-14-
“พี่ชอบโซ”
เอ่อ…
“ฮิ้ววววววววววววววววววววววววววววว”
“กูว่าแล้วไง”
“ไม่แห้วแล้วนะน้องรัก”
“ขอบคุณกูเลยนะมึง”
“เพื่อนกูไม่ธรรมดาว่ะ”
ก็ไม่ใช่ว่าพูดไปแบบไม่คิดหรอกนะ แต่พอมาได้ยินแซวกันโต้งๆแบบนี้ก็เขินอยู่เหมือนกัน
ผมยกมือเกาหัวแล้วหัวเราะเบาๆ ส่วนคนที่โดนบอกว่าชอบนี่ก็นิ่งค้างไปแล้ว ผ่านมาสักพักก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
“เฮ้ย!”เก้าเดินเข้ามาสะกิดโซโล่ยิ้มๆจนเจ้าตัวสะดุ้ง
รอยยิ้มกว้างที่เพิ่งได้รับมาจนทำให้ผมพูดคำว่าชอบออกไปตรงๆปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง โซโล่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามากกว่านั้น เจ้าตัวหุบยิ้มในเวลาอันรวดเร็ว แล้วกระโดดลงจากเวทีมาดึงแขนผมให้เดินตาม
ผมสบตาเคที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วก็ก้มหัวให้เขาเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษ ถึงจะตอบรับไม่ได้แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นรุ่นน้องแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับผมด้วย ยังไงผมก็อยากจะรักษาความสัมพันธ์ดีๆไว้ ซึ่งเคก็ไม่พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มเศร้ามาให้
“พาเพื่อนกูไปไหนวะน่ะ”
ผมได้ยินเสียงไอ้โนว์ตะโกนตามหลังมาแว่วๆพร้อมเสียงแซวจ้อแจ้จนจับใจความไม่ได้ว่าเป็นของใคร
โซโล่ที่ลากผมเดินไวๆเริ่มผ่อนแรงและความไวลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งในที่สุด ดูเหมือนจะเดินมาไกลพอควร เพราะเมื่อผมหันกลับไปก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว เห็นแค่ตัวรีสอร์ทอยู่ไกลๆ
“โซ…”
โซโล่หันกลับมาหาผมแล้วปล่อยมือออก ใบหน้านิ่งจนผมดูไม่ออกว่าคิดอะไร
ปฏิกิริยาแบบนี้มันคืออะไรล่ะเนี่ย…
“กีตาร์…”โซโล่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือเสยผมแล้วเงยหน้ามองฟ้า มองนานจนผมต้องเงยหน้ามองบ้าง
ก็แค่ฟ้ามืดๆ ไม่เห็นจะมีอะไร
“โซมองอะ…”คำพูดที่ตั้งใจจะถามหยุดชะงัก เมื่อผมก้มหน้ากลับลงมาแล้วพบกับรอยยิ้มที่กว้างยิ่งกว่าตอนอยู่บนเวทีของคนตรงหน้า
“ผมก็ชอบกีตาร์”
“…”
เวลาโดนบอกชอบมันรู้สึกแบบนี้เองสินะ…
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโซโล่ถึงยืนนิ่งอยู่บนเวทีตั้งนาน เพราะตอนนี้ผมก็กำลังทำไม่ต่างกัน หัวมันว่างเปล่าไปหมด แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกมา
อยู่ๆก็พูด…
ไม่ให้เวลาตั้งตัวเลยคนเรา…
“อย่าเอามือปิดหน้า”
ผมถลึงตาใส่คนที่ดึงมือผมลงอย่างเคืองๆ ผมปิดหน้าไม่ได้…แล้วที่ตัวเองเงยหน้ามองฟ้าตั้งนานนั่นมันอะไรกัน
“ยิ้มอะไรครับ”
“ก็กีตาร์เขิน”
“แล้วตัวเองไม่เขินหรือไง”
“ก็เขิน…”โซโล่ยักไหล่ตอบง่ายๆ ผมอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางฝืนๆที่เจ้าตัวพยายามทำให้ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร “แต่ไม่ได้เขินแล้วน่ารักเหมือนกีตาร์”
โห…เล่นงี้เลยเหรอ
ผมยิ้มออกมานิดๆแล้วจ้องตาโซโล่เขม็ง เขาเองก็มองกลับมาเหมือนกำลังสงสัยว่าผมจะทำอะไร
“แล้วใครบอกว่าโซไม่น่ารักครับ”
“…”
“สำหรับพี่…ออกจะน่ารัก”
เขาเรียกว่า Counter Attack
โซโล่ดูจะอึ้งไปหน่อยๆเหมือนทำอะไรไม่ถูก ท่าทางนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่อยู่
“กีตาร์หัวเราะผมเหรอ”โซโล่เปลี่ยนกลับมาทำหน้าบึ้ง
“ก็ท่าทางโซมัน…ฮ่าๆ”
“ท่าทางผมทำไม”โซโล่ยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาหา เล่นเอาผมหยุดหัวเราะแทบไม่ทัน เท้าก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว…ก็ท่าทางนั่นมันดูน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่
“เอ่อ…”
“ทำไมครับกีตาร์”สายตาคมๆนั่นจ้องผมเหมือนจะมองให้ทะลุ
“ก็มันเหมือน…หมาเอ๋อ”ผมหัวเราะเสียงดัง ขำจนตัวงอเมื่อหมาตัวที่ว่ากำลังทำท่าทางแบบที่บอกออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“กล้าว่าผมเหรอกีตาร์!”
