❤ ค่ายสร้างรัก❤
- ปฐมบทก่อนไปค่าย -
“ไปค่ายทำไม?”
...นั่นสิเขาไปค่ายกันทำไมวะ...
คำถามนี้เป็นคำถามที่ประธานค่ายปีนี้กำลังไล่ถามลูกค่ายแต่ละคน ซึ่งประกอบไปด้วยนิสิตตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 ถึงปีที่ 4 รวมถึงพี่เก่าที่จบไปแล้วซึ่งมีนัดรวมตัวปฐมนิเทศก่อนการไปค่าย ส่วนค่ายที่ว่านี่คือค่ายปลายปีของคณะหรืออีกอีกชื่อหนึ่งว่า “ค่ายสร้าง”
...ไปค่ายทำไม...
เหมือนเป็นคำถามง่ายๆ แต่คำตอบของคำถามมีมากมายและอาจจะดูยากเกินกว่าที่จะตอบได้เช่นเดียวกับผมซึ่งนั่งนิ่งเงียบพยายามหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ในตอนนี้ ถ้าหากผมจะตอบมันอย่างสวยหรูก็คงต้องพูดว่าเพราะผมอยากจะไปทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมบ้างก็เท่านั้น แต่หากให้ตอบจากใจจริงผมอยากจะไปค่ายเพราะใครบางคน ใครคนที่ตั้งแต่จำความได้ก็มีมันอยู่ข้างๆ แล้ว ใครที่ทำให้ผมแอบมองมันอยู่ข้างเดียวมาตลอด ใครที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นคนที่ผมอยากปรารถนาอยากให้มันเป็นคนรักด้วย เป็นเหตุผลการไปค่ายที่โคตรเหี้ย แม่งเอ้ย ผมกำลังโลภมากเพราะผมแอบรักเพื่อนสนิทตัวเองอยู่
นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมผมถึงอยากไปค่าย เพราะใครคนนั้นมันอยากไป นี่เป็นความรู้สึกของผมมาตลอดจนกระทั่งเมื่อไม่กี่ชั่งโมงก่อนหน้านี้มันจะไม่ยิ้มระรื่นมาพร้อมกับรุ่นพี่ปีสองผู้ชายหน้าจิ้มลิ้ม นั่นแหละถึงทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าทำไม
‘เขม’ เพื่อนรักที่ผมแอบคิดเกินเลยถึงดึงดันอยากจะไปค่ายครั้งนี้ให้ได้ เพราะเขมมันเป็นแฟนกับ
‘พี่เก้า’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาโครงการค่ายนี้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะกระตือรือร้นในการไปค่ายครั้งนี้ซะเหลือเกิน เพราะนั่นมันหมายถึงเวลาดีๆ ที่จะมันจะได้ใช้ร่วมกับพี่เก้า น่าเจ็บปวดที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขมจะมีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาเขมมันมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด มันทำหน้าผมนิ่งนอนใจและไม่กล้าเผยความในใจออกไป การที่เขมมันพาพี่เก้ามาเปิดตัวก่อนหน้านี้จึงเหมือนฟ้าผ่าฟาดลงกลางใจผม เหมือนจะตอกย้ำว่าต่อให้เขมมันชอบผู้ชาย แต่ผู้ชายคนนั้นมันก็ไม่ใช่ผมอยู่ดี
แม่งเอ้ย เจ็บสัด!!!
ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอพร้อมกับกล้ำกลืนหยาดน้ำตาใสๆ ที่กำลังเอ่อคลอรอบดวงตา ผมแม่งกำลังอ่อนแอสุดๆ เมื่อมองไปข้างหน้าเห็นเขมกับพี่เก้าหยอกล้อกันอยู่ ภาพนั้นคนทั่วไปคงจะมองแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่ผมรู้ว่านั่นคืออาการเย้าแหย่กันในฐานะของคนรัก
‘แม่งเอ้ย ไปรักกันไกลๆ ได้มั้ย ไปรักกันไกลๆ กูไม่อยากเห็น’ ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าคนทั้งคู่ให้ตะลึงงัน แต่สุดท้ายได้แต่กำหมัดแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าเนื้อปวดแปลบ แต่เพราะใจมันด้านชาความเจ็บเหล่านั้นมันถึงแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ไหวมั้ยมึง?”
