[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 201592 ครั้ง)

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
พี่เชนคนดี รอดูท่าทีโชต่อไป

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
36
สุดหัวใจ
 
               
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเชนถึงนั่งหน้าเครียดมาตลอดทาง
               
ถ้าผมรู้ว่าพอมาถึงที่หมายแล้วเราจะเจออะไร ก็คงเครียดไม่น้อยเหมือนกัน... อาจจะเครียดกว่าเขาด้วยซ้ำ
               
เหมือนตอนนี้ไง ที่ผมได้แต่นั่งตัวเกร็ง มองใบหน้าคมของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะกำลังถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมที่เป็นต้นแบบของดวงตาคู่สวยของเชนจ้องตรงมาด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา
               
“เฮ้อ” แล้วเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบก็ทำเอาผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยอัตโนมัติ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมซึ่งเหมือนกับเชนเป๊ะต่างกันตรงร่องรอยแห่งวัยที่มากกว่าจะหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหนาที่ลอบกุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะอาหารพร้อมกับถามเสียงเข้ม
               
“ตกลงว่าคราวนี้ไม่ได้ล้อเล่นสินะ” เสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความหนักใจนั้น เล่นเอาผมที่หายใจไม่ตรงจังหวะอยู่แล้ว อยากจะหยุดหายใจไปซะตรงนี้เลย
               
ผมเงยหน้ามองเชนที่กำลังสบตาพ่อของเขาด้วยสายตาที่เรียบนิ่งไม่แพ้กันด้วยความกังวล 
บางที...ผมอาจจะมาที่นี่เร็วเกินไป

ถึงพี่ริบบิ้นจะบอกว่าพ่อของเชนรับรู้เรื่องของเราแล้วก็เถอะ แต่ดูเหมือนท่านจะยังรับไม่ได้เสียทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่
นั่งมองพวกเราหน้าเครียดแบบนี้

“ครับ” เชนตอบสั้นๆ

ตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามา สีหน้าเขาก็ดูเคร่งขรึม เหมือนคิดอะไรตลอดเวลา ถึงมือหนาที่กุมอยู่จะบีบมือผมเบาๆ เป็นระยะเหมือนจะบอกให้ผมผ่อนคลาย แต่ผมก็พอจะดูออกว่าเจ้าของฝ่ามือร้อนจัดนี้ไม่ได้ผ่อนคลายได้ด้วยเลย

ผมอยากจะช่วยอะไรเขาบ้าง แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะทำยังไง จึงได้แต่นั่งเงียบอย่างคนขี้ขลาด

“ไม่เอาน่าพ่อ บิ้นบอกพ่อไปแล้วนะว่าเชนมันจริงจัง ตอนนั้นพ่อไม่เห็นว่าอะไรเลย” พี่ริบบิ้นที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่อของตัวเองเอ่ยขึ้นมาอย่างต้องการแก้สถานการณ์ เธอหันมายิ้มให้ผมเหมือนจะปลอบใจผมที่คงจะกำลังหน้าซีดขวัญหนีดีฝ่อไปกับบรรยากาศแสนกดดันที่กำลังเผชิญ

และผมคงจะวิ่งหนีไปแล้วถ้าไม่มีเชนอยู่ข้างๆ ไม่มีฝ่ามือของเขาที่จับมือผมไว้ราวกับจะบอกว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

“ก็ฉันคิดว่ามันจะโกหกเหมือนตอนมัธยมนี่หว่า” พ่อของเชนเอ่ยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนที่เสียงหวานของพี่ริบบิ้นจะเสริมขึ้นมา

“เออเนอะ” เธอยกกำปั้นขึ้นมาตีมืออีกข้างเหมือนนึกขึ้นได้ “ตอนมัธยมแกเคยพาผู้ชายมาบ้านครั้งนึงแล้วโกหกว่าเป็นแฟนนี่ ใช่มะ? ตอนนั้นทำไปทำไมนะ”

“ประชดพ่อที่จะแต่งงานใหม่กับแม่บิ้น” พ่อของเชนเบ้ปาก

“โคตรเด็ก!” พี่ริบบิ้นโวย

“ใช่มะ”

เดี๋ยวนะครับ... เหมือนบรรยากาศซีเรียสเมื่อกี้มันจะหายไปหรือเปล่า?

“แล้วจะรู้ได้ไงว่านายรักลูกชายฉันจริง” แต่แล้วอยู่ๆ พ่อของเชนก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะตีหน้านิ่งหันกลับมาตั้งคำถามกับผมด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง เล่นเอาผมถึงกับอ้ำอึ้งอย่างตั้งตัวไม่ทัน

“ว่าไง?” ท่านเลิกคิ้ว “พิสูจน์ได้มั้ยว่านายรักไอ้เชนมันจริง ไม่ได้แค่ต้องการจับเพราะบ้านรวย”

“...” ผมถึงกับหน้าชาไปเลยเมื่อเจอคำถามนั้น

จริงอย่างที่พ่อของเชนว่า ผมจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าผมรักเชนจริงๆ ในเมื่อตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากคำพูดที่เป็นเพียงลมปาก

แต่ผมสาบานได้ว่ามันออกมาจากหัวใจของผมจริงๆ

“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยออกมาพลางเงยหน้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของคนที่ผมรักด้วยสายตาจริงจังที่สุดในชีวิต “แต่ผมไม่มีอะไรมาพิสูจน์เลย”

“...” ความเงียบก่อตัวขึ้นทันที เมื่อทุกคนในที่นี้ต่างก็จ้องมาที่ผมอย่างรอฟัง

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเชนเป็นใคร หรือมีครอบครัวที่ร่ำรวยขนาดไหน เพราะฉะนั้นผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้คิดจะจับเขา”

“...” พ่อของเชนยังคงมองหน้าผมนิ่งจนรู้สึกกดดัน

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว... พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เชนพยายามเพื่อเรื่องของเราขนาดไหน ผมก็คิดได้ว่าคงถึงคราวที่ผมจะต้องพยายามบ้าง

“พ่อครับ ผมรักเชนจริงๆ” ผมเอ่ยขณะที่บีบมือเชนไว้แน่นอย่างต้องการสร้างความเชื่อมั่น “รักจนสุดหัวใจเลย”

“...”

“เพราะฉะนั้น ให้พวกเราคบกันเถอะนะครับ” พูดจบผมก็ยังคงสบตากับพ่อของเชนอย่างจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมจะไม่หนี

ต่อให้โดนปฏิเสธผมก็จะไม่ยอม... ไม่มีทางยอมแน่ๆ

“...”

“...”

ความเงียบที่แสนจะอธิบายยากครอบคลุมอยู่ในบรรยากาศนานหลายวินาที ก่อนที่เสียงทุ้มของคนข้างตัวผมจะดังขึ้นมาเบาๆ

“ให้ตาย” เชนยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาปิดหน้า แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่โผล่พ้นฝ่ามือออกมาหรือแม้แต่ใบหูของ
เขา ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างปิดไม่มิด

“บอกแล้วว่าอย่าเล่น” น้ำเสียงของเขาฟังดูทั้งขบขันและตึงเครียดในเวลาเดียวกันจนผมต้องเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ

เล่น? เล่นอะไร

“ใครจะไปรู้ว่าแฟนแกจะจริงจังขนาดนี้” คราวนี้เป็นพ่อของเชนที่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในขณะที่พี่ริบบิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคางมองผม

“น้องเหมียวมึนน่ารักอ่ะ อยากหยิกแก้ม” เธอว่าพลางทำหน้าละห้อย

“...” เอาอีกแล้ว บทสนทนาที่แสนจะเฉพาะกลุ่มโผล่มาอีกแล้ว

มีแต่ผมหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจว่าทั้งสามคนพูดอะไร?

