พิมพ์หน้านี้ - [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: makok_num ที่ 25-03-2016 16:44:48

หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-03-2016 16:44:48
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


------------------------------------------------------






Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง

Preview

"คบกับฉันมั้ย?"
"พูดบ้าอะไรของนาย ก็รู้นี่ว่าฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว"
"ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็ถือซะว่าคบฉันแก้ขัด รอให้หมอนั่นเลิกกับเเฟน"
"หึ อยากเป็นตัวสำรองหรือไง มีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่านายน่ะ" ผมปรายตามองด้วยความสมเพช แต่ร่างสูงกลับตอบกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมเจ็บปวดไม่แพ้กัน
"แล้วนายล่ะ มีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า ถึงได้เอาแต่รักคนที่ไม่มีวันหันกลับมามอง" น้ำเสียงเรียบนิ่งของร่างสูงยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเองก็น่าสมเพชไม่ต่างกัน
"..."
"ว่าไง ตกลงจะคบกับฉันมั้ย?"
ดวงตาเรียวคมมองมาที่ผมด้วยสายตาจริงจังจนผมไม่กล้าสบตา
 ถ้าเราสองคนคบกันจริงๆ มันจะเป็นยังไงนะ
"ฉัน..."



---------------------------------------------------------------------------------------------
**เพิ่มเติม ขออนุญาตแปะนิยายเรื่องใหม่ค่ะ เป็นเรื่องของ #ซันโช ตัวละครที่เคยปรากฏในเรื่องนี้ค่ะ
สนใจตามอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้เลยนะคะ :
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59409.msg3616032#msg3616032

ฝากด้วยนะคะ ติชมได้เสมอเลยค่ะ ^^

ขอบคุณมากๆ ค่ะ

-- Martian --






หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง : บทนำ [ 25/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-03-2016 16:51:52
บทนำ
 
Well you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
 
เนื้อเพลงเศร้าๆ ยังคงถูกเอ่ยออกมาจากปากของผม พร้อมกับเสียงกีตาร์เบาๆ จากปลายนิ้วที่สัมผัสไปตามสายทั้งหก เสียงจอแจของคนมากมายที่เข้ามาพบปะกันในร้านยังคงดังไปทั่วบริเวณ แทบจะกลบเสียงเพลงของผมด้วยซ้ำ

เพียงแต่ เวลานี้นอกจากร่างโอนเอนของผู้ชายที่นั่งกระดกเหล้าอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์นั่น ผมก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด แม้แต่เพลงที่ร้องออกมา ก็ออกมาจากสัญชาตญาณ ไม่ใช่จากอารมณ์ความรู้สึกแต่อย่างใด
 
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you’re missing home
Only know you love her when you let her go
And you let her go
 
สายตาของผมยังคงจดจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของคนคนนั้น ที่เริ่มโอนเอนหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะฟุบหน้าลงกับบาร์ แล้วก็ไหลลงกับพื้นอย่างไร้สติ

โครม!
เวรเอ๊ย!

ผมสบถเสียงดัง และพอรู้ตัวอีกทีผมก็วางกีตาร์และวิ่งลงจากเวทีมาเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปพยุงร่างสูงที่เมาจนหมดสติขึ้นมาจากพื้นท่ามกลางสายตาตกใจจากคนรอบๆ ตัว
               
“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้ตรี” บาร์เทนเดอร์ที่เป็นเพื่อนผมชะโงกหน้าออกมาถามด้วยความเป็นห่วง
               
“ไม่มีอะไร ฝากบอกผู้จัดการด้วยนะว่ากูมีธุระด่วน” ว่าจบผมก็แบกร่างควายๆ ของไอ้คนเมานี่ออกจากร้าน ก่อนที่มันจะล้มลงไปที่พื้นอีกรอบ
               
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมผมต้องเป็นห่วงเป็นใยไอ้หมอนี่ถึงขนาดกระโดดลงจากเวทีทั้งๆ ที่กำลังแสดงอยู่ ถ้ามันเป็นแค่คนเมาที่เจอทั่วไปตามสถานบันเทิงผมก็คงไม่สนใจ แต่ไอ้หมอนี่มันดันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม
               
...แถมยังเป็นเพื่อนสนิทที่ผมแอบคิดไม่ซื่อมาตลอดสี่ปีด้วย...
               
ใช่ครับ ใบ้ให้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่มีใครเดาไม่ออกหรอกนะ ว่าผมน่ะ... ชอบ ‘ผู้ชาย’


*เพลง Let her go : Passenger




-------------------------------------
เพิ่งใช้เล้าเป็ดครั้งแรก งงสัสๆ 5555
ฝากด้วยนะคะ  :hao5:

-- makok_num --

หัวข้อ: Re: ๋Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง : บทนำ [ 25/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 25-03-2016 19:12:58
กรี๊ดดดดดดดด มาที่นี่แล้วววว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง : ตอนที่ 1 [ 25/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-03-2016 21:18:54
1
สถานะ ‘แอบรัก’

 

หนึ่งปีก่อน

“ซัน... กูชอบมึงว่ะ” เสียงทุ้มติดจะสั่นๆ เอ่ยคำสารภาพรักที่ไม่ได้มีความหวานซึ้งอยู่ในนั้นเลยสักนิด มีแต่ความจริงใจที่แสดงออกมาทางสายตาเท่านั้นที่ผมหวังว่ามันจะสื่อออกไปถึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“มะ...มึง...ชอบกู?” แต่อีกฝ่ายดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนที่ร่างสูงจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย”

“...” ไม่มีคำตอบอะไรกลับไป แต่นั่นก็เป็นการยืนยันได้ดีว่าสิ่งที่ผมพูดไป ไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่น

“มึง...เอาจริงดิ?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ถ้าผมเป็นมัน ผมก็คงไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ว่าเพื่อสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ม.สี่ อยู่ๆ ก็มาสารภาพรักกันแบบนี้
แต่อย่างว่า... มันคงจะน่าช็อกน้อยกว่านี้สักนิด ถ้าเพื่อนสนิทที่ว่า ไม่ได้เป็นผู้ชาย เหมือนที่มันเป็น...

“กูขอโทษนะ...” ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้ยินคำนี้ และยังพอเดาออกด้วยว่า ประโยคต่อไปจะเป็นอะไร “แต่กู...ชอบผู้หญิงว่ะ”

สีหน้ารู้สึกผิดของคนตรงหน้า ทำให้ผมหัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะพูดออกไปเหมือนไม่เป็นอะไร

“คิดว่ากูไม่รู้หรือไง มึงน่ะ เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยยิ่งกว่ากางเกงใน” ดูเหมือนคำพูดติดตลกของผม จะทำให้บรรยากาศที่แสนอึดอัดเมื่อครู่ผ่อนลายลงนิดหน่อย ไอ้ซันเกาหลังหูพลางยิ้มนิดๆ แต่ก็ไม่ยอมสบตาผม

ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะบ่ามันเหมือนทุกที แต่ก่อนที่มือของผมจะสัมผัสตัวคนตรงหน้า ผมก็ตระหนักได้ว่า หลังจากที่ผมสารภาพคำนั้นออกไป อะไรๆ มันก็ไม่อาจเหมือนเดิมได้แล้ว ผมลดมือตัวเองลง และเปลี่ยนเป็นล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแทน

“มึงไม่ต้องคิดมากหรอก กูไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น กูก็แค่อยากบอกไว้ เพราะอีกไม่กี่วัน พวกเราก็จะเรียนจบแล้ว” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

“...” ความเงียบของคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากขึ้น และผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด ที่พูดออกไป

“เอ่อ... งั้นกูไปก่อนนะ” ผมตัดบท และเดินจากมาอย่างเงียบๆ หัวใจที่เคยเต้นรัวก่อนที่จะตัดสินใจสารภาพออกไป เริ่มเต้นช้าลงทุกทีด้วยความสิ้นหวัง จนผมไม่แน่ใจแล้วว่า ตอนนี้มันยังเต้นอยู่หรือเปล่า

“ไอ้ตรี” แต่แล้วเสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมหยุดชะงัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าหันกลับไปสบตากับร่างสูงที่ผมคุ้นเคยอีกแล้ว

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้... ตอนที่ดวงตาทั้งสองข้างของผมกำลังมีน้ำใสๆ เอ่อคลอ พร้อมที่จะร่วงหล่นลงมา

“มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเสมอนะ” คำพูดที่ฟังดูจริงใจของไอ้ซันทำให้ผมยิ้มบางๆ ออกมา แม้ว่าคำพูดนั้นจะทำให้ผมเจ็บปวดมากเช่นกันก็ตาม

“อือ กูรู้” ผมหันกลับไปยิ้มตอบมัน หลังจากพยายามกะพริบตาจนไล่น้ำตาออกไปได้ ก่อนจะหันหลังกลับอีกครั้ง โดยที่ไม่มองเลยว่ามันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ผมได้แต่กำหมัดแน่นสะกดกลั้นความเจ็บปวดจนร่างเกร็งไปหมด ขณะที่เดินจากมา

ถึงคำพูดสุดท้ายของมันจะบ่งบอกว่าเรายังคงเป็นเพื่อนกันได้ แต่ไม่ว่ายังไง คำปฏิเสธที่ได้รับก็ทำให้ผมอยากขอเวลาทำใจสักพักอยู่ดี

โชคดีนะที่ผมเลือกที่จะสารภาพรักกับมันในวันสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะเรียนจบมัธยม และกำลังจะแยกย้ายกันไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ดังนั้นกว่าผมจะได้เจอมันอีก ผมก็คงจะเลิกชอบมันแล้ว...

หวังว่านะ...
 
ปัจจุบัน

ผมมันโง่

ใครบอกกันว่าหลังจากจบมัธยมแล้วเราจะไม่เจอกันอีก ใครบอกกันว่าผมกับมันจะแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างก็เรียนตามที่ตัวเองฝัน...

เออ ปกติมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละ เพราะผมกับมันมีความฝันคนละอย่างกัน ผมอยากเรียนสถาปัตย์ ส่วนไอ้ซัน มันอยากเป็นวิศวกร ผมอุตส่าห์หนีมาเรียนไกลถึงเชียงใหม่ แต่พระเจ้าต้องแกล้งผมแน่ๆ ถึงทำให้ไอ้เวรนี่แอดติดที่นี่ด้วยเหมือนกัน

แล้วแบบนี้ผมจะตัดใจได้ยังไงกัน ให้ตายเถอะ!

ถึงผมจะพยายามหลบหน้ามันมาได้ตลอดหลายเดือนที่เราเรียนที่นี่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ได้ข่าวคราวมันเลย ในเมื่อมันเป็นถึงเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ แถมยังฮอตมากซะด้วย สาวๆ ในคณะผม พูดถึงมันกรอกหูแทบทุกวัน ผมรู้แม้กระทั่งว่ามันกำลังคบกับใครอยู่ด้วยซ้ำ และข่าวที่มันทะเลาะกับแฟนก็ดังกระฉ่อนไปทั่วมหาลัย จนผมไม่ต้องเดาเลยว่าสาเหตุที่ทำให้มันมาเมาหัวทิ่มในร้านที่ผมทำงานอยู่เป็นเพราะอะไร

“อุ๊บ!”

“เฮ้ยๆ มึงอย่าอ้วกนะ” ผมร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินเสียงนรกจากร่างสูงที่ตัวเองกำลังแบกอยู่ ผมรีบพามันไปให้ถึงห้อง ก่อนที่มันจะอ้วกออกมาจริงๆ

ที่อยู่ของไอ้ซันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมรู้จากสาวๆ ในคณะ แม้จะไม่ได้คุยอะไรกับมันเลยหลังจากที่เราเรียนจบ

ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมผมไม่พามันไปที่หอผมแทน นั่นเป็นเพราะผมตั้งใจว่าจะแค่มาส่งมัน และจะรีบกลับ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องให้มันรู้ว่าคนที่ช่วยมันไว้คือผม...

ผมหาหมายเลขห้องที่สลักเอาไว้บนลูกกุญแจจนเจอ ก่อนจะพยายามไขกุญแจทั้งที่อีกมือก็แบกมันอยู่

เวรเอ๊ย หนักชิบ!

ตุบ!

แต่สุดท้ายผมก็สู้น้ำหนักไอ้เพื่อนเวรนี่ไม่ไหว จนต้องให้มันไหลลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น ในขณะที่ผมเปิดประตูห้องมันจนได้ ผมหันกลับมามองไอ้ซันที่หมดสภาพไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับเตะมันเบาๆ อย่างหมั่นไส้

“มึงช่วยให้ความร่วมมือกับกูสักนิดได้มั้ยเนี่ย”

“...” แน่นอนว่าไม่มีการตอบรับ นอกจากเสียงกรนเบาๆ จากร่างที่นอนพิงผนังห้องอยู่ ผมถอนหายใจอีกรอบและเอื้อมมือไปดึงมันขึ้นมาจากพื้น

แต่มันง่ายดายซะที่ไหน ไอ้เวรนี่มันควายชัดๆ มันตัวใหญ่ขึ้นกว่าตอนมัธยมหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้วะ -*-

“โอ๊ย!” ผมร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะตัดสินใจปล่อยไอ้เพื่อนร่างยักษ์นี่ให้ลงไปกองที่พื้นอีกรอบอย่างหมดความอดทน

“ทำอะไร” อยู่ๆ ก็มีเสียงนิ่งๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้ผมที่กำลังสบถพึมพำก่นด่าคนเมาอย่างกับคนบ้าต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองต้นเสียงอย่างงงๆ

ห่างออกไปไม่ไกล มีร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนสูบบุหรี่มองผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลอ่อน จ้องมาด้วยสายตาเย็นชาซะจนผมรู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ เลยทีเดียว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางจ้องมายังร่างที่หมดสภาพอยู่แทบเท้าผม ก่อนที่มือเรียวสวยจะคีบบุหรี่ออกจากปากบาง แล้วพ่นควันสีขาวออกมา พร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนที่ผมได้ยินก่อนหน้านี้ออกมา

“นั่นไอ้ซันเหรอ?” ร่างสูงถามและก้าวขายาวๆ นั่นเข้ามาใกล้ขึ้นจนผมเห็นใบหน้าของหมอนั่นได้ชัดเจน ใบหน้าดุๆ ที่ดูเข้ากันดีกับน้ำเสียงเรียบนิ่ง ยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูเหมือนเจ้าชายที่หลุดมาจากยุคน้ำแข็ง หรืออะไรทำนองนั้น

ถ้าไม่ติดที่ว่าคงไม่มีเจ้าชายที่ไหน สวมเสื้อยืดกางเกงยีนสีดำทั้งตัว แถมแบกกระเป๋ากีตาร์ท่าทางเซอร์ๆ แบบนี้อ่ะนะ

“ฉันถามว่าใช่ไอ้ซันหรือเปล่า” คำถามดังขึ้นอีกรอบ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ผมกระแอมอย่างตั้งสติ เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองจ้องคนตรงหน้านานไปแล้ว

“อือ” ผมตอบสั้นๆ แล้วหันกลับมาพยายามแบกร่างของเพื่อนรักที่นอนกองอยู่ที่พื้นอีกรอบ

แต่ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนี่มันหนักมากจริงๆ นะ มีแต่ซูเปอร์แมนเท่านั้นแหละที่แบกมันได้

“ถอยไปซิ” ขณะที่ผมเอาแต่บ่นในใจ น้ำเสียงนิ่งๆ จากคนคนเดิมก็ดังแทรกขึ้นมาอีกรอบ แถมไม่ว่าเปล่า มือหนายังคว้าไหล่ผม พร้อมกับดันออกให้พ้นทางอีกด้วย

“ฝากหน่อย” ผมได้แต่ยืนเอ๋อ ตอนที่ผู้ชายแปลกหน้าที่จนตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครยื่นกระเป๋ากีตาร์ที่แบกเอาไว้บนหลังมาให้ผมถือเอาไว้ ซึ่งผมก็ได้แต่รับมาอย่างงงๆ

ร่างสูงทิ้งก้นบุหรี่ที่สูบไปได้แค่ครึ่งมวนลงพื้น พร้อมกับใช้เท้าขยี้อย่างลวกๆ แล้วเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้ซัน ก่อนที่หมอนี่จะก้มลงไปพยุงร่างไอ้ซันที่สลบไสลไม่ได้สติขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ทั้งๆ ที่ผมพยายามอยู่เป็นพัก แต่ก็แบกมันขึ้นมาไม่ไหวเนี่ยนะ!?

“เปิดประตูให้หน่อย” พอเห็นว่าผมเอาแต่ยืนบื้ออยู่ที่เดิม น้ำเสียงของหมอนั่นก็เริ่มหงุดหงิด แถวคิ้วเข้มก็ดูเหมือนจะขมวดเข้าหากันมากกว่าปกติ จนผมต้องลนลานเดินไปเปิดประตูให้ ก่อนที่ไอ้เจ้าชายน้ำแข็งนี่จะปล่อยไอเย็นออกมาสาปผมจนแข็ง (เหมือนเขาจะทำแบบนั้นได้จริงๆ นะ สาบาน)

ผมจัดการเคลียร์โซฟาห้องรับแขกที่รกเกินจะบรรยายด้วยการโยนทุกอย่างลงไปกองไว้ที่พื้น เพื่อให้คุณเจ้าชายน้ำแข็งแบกเพื่อนผมมานอน

“ขอบคุณ” ผมพูดสั้นๆ หลังจากที่ไอ้ซันลงไปนอนหมดสภาพที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว ผมวางกระเป๋ากีตาร์ลงกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาจัดท่านอนให้ไอ้เพื่อนรักได้นอนดีๆ

“นายเป็นเป็นใคร” น้ำเสียงนิ่งๆ ของร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามในขณะที่ผม กำลังเอาหมอนหนุนหัวให้ไอ้ซัน

“ผมชื่อตรี เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของมัน” ผมตอบ โดยที่ไม่ได้หันกลับมามองร่างสูง ใบหน้ายามหลับที่ดูไร้เดียงสาของเพื่อนที่ผมแอบรักทำให้ผมแทบจะไม่ได้สนใจเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย จนกระทั่งกลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยเข้ามาปะทะจมูกทำให้ผมได้สติอีกครั้ง ผมหันกลับมามองเจ้าของดวงตาเรียวคม ที่ยืนสูบบุหรี่ด้วยใบหน้านิ่งๆ

“แล้วคุณล่ะเป็นใคร” ผมถามกลับบ้าง จริงๆ ผมสงสัยตั้งแต่หมอนี่โผล่มาแล้วนะ ดูเหมือนเขาจะรู้จักไอ้ซัน แถมยังมีน้ำใจช่วยแบกร่างควายๆ ของมันเข้ามาในห้องให้อีก

“ฉัน...” อยู่ๆ หมอนี่ก็เว้นวรรค พลางพ่นควันสีขาวออกจากปากอย่างกวนประสาท “เป็นแฟนมัน”

คำตอบสั้นๆ นั่นทำให้ผมถึงกับช็อกค้างไปเลย

ฟะ...แฟน?

ไหนก่อนหน้านี้มันบอกผมว่า...ชอบผู้หญิง ไม่ใช่เหรอ...

แต่แล้วความคิดของผมก็หยุดลงแค่นั้น เมื่อผู้ชายที่ตัวสูงกว่าก้มหน้าลงมาพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าผม พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปาก

“เชื่อเหรอ? ...โง่แฮะ”

“...” คำพูดร้ายกาจและท่าทางกวนประสาทนั่นทำเอาผมพูดไม่ออกเลย

อะ...ไอ้เวรนี่

“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากร่างสูงที่กลายร่างจากเจ้าชาย เป็นราชาปีศาจไปแล้ว หมอนั่นก้มตัวลงหยิบกีตาร์ที่ผมวางไว้ แล้วเดินผ่านผมไปที่ประตู ก่อนที่เสียงฝีเท้าหนักๆ จะหยุดลง พร้อมกับเสียงนิ่งๆ ที่เอ่ยออกมาเบาๆ

“ฉันชื่อเชน เป็นพี่รหัสไอ้ซัน”

“...” ผมหันไปมองร่างสูงด้วยความอึ้งเล็กๆ ผมคิดว่าหมอนี่อยู่รุ่นเดียวกับเราซะอีก

“แล้วก็ ฉันอยู่ห้องตรงข้ามเนี่ย มีอะไรก็เรียกล่ะ” ว่าจบ ร่างสูงก็เดินออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูตามหลัง โดยที่ไม่รอให้ผมได้พูดอะไรต่อ

อันที่จริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกันอ่ะนะ

ผมเลิกสนใจผู้ชายแปลกหน้า ที่จริงๆ แล้วเป็นถึงพี่รหัสของไอ้ซัน ก่อนจะหันกลับมาสนใจไอ้คนเมาที่ตอนนี้เข้าสู่ห้วงนิทรา หลับลึกไปเป็นที่เรียบร้อย ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินหากะละมัง และผ้าผืนเล็กๆ มาเช็ดตัวให้ไอ้เพื่อนสนิทที่ผมแอบคิดไม่ซื่อด้วยมานาน

และผมก็รู้ตัวเองว่าเวลาหลายเดือนที่ผมพยายามหลบหน้ามัน ไม่ได้มีผลอะไรเลย เพราะตอนนี้ แค่เพียงแค่ได้นั่งมองใบหน้ายามหลับของคนตรงหน้า ก็ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจที่ผมพยายามควบคุมให้มันอยู่ในอัตราที่ปกติตลอดมา กลับกลายเป็นเต้นรัวจนแม้แต่ผม ก็ไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้

ให้ตายเถอะ ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ยื่นมือเข้ามาช่วยมันในวันนี้

...เพราะดูท่าแล้ว ผมคงจะไม่สามารถตีตัวออกห่างออกมาจากผู้ชายตรงหน้าได้เป็นครั้งที่สองแล้วล่ะ
 
07.35 A.M.

ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอ้วกที่ดังมาจากในห้องน้ำ แม้จะยังสะลึมสะลืออยู่ แต่ผมก็เรียกสติตัวเองเดินไปยังห้องน้ำเพื่อลูบหลังให้ร่างสูงที่กำลังโก่งคออ้วกอย่างหมดสภาพ

จริงๆ ผมตั้งใจจะกลับหอตัวเองตั้งแต่ที่เช็ดตัวให้ไอ้ซันเสร็จแล้ว แต่พอผมกำลังจะออกจากห้อง ไอ้เวรนี่ก็ทำท่าจะอ้วกออกมา แถมยังเพ้อหนัก จนผมอดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาดูแลมันอีกรอบจนกระทั่งเช้าอย่างที่เห็น ดูเหมือนว่าอาการแฮงก์จะทำให้มันไม่มีสติพอที่จะหันมามองว่าคนที่ลูบหลังให้ตัวเองเป็นใครเหมือนกัน ผมลูบหลังให้ไอ้ซันจนกระทั่งมันอ้วกออกมาหมดไส้หมดพุงแล้วจึงเดินออกไปหาน้ำมาให้มันดื่ม ตอนนั้นแหละผมถึงได้เห็นสีหน้าตกใจของอดีตเพื่อนรัก

“มะ...มึง ไอ้ตรี?” สีหน้าช็อกโลกของมันทำผมแอบตลกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาให้มันเห็นหรอกนะ ผมตีหน้านิ่งก่อนจะยื่นน้ำให้

“เออ กูเอง ไม่เจอกันนาน หมดสภาพเลยนะมึง” ผมแกล้งทำสายตาสมเพชใส่ จนมันต้องรีบฝืนสังขารลุกขึ้นมา แต่ด้วยอาการแฮงก์ทำให้ร่างสูงล้มลงไปที่พื้นอีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่าผมคว้าไม่ทัน

“T^T” ไอ้ซันเบ้หน้าใส่ และโวยวายที่ผมปล่อยให้มันล้มก้นจ้ำเบ้า “มึงไม่คิดจะช่วยกูเลยเหรอ”

ผมมองหน้าเบะๆ ของมันก่อนจะหันหน้าหนีพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนี้ มันก็รู้หมดน่ะสิ ว่าผมกำลังอมยิ้มอยู่

ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนี่น่ารักเป็นบ้า!

“กูจะทำข้าวต้มทิ้งไว้ให้ ออกไปกินด้วยล่ะ” ผมว่าพร้อมกับเดินหนีออกมา ก่อนที่มันจะจับอาการผิดปกติของผมได้ ผมกลับมาสงบสติอารมณ์ที่ครัวอีกรอบพร้อมกับจัดการหาวัตถุดิบทำข้าวต้มไปด้วย แต่ไม่นานไอ้ตัวดีก็เดินตามผมมาด้วยใบหน้าที่ยังบึ้งตึงไม่หาย

“ใจดำ มึงเป็นใคร มึงเอาไอ้ตรีที่แสนน่ารักของกูคืนมานะ! L” คำพูดโวยวายแกมตัดพ้อของอีกฝ่ายทำให้ผมที่กำลังรินน้ำลงในหม้อถึงกับหยุดชะงัก

“มึงแน่ใจเหรอว่าอยากให้กูกลับไปเป็นเหมือนเดิม” ผมถามกลับไป โดยที่ไม่หันไปสบตา

“...” ความเงียบก่อตัวขึ้นทันที ในขณะที่ผมแสร้งทำเป็นต้มข้าวต้มต่อไปอย่างไม่คิดอะไร แต่จริงๆ แล้วผมกำลังรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก... ผมรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะผมเองก็กำลังคิดเหมือนกัน

คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น... คำสารภาพที่ไม่มีทางเป็นไปได้ของคนโง่อย่างผม

“อีกแป๊บนึงก็คงกินได้ มึงตักกินเองแล้วกันนะ” ผมว่าพร้อมกับวางทัพพีลง และเดินไปล้างมือโดยไม่หันไปมองหน้าไอ้ซันเลยสักวินาที บอกตามตรง ความเงียบของมันทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเลย

“ไอ้ตรี” ผมหยุดชะงักเมื่อเสียงนุ่มทุ้มแสนคุ้นเคยเรียกชื่อผมออกมา “มึง...ยังคิดกับกู...แบบนั้นอยู่หรือเปล่า?” มันถามด้วยน้ำเสียงอึกอัก เหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะถามดีหรือเปล่า ผมนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะหันไปสบตามัน พร้อมกับโกหกคำโต

“เปล่า” มันเป็นแค่คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดกว่าที่คิด และความเจ็บปวดของผมก็ยิ่งทวีคูณเมื่อคนตรงหน้ายิ้มกว้างอย่างยินดี

“กูว่าแล้วไง! มึงกลับมาชอบผู้หญิงแล้วใช่มะ กูเข้าใจนะว่าตอนนั้นมันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ก็นะ กูหล่อขนาดนี้ใครๆ ก็หวั่นไหวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ไอ้ซันพล่ามยาวอย่างหลงตัวเอง พร้อมกับเดินเข้ามากอดคอผม ผมแค่นหัวเราะก่อนจะผลักมันออกไปด้วยความหมั่นไส้ แต่ไอ้ตัวดีกลับยิ้มร่าอย่างไม่สะทกสะท้าน

ผมเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดประโยคที่อาจจะทำให้มันมองผมแปลกไปอีกครั้ง

“เปล่าหรอก กูไม่ได้กลับมาชอบผู้หญิง”

“...” และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อไอ้ซันนิ่งไป พร้อมกับหุบยิ้ม ผมรู้สึกสมเพชตัวเองในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพ่นคำโกหกที่จะช่วยให้คนตรงหน้าไม่รู้สึกรังเกียจผมมากไปกว่าเดิม

“แต่กูคงไม่กลับไปชอบมึงเป็นครั้งที่สองหรอก ไม่ต้องห่วง” ผมยิ้มบางๆ และเดินผ่านมันมาอย่างไม่คิดจะพูดอะไรอีก

คราวนี้ไอ้ซันไม่ได้เรียกผมไว้อีก แม้ผมจะรู้ว่ามันมีเรื่องอยากจะพูดต่อก็ตาม แต่นั่นก็ดีแล้วล่ะ เพราะผมคิดคำโกหกต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ แค่นี้ผมก็รู้สึกอึดอัดกับคำโกหกอันน่าสมเพชของตัวเองจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว

ปัง

ผมปิดประตูและยืนพิงอยู่อย่างนั้นอย่างหมดแรง ...นี่ผมคิดผิดจริงๆ สินะที่กลับเข้ามาในชีวิตมันอีกครั้ง ถ้าเมื่อคืนผมไม่เข้าไปช่วยมันเอาไว้ ตอนนี้ หัวใจของผมก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้...

แกรก

เสียงเปิดประตูจากฝั่งตรงข้ามทำให้ผมได้สติอีกครั้ง ผมยืดตัวตรงพร้อมกับจะเดินออกไป แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามเดินออกมาพอดี ตาของผมสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นิ่งสนิทจนเหมือนไม่มีอารมณ์อะไรอยู่ในนั้น เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้านี้ช่างเย็นชาและเข้าถึงยากซะจริง น่ากลัวชะมัด

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงอดหวั่นไหวกับใบหน้าหล่อเหลา และท่าทางลึกลับน่าค้นหาของหมอนี่ แถมวันนี้เขายังใส่เสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มของคณะวิศวะอีก สาบานเลยว่าผมไม่เคยเห็นใครใส่เสื้อช็อปแล้วดูดีขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ไอ้ซันก็เถอะ

“หวัดดีครับ” ผมโค้งหัวทักทาย เพราะยังไงหมอนี่ก็เป็นรุ่นพี่ แถมยังเป็นพี่รหัสไอ้ซันอีกด้วย แต่แทนที่จะทักทายกลับ คนตรงหน้ากลับมองหน้าผมนิ่งๆ และเมินผมไปหน้าตาเฉย

“เชน” ชื่อของคนเย็นชาดังขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นคนเรียก ประตูห้องตรงข้ามเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับเจ้าของเสียงเล็กๆ เมื่อครู่ที่เดินออกมาในสภาพชุดนอนที่มีแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น ร่างบางหันมามองผมงงๆ นิดหน่อย ก่อนจะหันไปหาร่างสูงในเสื้อช็อปสีเข้มที่เดินออกไปได้ไม่ไกลนัก

“ทำไมตื่นแล้วไม่เรียกฟ้าล่ะ” เสียงหวานฟังดูออดอ้อนซะจนผมคิดว่าผู้ชายคนไหนได้ยินก็คงอ่อนระทวย คงมีแต่คนที่ถูกอ้อนนั่นแหละที่ยังคงตีหน้านิ่ง แถมไม่ตอบคำถามเธอ

“แล้วคืนนี้จะกลับดึกหรือเปล่า?” คำถามเชิงออดอ้อนนั้นทำให้ผมไม่ต้องเดาถึงสถานะของทั้งสองคนเลย ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติของชายหญิงสมัยนี้ที่จะอยู่ด้วยกันแม้จะยังไม่ได้แต่งงานก็เถอะ แต่คนหัวโบราณอย่างผมก็ยังไม่ชินกับวิถีชีวิตสมัยใหม่เหล่านี้อยู่ดี

แต่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมล่ะนะ และมันก็เสียมารยาทมากแล้วด้วยที่ผมมายืนฟังอยู่นานสองนานแบบนี้ ผมจึงตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้นมาเงียบๆ

“อืม” ผมพยายามไม่ใส่ใจแล้ว แต่บทสนทนาของทั้งคู่ก็ยังคงเข้ามาในหูของผมอยู่ดี ร่างสูงตอบสั้นๆ พร้อมกับลูบหัวผู้หญิงคนนั้นเบาๆ และแสยะยิ้ม

หมอนั่นยิ้มแบบเป็นมิตรไม่เป็นหรือไงนะ ไม่รู้เหรอว่าการแสยะยิ้มแบบนี้มันทำให้เขาดูร้ายกาจจนไม่น่าเข้าใกล้น่ะ

ผมเลิกสนใจคนทั้งคู่และเดินไปรอลิฟต์ แต่ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอีกคนดังตามหลังมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั่นเป็นใคร กลิ่นบุหรี่ที่โชยเข้ามาปะทะจมูก ยิ่งช่วยยืนยันตัวตนได้เป็นอย่างดี

ไม่กลัวเป็นมะเร็งปอดหรือไงนะ สูบบุหรี่จัดขนาดนี้

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่สูบหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้สูบจัดขนาดหมอนี่แน่ๆ ผมมักจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาเวลาเครียดๆ เท่านั้น ผมเคยได้ยินว่า การสูบบุหรี่มันเป็นวิธีแก้ปัญหาของคนที่จิตใจอ่อนแอ ผมว่าคำพูดนั้นคงเชื่อถือไม่ได้แล้วล่ะ เพราะผมมองไม่เห็นความอ่อนแอของผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด

ผมภาวนาให้ลิฟต์มาถึงก่อนที่หมอนั่นจะเดินมาถึง แม้จะไม่เข้าใจว่าผมจะพยายามหนีหมอนั่นทำไมก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงที่น่าจะสูงกว่าผมนิดหน่อย ก็เดินมารอลิฟต์อยู่ข้างๆ แล้ว

“บุหรี่มั้ย?”

“ฮะ?” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน “มะ...ไม่ล่ะ” ผมอึกอัก

“แน่ใจ?”

“ครับ” ผมตอบห้วนๆ อย่างปัดรำคาญ

ทีเมื่อกี้ผมทัก กลับนิ่ง แต่ตอนนี้จะมาชวนผมสูบบุหรี่เนี่ยนะ อะไรของเขาวะ? 

ผมทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดได้ไม่นาน ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ผมรีบเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อผมกับหมอนี่ก็ต้องเข้ามาอยู่ในลิฟต์ด้วยกันอยู่ดี

แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะจับความรู้สึกไม่ถูกชะตา หรืออะไรก็ตามที่ผมส่งไปให้อย่างชัดเจนได้ เพราะผมเข้าลิฟต์มาจนประตูลิฟต์ปิดแล้ว หมอนั่นก็ยังคงยืนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม จนผมต้องกดเปิดประตูลิฟต์ออกมาถาม

“ไม่ไปเหรอ” แต่ร่างสูงกลับยักไหล่อย่างกวนประสาท ผมขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ผมกลับเข้ามาในลิฟต์และกดปิดประตูลิฟต์ ไม่แคร์แล้วว่าหมอนี่จะเข้ามาหรือเปล่า

แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง ผมกลับได้ยินเสียงเรียบนิ่งของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นมา และผมคงจะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าสิ่งที่หมอนั่นพูด ไม่ได้เกี่ยวกับผม

“ไม่ได้คิดแค่เพื่อนสินะ...กับไอ้ซันน่ะ”

“...!!” มือที่กำลังจะกดเลขชั้นของผมหยุดชะงัก และเปลี่ยนไปกดปุ่มเปิดลิฟต์อีกรอบแทน แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็ไม่เห็นร่างสูงเจ้าของสายตาเย็นชายืนอยู่แล้ว ทิ้งไว้แค่เพียงกลิ่นบุหรี่จางๆ ที่บ่งบอกว่าเขาเพิ่งเดินออกไปได้ไม่นาน

ผมคิดว่าเขาคงจะเปลี่ยนไปเดินลงบันได แต่ก็ไม่คิดจะตามไป เพราะเอาเข้าจริง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่ผมได้ยินนั่นมันถูกต้องหรือเปล่า ผมอาจจะหูแว่วไปเองก็ได้ และอีกอย่าง...ต่อให้สิ่งที่ผมได้ยินมันไม่ผิด ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ดี

ผมกลับเข้ามาในลิฟต์อีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยกมือขึ้นมากุมขมับ เรื่องที่เจอวันนี้ชักทำให้ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ แล้ว

บางที...ตอนนี้ผมอาจจะต้องการบุหรี่อย่างที่หมอนั่นว่าจริงๆ ก็ได้นะ




-----------------------------------------------------------
รู้สึกต้องใช้ความท้าทายมากในการอัพ ทำไมใช้ยากงี้ กดเอนเตอร์จนนิ้วล็อกแล้วค่ะ 55555

กรี๊ดดดดดดดด มาที่นี่แล้วววว

เคยอ่านในเด็กดีใช่ม้ายยย 555555
ฝากด้วยนะคะ จะมาอัพเรื่อยๆ เพราะแต่งได้เยอะพอสมควรแล้ว
ตอนนี้ขอเรียนรู้การใช้เว็บก่อน 5555555

 :mew5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 1 [ 25/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-03-2016 23:31:09
ผมชอบสไตล์การเขียนของคุณคนแต่งนะครับ 5555

ตอนแรกก็เปิดเข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ เห็นว่าเป็นเรื่องใหม่ คลิกเข้ามาดูพล็อตก็น่าสนใจดี ดูๆบทนำก็ท่าทางจะสนุกใช้ได้ แต่มันอาจไม่ใช่แนววิจารณ์วรรณกรรมของผมน่ะครับ (ผมเน้นวิจารณ์วรรณกรรมหนักหน่วง พล็อตเต็มดราม่าเต็ม การกระทำหนักหน่วงน่ะครับ ถืาเปรียบละครคงคล้ายๆเรื่อง วัยแหลกสาแหรกขาด ที่กำลังเป็นทอล์คออฟเดอะทาว์นอยู่ตอนนี้ 555) ตอนแรกเลยว่าจะไม่คอมเมนท์แล้วเพราะไม่ใช่แนว แต่สะดุดครับ สะดุดกับทอล์คลงท้ายบทนำของคุณคนแต่งเนี่ยแหละครับ อ่านแล้วอย่างฮา เลยคิดว่าเราน่าจะมีสไตล์การพูด (รวมไปถึงการคิดและตรรกะ) คล้ายๆกัน น่าจะเป็นนิมิตหมายอันดี

ผมเลยไปค้นดูครับ พอดีเห็นว่ามีคนบอกว่าเรื่องนี้อัพไว้ที่เด็กดีด้วย ก็ได้ไปตามอ่านมา(คร่าวๆ) รวมถึงผมเหลือบไปเห็นว่าคุณคนแต่งมีการเขียนนิยายนอร์มอล(straight, love-comedy) ที่ได้รับการตีพิมพ์มาก่อนด้วยหลายเรื่องเช่นกันครับ ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่าสกิลการเขียนของคุณคนแต่งคงจะดีในระดับหนึ่ง ผมลองอ่านคร่าวๆเรื่องนี้ในเด็กดีก็รู้สึกว่าโอเคนะ แต่มีจุดสังเกตคร่าวๆดังนี้ครับ

ข้อแรกคือ ผมรู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีบรรยากาศของนิยายแจ่มใสเยอะพอควร(ไม่รู้จะบรรยายยังไง 555) คือมันไม่ได้เล้าหลือนะครับ แต่แบบมัน...ดูรีแอคชั่นมีการคิดแบบผู้หญิงมากไปหน่อย ตัวนาง (ปกติจะเรียกนายเอกกัน แต่ผมติดเรียกจากนิสัยไปแล้ว ขออนุญาตนะครับ 555) ของเรื่องนี้เป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้มีพล็อตมารองว่าถูกเลี้ยงมาแบบผู้หญิงและไม่มีผู้ชายที่เป็นไอดอล ผมคิดว่าบางทีเราต้องตัดการคิดแบบละเอียดอ่อนออกไปครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการห้าวจัดเถื่อนๆนะ ผู้ชายสุภาพส่วนมากก็มีคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยครับ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ให้ออร่านิยายวายเท่าไหร่ ทีนี้พอบรรยากาศแจ่มใสมันมา มันรู้สึกว่าจะลูกกวาดทันทีละครับ เป็นออโต้รีแอคชั่นไปแล้ว 555

อย่างไรก็ตาม การชินกับนิยายนอร์มอลก็นำมาสู่ข้อสองครับ นั่นคือ ผมอนุมานว่าจากฝีมือการเขียนนิยายนอร์มอลมานาน คุณคนแต่งสามารถวางคาแรกเตอร์รุกได้อย่างมีระบบ ซึ่งก็ไม่มีที่ติจริงๆด้วยครับ ผมอ่านดูแล้วมิติของตัวพระนี่แน่นมากเลยนะครับ ค่อนข้างไร้ที่ติ มีดีเฟค มีจุดเด่นจุดด้อย ดูเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เมะเพอร์เฟ็กต์ในอุดมคติ อันนี้ผมชื่นชมครับ มิติตัวพระแน่นมาก ทุกแอ็คชั่นเค้าคือมีพล็อตรองรับ ถ้าปรับมุมมองและพฤติกรรมของตัวนางได้เมื่อไหร่ ผมคิดว่าคุณคนแต่งน่าจะพัฒนาฝีมือการเขียนขึ้นได้อีกครับ 555

ผมคิดว่าทักษะการมองเหตุการณ์(sense of judging)ของคุณคนแต่งกับผมน่าจะคล้ายๆกันนะครับ เพราะทักษะนี้ปกติจะส่งผลต่อธรรมชาติการวางพล็อตส่วนบุคคล เท่าที่ผมลองประเมินนิยายของคุณคนเขียนคร่าวๆดูหลายเรื่อง ก็รู้สึกเหมือนว่าจะเป็นพล็อตหนังสือที่ถ้าผมเดินผ่านก็ต้องมีหยิบขึ้นมาอ่านเรื่องย่อล่ะ แสดงว่าเคมีการมองพล็อตเขียนหนังสือเราน่าจะคล้ายๆกัน 5555 เลยแวะมาให้คำแนะนำครับ

ปล. ถ้าแนวตัวนางเงียบๆมึนๆ บอร์ดนี้มีหลายเรื่องนะครับ นักเขียนที่ผมแนะนำให้ลองอ่านก็มีหลายท่าน ลองดูงานเขียนของคุณ sine, rainbow67 ดูก็ได้ครับ เผื่อจะเห็นภาพคาแรกเตอร์ชัดขึ้น
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 2 [ 26/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-03-2016 13:57:19
2
ความเจ็บซ้ำซ้อน

 
               
“เฮ้ย คุยบ้างก็ได้นะตรี พี่ไม่จอยเหรอฮะ” เสียงพี่ดาหลัน พี่รหัสปีสองของผมถามขึ้นมา พร้อมกับเอื้อมมือมาชกไหล่ผมเบาๆ หนึ่งที เรียกสติคนที่กำลังเหม่อให้กลับมาสนใจโต๊ะอาหารอีกครั้ง
               
วันนี้สายรหัสปีสองของผมนัดมาเลี้ยงสายที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก เป็นร้านสไตล์อบอุ่นที่เหมาะมากกับสายรหัสเล็กๆ อย่างสายรหัสผม ที่มีแค่ผมกับคู่สายอีกคนหนึ่งที่ชื่อทองกวาว
               
ไม่ต้องตกใจกับชื่อที่แสนจะไม่เหมือนใครของสายรหัสผมหรอกนะ เพราะนี่ถือเป็นกิมมิคของคณะเราเลยก็ว่าได้ พวกเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ แล้วมีชื่อโหลๆ หรือชื่อซ้ำกับรุ่นพี่ในคณะ ไม่ว่าจะปีใดก็ตาม จะต้องถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชื่อก็ออกจะประหลาดๆ ดูไม่น่าเป็นชื่อคนได้ อย่างสายรหัสผมก็มีธีมเป็นชื่อดอกไม้อย่างที่เห็น โชคดีมากที่ผมไม่ได้ชื่อซ้ำกับรุ่นพี่คนไหน ก็เลยไม่ต้องถูกเปลี่ยนชื่อ ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าต้องเปลี่ยนเป็นชื่อดอกไม้แล้วผมจะได้ชื่อว่าอะไร (เคยได้ยินว่าพี่ตั้งใจจะให้ผมชื่อหงอนไก่ นั่นมัน...รับไม่ได้จริงๆ ครับ)
               
“เออ ปล่อยให้พวกพี่เม้าท์กันเองจนน้ำลายแห้งหมดแล้วเนี่ย” พี่ชบาพี่รหัสของทองกวาวพูดเสริม ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป

เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่างหาก คิดดูสิ ก็ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางสาวๆ สามคนที่ต่างก็เม้าท์เก่งอย่างไม่มีใครยอมใคร พอคนหนึ่งหยุดพูด อีกคนก็จะมีเรื่องใหม่พูดขึ้นมาทันที แล้วแบบนี้ผมจะหาจังหวะไหนไปแทรกได้ทันกัน
               
ว่าได้ไม่ถึงวิ สามสาวก็เริ่มเม้าท์เรื่องใหม่กันแล้ว ผมยิ้มบางๆ ให้กับความช่างเจรจาของพวกเธอและได้แต่นั่งฟังไปกินไปเงียบๆ เหมือนเคย
               
ผมยกเบียร์แก้วที่ห้าของตัวเองขึ้นดื่ม พลางมองไปรอบๆ และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ร้านนี้บรรยากาศดีจริงๆ น่ะแหละ ร้านร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ถูกจัดให้เหมือนกับอยู่ในสวนหลังบ้าน มีดนตรีโฟคซองเพราะๆ ขับกล่อมตลอดเวลา เหมาะกับการดินเนอร์ และจิบเบียร์เย็นๆ ในวันที่อากาศดีๆ แบบนี้จริงๆ
               
แล้วยิ่งตอนนี้ พวกผมเพิ่งจะจบโปรเจ็กต์ไฟนอลไปหมาดๆ หมดภารกิจที่ต้องอดหลับอดนอนปั่นงานทั้งวันทั้งคืนแล้ว คงไม่มีอะไรจะสบายใจไปมากกว่านี้แล้วล่ะ... ถึงแม้อาทิตย์หน้าจะเข้าสู่ช่วงสอบแล้วก็ตาม แต่เอาเถอะน่ะ ยังมีเวลาอ่านหนังสืออีกตั้งหลายวัน :P
               
“ใกล้จะถึงร้านแล้วใช่มั้ย งั้นฟ้าสั่งอาหารรอเลยแล้วกันนะ” เสียงหวานๆ ที่ฟังดูคุ้นหูอย่างประหลาด เรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง

ผมมองตามร่างบางที่คุ้นหน้า แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน เธอเดินผ่านโต๊ะพวกเราไปยังอีกโต๊ะที่อยู่ถัดไปพร้อมกับผู้หญิงและผู้ชายอีกคู่หนึ่ง แต่แล้วก็ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นแผ่นหลังของผู้ชายที่เดินตามเธอคนนั้นไป และรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ใคร... แต่เป็นเพื่อน (เคย) สนิทของผมเอง ผมก้มหน้าหลบทันทีที่รู้ว่าเป็นไอ้ซัน โชคดีมากที่มันไม่ทันเห็นผม แถมยังนั่งหันหลังให้ผมอีก ผมเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า พอสังเกตดีๆ ผมเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงอีกคนที่เดินตามไปนั่งข้างๆ มัน คือวี แฟนของมัน

นี่...กลับมาคืนดีกันแล้ว งั้นเหรอ?

“ตรี เป็นไร ทำไมทำหน้าแปลกๆ” พี่ดาหลันหันมาถาม ผมละสายตาจากคนในโต๊ะถัดไป และหันกลับมาก็พบว่าสามสาวหยุดเม้าท์กันแล้ว พร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยความอยากรู้อย่างพร้อมเพรียง

“เปล่าครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็ลุกพรวดออกจากโต๊ะทันที แต่ดูเหมือนว่าจะลุกเร็วเกินไป เลยไม่ทันสังเกตว่ามีใครกำลังเดินมาข้างหลัง ทำให้ร่างของผมปะทะเข้ากับกับคนคนนั้นเต็มๆ

“ขอโทษ...” คำขอโทษของผมหยุดลงแค่นั้น ทันทีที่ได้เห็นหน้าคนที่ถูกชน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบที่ผมจำได้ดีแม้จะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง มองมาที่ผมด้วยสายตาที่ยังเย็นชาไม่เปลี่ยน

ผมชักจะเบื่อหน้าหมอนี่แล้วแฮะ บอกตามตรง เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ทำไม่ผมถึงรู้สึกไม่ถูกชะตาขนาดนี้ก็ไม่รู้ -*-
ผมไม่คิดจะพูดอะไรต่อ และกำลังจะเดินผ่านร่างสูงไปเฉยๆ แต่เจ้าของสายตาเย็นชากลับทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย และกวนโมโหผมสุดๆ

“ไอ้ซัน”

“...!!”

อะ...ไอ้เวรนี่ ทำบ้าอะไรวะ!?

ผมถึงถลึงตามองร่างสูงที่ตะโกนเรียกไอ้ซันด้วยความไม่พอใจสุดขีด แต่หมอนี่กลับไม่สะทกสะท้านเลย แถมยังเลิกคิ้วมองผมอย่างกวนประสาทอีกต่างหาก

“เพื่อนแกนี่” คำพูดสั้นๆ ของคนตรงหน้าเล่นเอาผมแทบอยากจะชกหน้าเขาสักหมัด เวรเอ๊ย! ผมอยู่ของผมดีๆ นะ ทำไมหมอนี่มันต้องมาจ้องกวนประสาทผมด้วยเนี่ย!

ผมได้แต่สบถในใจ ก่อนจะหันกลับไปมองไอ้ซันซึ่งแน่นอนว่ามันกำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน สีหน้าของมันดูตกใจนิดหน่อย แต่ก็แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะส่งยิ้มเฝื่อนๆ มาให้ผม

ยังสู้หน้าไม่ติดจริงๆ ด้วยสินะ... เป็นผมก็คงทำใจลำบากเหมือนกันนั่นแหละ ถ้ารู้ว่าเพื่อนที่คบกันมาตั้งนานหันไปชอบผู้ชาย แถมผู้ชายคนแรกที่เพื่อนตกหลุมรัก ก็ดันเป็นตัวเองซะอีก ต่อให้ผมโกหกมันว่าเลิกชอบไปแล้วก็เถอะ แต่มันคงยังกลับมาเชื่อใจผมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้อยู่ดี ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาเคียดแค้นไปให้คนก่อเรื่องที่มองดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้สึกรู้สา

“ทำหน้าแบบนี้แล้วตลกดีนะ” แทนที่จำสำนึกผิดที่ทำให้ผมเสียหน้า แต่ร่างสูงกลับหรี่ตามองพลางพูดกวนประสาทไม่หยุด

“นะ...นาย!” ผมกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหมอนี่เป็นถึงพี่รหัสของไอ้ซัน และมันคงไม่ดีแน่ถ้าผมเผลอชกหน้า หรือด่ากราดใส่รุ่นพี่ที่เพื่อนผมเคารพเข้า

“หึ!” พอเห็นว่าผมได้แต่จ้องตาขวาง กำหมัดแน่น คนกวนประสาทก็แสยะยิ้มร้ายกาจแบบที่ชอบทำเป็นประจำ บ่งบอกว่าที่พูดออกมาเมื่อกี้ ก็แค่จะยั่วให้ผมโมโหเท่านั้น และมันก็ได้ผลซะด้วย

พอเยาะเย้ยผมจนพอใจแล้ว ขายาวๆ นั่นก็เดินผ่านผมไป ทิ้งให้ผมได้แต่สบถด่ามันเป็นร้อยๆ คำอยู่ในใจ

ไอ้...ไอ้... โว้ย! น่าหงุดหงิดชิบ!
 

ผมเข้าห้องน้ำนานกว่าปกติเพราะต้องใช้เวลาในการสงบสติอารมณ์มากพอสมควร พอกลับออกมานั่งที่โต๊ะก็พบกับสามสาวที่หยุดเม้าท์กันชั่วขณะ และหันมามองผมเป็นตาเดียว

“มีอะไรเหรอ...ครับ?” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ รู้สึกถึงรังสีอยากรู้อยากเห็นแปลกๆ ที่ส่งออกมาจากพวกเธอ

“เมื่อกี้น่ะ เราเห็นนะ” เป็นยัยกวาวที่เปิดประเด็นขึ้นมาคนแรก ในขณะที่พี่รหัสทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก

“รู้จักเชนกับซันด้วยเหรอ” คราวนี้เป็นพี่ดาหลันที่ถามขึ้นมา ทำเอาผมถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองเลยทีเดียว ผมยกเบียร์ที่เหลืออยู่ค่อนแก้วขึ้นมากระดกจนหมด ก่อนจะกระแอมเบาๆ และตอบคำถามด้วยน้ำเสียง (พยายาม) ปกติ

“ผมกับซันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกันน่ะ ส่วนหมอนั่น...ผมหมายถึงพี่เชน” ผมกลืนน้ำลายนิดหน่อยด้วยความกระดากปาก

“ผมเพิ่งรู้จักเขาเมื่อวาน เขาเป็นพี่รหัสไอ้ซันมัน”

สามสาวมองหน้ากันพลางพยักหน้าอย่างกระจ่างในคำตอบ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างพร้อมเพรียง

“มีเพื่อนแซ่บๆ ก็ไม่บอก” พี่ดาหลันเอื้อมมือมาตีผมเบาๆ แล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับคนอื่น

“เป็นสายที่เลอค่ามากอ่ะ บอกเลย คนนึงก็หลีด อีกคนก็เกือบได้เป็นเดือนคณะ เสียดาย ที่มีแฟนแล้วทั้งคู่” พี่ชบาพูดอย่างตัดพ้อเล็กๆ ผมขมวดคิ้ว คนที่เป็นหลีดคณะเนี่ยผมเข้าใจน่าคือไอ้ซัน แต่คนที่เกือบเป็นเดือนคณะนี่สิ...

“หมายถึง...พี่เชนน่ะเหรอ ที่เกือบจะเป็นเดือน?” ผมเลิกคิ้วถาม รู้สึกกระดากปากทุกครั้งที่ต้องเรียกหมอนั่นว่าพี่

“อื้อ พวกเรายังไม่ได้เข้ามา คงไม่รู้เรื่องเชนอ่ะดิ หมอนั่นดังจะตายในหมู่เฟรชชี่เข้าใหม่ พวกรุ่นพี่เล็งเขาให้เป็นหลีดคณะ แถมถึงกับขอร้องให้ประกวดเดือนด้วยนะ แต่ก็นั่นแหละ นิสัยหยิ่งๆ อย่างเขาต่อให้พวกรุ่นพี่บังคับหรืออ้อนวอนยังไง เขาก็ไม่ยอมทำกิจกรรมอะไรพวกนั้นหรอก พอโดนตอแยหนักๆ เข้า หมอนั่นก็เลยวีนจนโดนรุ่นพี่แบนไปพักนึงเลย” พี่ชบาเล่าอย่างออกรส ผมพยักหน้านิดๆ นึกภาพความหยิ่งอย่างน่าหมั่นไส้ของหมอนั่นได้อย่างชัดเจน

“แต่จริงๆ เขาก็นิสัยดีนะ แค่เป็นพวกโลกส่วนตัวสูงเกินไปเท่านั้นแหละ แถมตั้งแต่คบกับฟ้าที่เป็นดาวคณะ ก็ดูเหมือนจะเป็นมิตรขึ้นด้วย พวกรุ่นพี่ที่เคยหมั่นไส้ ก็เลิกเขม่นเขาไปเยอะเลยล่ะ” พี่ดาหลันพูดเสริมด้านดีๆ ให้หมอนั่น ผมเบ้หน้านิดหน่อย แบบนั้นอ่ะนะที่เรียกว่าเป็นมิตร?

พอได้ยินแบบนั้นผมเลยหันไปมองคนนิสัยดีที่พี่ดาหลันว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่หมอนั่นกำลังยิ้มและขยี้หัวผู้หญิงที่ชื่อฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเอ็นดู (ผมเพิ่งนึกออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ผมเจอที่หอไอ้ซันเมื่อเช้านี้) ถึงผมจะแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นหมอนั่นยิ้มก็เถอะ แต่ในสายตาผมรอยยิ้มนั้นก็เป็นแค่แอปเปิ้ลอาบยาพิษที่แสนอันตรายเท่านั้นแหละ

“ยิ่งตอนรับน้องนะ หมอนี่ได้เป็นพี่ว้ากฝึกหัดด้วย กรี๊ดมากบอกเลย” พี่ดาหลันว่าพร้อมกับทำท่าปลื้มปริ่มออกนอกหน้า ผมหันกลับมายิ้มตอบและจิบเบียร์ต่อ

ไม่นานสามสาวก็หาเรื่องใหม่คุยกันได้อีก เอาตรงๆ ตั้งแต่เข้าร้านมา ผมก็ยังไม่เห็นสาวๆ โต๊ะผมหยุดพูดเลยสักวินาทีเดียว นี่ถือเป็นความสามารถพิเศษของพวกเธอได้หรือเปล่าเนี่ย -*- แต่ก็ดีแล้วล่ะที่พวกเธอหาเรื่องใหม่คุยได้ และไม่ซักไซ้อะไรผมอีก ปล่อยให้ผมจิบเบียร์และคิดอะไรเพลินๆ อยู่คนเดียวเถอะ

“...” แต่ดูเหมือนผมจะสบายใจเกินไป จนลืมไปว่าที่โต๊ะถัดไป มีภาพที่ผมไม่ควรจะเห็นอยู่ด้วย ไอ้ซันที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่ตอนนี้กำลังคุยกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน ในขณะที่มือของมันกำลังโอบไหล่แฟนอย่างรักใคร่ บางครั้งที่มันหันมายิ้มให้วี หัวใจของผมก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ราวกับมีใครเอาค้อนมาทุบ มันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนความเจ็บเริ่มเปลี่ยนเป็นชินชาโดยไม่รู้ตัว
ผมเบือนหน้าหนีจากภาพเหล่านั้น และกระดกเบียร์ที่เพิ่งรินใหม่จนหมดแก้วภายในรวดเดียว ผมพยายามจะไม่สนใจคนบนโต๊ะนั้นอีก แต่ตาไม่รักดีก็เอาแต่ดื้อมองภาพที่ทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ยอมเข็ด ผมถอนหายใจและรินเบียร์ใส่แก้วใหม่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมา และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

“...” หมอนั่นเลิกหยอกล้อกับแฟนแล้วหรือไงนะ แล้วทำไมต้องหันมาสบตากับผมพอดีด้วยเนี่ย

“...” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสนเย็นชาคู่นั้นจ้องมาที่ผมนิ่งๆ พร้อมกับพ่นควันสีขาวออกจากปาก

ผมอยากจะแช่งให้หมอนั่นเป็นมะเร็งตายสักวันจริงๆ แต่เอาเถอะ ถึงผมไม่ต้องแช่ง เขาก็คงหนีมะเร็งไม่พ้นหรอกเล่นสูบมวนต่อมวนขนาดนั้น

ผมเบือนสายตาหนีพร้อมกับกระดกเบียร์แก้วใหม่ที่เพิ่งรินจนหมดแก้ว ผมรินเบียร์แก้วใหม่ในทันที ราวกับว่าอยากจะให้แอลกอฮอล์ช่วย ดับอารมณ์หงุดหงิดที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้วเมื่อได้สบตากับคนกวนประสาท

“เฮ้ย กินหมดขวดคนเดียวได้ไง แบ่งเพื่อนสายบ้างดิ” พี่ดาหลันหันมาติงผม ก่อนจะหยิบขวดเบียร์ที่ผมเพิ่งวางไปรินใส่แก้วยัยกวาวที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นน้ำเปล่า แต่ตอนนี้เหลือแต่น้ำแข็งเรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ยพี่ กวาวไม่กินเบียร์” ยัยกวาวแย้งเสียงใส พี่ดาหลันจึงหยุดริน แต่พี่ชบาก็พูดแทรกขึ้นมา

“ไม่กินเบียร์ แต่กินเหล้าใช่มะ ได้ๆ เดี๋ยวพี่จัดให้น้อง” ผมคิดว่าพี่ชบาจะพูดเล่นนะ แต่เธอกลับตะโกนเรียกเด็กเสิร์ฟ และสั่งเหล้าพร้อมมิกซ์เซอร์และกับแกล้มอย่างจริงจัง พี่ดาหลันหัวเราะร่าที่เห็นยัยกวาวหน้าเสียไปเลย

“โหยพี่ กวาวไม่กินนะ ถ้าเหลือกวาวไม่รับผิดชอบด้วย” ยัยกวาวเบ้หน้าท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเราจัดการเอง” ผมยิ้มให้อย่างเอ็นดู ผมไม่เคยมีน้องสาว แต่พอมองทองกวาวแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังคุยกับน้องสาวตัวเล็กๆ ยังไงยังงั้น

“พูดแล้วนะไอ้น้องชาย งั้นนี่เลย จัดแก้วนี้ให้หมด ก่อนที่ของแรงจะตามมา” พี่ชบาจัดการสลับแก้วของยัยกวาวมาให้ผม ก่อนจะเอาแก้วมที่เหลือแต่น้ำแข็งไปรินน้ำเปล่าให้เธอแทน

“ฝากด้วยนะตรี T^T” ยัยตัวเล็กหันมาทำสายตาอ้อนวอนให้ ผมเลยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

ผมรับแก้วที่รุ่นพี่ยื่นให้มากระดกอย่างไม่เกรงใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ผมก็ชะงักไปนิดหน่อยเมื่อพบว่าสายตาเย็นชาคู่นั้นยังคงจ้องมาที่ผมเหมือนเมื่อกี้ และไม่รู้ทำไมสายตานั้นดูเหมือนกำลังท้าทายผมให้ดื่มแก้วนี้ให้หมด วินาทีต่อมา แก้วที่เคยมีเบียร์อยู่เต็ม ก็เหลือเพียงแค่น้ำแข็งเปล่าที่พร้อมสำหรับการเติมเต็มแอลกอฮอล์แก้วต่อไป

ผมหันไปส่งสายตาของผู้ชนะให้กับร่างสูงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป หมอนั่นแสยะยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคุยกับแฟนของตัวเองต่อ ท่าทางเมินเฉยของเขาทำให้ความหงุดหงิดของผมเพิ่มขึ้นทวีคูณ ดังนั้นทันทีที่พนักงานเสิร์ฟวางเหล้าลงบนโต๊ะ ผมก็ไม่รอช้าที่จะรินเหล้าใส่แก้วตัวเองในปริมาณที่คนในโต๊ะต่างก็ตกใจ

“โห เข้มไปมั้ยเนี่ย ไหวเหรอตรี” ยัยกวาวทำตาโต พร้อมกับมองแก้วเหล้าของผมอย่างทึ่งๆ ผมยิ้มตอบ ก่อนจะกระดกเหล้าที่อยู่ในแก้วรวดเดียวหมด รสชาติขมปร่าที่ไหลผ่านคอไปทำให้ผมรู้สึกแสบคอนิดหน่อย แต่ก็ไม่ทำให้ผมหยุดรินแอลกอฮอล์ใส่แก้วอีกรอบ

เหอะ อย่ามาดูถูกกันสิ ผมน่ะคอแข็งกว่าที่ใครๆ คิดนะจะบอกให้
 

เวลาผ่านไป

ถึงผมจะบอกว่าตัวเองคอแข็งก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้แข็งพอที่จะกินเหล้าทั้งขวดได้โดยไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ =_=; ผมรู้สึกมึนๆ นิดหน่อย... จริงๆ ก็ไม่หน่อยหรอก ผมรู้สึกเหมือนโลกหมุนติ้วๆ ไปหมดจนต้องพิงตัวลงกับอ่างล้างหน้า เพื่อตั้งสติ ผมไม่อยากออกไปในสภาพเมาๆ สักเท่าไหร่หรอกนะ ก็คุยไว้เยอะนี่ว่าคอแข็ง จะออกไปแบบหมดสภาพให้คนอื่นเห็นได้ไง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำมา แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเจอกับคนที่ไม่อยากเจอที่หน้าห้องน้ำพอดี

“ไอ้ซัน...” ผมครางชื่อมันออกมาเบาๆ รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

“ตรี กูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ถึงจะมึนๆ ด้วยฤทธิ์เหล้า แต่ก็ไม่ได้เบลอถึงขนาดจะมองไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังทำหน้าจริงจังแค่ไหน

ผมหลับตาตั้งสติแวบหนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธ “กูไม่มีอะไรจะคุย” ผมเดินผ่านร่างสูงมาโดยพยายามไม่ให้เซจนสังเกตได้ แต่ไอ้ซันก็ตื๊อเกินกว่าจะปล่อยผมไป มันเอื้อมมือมาดึงแขนผมไว้ ผมสะบัดมือหนี แต่แรงสะบัดก็เอาทำเอาเซไปเลยเหมือนกัน

“มึงเป็นอะไรกันแน่วะตรี ไหนมึงบอกว่ามึงเลิกชอบกูแล้วไง แล้วทำไมไม่คุยกับกูแบบปกติวะ” คำถามทิ่มแทงใจ ทำให้ผมหยุดฝีเท้าตัวเองอีกครั้ง ผมนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะทำในสิ่งที่สมองเบลอๆ พอจะสั่งการให้ทำได้

ผมหันไปยิ้มให้เพื่อนรักอย่างจริงใจ ก่อนที่จะพูดประโยคที่ทำให้คนพูดอย่างผมเจ็บปวดเสียเอง “กูเลิกชอบมึงแล้วจริงๆ”

“...”

“แต่ตอนนี้กูเมาว่ะ คงคุยกับมึงไม่รู้เรื่องหรอก” ผมหัวเราะนิดหน่อย เพื่อทำให้ดูว่ามันเป็นเรื่องตลก ถึงผมจะรู้สึกว่าเมาจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมไม่อยากคุยกับมันหรอก

แต่เอาเถอะ ผมคิดเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วว่ะ

“กูขอโทษ” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามันจะมาขอโทษผมเรื่องอะไร “ขอโทษที่กูทำให้มึงรู้สึกไม่ดี กูไม่ได้รังเกียจหรอกนะที่มึงจะเป็น...” มันเว้นวรรคไว้เหมือนไม่อยากจะพูด

มึงคงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าคำพูดมึงตอนนี้กำลังทำให้กูรู้สึกแย่อยู่ -*-

“เอาเหอะ กูเข้าใจ กูไม่ถือสามึงหรอก” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะปลีกตัวออกมา “งั้นกูไปก่อน...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ คำพูดที่แทรกขึ้นมาก็ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายตัวเองลงไปทันที

“ถ้ามึงไม่ว่าอะไร กูว่า กูยังอยากเป็นเพื่อนมึงอยู่นะ”

“...”

ผมรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอะไร ผมรู้ว่าที่มันพูดออกมาก็เป็นเพราะมันเสียดายความเป็นเพื่อนของเราที่มีมานาน และไม่อยากให้มันจบลงเพียงเพราะความรู้สึกงี่เง่าไร้สาระของผม แต่ไม่ว่ายังไง...ผมก็หยุดความรู้สึกงี่เง่านี้ไม่ได้จริงๆ นี่หว่า

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...

“เออ กูก็อยากเป็นเพื่อนมึง” ผมตอบมันด้วยรอยยิ้ม แม้มันจะเป็นยิ้มที่ฝืนใจก็ตาม

“งั้นกูกับมึงเคลียร์แล้วนะโว้ย” ไอ้ซันยิ้มกว้างพร้อมกับเอื้อมมือมาตบบ่าผมแรงๆ

“เออ เคลียร์” ผมตอบยิ้มๆ แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มมีความสุขของคนตรงหน้า ผมก็อดมีความสุขตามไม่ได้

ไอ้ซันทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีก แต่เพราะวีแฟนของมันเดินออกมาจากห้องน้ำหญิงพอดี ทำให้มันหันกลับไปสนใจเธอแทน รอยยิ้มของผมค่อยๆ หุบลง เมื่อตระหนักได้ว่ามันไม่ได้มาดักรอคุยกับผมอย่างที่คิด จริงๆ มันแค่มารอแฟนเข้าห้องน้ำ และบังเอิญเจอผมเท่านั้นสินะ

คนที่เอาแต่คิดไกลไปเองเนี่ย น่าสมเพชชะมัด...
 

ผมกลับมาที่โต๊ะในสภาพที่พยายามปกติที่สุด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังอีกโต๊ะหนึ่ง ที่ตอนนี้เหลือเพียงผู้หญิงชื่อฟ้านั่งอยู่คนเดียว แหงล่ะ ก็ผมเพิ่งเจอไอ้ซันกับวีที่หน้าห้องน้ำเมื่อกี้นี้เองนี่นา ส่วนหมอนั่น... คนกวนประสาทแบบนั้นหายๆ ไปก็ดีแล้วล่ะ

ผมนั่งลงที่โต๊ะได้ไม่นาน พี่ดาหลันก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน เพื่อจะได้แยกย้ายกันกลับสักที เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว โชคดีที่สามสาวไม่ได้ดื่มเยอะ และยังมีสติอยู่จึงไม่น่าเป็นห่วงมาก แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท คนที่รับหน้าที่ขับรถกลับเลยเป็นทองกวาวที่ไม่ได้รับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยสักหยด

ผมยืนมองรถของสายรหัสที่ขับออกจากร้านไป ก่อนจะเดินไปที่รถเพื่อกลับหอบ้าง ถึงผมจะดื่มไปไม่น้อยเลย แต่ผมว่าผมยังมีสติพอจะขับรถได้นะ ผมกำลังจะเดินไปที่รถโฟร์คสีน้ำเงินของตัวเอง แต่กลิ่นบุหรี่ที่โชยมาจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้ผมรู้สึกมึนงงมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า ผมพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหาว่ากลิ่นนั้นมาจากไหน จะว่าไปบุหรี่กลิ่นมีเอกลักษณ์แบบนี้ เหมือนกลิ่นของ ‘หมอนั่น’ เลยแฮะ

และข้อสันนิษฐานของผมก็ไม่ผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด เมื่อสายตาของผมเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงรถสปอร์ตไบค์สีดำสนิท พร้อมกับพ่นควันบุหรี่สีขาวออกมาอย่างสบายใจ

เหอะ ทำไมต้องเจอหมอนี่ทุกทีเลยนะ จะตามหลอกหลอนผมไปถึงเมื่อไหร่กัน น่าขนลุกชะมัด

ผมกำลังจะขึ้นรถตัวเอง โดยที่ไม่ให้หมอนั่นเห็น บอกตามตรง ผมไม่อยากสบตากับสายตานิ่งสนิท แต่กลับกวนประสาทและคาดเดายากที่สุดของหมอนั่นอีกแล้วล่ะ

แต่ดูเหมือนฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่สะสมอยู่ในร่างกายจะทำให้อะไรๆ มันยากไปหมด ผมพยายามควานหากุญแจรถอยู่นานทั้งๆ ที่มันก็อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม และพอผมจะควักมันออกมา มือผมก็ดันหมดแรงทำให้ไอ้กุญแจรถเวรนั้นหล่นลงไปอยู่ที่พื้นซะงั้น

ผมสบถพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้มลงเก็บ แต่ดูเหมือนการก้มจะทำให้การทรงตัวลำบากกว่าที่คิด ร่างของผมจึงโงนเงนไปมา ก่อนจะล้มลงไปนั่งกองกับพื้นในที่สุด

“เวรเอ๊ย!” คราวนี้ผมสบถเสียงดังอย่างทนไม่ไหว ไม่ทันคิดเลยว่าเสียงของผมจะได้ยินไปถึงหูของคนที่ผมไม่อยากจะเผชิญหน้าที่สุด ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ผมสบถออกมา ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับขากางเกงยีนสีเข้มที่มาหยุดอยู่ตรงระดับสายตาพอดี

ผมจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับพยายามจะพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่ความมึนงงที่ทวีคูณขึ้นมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกทำให้ผมล้มลงไปที่พื้นอย่างน่าอนาถอีกรอบ ผมอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้จริงๆ หรือไม่ก็ภาวนาให้ไอ้หมอนี่เลิกสนใจผม แล้วเดินไปไหนสักที ผมไม่อยากให้หมอนี่มาเห็นสภาพน่าอายแบบนี้หรอกนะ

แต่สิ่งที่ผมขอเคยเป็นตรงที่ไหนล่ะ ตรงกันข้าม ร่างสูงกลับแค่นหัวเราะราวกับกำลังสมเพชผมเต็มที่ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้า

“คอแข็งไม่ใช่เหรอ” ว่าพลางพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าผมอย่างไม่เกรงใจเลยว่าไอ้ควันบุหรี่เวรนี่ทำผมเวียนหัวจนจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว

“จะไปไหนก็ไป เหม็นบุหรี่” อาจเป็นเพราะเมาก็ได้ เลยทำให้ผมกล้าพูดตรงๆ ออกมา คนตรงหน้าอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอีกครั้ง

“มา เดี๋ยวช่วย” เขาว่าพร้อมกับยืนขึ้น และยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อให้ผมจับ แต่ผมก็ปัดมือนั่นออกอย่างแรง

“ไม่ต้องมายุ่งหรอก ผมช่วยตัวเองได้” ผมปฏิเสธ แต่ยังคงนั่งอย่างหมดสภาพอยู่ที่พื้น จริงๆ ผมกะว่าจะนั่งอยู่แบบนี้สักพัก เรียกสติตัวเองก่อน แล้วค่อยขับรถกลับ

ร่างสูงเงียบไปพักใหญ่หลังจากถูกปฏิเสธ ก่อนที่ก้นบุหรี่จะถูกทิ้งลงพื้นใกล้กับที่ผมนั่งอยู่ และถูกรองเท้าราคาแพงเหยียบอย่างลวกๆ ผมรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยเพราะคิดว่าหมอนี่กำลังจะกลับเข้าไปในร้าน ...แต่เปล่าเลย ผมคิดผิด...ผิดสุดๆ

ฟุ่บ!

...!!!

ผมช็อคไปชั่วขณะเมื่ออยู่ๆ ฝ่ามือหนาก็คว้าลงมาที่คอเสื้อด้านหลังของผมพร้อมกับออกแรงดึงอย่างรุนแรง พอรู้ตัวร่างของผมก็ลอยขึ้นมาตามแรงดึงนั้น ก่อนที่ฝ่ามือนั่นจะเหวี่ยงผมเข้ากับรถโฟร์คสีน้ำเงินของผมที่จอดอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบมองมาที่ผม ก่อนที่ริมฝีปากบางจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เจือไปด้วยความหงุดหงิด

“อย่ามาทำอวดเก่งน่า ส่งกุญแจมา เดี๋ยวฉันขับไปส่ง”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง” ผมยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง

“จะให้ไปส่ง หรือจะให้ไปเรียกไอ้ซัน”

“นี่นาย...!” ผมมองตาขวาง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมทำอะไรหมอนี่ไม่ได้ สายตาจริงจังที่มองกลับมาทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้แค่ล้อเล่น ถ้าผมยังขืนดื้อ หมอนี่ต้องเรียกไอ้ซันมาจริงๆ และแน่นอนว่าผมยังไม่อยากจะเจอหน้ามันตอนนี้

ผมชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมยื่นกุญแจให้ร่างสูงที่ยืนขู่ผมอยู่ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะผละออกไป

“ก็แค่นี้” ว่าพลางดันตัวผมออกให้พ้นประตูฝั่งคนขับ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งหน้าพวงมาลัยหน้าตาเฉย ผมได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ แล้วเดินอ้อมไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี การที่ผมยอมให้เขาไปส่ง ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมญาติดีกับเขาง่ายๆ หรอกนะ ความกวนประสาทไม่เกรงใจใครของหมอนี่ก็ทำให้ผมเกลียดอยู่ดีนั่นแหละ

นี่ถ้าเขาไม่เอาไอ้ซันมาอ้าง ผมไม่มีทางยอมเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างหมอนี่หรอก สาบานได้!



