- ไปค่ายตอนที่สาม : พี่ปืน -
เช้านี้หลังจากชาวค่ายกินข้าวเช้าซึ่งได้อานิสงค์จากกลุ่มเจ่ตื่นแต่ดึกมาทำให้เพราะยังไม่มีการจัดเวรทำอาหารแต่ละวัน หลังจากนั้นพี่ปิงปองและพี่ต้องก็นำทีมแยกเป็นสองกลุ่มเพื่อไปทำความรู้จักชาวบ้านตามบ้านในช่วงเช้า ตลอดเส้นทางตามไหล่เขาที่ชาวบ้านปลูกบ้านพัก ผมสังเกตเห็นคนที่นี่ต่างออกมาทำกิจกรรมยามเช้า ผ่านบ้านไหนแทบทุกบ้านก็เรียกพวกเราให้กินข้าวเช้าด้วยกันตลอดทาง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้พบเจอทำเอาเช้าวันนี้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
พี่ปืนและแก๊งโจรดูจะเป็นที่รู้จักของชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือนที่เดินผ่าน คงไม่แปลกอะไรเพราะได้ยินว่ากลุ่มพี่ปืนเขามาฝังตัวอยู่ที่นี่และทำความรู้จักกับชาวบ้านเกือบสัปดาห์ก่อนที่ชาวค่ายจะมาถึง ดังนั้นทั้งสี่คนจึงถูกเอ็นดูเป็นพิเศษทั้งได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นลูกเป็นหลานของคนที่นี่จริงๆ
พี่ปิงปองที่นำทีมกลุ่มนี้พาพวกเรามาแวะร้ายขายของชำแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของเป็นหญิงม่ายมีลูกสองคน เป็นเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งและเด็กผู้ชายหน้ากลมเจ้าของช่อดอกไม้ที่ให้ผมเมื่อวาน
“อ้ายครับ”
เด็กน้อยร้องดีใจวิ่งมาเขย่ามือ ผมเลยย่อตัวลงนั่งยองๆ คุยกับเด็กน้อย
“สวัสดีตอนเช้าครับหนุ่มน้อย”
“อ้ายครับ อ้ายกิ๋นข้าวเจ๊ามาละก๋า เอ่อกินข้าว เค๊าะ หยังมาอู้ยากป่ะล้ำป่ะเหลือ” (พี่ครับ พี่กินข้าวเช้ามารึยังครับ เอ่อกินข้าว ฮ่วยพูดยากจัง)
เด็กน้อยเกาหัวยิกๆ สีหน้ายุ่งยากใจ ผมยิ้มเอ็นดูกับท่าทางพูดภาษากลางปนภาษาพื้นเมืองดูสับสน เด็กหนุ่มหน้ากลมตรงหน้าพยายามสื่อสารกับผมเป็นภาษากลางทั้งที่เจ้าตัวดูจะไม่ถนัดทำให้ผมนึกเอ็นดู
“พูดตามที่เราถนัดเถอะ”
“อ้ายหยั๋งมาใจ๋ดี เปิ้นจะถามอ้ายว่า อ้ายกิ๋นข้าวเจ๊ามาละก๋า ถ้าอ้ายบ่ะได้กิ๋นเตื้อ มากิ๋นตวยกั๋นนี้แล่” (พี่ใจดีจัง ผมจะถามพี่ว่าพี่กินข้าวเช้ามารึยัง ถ้ายังกินข้าวด้วยกันสิครับ)
ผมยิ้มแหยเมื่อถูกภาษาคำเมืองรัวใส่โดยไม่ทันตั้งตัว จะว่าฟังไม่ออกก็ไม่เชิงเพราะสังเกตจากท่าทางแล้วเด็กน้อยเหมือนจะชวนผมทำอะไรสักอย่าง
“อะไรนะครับ?”