ไหวสิ ผมต้องไหว ถึงไม่ไหวแล้วจะทำยังไงได้จะเข้าไปอาละวาดจับทั้งคู่แยกกันอย่างนั้นเหรอ ทำแบบนั้นผมคงเป็นแค่ตัวอิจฉาเวลาที่เขาสมหวังกันสินะ
“กูไหว”
“มึงแน่ใจเหรอวะแรก”
ผมชื่อ
‘แรก’ ครับมาจากชื่อเต็มๆ ที่ชื่อ
‘แรกพบ’ ย่าเคยเล่าให้ถึงที่ไปที่มาของชื่อให้ฟังว่าพ่อกับแม่ตกหลุมรักกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันจนมีผมเป็นโซ่ทองคล้องใจเลยตั้งชื่อผมไว้เป็นอนุสรณ์ความรักของท่านทั้งสองว่า ‘แรกพบ’
“แน่ใจนะ?”
“อืม”
ผมพยักหน้าช้าๆ แทนการตอบรับคำตอบของ
‘เบิร์ด’ เพื่อนสนิทอีกคนที่ล่วงรู้ความรู้สึกที่ผมมีต่อเพื่อนรักที่หักใจผมจนอกเดาะ เขม ผม และเบิร์ด เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเพราะบ้านอยู่ระแวกเดียวกัน เรียนมัธยมที่เดียวกันมิหนำซ้ำพอเข้ามหาวิทยาลัยยังเสือกสอบติดคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันอีก เรียกได้ว่าตลอดเวลาช่วงชีวิตวันรุ่นผมมีเขมกับเบิร์ดเคียงข้างมาตลอด
พวกเราสนิทสนมกันมากจนเบิร์ดมันจับความรู้สึกที่ผมมีต่อเขมได้ ผิดกับคนที่ผมแอบชอบที่มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยซ้ำผมถึงต้องซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในใจมาตลอด ผมมีแค่เบิร์ดที่มันเป็นคนคอยให้กำลังใจและปลุกปลอบผมมาตลอด แล้วเป็นยังไงล่ะ สุดท้ายรักข้างเดียวของผมก็มีมันต้องพังทลายลงเมื่อเขมมันพาพี่เก้ามาแนะนำตัวกับพวกผมว่าทั้งคู่กำลังคบหากัน
...สุดท้ายผมก็เป็นได้มากที่สุดก็แค่ ‘เพื่อน’ มัน...
“ไปค่ายทำไมจ๊ะน้องเบิร์ด”
คำถามนี้วนมาใกล้ตัวผมมากขึ้น เบิร์ดซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันถึงกับสะดุ้งโหยง จนคนถามซึ่งคือประธานค่ายแอบทำตาเล็กตาน้อยใส่ ไม่แปลกใจเพราะ
‘พี่ปิงปอง’ ประธานค่ายคือผู้ชายหัวใจสาวรูปลักษณ์ภายนอกคือผู้ชายร่างเล็กตัวขาวผ่องดูตุ้งติ้งท่าทางไม่ใคร่จะแมนสักเท่าไหร่ ยิ่งกิริยากำลังทำตาเชื่อมใส่เบิร์ด โดยที่ไอ้หุ่นนักกีฬาอย่างเพื่อนผมได้แต่ยิ้มเฉยอวดฟันขาว
เบิร์ดมันเป็นผู้ชายตัวสูงล่ำเพราะเล่นกีฬากลางจ้างมาตั้งแต่เด็ก ทั้งใบหน้ายังคมคายดูเป็นสปอร์ตแมน ผิวสีเข้มกล้ามเนื้อตรงแขนที่โผล่พ้นชายเสื้อนิสิตแขนสั้นออกมาดูล่อตาล่อใจทั้งคนถามและรุ่นพี่ผู้หญิง บุคลิกมันคือชายแท้อย่างไม่ต้องสงสัย ต่างจากเขมที่เป็นผู้ชายเจ้าสำอางจะเล่นกีฬากลางแจ้งทีก็กลัวผิวเสีย หมอนั่นเลยหันไปเอาดีด้านดนตรีมากกว่ายิ่งส่งเสริมให้เขมมันดูอปป้าเกาหลีจนสาวๆ คลั่งไคล้ ผมจึงภูมิใจนิดๆ ที่เพื่อนทั้งสองมันเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอจากรุ่นพี่ตั้งแต่เข้ามาเรียนใหม่ๆ แล้ว
“ว่าไงจ๊ะน้องเบิร์ด”
“ผมเหรอครับ?”
