-16-
“พี่ภู…” ผมยิ้มจนปวดแก้มในขณะที่มองคนที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยสายตาเป็นประกาย แถมมือไม้ยังสั่นเทาหาที่วางไม่ถูกอีกต่างหาก
ดีใจ...ดีใจมาก
“ปิดโทรศัพท์ทำไม” คนพูดถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวในดวงตาคู่นั้นเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
หัวร้อนที่ข้อความไม่ใช่ของพี่เลยพาลปิดโทรศัพท์ แบบนี้เหรอ...ไม่มีทาง โคตรเด็ก
“กูถาม”
“ผมหงุดหงิดที่ข้อความที่เข้ามาไม่ใช่ของพี่เลยพาลปิดโทรศัพท์ครับ”
โอเค…ผมควรยอมรับกับตัวเองเสียทีว่าความผิดปกติทุกอย่างเกิดขึ้นได้ถ้าอยู่กับพี่ภู แถมผมยังไม่สามารถปิดบังความคิดหรือความจริงกับเขาได้ด้วย
“ถ้าปิดอีกเจอดี” พี่ภูหรี่ตาคาดโทษ ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง
“แบบนี้เอง...พี่ติดต่อผมไม่ได้ก็เลยถามทางกับไอ้โซเอาสินะ” ถ้าสังเกตจากตอนไอ้โซเล่นโทรศัพท์แล้วหันมาถามผมเมื่อกี้ก็ไม่น่าผิดจากที่คิดนัก แถมตอนนี้มันยังหายหัวไปแล้วเรียบร้อยด้วย ส่วนคนตรงหน้า…ท่าทางคงไม่ตอบแน่ๆ
“ทำไมเงียบ” พี่ภูมองซ้ายมองขวาเหมือนจะสำรวจก่อนเขาจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม
“ตรงนี้มีแค่พวกพี่ปีสี่กับผมแล้วก็ไอ้โซ ส่วนใหญ่ตอนนี้ยังนอนตายกันอยู่ข้างใน ส่วนพวกที่เหลืออยู่ที่บ้านฝั่งนู้นเลย ที่ตรงนั้นไม่พอนอนพวกผมเลยมาที่นี่” ผมชี้ไปอีกทางของถนนซึ่งเป็นที่ตั้งที่พวกปีอื่นอยู่กัน น่าจะต้องเดินประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีกว่าจะถึง
“อืม” พี่ภูพยักหน้าก่อนจะเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เขายกมือปลดกระดุมเม็ดบนออกรับลม ทั้งยังปล่อยให้ผมลวนลามทางสายตาโดยไม่ว่าอะไรสักคำ
“พี่ติดงานไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม…”
“มาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” เขาตัดบทก่อนจะหันมามองหน้าผมนิ่งๆ “เรื่องอื่นจะรู้ไปทำไม”
คือคนมันขี้เสือกไง...แต่จะพยายามไม่อยากรู้แล้วกัน
“แล้วพี่จะกลับพร้อมผมหรือเปล่า”
“ไม่ใช่กูกลับพร้อมมึง...แต่มึงต้องกลับพร้อมกู”
“หา…” ผมทำหน้าเหวอแล้วมองหน้าคนที่หลับตารับลมด้วยความงุนงงสุดขีด
“รับปากอะไรไว้ก็ทำให้ได้ตามที่พูด”
รับปาก…หรือว่าจะเป็นเรื่อง…
“พี่หมายถึงเรื่องงานเลี้ยงเหรอ” ผมตั้งคำถาม และแทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหวเมื่อคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ “ได้เลย ผมไปเป็นเพื่อนแน่ๆ พี่ไม่ต้องห่วง”
“หึ”
จบคำว่าหึแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ พี่ภูหลับตายาวๆ เหมือนกำลังจะนอนหลับจริงๆ ในขณะที่ผมมองหน้าเขานิ่งเป็นคนบ้าโดยที่ยังไม่หุบยิ้มด้วยซ้ำ มองจนนึกถึงเรื่องคำถามที่เอาไปถามไอ้โซ...รู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกได้ว่าทำตัวแบบไหนออกไป ตอนนี้เลยได้แต่หวังว่ามันจะไม่เอามาล้อทีหลัง
“พี่ภู ผม…”
“ตื่นโว้ยยยยย!”
ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ต้องหัวร้อน มันไม่ใช่เพราะผมขี้หงุดหงิดเลยสักนิด...เวลากูจะพูดเรื่องสำคัญต้องมีคนมาขัดตลอด! หลายทีแล้วละนะ ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่ผมเข้าไปบวกแล้ว
“มองกูแบบนั้นทำไมไอ้เก้า” ตัวต้นเหตุของเสียงปลุกแปดสิบริกเตอร์คือพี่วินคนเดิมซึ่งไม่รู้ว่ามาปลุกจริงหรือมากวนตีนผม “อุ๊ย! พี่ภู”
แหม...เสียงตกใจแต่หน้ามึงไม่ตกใจเลยนะพี่นะ แม่งจงใจชัวร์
“มึงไปเตรียมตัวไป เดี๋ยวไปรวมกินข้าวที่โน่นแล้วรับน้องต่อ พรุ่งนี้จะได้เที่ยวชิวๆ แล้วก็ไปเดินป่าด้วย”
“เดินป่า?” ผมตาเป็นประกาย ลืมเลือนความหัวเสียไปชั่วขณะ
“เออ พวกมันบอกดูเวลาก่อน อาจจะไปพรุ่งนี้...พี่ภูก็ไปด้วยกันนะครับ” พี่วินหันไปทำตาปิ๊งๆ ใส่พี่ภูจนผมต้องมองแรงแล้วรีบโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ พี่วินมันเลยเบะปากใส่แล้วทำท่าจะด่าผม แต่ยังไม่ทันได้พูดก็โดนพี่ภูหันไปมอง พี่แกเลยยิ้มหวานก่อนจะเดินดี๊ด๊าไปเคาะประตูเรียกคนอื่นด้วยความอารมณ์ดี...โคตรน่าเตะ
“พี่เตรียมของมายัง”
“อยู่บนรถ” พี่ภูหาวด้วยท่าทางเป็นผู้ดี
“ผมไปเอาให้” ว่าจบผมก็รับกุญแจมาจากมือเขาแล้ววิ่งไปที่รถก่อนจะหยิบเอากระเป๋าขนาดกลางออกมาแล้วเอาเข้าไปเก็บในห้อง แน่นอนว่าเอาไว้บนเตียงตัวเอง เพราะเตียงนอนมีแค่ห้าเตียง...หึหึ
รอจนพี่วินเคาะประตูเรียกครบทุกบ้านแล้วพวกพี่ปีสี่ก็เริ่มทยอยออกมากันช้าๆ หน้าตาแต่ละคนแย่ยิ่งกว่าซากศพ แต่ถ้าถามว่าคืนนี้จะนอนหรือกินเหล้า บอกเลยว่าเหล้าสำคัญกว่า และไม่ใช่แค่คืนนี้ด้วยนะ…แต่พวกนี้กินหนักทั้งสองคืนแน่ ขนาดผมเห็นปริมาณแอลกอฮอล์ที่ขนกันมายังร้องโห ไหนจะของพวกปีอื่นที่อยู่ฝั่งนู้นอีก
“ทำไมเราต้องเดินไปหาพวกมันว้า” พี่คนหนึ่งโอดครวญ ท่าทางพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ
“พวกมันเตรียมกิจกรรมไว้ฝั่งนู้นไง แม่งรู้ทันเลยเตรียมของก่อนแล้วค่อยบอกกู ไม่งั้นกูก็บอกให้มาที่นี่แล้ว” พี่วินบ่นด้วยหน้าตาอึนๆ ไม่ต่างกัน
“กู…!” พี่ที่กำลังจะพูดสะดุ้งแรงเมื่อหันมามอง ซึ่งคนที่ทำให้เขาสะดุ้งก็ไม่ใช่ผมหรอกแต่เป็นคนข้างๆ ผมต่างหาก พอพี่แกที่เดินนำหน้าหยุดเท้ากะทันหัน พวกคนที่อยู่ด้านหลังก็เลยต้องหยุดตามไปด้วย
“หยุดทำเหี้ย…!” ใครสักคนจากด้านหลังหลุดเสียงโวยวายออกมานิดหน่อยก่อนจะเงียบไป
เออ...ค้างกันเป็นแถบ มีแค่คนที่ไปว่ายน้ำกับผมวันนั้นที่ไม่ได้เงิบเหมือนเพื่อน พวกเขาแค่ตกใจก่อนจะทักทายพี่ภูเป็นปกติ ส่วนคนข้างๆ ผมก็แค่พยักหน้ากลับ
“ไอ้วิน!”
