-0-
ถ้าความรักของ ‘เขา’ คือการมีชีวิต
.
.
อากาศและการหายใจคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์คงอยู่
ภายในอากาศประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายชนิด
Nitrogen เป็นก๊าซที่มีปริมาณมากเป็นอันดับหนึ่งขององค์ประกอบทั้งหมด
มนุษย์จำเป็นต้องใช้ไนโตรเจนในการลดความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อมีชีวิตอยู่
สำหรับเขา ‘มัน’ ก็เป็นเหมือนไนโตรเจน
วนเวียนอยู่รอบกาย ไม่เคยคิดว่าสำคัญ ไม่เคยคิดว่าต้องการ
แต่…
‘จำเป็นต้องมี’
รักครั้งแรกของผมเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ทำผมทรงอันเดอร์คัตที่มักจะเซตอย่างดีเสมอ เครื่องหน้าทุกอย่างประกอบกันอย่างลงตัวจนน่าอิจฉา และที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาดุๆ สีเทาคู่นั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่คนไทยแท้
ตอนเจอกันครั้งแรกที่ห้างผมมองผ่านๆ แค่เห็นเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง เราเดินสวนกัน เป็นเพียงคนสองคนบนโลกที่โคจรมาเจอกันและไม่มีความสำคัญใดๆ
เจอกันครั้งที่สองผมมองแบบเบื่อๆ เพราะไม่ว่าใครก็หันไปมองคนๆ นั้นกันหมด ผมไม่ได้อิจฉา แค่รำคาญเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน
และตอนเจอกันครั้งที่สาม...
.
.
ผมเริ่มชอบเขา
วันนั้นฝนตก...
ผมเดินออกมาจากร้านเครื่องดนตรีที่มาซื้อสายไปเปลี่ยนให้กีตาร์ตัวโปรด ตอนแรกก็คิดว่าจะแวะไม่นานแต่กลายเป็นคุยเพลินจนลากยาวมาถึงสองทุ่ม
เพราะไม่มีร่มเลยทำได้เพียงมองถนนที่เงียบสงัด รวมถึงคนที่แทบไม่มีด้วยสายตาเบื่อหน่าย
อะไรก็น่าเบื่อไปหมด...ถ้าเปิดเทอมแล้วได้เล่นดนตรีเป็นวงคงดี
"แกๆ นั่นไงคนนั้นๆ"
"ใช่จริงด้วย"
ผมหันไปมองตามเสียงของกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก แล้วก็พบว่าพวกนั้นกำลังมองไปที่อีกฝั่งของถนนที่มีผู้ชายคนหนึ่งถือร่มกำลังเดินข้ามมาฝั่งนี้
อีกแล้วเหรอ…
นอกจากจะรู้สึกเซ็งกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก ผมถอนหายใจก่อนจะละสายตาออกมาจากคนๆ นั้นอย่างไม่คิดใส่ใจ
รอให้ฝนเบาลงกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยวิ่งฝ่าไปขึ้นรถเมล์อีกฝั่งน่าจะดีกว่า…
"เดินมาแล้วอ่ะ ทำไงดี"
"เอางี้ เดี๋ยวฉันผลักแกก็เซไปหาเลยนะ"
"จะบ้าเหรอแก!"
"แล้วจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือเหรอยะ!"
โคตรละคร…
ผมได้แต่กลอกตาเหนื่อยหน่ายกับประโยคสนทนาของผู้หญิงกลุ่มนั้น
แต่จะว่าไปแล้วในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรทำแบบนี้ละครที่กำลังจะเกิดขึ้นก็แลดูน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
คิดซะว่าฆ่าเวลา
ผู้ชายคนนั้นเดินมาแล้วและกำลังจะผ่านหน้าพวกผู้หญิงที่กำลังซุบซิบกันอยู่ไป ผมมองดวงตาคมดุที่ไม่ปรายมองอะไรทั้งสิ้นนอกจากทางด้านหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
ได้เห็นใกล้ๆ ก็วันนี้ ขนาดมีฝนตกบดบังสายตาไปบ้างยังรู้เลยว่ามันดุขนาดไหน
ละครเริ่มแล้ว…
ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่น่าจะรับบทเป็นนางเอกละครโดนเพื่อนของเธอผลักเข้าหาผู้ชายคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ผมมองตามด้วยความสนใจ ยอมรับว่าอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง
ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปก็น่าจะรับไว้ต่อให้ต้องทิ้งร่ม
"ว๊าย!"
