- ไปค่ายตอนที่สอง : กฎค่าย -
“การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก พวกเราจำเป็นต้องมีกฎระเบียบเพื่อให้เกิดความสงบสุขซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราในที่นี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตาม”
“.......”
“นั่นคือ ‘กฎค่าย’ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างพวกเราชาวค่ายตลอดสามสัปดาห์ที่พวกเราต้องอยู่ร่วมกัน”
หลังจากที่พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวบ้านที่นอกจากจะมีกลองยาวมาต้อนรับแล้ว พวกชาวบ้านบ้านยังขนอาหารพื้นเมืองมาเลี้ยงเป็นมื้อค่ำ โดยให้พวกเรานั่งล้อมวงกินกับชาวบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก่อนจะเงียบหายไปเมื่อตกดึกที่แต่ละคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนพวกเราต่างยึดอาคารเรียนภายในโรงเรียนประจำหมู่บ้านเป็นที่อยู่หลับนอนตลอดระยะเวลาการอยู่ค่าย และพอดีว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมดังนั้นอาคารเรียนต่างๆ จึงถูกกันให้เป็นที่พักอาศัยของพวกเรา ส่วนโรงครัวด้านล่างก็กลายเป็นห้องอาหารขนาดใหญ่ของพวกเราในการฝากท้องแต่ละมื้อ
สัมภาระและของบริจาคต่างๆ ถูกเก็บให้เป็นระเบียบที่ห้องเก็บของใต้อาคารเรียนด้างล่าง ก่อนที่ประธานค่ายจะเรียกชาวค่ายประชุมกันครั้งแรกตั้งแต่มาถึงเพื่อทำความเข้าใจในการมาค่ายครั้งนี้ นอกจากพี่ปิงปองประธานค่ายแล้วผมยังได้มีโอกาสรู้กลุ่มรุ่นพี่ซึ่งมีตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในค่าย อันประกอบไปด้วย
‘พี่ต้อง’ รองประธานค่ายคือผู้ชายตัวร่างสูงโปร่งหน้าแววตาดูนิ่งๆ แต่แท้จริงแล้วพี่เขาโคตรใจดี และ
‘กลุ่มเจ่’ ซึ่งคือรุ่นพี่ผู้ชายหัวใจสาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่เก่าที่จบไปแล้วที่สร้างความสนุกสนานตั้งแต่อยู่บนรถ และถึงแม้จะกรี๊ดกันเสียงหลงตอนถูกแกล้งเรื่องโจรแต่พอเฉลยใบหน้ากลุ่มโจรแล้วพวกเจ่ถึงกับลืมเรื่องพวกนั้นอย่างง่ายดาย กลับมาทำตลกโปกฮาจนถึงหมู่บ้านทำเอาชาวบ้านออกปากชมเพราะถูกอัธยาศัย
ผมมองไปรอบโถงชั้นล่างที่ติดกับห้องเก็บของซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมโดยมีชาวค่ายทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่ ประเมินด้วยสายตาค่ายนี้คงมีสมาชิกทั้งหมดเกือบสี่สิบชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วยปีหนึ่งไปจนถึงปีสี่ โดยมีประชากรปีสามมากเป็นพิเศษเพราะเฮดทั้งหมดอยู่ที่ปีสาม ดังนั้นปีสามจึงถึงเป็นประชากรหลักของชาวค่ายครั้งนี้ สัดส่วนของปีสองก็รองลงมาเล็กน้อย ต่างจากปีหนึ่งและปีสี่ที่รวมกันแล้วยังไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ผมมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะผงะชักสีหน้าแทบไม่ทันเมื่อสบเขาดวงตาสีดำสนิทที่นั่งทำหน้าตายอยู่ฝั่งตรงข้าม
“กฎค่าย” พี่ปิงปองพูดยิ้มๆ ชี้ไปที่บอร์ดอันเล็กเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง
“
ข้อแรก...ขอให้ทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันทำกิจกรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการมาค่ายครั้งนี้ ซึ่งก็คือการสร้างสนามกีฬาเอนกประสงค์และช่วยชาวบ้านสร้างฝายชะลอน้ำ”
แทบจะทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นเมื่อได้ยินชื่อกิจกรรมที่ดูน่าท้าทาย
“
ข้อสอง...ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติดทุกชนิดในค่ายเด็ดขาด” พี่ปิงปองทำเสียงขึงขังก่อนจะหันมาทำตาเล็กตาน้อยใส่ไอ้เบิร์ด “แต่ถ้าใครอยากมึนเมาก็มามุดมุ้งพี่ได้”
ว่าแล้วก็หันมาส่งสายตาให้ผู้ชายในค่ายจนถูกโห่แซว แต่ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ยังยิ้มเฉยซ้ำยังหัวเราะไปกับพวกนั้นด้วย
“
ข้อต่อมา...ห้ามเรื่องชู้สาวในค่าย”
พี่ปิงปองปรายตามองไปยังเขมกับพี่เก้าที่นั่งเบียดกันจนแทบจะรวมร่าง “อ่อ รวมถึงเรื่องชู้หนุ่มด้วยนะจ๊ะ พี่อิจฉาตาร้อนมาบอกตรงๆ”
“แล้วถ้ามันอดใจไม่ไหวล่ะพี่”
พี่กลมโพล่งขึ้นเรียกสายตาเอ็นดูจากรุ่นพี่ที่กลั้นขำกับใบหน้าจริงจังของเจ้าของคำถาม
“อดไม่ไหวก็ต้องอดทนค่ะถ้าอยู่ต่อหน้าพี่ แต่ลับหลังพี่ไม่รู้ไม่เห็น” พี่ปิงปองหันมาขยิบตาให้ไอ้ เบิร์ดซึ่งถึงกับทำหน้าเหวอ “เนอะน้องเบิร์ด”
“คงงั้นมั้งครับ”
“น่ารักที่สุด น่าฉุดไปทำสามี”
ไอ้เบิร์ดยกนิ้วโป้งให้ทำเอาประธานค่ายเขินไปเลย
“โอเคพี่ผมจะอดทน” เขมหันไปทำนิ้วให้สัญญากับพี่ปิงปองขำๆ ทำเอาพี่เก้าเขินไปไม่เป็นต่อยต้นแขนมันแรงๆ “พูดเหี้ยอะไรวะ”
“เขินทีไรแม่งต่อยผมทุกทีสิน่า”
ผมก้มหน้านิ่งหลุบตามองมือทั้งสองที่กำแน่นจนแทบจะจิกเล็บเข้าไปในเนื้อ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างส่งเสียงแซวกันเป็นวักเป็นเวรเพราะท่าทางของทั้งคู่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์
อีกนานเท่าไหร่ ผมต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจไปอีกนานเท่าไหร่ จะทนไหวมั้ยหรือผมจะต้องพ่ายแพ้ให้กับแรกข้างเดียวแบบนี้จนหมดรูป
“เอาล่ะๆ แซวกันพอหอมปากหอมคอ”
“........”
“
ข้อสุดท้ายห้ามใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารในเวลาทำงานนะจ๊ะ โอ๊ะ ลืมบอกไปว่าต่อให้ใช้ที่นี่ก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรอกนะ ถ้าอยากจะโทรต้องขึ้นไปโทรที่อ่างเก็บน้ำบนเขาท้ายหมู่บ้านนะ เพราะตรงนั้นที่เดียวที่มีสัญญาณเท่านั้น”
“โห่ๆๆๆ”
ชาวค่ายทำหน้าผิดหวังต่างคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเมื่อเห็นว่าไม่มีสัญญาณจริงๆ พร้อมทำสีหน้าสิ้นหวังอย่างพร้อมเพรียงไม่ต่างจากผมที่ไม่ทันคิดว่ามาในที่ห่างไกลขนาดนี้มันจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นี่ยังไม่ได้บอกที่บ้านเลยว่าถึงแล้วป่านนี้คนทางโน้นคงเป็นห่วงน่าดู
“อีกอย่างนะน้องๆ”
พี่ต้องรองประธานค่ายทำสัญญาณมือบอกให้ทุกคนเงียบเสียงเพราะต่างสติหลุดไปสัญญาณมือถือที่ไม่ขึ้นสักขีด