------------------------------------------------
ตอนเห็นคอมเมนต์ของคุณ @Grey Twilight ครั้งแรก (มันเมนชั่นหาได้มั้ย? 5555)
ความรู้สึกตอนนั้นคือ เอาแล้วกู โดนเว็บมาสเตอร์เล่นแล้วแน่ๆ
ทำอะไรผิดวะ เพราะบ่นเรื่องอัพนิยายยากเหรอ (ตอนนี้ก็จะบ่นอยู่) 555555
จะโดนไล่ออกจากเว็บเค้าทั้งที่ยังเล่นไม่เป็นเลยหรือเปล่า

แต่พออ่านดีๆ ก็ถึงกับกรี๊ดเลย มันคือคอมเมนต์!! คอมเมนต์ยาวมากกกและดีมากกก (ขอกรี๊ดอีกรอบ)
ขอบคุณมากๆ นะคะ ฮืออออ ปลื้มขนาดเข้าไปดูโปรไฟล์ แต่ทำอะไรไม่ได้เลยออกมา 5555
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำแนะนำเลย เรามือใหม่สำหรับแนวนี้จริงๆ จะพยายามเอาไปพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นนะคะ ^^
แต่เรื่องสำนวนที่ดูแจ่มใสนี่ท่าจะยากอยู่ เพราะเขียนสำนวนงี้มานานจนติดหนึบ (ฮืออออ)
แต่อีกมุมก็ชอบนะ เหมือนได้เผยแพร่วัฒนธรรมหวานแหวว 55555
ขอบคุณคุณ Grey Twilight จริงๆ ค่ะ ที่แวะเข้ามาอ่านและติชม เราก็สะดุดเหมือนกัน ตรงที่บอกว่าเข้ามาเม้นเพราะชอบทอล์กเรา คือไม่รู้ควรดีใจมั้ย...ยังไง? 555555
แน่ะ แล้วคราวนี้ทล์อกยาวอีก คุณ Grey Twilight จะเข้ามาเมนต์อีกก็ได้นะคะ 555

ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยเน้อ อยากจะอัพทีเดียวสักแปดตอน แต่ไม่มีปัญญา และคงยาวไปคนไทยไม่อ่าน (ล้อเล่น) 555

ขอบคุณค่า
  :katai2-1:

-- makok_num --

 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 3 [ 26/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-03-2016 23:55:46
3
รอยยิ้มนั้น

 
               
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าหัวกำลังจะระเบิด ผมอยากจะนอนต่ออีกสักงีบแต่เสียงกีตาร์แผ่วเบาที่ลอยมาจากไหนสักแห่งทำให้ผมจำต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาสู้กับแดดจ้าที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง
               
อา... ใครเปิดม่านทิ้งไว้วะ
               
ผมพลิกตัวหนีแสงมาอีกด้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงผมอยู่คนเดียว
               
“ตื่นแล้วเหรอ” น้ำเสียงเรียบนิ่งถูกเอ่ยขึ้นมาจากเจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างกายท่อนบนที่ตอนนี้เปลือยเปล่าเผยให้เห็นมัดกล้ามและซิกซ์แพ็คขนาดกำลังพอดีนั่น ทำให้ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
               
“นะ...นาย!!” ผมผุดลุกขึ้นมาด้วยความเร็วจนร่างกายปรับสภาพไม่ทันจนต้องล้มลงไปนอนอีกรอบ
โอย ปวดหัวชิบ
               
“เฮ้ๆ ใจเย็นสิ” ผู้บุกรุกเอ่ยด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปหยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาจุดสูบอย่างใจเย็นจนน่าโมโหยิ่งกว่าเก่า
               
“เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!” ผมโวยวาย แต่คนตรงหน้ากลับแสยะยิ้มและพ่นควันบุหรี่ออกมาจนกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วห้อง
               
“ก้าวร้าวจริง เมื่อคืนยังแทนตัวเองว่าผมอยู่เลยนี่” เขาเลิกคิ้ว สีหน้ากวนประสาทจนผมอยากจะพุ่งเข้าไปชกหน้าสักที แต่สภาพร่างกายที่เหมือนกำลังจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ ก็ทำให้ผมได้แต่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรกลับไปให้เท่านั้น
               
“เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” ผมย้ำคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง บ่งบอกว่าถ้าหมอนี่ขืนยังกวนประสาทอีก ผมคงอดไม่ได้ที่จะหาอะไรสักอย่างใกล้ๆ นี่ปาหัวเขา
               
“นี่จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
               
ผมไม่ตอบ พยายามนึกว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้าง จำได้ว่าผมดื่มไปค่อนข้างเยอะ หมอนี่ก็เลยอาสาขับรถมาส่งที่หอ แต่หลังจากที่บอกทางมาหอเสร็จ ผมก็รู้สึกง่วงและคงจะเผลอหลับไป แล้วหลังจากนั้น...ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
               
“ตอนฉันขับรถมาถึงหอ นายก็หลับเป็นตาย ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ฉันเลยต้องอุ้มนายขึ้นมา”
               
“อะ...อุ้ม!?” จะบ้าเรอะ! ผมไม่ใช่ผู้หญิงร่างบางนะ หมอนี่จะมาอุ้มผมไหวได้ยังไง ถึงผมจะเคยเห็นเขาแบกไอ้ซันอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกว่าอุ้มสักหน่อย
               
“โกหก” พอเห็นว่าผมนิ่งไป หมอนี่ก็เฉลยขึ้นมาพร้อมกับแสยะยิ้มราวกับจะบอกว่าผมนี่มันช่างเชื่อคนง่ายเหลือเกิน
               
ไอ้เวรนี่ กวนประสาทชิบ!
               
“เมื่อคืนพอฉันขับรถมาถึงหอ นายก็เดินละเมอขึ้นมาที่ห้องตัวเองทันทีเลย ฉันขี้เกียจขับรถแล้ว ก็เลยเดินตามมา” ว่าพลางยักไหล่ เรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลย?
               
“แล้วทำไมนายต้องถอดเสื้อด้วย ละ...แล้วนายนอนตรงไหน อย่าบอกนะว่านอนบนเตียง!” ผมโวยวายอีกครั้งเมื่อเริ่มมีคำถามน่ากลัวๆ เข้ามาในหัวเต็มไปหมด
               
ยิ่งผมก้มลงสำรวจสภาพตัวเองตอนนี้ก็ยิ่งน่าตกใจไปกันใหญ่ ผมว่าเมื่อวานตอนไปเลี้ยงสายผมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวไปไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้มันเหลือแต่เสื้อกล้ามวะ!?
               
“โวยวายเป็นสาวเวอร์จิ้นเลยนะ” เสียงเรียบนิ่งเริ่มเจือความรำคาญเล็กๆ มือเรียวคีบบุหรี่ออกจากปาก ก่อนจะชี้ไปที่พื้นข้างเตียง
               
“เมื่อคืนฉันนอนตรงนั้น” ผมมองตามก็พบว่าที่พื้นมีหมอนและผ้าห่มอีกชุดที่ผมมีไว้สำหรับเอาไปนอนที่สตูดิโอกองอยู่ “ส่วนที่ฉันต้องถอดเสื้อ ก็เพราะมีใครบางคนอ้วกใส่เสื้อฉัน มันก็แค่นั้น” ว่าพลางยักไหล่และก้มลงเกากีตาร์ของผมต่อ
               
เมื่อได้รับความกระจ่างในคำถามทุกข้อแล้วผมก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา จริงๆ แล้วผมไม่ควรโวยวายหรือคิดว่าหมอนี่จะทำอะไรที่ไม่น่าไว้ใจกับผมเลยนะ เพราะคนอย่างเขาคงไม่มีทางมาสนใจผมหรอก แล้วอีกอย่าง หมอนี่ก็มีแฟนที่เป็น ‘ผู้หญิง’ อยู่แล้วด้วย 

ผมมองไปยังคนที่ก้มหน้าดีดกีตาร์เบาๆ ในทำนองที่ไม่คุ้นหู แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจร่างกายเปลือยเปล่าที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองอย่างผมยังต้องยอมรับ จริงๆ ผมคิดว่าหมอนี่จะผอมมากๆ ซะอีกนะ ดูจากรูปร่างภายนอกแล้ว ไม่คิดว่าจะมีซิกซ์แพ็คกับเขาด้วย แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่หมอนี่ช่วยแบกไอ้ซันที่เมาหมดสภาพได้สบายๆ แถมเมื่อคืนก็กระชากผมให้ลุกขึ้นได้ด้วยมือข้างเดียวอีก แรงเยอะขนาดนั้นจะมีกล้ามหรือซิกซ์แพ็คก็คงไม่แปลก
               
“ฉันเคยเห็นนายเล่นดนตรีที่บาร์” อยู่ๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เหลือบขึ้นมามองผม ที่กำลังมองสำรวจร่างกายของเขาอยู่ ทำให้ผมต้องรีบเบือนหน้าหนี พร้อมกับกระแอมเบาๆ เพื่อตั้งหลัก
               
“ละ...แล้วไง” หวังว่าหมอนั่นจะไม่ทันเห็นหรอกนะว่าผมจ้องเขาอยู่น่ะ
               
“ฉันเองก็เล่นกีตาร์ในวงดนตรีเหมือนกัน สนใจมาร่วมวงมั้ยล่ะ” คำถามของเขาทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่เราเจอกัน จำได้ว่าวันนั้นหมอนี่แบกกีตาร์มาด้วย ก็คิดอยู่หรอกนะว่าคงเป็นนักดนตรี
               
“ไม่ล่ะ ฉันชอบเล่นคนเดียวมากกว่า” ผมปฏิเสธ พลางลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปหาเสื้อใส่ และไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อยืดอีกตัวโยนไปให้คนหน้าไม่อายที่เอาแต่นั่งโชว์ร่างกายของตัวเองอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้องอย่างผมเลย
               
เหอะ! คงคิดว่าตัวเองหุ่นดีมากสินะ
               
ฝ่ามือหนาเอื้อมมือมารับเสื้อยืดสีขาวที่ผมโยนไปให้ได้ทันแม้ว่าผมจะไม่ได้บอกล่วงหน้าก็ตาม “ใส่ซะ ถือว่าฉันชดใช้ที่อ้วกใส่เสื้อนาย” ผมบอก ร่างกำยำจึงยักไหล่ ก่อนจะวางกีตาร์ลงและใส่เสื้อของผมอย่างช่วยไม่ได้
               
ผมเดินไปหยิบน้ำมาดื่มเพราะรู้สึกคอแห้งขึ้นมา หอพักผมเป็นหอพักถูกๆ จึงไม่ได้หรูหราอะไร เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างจึงรวมอยู่ในห้องเดียวกันอย่างที่เห็น ยังดีที่มีมุมครัวเล็กๆ ที่ผมเอาไว้ปรุงอาหารง่ายๆ กินเองได้ ผมเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าแก้วหนึ่งที่รินมาด้วยหลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าควรมีน้ำรับแขก (ถึงจะไม่ได้รับเชิญก็เถอะ) ผมวางน้ำไว้ใกล้ๆ นายมะเร็งปอดที่กำลังจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบอีกแล้ว
               
“ถามจริงๆ เถอะ สูบบุหรี่จัดขนาดนั้น แฟนนายไม่ว่าบ้างเลยหรือไง” ผมขมวดคิ้วถามอย่างจริงจัง หมอนี่สูบบุหรี่จัดจริงๆ นะ ต่อไปผมจะเรียกเขาว่านายมะเร็งปอด แทนชื่อเขาซะเลยดีมั้ย
               
แต่จะว่าไป...ตั้งแต่เจอกัน ผมเรียกชื่อหมอนี่ไปไม่กี่ครั้งเองนี่หว่า แม้แต่ในความคิดผมยังเรียกหมอนี่ว่าหมอนี่เลยด้วยซ้ำ นี่ผมแอบเสียมารยาทหรือเปล่าเนี่ย
               
“ถึงจะว่า ฉันก็ไม่แคร์หรอก” เขายักไหล่ พลางพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างไม่แยแส ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเพื่อระบายอากาศ
               
“นี่นายรักแฟนนายจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กๆ ทำไมเขาถึงดูไม่แคร์ใครในโลกเลยนะ ถ้าผมเป็นแฟนหมอนี่ ผมคงขอเลิกไปนานแล้ว ผู้หญิงคนนั้นมีความอดทนสูงจริงๆ ที่ทนคบกับคนที่มีดีแค่หน้าตาแบบนี้ได้
               
“ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหน”
               
“เกี่ยวสิ” ผมหันกลับมาทำหน้าจริงจัง “ถ้านายรักผู้หญิงคนนั้นจริง นายก็ต้องเป็นห่วงเธอสิ นายไม่รู้หรือไงว่าควันบุหรี่มันอันตรายแค่ไหน ถ้านายยังสูบตลอดเวลาขนาดนี้ อาจทำให้คนรอบข้างอย่างแฟนนาย เป็นมะเร็งตายได้ในอนาคตเลยนะ ถ้าไม่รักตัวเอง ก็หัดสนใจคนรอบข้างบ้างก็ดี” ผมร่ายยาวแฝงไปด้วยความประชดประชัน
               
จริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นห่วงแฟนหมอนี่อย่างที่พูดหรอก ผมแค่เป็นห่วงตัวเองต่างหาก ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ที่เจอกัน ผมเป็นอันต้องรับสารก่อมะเร็งมาด้วยทุกที โอเค ผมยอมรับนะว่าผมเองก็เคยสูบ แต่ช่วงนี้ผมห่างหายจากบุหรี่มานานมากแล้วล่ะ เวลาที่เพื่อนๆ หรือคนรอบข้างของผมสูบ ผมก็จะปลีกตัวออกมา หรือไม่พวกนั้นก็จะปลีกตัวออกไปสูบเงียบๆ ไม่รบกวนคนอื่น แต่ดูหมอนี่สิ ห้องผมแท้ๆ แต่ยังพ่นสารก่อมะเร็งออกมาอย่างไม่เกรงใจเลย
               
“นี่แอบด่าฉันหรือเปล่าเนี่ย”

ผมยักไหล่ “ก็ทำนองนั้น”

ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมคุยกับหมอนี่อย่างเป็นกันเองขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เราเจอกันได้ไม่กี่วัน และทั้งๆ ที่เขาเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี ผมกลับแทบไม่เรียกเขาว่าพี่ หรือพูดในทำนองให้ความเคารพเลย แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา แสดงว่าผมก็ใช้คำพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้ งั้นสินะ
               
“หึ โอเค ขอโทษครับ” พอรู้ตัวว่าถูกว่าซึ่งๆ หน้า คนหน้าตายก็แสยะยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยคำขอโทษที่ดูยังไงก็ไม่มีความจริงใจ พร้อมกับดับบุหรี่ที่ยังสูบได้ไม่ถึงครึ่งมวนลงกับที่เขี่ยบุหรี่ “พอใจยัง?”
               
ผมไม่ได้ตอบคำถาม แค่ยักไหล่กลับไป เขาแค่นหัวเราะร้ายกาจเหมือนเคย ก่อนจะหยิบน้ำที่ผมวางไว้ให้ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว แล้วก้มหน้าลงดีดกีตาร์ต่ออย่างสบายใจ
               
“นี่ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องหรือไง” ผมขมวดคิ้วถาม จริงๆ เขาควรจะกลับไปตั้งแต่ตื่นมาแล้วสิ มัวมานั่งเอ้อระเหยอะไรอยู่ที่หอคนอื่นเนี่ย
               
“ขี้เกียจ” คำตอบสั้นๆ ที่แสนน่าหมั่นไส้นั่นทำให้ผมจนคำพูดไปเลย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งเพราะอาการแฮงก์ที่ยังไม่หายดี ยังไงก็ขอนอนต่ออีกสักหน่อยละกัน
               
“เอาเหอะ จะทำอะไรก็ทำ ถ้าออกไปเมื่อไหร่ฝากล็อกประตูให้ด้วยล่ะ”
               
“อือ” ผมได้ยินเสียงตอบรับสั้นๆ ในขณะที่ตาของผมค่อยๆ หลับลง
               
“เชน” แต่ไม่รู้อะไรดลใจผมจึงเรียกชื่อเขาออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
               
“ฮะ?”
               
“เปล่า ก็แค่อยากลองเรียกชื่อดู” ผมตอบตามตรง ก็ตลอดเวลาผมไม่เคยเอ่ยชื่อหมอนี่ออกมาเลยนี่นะ ก็เลยอยากลองดูเท่านั้นแหละ แล้วมันก็น่าแปลกมากที่ผมไม่ได้รู้สึกกระดากปากเหมือนก่อนหน้านี้
               
“น่าขนลุก” ผมได้ยินเสียงบ่นอย่างไม่จริงจังของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเงียบไป และผมก็ได้ยินเสียงกีตาร์เป็นทำนองเบาๆ ขึ้นมาแทน
               
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมกำลังจะญาติดีกับหมอนี่นะ ที่เห็นวันนี้ผมไม่ได้โวยวายใส่เขาทุกวินาทีอย่างวันก่อนๆ นั่นเป็นเพราะผมยังอยู่ในอาการเมาค้างต่างหาก ก็เลยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับใครให้ปวดหัว ก็เท่านั้นแหละ
 
               
09.25 P.M.
พอผมตื่นมาอีกครั้งในตอนบ่ายผมก็ไม่เห็นเชนอยู่ในห้องแล้ว ทุกอย่างในห้องล้วนเป็นเหมือนเดิมราวกับว่าหมอนั่นไม่เคยอยู่ในห้องนี้มาก่อน และผมคงจะคิดว่าตัวเองแค่ฝันไปจริงๆ แล้วถ้าไม่เหลือบไปเห็นเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มแบบเดียวกับที่ผมเห็นเขาใส่เมื่อคืนตากอยู่ที่ระเบียง คิดดูสิแม้แต่แก้วน้ำที่ผมรินไปให้เขาดื่ม ก็ไม่ได้วางอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้ว แต่กลับวางอยู่ที่ชั้นอย่างเรียบร้อยเหมือนก่อนที่หมอนั่นจะมา ผมไม่อยากจะนึกหรอกนะว่าหมอนั่นจะเป็นคนเก็บ แต่มันก็ไม่มีข้อสันนิษฐานอื่นแล้วนี่นา
               
จริงๆ ก็แอบเป็นคนดีเหมือนกันนะ หมอนั่น
               
ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากห้องเพื่อไปตามนัดกับเพื่อนในคณะ ไม่ต้องแปลกใจหรอกทั้งๆ ที่ใกล้จะสอบแล้ว แต่พวกเราก็ยังคงเที่ยวไม่เว้นแต่ละวัน แทบไม่มีใครกังวลเรื่องอ่านหนังสือเลยด้วยซ้ำ จริงๆ ต้องบอกว่าช่วงสอบนี่แหละที่เป็นช่วงพักผ่อนของพวกเรา เพราะพวกเรามีสอบแค่ไม่กี่วิชาเท่านั้น แถมแต่ละวิชาก็มีเนื้อหาไม่มาก แต่เว้นช่วงการสอบตั้งสองสามวัน ทำให้ทุกคนต่างก็ชิลอย่างที่เห็น
               
เพื่อนผมนัดเอาไว้ตอนสามทุ่มซึ่งผมควรจะออกจากหอได้แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า ผมหากุญแจรถไม่เจอ รถโฟร์คสีน้ำเงินยังคงจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าหอ แต่ไม่ว่าผมจะควานหาจนทั่วห้อง ลิ้นชักทุกลิ้นชัก กระเป๋ากางเกงทุกตัว แต่กลับไม่เห็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนกุญแจรถของผมเลย
               
มันอยู่ไหนวะเนี่ย
               
ผมหยุดการค้นหาเป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนผมโทรเข้ามาพอดี ทันทีที่ผมกดรับเสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มลอดเข้ามาจนผมต้องนิ่วหน้า
               
“มึงอยู่ไหนวะไอ้ตรี ตกลงมึงจะมามั้ยเนี่ย” เสียงไอ้เวสป้าเพื่อนสนิทในคณะตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีเข้ามาในสาย ผมนั่งลงที่เตียงพร้อมกับถอนหายใจ
               
“กูหากุญแจรถไม่เจอว่ะ”
               
“อ้าว แล้วเอาไง ให้กูไปรับมะ” ไอ้เวสอาสา ผมเลยตอบตกลงไปอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นรอแป๊บ เดี๋ยวกูแว้นมอไซค์ไป”
               
ผมตัดสายจากไอ้เวสและนั่งรอพร้อมกับพยายามนึกไปด้วยว่าผมเอากุญแจรถตัวเองไปวางไว้ไหน ก็เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ขับกลับมาซะหน่อยนี่หว่า... เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ก็จริงที่ผมไม่ได้ขับรถกลับมา ถ้างั้นกุญแจรถผมก็อาจจะอยู่กับ...
               
อา เวรละกู
               
ผมตบหน้าผากตัวเองแรงๆ หนึ่งที เมื่อนึกขึ้นได้ พรุ่งนี้ผมต้องใช้รถซะด้วยสิ แล้วแบบนี้จะไปเอากุญแจรถคืนได้ยังไงกันหอหมอนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เบอร์โทรติดต่อก็ไม่มี...
               
หรือว่ามี?
               
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบและกดค้นหาเบอร์ที่ผมไม่เคยลบ แต่ก็ไม่ได้โทรออกมาพักใหญ่...เบอร์ของไอ้ซัน 

นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ผมไม่ได้ยินเสียงมันผ่านสายโทรศัพท์... มันจะแปลกมั้ยนะ ถ้าผมจะโทรหามัน...
               
ผมสะบัดหัวไล่ความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาให้หายไป ผมจะคิดมากทำไมกัน ในเมื่อนี่มันเบอร์เพื่อนผมนะ มันแปลกตรงไหนล่ะที่เพื่อนจะโทรหาเพื่อน แถมเป็นเรื่องด่วนด้วย มันไม่เป็นไรหรอกน่า
               
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจหลับตาแล้วกดโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นมา แต่ผมกลับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังกว่าเสียอีก ในใจคิดแล้วว่าถ้ามันไม่รับสายภายในห้าวินาทีผมจะกดวาง...
               
[ ไอ้ตรี! ] แต่ไม่ทันแล้วล่ะ
               
“อะ...ไอ้ซัน”
               
[ นานแค่ไหนแล้วเนี่ยที่มึงไม่ได้โทรหากู ] น้ำเสียงตื่นเต้นจากปลายสายทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร [ มีอะไรหรือเปล่าวะ ] โชคดีที่มันเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
               
“มึง...มีเบอร์พี่รหัสมึงหรือเปล่า” ผมถาม โดยเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อหมอนั่นออกมาตรงๆ ถ้าให้เรียกชื่อเฉยๆ ผมก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ถ้าให้นำหน้าด้วยคำว่าพี่นี่สิ มันรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล
               
ให้เรียกว่าพี่เชนเหรอ? แค่คิดก็แหวะแล้วอ่ะ
               
[ เบอร์พี่เชนอ่ะนะ มึงจะเอาไปทำอะไรวะ ] คำถามของไอ้ซันทำเอาผมนิ่งไปเลย จะให้ตอบว่ายังไงดีล่ะ ผมทำกุญแจรถหาย คิดว่าอยู่ที่หมอนั่นก็เลยว่าจะโทรไปทวงงั้นเหรอ แบบนั้นผมก็ต้องสาวไปถึงว่าทำไมกุญแจถึงไปอยู่ที่หมอนั่นอีกน่ะสิ ยุ่งยากตายชัก
               
“พอดีกูมีธุระนิดหน่อย ตกลงมึงมีเบอร์มั้ย” ผมถามซ้ำ
               
[ เออ แป๊บนะ ตัวเอง หาเบอร์พี่เชนให้เค้าหน่อยสิ ] มันบอก ก่อนจะหันไปถามใครอีกคน ซึ่งเดาจากการใช้สรรพนามผมก็รู้แล้วว่าใคร
               
“มึง...อยู่กับวีเหรอ” ปากของผมถามออกไปโดยที่สมองยังไม่ทันคิดจะห้ามด้วยซ้ำ
               
[ เออ พอดีกูมาติวหนังสือที่หอวี ] คำตอบนั้นทำให้ผมได้แต่เงียบ หัวใจที่เคยพองโตเมื่อได้ยินเสียงคนที่ผมแอบชอบกลับหดลงทันทีที่รู้ว่ามันอยู่กับแฟน
               
นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่นะ มันอยู่กับแฟนมันก็ถูกแล้วนี่
               
[ ได้ละ มึงจดนะ ] ผมเรียกสติตัวเองกลับมาและหยิบกระดาษกับปากกาที่อยู่ใกล้ตัวมาจดเบอร์ของเชนตามที่ไอ้ซันบอก
               
“เออ ขอบคุณนะ” ผมบอกหลังจากที่ได้เบอร์ที่ต้องการแล้ว “แล้วก็...ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาของมึงกับแฟน” น้ำเสียงของผมฟังดูประชดประชันซะจนตัวเองยังตกใจ แต่โชคดีที่ไอ้ซันดูเหมือนจะจับน้ำเสียงนั่นไม่ได้
               
[ โอ๊ย ไม่รบกวนเลยมึง ดีซะอีกที่มึงโทรมา กูจะได้พักบ้าง ยัยตัวเล็กนี่เอาแต่บังคับให้กูอ่านหนังสือจนหัวกูจะระเบิดตายอยู่แล้วเนี่ย โอ๊ย! ตีเค้าทำไมเนี่ย ] ยังไม่ทันพูดจบมันก็เปลี่ยนเป็นร้องโอดโอยขึ้นมา ถ้าผมเดาไม่ผิด มันคงโดนยัยตัวเล็กที่ว่าฟาดเอาล่ะมั้ง
               
การที่ได้ยินเสียงคนทั้งสองหยอกล้อกันดังเข้ามาในสายทำให้ผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะปาโทรศัพท์ในมือทั้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายดูออกว่าผมกำลังรู้สึกแย่แค่ไหน ผมจึงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะที่แสนจะฝืนใจกลับไปเท่านั้น
               
“งั้นกูวางก่อนนะ ขอบใจมึงมาก” ผมบังคับเสียงตัวเองให้พูดออกไปอย่างปกติ ก่อนจะกดตัดสายทันที
               
ถึงจะวางสายไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงกำโทรศัพท์ไว้แน่น ราวกับมันจะช่วยระบายความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นมาภายในใจให้หายไปได้...ผมไม่น่าโทรไปหามันเลย ให้ตายเถอะ
               
ครืดดด
               
แต่แล้วโทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดรับสายทันทีเมื่อพบว่าเป็นไอ้เวสป้า มันคงมาถึงแล้วล่ะมั้ง
               
“เออ กูกำลังลงไป” ผมพูดแค่นั้น ก่อนจะกดตัดสายและลุกออกจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษจดเบอร์โทรมาด้วย ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อครู่ ทำให้ความรู้สึกกระหายแอลกอฮอล์ของผมเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบเท่า ปกติผมไม่ใช่พวกขี้เหล้าต้องเมาเช้าเมาเย็นหรอกนะ แต่คราวนี้ขอหน่อยเหอะ ให้ผมได้ปลดปล่อยกับชีวิตรักบัดซบนี่สักที ก่อนจะความเจ็บปวดมันจะเล่นงานผมจนตายเข้าสักวัน! 
               

-- มีต่อค่ะ --

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 2 [ 26/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-03-2016 23:56:32
-- ต่อ --


ไอ้เวสป้าขับรถพาผมมาจนถึงร้านอาหารกึ่งผับที่มันบอกว่าเจ้าของเป็นคนรู้จักของมัน บรรยากาศคึกคักและเสียงดนตรีที่ดังออกมาถึงนอกร้านทำให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นตามไปด้วย
               
“มึงเข้าไปก่อนแล้วกัน กูขอทำธุระแป๊บ” ผมบอกไอ้เวส มันพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่ขัดอะไร ผมหยิบกระดาษจดเบอร์โทรที่หยิบติดมาด้วยออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดโทรออกตามเบอร์นั้น ช่วยไม่ได้นะ ผมอยากได้กุญแจรถคืนนี่นา ถึงจะยังไม่มั่นใจว่ามันจะอยู่ที่หมอนั่นจริงหรือเปล่าก็เถอะ แต่ถ้าอยู่จริงๆ ผมก็จะได้แวะไปเอาคืนเลยไง ไหนๆ ก็ออกมาข้างนอกแล้ว
               
[ สวัสดีครับ ] เสียงรอสายดังอยู่นานพอสมควรก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงเรียบนิ่งตอบกลับมา
               
พูดเพราะจังแฮะ นี่ถ้าไม่เคยเจอกันมาก่อนผมคงคิดว่าหมดนี่เป็นคนที่สุภาพมากๆ แน่ๆ
               
แต่การที่ได้ยินหมอนี่พูดเพราะ ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่ผมได้ยินเสียงเพลงลอดออกมาจากปลายสาย และที่สำคัญ มันเป็นเพลงเดียวกับที่ดังออกมาจากร้านที่ผมกำลังยืนอยู่นี่ด้วย
               
[ นั่นใคร ] น้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิด ทำให้ผมเลิกสนใจเสียงเพลง และกลับมาตอบคำถามอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะหงุดหงิดจนตัดสายไปซะก่อนที่จะได้คุยธุระ
               
“ฉันตรี” ผมบอกชื่อตัวเองไป ดูเหมือนหมอนั่นจะตกใจไม่น้อย เชนเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถามต่อ
               
[ เอาเบอร์ฉันมาจากไหน ] อยู่ๆ ผมก็จินตนาการออกว่าหมอนั่นต้องกำลังขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ
               
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ฉันแค่จะโทรมาถามว่ากุญแจรถของฉันอยู่ที่นายหรอกเปล่า”

[ กุญแจอะไร ]

“กุญแจรถที่เมื่อคืนนายขับไง ฉันหามันไม่เจอ มันอยู่ที่นายหรือเปล่า” ผมถามอย่างชัดเจนอีกรอบ พลางเดินเข้าไปในร้านเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะฟังยังไง เสียงเพลงที่ลอดเข้ามาในโทรศัพท์กับเสียงเพลงที่ร้านนี้เปิด มันก็เป็นเพลงเดียวกันจริงๆ นะ
               
ผมขมวดคิ้วอย่างรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ถึงระยะนี้ผมกับหมอนั่นจะบังเอิญเจอกันบ่อยๆ ก็เถอะ แต่มันก็ไม่น่าจะบังเอิญถึงขนาด...
               
“ไอ้เชน ใกล้แสดงแล้วนะมึง เสร็จหรือยังวะ”
               
บังเอิญถึงขนาดนี้... เลยเหรอวะ! นี่พระเจ้ากำลังเล่นตลกกับผมอยู่ใช่มั้ยเนี่ย
               
ผมกลับมาหลบอยู่ในมุมมืดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าร่างสูงที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์ด้วย ยืนห่างออกไปไม่ไกล หมอนั่นหันไปตอบอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเขา ก่อนจะหันกลับมาคุยกับผมต่อ
               
[ แป๊บนะ ] ร่างสูงพูดก่อนจะใช้ปากคาบบุหรี่ไว้ เพื่อจะใช้มือล้วงหาของในกระเป๋ากางเกงยีนซึ่งผมจำได้ว่าเป็นตัวเดียวกับเมื่อวาน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาผมหมด ไม่นานนิ้วเรียวนั่นก็เกี่ยวพวงกุญแจที่แสนจะคุ้นตาออกมาจากกระเป๋า
               
อยู่กับหมอนี่จริงๆ ซะด้วยสิ
               
[ อยู่ ] ปลายสายตอบกลับมาสั้นๆ ทั้งที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่
               
เออ ผมรู้แล้วล่ะ
               
[ โทษที สงสัยจะเผลอหยิบติดมือมา ] เชนยกกุญแจรถของผมขึ้นมาพิจารณา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนพยายามจะนึกว่ามันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อะไรทำนองนั้น
               
“ช่างเหอะ เดี๋ยวฉันไปเอา” ว่าจบผมก็กดตัดสายทันทีโดยไม่ถามสักคำว่าเขาอยู่ที่ไหน แหงล่ะ ก็หมอนั่นยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้าผมนี่ไง มีอะไรจะต้องถามล่ะ
               
ร่างสูงขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อผมตัดสาย เขาบ่นอะไรอุบอิบก่อนจะอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งอย่างไม่ยี่หระ ผมกำลังจะเดินออกจากมุมมืดเพื่อออกไปทวงกุญแจคืน แต่เพื่อนคนเดิมของหมอนั่นก็เดินออกมาเรียกอีกรอบ ทำให้ผมจำเป็นต้องหยุดฝีเท้าไว้ก่อน เชนพูดบางอย่างกับเพื่อนของเขา ก่อนจะอัดควันเข้าปอดเป็นรอบสุดท้าย แล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นและเดินตามเพื่อนเข้าไปในร้านทันที ผมที่ตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเลยได้แต่ยืนเก้ออยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนจะตัดใจแล้วเดินเข้าไปในร้านบ้าง
               
เอาเหอะ ยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าหมอนั่นอยู่ไหน รอให้เสร็จธุระก่อนแล้วค่อยไปทวงก็ได้
                 

ผมเดินเข้ามาในร้านและเจอกับเพื่อนคนอื่นที่กำลังโหวกเหวกโวยวายกันได้ที่ คณะผมเป็นคณะเล็กๆ ที่รับนักศึกษาปีละไม่กี่คน และแต่ละคนก็ผ่านการรับน้องมาอย่างหนักหน่วง ทำให้พวกเราสนิทกันมากกว่าพวกคณะอื่นที่มีคนเยอะๆ มาก เวลาไปไหนก็จะยกขบวนไปด้วยกันทีละสิบยี่สิบคน จึงช่วยไม่ได้ที่จะส่งเสียงเอะอะลั่นร้านอย่างที่เห็น แต่ก็ใช่ว่าผมจะสนิทกับคนหมดนี่หรอกนะ ผมมันพวกเข้ากับคนอื่นยากมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเพื่อนที่สนิทจริงๆ แค่คนสองคนเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็คุยได้ ช่วยเหลือกันได้ ตามประสาเพื่อนร่วมรุ่นทั่วๆ ไป
               
“อ้าวตรี มาแล้วเหรอ” ทองกวาวทักขึ้น ผมยิ้มตอบก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเธอ
               
พอเห็นว่าผมหาที่นั่งได้แล้ว ไอ้เวสก็จัดการผสมเหล้าให้ผมอย่างชำนาญทันที อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมตั้งใจมาเมา ไหนๆ ก็ไม่ต้องขับรถกลับเองแล้ว ก็ขอดื่มให้เต็มที่หน่อยแล้วกัน
               
“สวัสดีครับ พวกเรา The Quantum” คำแนะนำตัวสั้นๆ แต่ได้ใจความดังมาจากเวทีที่จัดไว้สำหรับวงดนตรีสดที่น่าจะเป็นวงประจำของร้าน ก่อนที่เสียงเฮจากลูกค้าทั้งร้านจะดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกีตาร์และเสียงกลองที่ดังขึ้นมาด้วยจังหวะอันหนักหน่วง เป็นทำนองเพลงร็อคที่ผมไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ ผมหันไปมองเวทีที่อยู่ด้านหลังด้วยความสนใจ
               
...!
               
แต่แล้วผมก็ต้องนิ่งไป เมื่อสายตาของผมเหลือบไปเห็นมือกีต้าร์ของวง ซึ่งมีใบหน้าคุ้นตาซะจนไม่น่าเชื่อว่าคนคนนั้นจะอยู่บนเวทีนั่นด้วย
               
“นั่นพี่เชนนี่ ใช่มั้ยตรี” เสียงยัยกวาวที่นั่งตรงข้ามผมถามขึ้นมา ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไป ในขณะที่สายตาไม่อาจะละจากร่างสูงที่กำลังเกากีตาร์อย่างพลิ้วไหวด้วยความชำนาญนั่นได้เลย
               
หมอนั่น...
               
