36
สุดหัวใจ
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเชนถึงนั่งหน้าเครียดมาตลอดทาง
ถ้าผมรู้ว่าพอมาถึงที่หมายแล้วเราจะเจออะไร ก็คงเครียดไม่น้อยเหมือนกัน... อาจจะเครียดกว่าเขาด้วยซ้ำ
เหมือนตอนนี้ไง ที่ผมได้แต่นั่งตัวเกร็ง มองใบหน้าคมของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะกำลังถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมที่เป็นต้นแบบของดวงตาคู่สวยของเชนจ้องตรงมาด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา
“เฮ้อ” แล้วเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบก็ทำเอาผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยอัตโนมัติ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมซึ่งเหมือนกับเชนเป๊ะต่างกันตรงร่องรอยแห่งวัยที่มากกว่าจะหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหนาที่ลอบกุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะอาหารพร้อมกับถามเสียงเข้ม
“ตกลงว่าคราวนี้ไม่ได้ล้อเล่นสินะ” เสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความหนักใจนั้น เล่นเอาผมที่หายใจไม่ตรงจังหวะอยู่แล้ว อยากจะหยุดหายใจไปซะตรงนี้เลย
ผมเงยหน้ามองเชนที่กำลังสบตาพ่อของเขาด้วยสายตาที่เรียบนิ่งไม่แพ้กันด้วยความกังวล
บางที...ผมอาจจะมาที่นี่เร็วเกินไป
ถึงพี่ริบบิ้นจะบอกว่าพ่อของเชนรับรู้เรื่องของเราแล้วก็เถอะ แต่ดูเหมือนท่านจะยังรับไม่ได้เสียทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่
นั่งมองพวกเราหน้าเครียดแบบนี้
“ครับ” เชนตอบสั้นๆ
ตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามา สีหน้าเขาก็ดูเคร่งขรึม เหมือนคิดอะไรตลอดเวลา ถึงมือหนาที่กุมอยู่จะบีบมือผมเบาๆ เป็นระยะเหมือนจะบอกให้ผมผ่อนคลาย แต่ผมก็พอจะดูออกว่าเจ้าของฝ่ามือร้อนจัดนี้ไม่ได้ผ่อนคลายได้ด้วยเลย
ผมอยากจะช่วยอะไรเขาบ้าง แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะทำยังไง จึงได้แต่นั่งเงียบอย่างคนขี้ขลาด
“ไม่เอาน่าพ่อ บิ้นบอกพ่อไปแล้วนะว่าเชนมันจริงจัง ตอนนั้นพ่อไม่เห็นว่าอะไรเลย” พี่ริบบิ้นที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่อของตัวเองเอ่ยขึ้นมาอย่างต้องการแก้สถานการณ์ เธอหันมายิ้มให้ผมเหมือนจะปลอบใจผมที่คงจะกำลังหน้าซีดขวัญหนีดีฝ่อไปกับบรรยากาศแสนกดดันที่กำลังเผชิญ
และผมคงจะวิ่งหนีไปแล้วถ้าไม่มีเชนอยู่ข้างๆ ไม่มีฝ่ามือของเขาที่จับมือผมไว้ราวกับจะบอกว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
“ก็ฉันคิดว่ามันจะโกหกเหมือนตอนมัธยมนี่หว่า” พ่อของเชนเอ่ยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนที่เสียงหวานของพี่ริบบิ้นจะเสริมขึ้นมา
“เออเนอะ” เธอยกกำปั้นขึ้นมาตีมืออีกข้างเหมือนนึกขึ้นได้ “ตอนมัธยมแกเคยพาผู้ชายมาบ้านครั้งนึงแล้วโกหกว่าเป็นแฟนนี่ ใช่มะ? ตอนนั้นทำไปทำไมนะ”
“ประชดพ่อที่จะแต่งงานใหม่กับแม่บิ้น” พ่อของเชนเบ้ปาก
“โคตรเด็ก!” พี่ริบบิ้นโวย
“ใช่มะ”
เดี๋ยวนะครับ... เหมือนบรรยากาศซีเรียสเมื่อกี้มันจะหายไปหรือเปล่า?