“...”

“รักจนสุดหัวใจ... สมัยพ่อยังไม่พูดเลยว่ะ” พ่อของเชนย้ำคำพูดผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนจะล้อเลียน

“...” ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ยังคงปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

ตกลงไม่ต้องซีเรียสแล้วเหรอครับ?

ใครก็ได้บอกทีว่าผมควรอยู่ในโหมดไหน จะได้ทำตัวถูก

“คู่นี้มันเหลือเกินชะมัด” พี่ริบบิ้นพูดต่อ ด้วยรอยยิ้มร้ายกาจไม่แพ้กัน "เข้าใจแล้วว่าทำไมเชนมันถึงหลงหัวปักหัวปำซะยิ่งกว่าตอนพ่อหลงแม่อีก” ว่าพลางหันไปมองเชนแล้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“...” เอ่อ... ผมว่าผมพอเข้าใจแล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไร

“ตอนบิ้นแกล้งไม่ให้โทรหานะ โอ๊ยย คลั่งจนแทบจะกรีดข้อมือ” พี่ริบบิ้นพูดอย่างออกรส ขณะที่ผู้เป็นพ่อพยักหน้าหงึกหงักพลางเลิกคิ้วล้อเลียน

“อะไรจะเบอร์นั้น”

“หุบปากสักทีน่า” เสียงทุ้มจากคนข้างตัวผมเอ่ยขึ้นมา ผมหันกลับไปหาเชนก็พบว่าเขาเลิกเอามือปิดหน้า เพราะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว “พามาให้แกล้งแล้ว พอใจยัง? จะได้พาขึ้นห้อง” เขาเลิกคิ้ว สีหน้างุ่นง่านเหมือนพยายามเก็บอาการไม่ให้หน้าแดงขึ้นมาอีก

จากคำถามของเชนทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าใจไม่ผิด... โดนแกล้งอีกแล้ว จริงๆ ด้วย

ให้ตาย ผมต้องโง่แค่ไหนถึงได้โดนแกล้งซ้ำซ้อนในวันเดียวกันแบบนี้เนี่ย

“ใครกันแน่ที่พอใจ? พอโดนบอกรักตรงๆ เข้าหน่อยหน้าแดงสติแตกทำแผนเสียเลยนะแก” พี่ริบบิ้นแสยะยิ้ม มองพวกเราอย่างล้อเลียนไม่เลิก ในขณะที่พ่อของเชนยกมือขึ้นมาโบกไล่

“เออ หมั่นไส้ว่ะ จะไปไหนก็ไปๆ”

พอได้ยินแบบนั้นมือหนาก็ฉุดผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “มานี่”

แล้วเชนก็หันมาลากผมที่ยังมึนๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะไปที่บันไดขึ้นชั้นสองและน่าจะพาผมไปที่ห้องเขาอย่างที่ว่า สีหน้าของเขาดูงุ่นงานจนผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ ทั้งๆ ที่คนที่ต้องหงุดหงิดเพราะโดนแกล้งควรจะเป็นผมแท้ๆ

จะว่าไป พอเห็นแบบนี้ผมก็ไม่สงสัยแล้วล่ะว่าเขาเจ้าเล่ห์ติดใครมา เล่นเหมือนกันทั้งบ้านขนาดนี้

ไม่นาน เขาก็พาผมมาถึงห้องนอนจนได้ ห้องนอนใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาวดำ เข้ากับความโมเดิร์นของบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเขา พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาอยู่ในหอแคบๆ ของผมได้โดยไม่บ่นสักคำ แถมก่อนหน้าที่เราจะคบกัน ผมยังให้เขานอนพื้นแข็งๆ ซะอีก

ไม่เจียมตัวเลยแฮะ

“เฮ้อ!” แต่ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ร่างสูงก็ถอนหายใจหนักๆ พลางหมุนตัวกลับมาหาผมด้วยสีหน้าอธิบายยากเหมือนเคย

เชนมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาทีก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ดันผมจนถอยหลังไปชนผนังพลางเอื้อมมือมากอดไว้หลวมๆ ร่างสูงโน้มตัวลงมาฝังใบหน้าลงกับไหล่ของผมแล้วถอนหายใจอีกรอบ

“เหลือเชื่อเลย... กล้าพูดแบบนั้นออกมาต่อหน้าพ่อกับยัยป้านั่นได้ไงเนี่ย เดี๋ยวก็โดนล้อไปจนตายหรอก” เขาบ่นพึมพำทั้งที่ยังซบหน้าลงที่ไหล่ผม เหมือนพยายามจะซ่อนใบหน้าที่กลับมาเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้งของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ผมเห็น

แต่แน่นอนว่าผมสังเกตเห็นก่อนที่เขาจะพยายามซ่อนมันเสียอีก

“ไม่ชอบเหรอ” ผมแกล้งถามกลั้วหัวเราะ ชอบจริงๆ เวลาที่เขาพยายามกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าคิ้วขมวดหงุดหงิดงุ่นง่าน ทั้งๆ ที่มันปิดไม่มิดเนี่ย

“ชอบ...แต่อยากได้ยินคนเดียวมากกว่า” เสียงอู้อี้ที่เกิดจากการที่เขายังคงซุกใบหน้าคลอเคลียอยู่ระหว่างไหล่กับต้นคอของผมทำเอาผมรู้สึกจั๊กจี้จนหัวเราะออกมาอีกรอบ

เราเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามขึ้นมา

“ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ว่าพี่ริบบิ้นเป็นพี่สาว” เพราะตอนนั้นที่โทรมาเขาไม่ยอมบอกความจริงนี่แหละ ถึงทำให้ผมวุ่นวายใจจนถ่อมาหาถึงที่แบบนี้

คราวนี้เชนเงยหน้าขึ้นสบตาผม ก่อนจะตอบยิ้มๆ “กลัวว่าถ้ารู้ว่ามีพี่สาวเป็นลูกสาวตระกูลดังแล้วจะถูกจับ”

“ฮะ?” ผมเลิกคิ้ว คำตอบอะไรของหมอนี่เนี่ย ใครจะไปอยากจับเขากัน “ถ้างั้นทำไมถึงยอมบอกง่ายๆ?”
แถมยังพามาที่บ้านอีก ผมไม่ได้ขอสักหน่อย L

เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาสบตาผมด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ “ก็เพราะตอนนี้อยากถูกจับไง ก็เลยบอก” ว่าพลางยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจเหมือนเคย ก่อนจะเลิกคิ้วถาม

“ที่นี้ตัดสินใจง่ายขึ้นแล้วใช่มั้ย”

“ตัดสินใจอะไร?” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ตัดสินใจว่าจะยอมอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า”

“...” ผมนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากปากคนตรงหน้า
และพอเห็นผมนิ่ง เขาก็ยิ้มมุมปากอีกครั้งพร้อมกับโน้มหน้าลงมาจนหน้าผากตัวเองแตะกับหน้าผากผมเบาๆ “คิดเยอะทำไม เลี้ยงไหวนะ บ้านรวย”

ผมถึงกับชะงักไปอีกรอบ แล้วหลุดหัวเราะออกมากับประโยคหลงตัวเองหน้าตายของคนตรงหน้า ต้องมั่นใจแค่ไหนถึงจะกล้าพูดจูงใจด้วยประโยคแบบนี้เนี่ย

เชนหัวเราะตามผมก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจูบหนักๆ ลงบนหน้าผาก แล้วเลื่อนจมูกโด่งๆ ลงมาคลอเคลียกับจมูกของผมไปมา

“ขอบคุณที่มา” คราวนี้ริมฝีปากบางถือวิสาสะกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ  ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับสบตาผมด้วยสายตาเว้าวอน “ไม่อย่างนั้นฉันคงคิดถึงจนเป็นบ้าไปจริงๆ แน่”

คำพูดและสีหน้าของเขา ทำเอาผมนึกถึงคำพูดโอเวอร์ของพี่ริบบิ้นก่อนหน้านี้แล้วหลุดขำออกมา

หมอนี่ท่าจะอาการโคม่าจริงๆ

แต่จะว่าแต่เขาก็คงไม่ได้ล่ะนะ...