ผมมองภาพรุ่นพี่เป็นฝูงลากตัวพี่วินไปอีกทางเพื่อซุบซิบกันขำๆ จวบจนเสียงร้องว้าวจบลงเท่านั้นล่ะ...แร้งทึ้ง
“สวัสดีครับพี่ภู”
“พี่ภูดีครับ”
“ผมชื่อ…”
ผมหัวเราะจนตัวงออยู่ข้างๆ ไอ้โซที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านในขณะที่มองไปยังพี่ภูที่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนรุมโดยไม่คิดเข้าไปห้าม เหตุผลแรกคือพวกรุ่นพี่ไม่ได้แตะโดนตัวเขาอยู่แล้ว และอีกเหตุผลคือปีสี่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรเท่าไหร่
สงสารก็สงสาร แต่คิดว่าเขาเองก็คงขำอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะงั้นให้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องผ่อนคลายสิ…ถึงจะคิดแบบนั้นแต่พอมองไปมองมาผมก็เริ่มสงสารคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายและคนเยอะๆ เลยเดินเข้าไปดึงแขนเขาออกมาจากวงแล้วกวาดตามองรุ่นพี่
“ไม่ไปกันแล้วหรือไง”
“ไรวะไอ้เก้า ขี้หวงว่ะ”
“โด่ว คิดว่าเขาให้แตะแล้วเชิดเชียวนะมึง”
ตามด้วยเสียงด่ามากมาย กลายเป็นกูผิดอีก แต่ผมก็รู้ดีว่าพวกพี่มันพูดขำๆ เลยยักไหล่แล้วเชิดหน้ากวนตีนเข้าให้ พอจะโดนตบหัวก็ขยับไปหลบหลังพี่ภูเอา
“กล้าเหรอ” ผมยื่นหน้าออกมาทำหน้าตายียวน เห็นพวกรุ่นพี่ชี้หน้าคาดโทษแล้วก็อารมณ์ดีรีบเกาะพี่ภูแล้วเดินนำพวกนั้นไปก่อน
“เล่นเป็นเด็ก” คนที่ผมเกาะแขนอยู่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่แลดูมีความขบขันแฝงอยู่ไม่น้อย เห็นเขาดูอารมณ์ดีผมก็มีความสุขไปด้วย
“พี่ทำหน้าดุๆ สิ” ผมกระซิบบอก ขาเร่งสปีดให้เดินทิ้งห่างพวกข้างหลังมากกว่าเดิม
“ดุ?”
“อื้อ หน้าดุๆ แบบโหดๆ เหมือนเมื่อก่อนเลย” ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าหน้าตาพี่ภูเปลี่ยนหรือตัวเองมองเขาเปลี่ยนไปกันแน่ถึงไม่รู้สึกว่าหน้าเขาดุๆ เถื่อนๆ แบบเมื่อก่อน แต่เพื่อความชัวร์...บอกเขาให้ทำดีที่สุด คนอื่นจะได้ไม่กล้ามายุ่งมาก
“ปัญญาอ่อน”
“เปล่านะ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ และวินาทีต่อมาก็โดนผลักหัวเต็มแรงจนน่ากลัวว่าคอจะหลุด อยากจะบ่นอยู่เหมือนกัน แต่พอหันกลับไปหาก็แทบกลืนคำพูดลงไปไม่ทัน เพราะคนที่ผมมองอยู่...เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปากอีกแล้ว
ขยันทำดาเมจใส่กันเหลือเกิน…
ผมกับพี่ภูเดินมาถึงเป็นคู่แรกก็เห็นพวกปีหนึ่งปีสองปีสามกำลังสุมหัวกันอยู่ก่อนแล้ว พอพวกมันหันมาเห็นผมแล้วก็ทำท่าจะทัก แต่ผมส่งสัญญาณให้เงียบไว้แล้วเดินย่องไปด้านหลังไอ้เปรมช้าๆ พอได้จังหวะแล้วก็จิ้มเอวมันแรงๆ ก่อนจะถอยหลังมายืนข้างพี่ภู
“เหี้ย! ฮ่าๆ!” ไอ้เปรมสบถเสียงดังแล้วดีดตัวเองลงไปนอนกลิ้งกับพื้นก่อนจะดิ้นไปดิ้นมาเหมือนยังโดนจี้อยู่โดยมีเสียงขำของคนอื่นๆ เป็นแบ็คกราวน์ ขนาดพี่ภูยังส่ายหน้าเหมือนจะขำเลย
เรื่องของเรื่องคือมันบ้าจี้เข้าขั้นวิกฤติ ใครเขาก็รู้ไปทั่วแต่ไม่กล้าแกล้งเพราะไอ้นี่มันโกรธจริง จะมีก็แต่ผมที่กล้าแกล้งเพราะทำยังไงก็ไม่โดนโกรธ พวกปีหนึ่งบอกว่าไอ้นี่มันบูชาผมจนจะเทียบเท่าพ่อมันแล้วด้วยซ้ำ