เบิร์ดชี้นิ้วใส่ตัวทำหน้ายิ้มๆ “ผมยังไม่เคยสร้างอะไรสักอย่างมั้งครับเลยอยากจะลองไปค่ายดู”
“ตอบดี...สนใจอยากสร้างครอบครัวกับพี่มั้ยจ๊ะ”
พี่ปิงปองพูดเองก็เขินเองเลยเรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนๆ และลูกค่ายรอบทิศ ส่วนคนที่ถูกจีบซึ่งๆ หน้าดันหัวเราะขำๆ ผสมโรงไปด้วย
“พี่พูดจริงป่ะเนี่ย ถ้าผมจริงจังขึ้นมาแล้วพี่จะหนาวนะ” เบิร์ดสวนกลับตามสไตล์คนชอบแหย่
“อุ้ยพี่อยากหนาว”
รุ่นพี่ผู้หญิงพูดขึ้นท่าทางเอาจริงจนพี่ปิงปองค้อนตาคว่ำ
“ไปน้องเบิร์ดไปลงเสาเรือนสร้างบ้านเรากัน”
พี่ปิงปองทำท่าจะเดินมาคว้ามือเบิร์ดมันเดี๋ยวนั้น เสียแต่เพื่อนแกคว้ามือเอาไว้ซะก่อน เสียงหัวเราะขบขันจึงดังลั่นห้องเพราะทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์กันอย่างขำๆ เนิ่นนานกว่าที่ทุกคนจะสงบลงเหลือแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“แล้วน้องแรกล่ะจ๊ะ”
“.......”
“แรก”
ผมมาสะดุ้งตอนที่เบิร์ดสะกิดแขนเบาๆ เลยได้สติก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นทุกคนต่างหันมามองผมอย่างสนอกสนใจ
“ว่าไงจ๊ะ”
ว่าไงอะไรวะ ผมสบตากับเบิร์ดมันเลยบุ้ยปากไปทางไปพี่ปิงปองเสมือนให้ผมตอบคำถาม
“ผม”
...ไปค่ายทำไมน่ะเหรอ...
ไปทำไม ไปเพราะเขม แค่อยากอยู่ใกล้ๆ มันช่วงปิดเทอม เหอะ ดูเป็นเรื่องที่สิ้นคิดน่าดู ผมแม่งไม่มีจุดหมายใดๆ นอกจากตามผู้ชายไปค่ายงั้นเหรอ แม่งเอ้ยโคตรน่าสมเพช
“ขอโทษครับ”
ผมยิ้มเจื่อนแล้วผุดลุกขึ้นก่อนจะก้มหน้าเป็นเชิงขอโทษเจ้าของคำถาม แล้วเสียมารยาทเดินหนีออกมา ผมไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหนเพราะไม่ได้มองหรือจดจำจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกที่ตามมาติดๆ ของเบิร์ดมัน ผมเลยต้องจำใจหยุดชะงักปลายเท้า
“มึงจะไปไหน?”
“กูไม่รู้”
ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะยังไม่รู้เหมือนกันว่าจุดมุ่งหมายของผมคือที่ใด รู้แค่อยากเดินเลี่ยงออกมาเพราะไม่มีคำตอบให้พี่ปิงปอง เบิร์ดมันถอนหายใจก่อนจะรวบผมไปกอดแล้วลูบหลังเบาๆ
“มึงเป็นอะไรวะแรก?”
“กูไม่อยากไปค่ายแล้ว”
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมยังใจไม่แข็งพอที่จะเห็นเขมกับพี่เก้าแสดงความรักกันทุกวัน...ผมไม่อยากเห็น...
“ทำไมวะ...เพราะไอ้เขมงั้นเหรอ”
“แรก”
“ตอนนี้กูไม่อยากไปแล้ว”
“แรก”
“.......”
