11th Diagnosis: Angina || เจ็บที่ใจ...ไม่ตายหรอก
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ใช้เวลาตลอดทั้งวันในความเงียบ
ร่างสูงนอนดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นตั้งแต่ทานอาหารเย็นเสร็จ เด็กหนุ่มอยากจะบอกอีกฝ่ายให้เข้านอนได้แล้ว แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่นั่งอ่านหนังสือรอเงียบๆบนเตียง
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอย่างเบื่อหน่าย กดเข้าไปในแอพสีเขียวที่ไม่ได้เปิดดูเสียหลายวัน สายตาภายใต้กรอบแว่นเลื่อนไปหยุดอยู่ที่แชทของบุคคลปริศนาที่ขาดการติดต่อไปนาน
ไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กหนุ่มเริ่มพิมพ์ข้อความ
เด็กแว่น:นี่
หมาน้อยธรรมดา: ครับ?
เด็กแว่น:เรื่องคนที่คุณแอบชอบ....เป็นยังไงบ้าง?
หมาน้อยธรรมดา: อกหักซะแล้วล่ะครับ *สติ๊กเกอร์หมาน้อยยิ้มแป้น*
สิ่งหนึ่งที่แว่นไม่ชอบเกี่ยวกับการส่งข้อความคุยกัน คือการที่เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มของเจ้าหมาน้อย มีน้ำตาของใครซ่อนอยู่
หมาน้อยธรรมดา: ถามทำไมเหรอครับ?
เด็กแว่น:เปล่า แค่อยากรู้
หมาน้อยธรรมดา:แล้วทางคุณล่ะครับ?
เด็กแว่น: ไม่รู้สิ
หมาน้อยธรรมดา: เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ?
แว่นชั่งใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมตอบเรื่องของตัวเอง เขาจะไม่ตอบคำถามบ้างก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย
อีกอย่าง ก็ใช่ว่าจะได้เจอกันเสียเมื่อไหร่เด็กแว่น: เป็นรุ่นพี่
เด็กแว่น: หล่อ เท่ รวย เรียนเก่ง เล่นกีฬาก็เก่ง
เด็กแว่น: สมบูรณ์แบบจนน่าหมั่นไส้เลยล่ะ
อีกฝั่งหนึ่งของบทสนทนา ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟาตัวยาวในกวาดตาไล่อ่านข้อความอย่างรวดเร็ว ร่างสูงหลับตาลงเพื่อข่มอารมณ์
ทั้งที่รู้ไปก็ทรมานตัวเองแท้ๆ
มึงยังจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมาวะกล้า?
ทั้งที่สมองคิดได้แบบนั้น แต่นิ้วมือกลับพิมพ์ไปเอง
หมาน้อยธรรมดา: เป็นรุ่นพี่? หมายถึงพี่ที่โรงเรียน หรือรุ่นพี่ที่มหาลัยเหรอครับ?
เด็กแว่น:ทั้งคู่แหละ
กวินภพพยายามนึกหาวิธีเค้นข้อมูลของชายปริศนาที่แว่นแอบชอบอย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หมาน้อยธรรมดา: แล้ว...ไม่เคยคุยกันเลยเหรอครับ?
เด็กแว่น:ก็คุยนะ เจอกันตลอด
เจอกันตลอด?
เขาก็อยู่กับแว่นตลอดเวลา นอกจากไอ้เหนือ รุ่นพี่ที่อีกฝ่ายเจอบ่อยๆก็มีแค่...
พี่ติณณ์
ไม่ใช่หรอกมั้ง...
กวินภพกัดริมฝีปาก พี่ติณณ์ก็ไม่ใช่เสป็กของแว่นเหมือนกันไม่ใช่รึไง? ถึงแม้พี่ติณณ์จะผิวขาวกว่าเขา แต่ก็ยังจัดว่าเป็นผู้ชาย
ผิวเข้ม ตัวโต แค่พี่ติณณ์หน้าไม่ดุเท่าเขาเพราะไอ้แว่นไร้กรอบกับภาพลักษณ์เทพบุตรชุดขาวนั่นก็เท่านั้น
แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าพี่ชายของเขาเป็น 'ข้อยกเว้น' สำหรับทุกคนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เด็กแว่น: แต่ว่าแต่ก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ
หือ?
หมาน้อยธรรมดา:แล้วแต่ก่อนเป็นแบบไหนเหรอครับ?
เด็กแว่น: สตอล์กเกอร์
ชายหนุ่มสะดุ้งเบาๆราวกับถูกอีกฝ่ายด่าด้วยคำคำนั้น
เด็กแว่น: ขนาดที่เรียนพิเศษผมยังเลือกติวกับติวเตอร์ที่มหาลัยของพี่เค้า คิดว่าแค่ได้เห็นแค่ซักครั้งก็ยังดี
เด็กแว่น:ผมบ้าถึงขั้นยอมทิ้งความฝัน ยอมเลือกที่จะเข้าคณะที่ไม่ได้คิดจะเข้าตั้งแต่แรก แค่เพราะอยากอยู่มหาลัยเดียวกัน
เด็กแว่น: รู้มั้ย? จนถึงตอนนี้แม่ผมยังรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองบังคับให้ผมเรียนในคณะที่ไม่ได้ชอบ
เด็กแว่น:ถ้าแม่รู้ความจริงคงหัวเราะเยาะผมน่าดู
จิ๊กซอว์ทั้งหลายที่กวินภพรวบรวมได้ค่อยๆปะติดปะต่อร้อยเรียงเป็นเรื่องราว
การที่แว่นมาเรียนพิเศษที่มหาวิทยาลัยของเขา
การที่เขาเจออีกฝ่ายในงานของมหาวิทยาลัยบ่อยๆตั้งแต่เข้าเรียน
การที่แว่นเข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์...
แทนที่จะเป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่อีกฝ่ายมุ่งมั่นตั้งใจเอาไว้
'อีกซักสิบปีถ้าพี่ชายมีสัตว์เลี้ยง ถึงตอนนั้นค่อยจ่ายค่าทำแผลทีเดียวก็ได้นะ'รอยยิ้มกว้างที่ทำให้เขาตะลึงค้างยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ
'อย่าลืมนะ มาอุดหนุนคลินิคหมอแว่นด้วยนะ'เพราะที่นี่ไม่มีคณะสัตวแพทย์สินะ
แม่ง...ชายหนุ่มยกแขนก่ายหน้าผาก รู้สึกอยากจะหัวเราะดังๆออกมา
เขาโกรธ...
เขากำลังโกรธมาก...ตั้งแต่เกิดมา กวินภพเป็นที่สองรองจากพี่ชายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน กีฬา หรือแม้กระทั่งเรื่องหน้าตา
พี่ติณณ์เป็นลูกชายคนโตของทั้งฝั่งบิดาและมารดา ทำให้มีแต่คนสนใจและอยากเข้าหา ด้วยบุคคลิกที่เป็นคนมั่นใจในตัวเอง ทำให้เขายิ่งดูโดดเด่นกว่าที่เป็นอยู่
ไม่เหมือนกับกวินภพ
ตั้งแต่เล็กจนโต เพื่อนคนเดียวที่เขามีคือเหนือฟ้า คนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงแค่ใช้เขาเป็นสะพานไปหาพี่ชาย ทั้งลูกหลานของหุ้นส่วนบริษัท เพื่อนในชั้น ไปจนถึงแฟนสาวสมัยมัธยมต้นของเขา
ไม่รู้ว่าจุดไหนของชีวิตที่ชายหนุ่มเลือกที่จะยอมแพ้
จากเด็กที่ขี้อายและมักจะหลบอยู่หลังพี่ชายและเพื่อนสนิท กลายเด็กหนุ่มที่ไม่พูดไม่จา ไม่คิดจะคบค้าสมาคมกับคนใหม่ๆ แม้เขาจะเทิดทูนพี่ชายเป็นเหมือนไอดอลของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก แต่กวินภพก็ต้องยอมรับว่าการเป็นน้องของติณณ์ภพมันช่าง
เหนื่อยเหลือเกิน
คนอย่างเขา ต่อให้พยายามแทบตายก็เป็นได้แค่เงา
ในสายตาของทุกคน เขาเป็นแค่ 'น้องชายของติณณ์ภพ'
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกอยากพยายามอีกครั้ง คือเด็กมัธยมต้นตัวเล็กๆคนหนึ่งที่วาดภาพความฝันของตนไว้อย่างแจ่มชัด คนที่มีความเป็นตัวของตัวเองจนคนที่ไม่เคยยิ้มอย่างเขาอดยิ้มกว้างตามไม่ได้
คนที่เขาปรารถนาจะให้มีความสุขอยู่ในภาพความฝันสีสดใสตามที่ใจของตนเรียกร้อง
แม้กระทั่งสิ่งนั้น พี่ติณณ์ยังทำลายมันได้โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
แม้จะต้องอยู่ในเงา ต้องเป็นที่สองรองจากอีกฝ่ายซักกี่ครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่กวินภพไม่เคยทำ คือการโกรธเกลียดพี่ชายคนเดียวของเขา
แต่ตอนนี้..."ผมแม่ง...โคตรเกลียดพี่เลยว่ะ"
"อะไรของเขา อ่านแล้วไม่ตอบ" แว่นบ่น "สงสัยจะหลอน"
ไม่รู้ทำไม ภาพสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ที่หูตกตัวสั่นเมื่อเห็นข้อความของเขาถึงได้แว่บเข้ามาในหัว
แว่นรีบยกมือขึ้นปิดปากก่อนตัวเองจะเผลอหลุดขำออกมา เด็กหนุ่มกดปิดหน้าจอแล้วลุกจากเตียงไปดูคนที่ยังคงไม่เข้ามาในห้องนอน
ร่างสูงนอนขดอยู่บนโซฟา ในมือกำโทรศัพท์หน้าจอดับไปแล้วแน่น ลมหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท แว่นตั้งใจจะปลุกเจ้าของห้องเข้าไปนอน แต่เมื่อเห็นว่ากวินภพหลับลึกพอตัวจึงเปลี่ยนใจเดินกลับไปเอาผ้าห่มสำรองจากในตู้เสื้อผ้าออกมาห่มให้ร่างสูง
“ฝันดีนะครับ” แว่นกระซิบ ปิดไฟในห้องนั่งเล่นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพียงลำพัง
วันนี้กวินภพเลือกที่จะขับรถมามหาวิทยาลัยเองโดยอ้างว่าแขนหายดีแล้ว แม้แว่นจะพยายามคัดค้านแต่ร่างสูงไม่ยอมฟัง ดื้อแพ่งจะขับรถมาเรียนเองลูกเดียว แถมตอนขับรถออกมายังดูเหม่อลอยเสียจนคนข้างๆนั่งไม่ติดเบาะอย่างเป็นกังวล
“พี่กล้าครับ ขากลับให้พี่ติณณ์มารับเถอะนะครับ” แว่นขอร้อง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบรับอะไรทั้งนั้น เมื่อมาถึงหน้าตึกเรียน ร่างเล็กที่ยังคงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้กลับกับพี่ชายได้ยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างเหนื่อยหัวใจ
“ผมไปนะครับ”
แว่นเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่กลับเปิดไม่ออก แม้เด็กหนุ่มจะพยายามเปิดล็อคด้วยตัวเองแต่ประตูก็ยังคงปิดสนิท
“เอ่อ...พี่กล้าครับ"
“เป็นพี่ไม่ได้จริงๆเหรอ...” ชายหนุ่มที่นั่งประจำที่คนขับเอ่ยขึ้น สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้าทั้งที่รถจอดนิ่งสนิทแล้ว
“พี่กล้า...”
“พี่รู้..ว่าพี่ไม่ใช่คนที่แว่นต้องการ พี่ไม่ใช่เจ้าชายในเทพนิยาย พี่ไม่ใช่ผู้ชายในฝัน...” กวินภพเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน
“แต่พี่เปลี่ยนได้นะ”
อยากให้พี่เป็นอะไร....ก็ได้ทั้งนั้น
“พี่กล้า มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” เด็กหนุ่มอยากอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่เขาจะทำได้อย่างไร ในเมื่อเด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ
“พี่เป็นตัวแทนได้นะ เรื่องแบบนี้พี่ถนัด” ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้ม “แค่นั้นก็ยังดี...”
“พี่กล้า...” ...ผมชอบพี่
แค่พูดแค่นั้น เขารู้ว่าสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของคนตรงหน้าจะหายไปทันที
“..อย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครเลยนะครับ”
แต่สุดท้ายก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดมันออกไป
เสียงคลิ๊กเบาๆเปิดล็อคประตูรถ แว่นพยายามยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วเปิดประตูลงจากรถไป
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของร่างเล็กไปจนลับสายตา แล้วออกรถกลับไปยังลานจอดรถของคณะบริหาร
“มึงว่าไงนะ กูขออีกที”
เหนือฟ้าไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“แว่นชอบพี่ติณณ์” ชายหนุ่มที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะเอ่ยเสียงอู้อี้
โป๊ก!!“โอ๊ย!”กวินภพยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ถูกเพื่อนรักประทุษร้ายโดยอัตโนมัติ เงยหน้ามองเหนือฟ้าที่ถือหนังสืออยู่ในมือด้วยสายตาเคืองๆ “อะไรของมึงเนี่ย”
“เทสต์ ทีม มึงจดเลคให้พวกกูด้วย” เหนือฟ้าหันไปบอกสองแฝดที่นั่งนิ่งเป็นตัวประกอบไร้บทพูดอยู่ข้างเขา
“ส่วนมึง มากับกูนี่”
กวินภพถูกเพื่อนรักที่ตัวเล็กกว่าเกือบช่วงหัวดึงหูแล้วลากออกมาจากห้องเรียน ชายหนุ่มร้องโอดโอยด้วยความเจ็บแต่ก็ไม่ได้ทำให้เหนือฟ้าเบามือลงจนกระทั่งทั้งสองมาถึงพื้นที่โล่งหลังตึกกคณะที่ไม่มีคนเดินผ่าน
“มึงเอาหลักฐานมาให้กูดูเดี๋ยวนี้เลย” เหนือฟ้าแบมือสั่งเพื่อนที่ยืนลูบหูที่แดงก่ำด้วยความเจ็บ
“กู….”
“ถ้ามึงบอกกูว่ามึงมโนขึ้นมาเองกูจะโบกมึงด้วยหลังมือนี่แหละ”คนตัวเล็กกว่าทำเสียงดุ
กวินภพหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาเปิดบทสนทนาของตนกับแว่นแล้วส่งให้อีกฝ่าย เหนือฟ้ารับไปอ่านอย่างรวดเร็ว แววตาที่ดูหงุดหงิดเมื่อครู่เบิกกว้างเมื่อไล่อ่านจนจบ ชายหนุ่มตวัดสายตาขึ้นมองเพื่อนรักด้วยสายตาเพลียจิตจนถึงขีดสุด
“ไอ้จ๊าดง่าวววววว”
“โอ๊ยๆๆ มึงทุบกูทำไมเนี่ย” กวินภพยกแขนกันมือที่ทุบรัวลงมาไม่ยั้ง
“ไอ้คนไม่ฉลาด ไอ้คนสมองเท่าเมล็ดถั่ว ไอ้สมองน้อย..ไอ้ ...ไอ้เซริเบลลัม!” เหนือฟ้าทุบเพื่อนรักไม่ยั้งมือจนตัวเองเริ่มหอบเสียเอง “ถ้ามึงเอาไอ้นี่มาให้กูดูตั้งแต่แรก มึงได้ลงเอยกับน้องไปนานแล้ว”
“ฮะ?”
คนโดนทุบลืมความเจ็บไปชั่วขณะ ก่อนจะร้องจ๊ากออกมาอีกรอบเมื่อโดนเพื่อนรักดึงหูให้นั่งลงบนม้านั่งเก่าๆที่วางอยู่แถวนั้น
“ไอ้กล้า มึงดูข้อความนะ” เหนือฟ้าสไลด์กลับขึ้นไปข้อความเมื่ิอวาน “แล้วคิดตามกู ใช้สมองนะ กูขอร้อง”
“เออๆ กูรู้ว่ากูโง่” ร่างสูงพึมพำ
“รู้ตัวก็ดี ดูนี่” เหนือฟ้าจิ้มที่ข้อความแรก“รุ่นพี่ทั้งที่โรงเรียนทั้งที่มหาลัย มึงนับซิว่าจะมีซักกี่คน”
“มีพี่ติณณ์ กู แล้วก็มึง” กวินภพตอบอย่างว่าง่าย
“น้องมาติวที่ร้านกาแฟที่มึงชอบไปนักหนา จำได้มั้ยที่มึงไปกินวันแรกแล้วบังเอิญเจอน้อง หลังจากนั้นมึงก็ไปสิงอยู่ที่นั่นทุกวัน
ที่น้องไปเรียน” เนหือฟ้าเกริ่น “มึงคิดตามกูนะ ถ้าน้องอยากจะตามติดชีวิตพี่ติณณ์จริงๆ ตอนนั้นพี่เขาอยู่ที่ไหน?”
“คณะแพทย์” จากเวลาในตอนนั้นติณณ์ภพอยู่ปีสอง เขาอยู่ปีหนึ่ง และแว่นอยู่ม.ห้า
“แล้วมึงคิดว่าเด็กที่อยากจะเจอพี่ติณณ์จนตัวสั่น จะยอมทิ้งทำเลทองของร้านกาแฟเกือบสิบร้านในคณะมานั่งติวที่ร้านกาแฟร้านเดียวข้างตึกบริหารมั้ย?”
เอ่อ....
เหนือถอนหายใจยาวๆเมื่อเห็นกวินภพพยายามจะคิดตามคำพูดของเขาอย่างยากลำบาก เขาไม่รู้จริงๆว่ามันสอบได้เอรวดมาโดยตลอดได้ยังไง
“ส่วนอันสุดท้ายนี่...” เหนือฟ้าตบบ่าเพื่อน “กูไม่รู้จะชมหรือจะด่ามึงดีว่ะ”
แว่น...ชอบเขา?
แว่นชอบเขาจริงๆงั้นเหรอ?
เขาเนี่ยนะ?
ไอ้กล้าคนนี้เนี่ยนะ?“นี่กู..เป็นต้นเหตุให้น้องทิ้งความฝันของตัวเองเหรอวะ?” กวินภพก้มหน้านิ่ง “กูทำให้น้องต้องเลือก....”
ปั้ก!!สันมือเรียวฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมของชายหนุ่มที่กำลังจะเปิดโหมดซึมเศร้า
“ไอ้เวรนี่ จากที่กูพูดมาปากเปียกปากแฉะนี่มึงจับใจความได้แค่นั้นน่ะนะ?!”เหนือฟ้าถามอย่างท้อแท้ ร่างโปร่งทรุดตัวลงข้างเพื่อนสนิทอย่างหมดแรง “กูไม่รู้หรอกนะว่ามันยังไง ถึงมึงจะมีส่วนทำให้น้องเลือกที่จะมาเป็นหมอ แต่กูว่าคนอย่างน้องแว่นไม่ใช่คนที่จะตัดสินเรื่องพวกนี้จากการวิ่งตามผู้ชายอย่างเดียวหรอก”
“แต่..” กวินภพแย้งเสียงอ่อย “กูก็ลองขอคบ...”
“มึงไม่ได้ขอคบกับน้อง ไอ้กล้า” เหนือฟ้าหลับตาลงอย่างปวกกบาลถึงที่สุด “มึงขอเด็กคนนึงที่มึงไม่เคยแม้แต่จะออกเดทด้วยให้เป็นกิจลักษณะให้หอบข้าวหอบของย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่กับมึง”
“ก็กูไม่รู้จะพูดยังไง”ร่างสูงยังคงเถียง
“กล้า กูจะแนะนำมึงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วถ้าครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ กูก็แนะนำให้มึงตัดใจ มูฟออน ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคมได้แล้ว กูรำคาญ” เหนือฟ้าขยับนั่งตัวตรง หันมาหาเพื่อนรักตั้งแต่สมัยอนุบาลของตน “มึงจำตอนที่มึงแขนหักตอนเล่นบาสสมัยประถมได้มั้ย”
กวินภพพยักหน้างงๆ
“จำได้มั้ยว่าหลังจากที่มึงถอดเฝือกหลายเดือนแล้ว พอมีคนโยนลูกบอลมาทางมึง มึงทำยังไง”
“เก็บแขน จะได้ไม่โดนบอล” ชายหนุ่มตอบ ยังคงไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักต้องการจะสื่ออะไร
“หัวใจคนก็เหมือนอวัยวะอื่นนั่นแหละกล้า ถ้ามันเคยเจ็บ ต่อให้แผลหายไปนานแล้ว บางทีคนเราก็เผลอกันมันไว้ ไม่ให้ถูก
ทำร้ายอีก” เหนือฟ้ารู้ดีว่าตนไม่ได้พูดถึงแค่แว่น เขาดูออกว่าเด็กหนุ่มต้องผ่านอะไรที่เลวร้ายมาพอสมควร แต่ที่ไม่คิดจะบอก
เรื่องที่เขาสงสัยกับกวินภพ เพราะเขารู้ว่าแผลบางอย่าง ถ้าฝืนกลับมาทำอะไรเหมือนปกติเร็วเกินไป มันจะติดเชื้อเสียเปล่าๆ
บางครั้งแผลถึงกับเน่าเฟะ และต้องตัดทิ้งในที่สุด
แต่ดูจากสภาพการณ์แล้ว ถ้าไม่รีบทำอะไรซักอย่างกับสองคนนี้ มีหวังคนที่จะเป็นบ้าเสียก่อนก็น่าจะเป็นเขานี่แหละ
เพราะถึงแม้น้องแว่นจะปิดกั้นตัวเองจนน่ากลัว แต่มันก็ต้องใช้ความซื่อบื้อระดับหนึ่งในฝั่งของกวินภพถึงจะทำให้เรื่องอิรุงตุงนังโดยไม่จำเป็นได้ขนาดนี้
“กูไม่รู้หรอกนะว่าน้องเจออะไรมา แต่ถ้าเป็นกู จู่ๆรุ่นพี่สุดป๊อปปูล่า หล่อ เท่ แถมยัง ‘สมบูรณ์แบบจนน่าหมั่นไส้’...” เหนือฟ้าทำนิ้วเป็นเครื่องหมายคำพูดในอากาศ “...เดินมาบอกกูว่าเขาชอบกูทั้งที่ก่อนหน้านี้คุยกันจนแทบจะนับครั้งได้ กูก็สงสัยเหมือนกันนั่นแหละว่ามึงแกล้งกันรึเปล่า"
“อ้าว แล้ววันที่มึงวิ่งไปบอกน้องว่ากูชอบคืออะไรวะ” กวินภพโวยวาย
“ก็ใครจะนึกว่าเพื่อนจะไก่อ่อนแบบนี้วะ” เหนือฟ้าตอกกลับอย่างหงุดหงิด
“แล้วเรื่องทางพี่ติณณ์ล่ะ ถึงแว่นไม่ได้ชอบพี่ติณณ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ติณณ์จะไม่ชอบแว่นนะ” กวินภพถามอย่างข้องใจ
“ไม่ต้องห่วง กูไปสืบมาแล้ว ตอนนี้พี่ติณณ์มีคนที่ตามจีบอยู่ แถมยังติดพันกันสุดๆ มึงไม่ต้องกลัวอะไรหรอก” เหนือฟ้าโกหก
หน้าตาย สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ดีกว่าติณณ์ภพ
“จริงเหรอ” ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายด้วยความดีใจ
“กูเคยโกหกมึงด้วยเหรอวะ” เหนือฟ้าถามย้อน “เชื่อใจกูสิกล้า"
กูไม่มีวันปล่อยให้ใครทำร้ายมึง“ที่มึงควรทำในตอนนี้น่ะ คือ..."
“แว่น เป็นไรวะ ทำไมกินน้อยจัง” แทนไทยถามเพื่อนที่เขี่ยข้าวในจานไปมาอย่างเป็นห่วง
“มึงกับพี่อุ่นเป้นไงกันบ้างวะ” แว่นถามกลับ ไม่ยอมตอบคำถามแรกของเพื่อนสนิท แทนไทยหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคนรักอายุมากกว่าที่ไม่ได้เจอกันมาสองสามวันแล้ว
“ก็ดีอ่ะ แต่ช่วงนี้พี่เขายุ่งๆ”
“เหรอ...” แว่นยังคงเขี่ยข้าวเล่นไปมาอย่างไม่สนใจจะกิน ซึ่งสำหรับคนที่เห็นอาหารเป็นพระเจ้าอย่างเด็กหนุ่มถือเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยเอามากๆ
“แล้วมึงกับพี่กล้าล่ะ” แทนไทยถามต่อ ยิ่งรู้สึกกังวลเมื่อคนที่ปกติตีสีหน้านิ่งจนอ่านไม่ออกอย่างแว่นมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“กูว่า...พี่เขาคงเหนื่อยแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มเศร้า ก้มหน้าเขี่ยข้าวเพื่อซ่อนน้ำตาที่รื้นอยู่ตรงขอบตาจากเพื่อนสนิท
ทั้งที่แค่อยากมองอยู่ห่างๆแท้ๆ
ทำไมคนอย่างพี่กล้าถึงต้องมาชอบเขาด้วย
ทำไม...
“เอ่อ...กูว่าคงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง...”
“มึงจะไปรู้อะไรวะ?”
แว่นถามกลับเสียงขื่น เขารู้ว่าตัวเองทำผิด....รู้ตั้งแต่วินาทีที่พูดคำว่า “ผมไม่รู้” ออกไป
แต่เขาจะแก้ไขอะไรได้....
มึงเลือกเองไม่ใช่เหรอวะแว่น?
“รู้ว่าคนที่เขาเลิกพยายามแล้วคงไม่เดินมาหามึงพร้อมช่อดอกกุหลาบอันเท่าหัวหรอก”
หือ? อะไรนะ?