“เหนื่อย…” มันลุกนั่งแล้วหอบไม่หยุด ตามองผมค้อนๆ เหมือนจะโกรธแต่ก็ไม่โกรธ “พี่เก้าอ่ะ”
สะดีดสะดิ้งไปอีก บอกทีว่ามันเป็นเดือนดุริยางค์ได้ไง
“ทำไมเดือนดุริยางค์มีแต่พวกผิดปกติวะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ และแทบจะทันทีที่พูดจบก็โดนตบหลังดังป้าบใหญ่ด้วยฝีมือของไอ้หมาบ้าที่เพิ่งเดินมาถึง “มาได้จังหวะจริงนะมึง”
“นินทา” มันผลักผมอีกทีจนตัวเซ แต่ดีที่ผลักเซไปหาพี่ภูเลยให้อภัย ถึงพี่เขาจะรับผมด้วยการใช้มือเดียวจับไหล่ก็เถอะ
แค่นี้กูก็ยิ้มได้ละ...ถ้าจ๋ารู้ต้องโดนด่าว่าใจง่ายแน่เลย
“เก้า มึงพาพวกพี่ไปนั่งกินข้าวก่อนเลย พวกกูกินกันแล้ว” ไอ้เต๊ะที่เป็นเฮดปีสองเดินมาบอกผมก่อนจะชี้ไปใต้บ้านพักของพวกมัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกพวกพี่วินแล้วพากันเดินไปกินข้าว
ผมยืนรอให้พวกรุ่นพี่เดินไปตักกันจนหมดก่อนแล้วค่อยไปต่อแถว ไม่ใช่ว่ามีมารยาทนะ แต่พี่ภูยังยื่นนิ่งอยู่เลยต้องยืนเป็นเพื่อน รอจนคนหมดแล้วเขาก็ไปยืนอยู่หน้าถาดอาหารที่มีอยู่สี่ห้าอย่าง มองแล้วก็ไม่ตักเสียทีจนผมต้องเอ่ยปาก
“พี่กินเป็นหรือเปล่า”
พี่ภูขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นคำตอบ แค่นั้นผมก็เข้าใจทันทีว่าเขากินไม่เป็น ไม่แปลกหรอก เพราะกับข้าวของพี่ภูส่วนใหญ่ไม่ใช่อาหารไทยอยู่แล้ว อย่างตอนนั้นเขาก็ทำอาหารฝรั่งให้ผมกิน ถ้าเป็นอาหารแปลกๆ ไม่มีป้ายแปะเขาคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“มันคืออะไร”
“อันนี้ไช้โป๊ผัดไข่ มันจะหวานๆ หน่อย ส่วนอันนี้ต้มยำรวมมิตร ดูจากสีแล้วผมว่าไม่น่าเผ็ด อันตรงพี่นั่นก็ไข่ต้ม น่าจะเป็นตานี...ผมหมายถึงยังไม่สุกมาก ลองกินดูสิ ผมชอบนะ แล้วอันนี้ยำวุ้นเส้น พี่ไม่น่าชอบเพราะท่าทางจะเผ็ดอยู่ พริกเยอะแยะเลย ส่วนอันสุดท้ายที่พี่งงคือน้ำพริกอ่อง อธิบายรสไม่ถูกเหมือนกันแต่เดี๋ยวพี่ลองชิมกับผมก็ได้...เอาอะไรดี” อธิบายจบผมก็เงยหน้ามองคนข้างๆ เห็นสายตาเหมือนจะขำใส่ทั้งที่หน้ายังนิ่งก็เขินอยู่หน่อยๆ จนต้องยกมือเกาแก้ม
“ทำอาหารไม่เป็นแต่รู้ดีจริง”
“ผมชอบติ” ผมหัวเราะก่อนจะค่อยๆ ตักอาหารที่เขาน่าจะกินได้ใส่จานให้ “ไปกินที่ไหนก็ติเขาไปหมด สั่งก็ชอบสั่งหลายๆ อย่างแล้วกินเหลือประจำ โดนคนขายด่าก็หลายครั้ง จนตอนนี้ยังโดนจ๋าหักค่าขนมเพราะใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่เลย”
“สมควร”
ผมเบะปากใส่คนพูดแต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร แถมยังช่วยเขายกจานไปที่โต๊ะอีกต่างหาก
“บริการดีกว่านี้ไม่มีแล้วบอกเลย” ผมโฆษณาตัวเองโดยคาดหวังจะได้เห็นรอยยิ้มหายาก แต่กลับได้เห็นหน้าเนือยๆ เหมือนขี้เกียจด่าแทน
“เหรอ”
“อื้อ”
“ฮัลโหลลลล พวกพี่ครับ รีบๆ ทานแล้วเรียนเชิญมาร่วมกิจกรรมที” ไอ้เต๊ะที่คุมน้องอยู่ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังจนโดนพี่ปีสี่ที่นั่งอยู่แถวนั้นโบกหัวไปสามสี่ทีพร้อมเสียงบ่นระงม
