-18-
หลังจากการสอบผ่านพ้นไปแล้วชีวิตผมก็เข้าสู่โหมดปกติอีกครั้ง…และน่าจะรวมถึงคนอื่นๆด้วย ช่วงนี้ลูกค้าในร้านดูบางตาลงไปมากถ้าเทียบกับช่วงสอบที่มักขนหนังสือมานั่งอ่านกันจนดึก พอหมดสอบก็หมดความเครียด กลับไปใช้ชีวิตตามจุดต่างๆที่โหวกเหวกได้เหมือนเดิม ไม่ต้องหาที่เงียบๆเพื่ออ่านหนังสือกันแล้ว
วันนี้ผมเองก็มาที่ร้านเหมือนกัน แต่แตกต่างจากปกติตรงที่วันนี้ผมไม่ได้มาในฐานะพนักงาน แต่มาในฐานะลูกค้า ซึ่งจะว่าไปแล้ว…ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้น่าจะเป็นกะของ…
“พี่กีล์ สวัสดีค่า”
“สวัสดีครับขิม”ผมยิ้มให้น้องแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะใกล้ๆกับเคาน์เตอร์
“ไม่เจอนานเลย คิดถึงมากเลยค่ะ”ขิมว่าแล้วนั่งลงข้างๆผมก่อนจะทำหน้าตาแปลกๆ…ที่แลดูไม่น่าไว้วางใจ
“ไม่ทำงานเหรอเรา”
“ให้เต้ทำไปก่อนค่ะ”ขิมบอกปัดแล้วนั่งจ้องหน้าผมนิ่ง
บางทีผมน่าจะให้พวกน้องทำงานกันกะละคนจะได้ไม่มีเวลามานั่งว่างแบบนี้ เพราะนอกจากผมที่ทำงานคนเดียวแล้วปกติกะทำงานช่วงเปิดเทอมจะมีพนักงานกะละสองคน เหตุผลเพราะไม่อยากให้น้องๆเหนื่อยเกินไป รวมถึงเวลามีปัญหาอะไรจะได้มีคนช่วยด้วย
“พี่บอกให้พี่แก้วหักเงินเราน่าจะดี”
“ไม่เอานะคะพี่กีล์…ขิมแค่สงสัยเฉยๆเอง”ขิมทำหน้าบึ้งแวบเดียวก็กลับมานั่งจ้องหน้าผมด้วยสายตาจับผิดเหมือนเดิม
“สงสัยอะไรครับ”ผมยิ้มกลับ ไม่ได้รู้สึกโดนกดดันเท่าไหร่เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องที่น้องบอกว่าสงสัยคือเรื่องอะไร
“เรื่องพี่กีล์…กับโซโล่”
ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่าต้องเรื่องนี้…
“สงสัยอะไรครับ”
“ใครๆเขาก็บอกว่าพี่กีล์กลับบ้านกับโซโล่ทุกวันเลยนี่คะ นี่มีคนลือว่าพี่กีล์กับโซโล่คบกันด้วยนะ ถึงขนาดบอกว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็มี”ขิมทำตาโตเหมือนกำลังรอคอยว่าผมจะพูดอะไร ซึ่งผมก็ยังคงรอยยิ้มไว้เช่นเดิมโดยไม่ได้พูดปฏิเสธ
ก็มันความจริงทั้งนั้น…
กิ๊ง
ผมเมินสายตาสงสัยของขิมแล้วหันไปมองประตูร้าน เพื่อนสามคนที่นัดกันไว้เดินตรงมาหาผมตามด้วยคนที่ผมไม่ได้เจอมานานอีกคน
“สวัสดีกีล์”
“สวัสดีครับซัน”ผมทักซันที่ยังไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งตั้งแต่เปิดเทอม คงเพราะเขาเรียนหนักไม่มีเวลาไปไหนมาไหนโนว์มันถึงต้องเป็นฝ่ายไปหาตลอด ผมเลยไม่มีโอกาสได้เจอตามไปด้วย
“พวกพี่มาผิดเวลากันจังเลย”ขิมทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมลุกขึ้นให้พวกเพื่อนผมนั่งแทนที่