"แล้วใครบอกว่าตัวเองคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียว” ผมเอ่ย คราวนี้เป็นฝ่ายเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ร่างสูงแล้วใช้จมูกคลอเคลียกับจมูกของเขาบ้าง ลมหายใจที่รินรดลงบนปลายจมูกเหมือนจะช่วยต่อลมหายใจของกันและกันในทุกขณะที่ขยับเข้าใกล้ด้วยแรงดึงดูดอันน่าพิศวง

“ฉันเองก็คิดถึงจนแทบบ้าเหมือนกัน” ว่าจบผมก็เอื้อมมือไปจับใบหน้าของร่างสูงให้โน้มลงมา เพื่อทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเขา

ยืนยันคำพูดนั้นให้เขารู้ว่าผมเองก็คิดถึงและโหยหาที่จะเจอหน้าเขามากแค่ไหน

“หึ... อย่าออกตัวแรงสิ พ่ออยู่” เขายิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ พูดล้อทันทีที่ผมผละริมฝีปากออกเพื่อหายใจ

แต่แทนที่จะโกรธที่โดนเขาหยอกอีกแล้ว ผมกลับหัวเราะเบาๆ แล้วดึงเขามาจูบอีกครั้งอย่างไม่สนคำพูดที่จงใจแกล้งให้ผมอายนั่น 

ก่อนจะถอนริมฝีปากออก กระซิบคำพูดที่เขาอยากได้ยินอีกครั้งในขณะที่มีเราแค่สองคน

“รักพี่เชนนะครับ”

“...”

“รักจนสุดหัวใจเลย”

ต่อให้โดนล้อไปจนตาย ผมก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดที่พูดมันออกมา




-- makok_num --

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เป็นแค่คนอ่านยังเขิน
รักจนสุดหัวใจ
อ๊ากกกกก :serius2:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
แหม่ ทั้งบ้านนี่แสบจริง  พี่เชนนี่เบๆไปเลย กั่กๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รักจนสุดหัวใจ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
พี่เชนนนนนนเจอบอกรักตอนอยู่กันสองต่อสองแบบนี้
สงสัยหน้าแดงหูก็แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกแน่ๆเลย :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :-[.   ฟินนนนนนนน

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
บ้านนี่นิสัยเหมือนกันเด๊ะเลย 5555 
ตรีโดนแกล้งอ่า

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หึหึ ขี้เเกล้งกันจริงๆ

ออฟไลน์ Cupcake

  • @--##-หนูน้ำตาล-##--@
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โอ้ยยยยยย เจ้จะเป็นลมด้วยความอิจฉา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ฟินเบย. เขินอ่าาาา

 :o8:  :o8:  :-[  :-[   :impress2:

....

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
 :z1:หวานมากกกกกกกกกกกกกกก น่ารักมากๆเลยค่าาาา

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบอ่ะค่ะ ตอนนี้เขินแทนเลย

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
37
ครอบครัว
 
               
บางทีเราอาจจะเคยชินกับเตียงเล็กๆ ที่หอของผม จนลืมไปว่าเตียงคิงไซส์ในห้องนอนของเชน มันมีพื้นที่มากขนาดที่นอนกางแขนกางขาทั้งสองคนก็ยังไม่เต็ม
               
ผมถึงกับชะงักไปทันทีหลังจากงัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าร่างของตัวเองกลิ้งมาชิดที่ขอบเตียงด้านหนึ่งจนแทบจะตกลงไปอยู่แล้ว หนำซ้ำร่างหนาที่ส่งเสียงกรนเบาๆ ข้างหูยังตามมากอดผมไว้จากด้านหลังอีก ทั้งที่พื้นที่เตียงออกจะกว้าง ไม่จำเป็นที่พวกเราจะมานอนเบียดกันแบบนี้เลยสักนิด

“จะตกเตียงแล้ว” ผมกระซิบบอกหลังจากพลิกตัวหันหน้ากลับมาอีกด้าน เพราะคิดว่าเชนคงจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่ผมขยับแล้ว

แต่แทนที่จะเขยิบไปตรงที่ว่างที่เหลือด้านหลัง เจ้าของแขนแข็งแกร่งกลับครางออกมาเบาๆ พลางกอดผมแน่นขึ้นจนร่างของเราแทบจะหลอมเข้าด้วยกัน ราวกับวิธีนี้มันจะช่วยรั้งผมออกจากความหมิ่นเหม่ชวนตกเตียง

ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้ทำให้ร่างผมพ้นขอบเตียงมาสักเท่าไหร่เลย

ผมหัวเราะเบาๆ ซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแล้วกอดเขากลับบ้าง

รู้สึกได้ว่าหัวใจมันกำลังพองโตขึ้นมาด้วยสัมผัสอบอุ่นคุ้นเคย ที่ผมแสนคิดถึง

เชนส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ อย่างพอใจที่ผมไม่ขัดขืน ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงมาบนเรือนผม และเอาคางเกยศีรษะผมไว้ขณะที่กอดผมแน่นขึ้นอย่างหยอกล้อด้วยความหมั่นไส้

ผมยิ้มกว้างมองใบหน้าของคนขี้แกล้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างขบขัน ก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขาอีกรอบไม่สนใจว่าอ้อมกอดของเขาจะรัดแน่นแค่ไหน เพราะรู้ดีว่าคงจะได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันแบบนี้อีกเพียงไม่กี่วัน จึงตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ให้นานที่สุดด้วยการซึบซับไออุ่นจากร่างกายแข็งแกร่งของเขาและปล่อยให้ตัวเองหลับไปในอ้อมกอดของกันและกันอีกครั้งโดยไร้บทสนทนา

พอตื่นมาอีกทีก็พบว่าร่างหนาเจ้าของอ้อมกอดอุ่นกำลังลืมตามองผมอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายโดยไม่ต้องสื่อสารผ่านคำพูดใดๆ

ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นผมงัวเงียตื่นขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนเข้ามาใกล้เพื่อจูบผมเบาๆ เป็นการทักทายยามเช้า

“ไม่อยากลุกเลย” พูดทั้งที่ริมฝีปากร้อนจัดยังคงคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากของผมรอโอกาสที่จะกดจูบลงมาซ้ำๆ ให้สมกับความคิดถึงที่มีให้กัน

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของน้ำเสียงอ้อนด้วยความรู้สึกขบขัน ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นคนตรงหน้าในมุมนี้ สายตาเว้าวอนที่ตรงข้ามกับดวงตาคมกริบนี่มัน... น่าหมั่นไส้มาก ทำไงดี

จุ๊บ~

และเพราะหมั่นไส้จนไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยยื่นหน้าเข้าไปทาบริมฝีปากบนริมฝีปากเขาเบาๆ เชนผงะไปเล็กน้อยที่ผมเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“เดี๋ยวนี้รุกหนักนะ สงสัยแฟนเทรนมาดี”

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังกับมุกหลงตัวเองหน้าตายของเขาอีกรอบ ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา หันไปอีกทีก็พบว่าเชนยังคงนอนอยู่ที่เดิม มองผมด้วยสายตาร้ายกาจที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนเคย

“ไม่ไปทำงานเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตัวเองพุ่งเข้าไปจูบริมฝีปากบางที่ยกยิ้มมุมปากร้ายๆ นั่นอีกรอบ

“วันนี้วันเสาร์” เขาตอบนิ่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอือมระอาอย่างขำๆ

เออว่ะ ผมลืมไปเลย

ผมยกมือขึ้นเกาหัวมึนๆ แล้วถาม “แล้วจะนอนอยู่งี้เหรอ?”

เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่นี่ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อยจะให้มานอนกินบ้านกินเมืองทำตัวสบายๆ เหมือนตอนอยู่หอก็กะไรอยู่ จริงมั้ย แต่ถ้าไม่มีเชน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร หรือขยับตัวไปทางไหนในบ้านหลังใหญ่นี่

“ไม่อ่ะ” เสียงทุ้มปฏิเสธแล้วลุกขึ้นมานั่งข้างๆ พลางยื่นมือมาขยี้หัวผมแรงๆ “หิวแล้ว”

ผมพยายามก้มหัวหลบฝ่ามือหนาแต่ยังไงก็หลบไม่พ้นอยู่ดีเลยปล่อยให้เขาเล่นจนพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจต่อ “อยากกินแกงเขียวหวาน”

ไม่ต้องพูดจบผมก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร

“ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอ” ผมเลิกคิ้ว ถ้าไม่ได้ดูละครมากไป ยังไงบ้านหลังใหญ่ของตระกูลเศรษฐีแบบนี้ก็คงไม่พ้นมีคนคอยอำนวยความสะดวกให้ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ?

“มี” เขาตอบ วางมือบนหัวผมแล้วโยกไปมา ก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบขมับผมเบาๆ “แต่อยากกินแกงเขียวหวานสูตรแม่ของแม่ยายมากกว่า”

“...” ผมชะงักไป นิ่งคิดอยู่นานว่าเจ้าของรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจตรงหน้าพูดอะไร กว่าจะเข้าใจ
 
         
'ชอบกินแกงเขียวหวานเหรอ’
 

คำพูดของเชนที่ถามผมในวันที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันดังเข้ามาในหัว จำได้ว่าตอนนั้นผมพยักหน้าตอบและเล่าความหลังวัยเด็กให้เขาฟัง
 
               
‘ตอนเด็กๆ ยายฉันทำให้กินบ่อยมาก แกงเขียวหวานสูตรคุณยายเป็นอะไรที่โคตรอร่อยอ่ะ... แต่ตอนนี้ยายเสียไปแล้ว ฉันเลยไม่ได้กินกับข้าวสูตรคุณยายมานานมากแล้วล่ะ’
 
               
‘แล้วแม่นายทำไม่เป็นเหรอ’
           

‘ก็ทำเป็นอ่ะนะ แต่แม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีใครทำให้กิน...แต่จริงๆ ฉันก็แอบจดสูตรไว้อยู่นะ อยากลองมั้ยล่ะ แล้ววันหลังว่างๆ จะทำให้กิน’
 

‘หึ... จะรอกินละกันนะ’
 

ผมยิ้มกว้างออกมาทันทีที่นึกออก แปลกชะมัดที่ผมยังจำบทสนทนานั้นได้แทบทุกประโยคทั้งที่มันเป็นแค่บทสนทนาง่ายๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร บางที อาจเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเปิดใจ เล่าความหลังไร้สาระให้กันฟังล่ะมั้ง
แต่ที่ทำผมประหลาดใจกว่าคือการที่เชนจำมันได้เหมือนกันนี่แหละ

“ไม่คิดว่าจะจำได้” ผมหันไปถามยิ้มๆ

มือหนาเลยขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบก่อนจะยื่นหน้าเข้ามางับจมูกผมเบาๆ “เห็นฉันเป็นคนความจำสั้นหรือไง” แล้วคลอเคลียอยู่อย่างนั้นหลายวินาทีราวกับไม่อยากจะแยกจาก

ผมยังคงยิ้มกว้าง สบตาเขาด้วยความรู้สึกสุขใจที่เอ่อล้นขึ้นมาจนเก็บไม่อยู่ และปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดปลายจมูกอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดขัดขืน แต่ไม่นานเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยก็กดริมฝีปากบางลงมาเร็วๆ แล้วผละออกไปเหมือนกำลังห้ามใจ

“รีบไปดีกว่า ก่อนจะอยากกินอย่างอื่นแทนแกงเขียวหวาน” เชนขมวดคิ้วจริงจังเกินไปจนผมหลุดขำ มองร่างสูงที่ลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อที่เขาถอดทิ้งไว้ก่อนนอนขึ้นมาสวมแล้วเดินกลับมาฉุดมือผมที่เอาแต่นั่งอมยิ้มให้ลุกตามไปอย่างว่าง่าย
 

ถึงจะพูดว่าอยากกินก็เถอะ แต่แกงเขียวหวานไม่ใช่อะไรที่จะทำได้ง่ายๆ เลย แถมยังต้องใช้วัตถุดิบมากมายที่บ้านหลังนี้ไม่มี สุดท้ายมื้อเช้าเราก็เลยต้องกินอาหารที่แม่บ้านทำ แล้วปล่อยให้แกงเขียวหวานสูตรคุณยายเป็นเรื่องของมื้อเย็นแทน

และถึงแม้จะมีแม่บ้านมากมายยื่นมืออาสามาช่วยอำนวยความสะดวก แต่เพราะมันเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัว และผมก็เกรงใจเกินกว่าจะเรียกใช้ใคร ก็เลยขอจัดการทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่ออกไปซื้อวัตถุดิบจนกระทั่งเข้าครัว แน่นอนว่าตอนออกไปซื้อของ เชนก็อาสาออกไปช่วยด้วย เขาดูจะตื่นเต้นน่าดูเพราะเคยเข้าไปเดินช็อปของสดเป็นครั้งแรก ถึงจะไม่ค่อยได้ช่วยอะไร แถมยังทำตัวเกะกะคอยเกาะแกะผมตลอดเวลา แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าพอมีเขาไปด้วย การซื้อของธรรมดาๆ ก็ทำให้ผมมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
ผมยิ้มไม่หุบตลอดวันด้วยความรู้สึกที่มันเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกจนกลัวว่าจะสำลักความสุขตายเข้าสักวินาที ความกดดันเดียวของวันนี้ที่ผมต้องเผชิญก็คือการที่ต้องลุ้นว่าแกงเขียวหวานที่ผมกำลังทำ จะออกมารสชาติถูกปากคนในบ้านเชนหรือเปล่าเท่านั้นเอง

“ขอน้ำหน่อย” ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ หันกลับไปก็พบกับผู้หญิงวัยกลางคนในชุทสูทสีเข้มท่าทางภูมิฐานกำลังเดินเข้ามา

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านเป็นใคร เพราะโครงหน้า จมูกและริมฝีปากเรียวบางนั้นเหมือนกับพี่ริบบิ้นราวกับถอดแบบ

“ใครเนี่ย” คนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นแม่ของพี่ริบบิ้นเลิกคิ้ว ก่อนจะนึกออกเองภายในไม่กี่วินาที “อ้อ แฟนเชนสินะ”

“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยยกมือขึ้นสวัสดี แม่พี่ริบบิ้นยิ้มรับ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วด้วยตัวเอง

“หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดไว้อีกนะ” ดวงตาเรียวคมเหลือบมองผมหลังจากดื่มน้ำเสร็จ

ท่าทางและวิธีการพูดที่ติดจะจริงใจแมนๆ ของท่านเหมือนกับพี่ริบบิ้นไม่มีผิดเพี้ยน...