ผมหรุบตามองพื้น
“จะหนีทำไม ในเมื่อมันคือความจริงที่มึงต้องเจอ หนีให้ตายมึงก็ต้องเจอมันอยู่ดี”
“กู” ผมทำเสียงสั่น “กูยังไม่พร้อมจะเจอมัน”
“อย่าหนีเลยมึง ไปค่ายกัน ไปเผชิญหน้ากับมัน”
ผมส่ายหน้า
“ไปเผชิญความจริงเถอะแรก มึงจะได้ตัดใจจากมันได้สักที ไปให้เห็นกับตา กูรู้ว่ามึงจะเจ็บมาก แต่ถึงยังไงแผลสดก็ต้องใส่ยา มึงจะปล่อยให้มันปวดและเป็นหนองต่อไปเหรอ ไปเจอยาแรงเถอะเชื่อกูมึงจะได้หายดีสักที” เบิร์ดทำหน้าจริงจัง
“มึงก็รู้ว่ากูไปค่ายเพราะมัน กูไม่เคยอยากไปที่ทุรกันดารแบบนั้น กูไม่อยากจะเสียสละเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วยซ้ำ”
ผมโพล่งออกมาราวกับว่าได้ระเบิดทุกความรู้สึก พูดจบถึงกับหอบหายใจไม่ทันแต่พอพูดออกไปแล้วแม่งกลับไม่รู้สึกดีอย่างที่คิด
“เจ็บมั้ย”เบิร์ดมองผมอย่างเห็นใจ
“อะไร?”
“พูดให้ร้ายตัวเองแบบนั้น มึงเจ็บบ้างมั้ย?”
ผมนิ่งอึ้งเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายด้วยกลัวว่าเบิร์ดจะล่วงรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมามันจริงเพียงครึ่งเท่านั้น นอกจากเขมแล้วผมอยากลองไปค่ายดูสักครั้ง อยากลองไปทำประโยชน์เพื่อคนบ้าง เขมมันเป็นคนจุดประการก็จริง แต่ผมอยากจะลองเติมไปความฝันนั้นดูสักครั้งโดยมีเขมอยู่เคียงข้างกัน
แต่วันนี้ วันที่เขมมันคนอื่นยืนเคียงข้างแล้ว
“ช่างเถอะถึงยังไงกูก็ไม่อยากไปแล้ว ปิดเทอมทั้งทีนอนอยู่บ้านมีความสุขจะตาย ไม่รู้จะไปค่ายทำไมให้ลำบาก ถ้ามึงอยากไปก็ไปเถอะ ต่อให้พูดยังไงกูก็ไม่พาตัวเองไปลำบากในที่ทุรกันดารแบบนั้นหรอก”
ไม่อยากไปงั้นเหรอ แล้วมึงจะพูดไปร้องไห้ไปทำไมวะ แม่งเอ้ย
ผมไม่รู้หรอกเบิร์ดจะทำสีหน้ายังไงตอนที่ผมเดินหนีออกมา รู้แค่ว่าสุดท้ายผมต้องแอบมาร้องไห้เงียบๆ ทำไมจะไม่อยากไปล่ะ แต่ถ้าต้องทนเห็นภาพของเขมกับพี่เก้าในค่าย ผมคงทรมานใจสุดๆ
“โครม”
ผมตกใจสะดุ้งโหยงตอนที่เดินมานั่งหลบมุมข้างตึกแล้วเสียงดังโครมครามนั่นดังขึ้นในระยะประชิด มือก็เผลอกำผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่ผมรักที่สุดเพราะเป็นของเขมที่เคยให้ไว้ แต่เจ้าของมันจะลืมเลือนไปแล้วตามกาลเวลา
“เฮ้ย”
ผ้าเช็ดหน้าในมือลอยวืดออกจากมือด้วยแรงลม เพราะมันบางเบามันถึงลอยละลิ่วลำบากให้ผมวิ่งไล่ตามแต่เหมือนถูกแกล้งมันถึงยิ่งลอยสูงขึ้นไปอีก
แม่งเอ้ย คนยิ่งกำลังเฮิร์ทๆ ผมแบะปากแต่ขาก็วิ่งตามผ้าเช็ดหน้าเจ้ากรรมไม่หยุด กำลังลมเริ่มแผ่วเบาลง สุดท้ายมันกำลังลอยลงพื้น ผมเผลอยิ้มดีใจก่อนจะยื่นมือไป
...เหยียบ...