เด็กหนุ่มหันหลังไปมองตามที่เพื่อนรักชี้ กวินภพที่เดินลงมาจากรถหอบช่อกุหลาบช่อใหญ่ที่เต็มไปด้วยกุหลาบแดง ขาว และชมพูในกระดาษห่อสีฟ้าคุ้นตา ไม่สนใจเหล่านักศึกษาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปแม้แต่น้อย
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาเคยเห็นกุหลาบช่อนี้ที่ไหนมาก่อนนะ
“แว่น...” กวินภพยื่นช่อกุหลาบให้เด็กหนุ่มที่ยังคงตกใจกับการปรากฎตัวของเขา
“พี่กล้าไม่มีเรียนเหรอครับ” แว่นถามอย่างงุนงง
“โดดน่ะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เอ๊ะ? แล้ว...นี่มันอะไรกันครับ” แว่นไม่รู้จะถามเรื่องโดดเรียนหรือเรื่องดอกกุหลาบในมือ ได้แต่มองช่อดอกไม้สลลับกับคนให้
อย่างสับสน
“พี่เอามาคืน” กวินภพยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่เหลือคราบชายหนุ่มเมื่อเช้า
“คืน?” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ
“มากันพี่หน่อยได้มั้ย พี่มีอะไรจะให้ดู” ร่างสูงดึงข้อมือเด็กหนุ่มให้ลุกตาม แว่นที่ยังคงประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ปลิวติดมือชายหนุ่มมาอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มรีบท้วง
“ผมมีเรียนบ่ายสาม..”
“คลาสพันคนมึงไม่เข้าก็ไม่มีใครรู้หรอก” แทนไทยขัด โยนกระเป๋าของร่างเล็กให้กวินภพอย่างอำนวยความสะดวกเต็มที่ “ไม่ต้องกลับมานะเดี๋ยวกูจดให้”
รู้ตัวอีกทีก็มานั่งในรถสปอร์ตคันหรูของอีกฝ่ายเสียแล้ว
“พี่กล้า...เรื่องเมื่อวาน....” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ อย่างน้อยที่สุดเขาก็อยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“แว่น...จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยขัด
“เอ๊ะ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สมัยมัธยมเขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยคุยกับอีกฝ่าย พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็น่าจะมีแค่เรื่องทำกุญแจตกนี่แหละที่ทำให้พวกเขาได้พูดคุยกัน
รถยนสีดำสนิทจอดเทียบที่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายที่แว่นเพิ่งก้าวออกจากรั้วของมันมาไม่กี่เดือน ร่างสูงดับเครื่องยนต์แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้อีกฝ่ายลงมาจากรถ
“แว่นจำวันที่แว่นมามอบตัวได้มั้ย?”
“วันที่มามอบตัว....อ๊ะ!!” เด็กหนุ่มเปิดตากว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มดึงมาสก์ปิดหน้าที่มีลายรูปจมูกและปากของสุนัขออกมาจาก
กระเป๋ากางเกงแล้วสวม ก่อนจะดึงแว่นสายตาที่ตนไม่เคยใส่ให้ใครเห็นออกมาใส่
“จำพี่ได้รึยังครับ” เสียงอู้อี้แต่ยังคงพอจับใจความได้ดังลอดออกมาจากใต้หน้ากาก แม้ริมฝีปากจะถูกบังอยู่แต่ด้วยตาที่หยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นทำให้รู้ว่าชายหนุ่มกำลังยิ้มกว้าง
เป็นไปตามแผน....
เด็กหนุ่มได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง มือที่ถือช่อดอกกุหลาบอยู่พลันอ่อนแรงจนทำให้ดอกไม้ช่อใหญ่ตกลงบนพื้น
เช่นเดียวกับวันที่พวกเขาพบกันครั้งแรก...__________
กะจะลงพรุ่งนี้ แต่สารภาพว่ากลัวแว่นตาย
อย่าเพิ่งฆ่าน้อง
น้องไม่ได้ตั้งใจ
สัญญาจะให้น้องชดใช้ให้หวานๆ
ทุกคนcalm downnnnnnnnn ฮืออออออ
ไรท์ตดใจแทนแล้วเนี่ย 5555555