อันที่จริง ผมคิดว่าครอบครัวนี้เหมือนกันทั้งบ้านเลยต่างหาก
             
จะผิดก็แต่แม่ของพี่ริบบิ้นดูจะเป็นคนจริงจังกว่าคนอื่นๆ ในบ้านหลังนี้แล้ว ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาพอสมควรแต่กลับยังดูสวยสง่ามองผมนิ่งหลายวินาทีราวกับกำลังประเมิน
               
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหัวดื้ออย่างเชน จะตกหลุมรักใครสักคนได้จริงๆ” ริมฝีปากเคลือบริปสติกสีนู้ดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มใจดีก่อนที่ร่างระหงเดินไปวางแก้วน้ำที่ใช้แล้วลงในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินมาหาผมด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับพูดเรื่องที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
               
“เธออาจจะยังไม่รู้ ว่าเชนเขาไม่ค่อยชอบฉันสักเท่าไหร่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อของเขา”
               
“...” ผมจึงได้แต่ยืนนิ่ง รับฟังอีกมุมหนึ่งของครอบครัวโดยไม่ออกความคิดเห็นอะไร
               
“ดังนั้นการที่อยู่ๆ เขาก็มาขอร้องให้ริบบิ้นแต่งงานแล้วสืบทอดกิจการแทนเขา มันคงเป็นเรื่องลำบากใจน่าดู” แม่ของพี่ริบบิ้นทำหน้าเหมือนรำลึกความหลังก่อนจะส่งยิ้มใจดีให้ผมอีกครั้ง “เขาจริงจังกับเธอมากนะ”   
               
ผมไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มตอบกลับไป ยิ่งรู้สึกสุขใจเมื่อรู้ว่าเชนทำอะไรแบบนั้นเพื่อผม
               
แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมรักเขาได้ยังไง
               
“แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด” ถึงจะยังพูดด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ประโยคต่อมาที่แฝงไปด้วยความจริงจังของท่านก็ทำเอาผมชะงัก “ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์แบบนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่ดี”
               
“...”
               
“เชนยังโชคดีที่มีริบบิ้นเป็นตัวแทนสืบทอดตระกูล... แต่ว่าเธอน่ะ เป็นลูกคนเดียวใช่หรือเปล่า”
               
“ครับ” ผมตอบ เข้าใจดีว่าแม่พี่ริบบิ้นกำลังจะพูดอะไร
               
ผมไม่มีพี่น้อง หรือใครที่จะทำหน้าที่สืบทอดตระกูลเราได้เลยถ้าหากในภายภาคหน้าผมไม่สามารถมีทายาทให้พ่อกับแม่ได้ ถึงแม้ว่าบ้านเราจะไม่ได้ร่ำรวยและเป็นตระกูลดังเหมือนบ้านเชน แต่มันก็คงเป็นความฝันอย่างหนึ่งของพ่อกับแม่ที่อยากจะเห็นผมมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนคนอื่นๆ
               
“แต่ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกมีความสุขหรอก” อาจเป็นเพราะสีหน้าผมแสดงความกังวลออกมาชัดเจนเกินไป แม่พี่ริบบิ้นจึงเอ่ยเหมือนปลอบใจพลางยกมือขึ้นมาตบบ่าผมเบาๆ "ถ้าคิดจะจริงจังแล้ว ก็คุยกับพวกท่านดีๆ ล่ะ"
             
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ช่วยทลายความกังวลทั้งหมดของผมก่อนหน้านี้ทิ้งไป

“ยังไง บ้านนี้ก็ยินดีต้อนรับนะ”

ผมได้แต่ยิ้มและตอบกลับด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“ขอบคุณครับ”
 

เย็นนั้นแกงเขียวหวานสูตรคุณยายที่ผมตั้งใจทำสุดฝีมือถูกยกไปเสิร์ฟพร้อมกับอาหารอื่นๆ ที่ผมทำเพิ่มอีกเล็กน้อย มันเป็นแค่เมนูบ้านๆ ที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่พอมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ต่อหน้าครอบครัวของคนตัวเองรักอย่างพร้อมหน้า มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดอะไรนอกจากลุ้นอยู่ในใจอย่างใจจดใจจ่อ

“อร่อย” คำชมสั้นๆ ดังขึ้นจากผู้นำครอบครัวที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกหลังจากชิมอาหารของผมเข้าไป ขณะที่คุณนายของบ้านเพียงพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะกินอาหารต่อไปเงียบๆ

“หน้าตาดีแถมเป็นแม่บ้านแม่เรือนขนาดนี้” คราวนี้เป็นพี่ริบบิ้นที่เอ่ยขึ้นมาสีหน้าเซ็งๆ “พี่ยกมดลูกให้เลยได้มั้ย”

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าเก็บอาการเขินจากการถูกชม รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทุกคนต่างก็ใจดีกับผมทั้งที่
เจอกันได้ไม่นาน ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

“หึ” แต่คนที่เก็บอาการไม่อยู่ยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้นร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างตัว ซึ่งกำลังคลี่ยิ้มกว้างออกมาซะจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่อยู่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบตาผมด้วยแววตาที่ฉายประกายความสุขกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น

ความสุขแบบเดียวกับที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในใจผม

ความสุข... ที่ไม่ว่ายังไง ผมก็จะรักษาเอาไว้

ไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดมือ





-- makok_num --

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หวาน มุ้งมิ้ง อบอุ่น ชอบ  :katai2-1:
อยากให้กินอย่างอื่นแทนแกงเขียวหวาน  :hao3:
รอตอนต่อไป  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เหลือครอบครัวตรีแล้วว่าจะว่ายังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
คลื่นลมสงบรึเปล่าแลดูดีเว่อร์
บ้านตรีอย่ามีอะไรเลยน้าาา

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
หวานละมุน อบอุ่นสุดๆ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
38
วังวน
 
               
เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
               
สุดท้ายผมก็ต้องกลับมาเชียงใหม่เพื่อช่วยงานรับน้อง ในขณะที่เชนก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาฝึกงานต่อไป ถึงจะเป็นลูกชายผู้บริหาร ก็ใช่ว่าเขาจะได้รับความเอ็นดูมากกว่าคนอื่นนะครับ เชนบ่นให้ฟังแทบทุกวันก่อนนอนว่าพี่ริบบิ้นใช้งานเขาโหดยิ่งกว่าแม่เลี้ยงใจร้ายใช้งานซินเดอเรลล่าอีก (ทำไมกล้าเปรียบตัวเองกับซินเดอเรลล่าผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน =_=) นี่ก็สองสัปดาห์แล้วที่เราแยกกัน ทั้งที่ควรจะชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเมื่อวานเราเพิ่งจะนอนบนเตียงเดียวกันอยู่เลย ตื่นพร้อมกัน ทำกิจวัตรประจำวันแสนซ้ำซากแต่กลับไม่น่าเบื่อ ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัวเขา ฟังเรื่องของเชนในมุมที่ผมไม่เคยรู้ มันมีความสุขซะจนผมโกรธเวลา ที่เดินเร็วเกินไป
               
แต่ถ้าเวลาแห่งความสุขจะผ่านไปเร็วขนาดนั้น ก็ช่วยให้เวลาแห่งความเหงาผ่านไปเร็วๆ บ้างไม่ได้หรือไง
               
“มึงเพ้ออะไรอีกเนี่ย” เสียงกวนๆ ของไอ้ซันปลุกผมออกจากความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับสะดุ้งโหยงทันทีด้วยความตกใจ
               
“เพ้ออะไร” ผมหันไปตีหน้าซื่อแกล้งไขสือ
               
ทั้งที่ไอ้อาการเมื่อครู่นี่ ถ้าไม่เรียกเพ้อก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว
               