“พวกกูนั่งแดกไม่ถึงห้านาทีบอกให้ไปร่วมกิจกรรม”
“ทีหลังมึงบอกพวกกูไม่ต้องแดกก็ได้นะไอ้สัตว์”
ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ทุกคนก็ดูเร่งสปีดในการกินมากกว่าเดิมเพื่อไปร่วมกิจกรรมปัญญาอ่อนของพวกมัน จริงๆ ปีสองคือปีที่จะจัดกิจกรรมพวกนี้ แต่เพราะผมกับไอ้โซอยู่ห้องซ้อมตลอดและขึ้นลงเวทีแทบทุกเวทีเลยไม่แปลกที่จะไม่รู้เรื่อง พวกมันเองก็เข้าใจเลยทำเหมือนผมกับไอ้โซเป็นรุ่นพี่ไปแล้ว
พอคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินออกไปที่ลานกันหมดผมก็ชวนพี่ภูเดินตามไปบ้าง เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เดินตามไปเงียบๆ และไม่ได้เดินเข้าไปใกล้มากเกินไป เหมือนแค่ต้องการดูว่าพวกนั้นทำอะไรกัน แต่ไม่ได้คิดเข้าไปร่วมวงด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว เพียงแต่…
“ไอ้เก้า! มึงมาสาธิตหน่อย”
เป็นเหี้ยอะไรกับกูนักหนาวะเนี่ย ขออยู่เฉยๆ หน่อยไม่ได้เลย
ผมส่ายหน้าแล้วเกาะแขนพี่ภูแน่น แต่พวกมันรู้ทันเลยส่งสายตาให้ไอ้โซมาดึงผมออก
“พี่ภู” ร้องเรียกก็แล้ว เกาะแขนก็แล้ว แต่นอกจากจะไม่หือไม่อือแล้วคนหน้าดุยังเดินตามแรงดึงของผมไปแบบสมยอมอีกต่างหาก ดูก็รู้ว่าอยากเห็นผมโดนแกล้ง
คือ...ไอ้การที่ผมจะโดนแกล้งมันน่าสนุกขนาดนั้นเลยเหรอถึงได้ตบไม้ตบมือเฮฮากันฉิบหาย กูงง
“ปีหนึ่ง ใครจับไอ้เก้ามาหากูได้ภายในห้านาทีไม่โดนลงโทษ” เสียงไอ้เต๊ะที่ตะโกนดังลั่นทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ แต่ก่อนจะได้หันไปด่ามันสมใจอยากมันเสือกรู้ตัวตะโกนดักก่อน “เริ่มได้!”
“ไอ้เต๊ะ! ไอ้เพื่อนเหี้ย!” ผมชี้หน้ามันคาดโทษก่อนจะออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณไอ้พวกเด็กเวรที่ทำตามคำสั่งกันอย่างเคร่งครัดโดยการช่วยกันวิ่งจับกูกันทั้งชั้นปี ดีที่พื้นที่ลานตรงนี้กว้างพอให้หนี แต่นั่นก็เท่ากับผมต้องเหนื่อยขึ้นเป็นเท่าตัว เออ...ทางไหนกูก็เสียทั้งนั้น
“จับมันเร็วๆ ดิวะ! อีกสามนาที!”
“ไอ้เหี้ยเต๊ะ!”
“พี่เก้า! อยู่เฉยๆ ดิพี่!”
โอ้โห แม่งวิ่งอย่างกับฝูงซอมบี้ หยุดให้พวกมึงจับแดกหรือไง
พอต้องออกตัววิ่งเร็วผมก็เริ่มเหนื่อย โดนพวกแม่งจับอยู่หลายทีแต่เผอิญแรงควายเลยสะบัดหลุดได้ ผมตัดสินใจใช้ทางเลือกสุดท้ายโดยวิ่งเข้าไปหาคนหน้าดุที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ไอ้โซ เขากำลังมองเหตุการณ์ทุกอย่างนิ่งๆ แต่แล้วคิ้วเข้มก็เลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังวิ่งเข้าไปหา โทษที...ไม่ทันละพี่
ผมวิ่งไปหลบหลังพี่ภู ไอ้ฝูงซอมบี้ที่วิ่งตามหยุดชะงักจนแทบล้มลงไปกองรวมกัน ขนาดพวกมันไม่รู้เรื่องพี่ภูเท่าไหร่เพราะเพิ่งเข้ามาใหม่ยังดูกลัวเขาเลย คิดไม่ผิดจริงๆ…
“พี่เก้า แมนๆ หน่อยดิ” ไอ้เปรมหลอกล่อพร้อมกับที่พวกมันกระจายตัวล้อมผมไว้ช้าๆ
“พวกมึงแมนมากเลยเนอะ วิ่งตามกูเป็นฝูงเนี่ย” ผมด่ากลับด้วยความหงุดหงิดและหมุนตัวโดยดึงเสื้อพี่ภูไว้เมื่อรู้สึกว่าพวกมันเข้ามาใกล้มากเกินไป
“นาทีครึ่ง!”