ผมเผลอถอยห่างเมื่อคนตรงหน้าแสยะยิ้มแล้วยื่นมือมาหา ท่าทางไม่น่าไว้ใจนั่นมันอะไรกัน
“โซจะทำอะไรครับ”
“เดี๋ยวก็รู้”
ถามว่าจะรอจนรู้ไหม…ขอตอบว่าไม่
“ไม่อยากรู้!”ผมออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าไปตามแนวหาด แต่เพราะมันเป็นทรายเลยทำให้ลำบากไปหน่อย สุดท้ายเลยต้องสลัดรองเท้าทิ้งแล้ววิ่งเท้าเปล่าแทน
“หยุดวิ่งนะกีตาร์!”
“ไม่เอา!”
หยุดก็โง่แล้ว ทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจชัดเจนขนาดนั้น
“ถ้าไม่หยุดโดนสองเท่า!”
ไม่รู้เพราะกลัวไอ้ประโยคที่ว่าหรือเพราะตกใจเลยทำให้ผมชะงักไปวูบหนึ่ง วูบเดียวเท่านั้น แต่…
หมับ!
พลาดแล้ว
“จับได้แล้ว”
ผมถูกดึงแขนจนหงายหลังไปทับอีกคนเข้าอย่างจัง ดูเหมือนเจ้าหมานี่จะลืมไปว่าผมไม่ได้ตัวบางถึงขนาดที่เขาจะรับน้ำหนักได้เต็มๆ เลยกลายเป็นว่าเราล้มลงไปกองกับพื้นกันทั้งคู่
“โซปล่อยพี่เลย”ผมดิ้นเมื่อแขนอีกคนกอดไว้รอบเอวไม่ยอมปล่อย แถมยังไม่ยอมลุกขึ้นด้วย “ไม่หนักหรือไง”
“กีตาร์ต้องโดนทำโทษ”โซโล่พูดเสียงเข้มแล้วพลิกตัวให้ผมลงไปนอนด้านล่างแทน ตาคมนั่นเป็นประกายวิบวับ
และขอบอกซ้ำอีกครั้งว่ามันไม่น่าไว้ใจสุดๆ!
“จะทำอะไรครับ”ผมพูดเสียงสั่นเมื่อเขาก้มหน้าลงมาใกล้จนจมูกเกือบชนกัน
“จะทำแบบนี้ไง”
“โอ๊ยยยย โซหยุดนะ!ฮ่า…โซ….ฮ่าๆ”
“หึ…”
“โซ…ฮ่า…ฮ่าๆ…พี่เหนื่อย…”
“ทำไงก่อน”
“ขอโทษครับ!”
ผมหยุดขำแล้วจ้องหน้าหมาหน้านิ่งที่พัฒนาเป็นหมาเจ้าเล่ห์อย่างเคืองๆ
หมาบ้านี่มันจี้เอวผม!
“ไม่ต้องยิ้มเลย!”ผมดึงแก้มขาวนั่นอย่างแรง ไม่สนใจคนที่ทำหน้าเจ็บปวด
“มือเลอะทรายแล้วเอามาจับหน้า”โซโล่บ่นแบบไม่จริงจังนักก่อนจะเอาคืนด้วยการดึงแก้มผมบ้าง
“โซ!”
