-21-
“เก้า…มึงนั่งตรงนี้ไม่ได้นะ”
“ไมอะพี่ไวน์”
“ไม่มีพื้นที่ให้คนโสดว่ะน้อง สีชมพูฟรุ้งฟริ้งเต็มไปหมด กูเห็นแล้วตับไตสั่นไหว”
“คนมันมีความรักก็งี้อะพี่”
“กูย้ายที่ให้ไหม”ผมพูดตัดบท แตะแขนคนที่ฟุบตัวอยู่กับโต๊ะให้เงยหน้าขึ้นมามองแล้วทำท่าจะลุกจริงๆ…ถ้าไอ้ไวน์ไม่ดึงแขนเสื้อไว้ก่อนนะ
“กูแซวเล่น นี่เช้าคนเลยไม่มี มีคนเมื่อไหร่มึงโดนเยอะกว่านี้แน่นอนครับเพื่อน”ไอ้ไวน์ว่าแล้วหันไปซุบซิบกับเก้าต่อ เห็นท่าทางพวกมันเข้ากันได้ดีแทนที่จะดีใจผมกลับรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ
ความวุ่นวายบังเกิดแน่ๆ…ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้ามีไอ้โนว์อีกคนจะเป็นยังไง
จริงๆวันนี้การที่พวกเรามาเช้าผิดปกติเป็นเรื่องบังเอิญสุดๆ ปกติผมตื่นเช้าอยู่แล้วเพราะต้องเผื่อเวลาปลุกหมาขี้เซาตื่นยากแล้วก็ต้องเตรียมอาหาร แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมเจ้าหมาถึงได้ตื่นไวนัก เรียกทีเดียวลุกไม่ต้องเปลืองแรงเหมือนวันก่อนๆ
“แล้วทำไมมากันเช้า”ผมหันไปถามเบียร์ที่นั่งว่างอยู่คนเดียว ปล่อยให้คู่หูคู่ใหม่นั่งคุยกันไป
เรามานั่งรวมกันที่โรงอาหารกลางตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว ซึ่งเหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียน ตอนที่มาถึงโซโล่ก็ได้รับการติดต่อจากเก้าว่าอยู่ที่นี่ พวกไวน์กับเบียร์ที่มาพร้อมกันเลยตามมาด้วย
“พวกกูแวะเอาเสื้อผ้าไปให้แม่ที่โรง’บาลแต่เช้าเลยมาไว”
“แล้วคุณพ่อเป็นไงบ้าง”ผมถามด้วยความเป็นห่วง พ่อพวกมันเข้าโรง’บาลมาหลายเดือนแล้วก็ยังไม่ได้ออกเสียที เพราะรู้สึกเหมือนพวกมันไม่อยากพูดถึงผมเลยไม่เคยถาม รู้แค่คร่าวๆเท่านั้น
“ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนเดี๋ยวคงได้ออกจากโรง’บาลเร็วๆนี้”
“ฝากความเป็นห่วงไปด้วยนะ”
“ขอบใจมาก”
ผมพยักหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ หันไปให้ความสนใจกับหมาตัวโตที่ดึงมือผมไปซุกแก้มแล้วฟุบพับไปกับโต๊ะอีกครั้งแทน
“ทำไมวันนี้ตื่นเช้าได้ล่ะครับ พอมาถึงก็ยังง่วงเหมือนเดิมนี่นา”ผมใช้มือข้างที่ว่างเท้าคางมองคนนอนยิ้มๆ พอได้ยินผมถามคนที่คว่ำหน้าเมื่อครู่ก็ตะแคงหน้ามาหาแทนโดยใช้มือผมเป็นที่รองแก้มตัวเอง
“ได้กลิ่นอาหาร”โซโล่ตอบทั้งตาปรือ
“เมื่อวานก็ทานตั้งเยอะ ยังจะหิวเร็วอีกนะ”ผมยิ้มขำ เมื่อวานเจ้าหมานี่เล่นแกงเขียวหวานเสียหมดหม้อ ผมเลยไม่คิดว่าจะตื่นเพราะกลิ่นอาหาร ปกติช่วงเช้าผมจะทำอาหารย่อยง่ายๆไม่ค่อยมีกลิ่น สงสัยเมื่อเช้าจะเล่นหนักไปหน่อยจนทำให้อีกคนตื่น