               
Tell us all again What you think we should be
What the answers are What it is we can’t see
Tell us all again How to do what you say
How to fall in line, How there’s no other way
But ooooh, We all know
                 
               
เสียงร้องที่หนักแน่นและทรงเสน่ห์ของนักร้องนำซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เดินออกไปตามเชนก่อนหน้านี้ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เพราะผมเองก็ร้องเพลงตามบาร์เหมือนกัน แต่เสียงของผมเทียบกับเสียงของหมอนี่ไม่ได้เลย มันทั้งมีพลังและมีเสน่ห์ซะจนสาวๆ ที่นั่งอยู่รอบตัวผมต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดออกมาอย่างถูกใจ ยังไม่นับมือเบส และมือกลอง ที่ควบคุมจังหวะได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด แถมยังมีเสน่ห์บนเวทีซะจนผู้ชายอย่างผมยังอดที่จะรู้สึกชื่นชมไม่ได้ 
แต่ถึงยังไงคนที่ผมอิจฉามากกว่า ก็คือหมอนั่น...ผู้ชายที่ดูเหมือนจะมีเสน่ห์มากที่สุดบนเวทีทั้งๆ ที่สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนธรรมดาๆ แต่กลับมีออร่าประหลาดบางอย่างที่ทำให้ใครก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ ผมไม่รู้เลยว่าหมอนั่นจะมีฝีมือในการเล่นกีตาร์ได้เทพขนาดนี้ เทคนิคต่างๆ ที่เขาใช้มันเหนือชั้นกว่าผมมากนัก แล้วแบบนี้จะมาออกปากชวนผมเข้าวงอีกทำไมกัน แค่ชวนเล่นๆ งั้นเหรอ?
               
               
You’re GUILTY ALL THE SAME, Too sick to be ashamed
You want to point your finger, but there’s no one else to blame
You’re GUILTY ALL THE SAME Too sick to be ashamed
You want to point your finger, but there’s no one else to blame
You’re GUILTY ALL THE SAME!
 
ยิ่งเข้าสู่ท่อนฮุคของเพลง จังหวะดนตรีก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น ผสมกับความคึกคะนองด้วยฤทธิ์เหล้า ทำให้หลาย
คนออกสเต็ปโยกกันหัวหลุดอย่างไม่เกรงใจใคร เพื่อนผมบางส่วนก็เริ่มกระโดดกันแล้ว ในขณะที่ผมยังคงนั่งมองคนบางคนอย่างไม่วางตา และคนคนนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้ผมอีกครั้งในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
 
Yeah, you already know what it is!
Can y’all explain, what kind of man is destined
When a man has plans of being rich
If he falls off his plans, he’s wealthy
Dirty money scheme, a clean split
Nonsense the same, he didn’t call for this, he’s filthy
               
               
เมื่อถึงท่อนแร็พของเพลง คนที่เคยก้มหน้าก้มตาดีดกีตาร์ก็เงยหน้าขึ้นมาจับไมค์แทนนักร้องนำที่หันไปทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ชั่วคราว ริมฝีปากบางพ่นท่อนแร็พที่ยาวเหยียดของเพลงออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ น้ำเสียงทุ้มติดจะเจ้าอารมณ์ที่ผมเคยฟังว่ามันกวนประสาท ตอนนี้กลับกลายเป็นน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ
               
“...” ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอจ้องเจ้าของเสียงทุ้มนั่นไม่วางตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นปรายตามองมาทางผม ก่อนจะหยุดชะงัก เป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนของเขากลับมาร้องท่อนฮุคของเพลงพอดี เชนมองผมนิ่ง ทั้งๆ ที่มือก็ยังคงบรรเลงกีตาร์ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ผมกับหมอนั่นสบตากันอยู่อย่างนั้นอย่างไม่มีใครยอมใคร ราวกับว่าถ้าใครหลบตาก่อนก็จะเป็นฝ่ายแพ้หรืออะไรทำนองนั้น
               
แต่สุดท้ายเกมจ้องตาก็ลงเอยด้วยการที่ผมเป็นฝ่ายแพ้จนได้ เมื่ออยู่ๆ หมอนั่นก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจออกมา ทำให้ผมพลาดหลบสายตา โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหลบทำไม
               
ผมยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกย้อมใจเพราะความรู้สึกพ่ายแพ้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองหมอนั่นอีกรอบ แล้วก็พบว่าเขาเองก็มองมาทางนี้เช่นกัน ผมอยากจะเล่นเกมจ้องตาอีกครั้งนะ แต่หมอนั่นกลับเบือนหน้าหนีไปก่อนซะงั้น แต่ที่น่าโมโหกว่าก็คือ ผมว่าผมเห็นหมอนั่นหัวเราะออกมาด้วย หัวเราะแบบหัวเราะเลยล่ะ ถึงจะแวบเดียวก็เถอะ แต่ผมมั่นใจว่าผมตาไม่ฝาด
ทำไม หน้าผมมันมีอะไรตลกนักหรือไง ถึงได้ทำให้คนหน้าตายอย่างหมอนั่นถึงกับหลุดหัวเราะออกมาได้น่ะ?
               
ฮึ่ยย จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ท่าทางแบบนั้น มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ


----------------------------------------
*เพลง Guilty all the same : Linkin Park feat. Rakim

 :katai4:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 3 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 00:01:22
4
หากเคียงชิดใกล้

 
วง The Quantum เล่นอีกสามเพลง ก็ได้เวลาลงจากเวที ก่อนที่จะมีดีเจมาเปิดเพลงจากแผ่นคั่นเพื่อรอวงต่อไป ผมเห็นเชนและเพื่อนร่วมวงของเขา เดินไปคุยอะไรสักอย่างกับเจ้าของร้าน แล้วเดินไปนั่งดื่มที่โต๊ะซึ่งมีเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว ผมจึงขอปลีกตัวจากโต๊ะเดินไปหาเขา
               
“ฉันมาเอากุญแจ” ผมเข้าประเด็นทันทีที่มาถึง ฝ่ามือหนาที่กำลังเคาะบุหรี่ออกจากกล่องจึงหยุดชะงัก
               
“ใครวะ?” เพื่อนร่วมวงที่ผมจำได้ขึ้นใจว่าเป็นนักร้องนำถามขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว ผมจึงผงกหัวให้เขาเป็นการทักทาย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังเพื่อนร่วมวงอีกสามคนที่เหลือ ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมารวมตัวฟอร์มวงกันได้ ก็พวกเขาต่างก็มีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างไม่มีใครยอมใครเลย แถมแต่ละคน ยังให้บรรยากาศอึมครึมเหมือนกันอีก ผมเห็นวงดนตรีปกติ บุคลิกของสมาชิกแต่ละคนมักจะแตกต่างกันไป เข้าใจว่าอาจจะเป็นการเติมเต็มเสน่ห์ของวงให้สมบูรณ์หรืออะไรทำนองนั้น แต่ The Quantum กลับไม่เป็นอย่างนั้นแฮะ จากที่เห็น สมาชิกแต่ละคนในวงต่างก็ดูเป็นพวกนิ่งๆ ติดจะเย็นชาคล้ายๆ กับเชน แต่พวกเขากลับมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกัน ในความรู้สึกของผม ซึ่งแทนที่มันจะทำให้วงดูน่าเบื่อ มันกลับดูมีเสน่ห์และดูลึกลับอย่างน่าประหลาดซะงั้น
               
“เด็กกูเอง” คำตอบเรียบๆ แต่แสนจะกวนประสาท ถูกเอ่ยขึ้นมาจากผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างผม
               
“เด็กพ่องสิ” นายนักร้องนำคนเดิมโพล่งขึ้นมา ซึ่งมันตรงกับคำพูดที่ผมอยากพูดเป๊ะ
               
เออ เด็กพ่องสิ
               
“กูจะเอาไปฟ้องฟ้า” คราวนี้เป็นนายมือกลองที่ขู่ขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จนผมดูไม่ออกเลยว่าหมอนี่แค่ขู่เล่น หรือว่าจริงจังกันแน่
               
แต่ผมเห็นเชนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ งั้นคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
               
ใจจริงผมก็อยากทำความรู้จักคนพวกนี้ตามมารยาทหรอกนะ แต่ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น เพื่อนผมกำลังจะไปต่อกันที่อื่น และผมต้องการกุญแจรถคืนสักที ผมกำลังจะเอ่ยปากทวงกุญแจรถอีกรอบ แต่ร่างสูงที่อยู่ในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนสบายๆ แต่กลับดูดีอย่างน่าโมโหก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
               
“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบเขาก็เดินออกจากโต๊ะไปหน้าตาเฉย
               
“เฮ้! แล้วกุญแจรถฉันล่ะ” ผมทวง แต่หมอนั่นกลับหันมาตีหน้ามึนใส่ ก่อนจะกวักมือเรียก แล้วหันหลังเดินต่อไปอย่างไม่สนใจเลยว่าผมอยากจะตามไปหรือเปล่า
               
ให้ตาย จะกวนประสาทกันไปถึงไหนวะ
               
ถึงจะไม่สบอารมณ์สุดๆ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามร่างสูงที่สาวเท้ายาวๆ โดยไม่คิดจะรอคนที่เดินตามหลังมาอย่างผมเลย เชนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านมุมเดียวกับที่ผมยืนคุยโทรศัพท์กับเขาก่อนหน้านี้ซึ่งมีพุ่มของดอกเล็บมือนางขึ้นเป็นซุ้มอยู่เหนือหัว
               
“รู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่” เขาเอ่ยปากถามหลังจากหยุดเดิน ฝ่ามือหนาซุกลงกระเป๋ากางเกงและมองดอกเล็บมือนางสีแสดนิ่งๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
               
“ก็แค่บังเอิญ เพื่อนฉันก็นัดมาร้านนี้เหมือนกัน” ผมตอบตามตรง ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ มือเรียวดึงบุหรี่ออกมาคาบไว้ในปาก อีกมือก็ทำท่าจะจุดไฟแช็กลนปลายบุหรี่ แต่อยู่ๆ หมอนี่ก็หยุดชะงัก และมองมาทางผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
               
“อะไร” ผมถามอย่างระแวง ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วยเนี่ย
               
ผมยิ่งงงเข้าไปอีก เมื่อหมอนี่คีบบุหรี่ออกมาจากปากทั้งที่ยังไม่ได้จุด ก่อนจะเอ่ยกับผมเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์
               
"ขออนุญาตสูบ นะครับ”
               
“...” ผมถึงกับนิ่งไปเลย เพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ หมอนี่จะคิดมาขออนุญาตอะไรผม ทั้งๆ ที่ปกติอยากจะสูบที่ไหนก็สูบ ไม่แยแสใครหน้าไหนแท้ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร นิ้วเรียวก็คีบบุหรี่กลับไปคาบไว้พร้อมกับจุดไฟหน้าตาเฉย
               
ถ้ายังไงก็จะสูบ แล้วจะมาขออนุญาตผมทำไมวะ
               
ผมสบถพึมพำอย่างหงุดหงิดกับการกระทำอันกวนส้นของเขา ก่อนจะแบมือออก ทวงของของผมคืนอีกรอบ ร่างสูงปรายตามองมือผมก่อนจะควักพวงกุญแจออกจากกระเป๋าและยื่นคืนให้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร
               
ก็แค่นี้แหละ ทำลีลาอยู่ได้
               
ผมเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเงยหน้ามองร่างสูงที่ตอนนี้เอนตัวพิงกับเสาที่มีเถาต้นเล็บมือนางเลื้อยอยู่เต็มไปหมด พร้อมกับพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจ โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะทำให้เสื้อเปื้อน หรือดีไม่ดี อาจจะมีตัวอะไรโผล่มากัดเอาก็ได้ ท่าทางสบายใจของคนตรงหน้าทำให้ผมเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
               
บุหรี่นี่มันช่วยให้ผ่อนคลายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
               
จริงอยู่ว่าผมเองก็เคยสูบ และมันทำให้รู้สึกดีขึ้นเวลาเจอเรื่องแย่ๆ หรือเวลาเครียด แต่ดูหมอนี่สิ เครียดก็ไม่ได้เครียด ชีวิตก็ดูไปได้ดี แต่กลับสูบเอาๆ ราวกับมันเป็นออกซิเจนที่ขาดไม่ได้งั้นแหละ
               
“มองอะไร” คนถูกนินทา (อยู่ในใจ) ขมวดคิ้วถาม
               
“เปล่า” ผมปฏิเสธ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้แม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ “ขอมวนดิ”
               
ผมไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะเอ่ยปากขอ ผมก็แค่พูดออกไปตามความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในหัวเพียงชั่วครู่เท่านั้น ร่างสูงขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่เขาก็ยอมยื่นบุหรี่อีกมวน พร้อมไฟแช็คมาให้ ผมจุดบุหรี่สูบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ถูกความสว่างของแสงไฟกลบแสงดาวจนแทบมองไม่เห็น นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้สูบบุหรี่ ตั้งแต่ตอนมอห้าเทอมสองที่ไอ้ซันห้ามผมสูบบุหรี่ เพราะว่าแฟนคนสวยของมันไม่ชอบล่ะมั้ง... หึ คิดแล้วก็ตลกดีนะ บอกผมไม่ให้สูบ แต่ลับหลังแฟนตัวเองมันก็สูบเหมือนกันนั่นแหละ มีแต่ผมที่เชื่อคำพูดของมันเป็นตุเป็นตะทั้งๆ ที่มันไม่ได้จริงจังอะไรเลย
น่าสมเพชจริงๆ
               
“มีเรื่องกลุ้มเหรอ” หลังจากปล่อยให้สมองจมอยู่กับความทรงจำในอดีตอยู่พักใหญ่ เสียงทุ้มก็ปลุกผมกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
               
“รู้ได้ไง” ผมถามกลับพลางพ่นควันสีขาวออกมา
               
“คราวก่อนฉันชวน ไม่เห็นจะอยาก” ผมนึกถึงตอนที่ยืนรอลิฟต์ แล้วอยู่ๆ หมอนี่ก็มาชวนผมสูบบุหรี่หน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ผมหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยักไหล่ตอบ
               
“ก็ทำนองนั้น” ผมเปลี่ยนคีบบุหรี่ไว้ที่มือ และพ่นควันออกมาอีกรอบพลางเอนหลังพิงเสาอีกฝั่ง
               
“เรื่องไอ้ซันเหรอ”
               
“...” ผมชะงัก ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ แต่ไม่ต้องรอให้ผมได้ถาม หมอนี่ก็ตอบคำถามที่อยู่ในใจผมออกมาอย่างรู้ทัน
               
“คิดว่าดูไม่ออกหรือไง ว่าชอบมัน”
               
“...” ผมมองหน้าเขานิ่งๆ และไม่ได้ตอบอะไร จริงๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรต่างหาก ในเมื่อสิ่งที่หมอนี่พูดออกมามันคือเรื่องจริง
               
จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยพูดอะไรทำนองนี้ออกมาด้วยนี่นะ นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ขนาดคนที่ดูจะไม่แคร์ใครอย่างหมอนี่ยังมองออกเลย แล้วผมจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองกับไอ้ซันได้อีกนานแค่ไหนกัน
               
“ชอบมันมานานหรือยัง” พอเห็นว่าผมเงียบ เขาก็ถามคำถามใหม่ขึ้นมา
               
อยู่ๆ ทำไมวันนี้พูดมากกว่าทุกวันวะ ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย -_-^
               
“ตั้งแต่มอสี่” แต่ผมก็ตอบ พลางนึกย้อนเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้ซัน... สองปีนี่มันผ่านไปไวจริงๆ
               
สายลมเบาๆ พัดเอาความเย็นสบายผ่านเข้ามาในร้าน ผมเงยหน้ามองดอกเล็บมือนางดอกเล็กที่ปลิวหล่นลงมาเพราะสายลมด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาพักใหญ่ แต่แล้วความสบายใจของผมก็เป็นอันยุติลง เมื่อน้ำเสียงเรียบนิ่งพูดประโยคที่โคตรจะน่าประหลาดใจขึ้นมา
               
“ฉันเองก็เคยคบกับผู้ชาย”
               
แค่ก! แค่ก!
               
ผมถึงกับสำลักควันบุหรี่ทั้งๆ ที่ไม่เคยสำลัก ก่อนจะเบิกตาโพลงมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
               
“เป็นไบเรอะ!?” ทั้งที่ทำผมตกใจแทบตาย แต่ร่างสูงกลับยังคงพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจ พลางยักไหล่
               
“ก็แค่ลองดู”
               
ลองดู? ลองคบกับผู้ชายเนี่ยนะ? คิดอะไรของมันอยู่เนี่ย
               
“แล้วมันเป็นไง” ผมถามด้วยความอยากรู้ ถึงผมจะแอบชอบไอ้ซันซึ่งเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยคบกับมันสักหน่อย ดังนั้นนี่จึงนับเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมทีเดียว
               
“ก็ไม่ไง” ว่าพลางอัดควันเข้าปอดอีกรอบอย่างไม่นี่หระ ผมไม่น่าคาดหวังคำตอบที่ดีกว่านี้เลยนะ คนอย่างหมอนี่มันเคยแยแสอะไรในโลกที่ไหนล่ะ
               
“แสดงว่าไม่ชอบน่ะสิ ถึงได้กลับมาคบผู้หญิงเหมือนเดิม” ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ ยังไงก็หล่อเลือกได้นี่นะ
               
“ไม่รู้สิ อาจจะไม่ชอบ... แต่ถ้าให้ลองอีก ก็ได้นะ” อยู่ๆ ดวงตาเรียวคมก็เหล่มองผมพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมเบ้ปากใส่ ก่อนจะเบือนหน้าหนี
               
ตลกตายล่ะ!   
               
“แล้วนายล่ะ ไม่เคยชอบผู้หญิงบ้างเลยหรือไง” เขาถามต่อ
               
วันนี้หมอนี่พูดมากกว่าปกติจริงๆ นะ สอดรู้สอดเห็นมากด้วย ตัวปลอมหรือเปล่าเนี่ย
               
“เคยสิ” ผมตอบพลางทิ้งบุหรี่ลงกับพื้น เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้ว “แต่นานมากแล้วล่ะ”
               
“เมื่อไหร่” ถามทั้งๆ ที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่
               
“ไม่รู้สิ สมัยประถมมั้ง” ผมพยายามนึก แต่มันเป็นนานมากจริงๆ จนผมจำรายละเอียดอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จำได้แค่ว่านั่นเป็นรักครั้งแรกของผม แถมยังเป็นการแอบรักด้วย และผมก็ไม่ได้สารภาพอะไรกับเด็กคนนั้นเลยจนกระทั่งเรียนจบและแยกย้ายกันไป
               
ความจริงผมน่าจะทำแบบสมัยประถมบ้างนะ เก็บความรู้สึกเอาไว้ ไม่ต้องพูดออกไป... บางทีมันอาจจะเจ็บน้อยกว่านี้ก็ได้ เพราะสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป มันก็คงจะค่อยๆ จางหายไปเองนั่นแหละ ผมคงไม่คิดจะแอบรักใครไปตลอดชีวิตหรอก
               
“ก็เป็นไบเหมือนกันนั่นแหละ”
               
“ไม่ใช่!” ผมเถียง แม้จริงๆ จะเถียงได้ไม่เต็มปากก็ถาม เพราะจริงๆ แล้วผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร
               
แต่ไม่รู้สิ ผมไม่ชอบให้ใครมากำหนดว่าผมเป็นอะไร... 
ผมก็แค่รัก...คนที่ผมรัก... ก็เท่านั้น
               
“แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยชอบใครอีกเลยเหรอ นอกจากไอ้ซัน” เชนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ทำไมเขาถึงถามซักไซ้นักนะ กำลังทำวิจัยเรื่องการแอบรักแสนรันทดอยู่หรือไง
               
ถึงผมจะไม่ได้ตอบ แต่เหมือนหมอนี่จะเข้าใจว่าคำตอบคือใช่ เขาเงยหน้าขึ้นมองพุ่มดอกเล็บมือนางที่อยู่เหนือหัวเราอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเหมือนกำลังคิดอะไรยากๆ อยู่
               
“ทำยังไงถึงจะรักใครสักคนได้นานขนาดนั้น” เขาพึมพำเบาๆ เหมือนกับจะถามตัวเองมากกว่า แต่คำถามนั่นกลับทำให้ผมเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง
               
“นายกับฟ้าก็ดูรักกันดีนี่” พอได้ยินผมพูดแบบนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยก็มองกลับมาที่ผม ก่อนจะเลิกคิ้ว
               
“งั้นเหรอ”
               
หมายความว่าไงวะ?
               
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้จริงจังงั้นเหรอ” ผมถาม รู้สึกว่าคิ้วตัวเองขมวดยิ่งกว่าเก่า
               
“ไม่รู้สิ”
               
อะไรคือไม่รู้วะ แสดงว่าไอ้หมอนี่มันไม่ได้จริงจังกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ด้วยสินะ สันดานแย่ชะมัด
               
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นมาได้ยินเข้าคงเสียใจน่าดู” ผมมองคนตรงหน้าอย่างตำหนิ เชนมองผมกลับนิ่งๆ สีหน้าเหมือนกำลังตั้งคำถาม ผมเลยพูดต่อ “ฉันว่าเธอคงรักนายน่าดู รักเธอให้ได้อย่างที่เธอรักสิ”

“...”

“ลองจริงใจกับใครสักคนดูสักครั้ง บางทีนายอาจจะเข้าใจขึ้นมาบ้างก็ได้ ว่าการที่ได้รักใครสักคนนานๆ มันเป็นยังไง”
               
ผมร่ายยาว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไปจำคำพูดเลี่ยนๆ นี่มาจากไหน แต่จะว่าไปมันเลี่ยนตั้งแต่ที่ผมกับหมอนี่มาจับเข่าคุยเรื่องความรักกันแล้วล่ะ อะไรดลใจเนี่ย นึกแล้วก็น่าขนลุกเป็นบ้า
               
“จริงใจเหรอ” ร่างสูงพึมพำเบาๆ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “หึ จะลองดูละกันนะ น้องชาย”
               
ไม่ว่าเปล่า ฝ่ามือหนายังถือวิสาสะตบหัวผมเบาๆ อย่างกวนประสาทอีกต่างหาก แต่พอผมทำท่าจะโวยวาย ร่างสูงก็ยืดตัวขึ้น ทิ้งก้นบุหรี่ลงที่พื้นพลางใช้เท้าบี้ลวกๆ ก่อนจะเดินหนีกลับเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมได้แต่มองตามด้วยใบหน้าร้อนวูบ
               
จะมีสักครั้งมั้ย ที่หมอนี่จะจบการสนทนาโดยไม่ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาน่ะ -*-
 
               
พอผมเดินกลับไปที่โต๊ะ พวกเพื่อนๆ ก็ทำท่าจะกลับกันแล้ว เพราะมีหลายคนที่เริ่มเมาจนคุยไม่รู้เรื่อง เลยเกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย ผมเองก็ต้องช่วยแบกเพื่อนที่เมาแล้วขึ้นรถไปส่งที่หอพวกมัน สุดท้ายแล้วก็เลยไม่ได้เมาอย่างที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปก็ทำให้ผมหลับเป็นตายทันทีที่ถึงหอ
               
วันนี้เป็นวันสอบวันแรก ซึ่งเป็นวิชาภาษาอังกฤษ บอกตามตรง ผมเพิ่งตื่นมาอ่านเมื่อเช้านี้เอง โชคดีจริงๆ ที่ได้สอบตอนเที่ยง แต่ถึงยังไง ผมก็ตอบคำถามในข้อสอบไปด้วยความรู้เก่า และสัญชาตญาณล้วนๆ เนื้อหาที่เรียนมาตลอดเทอมนี่แทบไม่มีอยู่ในหัวผมเลย
               
“คืนนี้ไปไหนดีวะ” เวสป้าเดินเข้ามากอดคอถามผมทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบ
               
“เพิ่งสอบวันแรกเองนะมึง ไม่คิดจะพักบ้างเรอะ” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่มัน ถึงคณะเราจะเลื่องลือในเรื่องขี้เหล้าก็เถอะ แต่จะให้เข้าร้านเหล้าทุกวันไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์เลยมันก็ไม่ไหวนะ ตับคนไม่ได้หล่อขึ้นมาจากเหล็กซะหน่อย
               
“โหมึง อีกตั้งสองวันกว่าจะสอบอีกวิชา กลัวอะไรวะ” มันยังคงตื๊อ ผมถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า
               
“ไม่ดีกว่าว่ะ วันนี้กูว่าจะกลับไปนอน โคตรเพลียเลย” ผมดึงมือไอ้เวสออกจากคอ ก่อนจะปลีกตัวเดินออกมา วันนี้ผมมาสอบค่อนข้างสาย ที่จอดรถแถวๆ นี้จึงเต็มหมด ต้องไปจอดที่ตึกข้างๆ ซึ่งอยู่ไกลพอสมควร เรียกได้ว่าต้องเดินกันขาลากเลยทีเดียว แต่พอมาถึงรถโฟล์คสีน้ำเงินของตัวเอง ผมก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อมีมอเตอร์ไซค์คนใหญ่ของไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาจอดขวางทางออกไว้
               
เวรเอ๊ย แล้วแบบนี้ผมจะออกรถยังไงเนี่ย -*-
               
ผมเดินเข้าไปพยายามจะเข็นรถสปอร์ตไบค์สีดำสนิทเพื่อให้พ้นทาง แต่มันก็ลำบากน่าดูเพราะเจ้าของดันล็อคคอรถเอาไว้ แต่จะว่าไป ไอ้มอเตอร์ไซค์นี่มันคุ้นๆ แฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน...
               
“เชน ฟ้าบอกแล้วไงว่าอย่าจอดรถแบบนี้ เห็นมั้ยคนอื่นเค้าเดือดร้อน”
               
อา ผมรู้แล้วล่ะว่าเคยเห็นรถคันนี้ที่ไหน
               
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะว่าปลงก็ปลง จะว่าเซ็งก็เซ็ง... ทำไมไม่ว่าจะไปไหนผมจะต้องเจอหมอนี่ตลอดเลยวะ
               
“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงเรียบนิ่งตอบเสียงหวานอย่างไม่ยี่หระ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ จึงหันไปเผชิญหน้ากับใบหน้าหล่อเหลาในเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้ม ที่กำลังใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมมองกลับมาด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์อะไรเช่นเคย
               
“ไง”
               
ร่างสูงเป็นฝ่ายทักก่อน ผมทำหน้าเซ็งอย่างไม่ปิดบัง บ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิดที่เจอเขา (อีกแล้ว)
               
“อ้าว นาย” เจ้าของเสียงหวานในชุดช็อปสีเดียวกันเดินมาอยู่ข้างๆ เชน ก่อนจะมองหน้าผมเหมือนกำลังนึกว่าเคยเจอผมที่ไหน ผมเลยช่วยเฉลยก่อนที่เจ้าตัวจะนึกออก
               
“สวัสดีครับ ผมชื่อตรี เป็นเพื่อนไอ้ซัน” พอได้ยินแบบนั้น ร่างบางก็ร้องอ๋อเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าและยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปทำสายตาตำหนิร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกรอบ
               
“ดีนะที่เป็นคนรู้จัก ไม่งั้นรถเชนโดนเจาะยางไปแล้ว”
               
เหอะ ถึงจะรู้จักก็ใช่ว่าผมจะไม่ทำนี่ ก็อยากทำเหมือนกันแหละ ถ้าไม่โผล่หัวออกมาซะก่อน
               
“ขอโทษด้วยนะที่หมอนี่จอดรถเสียมารยาท เขาก็แบบนี้แหละ ไม่คิดจะแคร์ใครหรอก” ประโยคหลังฟ้าทำท่ากระซิบกับผมเหมือนจะนินทา แต่ผมก็เชื่อว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอก็คงจะได้ยิน หมอนั่นขมวดคิ้วไม่พอใจนิดหน่อย ก่อนจะยื่นมือมาขยี้ผมดัดลอนอ่อนๆ ของคนเป็นแฟนเบาๆ จนคนตัวเล็กกว่าร้องเสียงแหลม แล้วหันไปตีร่างสูงกลับ ถึงจะยังคงตีหน้านิ่ง แต่แววตาที่หมอนี่มองไปยังร่างเล็กที่แสนจะน่าเอ็นดูของฟ้ามันก็แฝงไปด้วยความเอ็นดู จนผมอดที่จะแอบรู้สึกทึ่งไม่ได้
               
เวลาอยู่กับแฟนก็ทำตัวน่ารักเป็นนี่หว่า
               
“อ๊ะ ตรีรีบไปทำธุระหรือเปล่า เชนพวกเรารีบไปกันเถอะ เขาจะได้เอารถออกได้” ฟ้าพูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ร่างสูงจึงมองมาที่ผม ก่อนจะเดินไปที่รถสปอร์ตไบค์สีดำสนิทอย่างไม่ขัดอะไร แต่ตอนที่กำลังเดินผ่านไป หมอนี่กลับหยุดข้างๆ ผม พร้อมกับก้มลงมากระซิบเสียงเบา
               
“ฉันกำลังพยายามอยู่นะ...”
               
“...?”
               
“ที่นายบอกให้ฉันจริงใจกับใครสักคน” ว่าจบร่างสูงก็ยืดตัวขึ้นและเดินไปที่สปอร์ตไบค์ของตัวเอง ในขณะที่ผม หัวเราะออกมาเบาๆ
               
จะทำอะไรก็ทำไปสิ จะมาบอกผมทำไมกัน แปลกคนจริงๆ เลยหมอนี่
               
ผมมองร่างสูงที่ตวัดขายาวๆ คร่อมรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะสวมหมวกกันน็อคสีดำตาม ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นใครขับสปอร์ตไบค์หรอกนะ แต่ก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าบอดี้สุดเพอร์เฟคต์ของหมอนี่ เหมาะกับรถเท่ๆ คันนี้จริงๆ ผมมองจนกระทั่งแฟนของเชนขึ้นไปซ้อนพร้อมกับกอดเอวหมอนั่นไว้ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
               
“ไปก่อนนะ ขอโทษจริงๆ เรื่องที่จอดรถ คราวหลังจะไม่ยอมให้หมอนี่ทำนิสัยแย่ๆ อย่างนี้อีกแล้วล่ะ รับรองเลย” สีหน้าจริงจังเกินไปของฟ้าทำให้ผมหลุดยิ้มออกมานิดๆ ผู้หญิงคนนี้นี่น่ารักจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาลงเอยกับจอมเย็นชาอย่างหมอนี่ได้ อย่างกับจับนางฟ้ามาคู่กับซาตาน หรืออะไรทำนองนั้นเลยแฮะ
               
ผมยืนส่งพวกเขาจนกระทั่งมอเตอร์ไซค์สีดำสนิทคันนั้นลับตาไปด้วยความเร็ว ก่อนจะเดินกลับมาที่รถของตัวเองพลางบิดขี้เกียจ อา เพลียจัง อยากกลับไปนอนจะแย่แล้ว
               
แต่ในขณะที่ผมเสียบกุญแจ พร้อมที่จะสตาร์ทรถ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นของโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก
               
ไอ้ซัน...
               
มันโทรมาหาผมทำไมกัน
               
ผมได้แต่มองสายเรียกเข้าอย่างชั่งใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรับหรือไม่รับดี จนกระทั่งสายถูกตัดไป ผมคิดว่าผมจะโล่งอกที่ไม่ต้องรับสายมัน แต่ความจริงแล้วผมกลับจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น เพื่อจะดูว่ามันจะโทรมาอีกรอบหรือเปล่า
               
ครืดดด
               
และพอโทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับโชว์เบอร์โทรเบอร์เดิมที่คุ้นตา ผมก็กดรับสายทันทีอย่างไม่รีรอเหมือนก่อนหน้านี้ ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ โดยไม่สนใจเลยว่าการรับสายมันครั้งนี้...อาจทำให้ผมต้องกลับสู่วัฏจักรเดิมๆ ที่มีแต่ความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
               
“ฮัลโหล”
               
[ ไอ้ตรี ] ปลายสายเรียกชื่อออกมาด้วยน้ำแสงที่อ่อนแรงจนผมสัมผัสได้  [ คืนนี้มึงว่างหรือเปล่าวะ... ]
               
“...”
               
[ ออกมาหากูหน่อยได้มั้ย? ]
               
...





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 5 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 00:05:40
5
เชื่อมสัมพันธ์
 
               
ทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธเพื่อนในคณะว่าจะไม่ไปกินเหล้ากับพวกมันแท้ๆ แต่ใครจะไปคิด ว่าสุดท้ายแล้วผมก็ต้องมานั่งจมจ่อมอยู่ในร้านที่มีแต่เสียงเพลงละกลิ่นแอลกอฮอล์นี่อยู่ดี
               
“อยู่ๆ ก็มาบอกกูว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา จะให้กูเตรียมใจทันได้ยังไงวะ” ใบหน้าที่เคยร่าเริงและแววตาที่แฝงความทะเล้นของคนตรงหน้า ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ที่ขอบตาล่าง ในขณะที่ปากก็พร่ำพูดถึงผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่หยุดตั้งแต่ที่เราสองคนนั่งลงที่ร้าน ไอ้ซันยกแก้วเหล้าแก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้กระดกรวดเดียวหมด ก่อนจะเติมแอลกอฮอล์ลงไปใหม่ โดยไม่รอให้แก้วว่างเลยสักวินาที
               
ผมกระดกแก้วของตัวเองตาม และไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายความในใจที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์เหล้า
               
“แล้วพอกูขอไม่ให้ไป ก็หาว่ากูไม่เข้าใจ ขู่ว่าจะเลิกกับกู กูผิดเหรอวะ ถามจริง”
               
“...”
               
“กูรักเค้าจริงๆ ว่ะตรี กูรักเค้ามาก กูไม่อยากให้เค้าจากกูไปไหน มึงเข้าใจกูมั้ย” ดวงตาแดงก่ำมองหน้าผม พร้อมน้ำใสๆ ที่เริ่มไหลลงมา แต่ฝ่ามือหนาก็ปาดออกลวกๆ ก่อนจะหันกลับไปกระดกเหล้าต่อ
               
ผมอยากจะห้ามมันนะ เพราะท่าทางมันดูเหมือนจะเมามากแล้ว และก็เพ้อมากด้วย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ยอมห้ามมัน ผมยังคงนั่งฟังในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมง
               
หึ นี่ผมเป็นพวกมาโซคิสต์ ชอบความเจ็บปวดสินะ
               
“กูควรทำยังไงดีวะ กูไม่อยากให้เค้าไปจริงๆ ถ้าเราห่างกันแล้วเค้าเกิดไปมีคนอื่น กูจะต้องบ้าตายแน่ๆ”
               
“...”
               
“กูไม่ยอมเลิกหรอก ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่ยอมเลิกเด็ดขาด” ว่าพลางกระดกเหล้าแก้วใหม่แบบรวดเดียวจบ ผมมองคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน ผมไม่สามารถให้คำปรึกษาอะไรได้เลย ในเมื่อหัวใจของผมมันก็เจ็บปวดเจียนจะตายอยู่แล้ว...
               
ผมได้แต่นั่งเงียบและปล่อยให้ไอ้ซันพร่ำเพ้อว่ารักวีอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมันนิ่งเงียบไป ตอนนั้นแหละที่ผมรู้ว่าพวกเราควรจะกลับได้แล้ว ผมลากมันออกมาจากร้านเหล้าด้วยความยากลำบาก ยังโชคดีที่มันยังพอพยุงตัวเองให้ลากขาเดินได้บ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงแบกมันทั้งตัวไม่ไหวแน่
               
ผมกึ่งลากกึ่งพยุงไอ้ซันมาจนถึงอพาร์ตเม้นต์สุดหรูของมันได้สำเร็จ ในขณะที่มันยังคงพร่ำเรียกชื่อผู้หญิงที่มันรักอยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าการที่มันคิดถึงคนอื่นอยู่ตลอดเวลาจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน
               
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่มองใบหน้าของร่างสูงที่ตอนนี้หลับคาโซฟาไปเรียบร้อยแล้ว...
ทำไมผมต้องรักมันด้วยนะ... ทำไมถึงไม่เป็นคนอื่น... ใครก็ได้ที่ผมจะสามารถรักเขาได้สุดหัวใจโดยที่ไม่ต้องมานั่งเจ็บอยู่ทุกวี่วันอย่างนี้ 
               
“วี...” เสียงทุ้มเพ้อเรียกชื่อแฟนมันอีกครั้ง แต่คราวนี้มือมันเอื้อมมือมาคว้ามือผมไปบีบไว้แน่น “อย่าทิ้งเราไป... เรารักวีนะ... รักวีจริงๆ...”
               
ฝ่ามือร้อนจัดกุมมือผมไว้แน่น ก่อนจะเลื่อนไปไว้ที่แก้มของมันอย่างรักใคร่ ผมมองหน้าไอ้ซันอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่แหลกสลายอย่างไม่เหลือชิ้นดี ผมยกมือขึ้นกุมขมับ พยายามกลืนก้อนอะไรสักอย่างที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ เพื่อตั้งสติอีกครั้ง
               
คนที่มันอยากจะกุมมือไว้คือวี ไม่ใช่ผม... นั่นแหละคือความจริง
               
ผมติดสินใจดึงมือของตัวเองออกมา ก่อนจะถอยออกมาตั้งหลักในห้องน้ำ ผมวักน้ำล้างหน้าตัวเองหลายๆ ทีเพื่อเรียกสติ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกกำลังสั่นระริกด้วยความหวั่นไหว ยิ่งตอกย้ำให้ผมได้รู้ว่าผมมันน่าสมเพชมากแค่ไหน 
               
ผมถอนหายใจกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะจัดการเตรียมน้ำและผ้าขนหนูพื้นเล็กไปเช็ดตัวให้ไอ้ซันอย่างที่เคยทำ ร่างสูงงอแงอย่างรำคาญนิดหน่อยเมื่อผมแตะผ้าขนหนูชุบน้ำลงบนร่างกายร้อนผ่าวของมัน ผมเช็ดแขนและคอที่โผล่พ้นเสื้อยืดสีดำออกมาพอเป็นพิธี ก่อนจะเลือนขึ้นไปเช็ดใบหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไปแล้ว ผมเช็ดหน้าให้มันอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่าร่างสูงจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่ไม่รู้เพราะฤทธิ์เหล้าที่ผมกินเข้าไป หรือเพราะอะไรก็ตาม อยู่ๆ สายตาของผม ก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางของคนตรงหน้า...
               