“แล้วจะรู้ได้ไงว่านายรักลูกชายฉันจริง” แต่แล้วอยู่ๆ พ่อของเชนก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะตีหน้านิ่งหันกลับมาตั้งคำถามกับผมด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง เล่นเอาผมถึงกับอ้ำอึ้งอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“ว่าไง?” ท่านเลิกคิ้ว “พิสูจน์ได้มั้ยว่านายรักไอ้เชนมันจริง ไม่ได้แค่ต้องการจับเพราะบ้านรวย”
“...” ผมถึงกับหน้าชาไปเลยเมื่อเจอคำถามนั้น
จริงอย่างที่พ่อของเชนว่า ผมจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าผมรักเชนจริงๆ ในเมื่อตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากคำพูดที่เป็นเพียงลมปาก
แต่ผมสาบานได้ว่ามันออกมาจากหัวใจของผมจริงๆ
“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยออกมาพลางเงยหน้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของคนที่ผมรักด้วยสายตาจริงจังที่สุดในชีวิต “แต่ผมไม่มีอะไรมาพิสูจน์เลย”
“...” ความเงียบก่อตัวขึ้นทันที เมื่อทุกคนในที่นี้ต่างก็จ้องมาที่ผมอย่างรอฟัง
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเชนเป็นใคร หรือมีครอบครัวที่ร่ำรวยขนาดไหน เพราะฉะนั้นผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้คิดจะจับเขา”
“...” พ่อของเชนยังคงมองหน้าผมนิ่งจนรู้สึกกดดัน
แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว... พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เชนพยายามเพื่อเรื่องของเราขนาดไหน ผมก็คิดได้ว่าคงถึงคราวที่ผมจะต้องพยายามบ้าง
“พ่อครับ ผมรักเชนจริงๆ” ผมเอ่ยขณะที่บีบมือเชนไว้แน่นอย่างต้องการสร้างความเชื่อมั่น “รักจนสุดหัวใจเลย”
“...”
“เพราะฉะนั้น ให้พวกเราคบกันเถอะนะครับ” พูดจบผมก็ยังคงสบตากับพ่อของเชนอย่างจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมจะไม่หนี
ต่อให้โดนปฏิเสธผมก็จะไม่ยอม... ไม่มีทางยอมแน่ๆ
“...”
“...”
ความเงียบที่แสนจะอธิบายยากครอบคลุมอยู่ในบรรยากาศนานหลายวินาที ก่อนที่เสียงทุ้มของคนข้างตัวผมจะดังขึ้นมาเบาๆ
“ให้ตาย” เชนยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาปิดหน้า แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่โผล่พ้นฝ่ามือออกมาหรือแม้แต่ใบหูของ
เขา ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างปิดไม่มิด
“บอกแล้วว่าอย่าเล่น” น้ำเสียงของเขาฟังดูทั้งขบขันและตึงเครียดในเวลาเดียวกันจนผมต้องเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ
เล่น? เล่นอะไร
“ใครจะไปรู้ว่าแฟนแกจะจริงจังขนาดนี้” คราวนี้เป็นพ่อของเชนที่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในขณะที่พี่ริบบิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคางมองผม
“น้องเหมียวมึนน่ารักอ่ะ อยากหยิกแก้ม” เธอว่าพลางทำหน้าละห้อย
“...” เอาอีกแล้ว บทสนทนาที่แสนจะเฉพาะกลุ่มโผล่มาอีกแล้ว
มีแต่ผมหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจว่าทั้งสามคนพูดอะไร?
“...”
“รักจนสุดหัวใจ... สมัยพ่อยังไม่พูดเลยว่ะ” พ่อของเชนย้ำคำพูดผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนจะล้อเลียน
“...” ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ยังคงปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
ตกลงไม่ต้องซีเรียสแล้วเหรอครับ?