“หอม”พูดไว้แค่นั้นคนตาปรือก็ปิดเปลือกตาลงทันที ปล่อยให้ผมเท้าคางมองแถมยังไม่ยอมคืนมือที่ยึดไปเป็นหมอนอีกต่างหาก
“เบื่อพวกสองมาตรฐานอะพี่”เก้าเหลือบตามองคนที่นอนอยู่ข้างๆผมเหยียดๆแต่ริมฝีปากกลับปรากฏรอยยิ้มล้อเลียน
“เพื่อนกับแฟนมันไม่เหมือนกันไอ้น้อง”ไวน์ว่าแล้วตบบ่าเก้าเบาๆ ทำหน้าเข้าอกเข้าใจกันจนน่าหมั่นไส้
“คนเริ่มเยอะละ”เบียร์เงยหน้าจากโทรศัพท์มองไปรอบๆก่อนจะหันมาหาพวกผม “ถ้ามึงไม่อยากโดนมองหนักๆก็แยกย้ายเลยก็ได้”
“ว่างั้น”ผมละสายตาจากเพื่อนมาสะกิดคนที่กำลังหลับแทน หมาขี้เซาขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยอมลืมตาขึ้นมานั่งดีๆ
“ง่วง”โซโล่ทำท่าจะขยี้ตา แต่พอมองหน้าผมก็ลดมือลงแล้วเปลี่ยนเป็นกระพริบตาถี่ๆแทน
น่ารักจริงๆ
“คนเริ่มเยอะแล้วครับ โซไปนอนต่อบนห้องดีกว่านะ”ผมบอกแล้วลุกขึ้น ช่วยฉุดแขนอีกฝ่ายให้ยืน โซโล่เดินตามให้ผมจูงอยู่อย่างนั้น ท่าทางเหมือนจะฟุบหลับได้ทุกเมื่อถ้าผมปล่อยมือ
ผมไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นคนหันมามองแล้วซุบซิบกัน ทำเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น การที่ทั้งโซโล่และผมเป็นที่รู้จักแน่นอนว่าย่อมทำให้เป็นที่สนใจ ผมรู้อยู่แล้วแต่ก็เลือกที่จะเปิดเผยเอง เพราะงั้นก็ต้องรับผลของการกระทำนั้น ไม่ว่าคนรอบข้างจะมองในแง่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
“กูก็ว่าแล้วว่าต้องแดกกันเอง”
“มึงพูดเบาๆดิวะ”
“เป็นไรไปวะ ถ้าแม่งไม่ได้ได้กันแล้วจะตามไปเฝ้ากันขนาดนั้นเหรอไง”
“เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้วนะมึง”
ผมหันไปมองต้นเสียงที่พูดเหมือนจงใจจะให้ได้ยิน เดาไม่ผิดเท่าไหร่เพราะเป็นเด็กคนเดียวกับที่เคยต่อปากต่อคำกับผมตอนที่ไปดูโซโล่ถ่ายงานมหา’ลัย
ประโยคพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมโมโหหรือไม่พอใจอะไร ผมไม่ได้คิดจะหันไปพูดอะไรกับเขาด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนคนรอบข้างผมจะไม่ได้คิดแบบนั้น…
“มึงมีปัญหาไรกับเพื่อนกูปะ”ไวน์ที่เดินนำหน้าหันไปหาคนพูด ผมรั้งแขนมันไว้เมื่อมันทำท่าจะพุ่งเข้าไป
“ก็แค่พูดความจริง”ผู้ชายคนนั้นยักไหล่ มองผมเหยียดๆ “หรือมีอะไรจะปฏิเสธล่ะ พวกโรคจะ…”
“เหี้ยโผล่มาอีกตัวละ”เสียงพูดเนือยๆดังขึ้นข้างๆโซโล่ ทุกสายตาหันไปมองคนพูดแทรกรวมถึงผมด้วย เก้าที่ยืนอยู่ข้างโซโล่กรอกตา ท่าทางเบื่อหน่าย
“มึงว่าใคร!”