“ถ้าจะคิดถึงขนาดนี้มึงปริ๊น 3D พี่เชนพกมาทำงานด้วยเลยมะ” ไอ้เพื่อนตัวดีเลิกคิ้วทำหน้ากวนตีน ผมเลยตีหน้าเอือมใส่มันแล้วเดินหนีไปล้างแก้วแทน
               
ตอนนี้ผมกลับมาทำงานที่ร้านกาแฟตามปกติแล้ว แต่ถูกลดกะเหลือแค่วันจันทร์ถึงพฤหัสฯ เพราะตอนที่ลาหยุดไป ลูกค้าเยอะจนคนไม่พอทำให้พี่โมต้องจ้างคนมาเพิ่ม ซึ่งตอนนี้ผลัดทำงานกับผมและไอ้ซันในวันศุกร์ถึงอาทิตย์เพื่อให้เวลาของแต่ละคนลงตัว ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังไงการทำงานตลอดคืนทั้งสัปดาห์มันก็ค่อนข้างหนักเกินไปสำหรับผมอยู่แล้วแถมตอนกลางวันยังต้องไปช่วยเพื่อนเรื่องกิจกรรมรับน้องอีก ได้พักบ้างก็คงดี ไอ้ซันยิ่งแล้วใหญ่ หน้าที่หลักของมันคือการมาเฝ้าผมตามคำสั่งเชน ถ้าผมทำงานน้อยลง ก็ถือว่าเป็นกำไรของมัน
               
แต่ข้อเสียของการว่างงานตอนกลางคืนก็คือ... ความคิดถึงที่มาพร้อมกับความเหงานี่แหละ
               
ถูกอย่างไอ้ซันว่า ช่วงนี้ผมกำลังเพ้อเจ้อสัสๆ เพ้อจนตัวเองยังรำคาญเลย
               
อะไรจะขนาดนี้วะ
               
“เออมึง วันนี้ไอ้ตี๋ไปไหนวะ” แต่ไอ้ซันยังไม่วายเดินตามมากวนผมไม่ยอมไปทำงานทำการ
               
ผมต้องเท้าความมั้ย ว่าตี๋ที่มันว่า หมายถึงโช
               
“ไม่สบาย” ผมบอกอย่างขอไปทีตามที่ได้ยินพี่โมบอกมา
               
“ฮะ” ไอ้ซันเบิกตากว้างถามเสียงดังจนผมถึงกับสะดุ้ง “เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลยนี่หว่า” มันขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่โอเวอร์แอ็คติ้งมากๆ จนผมอยากจะถามออกไปจริงๆ ว่ามึงจะเล่นใหญ่ทำไม
               
“เห็นว่าเมื่อเช้าฝนตกตอนเดินกลับหอ” ผมบอก เป็นสิ่งที่รู้จากพี่โมมาอีกทีนั่นแหละ
               
พี่โมบอกว่าหอของโชอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง แต่เพราะช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ถึงจะเดินใกล้แค่ไหน ถ้าไม่พกร่มก็มีโอกาสโดนแจ็กพ็อตได้ไม่ยากเลย
               
“ตากฝนวันเดียวเนี่ยนะ อ่อนจังวะ” ไอ้ซันขมวดคิ้วพึมพำ เหมือนจะบ่นคนเดียวมากกว่า
               
“ถ้ามึงเป็นห่วง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาล่ะวะ” ผมบอก เพราะพอจะดูออกว่ามันกำลังคิดอะไร แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับเหลือกตาทำท่าตกใจโอเวอร์อีกรอบ
               
“ฮะ! ใคร ใครบอกมึงว่ากูเป็นห่วงไอ้ตี๋ กูเนี่ยนะ!? เกลียดขี้หน้ากันจะตายมึงก็รู้” มันโวย
               
ผมแทบจะยกมือขึ้นตบหัวมันสักฉาดให้หุบปาก เพราะเล่นใหญ่เกินจนลูกค้าหันมามองทั้งร้านแล้ว แต่ไอ้อาการร้อนตัวอย่างชัดเจนนี่ก็เล่นเอาผมเริ่มคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
               
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่สังเกตหรอกนะ ว่าระยะหลังมานี้ไอ้ซันกับโชดูจะสนิทกันผิดปกติ ถึงจะเป็นในเชิงกัดกันตลอดเวลาเพราะไอ้ซันชอบหาเรื่องไปกวนตีน ในขณะที่อีกคนก็เหมือนจะพยามเก๊กแต่เก็บอาการไม่อยู่จนโวยวายออกมาหลายหน แต่ผมเห็นแล้วก็ดูออกไม่ยากเย็นเลยว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดกันจริงๆ อย่างที่แสดงออก
               
อย่างครั้งหนึ่งตอนที่ไอ้ซันเผลอทำน้ำหกใส่ลูกค้าจนเกือบโดนโวย คนที่เข้าไปช่วยคนแรกก็คือโชที่ละมือจากการชงกาแฟมาช่วยรับหน้าแทนไอ้เพื่อนตัวดีของผมจนสถานการณ์สงบลงได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ตอนนั้นผมอยู่ใกล้กว่า แถมพี่โมที่ควรจะเป็นจัดการให้ก็อยู่อีกต่างหาก
               
แล้วดูตอนนี้สิ แค่โชหายไปวันเดียว มันก็แสดงท่าทางเป็นห่วงจนปิดไม่มิด แม้จะพยายามทำตัวปากแข็งก็เหอะ
               
“มึงเพ้อหนักแล้วว่ะกูว่า เพ้อเรื่องพี่เชนลามมาเรื่องกูละ เป็นเอามากนะมึงอ่ะ” ไอ้ซันชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรทำ “กะ...กูไปห้องน้ำดีกว่า” ว่าแล้วก็ฟาดผ้าเช็ดโต๊ะลงกับเคาน์เตอร์ แล้วเดินหนีไปหลังร้านเฉยเลย
               
อะไรของแม่ง -_-
               
ผมยังไหล่ไม่สนใจอาการสุดประหลาดของไอ้ซัน แล้วหันมาล้างแก้วต่อ กำลังจะปล่อยให้ความคิดแล่นไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงประหลาดใจของพี่โมที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
               
“อ้าว ซันล่ะ”
               
ผมหันกลับไปตอบมึนๆ “เข้าห้องน้ำครับ พี่โมมีอะไรหรือเปล่า”
               
“อ๋อ พอดีพี่จะวานให้ซันไปดูโชให้หน่อย ว่าไข้มันลดหรือยัง” พี่โมตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลนิดหน่อย “พอดีพี่ต้องเตรียมของสำหรับพรุ่งนี้เลยไปดูไม่ได้ กลัวว่าโชมันอยู่คนเดียวแล้วน็อกไปจะไม่มีใครรู้”
               
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ก่อนจะอาสา “งั้นให้ผมไปแทนมั้ยครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรทำพอดี”
               
“จริงเหรอ” สีหน้าพี่โมเริ่มคลายกังวลลงนิดหน่อย “งั้นพี่วานตรีหน่อยนะ เดี๋ยวตรงนี้พี่กับซันจัดการเอง” พี่โมว่าพลางหยิบกุญแจดอกหนึ่งซึ่งมีโลโก้หอและหมายเลขห้องให้พร้อมสรรพ
               
“ป่านนี้โชมันคงหลับไปแล้ว ไขเข้าไปได้เลยนะ”
               
“ครับ” ผมยิ้มรับแล้วหยิงกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง
               
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่เลยนะ” พี่โมบอกขณะที่ผมเดินไปถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ที่มุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ ผมยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากร้านมา
 
