หมายเหตุ : เหตุการณ์นี้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องหลัก เล่าย้อนตั้งแต่โซโล่เจอพี่กีล์ครั้งแรก
[Solo] Special Part 1
“ให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่เขาต้องการนะคะ”นั่นคือคำขอสุดท้ายของแม่ก่อนที่ท่านจะจากไป โซโล่ ศิวโลคินทร์เกิดมาในตระกูลร่ำรวยมีชื่อเสียง บ้านของเขาเป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับโรงแรมและที่พักหลายแห่งในต่างประเทศซึ่งกำลังจะขยายฐานธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย ทันทีที่เรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกที่จะเดินทางกลับมาบ้านเกิดของแม่เพื่อศึกษาต่อในมหา’ลัยเหมือนที่แม่เคยเรียน โดยที่พ่อของเขายังอยู่ต่างประเทศเพื่อดูแลกิจการ ไม่ได้เดินทางกลับมาด้วย
เขาตัดสินใจเรียนต่อด้านดนตรี พื้นฐานการเล่นกีตาร์ทั้งหมดก็ได้แม่สอนให้ตั้งแต่เด็ก และเพราะเห็นแก่คำสั่งเสียของแม่ พ่อถึงยอมให้เขาเรียนสายการเรียนนี้ แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับไปสานต่อกิจการของบ้านอยู่ดี
โซโล่ถูกคาดหวังเพราะเป็นลูกคนเดียว…เป็นทายาทคนเดียวของศิวโลคินทร์
เขาไม่เคยมีความสุขอีกเลยตั้งแต่แม่จากไปเมื่อสี่ปีก่อน เขาไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะเหมือนตอนที่อยู่กับแม่ พ่อเองก็ไม่ได้สนใจ เอาแต่ทำงานทั้งวัน แม้แต่ตอนที่แม่จากไปก็ยังทำงานไม่หยุด เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไม่อยู่กับเขา แต่ก็ไม่เคยต้องการหาคำตอบเพราะมีแม่อยู่ข้างๆมาตลอด
ตอนที่แม่จากไปเขายืนอยู่หน้าหลุมศพของแม่ ถือดอกกุหลาบสีขาวที่แม่ชอบไว้ในมือ ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ไม่ได้รู้สึกเศร้าจนอยากร้องไห้ มันแค่ว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก จวบจนพ่อหันหลังเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นมองหลุมศพของแม่เงียบๆ
เขาไม่เคยนอนหลับสนิทอีกเลย ทุกๆคืนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มันไม่ใช่ฝันร้าย แค่อยู่ๆก็ตื่นขึ้นมาเอง
แม่จากไปและเอารอยยิ้มกับความสุขของเขาไปด้วย…
หลังจากรายงานตัวเข้าเรียนมหา’ลัยแล้วเขาก็โดนรุ่นพี่กักตัวไว้กับเพื่อนอีกคนที่แนะนำตัวว่าชื่อเก้าอยู่เอกวอยซ์ ระหว่างที่กำลังนั่งรอก็วูบไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับหลับ รู้สึกเหมือนได้ยินรุ่นพี่พูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่ได้ใส่ใจฟังก็ไม่รู้ จวบจนเก้ายื่นมือมาสะกิดนั่นล่ะถึงได้รู้สึกตัวเต็มที่
“พี่เขาถามมึงอะ”
เขาเงยหน้าแล้วหรี่ตามองรุ่นพี่
“โซโล่โอเคนะ”
“อือ”พยักหน้าไปเป็นสัญญาณว่าโอเคสบายดี แต่กลายเป็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“กูไม่คิดว่ามึงจะตกลงนะเนี่ย”เก้าทำหน้าแหยงๆแล้วหัวเราะ
“ตกลง?”