“กิ๋นข้าว”
“อ๋อ” ผมทำหน้าเข้าใจตอนที่เด็กน้อยทำมือเหมือนจะตักข้าว
“พี่ทานมาแล้วครับ”
ถึงแม้จะกินไปแค่นิดเดียวเพราะกินไม่ลงก็เถอะ ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าจะเรียกว่าประชดหรืออะไรก็แล้วแต่ พอเห็นเขมกับพี่เก้าหยอกล้อป้อนข้าวกันแต่เช้า ความอยากอาหารก็แทบไม่มี สู้ฝืนทนกินไปได้ไม่กี่คำก็จำต้องวางมือ เลยได้แต่กล่าวขอโทษกับข้าวฝีมือเจ่ๆ ที่ทำอย่างสุดฝีมือในใจ
พอบอกว่ากินข้าวเช้าแล้วเพื่อนต่างวัยที่ผมได้รับน้ำใจตั้งแต่วันแรกที่มาถึงก็อุตส่าห์ยื่นลูกผมในมือให้อีก ความใสซื่อน่าเอ็นดูทำให้ผมลืมเรื่องเมื่อเช้าไปได้ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ผมนั่งหยอกกับน้องจนเพลินโดนที่ไม่รู้เลยว่าภาพความสนิทสนมของผมกับเด็กน้อยกำลังเป็นที่สนใจของใครบางคน
หลังจากใช้เวลาตลอดช่วงเช้าพบปะพูดคุยกับชาวบ้านไปสักพักใหญ่ พอสายๆ ชาวค่ายพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มใหญ่ก็เริ่มช่วยกันเตรียมพื้นที่ปรับหน้าดินเพื่อเตรียมสำหรับการทำสนามกีฬา สนามกีฬาที่ว่าเป็นสนามกีฬาไว้ใช้สำหรับเล่นกีฬากลางแจ้งเนื่องจากสนามเก่าเป็นพื้นดินธรรมดาที่ปรับให้เป็นพื้นเรียบโดยใช้วิธีการตีเส้นโดยเอาปูนขาวโรยเพื่อแบ่งเส้นให้ชัดเจนเท่านั้น
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงอากาศโดยรอบค่อนข้างร้อน ทั้งไอแดดส่องลงมาลามเลียผิวกาย ผมชะงักมือที่ถือจอบขุดดินเพื่อปาดเหงื่อที่ไหลย้อยเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ขยับปกเสื้อคลายร้อนเป็นทิวแถว ชาวค่ายทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน ไม่เว้นแม้แต่เด็กน้อยหน้ากลมที่ใช้จอบอันเล็กของตัวเองขุดดินช่วยทั้งที่ทำตั้งนานดินยังไม่ขยับเลย ผมเห็นแล้วนึกขำจนรีบยกมือถือขึ้นมากดบันทึกภาพเรียกรอยยิ้มนี้เอาไว้ทันที แต่เพียงแค่เงยหน้าขึ้นกลับรู้สึกวิงเวียนปวดศีรษะกับอาการแสบที่ท้องเลยทำให้ผมถึงบางอ้อว่าตัวเองคงจะเริ่มหิวมื้อเที่ยงซะแล้ว
ผมสะบัดศีรษะไปมาแต่ภาพซ้อนทับเบื้องหน้าก็ยังไม่หายไป ตรงกันข้ามกลับรู้สึกร้อนวูบวาบขณะที่มือก็เริ่มเย็นเฉียบ เหงื่อที่ไหลโทรมกายทำให้หายใจเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนที่สติจะดับวูบผมเห็นเงาของใครบางคนถลามาตรงหน้าแล้วโอบกอดผมเอาไว้ เสียงรอบกายอื้ออึงจับใจความไม่ได้ ผมรู้แต่ว่าหน้าอกแข็งแรงของใครคนนั้นทำให้นึกถึงฝันดียามค่ำคืนที่ผ่านมา
“ตายห่าน้องเป็นลม”
.
.
“เมื่อเช้าแรกมันไม่ค่อยกินข้าวครับ อาจจะหิวจนเป็นลม”
“นั่นสิวันนี้แดดแรงด้วยน้องอาจจะเป็นลมแดด”
“........”
“น่าสงสารดูซิหน้าซีดเผือดเชียว”
เสียงผู้คนมากมายพูดจากที่ไกลๆ ทำให้ผมพยายามเปิดเปลือกตามองหาต้นกำเนินของเสียงแต่พยายามอยู่นานก็ทำได้แค่ขยับเปลือกตาไปมาเท่านั้น
“เมื่อเช้าก็เห็นกินข้าวไปนิดเดียว หรือว่าอาหารไม่ค่อยถูกปากน้องอ่ะ เห็นกินไปไม่กี่คำเองพอมาทำงานหนักๆ เลยไม่ไหว”
“นั่นสิพี่”
เสียงบทสนทนาที่คุ้นหูระหว่างพี่ปิงปองกับเบิร์ดดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระตุ้นให้ผมเริ่มขยับตัวหลังจากที่นอนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ผมหรี่ตามองภาพพร่าเบลอเบื้องหน้า
“หิวจนเป็นลมงั้นเหรอ”
เสียงทุ้มของบุคคลที่สามดังขึ้นอย่างราบเรียบ
“คงจะอย่างนั้น” ใครสักคนตอบทำให้ผมเริ่มขยับตัวไปมาเรียกความสนใจจากทุกคนที่อยู่ระหว่างบทสนทนาอันเคร่งเครียด
“น้องแรกเป็นยังไงบ้าง?”