ผมเบิกตากว้าง ความรู้สึกประหลาดก่อเกิดขึ้นมาในใจเมื่อเห็นภาพคนถือร่มใช้ด้ามจับร่มกระแทกผู้หญิงคนนั้นกลับไปหาเพื่อนของเธอโดยไม่เสียเวลาคิด
โอ้โห…
คนแบบนี้...
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ไอดอลว่ะ!
เงาร่างของคนหน้าดุหายไปจากสายตาผมแล้ว รู้ตัวอีกทีสองเท้าก็ก้าวออกมาจากที่หลบฝนเล็กๆ หน้าร้านดนตรีแล้วออกวิ่งไปตามทางโดยไร้จุดหมาย
ไม่ดิ…ไม่ได้ไร้จุดหมาย จุดหมายที่ว่าก็แผ่นหลังกว้างที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นไง
ผมวิ่งฝ่าสายฝนแล้วเลี้ยวเข้าซอยตามทางที่เห็นคนๆ นั้นเดินเข้าไป รู้แค่ว่าอยากตามให้ทัน…แต่ไม่รู้หรอกว่าทันแล้วจะทำอะไร
เอาไว้ค่อยคิด
“ดะ!…” ผมหยุดคำพูดแทบไม่ทัน รีบพุ่งตัวเข้าไปหลบตรงถังขยะข้างๆ เสาไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด
คนที่ผมกำลังวิ่งตามยืนอยู่กับผู้ชายอีกสามคน ท่าทางไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องกัน เสียงฝนที่ดังสนั่นทำให้ผมไม่ได้ยินว่าพวกนั้นกำลังคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าใช่เรื่องดีแน่นอน
เอาเลยเหรอวะ…
ผมมองภาพคนตีกันสดๆ ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ มือกำถังขยะใบเล็กข้างๆ ไว้แน่น
สามต่อหนึ่ง…แม่งหมาหมู่นี่หว่า
การต่อยตีที่ควรจะเสียเปรียบกลับกลายเป็นสูสีเมื่อคนตาดุนั่นโยนร่มทิ้งแล้วสู้กลับเหมือนคนมีประสบการณ์ ใช้เวลาไม่นานก็มีพวกหมาหมู่ล้มไปกองกับพื้นแล้วหนึ่งคน
ไอดอลโคตรเท่อ่ะ!
ผมเบิกตากว้าง ถึงจะไม่ได้ยินว่าพวกนั้นคุยอะไรกันแต่แสงสะท้อนของโลหะที่หนึ่งในพวกหมาหมู่มันหยิบออกมานั่นกระทบตาเข้าเต็มๆ
“หมาหมู่แล้วยังโกงอีกนะพวกห่านี่!” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ขาก้าวออกจากที่ซ่อนพร้อมถังขยะที่จับไว้แต่แรก
จังหวะเดียวกับที่ไอ้เวรนั่นจะพุ่งเข้าหาผู้ชายตาดุพร้อมมีด ผมปาถังขยะในมืออัดหัวมันอย่างจัง คิดว่าต่อให้ไม่สลบก็ต้องมึนบ้างแหละวะ ผมอาศัยจังหวะที่ไอ้พวกนั้นชะงักวิ่งเข้าไปคว้าแขนเป้าหมายแล้วดึงให้วิ่งตามอย่างรวดเร็ว
“ใครเสือกวะ!” เสียงไอ้พวกหมาหมู่ดังตัดมากับสายฝน
“พ่อมึงมั้ง!” ผมตะโกนกลับไปพร้อมกับชูนิ้วกลางให้โดยไม่หันไปมอง
ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นอยู่ว่าไม่รู้จักกัน บอกชื่อไปอย่างกับพวกมึงจะรู้จัก
“ไอ้เวร! อย่าให้กูจับได้นะมึง!”
“จับให้ได้ก่อนมึงค่อยพูด กูรำคาญ!” ผมตะโกนรัวเร็ว เพิ่มความไวในการวิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ต้องขอบคุณที่คุณพี่หน้าดุที่ผมลากอยู่ยอมวิ่งตามแต่โดยดี
ผมเลี้ยวซ้ายขวาเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว พอรู้ว่าจะได้มาเรียนที่มหา’ลัยแถวนี้ผมก็เตรียมการอย่างดีโดยการไปสำรวจและจดจำเส้นทางทั้งหมดไว้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าเผื่อตัวเองมีเรื่องแล้วจะได้มีทางหนี แต่กลายเป็นว่าย้ายเข้าหอได้ไม่กี่วันก็ได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว
ผมดันร่างคนที่ลากมาแถมยังตัวใหญ่กว่าเข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างทางโดยใช้แรงเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นก็ดันร่างตัวเองตามเข้าไป เราหลบอยู่เงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้ยินเสียงฝีเท้าของไอ้พวกที่ตามมาวิ่งอยู่ไม่ไกลซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอกเพราะดูเหมือนสมาธิจะจดจ่ออยู่กับคนในซอกตึกนี่มากกว่า
เสียดายว่ะ…
เสียดายที่พี่แกสูงกว่า ระดับสายตาผมดันอยู่ตรงปากเขาพอดีเลยอดจ้องตาดุๆ นั่นเลย เงยหน้าก็ไม่ถนัดเพราะซอยมันแคบแถมยังมืดจนมองแทบไม่เห็นกันอีก
ผมโผล่หัวออกไปดู นอกจากฝนที่ซาลงจนแทบจะหยุดแล้วก็ไม่เห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตสักตัว ผมก้าวเท้านำออกมาจากซอยที่ใช้หลบเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองคนที่เดินตามออกมาเงียบๆ
ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ก็ยิ่งรู้ว่าหน้าตาดีขนาดไหน…
“พี่…” ผมเรียก ขยับเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ “คือ…”
“ใครพี่มึง”
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ถึงจะมั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดแต่ถามเอาชัวร์อีกรอบน่าจะดีกว่า
“กูบอกว่าใครพี่มึง”
ผมตาโต ได้ยินชัดเจนสองรูหู
ทำไม…
ทำไมใจเต้นแรงงี้วะ!
คนพูดปรายตาดุๆ มองวูบเดียวแล้วหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิมที่เราเพิ่งวิ่งกันมา
“เดี๋ยว!” ผมรีบตะโกน รู้สึกว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วไม่มีโอกาสได้พูดคงเสียใจไปตลอดชีวิต “พี่...คุณ!”
“…” คนที่ถูกเรียกเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ
ดี….ไม่ใส่ใจก็ดี
“ผมชอบคุณอ่ะ!”
ผมตะโกนเสียงดัง รู้สึกได้ว่าคนที่กำลังเดินชะงักไปวูบหนึ่ง เขาหันมามองผม จ้องมองมาด้วยดวงตาดุๆ ที่น่าจะทำให้ใครๆ หวาดกลัวจนตัวสั่น
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับคุณอชิราคนนี้
“ไปไกลๆ”
“เดี๋ยวดิ…คุณไม่เอากระเป๋าตังค์คืนเหรอ”ผมยกยิ้ม ชูกระเป๋าตังค์ราคาแพงที่หยิบมา ‘โดยบังเอิญ’ ให้คนตาดุดู
ใครใช้ให้เขาเอากระเป๋าตังค์ใส่ไว้ในเสื้อตัวนอกกัน ตอนอยู่ในซอกตึกนั่นผมเห็นพอดีเลยหยิบมาง่ายๆ เลย
“มึง!” คิ้วเข้มขมวดแน่น ดวงตาสีเทาดุที่ดูน่ากลัวอยู่แล้วทวีความน่ากลัวกว่าเดิม
“ไม่ต้องโกรธหรอก ผมคืนให้” ผมว่าแล้วโยนกระเป๋าตังค์คืนให้เขา คนๆ นั้นไม่แม้แต่จะเปิดเช็คด้านในแต่เลือกที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที “ผมเช็คแล้วว่าไม่มีรูป…แสดงว่าคุณยังไม่มีใครใช่ปะ”
ผมยิ้มเมื่อคนที่กำลังเดินชะงักไปอีกรอบ คราวนี้เขาหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ
หึ…จ๋าบอกว่าพวกมีแฟน มีคนที่ชอบมักจะเก็บรูปเอาไว้ในกระเป๋าตังค์ เพราะงั้นแสดงว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่มีใครแน่นอน
“แล้วเจอกันนะคุณ!”