“...”
               
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกที ลมหายใจร้อนผ่าวที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ก็เป่ารดลงมาบนปลายจมูกของผมแล้ว ผมเหลือบตาขึ้นมองดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังปิดสนิทของไอ้ซัน ก่อนที่จิตใต้สำนึกด้านชั่วจะบอกผมว่า...นี่คือโอกาส...
               
ผมเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวราวกับกำลังจะระเบิด ร่างกายของผมร้อนผ่าวไปหมด ผมหลับตาลงเพราะอยากซึมซับความรู้สึกที่กำลังจะได้รับให้มากที่สุด...
               
แต่แล้วในขณะที่ริมฝีปากของผมกำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากบางภายในเสี้ยววินาที จิตใต้สำนึกในส่วนดีก็กระชากสติของผมให้กลับมา ผมผละใบหน้าตัวเองออกมาจากใบหน้าของไอ้ซัน ผมมองใบหน้าที่ยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราวของเพื่อนรัก ก่อนจะผุดลุกขึ้น พร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ
               
ผมทำไม่ได้หรอก ผมจะจูบมันทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่เคยรักผมเลยสักนิดได้ยังไง
               
“บัดซบเอ๊ย!” ผมสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะปล่อยให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์สั่งให้ผมทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีก
               
ผมยืนอยู่หน้าห้องไอ้ซัน หอบหายใจแรงราวกับว่าเพิ่งผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงมา ผมมองมือของตัวเองข้างที่มันดึงไปกุมไว้แน่นเมื่อครู่ ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะแล่นจากฝ่ามือนั้นไปยังหัวใจที่กำลังบอบช้ำอย่างรวดเร็ว ผมยกมือขึ้นมากุมขมับพร้อมกับถอนหายใจ
               
ให้ตาย ตอนนี้ผมอยากได้บุหรี่สักมวนจริงๆ
               
ความรู้สึกนั้นเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองประตูฝั่งตรงข้าม เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีคลังบุหรี่อยู่ในนั้น... หมอนั่นจะกลับมาหรือยังนะ?
               
เร็วเท่าความคิด เท้าของผมพาตัวเองเคลื่อนกายมาอยู่หน้าบานประตูสีขาวที่อยู่อีกฝั่งโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ขณะที่มือของผมกำลังจะยกขึ้นเพื่อเคาะประตู ผมก็นึกขึ้นได้ว่าหมอนั่นไม่ได้อยู่ในห้องนี้แค่คนเดียว
               
ยังมีแฟนสาวที่น่ารักมากของเขาอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ และผมคงกลายเป็นคนเสียมารยาทมากแน่ ถ้าไปเคาะประตูเพื่อจะขอบุหรี่ในยามดึกดื่นขนาดนี้ ผมกลับมายืนที่หน้าห้องไอ้ซันอีกครั้ง พร้อมกับก่นด่าตัวเองที่วันนี้ผมทำตัวงี่เง่าเหลือเกิน
               
แต่แล้วเมื่อผมบิดลูกบิดประตูเตรียมจะกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง จมูกของผมก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ของบุหรี่นอกที่ผมได้กลิ่นบ่อยมากในช่วงนี้ จนมันกลายเป็นอะไรที่คุ้นชินไปแล้ว กลิ่นนั้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่กำลังเดินขึ้นบันไดหนีไฟมาอย่างช้าๆ ผมปิดประตูลงอีกครั้ง และมองไปที่บันไดหนีไฟด้วยหัวใจที่เต้นรัวด้วยความทึ่งกับความบังเอิญที่พระเจ้ามอบให้
               
มาได้ถูกจังหวะตลอดเลยแฮะ…
ร่างสูงในเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มเดินมาตามระเบียงโดยไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังยืนอยู่ตรงนี้ กระเป๋ากีตาร์ที่สะพายอยู่บนหลังบ่งบอกว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากเล่นดนตรี เดินมาจนเกือบจะถึงตัวผมนั่นแหละ ร่างสูงถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยสีหน้าแปลกใจ
               
“อ้าว” เชนร้องทัก ก่อนจะคีบบุหรี่ออกจากปาก
               
“ไง” ผมทักกลับนิ่งๆ หมอนี่ขมวดคิ้วก่อนจะคาบบุหรี่ไว้ละอัดควันเข้าปอดอีกรอบ
               
“ไอ้ซันเมาอีกแล้วเหรอ” ถามอย่างรู้ทัน
               
“อืม” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะปล่อยให้บรรยากาศจมลงสู่ความเงียบ ผมกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือเปล่าน่ะสิ
               
“มีอะไร” เชนขมวดคิ้วหนักขึ้น พร้อมกับถามเหมือนดูออกว่าผมมีอะไรจะพูด
               
ผมยิ้มบางๆ ออกมา หมอนี่เหมือนปีศาจที่อ่านใจคนได้เลยนะ ไม่ว่าผมจะคิดอะไรอยู่ก็ดูเหมือนว่าหมอนี่จะรู้ไปหมด โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาเลย
               
“ขอบุหรี่หน่อยสิ” ผมพูดออกไปในที่สุด ร่างสูงที่ยืนรอให้ผมพูดยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันจนมันแทบจะขมวดเป็นปม ก่อนที่เขาจะถอนหายใจหนักๆ ออกมา
               
“ตามมา” เจ้าของเสียงเรียบนิ่ง ว่าพลางเดินออกจากที่ที่เราคุยกันอยู่
               
และถึงไม่รู้ว่าหมอนี่จะพาผมไปไหน แต่สองขาของผมก็เลือกที่จะเดินตามขายาวๆ ที่เดินนำหน้าไป โดยไม่คิดจะปริปากบ่น
 
               
01.10 A.M.
หมอนั่นไม่ได้พาผมไปไหนไกลหรอก ก็แค่พามาสูดอากาศตรงบันไดหนีไฟที่มีราวกั้นสูงระดับอกเท่านั้น ลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ความเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในใจของผมหายไปได้หรอก
               
“เรื่องไอ้ซันอีกแล้วเหรอ” ร่างสูงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาพลางจี้บุหรี่มวนเก่าที่สูบจนเกือบหมดมวนลงกับที่เขี่ยซึ่งมีก้นบุหรี่ยี่ห้อเดียวกันอยู่เต็มไปหมด บ่งบอกว่านี่คงจะเป็นมุมโปรดที่เขาเอาไว้หลบมาสูบบุหรี่คนเดียวเงียบๆ 
               
“อือ” ผมตอบสั้นๆ สายตายังคงทอดมองออกไปยังเมืองที่ยังคงคึกคักแม้จะดึกมากแล้วก็ตาม
               
“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ” เขาถาม ผมหันกลับไปมองร่างสูง ก่อนจะแบมือออก
               
“ขอบุหรี่หน่อย” ผมบอกสีหน้าจริงจัง หมอนี่ขมวดคิ้ว พร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
               
จริงๆ การที่ผมกลับมาอยากบุหรี่อีกครั้งต้องโทษหมอนี่นะ เพราะถึงแม้ผมจะเลิกไปได้แล้วรอบหนึ่ง แต่มันก็เหมือนเชื้อเพลิงที่พร้อมจะเกิดประกายไฟ ผมพร้อมจะกลับมาสูบได้ทุกเมื่อนั่นแหละ และยิ่งได้ลองกลับมาครั้งนึงแล้ว มันก็ยากที่จะถอนตัว
               
“ขอบใจ” ผมว่าและกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบมวนบุหรี่ที่หมอนี่กระแทกออกมาให้ แต่ยังไม่ทันที่มือของผมจะได้แตะไอ้สารต่อมะเร็งนี่ ฝ่ามือหนาก็ชักมือกลับไป ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่กวนประสาทอย่างไม่มีใครเทียบ
               
“ไม่ให้”
               
อะ...ไอ้...
               
ผมได้แต่มองตาขวางเมื่อหมอนี่ปล่อยให้ผมขอบใจเก้อ ในขณะที่ร่างสูงเอาบุหรี่มวนนั้นไปคาบไว้เอง ก่อนจะจุดไฟสูบหน้าตาเฉย
               
กวนประสาท!
               
ผมพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเบือนหน้ามองออกไปนอกระเบียงอีกครั้ง หมอนั่นเองก็เดินมาเท้าแขนตรงระเบียงข้างๆ ผม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาพลางทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
               
“ระบายมาสิ” เสียงเรียบพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ ผมขมวดคิ้วและหันไปมองร่างสูงด้วยอารมณ์ที่ยังเคืองไม่หาย
               
“ทำไมต้องระบายให้นายฟัง เพื่อนรึก็ไม่ใช่” ผมปฏิเสธน้ำเสียงฟังดูประชดประชัน แต่ก็จริงนั่นแหละ ผมไม่จำเป็นจะต้องมานั่งพูดเรื่องกลุ้มใจให้หมอนี่ฟังเลย เรามันก็เป็นแค่คนรู้จักที่บังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น
               
คนกวนประสาทยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะสูบบุหรี่ต่อไปเงียบๆ แต่กลับเป็นผมเอง ที่พอเห็นท่าทางไม่สนใจของหมอนี่ กลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
               
นี่ผมคงจะเมาจริงๆ สินะ -*-
               
“วีกำลังจะไปต่างประเทศ” ในที่สุดผมก็พูดออกมาจนได้ ร่างสูงยังคงมองไปข้างหน้า แต่ผมก็รู้ว่าเขาฟังอยู่ ผมถอนหายใจก่อนจะเลื่อนสายตามองออกไปยังแสงสีในเมืองบ้าง
               
“ไอ้ซันมันไม่อยากให้ไป สองคนนั้นก็เลยทะเลาะกัน”
               
“...”
               
“มันมาปรึกษาฉัน... ซึ่งฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง...”

“...”

“ฉันแอบคิดนะ ว่านี่มันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้มันหันกลับมามองฉันบ้างก็ได้... แต่ไม่ใช่เลย ต่อให้ไม่มีวี มันก็
ไม่มีทางหันกลับมามองฉันหรอก...” ผมเงียบไปเมื่อรู้สึกว่ามีก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่คออีกแล้ว ผมพยายามกลืนน้ำลายหวังว่าก้อนนั่นมันจะหายไป แต่คราวนี้มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
               
“เจ็บจริงๆ” ผมเค้นเสียงออกมา ในจังหวะเดียวกับที่น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกจากดวงตา
               
อา ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาจนได้ คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์สินะที่ทำให้ผมหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้
               
“เฮ้ ร้องไห้เหรอ” น้ำเสียงตกใจดังมาจากร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ
               
“เปล่า” ผมปฏิเสธทั้งๆ ที่มือก็ยังคงปาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
               
บ้าชิบ หยุดสักที จะมาร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นให้ดูน่าสมเพชมากกว่าเดิมไปทำไมกัน
               
“เงียบน่า ฉันปลอบใครไม่เป็นหรอกนะ” คนตัวสูงกว่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญเล็กๆ ผมหันกลับไปมองสีหน้ายุ่งยากใจของหมอนี่ และก็พบว่ามันไม่ใช่สีหน้าของคนรำคาญ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังพยายามคิดอะไรสักอย่าง ถ้าเดาไม่ผิดเขาคงคิดอยู่ว่าควรจะปลอบผมยังไง แต่ด้วยลักษณะนิสัยนิ่งๆ ติดจะเย็นชาของหมอนี่ จะให้มานั่งปลอบใครก็คงจะเป็นเรื่องยาก
               
“นายกลับเข้าห้องไปเถอะ ปล่อยฉันไว้แบบนี้แหละ” ผมบอก จริงๆ ผมก็อายเหมือนกันนั่นแหละ ที่ต้องมานั่งร้องไห้ให้คนที่ไม่สนิทได้เห็นแบบนี้
               
“จะให้ปล่อยได้ยังไงวะ” ร่างสูงสบถพึมพำ ก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่แล้วสายตาเรียวคมก็ฉายแววเหมือนเห็นอะไรบางอย่างน่าสนใจ ผมจึงมองตามสายตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นไป ก่อนจะเจอเข้ากับลูกแมวลายขาวสลับดำกำลังเดินต้วมเตี้ยมขึ้นบันไดหนีไฟมา
               
เมี้ยววว
               
เสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้นมาพร้อมกับเจ้าแมวที่นั่งมองพวกเราอยู่บนบันได้ขั้นสุดท้าย ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ จะเดินผ่านผมไปหาเจ้าลูกแมวตัวนั้นพร้อมกับอุ้มขึ้นมา ผมปาดน้ำตาและมองการกระทำที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากผู้ชายเย็นชาคนนี้
               
ผู้ชายหน้าโหดๆ กับลูกแมวน่ารักๆ ดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลยนะ ว่ามั้ย
               
“ฉันปลอบใครไม่เป็น งั้นฝากหมอนี่ปลอบให้ละกัน”
               
“ฮะ?” อาจะเป็นเพราะเพิ่งร้องไห้เสร็จหมาดๆ ทำให้สติผมไม่พร้อมเท่าไหร่ เลยไม่เข้าใจว่าหมอนี่กำลังพูดอะไร แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถาม ฝ่ามือหนาก็อุ้มลูกแมวมาไว้ตรงหน้าผม พร้อมกับใช้อุ้งเท้าแมวลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของผมเบาๆ
               
เฮ้ๆ ถ้ามันกางเล็บข่วนหน้าผมขึ้นมานี่ผมเอาเรื่องแน่นะ
               
ผมเกือบจะโวยวายออกมาแล้วเชียว ถ้าไม่ติดที่ว่าร่างสูงตรงหน้าทำให้ผมอึ้งไปอีกครั้ง...
               
“พี่ตรี... อย่าร้อง” น้ำเสียงที่ผ่านการพยายามดัดให้กลายเป็นเสียงแหลมเล็กเพื่อให้เข้ากับใบหน้าบ้องแบ๊วของเจ้าลูกแมวดังขึ้นมาจากร่างสูงที่ผมเคยคิดว่าเขาไม่มีโทนเสียงอื่นนอกจากน้ำเสียงเรียบนิ่งนั่น...
               
“...” ผมได้แต่นิ่งเงียบไปหลายวินาทีด้วยความอึ้ง ในขณะที่ฝ่ามือหนาก็ลดเจ้าแมวลงทำให้ผมเห็นใบหน้ากระอักกระอ่วนที่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เข้าท่าออกไปของคนตรงหน้า
               
“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ” วินาทีต่อมาผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมพยายามจะกลั้นขำแล้วนะ แต่การกระทำของหมอนี่ทำให้ผมหยุดตัวเองไม่ให้หัวเราะไม่ได้จริงๆ
ให้ตายเถอะ จี้ชะมัด
               
“ตลกอะไรนักหนาวะ” ร่างสูงเปลี่ยนเป็นใบหน้าบึ้งตึงพลางยื่นลูกแมวมาให้ผมอุ้มแทน ผมยังคงหัวเราะไม่เลิกในขณะที่เชนจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบสีหน้าเคร่งเครียด
               
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมถามพลางพยายามกลั้นขำเอาไว้ แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้อยู่ดี
               
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคนอย่างหมอนี่จะกล้าทำอะไรแบบนี้ออกมา
               
คนตรงหน้าหันมาขมวดคิ้วทำท่าหงุดหงิดใส่ผมแวบหนึ่ง แต่แล้วปากที่คาบมวนบุหรี่เอาไว้ก็ค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อเอาไว้
               
“เออ นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย” ร่างสูงบ่นพึมพำทั้งๆ ที่ปิดหน้าอยู่ ท่าทางเขินอายที่เห็นได้ยากจากคนตรงหน้ายิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้นอีก
               
จริงๆ หมอนี่ก็มีมุมน่ารักกับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกันเหรอเนี่ย คิดว่าจะได้แค่ขี้เก๊ก ทำตัวเย็นชาไปวันๆ ซะอีก ฮ่ะๆ
               
ผมได้ยินเสียงสูดหายใจลึก ก่อนที่เชนจะเอามือที่ปิดใบหน้าของตัวเองออก เขาพยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ แต่ใบหน้าก็ยังคงแดงระเรื่อไม่หาย
               
“ฉันไปดีกว่า” ว่าจบร่างสูงก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นเดิม ผมมองตามโดยที่ยังหุบยิ้มไม่ได้ แต่ก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปไกลกว่านี้ ผมก็นึกได้ว่าผมควรจะพูดอะไรบางอย่าง
               
“ขอบใจนะ”
               
“...?” เชนหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมยิ้มให้เขาก่อนจะตอบ
               
“คุยกับนายแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย” เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมไม่รู้สึกหงุดหงิดตลอดการสนทนาระหว่างเรา เจ้าของริมฝีปากบางกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะกลับมาทำหน้ากวนประสาทอีกครั้ง
               
“นายต้องพูดว่า ขอบคุณมากนะครับพี่เชน ต่างหาก ไอ้เด็กปีนเกลียว” สายตาตำหนิอย่างไม่จริงจังนั่นทำให้ผมชะงัก ก็จริงอยู่ที่ผมไม่เคยเรียกเขาว่าพี่เลยสักครั้ง นั่นเพราะผมไม่เห็นว่าหมอนี่จะทำตัวให้น่าเคารพเลยสักนิด อายุห่างกันแค่ปีเดียวไม่เรียกพี่ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
               
แต่ว่าสำหรับครั้งนี้ อาจจะเป็นข้อยกเว้น...
               
“ไม่เอาอ่ะ น่าขนลุก” ซะที่ไหนล่ะ ผมเบ้หน้า และทำท่าเหมือนกับว่าการเรียกหมอนี่ว่าพี่ทำให้ผมรู้สึกแขยงขึ้นมาจริงๆ  ร่างสูงขมวดคิ้วมองผมนิดหน่อยก่อนจะยักไหล่
               
“เออ คิดไปคิดมาก็น่าขนลุกจริงๆ นั่นแหละ” ว่าพลางแสยะยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วเดินล้วงกระเป๋าเดินจากไปโดยไม่ลืมบอกลาทิ้งท้าย “ฝันดี”
               
“ฝันดี” ผมพูดตอบ แม้ว่าหมอนั่นจะหายไปในมุมกำแพงแล้ว
               
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องประหลาดที่หมอนั่นทำก่อนหน้านี้ ก่อนจะก้มลงมองเจ้าเหมียวที่จ้องผมตาแป๋วอยู่ในอ้อมกอด ผมยิ้มให้เจ้าแมวแล้วลูบหัวมันเบาๆ พร้อมกับพูดในสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดต่อหน้าคนที่ผมควรจะพูดด้วยก่อนหน้านี้
               
“ขอบคุณครับพี่เชน”
               
...
               

เออว่ะ ขนลุกจริงๆ ด้วย




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 6 [ 26/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 00:10:26
6
จุดอ่อนแรง
 
               
คืนนั้นผมไม่ได้นอนที่ห้องไอ้ซัน หลังจากที่เช็ดตัวให้มันเสร็จ และรอให้มันหลับสนิท ผมก็ขับรถกลับมานอนที่หอตัวเองตอนตีสองกว่าๆ แต่กว่าจะข่มตานอนหลับได้ ก็เล่นเกือบจะตีสี่นู่นแล้ว จริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอะไรล่ะนะ คนเรียนคณะอย่างผม แค่ได้นอนบ้างก็ถือว่าเป็นบุญท่วมหัวแล้วล่ะ
               
ผมแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้า เพราะเสียงเรียกเข้ามือถือที่ดังไม่หยุด เวรเอ๊ย ใครวะ!
               
[ ไอ้ตรี มึงตื่นหรือยังวะ ]
               
อา... ไอ้ซันนั่นเอง
               
“ยัง” ผมตอบตามตรง พลางลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ อาการแฮงก์บวกกับเวลานอนน้อยทำให้ผมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย “มึงโทรมาทำไมแต่เช้าวะ” ผมถามต่อเมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียงไป คงกำลังรู้สึกผิดที่โทรมาปลุกผมอยู่ล่ะมั้ง
               
[ ก็กูตื่นมาไม่เห็นมึง ก็เลยเป็นห่วง ] คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมชะงักไป แม้จะรู้ว่าคำพูดนั้นไม่มีอะไรแอบแฝงนอกจากความเป็นห่วงประสาเพื่อน แต่หัวใจของผมก็แอบเต้นตึกตักไม่ได้อยู่ดี
               
“กูกลับมานอนที่หอ” ผมตอบกลับไป พยายามไม่ให้เสียงตัวเองแสดงความตื่นเต้นมากเกินไป แม้ว่ามุมปากทั้งสองข้างจะยกเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ก็ตาม
               
[ มึงขับรถได้เหรอวะ ] น้ำเสียงของมันฟังดูประหลาดใจ
               
“ได้สิ กูก็ขับไปส่งมึงที่หออยู่ไง กูไม่ได้เมาเป็นหมาแบบมึงนะครับ” ผมประชด ไอ้ซันหัวเราะนิดๆ ก่อนจะพูดต่อ
               
[ เออ ยังไงกูก็ขอบใจมึงมากนะที่มาส่งกู นี่กูเมาจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ ว่ะ ถ้าไม่ได้มึงกูคงนอนเป็นหมาอยู่ตรงกองขยะหน้าร้านแน่ๆ ]
               
ผมหัวเราะและจินตนาการว่าถ้ามันต้องไปนอนอยู่ที่กองขยะจริงๆ คงจะน่าสงสารไม่น้อย
               
“เออ กูถือว่ามึงเป็นหนี้บุญคุณกูนะ คราวหน้าเลี้ยงเหล้ากูด้วย” ผมบอกอย่างไม่จริงจังนัก ไอ้ซันจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น
               
[ คร้าบบบ จะจัดให้หนักเลยครับ คุณเพื่อนรัก ]
               
หึ ยังนิสัยขี้เล่นไม่เปลี่ยนเลยนะ ไอ้เวรนี่
               
เพราะแบบนี้แหละมั้ง ผมถึงเลิกชอบมันไม่ได้สักที...

เมี้ยวว
               
เสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับเจ้าแมวลายขาวสลับดำตัวเล็กที่กระโดดขึ้นมาบนเตียง และเดินต้วมเตี้ยมมานอนบนตักผม เมื่อคืนผมกะจะปล่อยมันไปแล้วนะ แต่ไม่รู้ว่าติดอะไรผมนักหนา เจ้าตัวเล็กนี่จึงเดินตามผมเข้าไปในลิฟต์ด้วย พอผมไล่ ก็เอาแต่ทำตาบ้องแบ๊วใส่ สุดท้ายผมก็ใจอ่อน และยอมพามันกลับมาที่หอด้วยอย่างที่เห็น หวังว่ามันจะไม่มีเจ้าของหรอกนะ ปลอกคออะไรก็ไม่มีนี่
               
[ เออ ไอ้ตรี ] ผมเอาแต่ลูบหัวไอ้ตัวเล็กเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากไอ้ซัน
               
“หือ?” ผมขานรับ
               
[ กูว่ากูจะลองคุยกับวีดูอีกทีว่ะ ]
               
“...”
               
[ จริงๆ เรื่องนี้กูก็งี่เง่าเองนั่นแหละที่เอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป แต่กูรู้แล้วว่าแทนที่กูจะห้ามไม่ให้เค้าไป กูควรจะสนับสนุนความฝันของคนที่กูรักมากกว่า ]
               
“...”
                 
[ ถ้าเค้าอยากจะไปจริงๆ กูก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากไว้ใจเค้า แล้วก็รอ ]
               
“...” ผมได้แต่นิ่งฟังอย่างเงียบงัน แม้ว่าไอ้ซันจะพูดจบแล้วก็ตาม
               
[ ไอ้ตรี ] จนมันเรียกชื่อผมอีกรอบนั่นแหละ ผมถึงได้เรียกสติตัวเองกลับมา ผมแสร้งหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดติดตลก
               
“หึ ต้องให้เหล้าเข้าปากก่อนใช่มั้ย มึงถึงจะคิดได้” ผมยกมือขึ้นกุมขมับอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าตัวเองปวดหัวเพราะแฮงก์เหล้า หรือปวดหัวกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากปลายสายกันแน่ ไอ้ซันหัวเราะเสียงดังกับคำพูดประชดประชันของผม
               
[ เออ ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นว่ะ ]
               
“...” ผมไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ฟังน้ำเสียงมีความสุขของอีกฝ่าย พร้อมกับยิ้มบางๆ ออกมา ถึงผมจะรู้สึกปวดหนึบๆ ที่หัวใจ
               
แต่แค่มันมีความสุขกับคนที่มันรัก... แค่นั้นผมก็พอใจแล้วล่ะ
               
[ งั้นแค่นี้ก่อนนะ ขอบใจมึงมากที่อดทนฟังกูพร่ำเพ้ออยู่ทั้งคืน มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูจริงๆ ว่ะไอ้ตรี ]
               
“อืม... มึงก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู”
               
สายตัดไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองเบอร์โทรเข้าล่าสุดที่เพิ่งวางสายไปด้วยตัวใจที่เหนื่อยล้าเต็มที ผมถอนหายใจและก้มมองเจ้าเหมียวที่หลับตาพริ้มอยู่บนตัก ก่อนจะลูบหัวมันเบาๆ
               
เมื่อไหร่กันนะ...ที่ผมจะเรียกมันว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก... 
เมื่อไหร่กัน ที่ผมจะสามารถคุยกับมัน เที่ยวกับมัน หรือให้คำปรึกษาเวลาที่มันทะเลาะกับแฟนได้อย่างสนิทใจเหมือนเพื่อนทั่วๆ ไป
               
เมื่อไหร่กัน...?
               
อา... ตอนนี้ผมชักอยากจะยอมแพ้แล้วสิ...ทำไมการแอบรักใครสักคนมันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้วะ
               
               
หลายวันต่อมา
               
วันนี้เป็นวันสอบไฟนอลวันสุดท้าย รู้สึกโล่งใจไม่น้อยเลยที่ในที่สุดก็จะได้พักจริงๆ สักที แต่ก็แอบรู้สึกใจหายไม่น้อยนะ หนึ่งปีนี่มันผ่านไปเร็วจริงๆ
               
ผมเดินออกจากห้องสอบมาอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร ในขณะที่เพื่อนหลายๆ คนกำลังจับกลุ่มกันวิจารณ์ข้อสอบที่ออกมายากกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าผมเก่งหรือทำได้หรอกนะ แต่มันก็ผ่านไปแล้วนี่นา กังวลไปเท่านั้น เอาเวลาไปกังวลตอนเกรดออกดีกว่า
               
“ปะ! กินเหล้ากัน!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมาอย่างไม่สนใจเลยว่านี่คือหน้าห้องสอบ ซึ่งมีคนบางส่วนที่ยังสอบไม่เสร็จ ผมหันไปมองไอ้เวสป้าซึ่งเป็นเจ้าของเสียงตะโกนเมื่อครู่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เมื่อวันก่อนมันเพิ่งจะโทรมาชวนผมไปดื่มที่ร้านประจำไปเองนะ (แน่นอนว่าผมปฏิเสธ) นี่มันกะจะไม่ให้ตับได้พักผ่อนบ้างเลยหรือไงเนี่ย
               
“ไอ้ตรี!” ผมไม่น่ามองมันเลย พอมันหันมาสบตากับผมเท่านั้นแหละ ไอ้ตัววุ่นวายก็เข้ามากอดคอผมทันที
               
“กูไม่ไปหรอกนะ” ผมดักคอไว้ เพราะรู้ว่ามันจะพูดอะไร ไอ้เวสเบ้หน้าก่อนจะเอาหน้าถูไปมากับไหล่ผมเหมือนลูกแมว
               
“มึงอ่ะ จบปีหนึ่งทั้งทีนะมึง ไปเหอะ นะๆๆๆ” ผมถอนหายใจ พลางผลักหัวไอ้เพื่อนตัวดีออกจากไหล่ตัวเอง ทำแบบนี้มันจั๊กจี้นะเว้ย -*-
               
“กูขอคิดดูก่อนละกัน” ผมบอกปัดๆ อย่างขอไปที แต่ดูเหมือนไอ้เวสจะรู้ทัน
               
“ไม่ได้! มึงตอบอย่างนี้ทีไรก็เบี้ยวกูทุกทีอ่ะ บอกว่าเลยว่าจะไป จะไปๆๆๆ มึงต้องไปปปป” ไอ้เวสป้าโวยวายดังลั่นจนผมรำคาญ ผมเอามือปิดปากมันก่อนจะหันไปผงกหัวขอโทษคนรอบข้างที่มองมาทางพวกเราอย่างตำหนิ แต่ถึงผมจะปิดปากมันอยู่ แต่ไอ้หมอนี่ก็ยังคงโวยวายดิ้นไปดิ้นมาไม่เลิก
               
“เออ กูจะไป พอใจยัง” ผมตอบตกลงในที่สุด ก่อนจะปล่อยมือออกจากปากของไอ้เพื่อนตัวดี ไอ้เวสยิ้มกว้างก่อนจะชูนิ้วโป้งขึ้นมา
               
“เออ กูพอใจละ แล้วคืนนี้เจอกันนะมึง” ว่าจบมันก็เดินกลับไปที่กลุ่มเพื่อนคนอื่นที่หัวเราะอย่างทึ่งๆ ในความขี้ตื๊อของไอ้เวส ผมถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้าปลงๆ
               
มีเพื่อนอย่างมันนี่น่าเหนื่อยใจจริงๆ
               
ผมเดินลงจากตึกเรียนที่ใช้สอบเพื่อไปที่รถตัวเอง ตอนนี้เย็นมากแล้ว แถมเป็นวันสอบด้วย ทำให้บริเวณนี้ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ไม่นานผมก็เดินมาถึงรถโฟล์คสีน้ำเงินคนโปรด แต่ในขณะที่ผมกำลังจะล้วงกุญแจออกมาปลดล็อกประตู ผมก็ดิ้นเสียงของคนสองคนทะเลาะกันดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
               
“ไหนบอกว่าจะเลิกบุหรี่แล้วไง!”
               
“ลด ไม่ได้แปลว่าเลิกสักหน่อย” ผมมองหาที่มาของเสียงที่คุ้นหูสุดๆ นั่น ก่อนจะชะงักไปเมื่อพบกับชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังมีปากเสียงกันอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่
               
“แต่นั่นมันต่อหน้าพ่อกับแม่ฟ้านะ! ถ้าเชนไม่ให้เกียรติฟ้า ก็น่าจะให้เกียรติพ่อแม่ฟ้าบ้าง”

ผมคงจะไม่สนใจและขับรถกลับหอตามปกติ ถ้าหากว่าคนสองคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมเจอบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้

“...” เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองแฟนสาวของตัวเองด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกอะไร จนกระทั่งร่างบางที่อยู่ตรงหน้าเริ่มร้องไห้ออกมา

“คนเฮงซวย!”

“...”

“เราเลิกกันเถอะ” ว่าจบร่างบางก็วิ่งหนีไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ท่ามกลางความตกใจของผมกับ... ไม่สิ ท่ามกลางความตกใจของผมคนเดียวต่างหาก ผมมองไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่ง สีหน้าไร้ความรู้สึก เพื่อรอดูว่าเขาจะทำยังไงต่อไปหลังจากที่ถูกบอกเลิกซึ่งๆ หน้าแบบนั้น

แต่หมอนั่นกลับถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะควักซองบุหรี่ยี่ห้อเดิมออกมาจากกระเป๋า และจุดสูบช้าๆ

ผมทึ่งนิดๆ เพราะไม่คิดว่าหมอนั่นจะนิ่งได้ขนาดนี้ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไรต่อ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนั่น ก็ปรายตามองมาที่ผม ริมฝีปากบางพ่นควันบุหรี่สีเทาออกมา พร้อมกับขายาวๆ ที่เดินตรงมาทางนี้ด้วยท่าทางที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะมาดีหรือมาร้าย

แต่ไม่ว่าหมอนั่นจะมาดีหรือมาร้าย คำพูดที่แวบเข้ามาในหัวผมทันที่ที่เจอสถานการณ์แบบนี้ก็คือ...

เวรแล้วไงไอ้ตรี!
 

เวลาผ่านไป

“อย่างน้อยนายก็ควรจะพูดอะไรบ้างนะ เอาแต่นั่งเงียบแบบนี้โคตรอึดอัดเลย” ผมบอกหลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงฝ่ายตรงข้ามเลย ไม่ว่าจะระหว่างขับรถ จนกระทั่งพวกเรามานั่งร้านกาแฟเล็กๆ นี่ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจิบกาแฟเอสเปรสโซที่ไม่มีน้ำตาลเจือปนเลยสักนิดด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร มีแต่ผมคนเดียวที่นั่งร้อนใจด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ไม่รู้จะพูดอะไร” เขาตอบสั้นๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิดเหมือนก่อนหน้านี้

ไม่ต้องแปลกใจหรอกที่พวกเรามานั่งที่ร้านกาแฟในตอนเย็นๆ แบบนี้ แทนที่จะเป็นร้านเหล้า ก็นะตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดีด้วยซ้ำ คงยังไม่มีร้านเหล้าที่ไหนเปิดหรอก และที่สำคัญ ไอ้คนที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยตรงข้ามผมนี่แหละที่เป็นคนเดินเข้ามาหาผม และบอกสั้นๆ ว่า ‘พาไปกินกาแฟหน่อย’

ผมก็บ้าจี้นะ ในที่สุดก็พาหมอนี่มาจนได้ แถมยังใจดีมานั่งเป็นเพื่อนอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้บ่งบอกว่าอยากได้เพื่อนเลยสักนิด
               
“นายกับฟ้ามีเรื่องอะไรกัน” ผมถามในที่สุด
               
ก็ช่วยไม่ได้ คนมันอยากรู้นี่หว่า
               
“ก็เรื่องทั่วไป” ตอบอย่างขอไปทีมาก -*-
               
ผมพ่นลมหายใจในความกวนประสาทไม่รู้เวล่ำเวลาของคนตรงหน้า ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “ฉันได้ยินว่าเป็นเรื่องบุหรี่”
               
“...” คนเย็นชาไม่ตอบอะไร แค่ยกกาแฟขึ้นจิบเงียบๆ
               
“นายสูบบุหรี่ต่อหน้าพ่อกับแม่ฟ้างั้นเหรอ?” ดูเหมือนคำถามนี้จะแทงใจดำน่าดู เพราะคนที่เอาแต่ตีหน้านิ่งเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาหงุดหงิด
               
“ไม่ได้สูบต่อหน้าซะหน่อย”
               
“แล้ว?”
               
“ฉันขอออกมาสูบข้างนอก” ตอบหน้าตาย
               
ผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพยายามจินตนาการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัว “คือนาย... ขอพ่อแม่ฟ้า...ออกมาสูบบุหรี่?”
               
“อือ”
               
“ขอแบบ ขอตรงๆ เลยอ่ะนะ?”
               
“อือ”
               
“บอกว่าผมขอไปสูบบุหรี่นะครับ งี้อ่ะนะ?” ผมถามย้ำประเด็นเดิมเพื่อให้แน่ใจ รู้สึกว่าดวงตาของตัวเองเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ และมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหมอนี่ปฏิเสธ และผมเข้าใจผิด...
               
“อือ”
               
แปะ!
               
ผมตีหน้าผากตัวเองอย่างแรง มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ เวลาที่ผมเจอเรื่องอะไรที่รู้สึกว่า บรรลัยแล้ว...
               
ซึ่งคราวนี้มันเป็นอะไรที่บรรลัยจริงๆ บรรลัยครั้งใหญ่หลวงด้วย
               
เวรเอ๊ย ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าไอ้หมอนี่มันคิดอะไรอยู่วะ!
               