“ทำไมอะ คุยไรกัน…”ยังไม่ทันพูดจบไวน์มันก็โดนขิมดึงไปคุยกระซิบกระซาบกันอยู่สองคน
ลืมไปเลยว่าไม่ควรปล่อยให้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน…
ถ้าให้เดา…อีกเดี๋ยวผมคงต้องเจอพวกมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่ามนุษย์ทั่วไปถามคำถามจนกว่าจะยอมตอบ
“หืม…..”ผมหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ไม่สนใจสายตาที่เหลือบมองมาแบบแปลกๆของไวน์กับสายตาไม่เข้าใจของคนอื่น สุดท้ายพอคุยกันจบขิมก็ยืดตัวตรงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนไวน์ก็หันมาถามผมตามที่คาดไว้ “สรุปว่าไงกีล์ ตอบคำถามเลยดิ พวกกูก็อยากรู้เหมือนกัน”
“พูดเรื่องอะไรกัน”
“เดี๋ยวมึงก็รู้ซัน…ถ้ากีล์มันตอบนะ”
ผมกรอกตาอย่างอดไม่ได้กับการโยนขี้ของไวน์ กลายเป็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของซันเบนมามองผมอย่างคาดหวัง
จริงๆเมื่อก่อนซันก็ไม่ใช่คนขี้สงสัยแบบนี้หรอก แต่รู้สึกความขี้เสือกของโนว์มันจะถ่ายทอดไปถึงแฟนมันด้วย
“ก็ตามนั้น”
“ตามไหนคะ!”
ผมเหลือบมองขิมที่ยืนดี๊ด๊าอยู่หลังไวน์แล้วหัวเราะเบาๆ
เอาเถอะ…ไม่ได้คิดจะปิดอะไรอยู่แล้ว
“ก็ตามที่ขิมพูด…จริงทุกอย่าง”
“กรี๊ดดดดดดดดดด!”
“เพื่อนกูคนจริงอยู่แล้ว”ไวน์ตบบ่าผมเบาๆแล้วชูนิ้วโป้งให้
“เดี๋ยวนะ แล้วไอ้ที่บอกว่าตามนั้นตามนี้อะไรของมึงนี่คืออะไรวะ”โนว์ดึงแขนผมไว้แล้วมองมาด้วยสายตาไม่เข้าใจเช่นเดียวกับอีกสองคนที่ยังดูงงๆ ซันนี่เหวอไปแล้วตั้งแต่ได้ยินขิมกรีดร้องชักดิ้นชักงอ ส่วนเบียร์มันเลิกคิ้วแล้วมองมาอย่างกดดัน
“คืองี้ค่ะพี่!”ขิมที่ลงไปดิ้นกับพื้นเกาะโต๊ะแล้วมองหน้าเพื่อนผมด้วยหน้าตาสดใสผิดปกติ “ขิมถามพี่กีล์เรื่องโซโล่ค่ะ คือมีคนบอกว่ากลับด้วยกันทุกวัน คบกันแล้ว แล้วก็น่าจะอยู่ด้วยกันด้วย ทีนี้ขิมเลยเอามาถามแล้วพี่กีล์ก็บอกว่าตามนั้นทุกอย่าง…ฮืออออ”
“เข้…เปิดเผย”
ผมยักไหล่รับคำพูดโนว์ ถึงจะไม่ได้ประกาศให้ใครรู้แต่ผมก็ไม่เคยคิดปิดบัง ยังยืนยันคำเดิมที่เคยพูดกับมันไว้ว่าถ้าใครถามก็จะตอบตามตรง
“มึงอย่าลืมนะกีล์…ถ้าพูดออกมาแล้วมันจะไม่ได้รู้กันแค่นี้”เบียร์เตือนแล้วเหลือบมองขิมที่กำลังเดินกดโทรศัพท์ดี๊ด๊ากลับไปทำงาน
“ไม่เป็นไร”ผมยิ้มให้เพื่อนรวมถึงซันที่มองมาอย่างอึ้งๆ
รู้หรือไม่รู้มันต่างกันตรงไหนในเมื่อผมไม่คิดจะปิดบังอะไร