“อ่าว…ก็เขาบอกให้มึงเป็นเดือนแล้วมึงก็โอเคไง”
บอกตอนไหน…
แต่รับปากไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไร รุ่นพี่แค่นัดมาซ้อมการแสดงนั่นนี่ซึ่งเขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง รู้แค่ว่าต้องมาซ้อมทุกวันจนกว่าจะถึงการประกวด ถ้าได้เป็นเดือนคณะก็ต้องซ้อมประกวดเดือนมหา’ลัยต่อ
“ดีละ…กูจะได้มีเพื่อน นี่กูก็ต้องมาซ้อมร้องเพลงขึ้นเวทีเหมือนกัน”
เขาพยักหน้าให้เก้า ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องดีใจในเมื่ออยู่คนละส่วน จะเจอกันก็ไม่ได้
“ทำหน้าสงสัยไรมึง กูหมายถึงกูจะได้มีเพื่อนกินข้าว”
อ่อ…
หลังจากแยกย้ายไปคนละทาง เขาก็เดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้หน้าร้านกาแฟ เหตุผลที่ไม่เอามาจอดที่คณะก็เพราะวันนี้คนเยอะกว่าปกติ พอเห็นที่ว่างก็รีบจอดแบบไม่คิดอะไร ยังไงก็เดินเอาได้อยู่แล้ว
“พี่กีล์สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
มือที่กำลังจะเปิดประตูรถชะงักก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงนุ่มอ่อนโยนน่าดึงดูดอย่างอดไม่ได้
ผู้ชายใส่ผ้ากันเปื้อนที่กำลังทำท่าจะเช็ดกระจกหันมายิ้มให้ผู้หญิงสองคนที่อยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก และวินาทีที่กำลังจะหันกลับไปคนๆนั้นก็เบนสายตามาสบกับเขาเข้าอย่างจัง เจ้าของชื่อกีล์ทำหน้างงวูบเดียวแล้วก็ขยับยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเดินเข้าร้านไป
ทำไม…ถึงยิ้มแบบนั้น
สายตามองตามเข้าไปในร้านกาแฟ เห็นคนๆนั้นยิ้มให้กับลูกค้าทุกคน แม้แต่ตอนที่ทำกาแฟหรือเช็ดโต๊ะก็ยังมีรอยยิ้มน้อยๆจุดอยู่ที่มุมปาก
ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่แต่วันต่อมาก็มาจอดรถที่เดิม ซ้อมเสร็จแล้วก็เดินมาขึ้นรถแล้วมองเข้าไปในร้าน ดูผู้ชายที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนคนนั้นไปเรื่อยๆ จากวันเดียวที่บังเอิญได้เจอกลายเป็นมาแอบดูทุกวันติดต่อกันเป็นอาทิตย์
สองอาทิตย์ต่อมาเขาได้ตำแหน่งเดือนคณะมาแบบงงๆทั้งที่เล่นกีตาร์เพลงง่ายๆแถมไม่ได้ร้องเพลงด้วย
หลังจากนั้นก็โดนเรียกซ้อมที่หอประชุมใหญ่ทุกวัน แล้วก็ต้องแยกซ้อมการแสดงแยกของคณะด้วย เหนื่อยก็เหนื่อย ง่วงก็ง่วง แต่ที่แย่ที่สุดคือจะไม่ได้ไปแอบมองคนๆนั้นแล้ว
ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แค่รู้สึกติดใจรอยยิ้มนั่นและอยากเห็นมันทุกวัน
สุดท้ายวันนี้ก็เลิกดึก…เลยเวลาร้านปิดมาห้านาทีแล้ว รู้สึกเซ็งหน่อยๆที่จะไม่ได้เจอคนที่อยากเจอ แต่แล้วใจที่ห่อเหี่ยวก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไฟร้านยังเปิดอยู่ คนๆนั้นกำลังยืนเช็ดโต๊ะ ไม่ได้กลับไปแล้วแบบที่คิด แค่เห็นข้างหลังก็ยังจำได้ รู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามายืนอยู่ในร้านเสียแล้ว
“ยินดีต้อนรับครับ”
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ได้รับเป็นครั้งที่สองทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเบาบางลงอย่างน่าประหลาด
“ทานกาแฟตอนนี้ไม่ดีนะครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะห่วงหรือเปล่า แต่คำพูดนั้นกลับทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็น
ดี…จนเผลอมองใบหน้านั้นนิ่งๆเป็นเวลานาน
“…งั้นผมควรจะทานอะไร”
รอยยิ้มอ่อนโยนหยิบยื่นมาให้อีกครั้ง ก่อนแก้วเครื่องดื่มสีขาวจะถูกวางลงตรงหน้า
“…นมอุ่นจะช่วยให้หลับสบาย”
ไม่รู้ว่าเพราะเชื่อคำพูดนั้น หรือเพราะรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่เคยจางหายไปจากใบหน้า ถึงได้ทำให้เขายอมหยิบนมขึ้นมากินอย่างว่าง่าย
แล้วคืนนั้นก็หลับสนิทจริงๆเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เดี๋ยวพี่จะส่งกระดาษให้เขียนชื่อเครื่องดื่มกับเค้กที่อยากกินที่ร้าน K ถึงเวลาพักแล้วจะไปสั่งมาให้”
ร้าน K คือร้านของคนๆนั้น…
มือเขียนรายการอาหารคุ้นเคยลงไปอย่างรวดเร็วเป็นคนสุดท้าย
นมอุ่น+เครปเค้ก
หลังจากนั้นก็ซ้อมเดินไปเดินมาหลายรอบจนเหนื่อย จริงๆก็ไม่เข้าใจนักว่าแค่เดินทำไมต้องยุ่งยากนักหนา แต่ในเมื่อรับปากมาแล้วก็ต้องทำ ขัดไปคงมีปัญหาน่ารำคาญตามมาแน่ๆ
“อ๊ะ!พี่กีล์ สวัสดีค่ะ”
เสียงของรุ่นพี่สักคนดังขึ้น สายตาที่ตอนแรกไม่จับจ้องสิ่งใดหันไปมองเจ้าของชื่อคุ้นเคยแทบจะทันที สิ่งแรกที่รู้สึกคือรอยยิ้มนั้นยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย
“ปีหนึ่งคะ นี่พี่กีล์เดือนมหาลัยปีสี่ค่ะ”
อยู่ปีสี่…ทำไมหน้าเด็กนัก
“พี่เอาของมาส่ง ยังไงก็ให้น้องพักก่อนดีกว่านะ”
ใจดีเหมือนเดิม…
แต่จนแล้วจนรอดเพื่อนได้ของกินหมดแล้วเขาก็ยังไม่ได้อะไรสักอย่าง หันไปมองคนๆเดิมโดยอัตโนมัติก็กลายเป็นอีกฝ่ายกำลังเดินมาทางนี้แล้วทรุดตัวลงนั่งด้านหลัง
“มองพี่แบบนั้นทำไมเหรอ”
“ทำไมผมไม่ได้อาหาร”
“นี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าร้านพี่ไม่มีนมอุ่นขายนะครับ”
อ่าว…
ถึงจะพูดแบบนั้นก็ยังหยิบขวดเก็บความร้อนออกมาเทนมสีขาวแล้วยื่นให้พร้อมกับเครปเค้ก
ใจดีจริงๆด้วย…
“นี่มันสิทธิพิเศษเลยนะเนี่ย”
หลังจากวันนั้นเขาก็ไปที่ร้านนั้นทุกวัน แต่เพราะคนๆนั้นอยู่จนดึกแถมยังเดินกลับหอเขาเลยตัดสินใจเลิกเอารถมา กิจวัตรประจำวันคือการรอจนร้านปิด เดินตามคนหน้ายิ้มไปจนถึงหน้าหอเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินกลับคอนโดตัวเอง
ถึงจะเหนื่อยไปหน่อยแต่ก็รู้สึกดีที่ได้เจอ
แต่วันนี้เหมือนจะมาไม่ทัน…
กลับไปก็นอนไม่หลับ ไม่รู้จะกลับไปทำไม สุดท้ายก็นั่งอยู่หน้าร้านแบบไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่ายุงกัดสักนิดจนโดนลากแขนเข้าไปด้านในแล้วหยิบยามาทาให้นั่นล่ะถึงรู้ตัว
ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ…
เขาเอื้อมมือไปกดตรงหว่างคิ้วที่ขมวดเบาๆ
“ทำไมถึงขมวดคิ้ว”
ขมวดหนักกว่าเดิมอีก…
หลังจากนั้นก็โดนถามย้ำจนต้องตอบไปตามความจริงว่านอนไม่หลับ
“ต่อไปถ้าเห็นร้านปิดให้ไปหาพี่ที่หอแล้วติดต่อมา พี่จะเอานมลงไปให้”
ใจดี…ใจดีจนรู้สึกผิดนิดหน่อยที่พูดเรื่องที่ไม่แน่ใจออกไป
ที่บอกว่ากินนมแล้วหลับสบาย…
จริงๆไม่รู้ว่าที่หลับสบายเพราะ ‘นม’ หรือเพราะ ‘คน’ กันแน่
“กีตาร์…”
“หือ…เรียกพี่เหรอครับ”
พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ทำไมเรียกว่ากีตาร์ล่ะ”
“…”
“ว่าไงครับ”
“…”
ไม่ชอบคนขายดอกไม้เลยสักนิด…ทำไมชอบยิ้มให้กีตาร์นัก แค่นั้นไม่พอ คนขายดอกไม้น่าโมโหนั่น…พอรู้ว่าเขามองก็หันมามองกลับแล้วขำใส่ หงุดหงิดจนต้องขมวดคิ้วตั้งหลายที
นั่นไง!ยิ้มอีกแล้ว ดอกไม้ขนขึ้นรถหมดแล้วนะ
“กีตาร์”หงุดหงิดแล้วนะ
“หรือถ้าว่างจะมาทานข้าวกับผมก็ได้นะครับ”
“กีตาร์!”กล้าดียังไงมาชวนกีตาร์กินข้าวแล้วยังหันมายิ้มล้อเขาอีก
เขาเดินไปปิดหลังรถด้วยความหงุดหงิดหลังจากกีตาร์ขึ้นรถไปแล้ว แต่คนน่าโมโหนั่นกลับเดินเข้ามาหาแล้วยื่นดอกไม้สีส้มมาให้
“ผมให้แทนคำขอโทษที่ล่าช้า…จะเอาไปให้ใครก็ได้นะครับ”
ถึงจะหงุดหงิดแต่มือก็ยังรับไว้ตามมารยาท
“ดอกลิลลี่สีส้มหมายถึงมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้…”
“นี่มึงยังไม่ได้บอกพี่เขาอีกเหรอว่าชอบ กูเห็นนั่งส่องเฟสเขาทั้งวัน ขนาดจะขึ้นเวทีแล้วยังจะจ้องอีก…อาการหนักว่ะ”เก้าพูดเสียงเนือยๆใส่
“…”
“ถามจริง...รู้ตัวปะวะว่าชอบเขา”
ชอบเหรอ…ถ้าการที่อยากอยู่ใกล้ อยากมองหน้า อยากให้ยิ้มให้ตลอดเวลานั่นเรียกว่าชอบ…ก็คงใช่
“รู้”
“แล้วแต่มึงละกัน คิดว่าถึงเวลาที่อยากมีสิทธิ์มากกว่านี้เมื่อไหร่ก็บอกไป”
“อืม…”
“แต่ก่อนหน้านั้นมึงต้องแสดงให้เขารู้ชัดๆบ้างว่าคิดอะไร เข้าใจมะ”
แสดงให้รู้บ้าง…
“ยังไง”
เก้าขยับเข้ามาใกล้แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“คนพูดไม่เก่งอย่างมึงอะ ต้องรู้จักใช้ตัวช่วยสิวะ”
ตัวช่วย…
“ถ้ามึงไม่รู้จะพูดยังไง…ก็ให้เพลงพูดแทน”
เพราะไม่ชอบร้องเพลงสุดท้ายก็ได้แต่เงียบบนเวทีทั้งที่เปลี่ยนเพลงกะทันหัน ดีที่เก้ายืนอยู่ไม่ไกลเหมือนคาดการณ์ไว้แล้วเลยมีคนร้องแทน แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงของคนอื่นจะสื่อไปถึงคนที่ยืนอยู่หน้าเวทีหรือเปล่า เพราะงั้นอย่างน้อยขอให้ได้พูดสิ่งที่คิดสักอย่างก็ยังดี
“…ฉันเจอเธอแล้ว”
อยากลงไปหาแล้ว เมื่อไหร่งานจะจบสักที…
“ความสุขในนิยามของคุณคืออะไร”
ความสุขเหรอ…
จริงๆความสุขหายไปนานแล้วพร้อมกับแม่
แต่ตอนนี้…
“กีตาร์”
ถ้าพูดไม่ได้ก็ให้เพลงพูดแทน…
“จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ
บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน ถ้าเธอไม่รับมัน
ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม
หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไรใจฉันก็ไม่ยอม
ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน”
เหตุผลที่เรียกคุณว่ากีตาร์ เพราะกีตาร์คือความสุขอย่างเดียวที่ผมเหลืออยู่ เป็นสิ่งที่แม่เหลือไว้ให้เป็นตัวแทนของแม่ ตอนที่แม่จากไป แม่จากไปพร้อมรอยยิ้มและความสุขของผม และตอนที่คุณเข้ามา…คุณสอนให้ผมรู้จักมันอีกครั้ง -------------------------------------------