“ก็ถ้ามึงเหี้ยกูก็ว่ามึงอะ”
ผมยืนหัวเราะเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครได้เปรียบ คนหนึ่งหัวร้อน ส่วนอีกคนพูดด้วยเสียงเนือยๆแต่เจ็บถึงกระดูก คนอารมณ์ร้อนกว่าต้องเสียท่าก่อนอยู่แล้ว
“แล้วมึงเสือกอะไรวะ!”
“จริงๆกูช่วยมึงอยู่นะ”เก้าพูดเสียงเรียบ หันมามองผมแล้วยิ้มให้นิดๆเหมือนจะบอกอะไร และนั่นทำให้ผมรู้ตัว…
เมื่อครู่ตอนที่ผมรั้งไอ้ไวน์ไว้ผมเผลอปล่อยมือโซโล่…และตลอดเวลาเก้าช่วยดึงแขนเจ้าหมาไว้แทนมาตลอด
“โชคดีนะ”สิ้นคำมือนั้นก็ปล่อยแขนของคนหน้านิ่งที่ดูนิ่งผิดปกติ
ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้เข้าไปห้ามเมื่อโซโล่เดินเข้าไปหาคนๆนั้นแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้าหาตัว เพราะเขาเป็นคนตัวสูงเลยดูเหมือนเด็กนั่นแทบจะลอยจากพื้นมาตามแรงกระชาก
ไม่ใช่ว่าโดนพูดแบบนั้นแล้วผมไม่รู้สึกอะไร ผมก็แค่ไม่อยากยุ่งยาก แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วพูดมากอยู่อย่างนี้จะไม่ให้ทำอะไรเลยก็ดูจะโลกสวยไปหน่อย…คงต้องได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
“อย่าทำร้ายร่างกายนะมึง เดี๋ยวเรื่องเยอะ”เก้าพูดลอยๆเหมือนพูดเรื่องทั่วไป ริมฝีปากก็ยกยิ้มก่อนจะหัวเราะหึหึ
ผมยิ้มบางเมื่อเห็นเจ้าหมายอมเอามือลงตามที่เพื่อนบอก
เป็นคู่เพื่อนซี้ที่เข้ากันดีเหลือเกิน…
จะว่าไปเรื่องบอกให้มาเปิดกระเป๋าตังค์ผมนี่ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเด็กแสบนี่เลย…
“อะ…อะไรวะ”คนที่สั่นไปทั้งตัวพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาโดยการจัดคอเสื้อตัวเองให้เรียบร้อย
โซโล่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากจ้องหน้าอีกคนด้วยดวงตาคมที่นิ่งสนิทผิดปกติจนดูน่ากลัว ไม่เหลือวี่แววของหมาขี้อ้อนตอนอยู่กับผมเลย
“มีอีกที มึงเจอดี”
สั้น ง่าย ได้ใจความ
ผมยิ้มนิดๆ ดึงคนที่ดูโมโหแม้หน้าจะนิ่งออกมา ไม่ได้หันไปสนใจสถานการณ์ที่ทิ้งไว้ด้านหลังอีก พวกเพื่อนผมเองก็ไม่ได้คิดจะพูดถึง คงคิดตรงกันว่าพูดไปก็ทำให้เสียอารมณ์กันเปล่าๆ เราเดินกันมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่หน้าตึกดุริยางค์