“ทำบ้าอะไรของนายวะเนี่ย” ผมถลึงตาถาม คนตรงหน้าขมวดคิ้วอย่างรำคาญก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกรอบ
               
“ฉันแค่แสดงความจริงใจ” คำตอบของหมอนี่ยิ่งทำให้ผมยิ่งปวดหัวหนักขึ้นไปอีก
               
“โดยการขอไปสูบบุหรี่ต่อหน้าพ่อกับแม่แฟนเนี่ยนะ?” ผมเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
               
ตรรกะของหมอนี่มันยังไงกันวะ
               
“แล้วจะให้ทำยังไง อยู่ๆ ยัยนั่นก็พาพ่อแม่มา แถมยังเอาแต่ซักไซ้อะไรนักหนาก็ไม่รู้ ฉันก็แค่...เครียดนิดหน่อย” ตอบหน้าตายอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดอย่างใหญ่หลวง ผมยกกาแฟขึ้นมากระดก หวังว่ามอคค่าในแก้วจะทำให้ผมรู้สึกปวดหัวกับหมอนี่น้อยลงบ้าง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
               
“แต่อย่างน้อยก็ควรจะรอให้พ่อแม่เขาไปก่อนสิ หรือไม่ก็แค่ออกมาสูบเงียบๆ ก็ได้ จะไปขออนุญาตโต้งๆ ทำไมวะ” ผมแอบขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ทั้งที่จริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาเดือดร้อนแทนเลยด้วยซ้ำ
               
เชนพ่นลมหายใจเหมือนหงุดหงิด ก่อนจะควักบุหรี่เจ้าปัญหาออกมาจุดสูบ ยังดีที่พวกเรานั่งอยู่นอกร้าน ในโซนที่เขาไม่ได้ห้ามสูบบุหรี่อ่ะนะ ไม่งั้นทั้งหมอนี่ทั้งผม คงโดนเจ้าของร้านไล่ตะเพิดแน่
               
“ต่อให้ออกมาสูบเงียบๆ มันก็ต้องมีกลิ่น ยังไงพวกเขาก็รู้อยู่ดีว่าฉันไปทำอะไร แล้วอีกอย่างฉันไม่ได้อยากปิดบังเรื่องสูบบุหรี่” เขาอธิบายหลังจากพ่นควันฉุนๆ ออกมา ผมถอนหายใจอย่างไม่รู้จะพูดยังไง
               
จะบอกว่าตัวเองเป็นคนตรงไปตรงมาว่างั้นเถอะ?
               
“เรื่องแค่นี้ทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วย ทีฉันอุตส่าห์ลดบุหรี่แล้ว ทำไมยัยนั่นมองไม่เห็นความพยายามของฉันมั่งวะ” เขาบ่นด้วยสีหน้าหงุดหงิดปนตัดพ้อเล็กๆ ผมแค่นหัวเราะนิดหน่อย นี่เขาเรียกพยายามแล้วเรอะ
               
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากชะมัด”
               
“นายนั่นแหละที่เข้าใจยาก” ผมพูดขัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ
               
“ฉันก็แค่แสดงความจริงใจ”
               
“หยุด พอเลย เลิกพูดเรื่องแสดงความจริงใจงงๆ ของนายไปเลย นายรู้จริงๆ หรือเปล่าเนี่ยว่าความจริงใจที่ว่ามันคืออะไร”
               
“ก็ไม่โกหกไง” ยังคงตอบหน้าตาย ผมมองคนตรงหน้าอย่างเหนื่อยใจ
               
บทจะซื่อก็บื้อซะจนคนนอกอย่างผมปวดหัวได้เหมือนกันนะ หมอนี่
               
“นั่นก็ใช่ แต่บางสถานการณ์นายก็ไม่ต้องแสดงความจริงใจสุดโต่งขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองคบกับคนขี้เหล้าขี้ยาหรอกนะ” ผมบอกอย่างจริงจัง แต่คนตรงหน้าก็ยังคงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
               
“แล้วจะให้โกหกว่า ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ งี้เหรอ? จะปกปิดไปทำไม สุดท้ายก็ต้องรู้อยู่ดี สู้ให้รู้ตั้งแต่แรกไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ตอแหลด้วย” เชนว่าพลางอัดควันเข้าปอดอีกรอบ
               
เออ เอากับมันสิ ความคิดอินดี้ไปป่ะ -*-
               
“แต่ยังไงเรื่องนี้นายก็ผิด นายควรไปขอโทษฟ้า” ผมหยุดเถียงเรื่องความจริงใจอะไรนั่น และพยายามหาทางออกให้คนตรงหน้าที่ดูไม่ยี่หระอะไรเลย แม้จะเพิ่งถูกแฟนบอกเลิกมา
               
“ไม่ล่ะ” ตอบทันทีอย่างไม่มีลังเล
               
“แล้วจะปล่อยให้เลิกกันแบบนี้อ่ะนะ?”
               
“ก็คงงั้น” ว่าพลางยักไหล่
               
“ไม่เจ็บเหรอ” ผมขมวดคิ้วถาม ถึงจะเป็นคนไม่แคร์อะไรเลยก็เถอะ แต่เพิ่งถูกแฟนบอกเลิกทั้งที จะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง
               
“ไม่เสียใจเหรอ?” เมื่อคนตรงหน้าไม่ตอบ ผมเลยถามต่อ หมอนี่ยังคงเงียบ ก่อนจะจี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ และยกกาแฟขึ้นมาจิบ สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่พูดออกมา
               
“ฉันถามจริงๆ นะ ตกลงนายรักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า” ผมถามในสิ่งที่สงสัยมาโดยตลอด

ถึงเวลาอยู่กับฟ้า ผมจะมองเห็นแววตาอ่อนโยนด้วยความเอ็นดูของหมอนี่อยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่อาจบอกได้เลยว่าคนตรงหน้าคิดยังไงกับเธอกันแน่ เขาเย็นชาเกินไป ปากหนักเกินไป และหัวดื้อเกินไป จนบางครั้งไอ้ความเกินไปเหล่านั้นมันอาจจะก่อตัวกลายเป็นทิฐิที่ทำให้หมอนี่ไม่รู้ใจตัวเอง

“ฉันไม่รู้” เขาตอบพร้อมกับถอนหายใจ คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันอย่างหนักราวกับคำถามที่ผมถามมันยากเหลือเกิน ทำให้ผมรู้ว่า ที่หมอนี่ตอบออกมาคือความจริง เขาไม่รู้ใจตัวเองเลยจริงๆ

ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาบ้าง “เรื่องนี้ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ล่ะนะ” ผมว่าพลางลุกขึ้น

“แต่นายก็คิดเอาเองแล้วกัน ถ้านายรักเธอ ก็ควรจะไปขอโทษเธอซะก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไป”

“...”

“แต่ถ้าไม่ได้รัก... ก็ปล่อยเธอไปเถอะ” พูดจบผมก็เดินออกมาจากโต๊ะ และกำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อจ่ายเงินในส่วนของตัวเอง

“เดี๋ยวสิ” แต่แล้วเสียงเรียบที่เรียกไว้ ก็ทำให้ผมหยุดชะงัก

ผมหันกลับไปมองคนหน้าตายที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วท่าทางยุ่งยากใจ ผมกอดอกและรอดูว่าเขาจะเอายังไง เชนสบตาผมนิ่งๆ พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา

มือเรียวยาวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และกดโทรออกหาใครบางคน ซึ่งผมไม่ต้องเดาเลยว่าปลายสายเป็นใคร ไม่นาน หมอนั่นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง ก่อนที่น้ำเสียงเรียบนิ่งที่แสนจะมีเสน่ห์นั่นจะกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์

“ขอโทษครับ”

ผมยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ก็แค่นี้เอง ทำตัวเชื่อฟังก็เป็นเหมือนกันนี่

ท่าทางซื่อๆ ของคนตรงหน้าทำเอาผมอยากจะเดินเข้าไปขยี้หัวเขาแรงๆ สักทีให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ด้วยความที่ตระหนักว่าเขาอายุมากกว่า (ถึงจะไม่ค่อยน่าเคารพเท่าไหร่ก็เถอะ) ทำให้ผมได้แค่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในร้าน ตอนแรกผมตั้งใจจะจ่ายเงินแค่ส่วนของผมเท่านั้น แต่เห็นแก่ที่วันนี้หมอนั่นทำตัวน่ารักดีหรอกนะ เอาเป็นว่าผมจะจ่ายในส่วนของเขาให้ด้วยแล้วกัน ถือเป็นการตอบแทนสำหรับครั้งก่อนๆ ที่เวลาผมมีปัญหา เขาก็มักจะมาได้จังหวะพอดี แถมยังเป็นเพื่อนคอยปลอบใจได้อย่างดีด้วย




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 7 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 00:46:03
7
เพื่อนร่วมห้อง
 
               
ตอนนี้ผมอยากได้หนังสือ ‘ฝึกยังไง ให้แมวเชื่อง’ หรืออะไรทำนองนั้นจริงๆ นะ
               
ตั้งแต่ผมเอาเจ้าตัวเล็กมาเลี้ยง ไม่มีวันไหนเลยที่มันจะไม่ตะกุยตะกายนู่นนี่จนข้าวของของผมพัง ล่าสุดเจ้าตัวแสบก็เพิ่งจะข่วนและแทะปลอกหมอนของผมจนผมต้องเปลี่ยนปลอกหมอนใหม่เป็นรอบที่สี่แล้ว จะมีแมวที่ไหนดีกว่ามันอีกมั้ยเนี่ย ให้ตายเถอะ
               
“เจ้าเหมียว มากินข้าว” ผมบอกหลังจากเทอาหารเม็ดใส่ชามเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเจ้าแมวก็หยุดเล่นและวิ่งตรงมากินอาหารโปรดของมันด้วยท่าทางร่าเริงอย่างน่าหมั่นไส้
               
จริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนรักสัตว์อะไรหรอกนะ ที่บ้านไม่ได้เลี้ยงสัตว์เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียด แถมตอนนี้ผมยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้านี่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ
               
ก๊อกๆ
               
ผมละสายตาจากเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะเดินไปที่หน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู นี่เป็นครั้งแรกเลยนะตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่มีคนมาเคาะระตูห้องผม เพราะผมก็ไม่ได้มีรูมเมท แถมยังเป็นคนเดียวในคณะที่มาเช่าหอนี้อยู่ด้วย
               
ก๊อกๆๆ
               
“ครับ มาแล้วครับ” ผมขานรับเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกรอบ เคาะทำไมนักหนาวะ มีใครกำลังจะตายหรือไง
               
แกรก
               
ผมเปิดประตูออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ แต่แล้วความหงุดหงิดก็เปลี่ยนเป็นความแปลกใจ ประหลาดใจ และตกใจแทน เมื่อได้เห็นหน้าผู้มาเยือน
               
“ไง” เสียงทักทายเรียบนิ่ง ดังมาจากเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาเกือบอาทิตย์ และไม่คิดว่าจะเจอเลยตลอดสองเดือนที่ปิดเทอม
               
“นาย?” ผมพูดได้แค่นั้น เพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไรจริงๆ กับการที่อยู่ๆ หมอนี่ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าแบบนี้
               
เมี้ยววว
               
ในขณะที่ผมยังคงยืนอึ้งอยู่ เสียงเจ้าตัวเล็กที่ควรจะมีความสุขอยู่กับการกินอาหารเช้ากลับดังขึ้นมา พร้อมกับขาสั้นๆ ของมันที่วิ่งเข้ามาคลอเคลียกับขาของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วยท่าทีที่เชื่องกว่าตอนอยู่กับผมซะอีก
               
ตกลงแกเป็นแมวใครกันแน่เนี่ยฮะ
               
“นี่นายเอามันมาเลี้ยงด้วยเหรอ”
               
เชนเลิกคิ้วมองเจ้าลูกแมวน้อยก่อนจะนั่งยองๆ ลงเพื่อลูบหัวมันที่ยังคงเอาแต่คลอเคลียเขาไม่เลิก ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นว่านอกจากกระเป๋ากีตาร์ใบใหญ่ที่เขาถือมาด้วยมือข้างหนึ่งแล้ว ยังมีกระเป๋าเป้อีกใบ ที่เจ้าตัวสะพายเอาไว้บนหลังอีกต่างหาก ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ของการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของคนตรงหน้า
               
“เดี๋ยวนะ...นี่อย่าบอกนะว่านาย มาที่นี่เพราะ...” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบ ร่างสูงก็ยืนขึ้นพร้อมกับอุ้มเจ้าเหมียวเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะสบตาผม ก่อนจะพูดประโยคที่เหมือนกับที่อยู่ในใจของผมเด๊ะ
               
“ฉันขอมาอยู่ด้วยสักสองเดือนสิ”
               
“...”
               
วะ... ว่าแล้วไง
               
พระเจ้า! นี่ท่านกำลังเล่นตลกกับผมอยู่จริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย!?
                 
               
เวลาผ่านไป
               
หลังจากที่โวยวายอยู่พักใหญ่ที่อยู่ๆ ก็มีคนมาขออาศัยอยู่ห้อง แต่สุดท้ายผมก็ทำอะไรไอ้ผู้ชายที่แบกกระเป๋าเสื้อผ้ามาจนถึงห้องผมแล้วไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ
               
หมอนั่นบอกกับผมว่าพ่อกับแม่ของฟ้าจับได้แล้วว่าทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกัน ถึงทั้งสองคนจะเป็นแฟนกันก็เถอะ แต่ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากจะให้ลูกสาวอยู่กินกับผู้ชายก่อนแต่งงานหรอก (แต่ผมว่าไม่ทันแล้วนะ -*-) และที่สำคัญ หมอนี่ก็เพิ่งก่อคดีเรื่องบุหรี่ไปเมื่อไม่นานนี้เอง จึงไม่แปลกที่พ่อแม่ของฟ้าจะไม่ชอบขี้หน้าเขา ก็เลยโดนไล่ตะเพิดออกมาอย่างที่เห็น
               
และเพราะเพื่อนในคณะคนอื่นๆ ก็พากันกลับบ้านไปหมด แถมไอ้ซันน้องรหัสหมอนี่ก็เพิ่งจะหอบเสื้อผ้าตามวีไปอเมริกาตั้งแต่สอบเสร็จ ทำให้หมอนี่ไม่มีที่พึ่งที่ไหนแล้ว... นอกจากผม
               
เออ ให้ได้อย่างนี้สิ ผมคิดถูกหรือคิดผิดวะที่ลงเรียนซัมเมอร์และไม่ได้กลับบ้านอย่างคนอื่นเขาเนี่ย
               
“แล้วเพื่อนในวงของนายไม่มีใครอยู่สักคนเลยเหรอ” ผมถามขณะกำลังรินน้ำให้แขก (ที่ไม่ได้รับเชิญ)
               
“อยู่” หมอนั่นตอบโดยที่ยังคงเล่นกับเจ้าเหมียว “แต่อยู่กับเมียพวกมัน”
               
ได้ยินดังนั้นก็ร้องอ๋อออกมาเบาๆ เหอะ คนเดี๋ยวนี้มันยังไงกันเนี่ย ยังไม่ทันแต่งงานก็อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยากันหมดแล้วเรอะ โลกมันหมุนเร็วเกินไปจริงๆ 
               
“แน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะมาอยู่ที่นี่” ผมถามพลางยื่นแก้วน้ำให้คนที่นั่งขัดสมาธิเล่นกับแมวอยู่บนเตียง เชนเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองผม เหมือนจะเตือนว่าผมเคยถามคำถามนี้ไปไม่ต่ำกว่าสองรอบ
               
ก็คนมันสงสัยจริงๆ นี่หว่า
               
“แน่ใจ” เสียงเรียบตอบและวางแก้วน้ำที่ดื่มแล้วไว้ที่หัวเตียง
               
“แต่ห้องฉันมันเล็กนะ”
               
“อือ”
               
“ห้องน้ำก็เล็ก”
               
“อือ”
               
“ไม่มีทีวีด้วย”
               
“ฉันไม่ชอบดูทีวี”
 
เออ ดูจากท่าทางแล้วก็คงไม่ชอบดูจริงๆ นั่นแหละ
               
“แล้วก็...”
               
“พอเหอะ” พอผมจะพูดขึ้นมาอีก หมอนั่นก็ขัดขึ้นซะก่อน เชนปล่อยเจ้าตัวเล็กเป็นอิสระแต่มันก็ยังคงร้องเหมียวๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนหลับตาพริ้มบนตักหมอนั่นอีกจนได้ 

“ถ้าไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วย ก็แค่บอกมา ไม่ต้องหาข้ออ้างหรอก” ไม่พูดเปล่า หมอนั่นยังลุกขึ้นโดยไม่สนใจเลยว่าเจ้าเหมียวที่นอนอยู่บนตักจะหล่นลงบนฟูกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงงๆ
               
ร่างสูงเดินไปหยิบกีตาร์คู่ใจ และกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองที่วางอยู่มุมห้อง ก่อนทำท่าจะเดินออกไป
               
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ” แต่ไม่รู้อะไรดลใจ ผมจึงเรียกหมอนั่นเอาไว้
               
ให้ตายเถอะไอ้ตรี อย่าบอกนะว่าใจอ่อนอีกแล้ว
               
ผมอยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ สักทีที่ดันรั้งเอาไว้ ทั้งๆ ที่ให้หมอนั่นไปก็ดีแล้ว เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย ให้มาอยู่ร่วมห้องกันเป็นเดือนๆ เนี่ยนะ ได้อัดอึดตายแน่ๆ
               
แต่... ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่าผมกำลังใจอ่อนจริงๆ
               
“ถ้าไม่มีที่ไป จะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้” ผมพูดออกมาในที่สุด ร่างสูงหันกลับมาก่อนจะแสยะยิ้ม
               
“ก็แค่นั้น” สีหน้าเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าทำให้ผมเบ้หน้าทันที
               
เมื่อกี้หมอนี่แค่แกล้งทำเป็นจะไปเพื่อให้ผมรั้งไว้สินะ :( ผมอยากจะเอื้อมมือไปบีบคอเขาจริงๆ เมื่อร่างสูงโยนกระเป๋าลงที่เดิม ก่อนจะเดินกลับมาเล่นกับเจ้าเหมียวที่นั่งทำตาแป๋วอยู่บนเตียง
               
เหอะ! น่าหมั่นไส้ทั้งคนทั้งแมวเลย ให้ตายสิ
               
“แต่นายต้องช่วยแชร์ค่าห้องนะ” ผมบอกเมื่อนึกขึ้นได้ ผมไม่ได้ใจดีถึงขนาดจะให้หมอนี่มาอยู่ฟรีๆ หรอกะ
คนกวนประสาทยักไหล่เหมือนจะบอกว่าไม่มีปัญหา และเอาแต่เล่นกับแมวต่อ
               
“แล้วก็นายต้องนอนพื้นด้วย” ผมพูดน้ำเสียงจริงจัง คราวนี้เจ้าของดวงตาเรียวคมเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วมองผม
               
“ก็ห้องนี้มันมีเตียงเดียว แถมเล็กอีกต่างหาก จะให้นอนเบียดกันได้ยังไง แล้วฉันก็เป็นเจ้าของห้อง ฉันก็ควรได้สิทธิ์นอนบนเตียง” ผมยื่นคำขาด เชนยังคงขมวดคิ้วมองผม แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างจำยอม
               
“ยังไงก็ได้” ว่าพลางยักไหล่
ยอมง่ายจังแฮะ แต่ก็ดีแล้วล่ะ คิดจะมาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ ก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ จะได้อยู่กันง่ายๆ นะไอ้น้อง (แน่นอนว่าพูดได้แค่ในใจ -_-)
               
เมื่อเคลียร์เรื่องแชร์ห้องเสร็จแล้ว ผมก็ปล่อยให้หมอนี่เล่นแมวต่อไป ก่อนจะเดินไปหาอะไรทำตามประสา แต่ห้องนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมายนักหรอก เล็กกว่ารูหนูแบบนี้ ผมก็แค่ทำสิ่งที่ผมทำเป็นประจำ นั่นก็คือ ทำความสะอาด มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอยู่คนเดียวนะ ที่ต้องทำเรื่องอะไรพวกนี้ด้วยตัวเอง ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ก็ไม่มีตำราเล่มไหนบัญญัติไว้นี่ว่าผู้ชายห้ามทำงานบ้าน
เอาเข้าจริงๆ ผมว่าผมทำงานบ้านเก่งกว่าเพื่อนผู้หญิงบางคนด้วยซ้ำ
               
“มันชื่ออะไร”
               
“ฮะ?” ผมถามเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็ถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังล้างจานอยู่

เอ๊ะ หรือผมแค่หูแว่ววะ

“ฉันถามว่าเจ้าตัวเล็กนี่ชื่ออะไร” ร่างสูงที่นั่งขัดสมาธิยู่บนเตียงหมุนตัวมาทางผมพลางชูเจ้าเหมียวขึ้นมาด้วย

ชื่อ...?

เออว่ะ! ตั้งแต่เก็บเจ้านี่มาเลี้ยง ผมยังไม่ได้ตั้งชื่อให้มันเลยนี่หว่า ลืมไปซะสนิทเลยแฮะ

“นี่อย่าบอกนะว่ามันยังไม่มีชื่อ” หมอนั่นขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยายืนอึ้งของผม ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะบอกตามตรง

“เออ”

“แล้วปกติเรียกมันว่าอะไร” ร่างสูงยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นอีกอย่างแปลกใจ ก่อนจะปล่อยเจ้าเหมียวลงกับเตียง แต่มันก็ยังคงเดินวนไปวนมารอบๆ หมอนั่นอยู่ดี

เห่อกันจังนะ น่าหมั่นไส้จริงๆ

“ก็เรียก...” ผมนึก “เจ้าตัวเล็ก เจ้าเหมียว... ไอ้แมวโง่...” ผมพูดชื่อที่ผมใช้เรียกเจ้าแมวตัวเล็กแต่จอมแสบนี่ (ชื่อสุดท้ายนั่น ผมเอาไว้เรียกมันเวลามันทำข้าวของพังน่ะนะ) จริงๆ มันยังมีอีกหลายชื่อเลยนะ แต่ตอนนี้ผมคิดได้เท่านี้จริงๆ

“น่าสงสารจริงๆ นะแก” คราวนี้หมอนั่นหันไปพูดกับเจ้าเหมียวพร้อมกับขยี้หัวมันเบาๆ ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็เหมือนจะชอบใจ เลยกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักให้เขาลูบหัวต่อ ผมเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่เห็นได้ยากของคนตรงหน้า ก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาบ้าง ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนท่าทางห่ามๆ อย่างหมอนี่จะรักสัตว์กับเขาเป็นด้วย

“ถ้าพ่อแกไม่ตั้งชื่อให้ เดี๋ยวฉันก็ตั้งให้เองก็ได้เนอะ”

เฮ้ๆ ผมบอกตอนไหนว่าผมเป็นพ่อมันน่ะฮะ!

แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะดูท่าคนหน้าตายจะไม่ได้สนใจผมเลย หมอนั่นยังคงนั่งลูบหัวเกาคางให้เจ้าเหมียว พร้อมกับทำสีหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด

“ชื่ออะไรดีวะ” ผมหัวเราะเมื่อเห็นหมอนั่นทำท่าคิดหนัก ผมล้างมือก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงและมองเจ้าเหมียวที่ทำหน้าเคลิ้มอยู่พร้อมกับพยายามนึกชื่อให้มันบ้าง

“พ่อชื่อตรี ลูกก็ต้องชื่อ...ตอเรส ดีมะ?” เงยหน้าขึ้นมาถามหน้าตาย

ชื่ออะไรของมันวะเนี่ย -*- แน่ใจนะว่าคิดแล้ว?

“ไม่เอา ชื่อกระแดะไป ไม่เหมาะกับแมวฉัน” ผมเบ้หน้าพลางเอื้อมมือลูบหัวเจ้าตัวเล็กบ้าง ให้หมอนี่เป็นคนคิดชื่อคงไม่ไหวหรอกมั้ง ผมคิดเองดีกว่า

ชื่อผมออกจะไทยๆ ดังนั้นผมก็อยากให้เจ้าเหมียวของผมชื่อไทยด้วย อืม...

“เตดีมั้ย?”

นั่นไม่ใช่เสียงผมหรอกนะ -_-

ผมเงยหน้ามองเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทำหน้าเหมือนกับชื่อที่ตัวเองเพิ่งพูดมามันเป็นอะไรที่เข้าท่าสุดๆ... ซึ่งผมว่าไม่เลย สักนิด

“ทำไมต้องชื่อเต” ผมถาม ชื่อประหลาดได้อีก
               
“เพราะมันมีสระเอ” ตอบสีหน้าจริงจัง
               
ผมขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรวะ?” ชื่อผมมีต.เต่า หมอนี่ก็เลยตั้งชื่อเจ้าเหมียวให้มี ต.เต่า อันนี้ผมเข้าใจ แต่สระเอนี่มาไง?
               
“เพราะฉันชื่อเชน” ร่างสูงยังคงตอบหน้าตาย
               
ผมยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก แต่หมอนี่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากตอบคำถามอะไรแล้ว เขาอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมาพร้อมกับยัดเยียดชื่อที่เพิ่งตั้งใหม่ให้ไม่ยอมหยุด

ตอนนั้นเองที่ผมเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
               

‘เพราะฉันชื่อเชน’
 
 
เชน...ตรี... เต?

...

...!!

เดี๋ยวๆ นี่ผมคิดบ้าอะไรเนี่ย ทำไมหมอนั่นจะต้องเอาชื่อผมกับชื่อเขามาผสมกันด้วยเล่า ไร้สาระจริง! ผมหยุดความคิดโง่ๆ ของตัวเองแล้วหันไปมองคนหน้าตายที่กำลังเล่นกับแมวด้วยใบหน้าที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกที ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางที่เห็นได้ยากของคนตรงหน้า

เตเหรอ?

หึ แมวบ้าอะไรเนี่ย ชื่อไม่ได้มีความน่ารักเอาซะเล้ย
 

วันต่อมา

ผมคิดว่าผมจะนอนไม่หลับซะอีก เพราะการมีคนอื่นมานอนอยู่ในห้องมันควรจะทำให้ผมรู้สึกไม่ชินสิ แต่ตรงกันข้าม พออาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนปุ๊บ ผมก็หลับเป็นตายจนถึงเช้าเลยทีเดียว ส่วนหมอนั่น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหลับไปตอนไหน เพราะล่าสุดก่อนที่ผมจะหลับไป ผมยังเห็นหมอนั่นออกไปนั่งสูบบุหรี่ ดีดกีตาร์อยู่ที่ระเบียงอยู่เลย

ผมตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้า เพื่ออาบน้ำแต่งตัว วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มเรียนซัมเมอร์ ถึงจะมีเรียนตอนสิบเอ็ดโมงนู่นก็เถอะ แต่ผมก็มักจะตื่นมากินข้าวเช้าเวลานี้ประจำอยู่แล้ว (ยกเว้นวันไหนที่มีเรียนแปดโมงเช้าน่ะนะ) ผมทำกับข้าวง่ายๆ อย่างต้มจืดและไข่เจียว และใช้โต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ แทนโต๊ะรับประทานอาหารที่ไม่สามารถยัดเข้ามาไว้ในห้องแคบๆ นี่ได้
ก่อนจะลงมือกินผมก็ไม่ลืมที่จะนำชามอาหารแมวมาไว้ข้างตัวก่อนจะเทอาหารแมวลงไปและเรียกเจ้าเตมากิน (ถึงผมจะไม่ค่อยชอบชื่อนี้เท่าไหร่ แต่เรียกๆ ไปเดี๋ยวก็คงชินปากเองนั่นแหละ) เจ้าตัวเล็กวิ่งมาด้วยความกระตือรือร้นเหมือนทุกที แต่หลังจากที่กินไปได้ไม่กี่คำมันก็เงยหน้ามองผมนิ่งๆ ก่อนจะวิ่งออกไป

เป็นอะไรของมันเนี่ย

ผมถามตัวเองในใจ พร้อมกับมองตามเจ้าเตไป ก่อนจะกระจ่างขึ้นมาเมื่อเห็นมันวิ่งไปยังร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มข้างเตียง ขนาดผมทำครัวเสียงดังขนาดนั้น ยังไม่ยอมตื่นอีกเหรอเนี่ย เชื่อเขาเลยแฮะ

เมี้ยวว

เสียงแหลมเล็กร้องขึ้นมาพลางใช้เท้าเล็กๆ สะกิดใบหน้าคมที่โผล่พ้นผ้าห่มมาแค่ครึ่งหน้าอย่างพยายามจะปลุก แต่ว่านะ แค่สะกิดจะไปตื่นได้ยังไง ต้องข่วนสิ ข่วนเลยเจ้าเหมียว เอาให้หน้าหล่อๆ ของหมอนั่นได้แผลสักแผลสิ หมั่นไส้มานานละ

เมี้ยววว

แต่แทนที่เจ้าเตจะกางเล็บออกมาข่วนอย่างที่ในผมปรารถนา เจ้าตัวเล็กกลับขยับเข้าไปและแลบลิ้นออกมาเลียใบหน้าเนียนใสของหมอนั่นแทน

“อื้อ” และดูเหมือนมันจะได้ผล เมื่อร่างใต้ผ้าห่มขยับตัวพร้อมกับครางขึ้นมาด้วยความรำคาญ ผมมองใบหน้ามู่ทู่ของหมอนั่นด้วยความรู้สึกขบขันเล็กๆ ยอมรับตามตรงเลยว่าการได้เห็นใบหน้าตอนตื่นนอนของหมอนี่เป็นอะไรที่อะเมซิ่งสุดๆ สำหรับผม

“อย่าเพิ่งกวนน่า” เสียงเข้มเอ็ดเจ้าตัวแสบพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

แต่มีหรือที่เจ้าตัวเล็กจะยอม มันกระโดดขึ้นไปนอนบนตัวของร่างหนา ก่อนจะร้องเหมียวๆ ไม่หยุด จนหมอนั่นต้องดึงผ้าห่มลงมาอีกรอบพร้อมกับพยายามลืมตาสู้แสงขึ้นมามองเจ้าตัวเล็ก

เมี้ยววว

“ฮ่ะๆ โอเคยอมแล้ว เจ้าตัวแสบ” ผมคิดว่าหมอนั่นจะโมโหและโยนเจ้าเตไปไกลๆ เสียอีก แต่ผิดคาด เขากลับบ่นกลั้วหัวเราะ ก่อนจะดึงเจ้าเตไปกอดไว้แน่นด้วยความหมั่นเขี้ยว

พอเห็นแบบนั้นผมก็อดไม่ได้แต่จะหัวเราะออกมา หนึ่งคนกับหนึ่งตัวนี่เป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีจริงๆ คนที่เป็นพ่อเจ้าเตน่าจะเป็นหมอนี่มากกว่านะ ไม่ใช่ผมหรอก ก็มันเล่นติดเขาซะขนาดนั้น

“ทำอะไรน่ะ” ดูเหมือนผมจะเผลอมองหมอนั่นนานเกินไป จนเขารู้ตัวจึงมองกลับมาพร้อมกับลุกขึ้น ร่างสูงที่อยู่ในเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงนอนสบายๆ เดินมาทางผมด้วยสีหน้าที่ยังงัวเงียอยู่ พร้อมกับเจ้าเหมียวที่วิ่งนำมากินอาหารของตัวเองเมื่อสิ้นสุดภารกิจปลุกคนขี้เซาแล้ว เชนนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะญี่ปุ่น พลางก้มลงมองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะขมวดคิ้วมองผมอย่างตำหนิ

“ไม่ชวน”

ผมยักไหล่ตอบ “ก็เห็นหลับอยู่”

ถึงผมกับหมอนี่จะอยู่ห้องเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องตื่นมาพร้อมกัน กินข้าวพร้อมกัน ทำอะไรพร้อมๆ กันสักหน่อย ต่างคนต่างอยู่ อยากทำอะไรก็ทำนั่นแหละดีแล้ว จะได้ไม่มาก้าวก่ายซึ่งกันและกันไง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใจดำถึงขนาดจะไม่ทำกับข้าวเผื่อหมอนี่หรอกนะ ผมทำเผื่อสำหรับสองคนอยู่แล้ว ยังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรูมเมทกันแล้วนี่
               
“เอาข้าวหรือเปล่า” ผมถามเมื่อเห็นคนตรงหน้ามองอาหารท่าทางเหมือนอยากกิน แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็เหมือนจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ เชนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหาวออกมาหวอดใหญ่
               
ผมว่าหมอนี่น่าจะไปนอนต่อมากกว่ามานั่งกินข้าวนะ -*-
               
แต่ผมก็ไม่ได้แย้งอะไร ได้แค่เดินกลับไปที่ครัวเพื่อตักข้าวใส่จานให้ร่างสูงที่นั่งหน้าง่วงอยู่ ตอนผมกลับมาก็เห็นหมอนี่หาวเป็นรอบที่สองก่อนจะขยี้ตาไปมาและทำหน้ามู่ทู่เหมือนยังไม่อยากตื่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีใครบังคับให้ตื่นซะหน่อย
               
เวลาตื่นนอนใหม่ๆ นี่เหมือนเด็กเลยแฮะหมอนี่ สลัดคราบนักดนตรีสุดเท่ที่ผมเคยเห็นไปอย่างกับเป็นคนละคน
               
ผมกับเชนต่างคนต่างกินข้าวในจานของตัวเองไปเงียบๆ หมอนั่นไม่พูดอะไรสักคำ ในขณะที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัด ผมเคยได้ยินนะว่า เวลาที่คนเราอยู่กับคนแปลกหน้า เรามักจะต้องพยายามหาคำพูดขึ้นมาคุยอยู่เสมอเพื่อลดความรู้สึกอึดอัดลง แต่กับหมอนี่กลับไม่เป็นแบบนั้นแฮะ อาจเป็นเพราะผมชินกับนิสัยไม่ค่อยพูดค่อยจาของเขาไปแล้วก็ได้มั้ง
               
“จะไปเรียนเหรอ” สงสัยว่าผมจะจ้องเขานานเกินไป (อีกแล้ว) ร่างสูงจึงได้เงยหน้าขึ้นมา และถามพลางมองชุดที่ผมใส่
               
“อือ”
               
“แล้วจะกลับมาตอนไหน”
               
“ตอนเย็น” ผมตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ตอนค่ำนายจะไปไหนหรือเปล่า เพราะฉันมีเล่นดนตรีที่บาร์ต่อคงกลับมาอีกทีดึกๆ นู่น” ผมถามต่อ
               
นอกจากจะอยู่ที่นี่เพื่อเรียนซัมเมอร์แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ได้กลับบ้านเพราะผมจะอยู่ทำงานพิเศษที่บาร์ซึ่งผมไปเล่นดนตรีให้ประจำ ผมทำงานที่นั่นมาตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่าสอบติดที่นี่ และย้ายของเข้ามาอยู่เชียงใหม่ เพราะชีวิตหลังสอบติดมันว่างเกินไป ผมก็เลยตั้งใจจะหางานทำ ซึ่งงานที่ง่ายที่สุดสำหรับผมก็ไม่หนีพ้นดนตรีนี่แหละ โชคดีที่พี่เจ้าของร้านเองก็เรียนจบมาจากคณะสถาปัตย์ฯ ที่นี่เหมือนกัน จึงค่อนข้างจะเอ็นดูผมอยู่พอสมควร พี่เขาเข้าใจว่าคณะเราทำงานหนัก ก็เลยอนุญาตให้ผมลาได้ เวลามีโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ หรือไม่ว่างที่จะมาเล่นให้ที่ร้านจริงๆ
               
“ฉันเองก็ต้องไปเล่นดนตรีเหมือนกัน” เชนตอบเสียงเรียบ
               
อา นั่นสินะ
               
“ถ้างั้นก็ไปพร้อมกันเลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันขับไปส่ง” ผมเสนอ ร่างสูงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะยักไหล่
               
“เอากุญแจห้องไว้ที่นายก่อนแล้วกัน เผื่อจะไปไหน แต่นายคงไม่ได้มีธุระอะไรตอนบ่ายหรอกใช่มั้ย ฉันฆ่านายแน่ถ้ากลับมาแล้วเข้าห้องไม่ได้” ผมเตือนไว้ก่อน
               
“อือ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งกินข้าวหมด 
               
“ไม่ต้อง” แต่อยู่ๆ คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะลุกขึ้นเอาจานเปล่าของตัวเองไปเก็บ มือหนาเอื้อมมือมาแย่งจานข้าวของผมไปรวมกับจานข้าวที่กินหมดแล้วของตัวเองและชามกับข้าวที่เหลือแต่น้ำซุป ก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ
               
“ให้ฉันทำตัวมีประโยชน์บ้างเหอะ” เขาพูดก่อนจะลุกขึ้น และเดินเอาจานชามทั้งหมดไปเก็บที่ครัว ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขี้ริ้วผืนเล็กมาเช็ดโต๊ะญี่ปุ่นและพับเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ ผมเดินกลับไปที่ครัวละพบว่าร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการล้างจาน ซึ่งท่าทางของหมอนี่ก็บ่งบอกให้รู้ว่าเขาคงไม่ใช่คนที่ทำงานบ้านเป็นสักเท่าไหร่
               
“ไม่เคยล้างจานหรือไง” ผมถามขณะยืนกอดอกพิงตู้เย็นมองร่างสูงที่ยืนล้างจานอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ อยู่
               
“เคย แค่ครั้งเดียว”
               
“ครั้งเดียว? คงไม่ได้หมายถึงครั้งนี้หรอกนะ” ถ้าเป็นงั้นจริงเขาไม่เรียกว่าเคยหรอก -*-
               
“เปล่า เคยตอนเด็กๆ” ร่างสูงตอบพลางขมวดคิ้วมองจานในมือที่ทำท่าจะลื่นหล่นกลับเข้าไปในอ่างทุกเมื่อ “แต่ฉันแพ้น้ำยาล้างจาน แม่ก็เลยไม่ให้ล้างอีก” คำพูดต่อมาของคนตรงหน้าทำเอาผมถึงกับเหวอไปเลย
               
“เฮ้ย! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเล่า!!” ผมร้องอย่างตกใจก่อนจะเดินเข้าไปดึงมือเขาออกจากอ่างล้างจานที่เต็มไปด้วยฟอง

“เวรๆๆ จะเป็นไรมั้ยเนี่ย รู้ว่าตัวเองแพ้แล้วจะสะเหล่อมาล้างจานทำไมวะ” ผมขึ้นเสียงด้วยความตกใจ ก่อนจะเปิดน้ำ และจัดการล้างมือให้หมอนี่ที่เอาแต่ยืนนิ่งท่าทางไม่สะทกสะท้านอะไร
               
โอ๊ย ใจเย็นไปมั้ยวะ มือตัวเองนะเว้ย!
               