ไอ้เต๊ะ มึง…
“พี่ภูครับ หลบหน่อยเถอะครับพี่ พวกผมไม่อยากโดนทำโทษ” เด็กคนหนึ่งยกมือไหว้ ท่าทางอยากพุ่งเข้าใส่ผมเต็มที่แต่ยังกลัวพี่ภูอยู่เลยได้แต่ขอร้อง
“อย่านะพี่” ผมเขย่าชายเสื้อคนด้านหน้าเป็นเชิงเตือนและพร้อมจะกอดเอวเขาไว้ทุกเมื่อถ้าคิดจะสะบัดผมออก
“เล่นอะไรกันวะเนี่ย” พี่ภูพึมพำเสียงค่อยก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วถอนหายใจ
เห็นหน้าตาเขาผ่อนคลายผมก็ดีใจนะ แต่เวลานี้ยังไม่มีอารมณ์พูดถึง เพราะถ้าไอ้พวกเด็กเวรไม่โดนลงโทษ คนที่โดนแทนต้องเป็นกูแน่นอน
“พี่ภูครับ ถ้าพี่ไม่ถอย…พวกผมก็ไม่มีทางเลือก” ไอ้เปรมทำใจกล้าก้าวเท้าเข้าใกล้พี่ภูช้าๆ ในขณะที่ผมเกาะเขาแน่นกว่าเดิมเพราะกลัวจะโดนทิ้ง
“อย่าแตะพี่ภูนะพวกมึง” ผมโผล่หน้าออกมาบอกจนพวกมันชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอตั้งสติได้ก็ขยับเข้ามาอีก
“พี่ภูครับ เชื่อผมนะพี่ ทิ้งพี่เก้าไปเถอะ”
“อย่ามาหลอกล่อพี่ภูของกู พวกมึงถอยไปเลย”
“พี่เก้า มานี่มา”
“อย่าแตะ!” ผมตีมือไอ้เปรมที่จะจับพี่ภูแล้วเขย่าตัวคนด้านหน้าให้ถอยตาม “อย่าให้มันโดนตัวนะพี่ เดี๋ยวติดเชื้อโรค ถอยไปเลยไอ้เชื้อโรค!”
“เดี๋ยวๆ พี่ ผมเปรมเอง ไม่ใช่เชื้อโรค”
“อีกสามสิบวิ!” ไอ้เต๊ะตะโกนมาแต่ไกล คราวนี้ไอ้พวกที่ล้อมอยู่ตาโตลุกฮือเข้ามาหา ผมรีบคิดหาแผนการในใจให้มันลากตัวไปไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนแขนแข็งแกร่งของคนที่อยู่ด้านหน้าล็อคคอให้ขยับไปอยู่ข้างๆ
“ถอยไป”
แค่คำสั้นๆ คำเดียวทำให้ทุกอย่างเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว
“หมดเวลา!”
พวกเด็กปีหนึ่งทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้แล้วมองพี่ภูแบบค้อนๆ เป็นเชิงงอนก่อนจะเดินคอตกไปหาพวกปีสองที่ยืนขำรออยู่
“ขอบคุณครับ” ผมจับมือที่พาดคอตัวเองอยู่แล้วเงยหน้ายิ้มให้ แต่เขาแค่ส่งเสียงหึเบาๆ คำเดียวก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง
ไม่เป็นไร...ชอบ
ในขณะที่พี่ภูกำลังมองคนอื่นๆ ทำกิจกรรมร่วมกันด้วยความสนใจ ผมเลือกที่จะมองหน้าเขาแล้วสังเกตดวงตาคู่นั้นเงียบๆ…มันไม่ได้ฉายแววเย็นชาหรือเกลียดชัง แต่กลับเป็นประกายเหมือนกำลังมองอะไรที่ดูน่าสนุกและไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันเป็นสายตาแบบที่ทำให้ผมต้องมองค้างอยู่นาน
อดคิดไม่ได้ว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้พี่ภูได้คุ้นชินกับการเข้าใกล้คนเยอะๆ มากขึ้น แล้วก็ช่วยทำให้เขาเปิดใจมากขึ้นด้วย
ผมรู้ดีว่าเวลามีคนอื่นอยู่ด้วยเขาจะพูดน้อยกว่าเดิมหลายเท่า ที่ไม่พูดไม่ใช่เพราะหยิ่งหรือรำคาญ...แต่เป็นเพราะทำตัวไม่ถูกต่างหาก
ถึงจะดีใจที่ผมได้สิทธิ์พิเศษ แต่ผมก็ยังอยากให้เขามีความสุขมากกว่านี้
“ตั้งแต่เจอผมก็มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ” ผมหัวเราะแล้วพูดอวดขำๆ โดยไม่ได้คาดหวังจะเอาคำตอบ แต่สายตาคมที่เบือนมาสบกลับทำให้นิ่งค้างไปโดยไร้เหตุผล
“ไม่บอก”
เอ้า!