“โซ ทีหลังอย่าใจร้อนนะครับ”ผมเตือนแล้วลูบหลังมือเขาเบาๆ
ถ้าตรงนั้นไม่มีพวกผมอยู่ ไม่มีเก้าหรือผมคอยเตือน ผมว่ามันคงไม่จบที่โซโล่พูดทิ้งไว้แค่นั้น
“มันว่ากีตาร์…สองทีแล้ว”
“ครับ…พี่รู้”ผมแกว่งมือคนที่ดูอารมณ์เย็นขึ้นแล้วพูดต่อ “แต่โซมีตำแหน่ง เป็นหน้าเป็นตาของมหา’ลัย มีหน้าที่ที่ยังต้องทำอยู่ ถ้าไม่มีคนคอยห้ามก็ต้องควบคุมตัวเองรู้ไหม”
“แต่…”
“พี่ไม่ได้บอกให้ยอมคนครับ แค่บอกให้ระวังตัวเองอย่าให้กระทบถึงสิ่งอื่นๆ พยายามอย่าใช้กำลัง…ถ้าเขาไม่ได้เริ่มก่อน เข้าใจที่พี่จะสื่อหรือเปล่า”
“ครับ”โซโล่ยิ้มแล้วบีบมือผมเบาๆ
“ฝากโซด้วยนะครับเก้า”ผมหันไปบอกเก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งดูจะเป็นอีกคนที่น่าจะเตือนโซโล่ได้ แต่… “เอาแค่เรื่องที่จำเป็นนะครับ ให้มาเปิดกระเป๋าตังค์พี่อะไรแบบนั้นไม่เอาแล้วนะ”
“เปิดกระเป๋าตังค์อะไรเหรอ”เด็กแสบทำตาโต ท่าทางไม่รู้เรื่องจนน่าเตะ “เออใช่….ผมนึกได้ว่าลืมส่งงาน ไปก่อนนะพี่ ดีครับ”
ผมส่ายหัวหน่ายๆเมื่อเห็นท่าทางของคนที่เนียนวิ่งเข้าตึกไปแล้ว ขนาดเบียร์กับไวน์ที่ยืนอยู่ข้างๆยังขำเลย
เก้าทำให้ผมนึกถึงน้องๆที่อยู่ด้วยกันตอนเด็กๆ แต่ละคนแสบๆกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาแล้วตอนนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง ถ้าเป็นแบบเด็กนี่คนรอบข้างคงปวดหัวน่าดู
โซโล่หันมายิ้มบางๆแล้วยกมือแตะแก้มผมเป็นเชิงลา พอผมพยักหน้าแล้วยิ้มกลับเขาก็เดินตามเพื่อนเข้าไปในตึกเงียบๆ
ผมยกมือแตะแก้มตัวเอง รู้สึกเหมือนสัมผัสอบอุ่นที่อีกคนทิ้งไว้ยังติดอยู่ และท่าทางคงจะไม่หายไปง่ายๆด้วย ไม่รู้ว่าการแตะแก้มแบบนี้กลายเป็นเหมือนการลากันตั้งแต่เมื่อไหร่…แต่ผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาทำอยู่ดี
“ยิ้มหวานเชียวเพื่อนกู หมั่นว่ะ”
“วันนี้มึงไม่ได้ทำงานใช่ปะ”
“ไม่ได้ทำ”ผมหันไปตอบไอ้โนว์ที่บิดขี้เกียจอยู่ข้างๆก่อนจะหันไปมองนาฬิกามุมห้อง
เลยเวลาเลิกมาเกือบชั่วโมงแล้ว....