               
หอโชเป็นหอพักขนาดใหญ่ที่ผมเองก็รู้จัก จึงไม่ต้องเสียเวลาหาสถานที่ มันอยู่ไม่ไกลร้านกาแฟอย่างที่ว่าเดินไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงหน้าห้องตามหมายเลยที่ติดอยู่กับกุญแจ ชั่งใจว่าควรจะเคาะประตูดีหรือเปล่า แต่ถ้าพี่โมบอกว่าโชอาจจะหลับไปแล้วผมก็ไม่อยากจะรบกวน สุดท้ายเลยถือวิสาสะไขกุญแจเข้ามา
               
ด้านในมันไม่ได้เป็นแบบหอถูกๆ ของผมที่รวมทุกอย่างไว้ในห้องเดียวมีแยกเพียงโซนครัวเล็กๆ ไม่มีผนังกั้น แต่มีการแบ่งสัดส่วนอย่างดี จนผมคิดว่าค่าเช่าคงจะแพงหูฉี่แน่ๆ ไฟในห้องยังคงถูกเปิดจนสว่างโร่ทำให้ผมไม่ต้องลำบากใจในการตัดสินใจว่าควรจะเปิดไฟหรือควรจะเดินมืดๆ เพราะไม่อยากรบกวนดี ผมถือวิสาสะเดินผ่านห้องรับแขกไปยังห้องด้านในซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเปิดประตูเข้ามา กลับพบว่าเตียงขนาดควีนไซส์สีเข้มนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงร่องรอยของความไม่เป็นระเบียบของผ้าห่มที่บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนนอนอยู่
               
ผมเลิกประหลาดใจ แต่ก็เดาได้ว่าโชอาจจะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ จึงกำลังจะหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอก
               
แต่แล้วอะไรบางอย่างที่อยู่บนผนังก็ดึงดูดสายตา จนผมต้องหยุดชะงักอีกครั้ง ตอนแรกผมไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อเดินเข้าไปไกลจนเห็นได้ถนัด ก็มั่นใจว่าที่ผมเห็นเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
               
นี่มัน...

รูปถ่าย... ของผมกับไอ้ซัน?

ผมตกใจจนพูดไม่ออกที่ได้เห็นรูปนี้แปะอยู่บนผนังห้องเหนือโต๊ะเขียนหนังสือของโช มันคือรูปถ่ายสมัยมัธยมของผมกับไอ้ซันที่จำได้ว่าถูกใครสักคนขอถ่ายในวันปัจฉิมตอนที่พวกผมตระเวนไปผลัดกันเขียนเสื้อนักเรียนกับเพื่อนห้องอื่นๆ ไอ้ซันหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเขียนเสื้อให้ใครสักคนอยู่ มันเกือบจะเป็นภาพถ่ายธรรมดาที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าหากไม่มีสิ่งหนึ่งสะดุดตาผมขึ้นมา

ตรงช่องว่างที่เกิดจากระยะห่างของผมกับเพื่อนที่ผมเขียนเสื้อให้อยู่ มีผู้ชายผิวเข้มร่างท้วมแว่นหนาคนหนึ่งกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาและรอยยิ้มพิศวงซึ่งถ้าตอนนั้นผมเห็นก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อถูกหยุดเวลาไว้ในภาพถ่าย รอยยิ้มและแววตานั้นกลับฉายชัดความรู้สึกที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า คือการที่อยู่ๆ สมองผมมันก็ขุดเค้นความทรงจำขึ้นมา และทำให้รู้ว่าผมรู้จักผู้ชายคนนั้น
รู้แล้ว ว่าทำไมภาพใบหน้าของโชยามที่มีแว่นสีดำกรอบหนาอยู่บนหน้า ถึงได้คุ้นตานัก
 

‘โชกุน? ไอ้โชกุนอ้วนดำแว่นอ่ะนะ’
 

คำพูดแสนเหยียดที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนพูดดังเข้ามาในสมองของผมทันทีที่นึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้
วันนั้นผมกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ และได้ยินบทสนทนานั้นโดยบังเอิญ ขณะที่สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าของชื่อยืนแอบอยู่หลังผนังห้องน้ำพร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
 

‘เออ กูว่าแม่งต้องเป็นแน่เลยว่ะ เห็นสายตาที่แม่งมองไอ้ท็อปป่ะ สัสเอ๊ย น่าขนลุก’

‘จริงป้ะ! เชี่ย! กูช็อก อ้วน ดำ เนิร์ดแล้วยังเป็นเกย์อีกเหรอวะ ชีวิตอาภัพสัส’
 

เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดพล่อยๆ นั้นกำลังทำร้ายใครอยู่

ตอนนั้นผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเข้าไปยุ่งอะไรได้ ผมไม่ได้รักความยุติธรรมถึงขนาดที่จะเข้าไปช่วยเอาเรื่องใครก็ตามที่พูดบทสนทนาแสนน่ารังเกียจนั้นออกมา ผมมันก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่อยู่ใกล้ที่สุดและคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าใครๆ

สุดท้ายวันนั้นผมจึงทำได้แค่เดินไปตบบ่าเขา ผู้ชายซึ่งกำลังตกอยู่ในวังวนของคำดูถูกจนไม่ทันสังเกตเลยว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
 

‘ชื่อโชกุนเหรอ’
 

ผมถาม เจ้าของร่างท้วมที่เตี้ยกว่าผมเล็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นขยับแว่นให้ชิดสันจมูกแล้วมองผมงงๆ
 

‘เราชื่อตรี’

‘...’
 

ตอนนั้นสีหน้าเขาบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ถามชื่อผมเลยสักนิด ผมเลยยิ้มแล้วพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพูดออกไป

ความลับของผม ที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟัง
 

‘เราเอง... ก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน’

‘…!!’

‘ฝากเก็บไว้เป็นความลับให้หน่อยนะ’ ผมพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะเดินจากมา
 

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผมบอกเรื่องนั้นกับเขาไปทำไม ทั้งๆ ที่มันไม่มีเหตุผล และไม่เกี่ยวของกับเรื่องที่เขากำลังเผชิญเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ต้องทำ และมัน...ก็ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด ที่ได้พูดออกไปกับใครสักคน แม้ว่าสุดท้ายเขาอาจจะเอาเรื่องของผมไปโพนทะนาทำให้โดนสายตาดูถูกจากคนรอบตัวเหมือนที่เขาโดนก็ตาม

“ตะ...ตรี!!” เสียงเรียกอย่างตกใจทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด หันกลับมาก็พบกับโชในสภาพเสื้อยืดกางเกงนอนผมเผ้ายุ่งฟูแถมสวมแว่นหนาเตอะไร้วี่แววหนุ่มฮอตที่ผมเคยอิจฉา

โชเบิกตากว้างขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของเขาซึ่งมีภาพนั้นแปะอยู่ ขายาวๆ จึงรีบก้าวพรวดมาตรงผมพร้อมกับกระชากรูปนั้นออกไปซ่อนไว้หลังตัวเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับถามเสียงดัง

“ตะ...ตรีมาทำอะไรที่นี่” สีหน้าหวาดระแวงพยายมกลบเกลื่อนของเขาชัดเจนซะจนผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ผมเลยถอยหลังออกมามองหน้าเขาแล้วยิ้มให้ตามปกติ

“พี่โมให้มาดูว่าโชเป็นยังไงบ้าง” ผมบอกและสังเกตว่าหน้าตาของโชดูไม่สดใสด้วยอาการป่วย แต่ก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว

“ผะ...ผมไม่เป็นอะไร” เขาตอบอึกอัก ยกมือขึ้นมาดันแว่นแล้วทำสายตาหลุกหลิกเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร “ผม...ผม...”
สุดท้ายผมเลยเป็นคนพูดแทน

“โชกุน” ผมเรียกชื่อเขา ชื่อของโชคนเก่าที่ผมเคยรู้จัก

“...!!” และเขาก็คงรู้ตัวว่าผมรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร

ผมจึงยิ้มกว้างรู้สึกดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย”

“ตะ...ตรี” เขาดูทั้งตกใจและสับสนในเวลาเดียวกัน จนผมคิดว่าควรปล่อยให้เขาอยู่กับความคิดตัวเองจนสบายใจดีกว่า จึงยืนเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ
               
เวลาผ่านไปนับนาที กว่าที่โชจะดูสงบลง แล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตาเหมือนปล่อยวาง ไม่คิดจะกลบเกลื่อนอะไรอีก เมื่อความจริงมันเห็นอยู่ทนโท่
               
“ขอโทษ ที่ตอนแรกทำเป็นไม่รู้จัก” เขาพูด น้ำเสียงอ้อมแอ้ม
               
ผมเลยหัวเราะกลับไป “ไม่เป็นไร เราต่างหากผิดเองที่จำโชไม่ได้ ก็เล่นดูดีขึ้นขนาดนี้นี่นะ” ผมว่า โชเลยยิ้มเจื่อนๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มเหมือนเคย
               
 “แบบนี้ถ้าไอ้พวกนั้นมาเห็นก็คงไม่มีอะไรให้ล้อแล้วดิ” ผมพูดติดตลก
               
“...” แต่โชกลับนิ่งไป

เขาก้มหน้าลงราวกับจะปกปิกความรู้สึกบางอย่างของตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สบตาผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“ไม่หรอก ถ้าพวกมันมาเห็นผม ก็คงจะโดนล้ออยู่ดี” สายตาที่ผมเหมือนจะเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร “เพราะผมเป็นเกย์อย่างที่พวกมันว่าจริงๆ”

“...”

เราต่างก็มองหน้ากันนานหลายวินาทีด้วยความรู้สึกกลัว... ต่างคนต่างกลัว ในคำในความคิดของเขาที่กำลังจะเอ่ย คำคำเดียวที่เคยทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคนมานักต่อนัก

แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่หอมหวานเกินกว่าที่ใครจะต้านทาน

“ตรีรู้แล้วใช่มั้ย... ว่าผมชอบตรี”

“...”

“ชอบมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอตรี” คนตัวเล็กกว่าพูดคำนั้นออกมาด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ

มันทำให้ผมนึกถึงความเจ็บปวดตอนที่ผมสารภาพรักกับไอ้ซันอีกครั้งราวกับภาพของหนังที่ฉายซ้ำ ถึงตอนนี้มันจะหายไปแล้ว แต่มันก็เป็นเหมือนกับเพื่อนเก่า ที่เข้าใจกันดี

ดีเกินไปจนไม่อยากให้ความเจ็บปวดเดียวกันเกิดขึ้นกับใครอีก

“ตอนที่รู้ว่าคนที่ตรีชอบคือซัน ผู้ชายคนนั้น ที่เพียบพร้อมกว่าผมทุกอย่าง ผมก็พยายามทำทุกวิถีทางให้ได้แม้สักครึ่งของ
ความเพอร์เฟ็กต์นั้น เผื่อว่าสักวันที่ตรีเลิกรักเขา มันอาจจะเป็นเวลาของผม”

“...”

“แต่มันก็ช้าไป” เขาพูด ก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลลงมาหวังจะไม่ให้ผมเห็น
แต่ก็ไม่ทัน

"..." ผมได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร โง่เง่าจนไม่สามารถจัดการกับความคิดของตัวเองได้ว่าต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้

“ทำไมตรีไม่รอผมเลย... ทำไมถึงวิ่งไปหาคนที่เพอร์เฟ็กต์กว่า... แล้วแบบนี้ผมจะไปสู้ได้ยังไง” โชเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่พยายามปิดกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลไม่ให้ผมเห็นอีกแล้ว โชเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ในขณะที่ผมยังคงยืนนิ่งมองคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ผมกำลังทำร้ายคนอื่นอีกแล้ว ทำไมกัน…

สิ่งที่ผมเคยทำ มันจะส่งผลดีกับใครสักครั้งบ้างไม่ได้เหรอ?

“ตรียังจำพนันของเราได้มั้ย” แต่แล้วเสียงสะอื้นก็ถูกทำให้หยุดลง พร้อมกับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “คราวนี้ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่ให้ตรีปฏิเสธแล้วนะ” เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนกำลังพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว

“โช?” ผมเรียกชื่อเขาอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ นอกจากหมัดลุ่นๆ ที่ชกเขามาที่ท้องของผมสุดแรง
อึก!

เพราะไม่ทันได้เตรียมตัว ผมจึงจุกจนร่างทรุดลงบนเตียงที่อยู่ด้านหลังอย่างหมดท่า เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายที่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้วถอดแว่นหนาที่ขวางดวงตาออก แล้วตามมาคร่อมตัวผมที่ได้แต่นอนตัวงอเอาไว้ราวกับจะขังไม่ให้ผมสามารถขยับตัวได้ตามต้องการ

“ผมขอสั่งให้คืนนี้ตรีอยู่กับผม” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงมองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวด น้ำตาใสๆ เอ่อรื้นขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้าง ขณะที่ใบหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนๆ จากร่างกายที่โดนพิษไข้

“เป็นของผมแค่คนเดียวเถอะนะ” และพูดประโยคสุดท้าย ก่อนจะทาบริบฝีปากร้อนจัดลงมาอย่างรวดเร็ว

“...!!”




-- makok_num --

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ม่ายยยยยยยยย

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :z3:     ซัน. มาเดี๋ยวนี้เลย
แกปล่อยแมวไว้กับปลาย่างได้ไง

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เอิ่มมมม

เดะนะ


โชกุนนี่รุกหรา??

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จะซันหรือจะพี่เชนใครก็ได้ช่วยตรีด้วย :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Cupcake

  • @--##-หนูน้ำตาล-##--@
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-0
เฮ้ยยยยยยยยยย
 :serius2:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เชรดดดด ซันแกมาเอาว่าาที่เมีย?แกออกไปจากตรีเดี๋ยวนี้นะ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมคิดไปเอง หรือว่าหลังๆหนึ่งตอนมันค่อนข้างสั้นลงครับนั่น? แต่สำหรับผมมันก็โอเคนะ เพราะอารมณ์ตัดได้เหมาะสม แต่มีข้อแนะนำให้เผื่ออนาคตอยากเขียนตอนที่ยาวขึ้น แล้วมีเส้นคั่นฉากอารมณ์นะครับ

ข้อแรกคือลองศึกษาพวกกระทู้แนะนำการใช้โค้ดลูกเล่นนะครับ (พวกเล่นสี ขีดเส่นใต้ หรือเส้นคั่นยาว) กระทู้ที่อาจจะเป็นประโยชน์ก็พวกนี้ครับ
Tips การใช้งาน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32221.0
คำสั่ง Code และการใช้งาน(พวกลงเพลง ลงรูป) : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63.0

ที่ผมอยากแนะนำให้ใช้ก็พวกเส้นคั่นยาว(เป็นรูปปุ่มลูกศรมีปลายทั้งสองด้าน) ครับ เผื่อใช้ไว้มันก็จะสะดวกขึ้นเวลาพิมพ์ตอนยาวๆ แล้วก็แถบด้านบนพวกข้อมูลส่วนตัวก็สามารถแก้ไขได้ ข้อความส่วนตัวก็จะเป็น PM ที่สมาชิกส่งให้ คลิกเล่นดูได้ ถ้าใช้สะดวกขึ้นก็จะสามารถเล่นเว็บบอร์ดได้สนุกมากขึ้นนะครับ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ้าว...โช ไมทำงี้  :katai1:
รักเขา แต่ทำอย่างนี้ ทำร้ายคนที่เขาดีกับเราเนี่ยนะ  :m31:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด