History: Abrasion
เวียนหัว
กวินภพ รัตนประดิษฐ์ในวัยสิบเจ็ดปีคิดอย่างเซ็งๆ ทั้งที่วันนี้เป็นวันปิดเทอมแท้ๆ แต่นักเรียนม.ห้าอย่างเขาที่ต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องเสียสละเวลานอนอันมีค่ามาเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาใกล้โรงเรียนทุกวัน เด็กหนุ่มอยู่ในชุดลำลองกางเกงขายาวกับเสื้อมีฮู้ดและหน้ากากปิดจมูกรูปหน้าหมาน้อยที่เหลือเพียงแผ่นเดียวในเซเว่นซึ่งขัดกับอากาศร้อนๆของสยามเมืองยิ้มเป็นอย่างมาก
ซวยจริงๆ มาเป็นหวัดอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
เมื่อเช้าเด็กหนุ่มรีบร้อนออกมาทำให้ไม่ได้กินอาหารเช้าและยาอย่างที่ตั้งใจไว้ พอกะว่าจะกินข้าวกลางวันอาจารย์ที่สอนก็ปล่อยช้าเสียจนเขาเกือบไปเรียนคลาสต่อไปไม่ทัน อย่าว่าแต่หาอะไรใส่ปากเลย
จนถึงตอนนี้เลยรู้สึกไม่ค่อยหิวซะแล้ว
ว่าแต่...ทำไมพื้นมันเอียงๆ?“ระวัง!!!!!”
ร่างสูงที่เซลงไปบนถนนใหญ่ถูกแรงกระชากให้กลับมาในทางเท้าทันเวลาที่รถสิบล้อวิ่งผ่านไปพอดี กวินภพที่นั่งอยู่กับพื้นหันไปหาคนที่ช่วยชีวิตของตนหวังจะขอบคุณ
ภาพที่เห็นคือเด็กชายในชุดนักเรียนของโรงเรียนเขากำลังก้มหาอะไรบางอย่างบนพื้นอย่างลุกลี้ลุกลน รอบกายมีกลีบกุหลาบร่วงหล่นเต็มพื้นจากช่อของมันที่หล่นอยู่ไม่ไกลออกไป
ที่ปลายเท้าของกวินภพมีแว่นสายตาทรงกลมตกอยู่ ชายหนุ่มรีบยกมือแต่ที่แว่นกรอบเหลี่ยมของตน ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกว่ามันยังอยู่บนหน้า เด็กหนุ่มหยิบแว่นที่พื้นขึ้นมาแล้วถามร่างที่ยังคงก้มหน้าหาของจนแทบจะชิดกับพื้น
“เอ่อ...แว่น.. แค่กๆ” กวินภพไอค่อกแค่กก่อนจะได้ถามว่าหาแว่นอยู่หรือไม่ แต่เด็กชายรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
ใบหน้าจิ้มลิ้มและดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มสะกดให้ร่างสูงมองตาค้าง รับกับผมทรงกะลาม้าเต่อที่ไม่เคยปราณีใครกลับดูเหมาะกับคนตรงหน้าจนน่าตกใจ ริมฝีปากรูปกระจับเผยยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นแว่นของตนในมือของร่างสูง
“เจอแล้ว!”เด็กชายหยิบแว่นกลับมาใส่ทันที ดวงตากลมโตที่ถูกบดบังด้วยแว่นกรอบหนากระพริบปริบๆ เพื่อปรับโฟกัส ก่อนจะหันมาเจอเขา
“ถ้าพี่อยากตายก็อย่าทำตัวเป็นภาระสังคมแบบนี้ พี่รู้มั้ยว่าคนขับรถบรรทุกคันเมื่อกี้อาจจะมีภรรยา มีลูกเล็กๆรอพ่ออยู่ที่บ้าน แต่พ่อของตัวเองกลับต้องมาติดคุกเพราะคนประมาทเลินเล่ออยากลงไปเดินเล่นกลางถนน แล้วเด็กก็จะโตมาไม่มีพ่อ โดนตราหน้าว่าเป็นลูกฆาตกร กลายเป็นขยะสังคมเพราะไม่มีใครสนใจ แล้วก็ลงเอยด้วยการทำอาชีพค้ายาเสพติด ขายให้อนาคตของชาติอีกมากมาย เด็กๆอีกหลายร้อยชีวิตจะต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็นจากปัญหายาเสพติด พี่จะรับผิดชอบสังคมยังไงครับ?”
เสียงเรียบเอ่ยออกมาเป็นชุดราวกับปืนกลรัวกระสุน
อยู่ดีๆกลายเป็นคนชั่วทำลายอนาคตของชาติเลยเว้ย
“คือ…เมื่อกี้พี่...แค่กๆ...วูบไป...” กวินภพพยายามแก้ตัวให้หลุดพ้นจากข้อหา แต่ความสนใจของคนที่ด่าเขาด้วยคำสุภาพยาวเหยียดลงไปอยู่ที่เข่าของเด็กหนุ่มซึ่งถลอกเป็นทางยาว
“มาครับ ไปนั่งที่ม้านั่งก่อน เดี๋ยวผมทำแผลให้”
คนที่ยังมึนๆด้วยพิษไข้กับช็อกจากเหตุการณ์เมื่อครู่เดินตามเด็กชายไปอย่างว่าง่าย ร่างเล็กเดินเข้าไปในเซเว่นข้างๆ ส่วนกวินภพก็นั่งสัปหงกรออีกฝ่ายหลังจากอะดรีนาลีนจากความตื่นเต้นเริ่มลดลง
"อ่ะ"
คนที่กำลังสะลึมสะลือได้ที่ผงกหัวขึ้นมองมองขนมปัง น้ำเปล่าและยาลดไข้ในมือเด็กชาย
"กินสิครับ" คนตัวเล็กเอ่ยซ้ำ วางขนมลงบนตักของเขาแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อสำรวจบาดแผล "แสบหน่อยนะครับ"
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่กวินภพที่กำลังจัดการขนมปังอย่างหิวโหยไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการล้างแผลของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย
"ทานยาด้วยสิครับ" คนที่ก้มทำแผลให้เขาเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
"ไม่เอาอ่ะ" คนกินยายากส่ายหน้า
"ถ้าพี่ไม่กินยา เชื้อโรคในร่างกายพี่ก็จะเพาะตัว กลายพันธุ์จากไข้หวัดใหญ่ เป็นไข้หวักนก เป็นไข้วัดพญานกอินทรีย์ แล้วก็เป็น
ไข้หวัดเครื่องบินในที่สุด..." แม้สมองจะยังขมุกขมัว แต่กวินภพค่อนข้างมั่นใจว่ามีบางผิดปกติในคำอธิบายของร่างเล็ก "...แล้วเครื่องบินก็จะป่วย พอเครื่องบินป่วยมันก็จะตก"
เด็กชายแปะพลาสเตอร์ลายโดราเอม่อนอันใหญ่ทับบาดแผลของกวินภพ
"พี่จะเป็นสาเหตุให้คนเป็นร้อยครอบครัวต้องสูญเสียคนสำคัญ บ้านเมืองสูญเสียกำลังขับเคลื่อน เศรษฐกิจตกต่ำ เกิดความยากจนข้นแค้นไปทั่ว พี่ชายต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอครับ?"
เพื่อเป็นการตัดปัญหาไม่ให้สมองต้องคิดไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มจึงยัดยาเข้าปากแล้วกระดกน้ำตามอย่างว่าง่าย
"แค่นั้นก็จบ" เสียงหวานบ่นพึมพำ
"แล้ว...นี่ซื้อกุหลาบมาทำไมเยอะแยะ" เมื่อน้ำลงคอแล้วก็รู้สึกระคายน้อยลงเยอะ กวินภพปิดหน้ากากกลับขึ้นมาจังหวะเดียวกับที่เด็กชายเงยหน้าขึ้น
"อ๋อ ผมสอบติดที่นี่ วันนี้มามอบตัว แม่เลยให้เอากุหลาบมาแก้บนน่ะครับ" ร่างเล็กว่า
"โทษทีนะที่ทำให้เดือดร้อน เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่" ร่างสูงหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาแต่ถูกคนตรงหน้าห้ามไว้
"กุหลาบพวกนี้บ้านผมปลูกเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตัดมาใหม่ก็ได้"
"แต่ว่า...."
"เก็บเงินไว้ซื้อข้าวกินเถอะครับ" คนที่ก้มหาบาดแผลอื่นของร่างสูงขัด "ไปทำยังไงครับถึงได้หิวจนเป็นลมไปแบบนั้น"
"ก็....เรียนพิเศษ..." ทั้งที่อายุมากกว่าแท้ๆ ทำไมเขาต้องรู้สึกหงอที่โดนอีกฝ่ายดุด้วยเนี่ย
"ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ล่ะครับ ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมาพ่อกับแม่พี่จะว่ายังไง"เด็กแว่นตรงหน้าเอ่ยอย่างหงุดหงิด "ต่อให้
อยากเข้ามหาลัยแค่ไหนถ้าตายก่อนก็ไม่คุ้มนะครับ"
กวินภพได้แต่นั่งเงียบ
"เฮ้อ..." เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นจากร่างเล็ก ก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงอมชมพูจะเป่าลงบนพลาสเตอร์เป่าๆ "เพี้ยง! หายซะนะ"
การกระทำเด็กๆที่ดูเหมาะกับวัยเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันทำให้กวินภพเริ่มยิ้ม
"เงินนี่ถือซะว่าเป็นค่าทำแผล" ร่างสูงยื่นเงินให้ ยังคงรู้สึกไม่สบายใจที่เด็กที่ตนไม่รู้จักมาทำนู่นทำนี่ให้ตนฟรีๆ
"ไม่ต้องหรอกครับ ถือซะว่าพี่ชายเป็นตัวทดลองให้ผมฝึกไว้ใช้ตอนโต" ร่างเล็กปฎิเสธด้วยประโยคที่กระตุ้นความสนใจของกวินภพ
"ทำไม อยากเป็นหมอเหรอเรา?" คนถามเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ตัวแค่นี้รู้แล้วเหรอว่าตัวเองอยากเป็นอะไร
"หมอหมาต่างหากล่ะครับ" อีกฝ่ายแก้ ลุกขึ้นมานั่งข้างเขาบนม้านั่ง
"ทำไม..."
"ถึงอยากเป็นน่ะเหรอครับ?" เด็กชายดันแว่นกรอบหนาให้ชิดใบหน้า "สัตว์น่ะ มันน่าสงสารนะครับ เจ็บก็พูดไม่ได้ ได้แต่นั่งรอให้เจ้านายสังเกตแล้วพามาหาหมอ"
กวินภพรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสัตว์ที่เป็นสัตว์จริงๆ
"ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนก็ได้นอนครางหงิงๆ ถ้าเจ้าของไม่สนใจ ก็ได้แต่นอนรอความตาย...." ร่างเล็กหันมาหาเขา
"พี่ชายมีสัตว์เลี้ยงมั้ยครับ?"
"มีหมาสองตัว" กวินภพตอบ เป็นลูกสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้และโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่พ่อเขาเพิ่งได้มาเป็นของขวัญจากลูกค้า
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายภายใต้กรอบแว่น
ตึกๆอะไร...
นั่นเสียงอะไร...
กวินภพพยายามไม่ตกใจที่จู่ๆหัวใจของตนก็เต้นผิดจังหวะ
หัวใจวายรึเปล่านะ?
"เอาอย่างนี้ อีกซักสิบปีถ้าพี่ชายมีสัตว์เลี้ยงอยู่ ถึงตอนนั้นค่อยจ่ายค่าทำแผลทีเดียวก็ได้นะ" เด็กชายบอก เรียกสติของคนฟังให้กลับเข้าร่าง "คลินิคของผมจะมีทั้งที่อาบน้ำตัดขน รับฝากสัตว์เลี้ยง ผมจะทาผนังเป็นสีม่วงที่แม่ชอบ มีมุมขายของเล่นสัตว์ มีมุมให้เจ้าของนั่งรอมันชั้นบนไว้ให้สัตว์ที่รับฝากได้วิ่งเล่น...."
"ตัวแค่นี้คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ยเรา" คนที่ใส่หน้ากากอยู่ยกมือขึ้นหมายจะขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ทว่ารอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริม
ฝีปากเล็กทำให้มือของเขาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
รอยยิ้มกว้างที่ทำให้โลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ตึกๆ... ตึกๆ..ตึกๆๆๆ
"ผมต้องทำให้ได้...ผมรู้ว่าผมต้องทำให้ได้" เด็กชายเอ่ยอย่างมุ่งมั่นจนกวินภพสัมผัสได้ ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วโบกมือลา
"อย่าลืมนะ มาอุดหนุนคลินิคหมอแว่นด้วยนะ"
วันนั้น....เป็นวันแรกที่กวินภพตกหลุมรัก
"หลังจากวันนั้น พี่ก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันเปิดเทอม กะว่าจะเข้าไปคุยกับแว่นให้ได้..."
ทั้งสองเดินเลียบสนามฟุตบอลของโรงเรียนที่ไม่มีคนเพราะนักเรียนอยู่ในห้องกันหมด กวินภพมองบรรยากาศรอบกายด้วยความคิดถึง
"แต่พอเจอจริงๆ...พี่ก็ไม่กล้า"
"ผมไม่เข้าใจ" แว่นมีสีหน้าสับสน "ทำไมคนที่มีทุกอย่างพร้อม มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง คนที่ไม่น่าจะกลัวอะไรอย่างพี่ถึงไม่กล้าคุยกับผม?"
ขายาวหยุดเดินกระทันหันจนคนที่เดินตามมาเกือบเบรกไม่ทัน กวินภพหันกลับมาหาร่างเล็กด้วยแววตาลังเล ก่อนจะยอมตอบด้วยคำตอบที่แว่นยังคงไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน
"พี่น่ะ...เป็นน้องพี่ติณณ์นะ"
"?" เด็กหนุ่มเอียงคออย่างงุนงง
"การเป็นน้องพี่ติณณ์...มันไม่ง่ายเลยนะ" ร่างสูงกัดริมฝีปาก "พี่ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นจะมองพี่เพราะอะไร สำหรับพี่ คนมองมักจะมองพี่ เพราะพี่คือน้องพี่ติณณ์...คือ..พะ..พี่..พี่..." ลมหายใจของอีกฝ่ายเริ่มขาดห้วง คำพูดตะกุกตะกักจนฟังไม่ได้ศัพท์
แว่นเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ กวินภพก้มลงมองมือขาวของเด็กหนุ่มอย่างประหลาดใจ
"หายใจลึกๆนะครับ" มือเรียวเล็กบีบมือเขาน้อยๆอย่างให้กำลังใจ ส่งกระแสไฟฟ้าให้แล่นผ่านทั่วร่างชายหนุ่ม ส่งเป็นความกล้า
ให้กวินภพพยายามพูดสิ่งที่คิดออกไป
"พี่...พี่พูดไม่เก่ง ขี้อาย เงอะงะซุ่มซ่าม แถมยังไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากไอ้เหนือ พี่ไม่อยากให้แว่นมองพี่ว่าเป็นพวกขี้แพ้ พี่ไม่อยากให้แว่นมองพี่เป็นคนไม่เจียมตัวที่กล้าเดินเข้ามาขอทำความรู้จัก..." ชายหนุ่มยกมืออีกข้างเกาท้ายทอยอย่างเก้อๆ ดวงตาคมฉายแววเศร้าหมองแต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
"พี่กล้า..." ดวงใจดวงน้อยเต้นตึกตักเมื่อสบสายตากับอีกฝ่าย
"แต่ตอนนี้ พี่คิดเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าแว่น? พี่ขอหลงตัวเองคิดว่าแว่นก็รู้สึกอย่างที่พี่รู้สึก..." มือใหญ่ดึงมือของเด็กหนุ่มขึ้นมาทาบบนหน้าอกข้างซ้ายที่ถูกก้อนเนื้อภายในกระแทกอย่างบ้าคลั่ง
"พี่..."
"กวินภพ? นรธีร์?"เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น เจ้าของชื่อหันขวับไปมองคนขัดจังหวะที่เดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าดีใจ ศิษย์เก่าทั้งสองยกมือไหว้อาจารย์โต้ง อาจารย์พละของพวกเขาที่เคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของกวินภพ
"สวัสดีครับอาจารย์โต้ง"
แม้จะน้ำตาตกในที่ถูกขัดจังหวะในช่วงที่ตนกำลังจะสารภาพรัก แต่กวินภพก็ไม่ลืมหน้าที่ลูกศิษย์ดีเด่นทักทายอดีตอาจารย์ประจำชั้นอย่างนอบน้อม อาจารย์ในชุดเสื้อโชพละและกางเกงวอร์มขายาวตบไหล่ลูกศิษย์พร้อมรอยยิ้ม
"เอ้อๆ ไม่เจอกันหลายเดือนหล่อขึ้นนะเนี่ย" ดวงตาที่ล้อมไปด้วยรอยย่นจากการเวลาเหลือบมองแว่นพร้อมรอยยิ้มกว้าง "มานี่ๆหมอแว่น ไปห้องพักอาจารย์กับครู เดี๋ยวจะพาไปหาอาจารย์คนอื่น"
ทั้งสองได้แต่เดินตามไปอย่างปฎิเสธไม่ได้ บอกตามตรงแว่นรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยกับระฆังช่วยชีวิตนี้ แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการได้ยินคำๆนั้นจากอีกฝ่าย....
"เอ้า ใครรู้ตัวว่าแพ้ก็จ่ายมา!" อาจารย์โต้งตะโกนลั่นห้องทันทีที่เปิดประตู อาจารย์สิบกว่าชีวิตเงยหน้าขึ้นตามเสียง ก่อนที่เสียงบ่นจะดังระงมจนจับใจความไม่ได้
แว่นกับกวินภพมองหน้ากันอย่างงุนงง
"อะไรว้าาา ไอ้เด็กพวกนี้ ทนอีกหน่อยก็ไม่ได้ แค่ปีเดียวครูก็ชนะแล้วเนี่ย" อาจารย์ชาติ ครูสอนเคมีควักธนบัตรสีเทาใส่มือของอาจารย์โต้งอย่างอารมณ์เสีย
"ครูผิดหวังในตัวพวกเธอจริงๆ" อาจารย์วันเพ็ญ ครูสอนภาษาอังกฤษจอมเฮี้ยบเอ่ยเสียงดุ แต่ก็ยอมจ่ายเงินให้อาจารย์อีกคนแต่โดยดี "คิดว่าเธอจะไวไฟกว่านี้นะกวินภพ นี่ครูรอมาจะปีนึงแล้วนะ"
และเสียงบ่นอีกหลายเสียงที่ทั้วสองไม่เข้าใจว่าพวกตนทำผิดอะไร
"เดี๋ยวครับๆ นี่มันอะไรกันครับอาจารย์" ร่างสูงที่ทนไม่ไหวโพล่งถามขึ้นมาในที่สุด เสียงพูดคุยในห้องหยุดลงพร้อมกับทุกสายตาที่จับจ้องมาทางพวกเขา
"ก็พวกครูพนันไว้ว่าพวกเธอจะลงเอยกันตอนไหนน่ะสิ" อาจารย์ประจำชั้นที่รับทรัพย์เป็นกอบเป็นกำยิ้มหน้าบาน "แหม่ มันต้องได้อย่างนี้สิวะศิษย์ครู"
เดี๋ยว...
อะไรนะ?
แว่นกระพริบตาปริบๆ พยายามคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย
"ทำไมอาจารย์ถึงรู้..." ต้นกล้ามีสีหน้าไม่อยากเชื่อว่าจะถูกอาจารย์ประจำชั้นที่เคารพรักใช้เป็นเครื่องมือหากินลับหลัง
"แหม เขารู้กันทั้งโรงเรียนแหละจ้ะพ่อคุณ" อาจารย์บุปฝา ครูประจำชั้นสมัยม.สี่ของแว่นแซวเสียงสูง "จ้องกันไปหลบกันมาจนพวกครูนึกว่าหนังแขก"
นี่มันอะไรกัน...แว่นอยากยกมือกุมหัวให้ธรณีสูบเขาลงไปในรอยแยกมันตอนนี้
"แล้วนี่...อาจารย์ไปพนันกันตอนไหนครับเนี่ย" กวินภพมีสีหน้าเพลียจิตอย่างรุนแรง เขาไม่รู้จะโกรธหรือจะขำเหล่าอาจารย์ที่ดูจะสนใจเรื่องของพวกเขามากเกินไปดี
"ก็ตอนที่เธอปีนรั้วโรงเรียนไปดูนรธีร์เปลี่ยนชุดนั่นแหละ"
แว่นหันขวับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างตกใจ ยกมือขึ้นปิดเรือนร่างของตัวเองแล้วก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ
"ผมบอกแล้วไงว่าผมปีนไปเก็บบอล ทำไมไม่มีใครเชื่อผมบ้าง!"
เกือบจะดีอยู่แล้วกลายเป็นโรคจิตเฉยเลย
นี่เขาหน้าตาหื่นกามขนาดนั้นรึไงกัน
"จ้า พ่อคุณ เก็บบอลก็เก็บบอล" น้ำเสียงของอาจารย์แต่ละท่านไม่มีความเชื่อถือในคำพูดของชายหนุ่มซักนิด
"เอ้อ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว คาบสุดท้ายพอดี สองคนไปแนะแนวน้องกับครูหน่อยสิ" อาจารย์ปรียา ครูแนะแนวร่างท้วมใจดีที่มักจะหาเรื่องทำทุกอย่างให้ตัวเองไม่ต้องสอนลากพวกเขาออกมาจากห้องพักครู ดับฝันการขอลากลับของกวินภพอย่างง่ายดาย
"...ครับ ก็ทั้งหมดก็ประมาณนี้" แว่นส่งไมค์คืนให้อาจารย์หลังจากพูดจบ เมื่อทั้งสองสามารถปลีกตัวออกมาได้ในที่สุด กวินภพพยายามรวบรวมความกล้าที่ปลิวหายไปในจักรวาลเวิ้งว้างอันไกลโพ้นแล้วหันไปหาคนที่เดินอยู่ข้างๆเขา
"คือพี่..."
"พี่แว๊นนนนนนน" เสียงแหกปากของเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดนักเรียนดังขึ้นก่อนจะเจ้าของเสียงจะวิ่งเข้ามากอดร่างเล็กด้วยความไวแสง "ฮืออออ ผมคิดถึงพี่ที่สุดเลยยยยย"
"ให้มันน้อยๆหน่อยไอ้วินด์"แว่นผลักศีรษะน้องรหัสของตนอย่างหมั่นไส้ ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาไม่พอใจของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างแม้แต่น้อย โชคดีที่วินด์เริ่มรับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างของกวินภพถึงได้ยอมแกะมือออกจากพี่รหัสของตน
"แหะๆ แฟนดุเนอะ" เด็กหนุ่มม.หกกลืนน้ำลาย แว่นอ้าปากจะปฎิเสธ แต่เปลี่ยนใจไม่พูดอะไร
เรียกรอยยิ้มจากคนหน้าดุได้เป็นอย่างดี
"จริงสิ ที่ชมรมกำลังทำกิจกรรมอยู่ พี่แว่นไปหาน้องกัน ป่ะๆ" พูดเสร็จก็ลากรุ่นพี่ของตนไปทางห้องชมรม แว่นที่ขืนตัวไม่ทันหันกลับไปส่งสายตาของความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม แต่กวินภพเพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินตามมาเงียบๆ
สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ความกล้าที่กระจายคนละทิศละทางไปในตอนต้นหายไปอย่างกู่ไม่กลับ กวินภพจึงได้แต่ขับรถพาร่างเล็กที่นั่งเหม่ออยู่ข้างๆกลับไปยังคอนโดของตน
ถ้าไอ้เหนือรู้....เขาโดนฆ่าแน่
แต่ความอบอุ่นของมือเล็กที่เอื้อมมาจับมือเขาไว้ตอนที่ชายหนุ่มพยายามพูดความในใจและแววตาเอาใจช่วยของแว่น ทำให้เขารู้ว่าวันนี้ไม่ได้ล้มเหลวอย่างที่เขาคิด
ชายหนุ่มเลี้ยวเข้ามาจอดในที่จอดประจำ แว่นที่นั่งเงียบตั้งแต่ขึ้นมาบนรถเอ่ยขึ้นเบาๆ
"ไข่หมดแล้ว เดี๋ยวผมไปซื้อที่ซุปเปอร์นะครับ"
"อื้อ พี่ขึ้นไปรอบนห้องนะ" กวินภพว่า พยายามยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดแล้วปลดล็อครถของตน
มือขาวเอื้อมมาจับข้อมือของเขาไว้ กวินภพก้มมองอย่างงุนงงแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
"ผมน่ะ เชื่อว่าคนบนโลกนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าใครจะได้รับความรัก หรือใครที่ไม่มีสิทธิ์จะได้รับมัน" เด็กหนุ่มเอ่ย เสตามองไปยังคอนโซลรถอย่างไม่กล้าสบตากวินภพ
"แว่น..."
"ผมเชื่อว่าคนอย่างผมไม่คู่ควรกับคำคำนั้น ไม่คู่ควรกับการได้รับคำคำนั้นจากใคร" เด็กหนุ่มเม้มปาก "ผมเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด"
"...."
"ทั้งที่ผม..แค่อยากจะมองพี่อยู่ห่างๆแท้ๆ"
"...."
"ขอบคุณนะครับพี่กล้า"
"!!!!"
ริมฝีปากปากนุ่มที่เขาเฝ้าฝันถึงมาตลอดสามปีทาบทับลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา
ขอบคุณนะครับสำหรับความอดทน...
ถึงแม้ผมจะไม่คู่ควรกับมันเลยก็ตาม
คนขี้ขลาดอย่างแว่นทำได้เพียงส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านจุมพิตอ่อนโยนที่ข้างแก้มนั้น
"มะ...ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอกนะครับที่พูดไม่เก่ง" เด็กหนุ่มตีสีหน้านิ่งทั้งที่หน้าแดงก่ำ กระโดดแผล็วลงจากรถแล้ววิ่งตื๋อเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นแต่จุดที่ยังอุ่นจากริมฝีปากนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
-------------
อย่าเพิ่งตื้บแว่น