“พวกกูจะไปกินชาบูอะ ไปด้วยกันปะ”
“ไปกันหมดเลยเหรอ”
“อือ หมดเลย ซันก็ไปด้วย”
จะว่าไปผมก็ไม่เคยได้ไปกินข้าวกับเพื่อนสักที ได้มีเวลาพักกับเขาบ้างก็ปีนี้ นานๆจะใช้เงินทีก็ไม่น่าเป็นอะไร แต่ว่า…
“กูถามโซก่อนแล้วกัน”ไม่รู้ว่าเจ้าหมาจะอยากไปหรือเปล่า
“กูลืมไปว่าเพื่อนต้องขออนุญาตสามี”โนว์ว่าแล้วหันมาส่งสายตาล้อเลียนให้ผม ซึ่งนอกจากยักไหล่กลับผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอะไรกลับไปดี
สุดท้ายเราก็เดินออกมาพร้อมกัน ผมเดินเข้าไปหาโซโล่ที่นอนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะผมเหมือนทุกวันที่ต้องมารอ ข้างๆมีเก้านั่งใส่หูฟังหลับตาโยกหัวอยู่
“เก้า ยังไม่กลับเหรอเรา”ผมทักเก้าแล้วนั่งลงข้างๆคนที่ฟุบหัวอยู่กับโต๊ะ
“พวกผมก็เลิกเมื่อกี้เองพี่ นี่เดินผ่านผมเลยมานั่งพักก่อนกลับ”เก้าแกะหูฟังออกแล้วหันมาตอบผมด้วยใบหน้าที่ดูเหนื่อยๆ
“เก้า ไปแดกชาบูด้วยกันดิ”ไวน์หันไปชวนน้อง
“ไม่ไหวว่ะพี่ วันนี้พวกผมเจอศึกหนักแทบไม่ได้พักเลยทั้งวัน ตีกลองกันเกือบแปดชั่วโมง โคตรเหนื่อย”
ผมสะกิดคนที่นอนอยู่ด้วยความเป็นห่วง โซโล่ขมวดคิ้วท่าทางหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นหน้าผมก็เปลี่ยนเป็นหน้าอ้อนๆแล้วเข้ามาพิงไหล่แทน
“กีตาร์…เหนื่อย”
“พวกมึง…”ผมหันไปหาพวกไอ้โนว์ที่มองมาก่อนแล้ว
“เออๆ พวกกูเข้าใจ ยังไงเดี๋ยวมึงก็ไม่ได้ทำงานแล้วนี่ เอาไว้คราวหน้าก็ได้”
“โอเค…”
“เดี๋ยวพวกกูไปส่งไอ้เก้าให้เอง มึงพาเด็กมึงไปพักเหอะ”
ผมพยักหน้าขอบคุณพวกมันแล้วหันไปลาเก้าที่โบกมือหยอยๆกลับมาให้ กว่าจะพาร่างหมาตัวโตที่เกาะแขนผมไว้แน่นมาถึงรถได้เล่นเอาหมดแรงไปเกือบครึ่ง ไหนจะสายตากับเสียงกรีดร้องของพวกนักศึกษาที่มองมาอีก
สงสัยวันนี้คงได้มีรูปลงเพจอีกแน่ๆ
“ขับไหวนะครับ”
“ไหว…”โซโล่หันมามองหน้าผม ใบหน้าไม่ได้ดูแย่เท่าที่คิด “ตอนนั้นแค่อ้อนเฉยๆ อยากกินข้าวฝีมือกีตาร์มากกว่า”
“เรานี่นะ”ผมหัวเราะ ยกมือขยี้หัวคนที่ยอมรับออกมาง่ายๆไปหนึ่งที
“แล้วก็…”โซโล่ดึงมือผมลงมาจากหัวตัวเองแล้วยกยิ้ม “อยากกลับไปกอดกีตาร์ไวๆ”
ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างจนเหมือนคนบ้า พูดอะไรไม่ออกแต่ก็หุบยิ้มไม่ได้เสียที สุดท้ายก็ได้แต่มองตาอีกคนเงียบๆเพื่อสื่อให้รู้ว่าความรู้สึกของเราไม่ได้ต่างกันเลย
อยากกอดเหมือนกัน…
รถของโซโล่จอดที่ที่ประจำเหมือนทุกวัน เป็นที่จอดรถที่ดูแตกแยกจากคนอื่นและมีรถหรูจอดเรียงกันอยู่สี่ห้าคัน ผมก็ไม่เคยถามเหมือนกันว่าทำไมต้องจอดตรงนี้ แต่คิดว่าน่าจะเพราะฐานะของเขา
“คุณชายคะ!”ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดพนักงานของที่นี่วิ่งเข้ามาหาในทันทีที่พวกผมก้าวเข้ามาด้านใน
คุณชายเหรอ…ดูเหมือนคนที่ชื่อเจย์ก็เรียกโซโล่แบบนี้เหมือนกัน หรือว่า…
“ช่วยมาทางนี้หน่อยนะคะ คุณท่านติดต่อเข้ามา ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย”เธอดูลนลานแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาทักทายผมอย่างมีมารยาท