“คันหรือเปล่า แสบมือมั้ย มียามั้ยเนี่ย” ผมถามเงยหน้าถาม รู้เลยว่าหน้าตาตัวเองกำลังซีเรียสขนาดไหน แต่ร่างสูงที่ควรจะเป็นคนเดือดร้อน กลับมองท่าทางตื่นตระหนกของผมด้วยแววตาขบขัน
               
ยังจะมีหน้ามาขำ ถ้าเกิดมือหมอนี่เป็นอะไรไปจะทำยังไงเนี่ย เขาต้องใช้มือคู่นี้เล่นกีตาร์นะ!
               
“ไม่ได้แพ้รุนแรงซะหน่อย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เขาว่าพลางอมยิ้ม ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
               
“แน่นะ? ไม่ต้องไปหาหมอแน่นะ” ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางมือตัวเองที่ถูกผมจับไว้ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำเรื่องงี่เง่าอะไรอยู่
               
ผมปล่อยมือออกจากฝ่ามือหนาทันที ก่อนจะถอยหลังออกมาหลายก้าว นี่ผมไม่ได้จะหลอกจับมือหมอนี่นะ! ไม่ใช่เลยสักนิด อย่าเข้าใจผิด ผมก็แค่ตกใจเท่านั้นแหละ!
               
“นาย!” ผมชี้หน้าร่างสูงที่ยังคงยืนอมยิ้มไปพลางเช็ดมือตัวเองไปพลางด้วยใบหน้าที่รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ต่อไปนี้ห้ามล้างจานอีก เข้าใจมั้ย” ผมยื่นคำขาด
               
ผมเองก็เป็นนักดนตรีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงเข้าใจดีกว่ามือทั้งสองข้างของเรามันสำคัญมากแค่ไหน ถึงจะไม่ใช่นักดนตรีมืออาชีพอะไรก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็คงไม่มีใครอยากเลิกเล่นดนตรีที่ตัวเองรักเพียงเพราะมือพังจากน้ำยาล้างจานโง่ๆ นี่หรอก จริงมั้ย
               
“หึ นายนี่เหมือนแม่ฉันไม่มีผิด”
               
แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าผมจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด เพราะเมื่อเห็นท่าทางซีเรียสเกินไปของผม หมอนี่ก็หัวเราะออกมาน้อยๆ อย่างกับผมเป็นตัวตลกงั้นแหละ
               
“นี่ฉันจริงจังนะเว้ย!” ผมโวยอีกรอบ คนตรงหน้าเลยหยุดขำ (แต่ก็ยังอมยิ้มอยู่ดี!) ก่อนจะเอื้อมมือที่ถูกเช็ดจนแห้งแล้วมาวางไว้บนหัวผม ก่อนจะตบเบาๆ สองที
               
“โอเคๆ ต่อไปนี้จะไม่ล้างจานอีกแล้วครับ พอใจยัง?”
               
ผมชะงักไปพักใหญ่ เพราะรับไม่ทันกับการกระทำของคนตรงหน้า แล้วอยู่ๆ ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ช่วงนี้...หมอนี่ยิ้มง่ายผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย?

“มีเรียนกี่โมง” เจ้าดวงตาของสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยเอ่ยออกมาทำให้ผมได้สติ และถอยห่างออกมา
               
“สะ...สิบเอ็ด” ผมตอบอึกอัก ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอึกอึกทำไม ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงสิบ เหลืออีกตั้งห้าสิบนาทีแน่ะกว่าจะถึงเวลาเรียน
               
แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าผมควรจะพาตัวเองออกจากห้องไปได้แล้ว
               
“ฉันว่า ฉันไปก่อนดีกว่า” ว่าจบผมก็เดินไปคว้าตำราเรียน พร้อมกับของใช้ที่จำเป็นและเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องมาเลย ผมปิดประตูเสียงดังกว่าทุกครั้ง แถมยังรีบเดินมากจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ

นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย?
               
ผมได้แต่ถามตัวเองในใจก่อนจะยกมือขึ้นมากุมแก้มทั้งสองข้างของตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสองมือนี้เพิ่งจะจับมือหมอนั่นมาหมาดๆ ผมก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง... นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมได้สัมผัสกับฝ่ามือหนาอย่างจริงจัง

มือของหมอนั่นหยาบอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วยแฮะ แถมยัง...ใหญ่กว่าฝ่ามือของผมตั้งเยอะแน่ะ...




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 8 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 00:57:26
8
อีกก้าว...
 
               
06.00 P.M.

ผมเคยคิดนะ ว่าการเรียนช่วงปิดเทอมมันคงจะน่าเบื่อ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะน่าเบื่อขนาดนี้ ผมไม่น่าลงเรียนติดกันสามวิชารวดเลย สภาพอากาศช่วงเดือนมีนาคมของประเทศไทยนี่ใช่เรื่องเล่นๆ ซะที่ไหน ห้องเรียนที่ไม่เปิดแอร์ก็ไม่ต่างจากเตาอบขนาดใหญ่ที่อัดคนสามสิบกว่าคนเข้าไปแย่งอากาศหายใจกันนั่นแหละ นี่ผมต้องทนแบบนี้ไปเกือบสองเดือนเลยเหรอเนี่ย ให้ตาย! ผมกลับห้องมาในสภาพเหงื่อท่วมตัว โชคดีที่รถไม่ติด ไม่อย่างนั้นผมคงจะหงุดหงิดมากกว่านี้
ด้วยความที่ลืมไปซะสนิทว่าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ห้องด้วย ทำให้ผมเผลอล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แต่เมื่อรู้ตัวผมก็เปลี่ยนเป็นเคาะประตูแทน
               
ก๊อกๆ
               
“ไม่ได้ล็อก” เสียงจากคนในห้องตอบกลับมา ผมบิดลูกบิดเข้าไป ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อร่างสูงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอยู่ในสภาพที่... ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่
               
ทำไมไม่บอกก่อนวะว่าแก้ผ้าอยู่ -*-
               
ผมแสร้งทำเป็นเดินเอาของไปเก็บบนโต๊ะหนังสืออย่างไม่คิดอะไร พยายามไม่มองร่างกายที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันเอวอยู่ผืนเดียวของหมอนั่น แต่ร่างกายสมส่วนที่มีหยดน้ำเกาะพราว และผมที่เปียกไม่เป็นทรงนั่นก็ดึงดูดสายตาผมเกินไปอยู่ดี
               
ให้ตายๆ ผมต้องบ้าแน่ๆ ที่เห็นว่าผู้ชายด้วยกันฮอตมากขนาดนี้
               
“จะอาบน้ำหรือเปล่า” ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ร่างสูงหันมาถาม
               
“ฮะ?”

อะ...เออ ยอมรับเลยว่าไม่ได้ฟังเลยสักนิด
               
เชนขมวดคิ้วก่อนจะถามใหม่อีกรอบ “จะอาบน้ำก่อน หรือว่าจะไปเลย”
               
“อ่อ” ผมร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะมองนาฬิกา เพิ่งหกโมงนิดๆ เอง ปกติผมไปที่ร้านตอนสองทุ่มนู่น แถมวันนี้อากาศร้อนตับแลบอีกต่างหาก จะไม่อาบก็คงไม่ไหว 

“อาบสิ” ผมตอบก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แหละหยิบเสื้อยืดกางเกงยีนตัวโปรดออกมา
               
ถ้าเป็นปกติผมคงหยิบไปแค่ผ้าเช็ดตัวนั่นแหละ แต่... ตอนนี้มันปกติซะที่ไหนล่ะ!
               
ผมอาบน้ำด้วยความคิดในหัวที่ว่า ผมต้องคิดผิดแน่ๆ ที่ยอมให้หมอนี่มาอาศัยอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเองก็ดูไม่ได้เดือดร้อนอะไร ออกจะง่ายๆ สบายๆ ด้วยซ้ำ ขนาดผมให้นอนที่พื้นยังไม่บ่นซักคำเลย แต่กลับเป็นผมนี่แหละที่รู้สึกแปลกๆ เวลาที่หมอนั่นทำนู่นทำนี่
               
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเอาแต่จ้องมองการกระทำของหมอนั่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่าทีหลายๆ อย่างของเขา เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น... แต่ยังไงก็เถอะ ไอ้การที่ผมมานั่งว้าวุ่นใจอยู่แบบนี้มันไม่ใช่ตัวผมเอาซะเลย ปกติแกเป็นคนสุขุมกว่านี้นี่ ไอ้ตรี!
               
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมใช้เวลาในการอาบน้ำนานเกินครึ่งชั่วโมง ถึงจะสระผมด้วยก็เถอะ แต่ปกติผู้ชายอาบน้ำแค่สิบนาทีก็เสร็จ เพราะผมเอาแต่คิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่นั่นแหละ ทำให้ไม่ได้ดูเลยว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมเดินออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพที่เสื้อผ้าครบชุดจนคนที่นั่งเล่นกับแมวอยู่บนเตียงถึงกับขมวดคิ้ว
               
หมอนั่นยังไม่ใส่เสื้ออีกเรอะ รู้หรอกน่าว่าหุ่นดี แต่ไม่ต้องขยันโชว์มากก็ได้มั้ง :(
               
“ทำไมไม่ใส่เสื้อ” เร็วเท่าความคิด ปากผมโพล่งถามออกไปก่อนที่ผมจะรู้ตัวซะอีก ร่างสูงเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะตอบ
               
“ผมยังไม่แห้ง” ว่าแล้วมือหนาก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่ที่คอเช็ดผมที่ยังเปียกอยู่ของตัวเอง เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“นายนั่นแหละ ใส่เสื้อทั้งอย่างนั้นเดี๋ยวเสื้อก็เปียกหมด” หมอนั่นยอกย้อน
               
จริงๆ ก็ไม่เดี๋ยวหรอก ตอนนี้หยดน้ำที่อยู่บนเส้นผมที่เพิ่งสระใหม่ๆ มันหยดลงมาเปียกเสื้อผมไปหมดแล้ว แต่ช่างมันเถอะ เปียกได้เดี๋ยวมันก็แห้งได้เองนั่นแหละ ผมบ่นในใจก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเองคลุมหัวที่เปียกไว้ พลางเดินไปหาขนมขบเคี้ยวที่มักซื้อมาตุนไว้กิน เพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ แล้ว ปกติวันไหนถ้าผมต้องไปเล่นดนตรีที่ร้าน ผมก็จะไม่ทำมื้อเย็น เพราะว่าพี่เจ้าของร้านใจดีให้ผมกินข้าวฟรีที่ร้านได้ มันเป็นการทุ่นค่าใช้จ่ายของผมได้มากทีเดียว
               
“เอาขนมปังมั้ย” ผมถามร่างสูงที่นั่งเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียง
               
หมอนั่นเลิกเล่นกับเจ้าเตแล้ว ปล่อยให้มันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ในขณะที่มือหนาเอื้อมไปหยิบกีตาร์ของตัวเองขึ้นมาดีดเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้าตอบ ก่อนจะก้มลงดีดกีตาร์อีกรอบ
               
ผมเลิกสนใจหมอนั่น คาบขนมปังถั่วแดงไว้ในปาก แล้วเดินไปเก็บกีตาร์ของตัวเองใส่กระเป๋าเตรียมออกไป
               
“นายต้องไปที่ผับกี่โมง” ผมถามทั้งที่กำลังเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ ชิ้นมันเล็กไปเปล่าวะ กินไม่ถึงสามคำก็หมดแล้วมั้งเนี่ย
               
“วงฉันขึ้นเล่นตอนสี่ทุ่ม” เขาตอบโดยที่ยังคงก้มหน้าดีดกีตาร์อยู่
               
“โห อีกนานเลยแฮะ หรือนายจะไปเองดี” ผมถามพลางเช็ดผมไปด้วย ถ้าไปตอนนี้ ก็ต้องรออีกเกือบสามชั่วโมงเลยนะ
               
“ไม่เป็นไร ไปก่อนก็ดี” ว่าพลางวางกีตาร์ไว้ข้างเตียง เขาเดินไปค้นกระเป๋าเป้ของตัวเองที่ยังคงวางอยู่ที่พื้น ก่อนจะหยิบเสื้อยืดคอวีสีเทาออกมาใส่ แล้วผึ่งผ้าเช็ดผมไว้บนกระเป๋าอย่างลวกๆ
               
มันเป็นเสื้อที่โชคดีมากเลยนะที่ได้มาอยู่บนตัวของหมอนี่ จะมีสักกี่คนกัน ที่จะใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ แล้วดูดีระดับห้าดาวได้ขนาดนี้
               
เออ แล้วทำไมผมต้องมานั่งชมหมอนี่ตลอดเวลาด้วยวะ ให้ตาย สมองผมต้องมีปัญหาแน่ๆ ช่วงนี้ถึงได้เอาแต่คิดอะไรแปลกๆ
               
“จริงๆ นายใช้ตู้เสื้อผ้าก็ได้นะ ยังไงเสื้อผ้าฉันมันก็ไม่เต็มอยู่แล้ว” ผมบอก จริงๆ เสื้อผ้าผมมีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไม่รู้จะมีตู้ใหญ่มหึมาเอาไว้ให้เปลืองพื้นที่ทำไม
               
“อือ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมาถามผมเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ไปยัง”
               
“อือ” ผมตอบ พร้อมยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากและผึ่งผ้าเช็ดผมไว้กับเก้าอี้ ความจริงก็อยากรอให้ผมแห้งกว่านี้อยู่เหมือนกันนะ แต่เอาเถอะตากลมไปเดี๋ยวมันก็แห้งเหมือนกันนั่นแหละ
ผมยกกระเป๋ากีตาร์ขึ้นพาดบ่า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเดินออกจากห้อง

“แล้วไม่เอากีตาร์ไปเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นร่างสูงเดินตัวปลิวตามมา
               
แต่แทนที่จะตอบคำถามผม หมอนี่กลับนั่งลงไปลูบหัวเจ้าเตที่วิ่งตามมาทำตาละห้อย “เดี๋ยวกลับมา” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นและปิดประตู ได้ยินเสียงเจ้าเตร้องเหมียวๆ ลอดออกมา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกผมต้องไปทำมาหากินนี่หว่า

“ฉันเล่นกีตาร์ไฟฟ้า” อยู่ๆ ร่างสูงก็หันกลับมาพูดพร้อมกับยื่นกุญแจห้องที่ผมฝากไว้เมื่อเช้ามาให้

จนผมลืมคำถามตัวเองไปแล้วมั้ง

“พอโดนไล่ออกจากห้อง ยังไม่รู้จะไปอยู่ไหน ฉันก็เลยเอากีตาร์ไปฝากไว้ที่ร้านก่อน แบกไปแบกมาสองตัวมันเกะกะ” ว่าพลางเดินนำหน้าไป ผมเลยเดินบ้าง

ผมพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเหตุผลที่หมอนี่มาอยู่ห้องผมเพราะอะไร “แล้ว...ตอนนี้นายกับฟ้าได้คุยกันบ้างหรือยัง”

“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ ขณะเดินลงบันได
               
“แล้วฟ้าว่ายังไงบ้าง พ่อแม่เขายังโกรธนายอยู่หรือเปล่า” ผมถามต่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกแย่แทนหมอนี่ขึ้นมา
               
ถ้าเป็นผมโดนพ่อแม่แฟนกีดกันแบบนี้ ผมก็คงแย่ไปเลยเหมือนกัน ผมเคยลองคิดเล่นๆ นะ ว่าถ้าผมกับไอ้ซัน... ได้คบกันจริงๆ... ผู้ใหญ่ของพวกเราจะยอมหรือเปล่า... แต่มันก็เป็นได้แค่การคิดเล่นๆ นั่นแหละ เพราะไม่ว่ายังไง เรื่องแบบนั้นก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก
               
“ก็คงโกรธ” เขาเว้นวรรคนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ยัยนั่นบอกว่าพ่อแม่บังคับให้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดตั้งแต่พรุ่งนี้เลย”
               
อ่า... ฟังดูเลวร้ายอยู่นะ
               
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ” ผมถามพลางกดปลดล็อกรถ ห้องพักผมอยู่แค่ชั้นสอง ทำให้ใช้เวลาเดินไม่นานเท่าไหร่
               
“ไม่รู้สิ” ร่างสูงตอบพร้อมกับเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ผมเลยชะงักนิดหน่อย
               
“เฮ้ เดี๋ยวฉันขับเอง” ผมแย้ง แต่คนตรงหน้ากลับแบมือออกมา
               
“ฉันเป็นรุ่นพี่” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพูดเสียงเรียบในประโยคที่ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย
               
แต่นี่มันรถผมนะเว้ย
               
ผมอยากจะเถียงออกไปอยู่หรอกนะ แต่สีหน้านิ่งๆ ดูจริงจังของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมรู้ว่า เถียงไปก็เท่านั้น ผมเลยจำยอมส่งกุญแจรถไปให้ร่างสูงที่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ
               
เอาเหอะ บางทีให้คนอื่นขับรถให้บ้างก็คงสบายดีเหมือนกัน
               
รถโฟล์คสีน้ำเงินแล่นไปตามถนนที่มีรถไม่มากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ทำให้คนแถวนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา พากันกลับภูมิลำเนาของตัวเองกันไปหมด จริงๆ ผมเองก็อยากกลับบ้านนะ แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากลับไปก็ไม่เจอใครอยู่ดี ก็เลยไม่กลับดีกว่า
               
พ่อแม่ของผมเขาไปทำงานที่ต่างประเทศกันหมดน่ะ นานๆ ทีถึงจะกลับบ้านที ทำให้ผมต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนม.5 แต่การที่ครอบครัวไปทำงานต่างประเทศไม่ได้หมายความว่าบ้านของเรารวยหรอกนะ เพราะธุรกิจของครอบครัวผมก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ทำให้ผมต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผมควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกท่าน ทุกวันนี้อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดเพื่อจะได้ไม่รบกวนเงินจากทางบ้านมากนัก เพราะลำพังค่าเทอมของคณะเรา มันก็มากกว่าคณะอื่นๆ เป็นเท่าตัวแล้ว
               
“แป๊บนะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่จอดรถเทียบฟุตบาท แล้วเปิดประตูรถลงไปเฉยเลย
               
ผมมองตามร่างสูงที่วิ่งออกจากรถ ก่อนจะเห็นว่าเขาหายเข้าไปในร้านที่ดูเหมือนจะขายของสำหรับสัตว์เลี้ยง ไม่นานหมอนั่นก็กลับออกมาอีกรอบ พร้อมอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ
               
“อะไรน่ะ” ผมถามทันทีที่เขากลับเข้ามาในรถ เชนสตาร์ทรถอีกรอบ ก่อนจะส่งไอ้ของที่อยู่ในมือมาให้ผม
“ปลอกคอ?” ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มันคือปลอกคอเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลที่มีกระดิ่งติดอยู่ด้วย
               
“ของไอ้เตมัน” ไม่ต้องรอให้ผมได้ถาม คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตอบขึ้นมาโดยที่ตายังคงมองไปที่ถนนข้างหน้าอยู่ มุมปากหมอนี่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมาด้วยล่ะ
               
“มันยังเล็กอยู่เลย ใส่ปลอกคอได้เหรอ?”
               
“อ้าว ใส่ไม่ได้เหรอ” คราวนี้หมอนี่หันมาเลิกคิ้วถามท่าทางเหมือนตกใจ
               
“ไม่รู้” ผมได้แต่ยักไหล่ ก็ไม่เคยเลี้ยงสัตว์เหมือนกันล่ะนะ คงตอบอะไรไม่ได้หรอก

“แล้วนึกยังไง อยู่ๆ ถึงอยากซื้อปลอกคอให้มันเนี่ย” ผมถามต่อ รู้สึกแปลกใจนิดๆ ขนาดผมเป็นคนเก็บมาเลี้ยง ยังไม่คิดจะซื้อปลอกคอให้มันเลย
               
เชนเบือนหน้ากลับไปที่ถนนอีกรอบ ก่อนจะตอบเสียงเบากว่าทุกที “ก็... กลัวมันหาย” น้ำเสียงอ้อมแอ้มที่เจือไปด้วยความเขินอายทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา

“ดูท่าทางนายจะรักมันมากเลยนะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ

ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าเต หมอนี่ดูอารมณ์ดีมากจริงๆ นะ ถึงจะไม่ได้หัวเราะ หรือคุยกับมันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนรักสัตว์คนอื่นๆ ที่ผมเคยเห็นก็เถอะ แต่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขา แววตาที่มองที่เจ้าเตนี่ มีแต่ความเอ็นดูแฝงอยู่ล้วนๆ

“ก็ฉันเป็นพ่อมันนี่” เจ้าของเสียงเรียบตอบขึ้นมา

“ไหนตอนแรกบอกว่าฉันเป็นพ่อมันไง” ผมหันไปแย้ง

“มีพ่อสองคนก็ได้ ไม่เห็นจะแปลก”

“แปลกสิ มีใครที่ไหนมีพ่อทีเดียวสองคนมั่งล่ะ” ผมเถียงต่อ จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะแย่งไอ้ตำแหน่งคุณพ่อนี่สักเท่าไหร่หรอกนะ แต่เห็นท่าทางเห่อเจ้าเตของหมอนี่แล้วอดหมั่นไส้จนอยากจะเอาชนะให้ได้ขึ้นมาซะงั้น แต่คนอยากเอาชนะอย่างผมก็ต้องชะงักไป เมื่อเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยหันมาสบตานิ่งๆ

“ก็เจ้าเตไง” ว่าพลางแสยะยิ้มมุมปากดูร้ายกาจเหมือนอย่างเคย “หรือจะให้ฉันเป็นพ่อ แล้วนายเป็นแม่ล่ะ?”

“...!!”

อะ...ไอ้...

พอๆๆ ไม่เถียงแล้วก็ได้วะ!
                               
               

08.45 P.M.
 
Staring at the ceiling in the dark
Same old empty feeling in your heart
'Cause love comes slow and it goes so fast

นิ้วเรียวไล้ไปตามสายกีตาร์ตัวโปรด พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยเป็นทำนองเพลงติดหูซึ่งถูกขอมาจากลูกค้าเจ้าประจำของร้าน ด้วยความที่เล่นมาหลายรอบทำให้ผมเกาคอร์ดได้อย่างชำนานโดยไม่ต้องดูโน้ตเพลงเลย
เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วสำหรับคืนนี้ ปกติผมจะเล่นดนตรีแค่คืนละชั่วโมงเท่านั้นเพราะช่วงหัวค่ำยังเป็นบรรยากาศชิลๆ เหมาะกับดนตรีโฟล์คซองฟังสบายๆ หลังจากนี้ที่ร้านจะมีวงดนตรีหลากหลายแนวที่จ้างมาเล่นเป็นคืนๆ ไป
 
Well you see her when you fall asleep
But never to touch and never to keep
'Cause you loved her too much
And you dived too deep
 
ขณะที่ไล้นิ้วไปตามสายกีตาร์ สายตาของผมก็เผลอเหลือบมองไปยังโต๊ะที่อยู่ในสุดด้านขวามือโดยไม่ได้ตั้งใจ...
หรืออาจจะตั้งใจโดยไม่รู้ตัวก็ได้... แต่ที่แน่ๆ สายตาของผม ดันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่กำลังจ้องมาทางนี้เหมือนกัน ด้วยสายตานิ่งๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ในแบบของเขา
               
นี่หมอนั่นยังนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย ผมคิดว่าไปที่ร้านแล้วเสียอีก ผมอุตส่าห์ให้กุญแจรถไปแล้วนี่นา
จริงอยู่ว่าหมอนี่มารถผม และถ้าเขาเอารถไปผมก็คงเดินทางลำบาก แต่ยังไงร้านที่หมอนี่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากเท่าไหร่ ผมเดินตามไปทีหลังก็ได้
 
Well you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missin' home
Only know you love her when you let her go
 
               
ไม่รู้ว่าผมจ้องนานเกินไปหรือยังไง เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นั่งตีหน้านิ่งมาตลอดจึงกระตุกยิ้มมุมปากออกมา ผมได้ยินเสียงหัวเราะร้ายกาจของเขาในจินตนาการเลยด้วยซ้ำ ผมเบ้หน้ากลับไป เพราะไม่รู้ว่าอยู่ๆ หมอนั่นขำอะไร หน้าผมมีอะไรให้ขำงั้นเหรอ มองทีไรก็หัวเราะอยู่ได้ ผมไม่ใช่ตัวตลกสักหน่อย
               
“หึ” แต่อยู่ๆ ผมก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับเบือนหน้านีจากดวงตาคมกริบคู่นั้น
จริงๆ การมีคนมานั่งจ้องตรงๆ แบบนี้มันก็รู้สึกเขินแปลกๆ เหมือนกันแฮะ ถึงแม้ผมจะทำงานแบบนี้ แต่นักดนตรีในร้านอาหาร ใช่ว่าจะมีคนให้ความสนใจนี่นา ทุกคนล้วนมาพบปะกัน เฮฮากัน กินเหล้ากัน ดนตรีโฟล์คซองเบาๆ อย่างผม มันก็เป็นแค่ส่วนประกอบที่ทำให้คนเจริญอาหารขึ้นก็เท่านั้น
               
ผมกล่าวขอบคุณแขกในร้านที่ดูเหมือนจะไม่ได้มีใครสนใจฟังเท่าไหร่ ก่อนจะเก็บกีตาร์และเดินลงจากฟลอร์เล็กๆ มา ก่อนจะเดินไปลาพี่เจ้าของร้านและรับค่าจ้างรายวันมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนสีเข้มเก็บเงินค่าอาหารบนโต๊ะเสร็จและเดินมาทางนี้เช่นกัน ผมหันไปมองหน้าหมอนั่นที่ยังคงยกมุมปากเป็นรอยยิ้มร้ายกาจค้างอยู่
               
“ยิ้มอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม แต่คนตรงหน้ากลับยักไหล่น้อยๆ
               
“เปล่า” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าผมออกไปนอกร้านเฉยเลย ผมเดินตามไปด้วยอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดกับความกวนประสาทของหมอนี่ ก่อนจะนึกขึ้นได้
               
“ฉันให้กุญแจนายไปตั้งนานแล้วนะ ทำไมนายยังอยู่อีกล่ะ” จริงอยู่ว่ามันเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาทำงานของหมอนี่ แต่ไปก่อนก็ได้นี่นา อย่างน้อยไปที่ร้านเขาก็อาจจะมีเพื่อนคุยบ้าง ไม่ใช่มานั่งแกร่วกินเหล้าอยู่คนเดียวแบบนี้ เพราะดูแล้วบาร์ชิลๆ แบบนี้ดูจะไม่ใช่แนวเขาเท่าไหร่
               
“ขี้เกียจ” เขาว่าพลางปลดล็อกรถโฟล์คสีน้ำเงินของผม ผมเบ้หน้านิดหน่อยและเดินไปเปิดประตู
               
“แล้วก็...” แต่หมอนั่นก็พูดอะไรต่อ ขณะที่เปิดประตูฝั่งคนขับเช่นกัน “ถ้าฉันเอารถไป แม่เจ้าเตก็ต้องเดินขาลากน่ะสิ” คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแสนกวนประสาทนั่นทำต่อมโมโหผมปะทุขึ้นมาอีกรอบ ผมชูนิ้วกลางใส่หมอนั่นก่อนจะเข้ามานั่งเบ้หน้าบ่นอุบอิบในรถ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะโมโหผมกลับได้ยินเสียงหัวเราะของหมอนั่น ก่อนที่เขาจะเข้ามานั่งประจำหลังพวกมาลัยและออกรถด้วยใบหน้าอารมณ์ดีที่แกล้งยั่วโมโหผมได้
               
เออ กวนประสาทเข้าไปเหอะ ถ้าไม่เห็นว่าอายุมากกว่าผมต่อยหมอนี่น่าแหกไปแล้ว คนบ้าอะไร ปากหมาได้หน้าตายสุดๆ!
               
               
01.23 A.M.
หลังจากนั้นไม่นานเราก็มาถึงผับที่เชนทำงานอยู่ ผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้ไกลเลย อยู่ถัดไปอีกแค่สามซอยเท่านั้น ผมนั่งจิบเบียร์ดูวงหมอนั่นเล่นซึ่งมันก็สุดยอดเหมือนเคย ดูท่าทาง The Quantum จะเป็นวงเรียกลูกค้าประจำร้านเลยทีเดียว ด้วยหน้าตาของสมาชิกวงที่หล่อเริดยิ่งกว่าบอยแบนด์เกาหลี แถมยังฝีมือการเล่นดนตรีที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างจากหน้าตาเลย ลูกค้า โดยเฉพาะสาวๆ ก็เลยติดกันงอมแงม

หลังจากที่พวกนั้นเล่นจบแล้วผมก็ได้นั่งกินเหล้าอยู่กับพวกเขาอยู่พักใหญ่ ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้หยิ่งอย่างที่คิด ผมเคยบอกใช่มั้ยล่ะว่าบุคลิกของคนในวงนี้ดูจะนิ่งๆ โหดๆ เหมือนกันหมด แต่จริงๆ พวกนั้นก็มีมุมอื่นที่ไม่ใช่แค่นั่งเก๊กไปวันๆ ล่ะนะ เหมือนเชนไง ตอนแรกผมก็เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นคนนิ่งๆ โหดๆ ติดจะเย็นชา แต่พอได้รู้จักจริงๆ ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะมีมุมอ่อนโยน รักสัตว์อย่างคนอื่นเขาด้วย ถ้าไม่เจอกับตาผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละ

จากที่ได้คุยกับคนพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าที่พวกเขาฟอร์มวงขึ้นมาได้เพราะพวกเขาเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์เหมือนกัน แล้ว เตอร์ ที่เป็นนักร้องนำและเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของเชน ก็เป็นตัวตั้งตัวตีชวนคนอื่นๆ มาร่วมวง แล้วสุดท้ายก็ได้ วิน กับ ต้า มาเล่นเบสและกลองให้ ตอนแรกพวกเขาตั้งใจฟอร์มวงขึ้นมาประกวดในงานของคณะเท่านั้น แต่ด้วยฝีมือที่เตะตารุ่นพี่ ทำให้พวกเขาถูกขอร้องให้ขึ้นแสดงในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยบ่อยๆ

แน่นอนว่าผมไม่เคยไปดูเลยสักครั้ง ก็แหงล่ะ ผมมีเวลาว่างไปเข้าร่วมกิจกรรมอะไรซะที่ไหน

ทุกคนยังจำเรื่องที่เชนมาชวนผมเข้าวงได้มั้ย ผมเพิ่งรู้ว่าหมอนั่นไม่ได้ชวนผมเล่นๆ อย่างที่คิด แต่เป็นเพราะ วิน ที่เป็นมือเบสจะไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศในเร็วๆ นี้ พวกเขาก็เลยอยากหาคนมาเล่นแทนชั่วคราว ตอนแรกพวกเขาก็อยากจะหามือเบสหรอกนะ แต่ก็ยังไม่เจอคนที่เคมีเข้ากันได้สักที เป็นจังหวะเดียวกับที่เชนไปเห็นผมเล่นดนตรีที่บาร์ (ตอนไหนก็ไม่รู้) แล้วไปบอกกับเพื่อนเขา ทุกคนเลยลงมติกันว่าจะลองชวนผมไปเล่นกีตาร์ให้วงและใช้เชนไปเล่นเบสแทน  (เพื่อนเขาบอกว่าหมอนี่เล่นได้หมดทุกอย่างแหละ กีตาร์ เบส กลอง เหอะ! ความสามารถทางดนตรีจะล้นทะลักไปมั้ย -*-) แถมจากที่คุยกันวันนี้ พวกเขาก็ดูจะถูกชะตากับผมไม่น้อย ก็เลยลองให้ผมทบทวนดูอีกรอบ

พอพวกเขาบอกว่าถ้าผมปฏิเสธก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนแล้ว ผมก็เริ่มใจอ่อนนิดๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงไปหรอกนะ

แต่เอาจริงๆ ถึงผมจะเล่นกีตาร์มาตั้งแต่สมัยประถม และเล่นเพลงได้ทุกแนวก็เถอะ แต่ให้ร่วมวงกับคนอื่นนี่ไม่ชัวร์จริงๆ ว่ะ ผมเคยคิดจะฟร์อมวงกับเพื่อนเหมือนกันตอนม.ปลาย แต่เพราะแต่ละคนต่างก็เอาตัวเองเข้าว่า ไม่มีทีมเวิร์คเลยสักนิด นัดซ้อมก็มาไม่ค่อยครบ สุดท้ายมันเลยล่มไม่เป็นท่า ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าจะเข้ากับพวกนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า ยังไงพวกเราก็เพิ่งคุยกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมในวงเหล้าอีก ใครจะไปรู้ ที่คุยกันง่ายๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ได้

“เฮ้อ” ผมถอนใจออกมาเบาๆ และเลิกคิดเรื่องวงดนตรี ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองที่วางเอาไว้บนหัวเตียงออกมากดเข้าเฟสบุ๊คซึ่งถูกเปิดค้างไว้ที่หน้าเฟสของไอ้ซัน...

อาจจะดูโรคจิตนิดๆ นะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมทำเป็นประจำก่อนนอน หลังจากที่มันตามวีไปอเมริกา และดูเหมือนจะอยู่ที่นั่นตลอดปิดเทอม ผมเลื่อนไทม์ไลน์ที่มีรูปของมันกับวีพร้อมกับญาติของวีที่ทั้งสองคนไปอาศัยอยู่ด้วยไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ สีหน้ามีความสุขของมันทำให้ผมยิ้มออกมาได้ทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขนั้นเลยก็ตาม ผมได้แต่ดูรูปภาพแต่ละรูปของคนที่ผมแอบรัก และลอบยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด

เชนคงจะหลับไปแล้ว หมอนั่นอาบน้ำและนอนก่อนผมซะอีก อาจเพราะคืนนี้เขาดื่มไปไม่น้อยเลย (ถึงผมจะไม่เห็นแววความเมาของเขาเลยอ่ะนะ) กลับห้องมาก็เลยไม่อยากทำอะไร ผมดูรูปในไทม์ไลน์ของไอ้ซันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น นานหลายนาที จนกระทั่งเริ่มง่วงแล้ว จึงปิดเฟสและวางโทศรศัพท์ลงที่เดิมเตรียมนอน แต่เสียงเจ้าเตที่ร้องเหมียวๆ ขึ้นมาก็ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกรอบ

เมี้ยวว

ถึงในห้องจะมืดสนิท แต่ความเงียบก็ทำให้ผมพอจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อดูว่ามันร้องทำไมแต่เสียงของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ดังขึ้นมาซะก่อน

“เต มานี่มา” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน เสียงร้องพร้อมกับเสียงกระดิ่งจากปลอกคอที่หมอนั่นสวมให้มันดังขึ้นมาบ่งบอกว่ามันกำลังวิ่งเข้ามาหาเจ้าของเสียงอย่างว่าง่าย

ผมพลิกตัวกลับไปยังฝั่งที่หมอนั่นนอนอยู่ ก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ “ยังไม่หลับเหรอ”

 “อืม” เจ้าของเสียงทุ้มตอบสั้นๆ พร้อมกับร่างที่ขยับตัว ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไรแต่เสียงครางด้วยความพอใจจากเจ้าเตก็ทำให้พอจะเดาออกว่าหมอนี่คงจะลูบหัว หรือไม่ก็เกาคางให้มันอยู่ล่ะมั้ง

ไม่นานเสียงเจ้าเตก็เงียบไป ในห้องเหลือแต่เสียงของพัดลมที่กำลังทำงานอยู่ ผมพลิกตัวกลับมานอนหงายอีกรอบ ก่อนจะหาเรื่องคุย “มันหลับไปแล้วเหรอ เจ้าเตน่ะ” ผมถาม

“น่าจะ” เขายังคงตอบสั้นๆ กลับมา ผมลืมตามองเพดานห้องในความมืดปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพักใหญ่

“ปวดหลังหรือเปล่า” อยู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ผมเองก็เคยนอนพื้นนะ ตอนรับน้องหรือตอนทำงานที่สตูดึกๆ มันไม่มีฟูกนิ่มๆ ให้เรานอนเหมือนตอนนี้หรอก นอกซะจากจะมีใครพกไปทำงานด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่ผมแน่นอน และทุกครั้งที่ต้องนอนพื้นสตูดิโอแข็งๆ พอตื่นเช้ามาหลังของผมก็จะระบมไปหมดทุกที

“นิดหน่อย” เขาตอบ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงพลิกตัวอีกรอบ “ถามทำไม จะให้ฉันขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยหรือไง”

“ฝันเหอะ” ผมตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ก็แค่ถามดู ถ้านายปวดหลัง ไปซื้อฟูกเล็กๆ มาปูก็ได้นะ หรือไม่ก็ลองเอาผ้าห่มอีกผืนที่อยู่ในตู้มาปูอีกชั้น เผื่อจะช่วยได้” ผมบอก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมมีผ้านวมอีกผืนที่เอาไว้ห่มตอนหน้าหนาว (อากาศหนาวที่เชียงใหม่ไม่ใช่เล่นๆ เลย) แต่ตอนนี้อากาศมันร้อนตับแลบ ผมเลยเก็บมันไว้ในตู้ ไม่ได้เอาออกมาใช้

“ช่างเถอะ นอนพื้นก็เย็นดี” ตอบอย่างไม่ยี่หระ

“แน่ใจ? ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกขึ้นมา อย่ามาโทษฉันทีหลังนะ” ผมบอกก่อนจะพลิกตัวกลับไปอีกด้าน รู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะ

“นายจะเอายังไงเรื่องที่ฉันชวนเข้าวง” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหลับ เสียงทุ้มก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน

“ไม่รู้สิ” ผมตอบพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ “ขอคิดดูก่อนละกัน” ว่าพร้อมกับตาที่ปิดลงอย่างช้าๆ

“...”

