆๆเลยยยังไงก็ต้องขอบคุณมากๆเนอะที่เขียนนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน เราก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนละกัน ทำผลงานดีๆออกมาให้เราติดตามอีกเรื่อยๆนะ. ต่อไปก็ปูเสื่อรอ 3kings เลย นักเขียนจะเขียนเรื่องของภามเจไดไหมม เราอ่านแล้วแอบฟิน แบบมันต้องมีอะไรในกอไ๋ผ่ 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 22-12-2017 17:46:38
 :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 23-12-2017 15:03:45
แม่จ๋า ได้รับ mvp  ไปเลยยย

fc คำสอนของจ๋าา  o13
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 24-12-2017 19:27:45
แบบว่า ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ   :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 25-12-2017 03:36:35
ดีต่อใจ  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 25-12-2017 03:37:47
อยากได้พี่ภู ฮ่อลลลลลลลลลล
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 29-12-2017 16:11:17
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 30-12-2017 12:59:11
 :mew1:สุดยอดดด เนื้อเรื่องสุดยอด สู้ๆต่อไปคะ ติดตามๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 02-01-2018 21:42:24
อ่านจบแล้วค่าา

พี่ภูเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบมาก ถึงจะมีปัญหาชีวิตมากมายก็ตาม

ส่วนเก้า นายเยี่ยมมาก เราชอบความคิดขอบนายมากๆ เลย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 03-01-2018 23:01:47
ดีงามพระรามเก้า ..
ขอขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 05-01-2018 14:10:23
สนุกมากๆๆๆ ชอบมาก อิจฉาจัง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 05-01-2018 23:31:28
ชอบมาก ชอบพี่ภู ชอบน้องเก้า

เป็นนิยายที่ชอบตัวเอกพอๆกันทั้งคู่

วางไม่ลงเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 06-01-2018 16:57:53
 :-[ ชอบบบบบบ เค้าจูบกันแล้วสวยสวย  นานมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 08-01-2018 23:19:58
รักเก้ากับพี่ภูมาก ขอตอนพิเศษลงในเล้าบ้างนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-01-2018 09:59:13
ตามเรื่องนี้มาจากOxygen โซโลกับกีล์คู่นั้นน่ารักมาก
ส่วนเรื่องนี้ชอบนิสัยเก้ามาก น่ารัก ตลกและเป็นคนคิดบวกตลอด ความคิดดีค่ะ ชอบพี่ภูที่เปนคนนิ่งๆแบบเท่อ่ะ
อยากอ่านตอนพิเศษมีมั้ยคะ
อยากอ่านตอนของภามด้วย อยากรู้จังว่าคู่ภามจะเป็นแบบไหน
แต่ยังไงก็ขอบคุณนิยายดีๆนะคะ
ติมตามเรื่องต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 21-01-2018 16:44:03
ไม่น่าเชื่อว่าเป็นนักเขียนมือใหม่ สำนวนการเขียนสุดยอดมากเลย ทำให้เรารักเก้่าได้อย่างหมดหัวใจเลย ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆนี้นะคะ  :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: JanJanIsHappy ที่ 05-02-2018 18:56:13
ขอบคุณนะคะ สำนวนดีมากๆ ประทับใจมากๆ เป็นนิยายไม่มีเอ็นซีที่ดีมากๆ รักมากกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: jeabjunsu ที่ 23-03-2018 11:30:52
ฮือออออ จบแล้ว ก้อนน่ารักมากมาย เป็นเด็กที่มหัศจรรย์มากกกก ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ดื้อ ซน มึน เก่ง ทุกอย่างที่เป็นเก้าน่ารักที่สุด พี่ภูไม่อ่อนให้ก็ให้รู้ไปสิ พี่ภูนี่รักน้องก้อนมากนะ แต่ชอบแกล้งเป็นที่1เลย5555
ภาม น่ารักและกวนประสาทจริงๆนะบอกเลย ทันกันกับเก้าจริงๆ ดีใจที่น้องหาย
จ๋ากับป๋าน่ารักที่สุด ป๋านี่ซึ้งมากๆเลยตอนที่คุยกับภู ป๋าน่ารัก คนอย่างป๋าต้องเจอกับจ๋าน่ะดีที่สุดละ 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 23-03-2018 11:39:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 08-05-2018 15:42:24
กลับมาอ่านน้องเก้าอีกรอบ คิดถึงกระต่าย :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 11-05-2018 02:45:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 04-06-2018 09:22:44
เจ้าก้อนน่ารักกกก  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-08-2018 21:40:40
สนุกมากเลยอ่ะ
ชอบเก้า ชอบพี่ภู
ในหัววิ้งๆฉากภามกอดว่าที่คุณหมอเจไดอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 27-10-2018 15:48:53
คุณภูน้องเก้า น่ารักมากๆ ชอบกระต่ายก้อน  :กอด1:
คุณป๋ากับจ๋าเลี้ยงเก้ามาดี เก้าเลยเป็นกระต่ายน่าเอ็นดู
คิดไม่เหมือนใครดี  :hao7:   :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 15-11-2018 00:46:53
มีเวลามาอ่านซักที หลังจากเซฟเอาไว้
ฮื่อสนุกมาก ประทับใจ อยากจะร้องไห้
โอ้ยมันดีไปหมดเลย เป็นนิยายที่กล้าพูดว่าชอบทุกตัวละครจริงๆ
ชอบพัฒนาการของทุกๆคน ความมั่นคงและความพยายามๆของทั้งคู่
น้องก้อนเป็นนายเอกที่ยกให้เป็นท็อปทรีนายเอกในดวงใจเลย
แงง น้องน่ารัก น้องคือ happy virus ที่แท้ทรู
อีกอย่างคืออยากมีพี่ภูเป็นของตัวเอง ฮื่อ โซแดมฮ็อทมาก
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน จะติดตามผลงานต่อๆไปค่าา
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[20]==[P.12]== [25/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 09-12-2018 23:27:02
แง้งงง คนอ่านก็ปวดใจค่าา
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[32]==[P.20]== [14/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-12-2018 16:54:48
 กอดน้าภามม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-12-2018 18:51:44
 :sad4: ชอบจังเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ เอ~ ว่าแต่ภามกับเจได