ผมแตะแขนคนข้างๆเบาๆเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น
ดูท่าทางที่คิดไว้คงไม่ผิด
คอนโดนี้เป็นของเจ้าหมานี่…มิน่าตอนที่ผมพาโซโล่ที่ไม่สบายมาครั้งแรกพวกพนักงานถึงดูตกใจกันขนาดนั้น
“กีตาร์…”
“ไปเถอะครับ”
“กีตาร์ขึ้นไปรอผมบนห้องก่อนก็ได้”
“เดี๋ยวพี่นั่งรอที่นี่ก็ได้ครับ…แล้วเราขึ้นไปพร้อมกันนะ”ผมยิ้มบาง ไม่ลืมที่จะบีบมืออีกคนเบาๆเป็นเชิงเตือนให้เขาใจเย็นๆ โซโล่พยักหน้าแล้วบีบมือผมกลับก่อนจะเดินตามพนักงานไป
ผมนั่งลงที่โซฟาติดประตูทางเข้า เห็นโซโล่เดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วคุยกับคนที่น่าจะเป็นผู้จัดการด้วยความเคร่งเครียด ท่าทางผู้จัดการคนนั้นดูกังวลไม่น้อย ผมก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหมานั่นจะใจเย็นอย่างที่เตือนไป
ผมละสายตาออกแล้วมองไปนอกกระจกใส เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ชายคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถหรูสีดำสนิทพอดี ผมสบตากับเจ้าของดวงตาสีฟ้านั่นอย่างจัง เขาเป็นชาวต่างชาติหน้าตาดี น่าจะแก่กว่าผมสามสี่ปี ใส่ชุดสูทสีดำ ผมสีทองละต้นคอเซตเป็นระเบียบจนเหมือนพวกผู้ดีที่จะไปออกงาน
ชายคนนั้นมองหน้าผมนิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มส่งมาให้ ผมยิ้มกลับตามมารยาทแล้วละสายตากลับมาด้านใน เจ้าหมากำลังหันมามองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไม่ยอมหันกลับไปเสียทีจนผมต้องส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้อีกคนถึงยอมหันกลับไปคุยงานต่อ
“สวัสดีครับ”
ผมหันไปตามเสียงทัก พบว่าเป็นชายต่างชาติที่ผมสบตาไปเมื่อครู่
“ครับ”
“ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหม”
เป็นคนต่างชาติที่พูดไทยชัดมาก…
ผมเลิกคิ้ว มองตาเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความสงสัย แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่พบวี่แววของอะไรนอกไปจากความเป็นมิตร
ถ้าไม่ใช่เขามาแบบเป็นมิตรและไม่คิดอะไรจริงๆ…ก็แสดงว่าเขาเก็บมันไว้มิดจนผมมองไม่ออก
“ถ้าคุณไม่ได้ต้องการอะไรจากผมก็เชิญครับ”ผมยิ้ม เลือกที่จะพูดออกไปตามตรง ชายตรงหน้าทำหน้าตาประหลาดใจหน่อยๆก่อนจะหัวเราะออกมา
“งั้นผมคงนั่งได้เพราะไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณจริงๆ…ขอบคุณครับ”
“ครับ”
“ผมย้ายมาที่นี่วันนี้เอง…”ชายผมทองพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขาถอดเสื้อนอกออกแล้วพาดไว้ข้างตัว “ขึ้นเครื่องมาจากอังกฤษโดยตรงเลยครับ”
“อ่า…ครับ”ผมตอบรับ ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นแต่เลือกที่จะมองไปทางคนที่ยืนคุยอยู่ที่เคาน์เตอร์แทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ…คงคุยเรื่องการบริหารจัดการ”
ผมหันมามองคนพูดด้วยความประหลาดใจ เขาส่งยิ้มมาให้แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของกิจการใหญ่โตก็แบบนี้แหละครับ ภาระมากตามไปด้วย”
“ดูคุณรู้เรื่องดีนะครับ”
“ครับ ผมเข้าใจดีเพราะวนเวียนอยู่ในโลกแบบนี้มานาน”
“เข้าใจส่วนไหนล่ะครับ…เข้าใจบทบาทของลูกชายเจ้าของกิจการใหญ่โตหรือเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายที่ชื่อโซโล่”ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไป “บางทีเขาคงไม่ได้อยากให้ใครเข้าใจบทบาทหน้าที่ของเขานักหรอกครับ…คุณว่าแบบนั้นไหม”
“นั่นสินะ”เขากลับมายิ้มอีกครั้ง ทอดสายตามองไปที่แผ่นหลังของคนในประโยคสนทนา “แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นหรอกครับ”
“…”
“เพราะตอนนี้…”เขาหันมาหาผม ส่งยิ้มที่ดูจริงใจและขอบคุณมาให้ “เขามีคุณแล้ว”
“คุณ…”
“คนเราเกิดมามีบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง เป็นสิ่งที่ยังไงก็ต้องทำต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็ตาม เหมือนที่เขาเกิดมารับบทบาทเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจพันล้าน หรือเหมือนที่ผมรับบทบาทเป็นคนใจร้ายที่โดนเกลียด มันอยู่ที่เราจะเลือกทางไหน…”
“…”
“ระหว่างการจำใจทำทั้งที่ไม่ชอบ…หรือพยายามเติมบางสิ่งลงไปเพื่อมีความสุขกับมัน”
“ทำไมคุณไม่พูดกับเขา”ผมจ้องหน้าคนตรงหน้านิ่ง พยามยามค้นหาความจริงในดวงตาคู่นั้นแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า สิ่งที่ชัดเจนมีเพียงความจริงใจที่ส่งออกมา
“เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ใครก็พูดได้หรอกครับ…กับคนบางคนต่อให้คำพูดเหมือนกันแค่ไหน แต่ผลที่ได้มันแตกต่างกันมากจริงๆ”
“คุณพอใจที่มันเป็นแบบนี้เหรอครับ”เป็นครั้งแรกที่ผมมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ
“ผมมีหน้าที่ของผมครับ…และทางที่ผมเลือกคือการจำใจทำทั้งที่ไม่ชอบ”เขายิ้มเศร้า มองผมด้วยสายตาขอร้อง “เด็กคนนั้นเป็นเหมือนน้องชายคนสำคัญของผม จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้คุณช่วยอยู่ข้างๆเขา”
“ต่อให้คุณขัดขวางเหรอครับ”
“ครับ…”ดวงตาสีฟ้าดูอ่อนล้าจนผมรู้สึกถึงความหนักใจของเขา “ไม่ว่าจะผม…หรือใครก็ตาม”
“ผม…”
“กีตาร์!”
ผมหันไปหาเจ้าของเสียง โซโล่วิ่งเข้ามาหา เหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเลยสักนิด
“คุยธุระเสร็จแล้วเหรอครับ”
“ครับ”เขายิ้มอ่อนโยน เอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ “กลับห้องกันนะ”
“โซ…นั่น”ผมรั้งแขนไว้ มองไปทางคนที่คุยค้างไว้ โซโล่เลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจแต่ก็หันไปตามสายตาผม และเมื่อพวกเขาสบตากัน สายตาของคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็เปลี่ยนไป
“สวัสดีครับคุณชาย”
นั่นเป็นครั้งแรก...ที่ผมเห็นโซโล่มองใครสักคนด้วยสายตาแบบนี้
ไม่ใช่สายตาโกรธเคืองหรือโมโห ไม่ใช่สายตานิ่งหรือดุร้าย
แต่เป็นสายตาเย็นชาเหมือนกำลังมองสิ่งที่ไร้ตัวตน
“เจย์”
----------------------------------
ติดแฮชแท็ก #โซโล่กีล์
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04