ใครก็ได้บอกทีว่าผมควรอยู่ในโหมดไหน จะได้ทำตัวถูก
“คู่นี้มันเหลือเกินชะมัด” พี่ริบบิ้นพูดต่อ ด้วยรอยยิ้มร้ายกาจไม่แพ้กัน "เข้าใจแล้วว่าทำไมเชนมันถึงหลงหัวปักหัวปำซะยิ่งกว่าตอนพ่อหลงแม่อีก” ว่าพลางหันไปมองเชนแล้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้
“...” เอ่อ... ผมว่าผมพอเข้าใจแล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไร
“ตอนบิ้นแกล้งไม่ให้โทรหานะ โอ๊ยย คลั่งจนแทบจะกรีดข้อมือ” พี่ริบบิ้นพูดอย่างออกรส ขณะที่ผู้เป็นพ่อพยักหน้าหงึกหงักพลางเลิกคิ้วล้อเลียน
“อะไรจะเบอร์นั้น”
“หุบปากสักทีน่า” เสียงทุ้มจากคนข้างตัวผมเอ่ยขึ้นมา ผมหันกลับไปหาเชนก็พบว่าเขาเลิกเอามือปิดหน้า เพราะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว “พามาให้แกล้งแล้ว พอใจยัง? จะได้พาขึ้นห้อง” เขาเลิกคิ้ว สีหน้างุ่นง่านเหมือนพยายามเก็บอาการไม่ให้หน้าแดงขึ้นมาอีก
จากคำถามของเชนทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าใจไม่ผิด... โดนแกล้งอีกแล้ว จริงๆ ด้วย
ให้ตาย ผมต้องโง่แค่ไหนถึงได้โดนแกล้งซ้ำซ้อนในวันเดียวกันแบบนี้เนี่ย
“ใครกันแน่ที่พอใจ? พอโดนบอกรักตรงๆ เข้าหน่อยหน้าแดงสติแตกทำแผนเสียเลยนะแก” พี่ริบบิ้นแสยะยิ้ม มองพวกเราอย่างล้อเลียนไม่เลิก ในขณะที่พ่อของเชนยกมือขึ้นมาโบกไล่
“เออ หมั่นไส้ว่ะ จะไปไหนก็ไปๆ”
พอได้ยินแบบนั้นมือหนาก็ฉุดผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “มานี่”
แล้วเชนก็หันมาลากผมที่ยังมึนๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะไปที่บันไดขึ้นชั้นสองและน่าจะพาผมไปที่ห้องเขาอย่างที่ว่า สีหน้าของเขาดูงุ่นงานจนผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ ทั้งๆ ที่คนที่ต้องหงุดหงิดเพราะโดนแกล้งควรจะเป็นผมแท้ๆ
จะว่าไป พอเห็นแบบนี้ผมก็ไม่สงสัยแล้วล่ะว่าเขาเจ้าเล่ห์ติดใครมา เล่นเหมือนกันทั้งบ้านขนาดนี้
ไม่นาน เขาก็พาผมมาถึงห้องนอนจนได้ ห้องนอนใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาวดำ เข้ากับความโมเดิร์นของบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเขา พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาอยู่ในหอแคบๆ ของผมได้โดยไม่บ่นสักคำ แถมก่อนหน้าที่เราจะคบกัน ผมยังให้เขานอนพื้นแข็งๆ ซะอีก
ไม่เจียมตัวเลยแฮะ
“เฮ้อ!” แต่ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ร่างสูงก็ถอนหายใจหนักๆ พลางหมุนตัวกลับมาหาผมด้วยสีหน้าอธิบายยากเหมือนเคย
เชนมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาทีก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ดันผมจนถอยหลังไปชนผนังพลางเอื้อมมือมากอดไว้หลวมๆ ร่างสูงโน้มตัวลงมาฝังใบหน้าลงกับไหล่ของผมแล้วถอนหายใจอีกรอบ
“เหลือเชื่อเลย... กล้าพูดแบบนั้นออกมาต่อหน้าพ่อกับยัยป้านั่นได้ไงเนี่ย เดี๋ยวก็โดนล้อไปจนตายหรอก” เขาบ่นพึมพำทั้งที่ยังซบหน้าลงที่ไหล่ผม เหมือนพยายามจะซ่อนใบหน้าที่กลับมาเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้งของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ผมเห็น
แต่แน่นอนว่าผมสังเกตเห็นก่อนที่เขาจะพยายามซ่อนมันเสียอีก
“ไม่ชอบเหรอ” ผมแกล้งถามกลั้วหัวเราะ ชอบจริงๆ เวลาที่เขาพยายามกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าคิ้วขมวดหงุดหงิดงุ่นง่าน ทั้งๆ ที่มันปิดไม่มิดเนี่ย
“ชอบ...แต่อยากได้ยินคนเดียวมากกว่า” เสียงอู้อี้ที่เกิดจากการที่เขายังคงซุกใบหน้าคลอเคลียอยู่ระหว่างไหล่กับต้นคอของผมทำเอาผมรู้สึกจั๊กจี้จนหัวเราะออกมาอีกรอบ
เราเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามขึ้นมา
“ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ว่าพี่ริบบิ้นเป็นพี่สาว” เพราะตอนนั้นที่โทรมาเขาไม่ยอมบอกความจริงนี่แหละ ถึงทำให้ผมวุ่นวายใจจนถ่อมาหาถึงที่แบบนี้
คราวนี้เชนเงยหน้าขึ้นสบตาผม ก่อนจะตอบยิ้มๆ “กลัวว่าถ้ารู้ว่ามีพี่สาวเป็นลูกสาวตระกูลดังแล้วจะถูกจับ”
“ฮะ?” ผมเลิกคิ้ว คำตอบอะไรของหมอนี่เนี่ย ใครจะไปอยากจับเขากัน “ถ้างั้นทำไมถึงยอมบอกง่ายๆ?”