“อาหารในแต่ละมื้อเป็นหน้าที่พวกเราฉะนั้นเราจะแบ่งหน้าที่ทำกับข้าวเวียนกันไปตามชั้นปีในแต่ละวัน”
“เอาล่ะเรื่องเครียดๆ ผ่านไป”
พี่ปิงปองปรบมือดึงความสนใจ “ต่อไปเพื่อให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น เราจะมาแนะนำตัวกันหน่อยนะ เริ่มจากปีหนึ่งก่อนเลยแล้วกัน”
ปีหนึ่งหกคนซึ่งสามในหกคือผม เขม และไอ้เบิร์ดมองตากันลอกแลก ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อพวกสามสาวที่เหลือนอกจากพวกผม มันทำหน้าที่อยู่ในกิจการนิสิตของคณะอยู่แล้วจึงเป็นที่รู้จักของพวกรุ่นพี่ ต่างจากพวกผมที่ทำตัวโนเนมมาตลอดแต่ดันมาโผล่ที่ค่ายถึงแม้จะพอรู้จักรุ่นพี่กันอยู่บ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวค่ายทุกคนประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง(การประชุมก่อนมาค่ายครั้งนั้นคนมาไม่ครบครับ)
ไอ้สามสาวแก๊งดอกไม้นั่นเลยพยักพเยิดมาทางพวกผมให้เริ่มก่อนเลย ให้ตายเถอะไอ้พวกแก๊งดอกไม้ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่าดอกไม้สีทอง อย่าตกใจไปที่ผมดูจะพูดถึงไอ้สาวพวกนั้นห่ามๆ แบบนี้ ก็จะสุภาพยังไงไหวเมื่อไอ้สามคนนั้นมันแมนยิ่งกว่าผู้ชายซ้ำยังใช้คำพูดได้อย่างสุดโต่งคอยดูพวกมันเปิดปากแล้วกัน ผมถอนใจเซ็งๆ สุดท้ายไอ้เบิร์ดซึ่งนั่งอยู่ใกล้ผมเลยยืดตัวขึ้นก่อนจะเปล่งเสียงแนะนำตัวเอง
“เบิร์ดครับอยู่ปีหนึ่ง”
“อุ้ย” กลุ่มเจ่พากันซี๊ดปากท่าทางถูกใจ
“เห็นแล้วอยากอมนก เฮ้ย อยากเลี้ยงนก”
“นกอะไรวะ?”
“นกเขา”
“เอ้กอิเอ้กเอ้ก”
“นั่นไก่ค่ะอีดอก”
กลุ่มเจ่แซวเบิร์ดแล้วตบมุกกันเองแล้วกัดปากตัวเองทำเอาชาวค่ายกุมท้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“นั่นเบิร์ด” พี่ปิงปองชี้นิ้วมาที่ไอ้เบิร์ดก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “นี่ปิงปอง อุ้ยทำไมคล้องจองแบบนี้”
“ตรงไหนวะ?”
“ครูสอบภาษาไทยมึงชื่ออะไรอีปิงปอง”
“จงหาความเชื่อมโยงของทั้งสองชื่อ..เริ่ม”
คนเกทับหัวเราะร่วนจนประธานค่ายค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย แม่งโคตรตลกบรรยากาศสนุกสนานนั่นทำเอาผมเผลอขำออกมาแล้วพอเสียงหัวเราะสงบลงผมจึงได้สติว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม
“ผมแรกครับ เอ่อ ปีหนึ่งเหมือนกัน”
“รัก” พูดไม่พอยังทำมือเป็นรูปหัวใจ “‘แรก’ พบ”
ใครคนนั้นหนึ่งในกลุ่มเจ่เอ่ยขึ้นทำเอาผมยิ้มเขินยิ่งเห็นพวกพี่แกทำหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยใส่อีก
“เอ็นดู”
“ผู้ชายขี้อายนี่มันสไตล์กูชัดๆ”
“กูว่าน้องอ่ะสไตล์มึง แต่น้องมันทำหน้าเหมือนอยากจะสไลค์มึงออกไปจากชีวิต ฮ่าๆๆ”
จบคำพูดของพี่ต้องพวกเราที่เหลือถึงกับฮาครืน
ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงวิจารณ์ไปในทางชื่นชมแบบนั้น ทุกสายตาที่จับจ้องมาล้วนเต็มไปด้วยไมตรีจนนึกเก้อเขิน ยกเว้นก็แต่
“น้องเขาน่าจะทำกับข้าวเก่ง”
อดีตหัวหน้าโจรทะลุกลางปล้องแล้วมองหน้าผมตรงๆ
“ทำไมอ่ะ?” พี่ปิงปองทำหน้าสงสัย
“หน้าเป็นจวัก”
...ดอกที่สอง...
โดนตรงๆ โดนแรงๆ ทะลุแสกหน้าผมอย่างไม่ต้องสงสัย เหี้ยอะไรนักหนาวะผมไปทำอะไรให้พี่มัน ไอ้พี่ปืนถึงได้อาฆาตแค้นผมแบบนี้ ผมกำหมัดแน่นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เอาวะเป็นไงเป็นกันผมขอลองดีกับมันสักครั้ง
“พี่ก็น่าจะทำกับข้าวเก่งเหมือนกันครับ”
ทุกสายตาหันมามองผมอย่างสนใจ ไม่ต่างจากไอ้พี่ปืนปากนรกที่ขยับทำเหมือนสนใจในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดแต่ท่าทางแบบนั้นโคตรกวนตีน
“ทำไมวะ”
“หน้าพี่จะคงหยาบเหมือนสากตำครก”
“อู้ยยยย”
“เชร้ดดดด”
“เป็นคู่ที่เผ็ดกันมาก”
กลุ่มเจ่พูดขำๆ คลี่คลายสถานการณ์ร้อนแรงที่ใครต่อใครต่างสัมผัสได้ ยิ่งประธานค่ายถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นประกายตาฟาดฟันระหว่างผมกับไอ้พี่ปืนปากนรก
“ผู้ชายเข้าครัวน่าดูเอ็น เอ้ย น่าเอ็นดู”
“จวักตัก สากตอกไรงี้ โอ้ยพูดแล้วเห็นภาพ”
มุกทะลึ่งตึงตังทำเอาทุกคนลืมเลือนเรื่องก่อนหน้านี้พากันขำกับมุกพวกพี่แก ยกเว้นก็แต่ผมกับคู่กรณีอีกฝ่ายหยั่งเชิงมองกันนิ่ง จนไอ้เบิร์ดหันมากระซิบกระซาบกับผม
“อะไรกันวะแรก”
“ไม่มีอะไรนี่”
“มึงกับพี่ปืนมีเรื่องอะไรกัน” ไอ้เบิร์ดทำหน้าสงสัยมันคงจับสังเกตความผิดปกติระหว่างผมกับพี่ปืนได้ “ปกติกูไม่เคยเห็นมึงไปเกรียนแตกใส่ใครง่ายๆ แบบนี้เลยว่ะแรก”
ผมพ่นลมหายใจไม่ตอบคำถามเบิร์ดปล่อยให้มันมุ่นหัวคิ้วอยู่อย่างนั้น
แต่เดี๋ยวนะ คำพูดแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ของไอ้พี่ปืนแม่งโคตรคุ้น คุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน หรือว่าก่อนหน้านี้เราจะเคยพิพาทกันมาก่อนแล้วบังเอิญว่าผมดันจำไม่ได้วะ
ผมแอบตงิดนิดๆ ว่าผมอาจจะต้องเคยรู้จักไอ้พี่ปืนมาก่อนแน่นอน
“นั่นสิ”
ผมถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อ
“หมวย” หัวหน้าแก๊งดอกไม้ซึ่งมีสมาชิกสามคนเป็นผู้หญิงโสดที่สวยบรรลัยและนิสัยแม่งก็บรรลัยเช่นกัน ว่าแต่เมื่อกี้มันยังเม้ากับเพื่อนอยู่ตั้งไกลไหงคลานมาอยู่หลังผมได้ไวขนาดนี้วะ
“อะไรของมึงวะหมวย”
ผมทำหน้างงกระซิบคุยกับมัน จริงๆ แล้วตอนรู้จักกันแรกๆ ผมและเพื่อนทั้งคณะต่างโคตรสุภาพใส่มันแต่พอมันเปิดปากเท่านั้นผมนี่แทบอยากขอคืนคำพูดดีๆ ก่อนนั้นโคตรๆ ผู้หญิงห่าอะไรวะทั้งเกรียนทั้งห่ามจนบางครั้งเวลาคุยกันถึงได้ลืมว่าแท้จริงไอ้หมวยกับเพื่อนมันแม่งเป็นผู้หญิงแท้ๆ จริงๆ ผมว่ากลุ่มมันออกจะหน้าตาดีสะสวยเคยประกวดดาวคณะกันมาด้วยด้วยซ้ำ เสียแต่ว่าพวกมันเกรียนแตกซ้ำยังปากเจ็บกันทั้งกลุ่มแล้วผู้ชายที่ไหนมันจะหลุดมาแหยมวะ
“มึงมีอะไรกับพี่ปืน”
เชี่ย ดูคำพูดคำจามันสิหลุดมาแต่ละคำฟังแล้วแสลงหูขนาดไหน
“มีเหี้ยอะไรล่ะยิงเลเซอร์ใส่กันขนาดนี้”
“กูไม่ได้หมายถึงพี่ปืนซั่มมึงแล้ว กูหมายถึงมึงมีซัมติงรองกับพี่เค้า เอ๊ะรึว่าพี่ปืนเคยฟันมึงแล้วทิ้งวะ”
“อีหมวย”
ผมแสดงออกทางสีหน้าจนหมวยมันขำก๊าก สีหน้าภายในแว่นทรงกลมกรอบทองรับใบหน้าเรียวดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้
“ไม่มีตอนนี้ไม่เป็นไร แต่กูขอฟันธงเลย”
“ฟันธงว่าอะไร?”
“ว่าอนาคตมึงเสียตูดแน่” ไงล่ะฟังแล้วยังฟันปากมันมั้ย
“โอ้ย อีหมวย”
อีหมวยพจมาน ไม่ใช่ พจมาน สว่างวงศ์นะ หมวยมันมีชื่อจริงว่าพจมาน นามสกุลเพื่อนตั้งให้ "สว่างคาตา" เพราะเหล้าเข้าปากทีไรกวนเพื่อนให้ตั้งวงป๊อกเด้งสว่างจนคาตาทุกที
ดูมันพูดสิครับ ผู้หญิงสติดีที่ไหนจะพูดจากันแบบนี้ ให้ตายเถอะ ลืมบอกไปว่าแก๊งดอกไม้นี่แม่งวายตัวแม่เห็นผู้ชายคุยกันสนิทสนมไม่ได้เป็นต้องจับคู่ให้เขาทุกที มันบอกมีฟิสิกส์เคมีอะไรของมันไม่รู้ ฟังแล้วแม่งขนลุก ถึงผมจะชอบเขมก็เถอะแต่มาฟังเรื่องแบบนี้แล้วมันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้
“ผีเจาะปากมึงมาพูดรึไงวะหมวย”
“เชื่อกู” มันตบบ่าผมสองป๊าบ “กูสังเกตว่าพี่ปืนแม่งมองมึงสักพักแล้ว งานนี้แหละมึง หึหึ
ชายใดไม่ได้กันขอไม่ถึงสวรรค์เวลาป๊าบๆ”
ป๊าบๆ เหี้ยไรเนี่ย โอ้ยนี่คือพูดจากปากผู้หญิงที่รุ่นพี่ผู้ชายทั้งคณะต่างลงความเห็นว่ามันแม่งโคตรน่าทะนุถนอม
ผมตบหน้าผากตัวเองปากก็ขมุบขมิบด่ามันเบาๆ จริงๆ อยากออกเสียงให้สะเทือนหูมันซะบ้างแต่สถานการณไม่เอื้ออำนวย ไม่งั้นล่ะก็มึงโดนแน่อีหมวยพจมาน ผมพ่นลมหายใจตอนที่มันคลานกลับไปหา
”ม่อน” กับ
“พริ้ม” สองสาวที่เหลือของแก๊งดอกไม้แล้วสุมหัวซุบซิบๆ อะไรสักอย่างโดยแวะเวียนสายตามาที่ผมกับคู่กรณี ผมแอบตงิดๆในใจ สังหรณ์ใจว่าความฉิบหายจะมาเยือนในไม่ช้า
หลังจากนั้นช่วงที่เขมแนะนำตัวก็ถูกรุ่นพี่แซวที่กล้าจีบรุ่นพี่อย่าง ‘พี่เก้า’ ตอนนั้นผมได้แต่ก้มหน้านิ่งต่างจากบรรยากาศรอบข้างที่สนุกสนาน ผมถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้วันนี้ ความเจ็บช้ำภายในมันรอวันที่จะประทุ ทุกครั้งที่เขาจับมือโอบกอดกันผมเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกมันมึนงงไปหมด ดีว่าหลังจากนั้นไม่นานพี่ปีสองก็เริ่มแนะนำตัวมาเรื่อยๆ จนมาถึงปีสามบางส่วนหนึ่งในนั้นมี
“พี่เปรี้ยว” หลีดคณะที่ไอ้เบิร์ดมันแอบปลื้มซึ่งทำหน้าที่เฮดฝ่ายประชาสัมพันธ์ จนมาถึงแก๊งสี่โจรที่รุ่นพี่ผู้หญิงทุกชั้นปีให้ความสนใจเป็นพิเศษ ก็แหงสิหน้าเทพบุตรกันทั้งแก๊งขนาดนั้น
“พี่เม่น” เป็นผู้ชายร่างอวบผิวขาวแต่ดันไว้หนวดรุงรังรอบขอบปาก แววตาพี่แกดูขี้เล่นคล้ายกับว่าเป็นคนอัธยาศัยดีพอตัว แต่หนวดที่รุงรังทำให้ผมแอบตั้งฉายาให้แกว่า “พี่หนวด” เอาจริงถ้าพี่แกผอมสักหน่อยแล้วโกนหนวดโกนเครานี่คนอื่นในแก๊งมีหนาวแน่ ขนาดสภาพรุงรังขนาดนั้นยังแอบเห็นพี่ปีสองกรี๊ดกร๊าด
“พี่นะโม” ตัวเล็กตัวใครเพื่อนใส่แว่นตาหน้าเตอะปิดบังใบหน้าขาว ซึ่งผมเดาว่าดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั่นต้องน่ามองน่าดู ผมว่าพี่เขาดูน่ารักดียิ่งตอนที่นั่งสะพายกระเป๋าย่ามสีเหลืองอ๋อยชวนให้ยกมือไหว้ขนาดนั้น
“พี่ไกด์” เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งผิวสองสี ใบหน้าเรียบเฉยตัดผมสกินเฮด มีรอยสักที่ต้นแขนด้านซ้ายดูภายนอกเป็นคนดุดันแต่ยิ้มทีทำเอาสาวเคลิ้มรวมถึงพี่กลมที่มองฝ่ายนั้นไม่วางตา ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมนึกออกว่าเคยได้ยินชื่อพี่ไกด์ออกจากปากพี่กลมถึงสองครั้ง อะไรยังไงกันนะสองคนนี้ ขณะที่พี่กลมมองฝ่ายนั้นตาเยิ้มแต่พี่ไกด์นี่สิทำหน้าเหมือนจะรำคาญหน่อยๆ น่าแปลก ผมยักไหล่เพราะไม่อยากจะยุ่งเรื่องของคนอื่นแค่เรื่องตัวเองก็ยังเอาไม่รอดแล้ว โธ่เอ้ย
และคนสุดท้าย
“ผมชื่อปืน” “อือหือ”
“กรี๊ด”
แอบได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ จากผู้หญิงทั้งค่าย
“ขอดูปืนหน่อย” พี่ปิงปองทะลุกลางปล้องพอรู้ตัวก็ทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเรียกเสียงขบขันรอบทิศ ส่วนเจ้าของชื่อแค่เหล่ตามองเอือมๆ
“น้องปืนตัวจริงใหญ่มาก เอ้ย สูงใหญ่มากกกกก”
เจ่คนหนึ่งทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ไอ้พี่ปืนแต่มันแค่เสือกยิ้มเฉย ยิ่งทำเอาสาวทั้งหลายต่างทำเสียงฮือฮาจนน่าหมั่นไส้ ผมว่าผมรู้สึกอิจฉาพี่มันวะดูสิขนาดนั่งอยู่ไหล่ยังเลยคนอื่นๆ มาตั้งคืบ ไอ้ผู้ชายที่ผมแอบเบะปากใส่ตอนแนะนำตัวเหลือบตามาทางนี้พอดี ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ชอบดวงตาสีดำสนิทที่มองมาแต่ละทีราวกับใบมีดคมกริบที่พร้อมจะฟาดฟันกัน
ผมไม่ปฏิเสธหรอกอดีตหัวโจรนี่ชอบทำหน้านิ่งเฉยแผ่รังสีน่ากลัวเนี่ย กลับเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าคมคายน่ามอง ถึงแม้จะมีไรหนวดและเคราตามสันกราม ซ้ำยังตัดผมรองทรงสูงเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียนโดยรวมแล้วดูเป็นผู้ชายที่โคตรอันตราย แต่ถึงจะดูอันตรายยังไงก็ล่อให้ใครต่อใครอยากลองดีดูสักครั้ง
“อยากโดนยิง”
รุ่นพี่ผู้หญิงสองคนข้างหน้าผมกระซิบกระซาบแล้วพากันหัวเราะเสียงใส ขนาดแก๊งดอกไม้ถึงขั้นเสียสติยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่น
“พี่ปืนแม่งหล่อฉิบหาย” ไอ้เบิร์ดก้มลงมากระซิบข้างหูผมแล้วทำหน้ามุ่ยเพราะพี่เปรี้ยวรุ่นพี่สาวที่มันแอบปลื้มก็มองอดีตหัวหน้าโจรไม่วางตาเหมือนคนอื่น “ดูดิพี่เปรี้ยวแม่งมองตาไม่กระพริบเลย”
“เหอะ”
เออหล่อไงแต่ปากแม่งโคตรนรก
“อะแฮ่มๆ ใจเย็นๆ นะทุกคน นี่ปืนเป็นเฮดฝ่ายสวัสดิการและหาทุนและเป็นสามีลับๆ ของฉัน” พี่ปิงปองหันไปเกทับกลุ่มรุ่นพี่ผู้หญิงเรียกเสียงหยีอย่างดังจากรอบทิศ
“เมากาวหรือเมาส้นตีนวะปิงปอง”
พี่เม่นแซวขำๆ จนคนถูกพี่ปิงปองค้อนตาคว่ำ
“หยาบคายมากอีเม่น สามีดูสิคะ” ตอนท้ายหันไปอ้อนคนที่นั่งนิ่งๆ ในตอนแรกแต่พอโดนกระแซะถึงกับผลักศีรษะพี่แกจนเซถลาเลย
“ปืนอ่ะ” พี่ปิงปองทำงอน “เดี๋ยวนี้เก๋าเหรอปืน ปืนกล้าเก๋ากับเมียเหรอ”
“ใครเก๋า กูกะพง!”
คนที่อวดอ้างเป็นเมียทำหน้ากระเง้ากระงอดชวนขำ แต่คำตอบของไอ้พี่ปืนปากนรกทำเอาทั้งหมดฮาครืน
“เชี่ยเอ้ย”
พี่เม่นแท็กมือกับแก๊งสี่โจรของตัวเอง ดูพอใจกับมุกหน้าตายของอดีตหัวหน้าโจร
“ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้เชี่ยกูซื้อเลยมุกนี้ผ่าน”
“เอาล่ะๆ ทุกคนกลับมาๆ” พี่ปิงปองที่กุมท้องขำจนพอใจแล้วเรียกสติทุกคน “ว่าแต่น้องเบิร์ดไม่น้อยใจพี่เนอะ”
ไอ้เบิร์ดถึงกับทำหน้าเหวอรีบโบกมือปฏิเสธทั้งสั่นหัวสั่นมืออย่างแรง เรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มเจ่เสียงดังลั่น จนผมถึงกับหัวเราะตาม ผมว่าบรรยากาศมาถึงค่ายวันแรกก็ไม่เลวนักหรอก หากไม่นับเรื่องทุกข์ในใจและคู่ปรับที่อุบัติขึ้นใหม่วันนี้ บางทีการมาค่ายครั้งนี้มันก็น่าสนใจ
(มีต่อเพราะตอนนี้ยาวขอแบ่งสองพาร์ท)