หลังจากบีบแก้มกันไปมาสักพักไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นเสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ ผมเพิ่งเคยเห็นเจ้าหมานี่หัวเราะแบบนี้เป็นครั้งแรก หัวเราะด้วยใบหน้าที่ดูมีความสุขเหมือนคนละคนกับเวลาปกติ
โซโล่ล้มตัวลงนอนข้างๆผม เรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิดที่พอจะมีดาวให้เห็นอยู่บ้าง ผมไม่แน่ใจนักว่าครั้งสุดท้ายที่รู้สึกสบายใจแบบนี้มันคือเมื่อไหร่
ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศสบายๆหรือเพราะคนข้างๆ แต่ถ้าถามผมตอนนี้ก็คงต้องตอบแบบไม่คิดว่าทั้งสองอย่าง
“โซรู้ได้ยังไงครับว่าวันนี้วันเกิดพี่”ผมถามด้วยรอยยิ้มมีความสุข ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มองอยู่
ไม่มีคนอวยพรวันเกิดให้นานแค่ไหนแล้วนะ…บางทีอาจจะตั้งแต่แยกกับแม่ใหญ่
ผมไม่เคยบอกใครว่าเกิดวันไหน พวกเพื่อนเองก็อาจจะลืมเพราะผมไม่เคยพูดถึงแล้วก็ไม่เคยตั้งค่าแสดงวันเกิดในเฟส โซโล่เป็นคนแรกในรอบสี่ปีที่พูดคำนี้ออกมา
“ผมแอบเปิดกระเป๋าตังค์กีตาร์ตั้งแต่วันที่ไปหาที่ร้านวันแรก…”
แอบเปิด!?
แล้วที่สำคัญไปเปิดตอนไหน ปกติผมจะวางกระเป๋าไว้หลังเคาน์เตอร์ตลอด แล้วเจ้าหมานี่เอาเวลาที่ไหนไปเปิดเนี่ย
ผมหันขวับไปมองดุๆ แต่เพราะโซโล่เอาแต่มองท้องฟ้าเลยไม่เห็น ไม่รู้ว่าที่มองนี่คือหนีความผิดหรือเหม่อจริงๆ
“จริงๆแค่อยากรู้ว่ามีใครอยู่ในใจหรือเปล่า เก้าบอกว่าพวกคนมีแฟนหรือมีคนที่ชอบชอบเอารูปเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์ ผมเปิดดูก็เลยเห็นรูปกีตาร์ที่มีวันเกิดเขียนไว้”
ผมหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่อยู่กับคำพูดของคนที่เชื่อเพื่อนไปเสียทุกอย่าง
เก้านี่มันเด็กแสบจริงๆ…
รูปที่โซโล่บอกคือรูปถ่ายตอนผมอายุสิบสาม เป็นภาพถ่ายรวมของผมกับน้องๆคนอื่นๆที่ยืนอยู่หน้าเค้กก้อนเล็กๆที่เราต้องแบ่งกันกินคนละคำ ด้านหลังภาพเขียนอวยพรวันเกิดและลงวันที่ไว้ด้วยลายมือสวยๆของแม่ใหญ่
และนั่น…เป็นภาพสุดท้ายที่เราได้ถ่ายด้วยกัน
“ขอบคุณมากนะครับ…”ผมพูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้หันไปมองว่าโซโล่กำลังทำหน้าแบบไหน “โซเป็นคนแรกที่ทำเพื่อพี่ขนาดนี้”
ไม่ใช่แค่พูดว่าHappy birthday my guitar แต่ผมหมายถึงทุกเรื่องที่เขาทำ ทั้งการที่ซ้อมหนักเพื่อผม เตรียมแผนนี้ รวมถึงแสดงออกให้ทุกคนเห็น
จะว่าไปดูเหมือนไอ้คำว่ามายกีตาร์มันจะติดหัวไม่ยอมหายไปเสียที
“ยิ้มอะไร”เสียงถามดังขึ้นพร้อมกับนิ้วมือที่จิ้มลงมาที่มุมปากของผม
“มีความสุขก็ยิ้มสิครับ”ผมหันหน้าไปฉีกยิ้มกว้างใส่โซโล่ และมันคงตลกน่าดูอีกคนถึงได้หัวเราะออกมา ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าเวลายิ้มตัวเองดูดีขนาดไหน ถ้าคนในเพจหรือขิมมาเห็นนี่สงสัยกรี๊ดตายแน่ๆ