“สรุปพวกมึงนัดมาที่นี่ทำไม”ผมถามเข้าเรื่อง จริงๆวันนี้เลิกเร็วกว่าปกติ ตอนแรกก็แยกย้ายกันไปแล้ว แต่ไปๆมาๆพวกมันก็เรียกมารวมกันที่ร้านนี้อีกรอบ ผมไม่มีปัญหาอะไรเพราะรอโซโล่เลิกเรียนอยู่แล้ว แต่พวกมันที่กลับไปถึงบ้านแล้ววนมาอีกรอบนี่สิ
แสดงว่าคงมีอะไรสำคัญสักอย่าง
“กีล์…นี่มึงไม่รู้เหรอ”เบียร์มองหน้าผมแล้วถอนหายใจ
ไม่รู้อะไร…
จะว่าไปก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง
“กีล์…วันนี้มีแข่งบอลมหา’ลัยนะ”ซันที่นั่งข้างๆหันมากระซิบบอกผม
แข่งแล้วทำไม…ปกติผมก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมหรือดูการแข่งอยู่แล้วนี่
“วันนี้วิศวะเจอดุริยางค์ เป็นการแข่งของพวกปีหนึ่ง พวกกูเป็นคนคัดตัวน้องไงเลยต้องมาดู”เบียร์อธิบายแล้วมองหน้าผม
“แล้วตอนแรกพวกมึงกลับกันไปทำไม”
“พวกกูกลับไปเปลี่ยนชุด ส่วนไอ้โนว์ไปรับเมีย นี่รอบชิงแล้วกะว่าจะพาพวกมันไปเลี้ยงด้วยเลยไม่ว่าจะแพ้จะชนะ”
ผมพยักหน้าเข้าใจที่ไวน์พูด แต่ก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าผมเกี่ยวอะไรด้วยอยู่ดี
“กีล์ อาทิตย์ที่แล้วมึงบอกพวกกูว่าจะไปดูบอลรอบนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ”เบียร์ทำหน้าเนือย มองผมด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนลืมอะไรไป…
“ตอนแรกกูก็ไม่แน่ใจว่าทำไมมึงอยากไปแต่ตอนนี้รู้ละ…กูไปอ่านชื่อตัวจริงรอบนี้มา รู้สึกฝั่งดุริยางค์จะมีคนที่โอนชื่อจากตัวสำรองมาเป็นตัวจริงอยู่คน ที่น่าสนใจคือเหมือนจะลงนัดชิงเป็นนัดแรก…”เบียร์มันลากเสียงเหมือนต้องการให้ผมนึกออก และแน่นอนว่าฟังมาขนาดนี้แล้วผมย่อม… “ชื่อโซโล่ ศิวโลคินทร์”
จำได้แล้ว…
“กีตาร์…”
“ครับ”
“ศุกร์หน้าผมลงบอลนัดชิงด้วยนะ”
“ทำไมมาลงนัดชิงล่ะครับ”
“ในทีมมีคนเจ็บมาจากรอบที่แล้ว ผมเพิ่งเคลียร์งานเดือนเสร็จเลยโดนบังคับลงเพราะดุริยางค์คนน้อยมีตัวสำรองอยู่ไม่กี่คน เหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่เตะบอลเป็นในกลุ่มตัวสำรอง”
“งั้นพี่จะไปดูนะ แต่จะให้เชียร์ออกนอกหน้าคงไม่ได้เพราะเราแข่งกับคณะพี่ใช่ไหมครับ”
“แค่มาดูก็พอแล้ว”
“ครับ ต้องไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปจะกลับยังไงล่ะ” ผมยังจำใบหน้ายิ้มดีใจนั่นได้อยู่เลย แล้วทำไมถึงลืม…
อาจจะเพราะเรียนหนัก ทำงานหนัก แถมยังติดต่อเรื่องฝึกงานสารพัดเลยทำให้มึนๆจนลืมอะไรไปบ้าง แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่ลืมจะเป็นเรื่อง ‘สำคัญ’ แบบนี้
“บอลแข่งกี่โมง”ผมหันไปถามเบียร์แล้วลุกขึ้นยืน
“น่าจะใกล้จบครึ่งแรกแล้ว นี่พวกกูก็จะไปดูครึ่งหลัง”
จบครึ่งแรกไปแล้ว!?