เหี้ย
ผมตาค้างอีกไม่ถึงคืบจะก้มคว้ามันมาได้แต่เท้าใครคนหนึ่งกลับเหยียบมันจนแนบกับพื้น ผ้าผืนสีขาวถูกส้นรองเท้าซึ่งเปื้อนโคลนเหยียบอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“นี่”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเท้าทันทีแต่ก็ต้องหยีตาจากแสงจ้าเพราะมันยืนอยู่เหนือแสงทำให้ผมเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเอาซะเลย
“จะขอบคุณเหรอ?”
อีกฝ่ายเปิดปากได้ยินเสียงทุ้มเนิบนาบดูรำคาญหน่อยๆ
ขอบคุณที่มึงเหยียบผ้าเช็ดหน้ากูเนี่ยนะ อีเหี้ย กูจะคว้าตอนมันใกล้ตกได้อยู่แล้วเชียว แต่ไอ้หมอนี่ดันเหยียบมันติดพื้น ช่วยให้กูไม่ต้องไล่ตะครุบให้ยากเลยเนอะ ถุยยย
“เหี้ย” ผมสบถอย่างมีอารมณ์
“หมายถึงหน้ามึงอ่ะเหรอ”
อ้าวสัด ผมผุดลุกขึ้นหมายจะเงยหน้ามองมันอีกครั้งแต่ไอ้แสงบ้าที่ส่องมาทางนี้พอดี ทำให้ผมต้องเบี่ยงหน้าหนีอีกครั้ง เชี่ยเอ้ย ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่สีผิวมันก็มองออกว่าคล้ำไม่น้อย
“หน้ากูขาวกว่าหน้ามึงแล้วกัน”
ผมสวนกลับไปจากที่เศร้าๆ นี่ ถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไป ไม่รู้สิความกวนตีนของอีกฝ่ายทำให้ผมอย่างบวกไอ้ผู้ชายตรงหน้านี่สักที ไอ้เปรตเอ้ย มึงแดกเสาไฟฟ้าเป็นอาหารเหรอ ถึงจะเดาสีหน้ามันไม่ได้แต่ผมก็เห็นรูปลักษณ์ภายนอกของมันและคาดเดาได้ว่ามันสูงและหน้าเป็นส้นตีนมาก
“แต่ส้นตีนกูขาวกว่าหน้ามึง” อะไรนะ
ผมอ้าปากค้าง รู้สึกตัวสั่นเพราะความโกรธแต่ยังไม่ทันได้สวนกลับ กลุ่มมันสองสามคนก็เดินมาทางนี้แล้วเอ่ยเรียกชื่อมัน
“เฮ้ยกัน”
“มึงทำอะไรอยู่ตรงนั้นวะกัน”
อ่อ ชื่อกันงั้นเหรอ...ไอ้เหี้ยกัน
“มึงไอ้..”
มันไม่รอเพื่อนเรียกซ้ำสองแต่กลับขยับตัวเร็วๆ ไปตามเสียงเรียกนั่นทันที ไม่พอยังขยี้ผ้าเช็ดหน้าผมอีกรอบจนเปื้อนโคลนเกือบทั้งผืน ผมยืนอึ้งอยู่พักนึงจนมันเดินลับตาไปพร้อมกลุ่มเพื่อน ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับความโกรธเพราะไอ้ตัวต้นเหตุมันหายหัวไปนานแล้ว ก่อนจะคีบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดที่เขมเคยให้ขึ้นมาพิจารณา ผ้าผืนนี้จะเอาไปซักยังไงก็สะอาดเหมือนใหม่อยู่ดีแต่ถึงยังไงมันก็ลบเลือนไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งไอ้เหี้ยนั่นได้ฝากรอยเท้าเอาไว้ และผมคงทำใจไม่ได้ที่จะเอามันมาซับหน้าอีก
‘แต่ส้นตีนกูขาวกว่าหน้ามึง’
ไอ้เหี้ยกัน
ผมกำผ้าเช็ดหน้าแน่นเมื่อได้ยินคำพูดกวนตีนจากปากของมัน ถึงยังไงก็ต้องตัดใจเพราะอย่างนั้นผมควรตัดใจทิ้งของซึ่งมันเคยให้ไว้ดูต่างหน้านี่ด้วย เออ กูทิ้งก็ได้ ผมกำหมัดแน่นนึกสาปแช่งไอ้เหี้ยนั่นจนเผลอลืมว่าตัวเองกำลังเศร้าเพราะอกเดาะมาใหม่ๆ
.
.
.
“ยิ้มหน่อยสิ”
เบิร์ดมันแซวขำๆ เมื่อสุดท้ายต่อให้ปฏิเสธหนักขนาดไหน ผมก็มานั่งทำหน้าบึ้งอยู่บนรถบัสสองชั้นที่เตรียมออกเดินทาง ค่ายสร้างครั้งนี้จัดขึ้นที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือเป็นเวลานานกว่าสามสัปดาห์ที่พวกเราชาวค่ายต้องไปกินไปนอน ไปบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านที่นั่น ผมพยายามนิ่งเฉยจนถึงวันเดินทางซึ่งถูกเบิร์ดไปลากออกบ้านได้ด้วยการสนับสนุนจาก “คุณเรียม” ย่าผู้ทันสมัยเจ้าของสวนกล้วยไม้แถวฝั่งธนฯผู้ปกครองเพียงคนเดียวของผม ย่าผมเห็นสมควรว่าผมควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากกว่าการอยู่บ้านเฉยๆ ช่วงปิดเทอมเลยมัดมือชกยัดเยียดผมมากับไอ้เบิร์ด
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นเป็นระยะพร้อมเครื่องดนตรีจำพวกกลองและกีต้าร์กำลังถูกขนขึ้นรถเพื่อสร้างความบันเทิงตลอดการเดินทาง สีหน้าลูกค่ายแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าผมไม่แบกเอาเรื่องหนักอกหนักใจไปด้วย
“เอาล่ะเช็คชื่อทุกคนแล้ว ถ้าอย่างนั้นล้อจะหมุนพร้อมเดินทางนะจ๊ะทุกคน”
เสียงประกาศผ่านโทรโข่งในมือพี่ปิงปองดังขึ้น เมื่อทุกคนประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว
“ระหว่างนี้มีแจกของว่างรองท้องกันด้วยนะ”
“เย่ๆ” เสียงตบมือดีใจของชาวค่าย
“ในส่วนของชะนีตัวน้อยถ้ากินไม่อิ่มให้อดทนเพราะจะแวะปั้มให้ตลอดทาง แต่สำหรับผู้ชายหน้าดีให้เดินพาเลทมาขอเบิ้ลกับพี่ได้ทุกเวลา จะแจกแซนวิชพร้อมหนึ่งจุ๊บสำหรับคนกันเอง”
“โห่ๆๆๆ”
“สิบมาตรฐาน”
“ไม่ลำเอียงเลย”
ลูกค่ายตะโกนโห่โหวกเหวกชวนขบขัน
“รำคาญเสียงชะนีค่ะ กรุณาเงียบหน่อยและขอเสียงผู้ชายทั้งหลายที่อยากได้พี่ไปนอนด้วยคืนนี้ ฮิ้ววว”
เงียบกริบจนกลุ่มรุ่นพี่ขำก๊าก ประธานค่ายหน้ามุ่ยแล้วมองตรงมาที่เบิร์ดก่อนจะแจกมินิฮาร์ทให้ เบิร์ดมันเลยยิ้มขำ แต่รุ่นพี่ผู้หญิงแถวนั้นดันทำมือยืนออกมาคว้ามินิฮาร์ทพี่ปิงปองเอาไว้แล้วทำท่าโยนลงพื้นก่อนจะกระทืบซ้ำ เรียกเสียงขบขันจากทั้งคัน
“ชะนีคือมหันตภัยร้ายของผู้ชายทั้งโลก”
“ฮ่าๆ”
“เรียนเชิญให้ผู้ชายทั้งหลายหันเหหัวใจมาทางนี้ค่ะ” พี่ปิงปองโบกไม้โบกมือเหมือนนางงาม ก่อนจะถูกกลุ่มรุ่นพี่ปีสามซึ่งเป็นชั้นปีเฮดหลักที่รับผิดชอบการทำค่ายครั้งนี้ล็อคคอลากไปข้างหลัง
“แอร้ย อีพวกบ้า”
ทุกคนหัวเราะขบขันท่าทางตลกโปกฮาของพี่ปิงปอง
“ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดการเดินทาง Let’s go อยากจะโผไปซบอกผู้ชาย”
เมื่อพี่ปิงปองพูดจบเสียงทุกคนบนรถก็โห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน ผมได้แต่ถอนหายใจเหม่อมองไปนอกหน้าต่างตอนที่รถบัสค่อยๆ ขับเคลื่อนไปเบื้องหน้า เขมกำลังถือถุงของว่างมาทางนี้แต่ผมเห็นก่อนจึงแกล้งหลับตาเพราะยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยด้วย
“อ้าวแรกหลับเหรอ?”