จะมีซัมติงสักอย่างไหมนะในอนาคต แบบเรารู้สึกแปลกๆ

มีเรื่องแยกของภามไหมคะเนี่ย เดี๋ยวต้องไปค้นหาแล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 21-12-2018 00:02:54
ยังอ่านค้างอยู่แต่ไปเห็นรีปรินท์เลยจองทันที
ค่อยจับเล่มกลิ่นหนังสือแล้วทีเดียวนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 12-01-2019 17:30:39
อ่านจบแล้ววว เราชอบมากๆเลยค่ะ
เก้าเป็นเด็กที่ดีมากๆ เอ็นดู
เป็นความรักที่ดีค่ะ ขอบคุณ​ที่แต่งนะคะ
 :กอด1: :3123:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 13-01-2019 19:54:09
ฟาร์มกระต่ายโดนล้มโครงการไปยัง
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: tarnting2 ที่ 14-01-2019 14:06:18
ชอบเวลาเก้าเรียกคุณแม่ว่า จ๋า แล้วชอบมากเวลาที่พูดถึงแม่ จ๋าบอกว่า... อะไรงี้ค่ะ
ตลกพี่ภูด้วย แม่สอนถูกแล้วผิดที่วิธีคิดของน้อง

อ่านแล้วได้คิดตามหลายเรื่องเลยค่ะ อย่างตอนที่น้องต้องเลือกพี่
ภูมิใจที่น้องโตจริงๆ แหละ คิดรอบด้าน เป็นเด็กน่ารักจริงๆ

ขอบคุณมากๆ นะคะที่เขียนนิยายสนุกๆ เบาสมอง (สำหรับเรา)
คลายเครียดหลังสอบได้ดีมากๆ เลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาเรื่อยๆ เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 28-01-2019 00:07:41
เรามาตามอ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมาก ซึ้งมากอ่ะ ชอบมากๆๆๆ ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน อบอุ่นหัวใจมากๆ น้ำตาซึมเลยอ่ะตอนพี่ภูไม่สบาย อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 07-07-2019 21:40:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 07-02-2020 05:46:23
ชอบความเก่งแกร่งของกระต่ายโง่555น่ารัก..พี่ภูก็แนวพระเอกในอุดมคติของสาวๆ ออกแนวแบดบอยชอบๆ นิยายน่าติดตามตลอด ครบรสจริงๆ รอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 09-02-2020 05:51:02
โคตรรักเก้าเลยครับ  ดีใจที่จะมีซีรีย์ oxygen  รอติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 09-02-2020 23:38:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 08-03-2020 09:40:07
ขอบคุณค่ะ สนุกมาก ชอบเก้ามากๆๆๆ
จะตามไปอ่านเรื่องของน้องภามต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: rutchi ที่ 11-04-2020 23:54:18
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจสุดๆ ตลก น่ารัก ดีไปหมดเลยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 17-09-2020 22:07:02
สนุกมาก ๆ ครับ เป็นเรื่องที่อบอุ่นมาก ๆ .......... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 29-10-2020 09:17:32
สนุกมาก ๆ รักคู่นี้ มันดีต่อใจไปหมด บอกตรง ๆ ว่าอยากให้แยกเรื่องนี้ออกมาทำเป็นซีรีส์เดียว ๆ ไปเลยไม่ต้องไปรวมกับอ็อกซิเจนแล้ว รับรองว่าปังแน่นอน มันดีจริง ๆ เก้านี่คือสุดติ่งจริง ๆ อ่านไปยิ้มไปขำไปตลอดเลย

 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 01-04-2023 23:25:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 01-05-2023 00:31:17
อ่านรอบ 2 ก็ยังรักพี่ภูสุดๆๆๆๆ