ผมวิ่งออกมาจากร้าน ไม่ได้สนใจเสียงเพื่อนที่ดังไล่หลังมา มุ่งหน้าไปที่สนามบอลที่อยู่ใกล้คณะศึกษาศาสตร์ที่ห่างออกไปพอควร
ตั้งแต่คบกันเราก็ยังทำตัวกันเหมือนเดิม ไม่เคยทำให้ลำบากใจกันเลยสักครั้ง นี่คือเรื่องผิดพลาดเรื่องแรก เพราะผมสัญญาไปแล้วแต่กลับลืม…ไม่รู้ว่าโซโล่จะคิดอะไรไหม
ขอให้ไปถึงก่อนเริ่มครึ่งหลังด้วยเถอะ…
สนามบอลเต็มไปด้วยคนมากมายที่เข้ามาดู และดูเหมือนผู้หญิงจะเยอะผิดปกติ ผมเดินแหวกทางเข้าไปด้านในแล้วก็กวาดสายตามองหาเป้าหมาย ดีที่ผมมาถึงตอนอยู่ในช่วงพักครึ่งพอดี…
“พี่กีล์!”
ผมสะดุ้ง หันไปตามเสียงเรียกแล้วก็เห็นว่าเป็นเอสที่โบกมือมาให้
“เอสคือพี่…”
“มาดูเหมือนกันเหรอครับพี่ ตอนนี้เสมอกันอยู่1-1 เบอร์สี่ฝั่งนู้นแม่งน่ากลัวโคตร พวกผมนี่ขนลุกไม่อยากเข้าใกล้เลยอะ”
ผมยืนหอบมองเอสพูดรัวไม่หยุดแล้วก็ไม่รู้จะแทรกยังไง
“นี่ถ้ามันไม่ใช่เดือนมหา’ลัยผมคงคิดว่ามันลงสนามมาฆ่าใครอะ ยิ่งไอ้เคนี่โดนมองหนักจนร่างจะพรุนอยู่ละ”
“เอสว่า…ใครนะครับ”
“เคไงพี่ ที่อยู่ภาคเดียวกับพี่อะ”เอสว่าแล้วชี้ไปทางเคที่กำลังมองมาที่ผมพอดี
“ไม่ใช่ครับ พี่หมายถึงเบอร์สี่ฝั่งนั้น”
“อ๋อ…โซโล่อะพี่ เดือนมหา’ลัยไง พี่ก็รู้จักมันไม่ใช่เหรอ ยังไงฝากบอกมันหน่อยนะว่าหยุดส่งออร่ามืดเถอะ ผมกลัวจนไม่กล้าแย่งบอลมันแล้วเนี่ย”
ผมไม่ได้ฟังเสียงเอสพูดต่อแต่เลือกที่จะวิ่งไปทางฝั่งดุริยางค์ที่กำลังพักกันอยู่แทน ร่างคุ้นตาของคนที่ผมตามหานั่งหลบมุมอยู่ริมเก้าอี้ ใบหน้านิ่งสนิทน่ากลัวอย่างที่เอสว่ากำลังจ้องมองพื้นเหมือนกำลังมองหาอะไร
ผมรู้สึกปวดใจนิดๆกับท่าทางนั้น ไม่ได้สนใจพวกดุริยางค์ที่มองมางงๆเพราะคิดว่ายังไงก็รู้จักกันอยู่แล้วตั้งแต่ไปทะเล
“พี่กีล์…ฝากหน่อยนะพี่”เก้าที่อยู่ในชุดบอลเบอร์หนึ่งเดินเข้ามาหาผมแล้วยื่นผ้าเย็นให้พร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ”
ผมเดินเข้าไปหาคนที่นั่งก้มหน้าแล้ววางผ้าเย็นแปะลงบนหัวอีกคน โซโล่เงยหน้าแล้วจ้องมองมาด้วยดวงตาเฉยชา แต่พอเห็นว่าเป็นผมเขาก็เบะปากน้อยๆแล้วก้มหน้าลงเหมือนเดิม
“กีตาร์มาช้า”
“ขอโทษครับ”
“ผมไม่อยากเตะแล้ว”
“ขอโทษครับ”ผมย่อตัวลงนั่งยองๆข้างหน้าโซโล่แล้วเงยหน้ามองคนที่ก้มหน้าทำให้สายตาเราประสานกันพอดี โซโล่ยังคงทำหน้าบึ้งแต่ก็ไม่ได้หันหน้าหนี
“หึ”
“พี่ยอมรับว่าลืมจริงๆ ขอโทษนะครับ”ผมใช้มือซ้ายจับนิ้วที่อยู่บนขาของเขาแกว่งไปมาเบาๆแล้วยิ้มให้
“…”
“ช่วงนี้พี่วุ่นวายทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงาน แล้วก็เรื่องฝึกงานอีกเลยลืมไปบ้าง…ถึงจะเหมือนแก้ตัวแต่พี่ก็อยากบอกเหตุผล ขอโทษนะครับ”ผมมองหน้าโซโล่ พยายามเลียนแบบสายตาอ้อนๆของเขาแต่กลับได้รับรอยยิ้มขันกลับมาแทน
ขำนี่หมายความว่าไง…แต่เอาไว้ก่อนละกันเพราะมีความผิดติดตัว
“ผมไม่ได้โกรธ…”โซโล่เกี่ยวนิ้วกลับแล้วมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน “อาจจะหงุดหงิดไปบ้างที่กีตาร์ไม่มาแต่ไม่เคยโกรธ ผมรู้ว่ากีตาร์เหนื่อยแค่ไหน…”
“ลงสนามๆ!”
“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”โซโล่ยิ้มบางแล้วลุกขึ้นยืนจนผมต้องลุกตาม ผมรั้งแขนเขาไว้ตอนที่กำลังจะเดินเข้าไปในสนาม
“สู้ๆนะครับ พี่จะเชียร์อยู่ตรงนี้”ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นอีกคนมองเป็นเชิงถามว่าแน่ใจนะ
วิ่งมาหาโจ่งแจ้งขนาดนี้แล้ว จะให้เดินกลับไปสงสัยคงได้โดนแซวหนักกว่าเดิม ไหนๆก็ไหนๆแล้วอยู่ตรงนี้ไปเลยน่าจะดีกว่า
บอลครึ่งหลังเริ่มแล้วแต่เหมือนสายตาคนดูจะสับไปสับมาระหว่างบอลในสนามกับผมที่นั่งหลบมุมอยู่ที่ที่พักดุริยางค์ เพื่อนสี่ตัวที่ยืนอยู่ฝั่งวิศวะเองก็มองมาที่ผมด้วยสายตาที่เหมือนจะด่าว่าไอ้ทรยศ แต่ปากมันนี่มีแต่รอยยิ้มแซว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเดินกลับไปหาเมื่อไหร่จะเจออะไร
จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากตัวเองที่วิ่งมาฝั่งนี้แล้วก็คนในสนามที่เตะบอลไปหันมามองไปจนโดนซุบซิบยังไม่รู้ตัว…หรืออาจจะรู้แต่ไม่ได้สนใจ โซโล่ก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไรนอกจากหน้าที่นิ่งเสมอต้นเสมอปลาย เขาดูโดดเด่นทั้งที่ก็แต่งชุดบอลเหมือนคนอื่น ผู้หญิงรอบสนามนี่แทบจะกรี๊ดทุกครั้งที่โซโล่ได้บอล
อยากจะเห็นท่าทางก่อนหน้านี้ที่ทำให้เอสกลัวจริงๆ…
ไม่รู้เจ้าหมานั่นจะรู้ตัวไหมว่าโดนถ่ายรูป ยิ่งตอนที่เจ้าตัวเสยผมเพราะเหงื่อออกผมได้ยินเสียงกดชัตเตอร์รัวมากจนน่ากลัว
และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น…
ห้องที่คอนโดว่างมากไม่มีรูปเจ้าของห้องสักรูป ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ผมเลยคิดว่าจะจัดการเอง อีกอย่างเก้าแอบมาบอกเมื่ออาทิตย์ก่อนว่าสิ้นปีนี้เป็นวันเกิดเจ้าหมา ผมก็เลยอยากทำอะไรให้เขาบ้าง
จะให้ของขวัญสมฐานะเจ้าตัวคงไม่ไหวเลยได้แต่ใช้วิธีนี้…
ปี๊ดดดดดด!
ผมสะดุ้งกับเสียงนกหวีด พอหันไปมองในสนามก็เห็นว่าจบเกมส์แล้วและกำลังจับมือกันอยู่ บอลจบลงโดยที่วิศวะเป็นฝ่ายชนะไป2-1 พวกดุริยางค์ก็ดูไม่ได้เสียใจอะไร สนิทกันถึงขั้นเดินไปตบหัวลูบหลังกับเด็กวิศวะบางคนที่อยู่ภาคผมหลังจบเกมส์ด้วยซ้ำ
คงต้องขอบคุณค่ายรับน้องที่ทะเลที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
“กีตาร์…”
“ครับ”ผมยืนขึ้นแล้วยิ้มให้คนที่เดินมาหาก่อนจะเอาผ้าที่ยังไม่ได้ใช้เช็ดหน้าเช็ดตาให้หมาตัวโตที่ส่งสายตาอ้อนๆมาให้
“พวกนั้นชวนไปเลี้ยง…ทั้งวิศวะทั้งดุริยางค์ กีตาร์จะไปไหม”
ส่งสายตาแบบนี้มาให้แล้วยังจะถามอีกนะเจ้าหมานี่
“ถ้าโซไปพี่ก็ไปครับ”
โซโล่ยิ้มนิดๆก่อนจะยกมือลูบแก้มผมเบาๆแล้วเดินไปคุยกับพวกดุริยางค์คนอื่น ผมยิ้มฝืดเมื่อเห็นว่าพวกดุริยางค์หันมาส่งสายตาล้อเลียนให้ทั้งแถบ ไหนจะพวกรอบสนามที่กรีดร้องหนักหน่วงตอนที่โซโล่ลูบแก้มผมอีก
“ไปกัน”โซโล่สะพายกระเป๋าแล้วจูงมือผมเดินออกจากสนามโดยไม่สนใจใคร…รวมถึงผมด้วย
ถึงจะบอกว่าเปิดเผยแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เขินนะ…ไม่รู้หน้าเจ้าหมานี่ทำด้วยอะไร แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ปฏิเสธมือที่จับไว้แต่อย่างใด กลายเป็นเดินตามแรงจูงอีกคนไปง่ายๆเสียอีก
“โซ…”ผมเรียกเบาๆแล้วรั้งมือคนที่กำลังเดินข้างๆให้เดินช้าลง “เดี๋ยวพี่บอกแล้ววิ่งเลยนะครับ”
โซโล่หันมามองงงๆ แต่พอมองตามสายตาผมไปแล้วก็เหมือนจะเข้าใจเลยหัวเราะออกมาเบาๆ จะอะไรซะอีกถ้าไม่ใช่พวกเพื่อนผมที่เล่นยืนออกันเต็มประตูทางออกอย่างกับตั้งใจ
“เอานะ…”ดูเหมือนไวน์มันจะเห็นผมแล้วเลยชี้ให้คนอื่นหันมามอง รอยยิ้มล้อเลียนกับเสียงแซวโหวกเหวกดังมาแต่ไกล
“แหม เพื่อนกูนี่…”
“วิ่ง!”
“ไอ้กีล์!”
ผมไม่สนใจเสียงเรียกด้วยความตกใจของไวน์แต่ออกแรงดึงมือคนที่จับอยู่ให้วิ่งตามผ่านหน้าเพื่อนออกมานอกสนามอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงมันดังตามมาแว่วๆ
“อย่าคิดว่าจะหนีพ้นนะมึง!”
“เจอแน่ไอ้กีล์!”
“พี่เอาเพื่อนผมไปไหนอะ!”
ก็รู้อยู่หรอกว่าหนีไม่พ้น แต่รอดจากที่ที่คนเยอะอย่างกับอะไรดีมาได้ก็ดีกว่าโดนแซวกลางสนามต่อหน้าฝูงชนก็แล้วกัน
“กีตาร์…”โซโล่เรียกเสียงหอบ ผมหยุดเท้ากะทันหัน พอหันไปมองหน้าที่ยังนิ่งแต่ดูเหนื่อยสุดๆของเขาแล้วก็ต้องด่าตัวเองในใจ
ลืมไปเลยว่าเจ้าหมานี่เพิ่งเตะบอลมาเหนื่อยๆ
“ขอโทษนะครับ โซไหวไหม”ผมรีบเอาผ้าที่พาดอยู่ที่คอเช็ดเหงื่อให้โซโล่ ส่วนคนที่ยืนหอบอย่างหนักก็ยังมีแรงพยักหน้ากลับมาให้เหมือนจะบอกว่าไหว
ผมยืนรอจนเขาเริ่มกลับมาหายใจปกติแล้วก็จับมืออีกคนไว้ คิดว่าจะพาเดินไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล แต่กลายเป็นว่าโซโล่รั้งมือผมไว้
“กีตาร์…”โซโล่ยืดตัวตรงแล้วทำหน้าจริงจัง ดึงแขนผมให้เดินหลบเข้าไปในมุมตึก “ผมมีเรื่องต้องคุยกับกีตาร์ต่อจากตอนนั้น”
“ครับ”
“กีตาร์บอกว่าถ้ามีอะไรต้องบอกกันใช่ไหม”
ผมพยักหน้า ถึงจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรแต่ก็ไม่มีทางลืมสิ่งที่ตัวเองพูด
“มันไม่ใช่แค่ผมต้องบอกกีตาร์…แต่กีตาร์มีอะไรก็ต้องบอกผมเหมือนกัน เรามีอะไรต้องบอกกันใช่ไหม”โซโล่พูดเสียงอ่อน ดึงมือผมไปจับไว้
“ครับ”
“ผมรู้ว่าช่วงนี้กีตาร์เหนื่อยแค่ไหน ทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงาน เรื่องที่ฝึกงาน เราอยู่ด้วยกันแท้ๆแต่กีตาร์ไม่เคยพูดอะไรให้ผมฟังเลย”
“โซ…”
“ถ้าผมจะโกรธ ผมจะโกรธเพราะกีตาร์ไม่บอกอะไรผมเลย ทำเป็นไหวทั้งที่เหนื่อย ทำเป็นไม่เป็นไรทั้งที่มีผมอยู่ข้างๆ…”
ผมมองใบหน้าของคนที่พูดเสียงอ่อนนิ่งงัน พูดอะไรไม่ออกเพราะมันเป็นไปตามที่เขาบอกทุกอย่าง
“ผมแบ่งภาระของผมให้กีตาร์แบกแล้ว…แล้วกีตาร์แบ่งภาระของกีตาร์ให้ผมบ้างได้ไหม”
“ขอโทษครับ”ผมดึงมือที่จับไว้มาแนบแก้มเหมือนที่เขาชอบทำ พอได้ทำแล้วถึงเข้าใจ
มันอบอุ่นแบบนี้นี่เอง…
“สัญญานะว่าจะบอก…”
“สัญญาครับ”
โซโล่ยกอีกมือลูบแก้มผมเบาๆแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
“ผมเป็นคนรักของกีตาร์นะครับ”
--------------------------------