ผมตะโกนตามหลังคนที่เดินจากไป โบกไม้โบกมือให้ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็น
ที่ผมบอกว่าตอนเจอกันครั้งแรกกับครั้งที่สองไม่ได้สนใจเขาท่าจะไม่จริง บางทีผมอาจจะสนใจเขาแต่แรกแล้วก็ได้ ถ้าไม่สนใจจริงๆ คงไม่เห็นอยู่ในสายตาหรือรู้ว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ
แบบนี้นี่เอง…
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาสุดสวย
[โหล]
“จ๋า”
[เรียกนำหน้าว่าแม่หน่อยจะได้ไหมยะ]
“ก็เรียกแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาลสามแล้วปะ”
แม่ผมชื่อจ๋า จริงๆ ตอนเล็กๆ ก็จำได้ว่าเรียกแม่จ๋าๆ อยู่ แต่พอโดนเพื่อนล้อตอนอนุบาลสามจนเตะเข้าโรง’บาลไปสองคน ผมเลยเปลี่ยนไปเรียกจ๋าตั้งแต่ตอนนั้น
แน่นอนว่าคนอย่างจ๋าย่อมไม่ถือสา เพราะจ๋าเป็นคนสวยที่ใจดีและวัยรุ่นสุดๆ
[ว่าแต่โทรมามีอะไรคะ ปกติไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงไม่ใช่เหรอ]
“เราจะโทรมารายงานจ๋า”
[รายงานอะไร]
“จ๋าจำที่บอกเราว่าเจอคนถูกใจให้ดูเป๋าตังค์ได้ปะ”
[จำได้…เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคุณอชิราเจอใครคนนั้นแล้ว]
“หึหึ” ผมหัวเราะ คิดถึงคนตาดุที่หายไปจากสายตาสักพักแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา “เราเปิดดูเป๋าตังค์เขาแล้ว ว่างชัวร์”
[ใครกันเป็นผู้โชคร้าย…]
“จ๋า!” ผมตะโกน หน้าบึ้งตึง “เราออกจะดีเลิศไปทุกด้าน โชคร้ายตรงไหนไม่ทราบ”
ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องดนตรี เรื่องกีฬา หรืออะไรผมก็ทำได้ดีหมด ตั้งแต่อนุบาลยันจบม.ปลายผมโดนชมไม่ขาดสายว่าเป็นเด็กเก่ง
ดังนั้นคนที่ทำให้ผมชอบได้เป็นคนแรกแบบเขาต้องดีใจถึงจะถูก!
[ค่ะ ขอโทษค่ะ ว่าแต่เธอคนนั้นเป็นใครกันคะ สวยไหม]
“เรายังไม่รู้ชื่อเขาอะ ส่วนเรื่องสวยนี่ไม่สวยหรอก…”
[อ้าว! แล้วเจอที่มหา’ลัยเหรอ]
“ไม่ใช่ เจอตามทางนี่ล่ะ เรียนไหนไม่รู้”
[นี่คุณอชิราหลงรักคนแปลกหน้าเหรอ]
“จ๋า เรายังพูดไม่จบ”
[ว่าไงคะ]
“เราจะบอกว่าไม่สวย…เพราะหล่อ ดูดี และดึงดูดมาก ตาดุมากเลยเราชอบ สักวันเราจะพาไปหาจ๋านะ แค่นี้แหละบาย”
[ไอ้เก้า‼‼‼‼‼]
-------------------------------
TALK : เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนโซโล่จากเรื่อง Oxygen นะคะ อ่านแยกได้ แค่ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน
ติดแฮชแท็ก #คุณภูชายเก้า
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04