แถมยังพามาที่บ้านอีก ผมไม่ได้ขอสักหน่อย L
เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาสบตาผมด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ “ก็เพราะตอนนี้อยากถูกจับไง ก็เลยบอก” ว่าพลางยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจเหมือนเคย ก่อนจะเลิกคิ้วถาม
“ที่นี้ตัดสินใจง่ายขึ้นแล้วใช่มั้ย”
“ตัดสินใจอะไร?” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ตัดสินใจว่าจะยอมอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า”
“...” ผมนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากปากคนตรงหน้า
และพอเห็นผมนิ่ง เขาก็ยิ้มมุมปากอีกครั้งพร้อมกับโน้มหน้าลงมาจนหน้าผากตัวเองแตะกับหน้าผากผมเบาๆ “คิดเยอะทำไม เลี้ยงไหวนะ บ้านรวย”
ผมถึงกับชะงักไปอีกรอบ แล้วหลุดหัวเราะออกมากับประโยคหลงตัวเองหน้าตายของคนตรงหน้า ต้องมั่นใจแค่ไหนถึงจะกล้าพูดจูงใจด้วยประโยคแบบนี้เนี่ย
เชนหัวเราะตามผมก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจูบหนักๆ ลงบนหน้าผาก แล้วเลื่อนจมูกโด่งๆ ลงมาคลอเคลียกับจมูกของผมไปมา
“ขอบคุณที่มา” คราวนี้ริมฝีปากบางถือวิสาสะกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับสบตาผมด้วยสายตาเว้าวอน “ไม่อย่างนั้นฉันคงคิดถึงจนเป็นบ้าไปจริงๆ แน่”
คำพูดและสีหน้าของเขา ทำเอาผมนึกถึงคำพูดโอเวอร์ของพี่ริบบิ้นก่อนหน้านี้แล้วหลุดขำออกมา
หมอนี่ท่าจะอาการโคม่าจริงๆ
แต่จะว่าแต่เขาก็คงไม่ได้ล่ะนะ...
"แล้วใครบอกว่าตัวเองคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียว” ผมเอ่ย คราวนี้เป็นฝ่ายเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ร่างสูงแล้วใช้จมูกคลอเคลียกับจมูกของเขาบ้าง ลมหายใจที่รินรดลงบนปลายจมูกเหมือนจะช่วยต่อลมหายใจของกันและกันในทุกขณะที่ขยับเข้าใกล้ด้วยแรงดึงดูดอันน่าพิศวง
“ฉันเองก็คิดถึงจนแทบบ้าเหมือนกัน” ว่าจบผมก็เอื้อมมือไปจับใบหน้าของร่างสูงให้โน้มลงมา เพื่อทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเขา
ยืนยันคำพูดนั้นให้เขารู้ว่าผมเองก็คิดถึงและโหยหาที่จะเจอหน้าเขามากแค่ไหน
“หึ... อย่าออกตัวแรงสิ พ่ออยู่” เขายิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ พูดล้อทันทีที่ผมผละริมฝีปากออกเพื่อหายใจ
แต่แทนที่จะโกรธที่โดนเขาหยอกอีกแล้ว ผมกลับหัวเราะเบาๆ แล้วดึงเขามาจูบอีกครั้งอย่างไม่สนคำพูดที่จงใจแกล้งให้ผมอายนั่น
ก่อนจะถอนริมฝีปากออก กระซิบคำพูดที่เขาอยากได้ยินอีกครั้งในขณะที่มีเราแค่สองคน
“รักพี่เชนนะครับ”
“...”
“รักจนสุดหัวใจเลย”
ต่อให้โดนล้อไปจนตาย ผมก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดที่พูดมันออกมา
-- makok_num --