“กีตาร์…”
“ครับ”
“ผมไม่เคยมีความรัก”
“พี่ก็ไม่เคย”จะเอาเวลาที่ไหนไปมี วันๆเอาแต่เรียนกับทำงานไม่หยุด เพิ่งจะได้พักบ้างก็ปีนี้เอง อีกอย่างผมก็ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษด้วย
แล้วนี่อยู่ๆมาถามทำไมล่ะเนี่ย
“เราชอบกัน”
“อือฮึ”
“ควรจะคบกันไหม”
ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินประโยคคำถามนั่น ซึ่งอีกคนก็ลุกขึ้นมานั่งตามโดยไม่พูดเร่งเอาคำตอบอะไร
“ทำไมโซถึงถามว่าควรจะคบกันไหมล่ะครับ”ผมยิ้ม ในขณะที่โซโล่ขมวดคิ้วเหมือนกำลังครุ่นคิด
“ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้แต่ก็รู้ดีว่ามันคืออะไร แล้วเก้าก็บอกว่าถ้าอยากมีสิทธิ์ต้องเป็นแฟนกัน”
“สิทธิ์?”
“อืม…สิทธิ์ที่จะอยู่ข้างๆกีตาร์ได้แค่คนเดียว”
“อ่า…”
หมาบ้านี่จะทำให้ผมยิ้มอีกสักกี่ทีถึงจะพอ
“กีตาร์เข้าใจความหมายของคำว่ารักไหม”
ผมมองหน้าโซโล่นิ่งงันเพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี ในขณะที่เจ้าตัวเงยหน้ามองฟ้าแล้วหลับตาลงเหมือนรอคำตอบของผม
“รักก็คือรัก…มีความรู้สึกดีๆให้กัน อยากดูแลกันล่ะมั้ง”ผมพูดอย่างไม่มั่นใจนัก
ถึงจะว่าแบบนั้นแต่คำตอบที่ตอบไปนั่นผมเอามาจากที่เคยได้ยินผ่านๆมาทั้งนั้น มาถามความหมายของคำว่ารักจากคนไม่เคยมีความรัก…แล้วจะตอบได้ยังไง
“มีคนบอกว่าเราจะเข้าใจความหมายของคำว่ารักตอนที่เรารู้จักมัน…”โซโล่พูดลอยๆเหมือนกับพูดคนเดียว
น่าแกล้งชะมัด
“ถ้างั้นอีกไม่นานพี่คงรู้ความหมายของมัน”
ผมจ้องหน้าคนที่ยังไม่หันมาสบตาแล้วยิ้มรอ โซโล่เวลาเขินน่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่ อยากเห็นอาการแบบนั้นก็ต้องเอาแบบนี้ล่ะ…
แต่แทนที่เจ้าตัวจะเขินหรือแสดงอาการอะไรออกมา เขากลับหันมาสบตาผมแล้วยกยิ้มมุมปากมาให้
“กีตาร์บอกว่าอีกไม่นานคงเข้าใจ…แต่ว่า…”
“…”
“ผมคิดว่าผมเข้าใจมันแล้ว”
“…”
สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ…
หน้าแดงหูแดงแบบที่ต่อให้ไม่ได้มองตัวเองยังรู้สึก หนักกว่ามายกีตาร์หรือตอนบอกว่าชอบก็ตอนนี้เอง
ผมกัดปากแน่น หันไปหันมาเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
“ผมไม่เร่งหรอก”
ผมหันกลับไปมองหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหลของคนข้างๆ มองเพลินจนแม้แต่ตอนที่อีกคนยกมือมาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ก็ยังไม่รู้ตัว
“ผมรู้ดีว่าเราเพิ่งเจอกันไม่นาน…ผมจะรอจนกว่ากีตาร์จะพร้อม ผมอยากให้ความรู้สึกที่กีตาร์มีมันเท่ากับผมก่อน ไม่งั้นถ้าคบกันกีตาร์ก็เอาเปรียบผมสิ…”
ผมหัวเราะออกมากับคำพูดนั่นแล้วยิ้มกว้างรอฟังเขาพูดต่อ
“เพราะงั้นผมจะรอให้ความรู้สึกของกีตาร์มันมากกว่านี้…ความรู้สึกจริงๆที่ไม่ใช่แค่ความชอบผิวเผิน…”
“…”