“อืม” คนตอบคือเบิร์ดซึ่งนั่งติดกับผม
“มันไม่สบายรึเปล่าวะ”
“ไม่รู้วะมาถึงกูก็เห็นมันนอนหลับตานิ่งแล้ว”
ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งคู่ เกือบสะดุ้งเมื่อฝ่ามือหนาของเขมมันทาบที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา
“ตัวก็ไม่ร้อนที่หว่า สงสัยตื่นเช้าไปเลยง่วง”
เขมมันหัวเราะขำ แล้วแม่งเลื่อนมือจากหน้าผากมาลูบศีรษะผมเบาๆ ผมถึงกับใจสั่นก็เพราะอย่างนี่ไง เพราะมันดีกับผมแบบนี้ไง ผมถึงรักมันและตัดใจจากมันได้ยากลำบากขนาดนี้
“ฝากมึงดูมันด้วยนะ ถ้าไม่ดีขึ้นบอกกู กูเตรียมยามาเผื่อมันด้วย แรกมันยิ่งกระหม่อมบางโดนอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายแล้ว”
หยุดได้มั้ย อย่าใส่ใจกู มึงยิ่งทำกูยิ่งเจ็บ
“เออเดี๋ยวกูดูให้”
“อืม ฝากด้วย”
มันเดินกลับไปแล้ว ผมจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไป
“อ้าวมึงตื่นแล้วเหรอ” เบิร์ดทัก “เมื่อกี้ไอ้เขมมันเอาของว่างมาให้”
“อืม”
“แล้วมึงเป็นไงวะ เห็นนอนเงียบเลย”
“กูแค่ง่วง”
“เออถ้าไม่สบายรีบบอกกูนะ เมื่อกี้ไอ้เขมมันดูมึงรอบนึงแล้ว มึงดูเป็นห่วงมึงน่าดู” ผมหน้าซีดจนเบิร์ดชะงักไป มันลูบหัวผมเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“กูขอโทษวะแรก ปากกูมันไม่ดี”
“กูไม่เป็นไร”
เบิร์ดพยักหน้าแล้วหันไปปรับเบาะนอนราบแล้วเสียบหูฟังตัดขาดจากโลกภายนอก ส่วนผมได้แต่มองไปยังเขมกับพี่เก้าที่นอนซบกันอย่างเปิดเผย
เชี่ยเอ้ย นอนกันดีๆ ไม่เป็นรึไงวะ พิการเหรอถึงได้ทำตัวเหมือนไม่มีกระดูกกระเดี้ยวซบกันขนาดนั้น
ภาพนั้นแม่งทำเอาผมจุกในอกจนน้ำตาแทบรื้อออกมาแต่ยังหยุดตัวเองทัน ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศข้างนอกเต็มไปด้วยตกรามบ้านช่องมากมายบ่งบอกถึงความเป็นเมืองหลวงที่ถึงแม้จะเช้าแค่ไหน บนท้องถนนก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนและรถรามากมาย ไม่นานหลังจากนั้นภาพบรรยากาศสองข้างทางได้เปลี่ยนจากตึกสูงเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ บ้านเรือนที่เห็นเริ่มห่างกันมาขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งภาพความวุ่นวายและความสะดวกสบายของเมืองใหญ่ไว้เบื้องหลัง และมุ่งหน้าสู่เส้นทางต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ
Talk. เปิดเรื่องใหม่แนวรักเกิดตอนไปค่ายนะ ฮ่าๆๆๆ เอาใจช่วยน้องแรกด้วย ถถถถถ
ปล.เรื่องนี้ไม่ดราม่านะจ๊ะ เน้นฮาไปวันๆ ฮ่าๆๆๆ
ฝากคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า สำหรับใครที่จะไปหวีดในทวิตติด #ค่ายสร้างรัก ให้ด้วยนะคะ