หลังจากหมดกิจกรรมแกล้งเด็กแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำชำระร่างกายรอบเย็น พวกฝั่งปีหนึ่งสองสามตกลงกันว่าจะไม่มีกิจกรรมต่อแล้ว แต่จะนั่งกินเหล้ากันยาวๆ กินไวจะได้เลิกไว พรุ่งนี้จะได้เที่ยวไหว พวกปีสี่ก็จะแยกไปกินที่ที่พักเหมือนกัน แต่ผมว่าไอ้กินไวเลิกไวน่าจะยาก ลองได้กินแล้วคงกินจนหมด ไม่รู้จะเหลือถึงคืนพรุ่งนี้หรือเปล่า
ตอนนี้พวกผมนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในบ้านหลังกลางที่เป็นแหล่งเก็บเหล้า ชุมนุมกันอยู่ยี่สิบเอ็ดชีวิต จริงๆ ก็อยากจะไปมุงกันหน้าลานอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่ายุงมันเยอะจนน่ากลัวจะเป็นไข้เลือดออกน่ะนะ
“มาเล่นไพ่มา” พี่วินผู้ซึ่งหาเรื่องเสียเงินกวักมือเรียก มีอยู่หลายหน่อเหมือนกันที่ไปร่วมวงกับพี่แก แต่ผมรีบโบกมือปฏิเสธเป็นคนแรกเพราะไม่อยากขยับไปไหน
นั่งกินเฉยๆ สบายสุดละ
หลังจากนั่งนิ่งๆ อยู่พักใหญ่คนที่นั่งอยู่ข้างกายผมก็ขยับตัวลุกขึ้น ผมมองตามจนเขาเดินออกไปข้างนอกโดยไม่ได้ถามหรือรั้งอะไรเพราะเห็นอยู่แล้วว่าเขามีสายเข้า แต่รอจนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพี่ภูก็ยังไม่เข้ามา ผมคิดว่าเขาอาจจะกลับที่พักไปแล้วเลยเดินตามออกไปด้านนอก รู้ตัวว่าถือกีตาร์ออกมาด้วยก็ขี้เกียจเอากลับไปคืนแล้ว
ที่บ้านพักก็ไม่อยู่…แล้วพี่ภูหายไปไหน รถก็ยังจอดอยู่นั่น…
ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติให้กลับมาแล้วเพ่งมองไปที่รถออดี้ที่จอดอยู่ไม่ไกลอีกครั้ง พอดูดีๆ ถึงพบว่าคนที่ตามหากำลังยืนพิงหลังรถอยู่
“กินยาหรือยัง” น้ำเสียงเย็นๆ ที่ดูจะดุกว่าปกติทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย คิดว่าถ้าคุยกับภามแล้วเขาจะอ่อนโยนกว่าปกติเสียอีก
“เปิดกล้องแล้วกินยาเดี๋ยวนี้”
ผมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความอึดอัดใจ ถึงจะอยากรู้เรื่องมากขนาดไหนแต่นิสัยแอบฟังก็ไม่ใช่อะไรที่ชอบเท่าไหร่ ยิ่งมานึกว่าเขาอาจจะโกรธก็ยิ่งไม่อยากทำ ผมลังเลใจว่าควรจะเดินกลับไปเงียบๆ หรือทำให้เขารู้ตัวว่าผมได้ยินดี และสุดท้ายเมื่อเห็นมือที่โบกไปมาเพื่อไล่ยุงผมก็ตัดสินใจเลือกทางหลังโดยการดีดสายกีตาร์ในมือเบาๆ หนึ่งที
พี่ภูหันขวับมามองด้วยดวงตาดุดัน ขนาดผมที่ไม่เคยกลัวยังตกใจ แต่วินาทีต่อมาดวงตาคู่นั้นก็อ่อนลง เขาหันกลับไปสนใจโทรศัพท์อีกครั้ง ผมเห็นไม่ชัดนักแต่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดกล้องอยู่ เพียงแต่…
ทั้งที่พี่ภูไม่ได้ใส่หูฟัง แต่ผมยังไม่ได้ยินเสียงภามเลยสักคำ
“ไปนอน” ออกคำสั่งทิ้งท้ายแล้วเขาก็กดตัดสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วพิงรถท่าเดิม พอเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดโอกาสผมก็เดินเข้าไปหาช้าๆ แล้วยืนพิงรถอยู่ข้างๆ