“กีตาร์อยากรู้ความหมายคำว่ารักของผมไหม”
ผมระบายรอยยิ้มแล้วพยักหน้า
“ความรักของผมคือการครอบครอง ต้องอยู่กับผม และต้องเป็นของผมคนเดียว…เห็นแก่ตัวใช่ไหม”
ผมส่ายหน้า…จริงๆมันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่พอเป็นคนๆนี้พูด…ไม่รู้ทำไมมันถึงทำให้ผมยิ้มได้
“เราจะยังไม่คบกัน…”ผมพูดช้าๆพยายามเรียบเรียงถ้อยคำที่คิดว่าตรงใจที่สุดออกมา “โซอยากให้พี่รู้สึกเท่าที่โซรู้สึก…อยากให้มันมั่นคงใช่ไหมครับ”
โซโล่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“เข้าใจแล้ว…”ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงแต่ผมรู้ดีว่าโซโล่เป็นคนที่อ่อนโยนขนาดไหน
ไม่ใช่แค่อยากให้ผมรู้สึกเท่าที่เขารู้สึกแล้วค่อยคบ แต่เขาอยากให้ผมมั่นใจก่อนว่าความรู้สึกที่มีมันจะมากกว่าชอบทั่วไป ไม่ใช่แค่เหมือนเวลาถูกใจใครสักคน
เขามั่นใจแต่ผมยังไม่ใช่ เพราะผมแค่บอกว่าชอบเฉยๆ และตอนนี้ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นรักหรืออาจจะยังไม่รู้ตัว เขาเองก็เข้าใจดีว่าเวลามันสั้นเกินไปและผมยังไม่แน่ใจว่ารู้สึกถึงขั้นไหนเลยไม่อยากบีบบังคับ
และนอกจากนั้น…
“โซมีเหตุผลที่ยังไม่อยากให้คบกันแค่เพราะคำว่าชอบใช่ไหมครับ”ผมมองแววตาไหววูบของโซโล่แล้วยกมือลูบหัวอีกคนเบาๆ
ผมมองออกว่าเขามีอะไรในใจ ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าเรื่องอะไรแต่คงมีอิทธิพลกับเขามากพอดู
แต่ถ้ายังไม่อยากพูดผมก็จะไม่ถาม…
“ถ้างั้น…”ผมมองหมาตัวโตที่จ้องมาตาแป๋วแล้วก็ขำออกมา เจ้าหมานี่ทำผมหัวเราะไปกี่รอบแล้วนะวันนี้ “พี่จองโซไว้ก่อน”
“หือ?”
“เรายังไม่ได้คบกัน แต่เป็นคนพิเศษของกันและกัน”
ยังไม่ต้องคบ…แค่เป็นคนพิเศษก็ได้
“โซบอกว่าถ้าอยากมีสิทธิ์ต้องคบกัน ถ้าอย่างนั้น…พี่มอบสิทธิ์ให้โซตอนนี้เลยแล้วกัน”
จะให้สิทธิ์ตอนไหนก็เหมือนกัน เพราะตอนนี้อาจจะยังไม่รัก…แต่ผมกลับมั่นใจว่าจะต้องรักเขาแน่ๆ แต่ในเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจว่าจะรอให้รักแล้วค่อยคบ ผมก็จะเคารพการตัดสินใจนั้น
“ถ้างั้นผมก็จะจองกีตาร์ไว้ก่อนเหมือนกัน”
ผมไม่ได้ว่าอะไรเมื่อคนข้างๆยื่นมือมาแตะคางให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้จนติดซ้อนทับกับภาพในความทรงจำเหมือนกับครั้งนั้น ดวงตาคมเป็นประกายเหมือนกับดวงดาวตรึงผมให้หยุดอยู่กับที่และไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้
ผมหลับตาลงช้าๆเมื่อหน้าผากกับปลายจมูกของเราสัมผัสกันเหมือนกับตอนนั้น…
“กีตาร์เป็นของผมคนเดียว”
สิ้นประโยคนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็กดทับลงมาที่ริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน
...แตกต่างจากตอนนั้นตรงที่ตอนนี้ไม่มีนิ้วคั่นไว้อีกแล้ว…
------------------------------