“ไหวมั้ยมึง”
พี่ปิงปองกับไอ้เบิร์ดปราดเข้ามาประคองอย่างรวดเร็ว ผมส่ายหัวไล่ความมึนงงและพยายามเรียกสตินึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมมองไปรอบๆ จำได้ว่าก่อนหน้านี้กำลังขุดดินอยู่นี่หว่า
..ฉิบหายแล้ว..
..นี่ผมเป็นลมเหรอวะ แล้วไม่ใช่เป็นลมธรรมดาด้วยเสือกเป็นลมคากองดินอีกต่างหาก
...ห่าเอ้ย..
“น้องแรก”
พี่ปิงปองทำหน้าเครียดผิดคาแรคเตอร์จนนึกอยากแหย่ แต่สีหน้าพี่แกดูเป็นกังวลผมเลยไม่กล้าเล่น
“ครับ”
“ดีขึ้นมั้ยรู้สึกว่าเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วครับ ว่าแต่เอ่อ ผมคงไม่ได้เป็นลมคากองดินใช่มั้ยครับ” ถามเพื่อความแน่ใจว่าผมคงไม่ถึงกับทำอะไรน่าอายขนาดนั้น
“หน้าเกือบจูบดินเลยว่ะ ดีว่าพี่ปืนแม่งคว้าไว้ทัน ไม่งั้นหน้ามึงแหกแน่”
..อะ อะไรนะ..
ไอ้พี่ปืนน่ะเหรอจะช่วยผม ไม่มีทางอ่ะ ผมสะบัดหน้าไปมาพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด
“หิวจนเป็นลมล่ะสิมึง”
“ก็เอ่อ”
ถึงกับเก้อเขินเพราะสิ่งที่ไอ้เบิร์ดพูดมันตรงทุกอย่าง พอนึกถึงแล้วท้องก็ดันร้องขึ้นมาจนพี่ปิงปองหัวเราะ
“พี่มีขนมปังอ่ะเอาไปกินก่อน” พี่ปิงปองยื่นขนมในมือให้ “กับข้าวเมื่อเช้าไม่ถูกปากรึเปล่าพี่เห็นเราไม่ค่อยกิน”
อยากจะตอบใจจะขาดว่าไม่ใช่เลย แต่ผมไม่กล้าพอที่จะบอกว่าเพราะเขมกับพี่เก้าต่างหากเล่าที่ทำให้ความอยากอาหารเมื่อเช้าแทบไม่มี เฮ้ย ไอ้แรกเอ้ยมึงนี่มันเป็นภาระคนอื่นจริงๆ ให้ตายเถอะ
ผมถอนหายใจแรงๆ แต่เป็นปฏิกิริยาที่ทำให้คนมองเข้าใจผิดว่าอาหารไม่ถูกปาก
“มื้อต่อไปพี่จะให้เวรทำอาหารพวกไข่เจียวให้เนอะ ว่าแต่เรากินอาหารพื้นๆ แบบนี้ได้มั้ย”
“เอ่อ” ผมเหมือนทำท่วมปากไม่ใช่เพราะเหตุผลของอาหารไม่ถูกปากสักนิดเลยแต่จะอธิบายให้พี่ปิงปองเข้าใจยังไงได้วะ โอ้ย โคตรอึดอัด
“ครับ แต่ว่าคือไม่ใช่..”
“สบายเกินไปรึเปล่า” ยังไม่ทันผมจะเปิดปากเล่า ใครอีกคนซึ่งยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่มุมห้องก็โพล่งขึ้น นั่นแหละผมถึงเพิ่งสังเกตได้ว่านอกจากเบิร์ดกับพี่ปิงปองแล้วยังมีไอ้พี่ปืนยืนกอดอกหน้าบอกบุญไม่รับอยู่
“คือ”
“ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม ถ้าจะถามหาความสะดวกสบายถูกใจ ที่นี่ไม่มีให้”
ไอ้พี่ปืนใส่ผมเป็นชุดจนอ้าปากค้าง
“ปืน”
พี่ปิงปองกระตุกแขนไอ้พี่ปืนปากนรกแต่มันดันยักไหล่แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมจังๆ
“การมาค่ายคือการมาเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อมาทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ถ้าสักแต่ว่าจะมาเพื่อถ่ายรูปแล้วโพสบอกคนทั้งโลกว่ามาถึงแล้วก็อย่ามา”
“.........”
“หรือถ้ามาเพราะตามใครมา มาเพราะเพื่อน มาเพราะคนรัก มาเพราะถูกบังคับ แต่ไม่มีจิตสาธารณะสักแต่ว่าจะมาให้มันจบๆ ไป ไม่นานก็จะกลับมึงก็ควรเก็บเสื้อผ้ากลับไปเสียตั้งแต่วันนี้เพราะมึงไม่เหมาะกับที่นี่หรอก”
ผมนั่งอึ้งรู้สึกจุกๆ ในอกยิ่งตอนที่ไอ้พี่ปืนพูดว่า
‘มาเพราะคนรัก’ คำๆ นั้นกระแทกกลางใจผมเต็มๆ ยิ่งแววตาสีดำสนิทจ้องมาเหมือนจะทะลุไปถึงความคิดภายในใจของผม เหมือนว่ามันมานั่งอยู่กลางใจผมแล้วมองเห็นทุกอย่างที่แอบซ่อนอยู่ภายใน
“ปิงปอง”
พี่ปิงปองหน้าเจื่อนลง “ยังไงมึงช่วยหาอะไรให้มันรองท้องด้วยนะ”
“อืม”
“เสร็จแล้วก็เก็บกระเป๋าเลย” คราวนี้หันมาคุยกับผม
“กูจะส่งมึงกลับบ้าน” “อะไรนะ!”
เบิร์ดกับพี่ปิงปองอุทานหน้าตื่น ส่วนผมยิ่งงงหนักกว่าเดิมเหมือนถูกอาวุธฟาดที่ท้ายทอยแรงๆ เพราะตอนนี้ทั้งมึนทั้งตื้อไปหมด เมื่ออยู่ดีๆ ถูกไล่กลับกะทันหันแบบนี้ซ้ำคนพูดยังมีท่าทางจริงจัง
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
ผมถลาไปดักหน้าจอมเผด็จการที่กำลังจะผละออกไป
“แค่เป็นลมคงไม่ได้กระทบกระเทือนจนทำให้หนวกหรอกมั้ง”
“ผมไม่กลับ”
ผมกำหมัดแน่นยอมรับว่าโกรธและอยากลองดีอีกฝ่ายมากถึงมากที่สุด ส่วนคนที่ผมกำลังลองดีมันแค่ยักไหล่แล้วเดินมาประจันหน้ากับผมอีกที
“กูจะส่งมึงกลับบ้าน”
“ผมไม่กลับ”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะปืน น้องแรก”ประธานค่ายถลามาแยกพวกผมออกจากกัน ขณะที่เบิร์ดมันพยายามดันๆ ไหล่ผมให้ถอยออกมาเพราะสังเกตแววตาเข้มจัดของอดีตหัวหน้าโจรที่จ้องมองผมตาวาว
“สภาพอย่างนี้เหรอไม่กลับ”
ฝ่ายนั้นมองผมอย่างดูแคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมโมโหจนตัวสั่น ผมยอมรับว่าโกรธมาก เวลาที่โกรธมากๆ แล้วทำอะไรไม่ได้อยู่ๆ น้ำตาก็มักจะค่อยๆ เอ่อล้นรอบดวงตา มันเป็นอาการประหลาดที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักหรอก และผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นตอนนี้ ขณะที่อยู่ต่อหน้าไอ้พี่ปืนปากนรก
“ดูสารรูปตัวเองก่อนว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ มึงมันคุณหนูเกินกว่าจะมาใช้ชีวิตลำบากแบบนี้ ที่นี่ไม่เหมาะกับคนอย่างมึงหรอก กลับไปซะ ไปเดินห้างกินอาหารร้านหรูในแบบของมึงโน่น อย่ามาทำตัวเป็นภาระของคนที่นี่”
ปากนรก!!!
แม่งเอ้ย ไอ้เหี้ย ด่ากูขนาดนี้ไม่ถมน้ำลายใส่ด้วยล่ะ ไอ้เหี้ยพี่ปืนมึงแม่งสันดานไม่ดี โกรธเกลียดอะไรกันนักกันหนาวะ มึงมันใจร้ายทำไมต้องด่าว่ากันขนาดนี้ด้วย ผมกำหมัดแน่นรู้สึกร้อนหัวตาจนกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ไหว
แต่ไม่เด็ดขาด ยังไงผมจะไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้ามัน ไม่มีวัน ผมฝืนเกร็งหน้าทั้งที่รู้สึกแย่เพราะที่พี่มันพูดมาทั้งหมดมันมีความจริงปะปนอยู่ไม่น้อย ผมกำลังทำตัวเป็นภาระของคนที่นี่ถึงไม่อยากจะยอมรับนัก แต่มันด่าได้ถูกจุดจริงๆ ทำเอาผมเจ็บในอกเพราะผมกำลังทำตัวแบบนั้นจริงๆ มันคือความจริงที่ไอ้พี่ปืนด่าได้แสบสันต์ ฝ่ายนั้นชะงักไปเมื่อสบตากับผมตรงๆ อีกครั้งแล้วเห็นผมปาดน้ำตา
“.........”
“กินข้าวซะแล้วรีบเก็บของ” มันตัดบท “กูจะไปส่งมึงขึ้นรถในเมือง”
“ผมไม่กลับ”
มั่นใจว่าตัวเองตะโกนเต็มแรง แต่เสียงที่หลุดออกมาจากลำคอช่างแผ่วเบาสวนทางกัน
“ขอโทษนะปิงปองที่ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตามึง แต่กูว่ามันจำเป็น”
ทันทีที่แผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไป น้ำตาผมถึงกับหยดแหมะจนพี่ปิงปองผวาเข้ามากอด
“ใจเย็นๆ ก่อนน้องแรก” ประธานค่ายลูบหลังผมเบาๆ “เดี๋ยวพี่คุยกับปืนให้”
“ผมไม่อยากกลับ”
ในตอนแรกที่ถูกเบิร์ดบังคับให้มาเผชิญความจริง ผมมีความคิดว่าแค่อยากมาให้มันจบๆ ไป ไม่เคยคิดที่จะทำประโยชน์อะไรจริง แต่วันนี้วันที่โดนไอ้พี่ปืนด่าเสียหมาขนาดนี้ ผมเลยอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมสามารถลบคำสบประมาทเหล่านั้นให้ได้ ผมจะต้องอยู่ให้ได้ไม่ใช่แค่ทนอยู่แต่จะอยู่พิสูจน์ตัวเอง ผมจะทำให้พี่มันเอ่ยปากขอโทษผมให้ได้
“ผมไม่กลับนะพี่ปิงปอง”
พี่ปิงปองถอนหายใจ “ที่ปืนมันทำไปทั้งหมดมันหวังดีกับเรานะ”
“หวังดี?”
หวังดีมากสินะ...ตั้งแต่ฟื้นมาพี่มันด่าผมไม่หยุดเลยให้ตายเถอะ ผมทำหน้าไม่เชื่อพอๆ กับไอ้เบิร์ดที่เดาจากสีหน้ามันแล้วคงจะคาดไม่ถึงที่เห็นไอ้พี่ปืนปากนรกของแท้ เพราะก่อนหน้านี้มันยังเถียงหัวชนฝาว่าไอดอลคนใหม่ของมันไม่มีทางปากเจ็บขนาดนี้ แต่คราวนี้เห็นทีมันจะเชื่อสนิทใจแล้วล่ะ
"ที่ปืนมันทำแบบนี้เพราะมันห่วงแรกมากนะ"
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ
“ปีที่แล้วมีน้องคนหนึ่งเป็นลมในค่าย ดีว่าพวกเราพาส่งโรงพยาบาลทัน”
พี่ปิงปองทำหน้าเครียดตอนเล่า “น้องคนนั้นมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจแต่ไม่ยอมบอก ซ้ำยังอาสาไปช่วยขนปูนในงานสร้างด้วย วันนั้นอากาศร้อนแบบวันนี้แหละแล้วน้องเขาก็เป็นลม สุดท้ายน้องเลยสารภาพว่ามีโรคประจำตัวแต่ไม่ยอมบอกเพราะกลัวว่าจะไม่ได้มาค่ายด้วย นี่น้องก็โกหกพ่อแม่ว่ามาทัศนศึกษาเฉยๆ กว่าจะรู้เรื่องมันก็บานปลายไปไกลแล้ว”
“......”