“ผมได้ยินแค่กินยาหรือยัง” ผมเริ่มประโยคสนทนาก่อนจะสังเกตท่าทีของเขาเงียบๆ และเมื่อได้เห็นสายตาเป็นคำถามไม่ได้เจือความโกรธอะไรก็โล่งใจ “แค่อยากให้พี่รู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจเข้ามายุ่ง”
“อืม”
อืมเฉยๆ เองเหรอ แบบนี้มันน่าอึดอัดใจไม่ใช่หรือไง
หลังจากยืนขบคิดกับตัวเองอยู่สักพัก สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกีตาร์ในมือเข้า ไอเดียบางอย่างแวบเข้ามาในหัวโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ผมร้องเพลงให้ฟังนะ” ผมยกกีตาร์ขึ้นแล้วค่อยๆ เกาเป็นทำนองช้าๆ ระหว่างรอคำตอบ และเมื่อได้รับการพยักหน้ารับผมก็เริ่มเปล่งเสียงออกมา
“เธอกลับบอกว่าอย่าพยายาม อย่าพยายามอีกเลย
ให้ฉันโยนทิ้งทุกอย่าง พอสักทีได้ไหม
เธอกลับบอกว่าพยายาม แม้ฉันจะพยายามเท่าไหร่
ทุกอย่างนั้นคือความฝัน ที่ฉันฝันไป
แต่สุดท้ายเธอมองไม่เห็นค่าฉันเลย”[พยายาม : O-Pavee]
“กูบอกตอนไหนว่าอย่าพยายาม”
“ผมก็ไม่ได้จะหยุดพยายามอยู่แล้ว”
“...”
“เห็นมันดราม่าดีเลยเอามาเรียกกระแส”
แล้วก็เอามาทำให้พี่อารมณ์ดีขึ้น
“ไปไกลๆ ตีนกูก่อนจะโดนถีบ”
ผมหัวเราะก่อนจะโยกตัวหลบมือที่ฟาดลงมาแบบไม่จริงจังนัก เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่ดูอารมณ์ไม่ดีตอนแรกแล้วก็รู้สึกดี ถือว่าที่เล่นไปได้ผลตามที่ต้องการ
“นี่...พี่ภู” ผมยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าแต่รู้สึกเหมือนน้ำเสียงจะจริงจังขึ้นเล็กน้อย...คงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่ค้างคาใจเลยเผลอแสดงความเครียดออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ว่า”
“ผม...วุ่นวายกับพี่เกินไปไหม หมายถึง...ทำให้พี่รำคาญหรือเปล่า” ผมหลุบตาลงต่ำด้วยความไม่มั่นใจซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่กำกีตาร์ไว้ออกแรงกำแน่นกว่าเดิมโดยไร้เหตุผล “ผมไม่เคยชอบใคร ไม่เคยคิดจริงจังขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่านิสัยของตัวเองจะสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่ชอบหรือเปล่า”
“ถ้ากูบอกว่ารำคาญ มึงจะไปไกลๆ ไหม”
“ไม่”
“กระต่ายโง่” คนพูดผลักหัวผมแรงๆ แบบที่ชอบทำก่อนจะดีดหน้าผากซ้ำเมื่อผมหันกลับมาหา
“เจ็บนะ”
“คำถามที่มึงถามตอนบ่าย คำตอบของกูคือใช่”
คำถาม…
‘ตั้งแต่เจอผมก็มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ’
ผมเบิกตากว้างก่อนจะรีบเงยหน้ามองคนพูดด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้เห็นสีหน้ามือใหญ่ก็ปิดทับลงมาที่ดวงตาทั้งสองข้างราวกับไม่ต้องการให้ผมมองเห็นเขาในเวลานี้
“คนโง่ที่ไหน...มันจะรำคาญสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจอแต่เรื่องดีๆ วะ”
-------------------