“น้องเขาอยากมาค่ายมากพอพ่อแม่ไม่อนุญาตเลยโกหก พี่เข้าใจนะว่าน้องอยากมาจริงๆ แต่ทำแบบนี้มันอันตรายมากเลยนะ เพราะไม่ใช่ตัวน้องที่เดือดร้อนหากเป็นอะไรร้ายแรง แต่พวกรุ่นพี่ทุกคนต่างโดนตำหนิ แล้วปืนมันก็ขอยอมรับเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวเพราะเป็นคนที่อนุญาตให้น้องมาค่ายเอง”
ผมทำหน้าไม่เชื่อเมื่อได้ยินว่าไอ้ปืนแม่งทำตัวเป็นฮีโร่รับผิดชอบคนเดียวแบบนั้น
“จริงๆ ค่ายปีนี้จะไม่ได้จัดด้วยซ้ำเพราะทางส่วนกลางของมหาลัยไม่อนุญาตให้จัดขึ้นแต่สุดท้ายเพราะใครบางคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้”
“ทำไมล่ะครับ”
เบิร์ดมันถามอย่างข้องใจ “ทำไมถึงอยากทำค่ายกันนัก”
พี่ปิงปองยิ้มๆ “วันนี้พี่ไม่มีคำตอบให้หรอก แต่วันที่เราจะกลับนั้นแหละพวกเราถึงจะรู้คำตอบด้วยตัวเอง”
เบิร์ดทำหน้าสงสัย
“แต่ถ้าน้องเบิร์ดอยากรู้ไวๆ คืนนี้มามุดมุ้งถามพี่อีกทีสิ”
“โธ่พี่”
เบิร์ดมันโอดครวญขณะที่พี่ปิงปองทำมินิฮาร์ทใส่ทำให้บรรยากาศตึงๆ เมื่อกี้ผ่อนคลายลงแทบจะทันที
“พี่หยอดจนผมจะเป็นขนมครกแล้วนะครับ”
“สุกจนแคะได้ยังอ่ะ?”
นั่นไงยังอุตส่าห์หยอดต่ออีก
“แซวเล่นน่า เห็นเมื่อกี้ทำหน้าเครียดกันแต่เมื่อกี้พี่คิดจริงนะน้องเบิร์ด”
ขยิบตาชวนสยิวไปอีก..โอ้ย...
พี่ปิงปองหัวเราะขำพวกเรา
“น้องแรก” ผมถูกประธานค่ายโยกศีรษะเบาๆ “ถึงปืนมันจะดูดิบเถื่อน พูดจาขวานผ่าซากไปบ้าง แต่เชื่อพี่เถอะว่ามันเป็นคนดีคนหนึ่ง มันอาจจะดีชนิดที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ”
...คนแบบพี่ปืนน่ะเหรอวะ...
"เชื่อพี่เถอะว่ามันห่วงแรกจริงๆ ถ้าแรกไม่อยู่ในสายตามันป่านนี้เราคงบาดเจ็บยิ่งกว่านี้"
"ไม่จริงหรอกครับ"
"ปืนไม่เคยปล่อยให้รุ่นน้องต้องบาดเจ็บ ถ้าน้องอยู่ในสายตาของปืน รับรองว่าปืนมันจะทำยิ่งกว่าใส่ใจ"
สีหน้ายิ้มๆ ของพี่ปิงปองทำให้นึกประหลาดใจ
“และที่แรกกับเพื่อนๆ ได้มาค่ายครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพราะการเสียสละให้ปืนมันนะ”
“ยังไงครับ?”
“จริงๆ แล้วปืนต่างหากที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานค่ายปีนี้ แต่เขาเสียสละไม่เอาตำแหน่งเพื่อให้ค่ายครั้งนี้เกิดขึ้น” พี่ปิงปองพูดช้าๆ “เป็นความเห็นของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมให้จัดค่ายหากว่าปืนยังเป็นประธานเพราะเหตุการณ์ปีที่แล้ว ปืนมันเลยขอลาออกเอง”
“ขอลาออก” ผมทวน
“ใช่” พี่ปิงปองถอนหายใจ “ลาออกเพื่อแลกกับการมีค่ายครั้งนี้”
ผมนิ่งเงียบในหัวก็ประมวลสิ่งที่ได้รับรู้มา ทุกอย่างแม่งโคตรชวนสับสนมึนงง ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้พี่ปืนปากนรกถึงต้องเสียสละตัวเองขนาดนั้น การทำค่ายมันมีความสำคัญยังไงวะ แล้วมันสำคัญอะไรที่ต้องเสียสละตัวเอง
ความรู้สึกที่จะได้จากการทำค่ายมันคืออะไร
และมันสำคัญขนาดไหน เอาจริงๆ ผมไม่เข้าใจหรอกและดูเหมือนจะไม่เข้าใจง่ายๆ ซะด้วยสิ จนกว่าว่าจะได้รับรู้และเห็นอะไรมันกับตา
.
.
ผมไม่รู้ว่าพี่ปิงปองไปคุยอีท่าไหนกับไอ้พี่ปืนเพราะสุดท้ายผมก็ไม่ถูกเฉดหัวจากค่ายแล้วกลับบ้านก่อนกำหนด ยอมรับว่าผมโล่งใจไม่น้อยถึงแม้ในตอนแรกจะมาเพราะถูกบังคับแต่ผมได้ปฏิญาณไว้ในใจแล้วว่าต้องทำให้พี่ปืนมันเห็นว่าผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนี้ได้เหมือนกับคนอื่น ผมไม่ได้คุณหนูถึงขนาดที่รับเรื่องหนักไม่ไหวแล้วหนีกลับบ้าน นั่นไม่ใช่ผม ผมไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีแบบนั้นเด็ดขาด
เรามาดูสักตั้งไอ้พี่ปืน!
กว่าจะจบเรื่องยุ่งๆ ก็เกือบบ่ายผมเดินลงมาจากห้องพักอย่างเบื่อๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมได้รับอนุญาตจากพี่ปิงปองว่าให้พักหายดีก่อนค่อยมาช่วงงาน แต่การนอนเฉยๆ มันน่าเบื่อเกินไปและอาจถูกใครบางคนที่จ้องจะจับผิดกล่าวหาเอาได้เลยตัดสินใจลงมาหาอะไรทำ
ใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างสนามตรงหน้ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังล้อมวงนั่งกินข้าวกับชาวค่ายและมีบางส่วนที่เดินถือปิ่นโตโบกไม้โบกมือมาแต่ไกล ภาพเหล่านั้นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ได้ยินว่ากับข้าวมื้อเที่ยงชาวบ้านต่างหอบกับข้าวตัวเองใส่ปิ่นโตมาเพื่อแบ่งให้กับนักศึกษาที่มาปักหลักทำค่ายกัน กับข้าวพื้นๆ ไม่ได้หรูหราราคาแพงบางอย่างไม่ได้มีหน้าตาดึงดูด แต่ทำไมทุกคนที่นั่งล้อมลงกินกันถึงได้ทำสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขแบบนั้น
...นี่หรือเปล่า...
...นี่คือคำตอบที่ผมกำลังตามหารึเปล่า...
เราจะได้อะไรจากการมาทำค่ายและเรามาค่ายกันทำไม? ผมยืนเหม่อคิดเรื่อยเปื่อยและคำพูดของพี่ปิงปองก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว
“ถ้าแรกไม่อยู่ในสายตามันป่านนี้เราคงบาดเจ็บยิ่งกว่านี้”
.
.
.
“ถ้าน้องอยู่ในสายตาของปืน รับรองว่าปืนมันจะทำยิ่งกว่าใส่ใจ”Talk.
เมื่อวานติดธุระค่ะเลยยกยอดมาวันนี้นะจ๊ะ
ฮืออออ ถึงพี่ปืนจะปากร้ายแต่พี่แกก็ห่วงใยนะเออ ฮ่าๆๆๆๆ พี่มีเหตุผลของพี่แต่พี่ทำน้องร้องไห้เลย ถถถถถถ
หวีดในทวิต #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน ด้วยนะจ๊ะ
ปล. มีข่าวดีจะแจ้งเรามีแจกลายเซ็นงานหนังสือวันที่ 1 เมษานี้ที่บูธเอเวอร์วาย เวลา 14.30-15.30น. นะคะ วันนั้นเรามีโปสการ์ดลายพิเศษที่พิมพ์เองสองลายไปแจกด้วยนะ ถ้าใครว่างไปเจอกันนะคะ