หมอนั่นเงียบไปนานจนผมคิดว่าเขาอาจจะหลับไปแล้ว หรือจริงๆ ผมเองนี่แหละที่กำลังจะหลับ สติสัมปชัญญะของผมค่อยๆ หายไปทีละนิด พร้อมกับห้วงนิทราที่เข้ามาครอบคลุม

“ฉันอยากได้นายมาร่วมวงจริงๆ นะ” เสียงทุ้มดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่มันเลื่อนลอยมาจนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันหรือเปล่า

“...”

“แล้วก็ ฉันยังไม่ได้บอกนายเลยสินะ... เรื่องที่ให้มาอยู่ห้องด้วยน่ะ”

“...” หูของผมยังคงได้ยินเสียงนั้นอยู่ แต่ดูเหมือนจะจะเบาลงเรื่อยๆ พร้อมกับสติของผมที่กำลังดับลงอย่างช้าๆ และไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็หลับไป โดยไม่ทันได้ฟังคำพูดหลังจากนั้นของเจ้าของเสียงทุ้มนั่นเลย

“ขอบคุณ”

“...”

“...”

“zzZ...”

“เฮ้ หลับแล้วเหรอ?”

“zzZZ...”

“บ้าชะมัด หลับหนีกันเฉยเลย”

“zzzZZ...”

“หึ... ฝันดีครับ”




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 8 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccoooon ที่ 27-03-2016 02:08:42
มาลงรวดเดียวเลยยยย  :laugh:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 9 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 20:23:53
9
ความเปลี่ยนแปลง
               
หลายวันต่อมา
               
วันนี้ผมตื่นตั้งสิบโมงกว่า เพราะดันละเมอกดปิดนาฬิกาปลุกซะงั้น อย่าว่าแต่กินข้าวเช้าเลยแม้แต่อาบน้ำยังแทบจะไม่ทันด้วยซ้ำ ผมเข้าห้องเรียนไปในสภาพกระเซอะกระเซิงสุดๆ แถมยังง่วงสุดๆ อีกต่างหาก ทั้งที่ก็นอนเยอะแล้วนะ ผมเดินหาวออกมาจากห้องเรียนหลังจบคลาสแรก แต่ก็ยังเหลืออีกสองวิชาแน่ะ แถมตึกเรียนยังอยู่คนละโยชน์อีก

เฮ้อ ขี้เกียจขับรถชะมัด
               
“กูอาศัยรถมึงไปด้วยนะไอ้ตรี” ไอ้เวสเดินมากอดคอผม ตอนเรียนอยู่ก็เห็นมันบ่นๆ อยู่ว่าเมื่อเช้ารถเสียจนต้องอาศัยเพื่อนคนอื่นมาเรียน
               
“อือ เอาดิ” ผมตอบเนือยๆ พร้อมกับหาวอีกรอบ ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้เนี่ย
               
“พี่นิวไม่ต้องไปส่งฟ้าทุกที่ก็ได้นะคะ ฟ้าไปไหนมาไหนเองได้” ผมชะงักฝีเท้าลง เมื่อได้ยินเสียงหวานคุ้นหูของใครบางคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา
               
“จะให้พี่ทิ้งฟ้าไว้ได้ไง พ่อแม่เราฝากเราไว้ให้พี่ดูแลนะ” เสียงทุ้มของใครอีกคนเอ่ยตอบ ก่อนที่ผมจะเห็นเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นผู้หญิงร่างบางที่ผมคุ้นหน้าดี แต่อีกคน เป็นผู้ชายแว่นหนาท่าทางสุภาพที่ผมไม่รู้จัก
               
...ไหนหมอนั่นบอกว่า ฟ้าถูกพ่อกับแม่บังคับให้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้วนี่นา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
               
“พี่นิวไม่ต้องสนใจคำพูดพ่อกับแม่ฟ้าขนาดนั้นหรอกค่ะ พวกท่านแค่พูดไปอย่างนั้นเองแหละ” ใบหน้าสวยกลอกตาราวกับไม่สบอารมณ์ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มละมุนและเอื้อมมือไปลูบผมเธอเบาๆ
               
“เรานี่ดื้อไม่เปลี่ยนเลยน้า แบบนี้พี่เอาไปฟ้องคุณลุงกับคุณป้าดีมั้ย เผื่อท่านจะเปลี่ยนใจ แล้วพาเรากลับบ้าน”
               
“อย่านะ...!” ร่างบางกำลังจะแย้งขึ้นมา แต่แล้วเธอก็หยุดชะงักไป เมื่อดวงตาสวยหวานหันมาสบตากับผมที่ยืนจ้องอยู่เข้า ท่าทางเธอดูอึ้งไปจนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับขมวดคิ้วและมองมาทางผมอย่างแปลกใจ

“มีอะไรหรือเปล่าฟ้า?” ผู้ชายแว่นหนาเตอะถาม แต่แทนที่จะตอบ ผู้หญิงคนนั้นกลับเดินมาทางผม ด้วยใบหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
               
“ตะ...ตรี” เธอเรียกชื่อผมเบาๆ
               
“ครับ” ผมยิ้มตอบ แม้จะรู้ตัวว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งมากก็ตาม
               
“มะ...มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่นายคิดนะ พอดีว่า...”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ผมขัดขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ ท่าทางของผู้หญิงคนนี้ก็พอจะทำให้ผมเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร

“ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นหรอก” ผมยิ้มให้เธออีกรอบ ก่อนจะเดินผ่านมา ไอ้เวสที่หยุดเดินพร้อมผม ก็เดินตามมาด้วยท่าทางงงๆ เหมือนกัน

“เดี๋ยวสิ” เสียงหวานเรียกเอาไว้ ผมจึงหยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป “ไม่ว่านายจะยุ่งหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็ไม่มีผลอะไรหรอก...”

“...”
               
“เพราะเชนเขารู้เรื่องนี้แล้ว...” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ไม่นานผมก็หันกลับไปยิ้มให้ใบหน้าสวยหวานที่เจือไปด้วยความกังวลของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกับคนที่ผมรู้จัก
               
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”
               
คราวนี้ผมเดินจากมาโดยที่ไม่มีใครรั้งเอาไว้อีก ไอ้เวสถามผมทันทีที่เราเดินพ้นจากรัศมีการได้ยินของสองคนนั้นว่าผมไปรู้จักอดีตดาวคณะวิศวะฯ อย่างฟ้าได้ยังไง แต่ผมก็ตอบแบบขอไปทีเพราะขี้เกียจเล่า และอีกอย่าง ความคิดของผมก็มีแต่คำพูดของผู้หญิงคนนั้นวนไปวนมาอยู่
               
หมอนั่นรู้เรื่องนี้แล้วงั้นเหรอ?

รู้ยังไง รู้ว่าแฟนแอบมีผู้ชายคนอื่นหรือว่าอะไร? แล้วเขาไม่ว่าอะไรบ้างเหรอ หลายวันมานี้หมอนั่นก็ดูปกติดีนี่ ไม่ได้มีท่าทีว่าทะเลาะกับแฟนหรือจับได้ว่าแฟนนอกใจเลยสักนิด นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
 
               
06.23 P.M.
               
ถึงผมจะไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่ แถมยังบอกผู้หญิงคนนั้นไว้แล้วด้วยว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่... มันก็อดสงสัยไม่ได้นี่หว่า
               
ผมแทบไม่เป็นอันเรียนเลย เมื่อในหัวมีแต่คำถามว่า ตกลงหมอนั่นรู้เรื่องที่แฟนแอบคบซ้อนแล้วหรือยังไง ผมพยายามคิดข้อสันนิษฐานอื่นนะ แต่มันก็ไม่เข้าท่าเลยสักความคิด ผมคิดด้วยซ้ำว่าหมอนั่นจะใจดีถึงขนาดยอมให้แฟนตัวเองคบคนอื่นไปพร้อมกันได้ ซึ่งนั่นมันเป็นอะไรที่โคตรงี่เง่าเลย คนอย่างเขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นหรอก
               
และเพราะความสงสัยที่มีมากเกินไป ทำให้ผมตัดสินใจแล้วว่า พอกลับมาถึงหอ ผมจะถามหมอนั่นให้รู้เรื่องให้ได้
               
แกรก
               
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับคิดว่าควรจะเริ่มด้วยคำถามแบบไหนดี แต่ทันทีที่ประตูเปิดออกผมก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น
               
ฉ่าา!!
               
“โอ๊ย!”
               
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ ก่อนจะโยนข้าวของไว้บนเตียง และวิ่งเข้าไปหาร่างสูงที่ยกตะหลิวขึ้นมาป้องกันตัวจากน้ำมันเดือดจัดที่ปะทุขึ้นมาอย่างกับภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด
               
ผมดับเตาที่ถูกเปิดในระดับแรงสุด ก่อนจะแย่งตะหลิวจากมือของร่างสูงมาตักซากไข่เจียวไหม้ๆ ออกจากกระทะใส่จานที่วางอยู่ข้างเตา โดยไม่สนใจน้ำมันที่ปะทุออกมาลวกแขนตัวเองเลยสักนิด (เพราะผมโดนจนชินแล้วนะน่ะตอนหัดทำอาหารใหม่ๆ) พอเหตุการณ์ระทึกขวัญสงบลงแล้ว ผมก็หันมาขมวดคิ้วใส่ร่างสูงที่ยืนตีหน้านิ่งอยู่

“ทำบ้าอะไรของนายวะ” ผมเอ็ด เมื่อกี้ผมเห็นคาตาเลย ตอนที่หมอนั่นสาด (มันสาดจริงๆ นะ) ไข่เจียวลงไปในกระทะที่มีเสียงน้ำมันเดือดปุดๆ ทำให้มันปะทุออกมาเป็นน้ำมันคลั่งอย่างที่เห็น แถมไฟที่แรงเกินไปก็ทำให้ไข่ไหม้แทบจะทันทีที่ลงกระทะไปด้วยซ้ำ

“ก็... หิว” ร่างสูงตอบสั้นๆ พลางเกาคางเก้อๆ ผมถอนหายใจด้วยความระอา ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นไหม้

“แล้วทำไมไม่ออกไปซื้อกินเล่า เซเว่นก็อยู่ไม่ไกลซะหน่อย” ผมบอก และหันมามองซากไข่เจียวไหม้ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีทางกินได้ที่อยู่ในจาน

“ขี้เกียจ” ตอบสั้นๆ พลางลูบแขนกำยำที่มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ จากการถูกน้ำมันลวกไปมา
คงจะแสบไม่น้อยเลยสินั่น

“เป็นไงล่ะ ผลจากความขี้เกียจ” ผมเบ้หน้า แล้วเดินไปเปิดตูเย็น และหยิบน้ำแข็งหลอดก้อนเล็กที่มีอยู่ในตู้วางไว้บนผ้าเช็ดหน้า และเดินกลับไปหาหมอนั่นอีกรอบ

“เอาแขนมา” ร่างสูงยื่นแขนมาออกมาตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ผมจัดการประคบเย็นลงบนจุดแดงๆ ที่เกิดจากน้ำมันลวกพวกนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเนียนใสของคนที่ยังคงเอาแต่ยืนนิ่งอยู่

“โดนลวกหน้าหรือเปล่า” ผมกวาดสายตามองทั่วใบหน้า และพบว่ามันไม่ได้มีรอยแดงอะไร
               
ก็ดีแล้วล่ะนะ ถ้าหน้ามาเสียโฉมเพราะโดนน้ำมันเจียวไข่กระเด็นใส่นี่ คงไม่มีใครสงสารหรอก
               
“นายนี่...” ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้มที่ขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้าอ่านยาก “เหมือนแม่จริงๆ” แต่คำพูดต่อมาของหมอนี่ก็ทำเอาผมอยากจะเอาน้ำแข็งฟาดปากเขาสักที
               
“ไปหายาไป กล่องพยาบาลอยู่ในลิ้นชักข้างเตียงน่ะ” ผมถอยออกห่างจากร่างสูงเมื่อรู้ตัวว่าอยู่ใกล้เกินไปแล้ว ก่อนจะไล่เขาออกไปจากโซนครัวนี่ และเริ่มเก็บกวาดสิ่งที่หมอนั่นทำเละเทะไว้ นี่เจียวไข่หรือมีใครเอาระเบิดมาปาวะ ทำไมมันถึงได้เละขนาดนี้เนี่ย ผมล่ะปวดหัวกับไอ้หมอนี่จริงๆ พับผ่าสิ
               
แต่แทนที่จะออกไปหายาทาตามที่ผมบอก ร่างสูงกลับเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าห่อน้ำแข็งที่ผมวางเอาไว้บนเคาน์เตอร์ขึ้นมา แล้วขมวดคิ้วนิดๆ
               
“มันต้องประคบเบาๆ ใช่มั้ย” เขาถาม ในขณะที่ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
               
“จะประคบตรงไหน ฉันว่าฉันก็ประคบให้แล้วนี่ นายไปหายาทาได้แล้ว” ผมบอก และพยายามไล่เขาอีกรอบ แต่คนตรงหน้ากลับยังคงยืนนิ่ง
               
“ยัง ยังประคบไม่เสร็จ” เขาบอก
               
“ตรงหนะ...!” ผมชะงักไปทันที ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือหนาคว้าเข้ามาที่แขนผมโดยไม่ทันตั้งตัว “ฮะ...เฮ้ย ไม่ต้อง” ผมค้าน และถอยห่างออกมา อยู่ๆ หัวใจก็เต้นตึกตักจนผมทำตัวไม่ถูก
               
แต่ร่างสูงกลับขมวดคิ้วมองผมเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กดื้อ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา “อย่าดื้อน่า แม่เจ้าเต”   
               
อะ...ไอ้...!
               
ไม่รอให้ผมได้แย้งอะไร มือหนาก็ดึงมือผมให้ยื่นออกไปอีกรอบ แถมคราวนี้จับไว้แน่นจนผมดึงหนีไม่ได้อีก ผมเลยจำต้องปล่อยให้หมอนี่เอาน้ำแข็งประคบตามจุดแดงๆ บนแขนของผมที่เพิ่งโดนน้ำมันลวกมาเช่นกัน ใบหน้าเรียวก้มลงมาจนแทบจะสิงลงไปในแขนของผมอยู่แล้ว แถมคิ้วเข้มยังชนกันจนแทบจะขมวดเป็นปมอยู่กลางหน้าผาก ผมมองใบหน้าตั้งใจจนดูเป็นเคร่งเครียดของคนตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา จนหมอนั่นต้องเงยหน้าขึ้นมามอง แต่แทนที่จะถามว่าผมขำอะไร ริมฝีปากบางกลับถามอีกคำถามหนึ่งแทน
               
“เจ็บมั้ย” ผมส่ายหน้า ก่อนจะดึงแขนตัวเองกลับมาเพราะเขาเริ่มคลายมือที่จับไว้แล้ว
               
“ฉันไม่เป็นไรหรอก โดนจนชินแล้ว แค่นี้ไม่ระคายเคืองผิวเลยสักนิด” ผมถอยห่างออกมาอีกก้าว ก่อนจะออกปากไล่คนตรงหน้าเป็นครั้งที่สาม
               
“นายไปทายาเถอะ ก่อนที่มันจะพอง เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน” ผมบอก คราวนี้ร่างสูงพยักหน้า ก่อนจะเดินไปหายที่กล่องพยาบาลตามที่ผมบอก
               
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไข่สองฟองออกมาจากตู้เย็น ผมมักจะมีอาหารสดเตรียมไว้ในตู้เย็นอยู่เสมอล่ะนะ ก็อย่างที่บอกว่าผมชอบทำอาหารกินเอง แถมวันนี้ผมไม่ต้องไปเล่นดนตรีที่ร้านด้วย ยังไงผมก็ต้องลงมือทำอาหารเย็นอยู่แล้ว
               
ผมหยิบวัตถุดิบอีกสองสามอย่างเพื่อทำอย่างอื่นนอกจากไข่เจียว แต่ในขณะที่กำลังจะเตรียมอาหาร สายตาผมก็เหลือบไปเห็นหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์เข้า ผมเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยนิดหน่อย ก่อนจะเดินไปเปิดดูและพบว่าข้างในมีข้าวสารที่แช่น้ำอยู่เรียบร้อย แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางสุก ผมมองไปที่ร่างสูงที่กำลังแกล้งเอายาหลอดเล็กๆ ไปอังจมูกเจ้าเตเล่น พร้อมกับถอนหายใจออกมาอีกรอบ จริงๆ ผมอยากจะถอนหายใจให้กับความไม่เอาไหนของหมอนี่อีกสักร้อยๆ ครั้งเลยด้วยซ้ำ
               
ให้ตาย คนบ้าอะไร หุงข้าวแต่ไม่เสียบปลั๊ก คงจะได้กินหรอกนะชาตินี้
 
               
เวลาผ่านไป
               
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็ไปอาบน้ำและทายาที่แขนของตัวเองบ้าง ผมไม่ได้โดนเยอะอะไรด้วยล่ะนะ มันเลยไม่สาหัสอะไร ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำกินพร้อมกับเช็ดผมที่เปียกของตัวเองไปด้วย แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากคนที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ข้างเตียง
               
“หัวเราะอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม เกลียดจริงๆ นะเวลาที่หมอนี่หัวเราะหรือแสยะยิ้มโดยไม่มีเหตุผลเนี่ย
               
“เปล่า” ว่าพลางยักไหล่ และทำท่าจะก้มหน้าเล่นกีตาร์ต่อ แต่ผมก็ยืนกอดอกมองอย่างไม่ยอมปล่อยผ่าน จนหมอนั่นต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ แต่คราวนี้เขากลับมองด้วยสายตาแปลกๆ ทำเอาผมทำหน้าไม่ถูกเลย
               
“คิดว่าจะผอมกว่านี้ซะอีก” ประโยคสั้นๆ ที่ออกมาจากปากหมอนั่นทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง และมองร่างกายของตัวเองที่กำลังเปลือยท่อนบนอยู่
               
ใช่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเปลือยท่อนบนต่อหน้าเขา เพราะผมรู้สึกรำคาญมากจริงๆ ที่ต้องแต่งตัวเต็มทุกครั้งที่อาบน้ำเสร็จ แถมการใส่เสื้อหลังสระผมทันที มันก็ทำให้เสื้อของผมเปียก จนบางครั้งต้องถอดเปลี่ยนตัวใหม่เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าต่อไปนี้ผมจะไม่แคร์หมอนั่นแล้ว ผมจะทำอะไรก็ทำ อยากใส่แค่บ็อกเซอร์แค่ตัวเดียวมันก็เรื่องของผม ก็นี่มันห้องผมนี่
               
แต่ดูสายตาหมอนั่นดิ แถมยังคำพูดร้ายกาจนั่นอีก!
               
“นายว่าฉันอ้วนเหรอ” ผมโวยกลับ คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความข้องใจ
               
“เปล่านี่” ตอบพลางก้มหน้าเล่นกีตาร์อย่างไม่สนใจ
               
“แล้วที่พูดหมายความว่าไงวะ” ไม่ผอมมันก็แปลว่าอ้วนไม่ใช่เรอะ
               
จริงอยู่ว่าช่วงหลังๆ มานี้ ผมยุ่งมาก และแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย ทำให้ไอ้แพ็คที่เคยมีมันก็ค่อยๆ หายไป แต่ก็ไม่ถึงกับอ้วนซะหน่อยนี่หว่า
               
“ก็นึกว่าจะผอมกว่านี้” คนกวนประสาทพูดประโยคเดิมออกมาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองผมเลยสักนิด
               
ผมได้แต่สบถพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อในตู้มาใส่ เออ ใส่เต็มตลอดก็ได้วะ ต่อไปนี้ต่อให้ผมเปียกจนโชกจนเสื้อชุ่มไปทั้งตัวผมก็จะไม่ถอดเสื้อต่อหน้าหมอนี่อีกเด็ดขาดเลย L
               
“ฮืม...” ผมที่กำลังก่นด่าคนกวนประสาทอยู่ในใจ ต้องหยุดชะงัก เมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ พึมพำออกมาเป็นทำนองเพลง ผมหันกลับไปมองและพบว่าหมอนั่นกำลังดีดคอร์ดกีตาร์เบาๆ และเขียนโน๊ตลงในสมุดที่อยู่ใกล้ๆ
               
“แต่งเพลงอยู่เหรอ” ผมถาม และเดินไปนั่งบนเตียง
               
“อือ” ร่างสูงตอบสั้นๆ ก่อนจะเกากีตาร์ และฮัมเพลงออกมาเบาๆ อีก
               
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยได้ยินเขาร้องเพลงหรอกนะ (เขาเป็นคอรัสของวงเลยล่ะ) แต่ก็ไม่คิดว่าจะแต่งเพลงอะไรกับเขาเป็นด้วย
               
“แต่งเป็นด้วยเหรอ” ผมอดถามไม่ได้ ร้อยวันพันปีผมไม่เห็นเขาแต่งเพลงเองเลยนะ ปกติก็เห็นเล่นแต่เพลงของนักร้องดังๆ นี่นา
               
“กำลังลองดู” เขาตอบ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมเป็นเชิงรำคาญ ผมเลยเงียบไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ลองดูก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งเป็นสินะ
               
“ฮืม...” ผมหลับตาฟังเสียงฮัมเพลงเบาๆ ของคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล ทำนองเพลงมันฟังดูหวานกว่าเพลงร็อคหนักๆ ที่เขาเคยเล่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
               
“เพลงรักเหรอ” ผมตะแคงตัวไปทางที่หมอนั่นนั่งอยู่ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันหน้ามาสบตา ก่อนจะยักไหล่ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ใบหน้าของหมอนี่อยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของผม
               
“ยากชะมัด” สบตาได้ไม่นาน หมอนั่นก็เบือนหน้ากลับไปก่อนจะเอนหัวพิงลิ้นชักที่อยู่ด้านหลัง
               
“แต่งไปทำไม” ผมเลิกคิ้ว มีบางครั้งที่ผมก็แต่งเพลงบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าเคร่งเครียดขนาดนี้
               
“กะว่าจะลงประกวด” เขาตอบสั้นๆ และก้มหน้าลงดีดกีตาร์ในมืออีกรอบ ผมมองสีหน้าเคร่งเครียดของหมอนั่นก่อนจะหัวเราะเบาๆ
               
“จะแต่งเพลงมันต้องทำใจให้สบายๆ แล้วปล่อยให้ทำนองมันมาตามฟีลดิ จะไปเครียดทำไม” ผมบอก ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าเตที่กระโดดขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ ผมพอดี “เนอะเจ้าเต” ผมถามความเห็น แต่เจ้าตัวเล็ก (ที่ตอนนี้เริ่มไม่เล็กแล้ว) ก็เอาแต่ขดตัวนอน ไม่สนใจผมสักนิด
ใช่สิ ฉันไม่ใช่พ่อแกนี่ -*-
               
“ก็อยากแต่งให้เสร็จเร็วๆ มันใกล้จะถึงวันแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มตอบ ผมเลยหันกลับไปคุยกับเขาต่อ
               
“เขาให้แต่งเพลงเองเหรอ”
               
“อืมเพลงช้าหนึ่งกับเพลงเร็วหนึ่ง เพลงเร็วไอ้เตอร์มันแต่งไว้แล้ว แต่เพลงช้านี่สิ” เขาถอนหายใจเบาๆ ท่าทางกลุ้มใจไม่น้อยทีเดียว
               
“จำเป็นต้องเป็นเพลงรักด้วย?” ผมถามต่อ หมอนั่นส่ายหน้า
               
“ก็ไม่ต้องหรอก” เขาตอบพลางหันหน้ามามองผม “ก็แค่... คิดว่าถ้าเป็นเพลงรักได้ก็คงจะดี”
               
คำตอบของคนตรงหน้าทำให้ผมถึงกับชะงักไป... ผู้ชายอย่างเรา จะพยายามแต่งเพลงรักไปทำไมล่ะ... ถ้าไม่ใช่เพื่อให้กับคนที่เรารัก
               
“แต่งให้ฟ้าเหรอ” ผมถามออกไปโดยที่ตัวเองไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ เชนหันมาเลิกคิ้วมองผม เหมือนตกใจนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับไป และยิ้มมุมปากออกมาแวบหนึ่ง
               
“อืม” เขาตอบสั้นๆ แล้วก้มหน้าดีดกีตาร์ต่อ แม้มันจะเป็นคอร์ดเดิมวนไปวนมาเหมือนเขาคิดอะไรไม่ออกก็ตาม
               
ท่าทางแบบนั้น ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเมื่อกลางวันขึ้นมา...
               

‘เชนเขารู้เรื่องนี้แล้ว...’
               
               
อา ผมอุตส่าห์ลืมมันไปแล้วนะ ทำไมหมอนี่ต้องทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของผมทำงานขึ้นมาด้วยเนี่ย ให้ตายสิ
               
ผมมองหน้าของคนที่กำลังขมวดคิ้วคิดทำนองเพลงรักอย่างจริงจัง พร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามออกมาดีหรือเปล่า ผมจ้องเขาเนิ่นนาน จนกระทั้งเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันกลับมามอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เหมือนจะตั้งคำถามว่าผมมองเขาทำไม ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย
               
“มีอะไรหรือไง” ท่าทางของผมทำให้น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์
               
ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง “นายรู้จักคนที่ชื่อนิวหรือเปล่า” ในที่สุดผมก็ทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหวจนได้
               
“นิวไหน” ร่างสูงขมวดคิ้ว
               
“นิวที่เป็นผู้ชาย ตัวสูงๆ ใส่แว่น...” ผมตอบพลางนึกภาพของผู้ชายที่ผมเพิ่งเจอไปเมื่อกลางวัน “แล้วก็ดูเหมือนจะสนิทกับฟ้า” ผมบอกออกไปแบบนั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมไม่ควรเอ่ยชื่อฟ้าออกไป
               
เวรแล้วไงไอ้ตรี พูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว!
               
ผมมองหน้าเชน และรอลุ้นปฏิกิริยาของเขา รู้สึกหวั่นใจเล็กๆ เมื่อหมอนั่นขมวดคิ้ว และมองมาที่ผมด้วยความแปลกใจ “พี่ชายข้างบ้านของฟ้าน่ะเหรอ?”
               
“ฮะ” แต่ประโยคต่อมาของหมอนี่ก็ทำให้ผมถึงกับเหวอ “พี่ชายข้างบ้าน?”
               
“อืม” เขาพยักหน้า “เห็นว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ฟ้าไว้ใจมาก ก็เลยฝากดูแล เพราะพี่เขาเองก็เรียนนิติศาสตร์อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
               
“...” ผมเงียบไป ไม่รู้จะพูดยังไง ...พี่ชายข้างบ้านงั้นเหรอ?
               
“ที่พ่อแม่ยัยนั่นยอมให้เรียนซัมเมอร์ได้ก็เพราะหมอนั่นก็เรียนด้วย แถมยังรับปากว่าจะเป็นไม้กันหมาคอยกันฉันไว้ให้อีก หึ ตลกชะมัด ทั้งๆ ที่ฉันเป็นแฟนแท้ๆ” เขาแสยะยิ้ม แม้แววตาจะไม่ได้ยิ้มไปด้วยก็ตาม
               
“แล้วนายจะทำยังไง” ผมถาม รู้สึกกลุ้มใจแทนจริงๆ ถ้าเป็นปัญหาอื่นมันคงจะแก้ง่ายกว่านี้ แต่นี่หมอนี่กำลังถูกกีดกันจากพ่อแม่ของแฟนตัวเอง เป็นผมคงจะจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
               
“ก็ไม่เห็นต้องทำไง” ว่าพลางยักไหล่ และวางกีตาร์ลง “ถึงไม่เจอ ก็ยังโทรคุยกันได้ เฟสไทม์กันได้ นี่มันสมัยไหนแล้ว” เขาพูดติดตลก พลางหันมาแสยะยิ้มใส่ผม
               
“แล้วก็นะ หมอนั่นคงกีดกันได้ไม่นานหรอก พอเปิดเทอมยังไงฉันกับฟ้าก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว เผลอๆ ฉันได้อยู่กับฟ้ามากกว่าไอ้พี่นิวอะไรนั่นเสียอีก”
               
ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจความคิดเขาสักเท่าไหร่ ทำไมถึงได้คิดอะไรง่ายๆ แบบนี้นะ แล้วถ้าเกิดระหว่างที่ไม่เจอกัน ความรักของฟ้ากับหมอนี่ ถูกผู้ชายคนนั้นแทรกกลางขึ้นมาจะทำยังไง ถึงดูท่าทางหมอนี่จะไม่ค่อยแคร์อะไรก็เถอะ แต่ผมรู้นะว่าเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน ถึงจะทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่การกระทำบางอย่างของหมอนี่ ก็บ่งบอกว่าเขากำลังพยายามอยู่
               
“ช่วงนี้ฉันไม่เห็นนายสูบบุหรี่เลยนะ” ผมถามขึ้นมาเมื่อเห็นเขาหยิบกล่องใส่หมากฝรั่งขึ้นมา ใช่ ความพยายามของหมอนี่ที่ผมหมายถึง ก็คือเรื่องนี้แหละ
               
หลายวันมานี้ผมไม่เห็นเขาสูบบุหรี่ต่อหน้าเลย จริงอยู่ที่ผมไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา แต่ผมลองสังเกตดูแล้ว ไม่ว่าจะในที่เขี่ยบุหรี่ หรือตรงระเบียงที่เขาน่าจะออกไปสูบ กลับไม่มีก้นบุหรี่ยี่ห้อแพงที่ผมคุ้นตาเลยสักมวน แถมตอนที่เขาออกไปซ้อมดนตรี ผมก็เห็นกล่องบุหรี่ของเขาวางทิ้งไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือด้วย ผมคิดว่าจะถามเขาหลายรอบแล้ว แต่ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจความหมายของมันแล้วล่ะ
               
“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ โดยที่ยังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่
               
“ทำไมล่ะ” คราวนี้คนตรงหน้าหันมาขมวดคิ้วมองผมอย่างแปลกใจที่ผมถาม
               
“ไม่ดีหรือไง ไหนนายเคยบอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่นี่” เขาแสยะยิ้มนิดๆ
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมรู้นะว่าเหตุผลจริงๆ มันคืออะไร
               
“นายเลิกเพราะฟ้าเหรอ” ผมถามต่อ คนตรงหน้าเลยขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก เขาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะตอบเบาๆ
               
“ก็แค่อยากลองดู ว่าจะเลิกได้หรือเปล่า” เขาตอบอย่างเบี่ยงประเด็นพลางเกาคางเก้อๆ
               
หมอนี่กำลังพยายามอยู่จริงๆ สินะ
               
“ถ้าเลิกได้ นายจะทำยังไงต่อ”
               
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองผมพลางทำท่าครุ่นคิด “ก็คง... เข้าไปคุยกับพ่อแม่ยัยนั่นอีกครั้งล่ะมั้ง”

ผมมองคนตรงหน้าที่ยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีและเลื่อนตัวลงนอนอีกรอบ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ผมรู้สึกดีนะที่เขาจะทำอะไรดีๆ เพื่อคนรัก

แต่... ไม่รู้สิ อีกใจผมก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่

“ถ้างั้นก็พยายามเข้าแล้วกัน”

ผมบอกสั้นๆ ก่อนจะพลิกตัวไปอีกด้าน และจบบทสนทนาด้วยการหลับตาลง ในใจของผมภาวนาอย่าให้ความพยายามที่หมอนี่ทำมันสูญเปล่า อย่าให้ข้อสันนิษฐานที่ไม่ดีของผม มันเป็นความจริงขึ้นมา 

...ไม่อย่างนั้น ผมคงแอบรู้สึกผิดไม่น้อย ...ที่ครั้งหนึ่งผมเองก็เคยบอกให้เขาจริงใจกับผู้หญิงคนนั้น




--makok_num--
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 9 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 20:31:42
10
ความเจ็บที่เหมือนกัน
 
               
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมว่างทั้งวันเพราะไม่มีเรียน และไม่ต้องไปเล่นดนตรีที่ร้านด้วย ผมเลยตั้งใจว่าจะออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ และหาที่สวยๆ วาดรูปสักหน่อย ผมยังคงตื่นมาแต่เช้า ทำกับข้าว และกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ วันนี้ร่างสูงที่มักจะตื่นทีหลังผมเสมอ กลับลุกขึ้นมานั่งเล่นกีตาร์ที่ระเบียงแต่เช้า
               
“นึกคึกอะไรขึ้นมาเนี่ย” ผมเหน็บแนมเบาๆ ขณะที่เอากับข้าวที่ตักผัดผักที่เพิ่งทำเสร็จใส่จาน คนที่นั่งดีดกีตาร์อยู่ จึงหันมาแสยะยิ้ม
               
“ก็แค่คิดอะไรดีๆ ออก” ผมเลิกคิ้วมองนิดหน่อย
               
“แต่งเพลงได้เหรอ” ผมว่าพลางหันไปตักข้าวใส่จานสองจานอย่างเคย
               
“อืม ฟังมั้ย” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมชะงักนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า
               
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงกีตาร์ในทำนองช้าๆ ก็ดังขึ้นมา ผมกอดอก หลับตา และปล่อยใจให้จินตนาการไปตามเสียงดนตรีที่ได้ยิน
               
“เป็นไง” เขาถามหลังจากที่เล่นเสร็จ ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นสีหน้าคาดหวังเล็กๆ ของหมอนั่น
               
“มันยังไม่จบสินะ” ผมถาม ก่อนจะพูดต่อ “ฉันว่ามันเพราะดี”
               
“จริงจังป่ะเนี่ย” เชนขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดผมเท่าไหร่
               
“จริงจังดิ” ผมหัวเราะ และยืนยัน เชนยังทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก้มลงเกากีตาร์ต่อ ในขณะที่ผมหันไปตักข้าวสวยใส่จาน ผมกำลังจะหันไปเรียกเขากินข้าว แต่พอหันกลับไปก็เห็นหมอนั่นก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะที่เขาจะวางโทรศัพท์ลง
               
“มีอะไรเหรอ” ผมถาม
               
“ไม่มีอะไร” ร่างสูงตอบปัด ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินเข้ามาช่วยผมยกกับข้าวไปไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิม ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ต่อ
               
ผมถือจานข้าวตามไป โดยไม่ลืมหนีบอาหารเจ้าเตไปด้วย ผมเทอาหารแมวใส่ชามให้เจ้าตัวเล็กที่วิ่งมาอย่างรู้งาน ดูมันกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วอดที่จะยื่นมือไปลูบหัวแรงๆ อย่างหมั่นไส้ไม่ได้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าคนตรงข้ามกำลังมองอยู่
               
“ทำไม” ผมขมวดคิ้วถาม แต่หมอนี่กลับยักไหล่ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวหน้าตาเฉย ผมเบ้หน้าใส่ก่อนจะลงมือกินข้าวบ้าง

“แล้วนี่นายแต่งเนื้อเพลงหรือยัง” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้
               
“ยัง” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ครัวเพื่อหยิบน้ำออกมา
               
“แล้วจะทันมั้ยเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว แต่หมอนี่กลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระเท่าไหร่
ตกลงว่าจริงจังกับการแต่งเพลงครั้งนี้มั้ยเนี่ย หรือพอผมบอกให้ปล่อยใจสบายๆ ก็เลยสบายเกิน จนเหมือนไม่คิดอะไรเลยแบบนี้ -*-
               
“แล้วอยากได้ประมาณไหนล่ะ เผื่อฉันช่วยได้” ผมถามพลางวางช้อนส้อมลง คนตรงหน้าทำท่าครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะยักไหล่

“ไม่รู้เหมือนกัน”  ผมมองคนที่นั่งกินข้าวเช้าอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ผมลุกขึ้นมา ท่ามกลางสายตางุนงงของอีกฝ่าย เดินหยิบกีตาร์ของตัวเอง และเดินไปนั่งที่เตียง ก่อนจะเริ่มเกาคอร์ดตามทำนองที่ได้ยินมาเมื่อครู่
               
อืม... จะเริ่มจากอะไรดีนะ
               
“ทำอะไร” ขณะที่ผมกำลังคิดคำเริ่มต้นของเพลง หมอนั่นก็หยุดกิน และหันมาเลิกคิ้วมองผมแทน
               
“ชู่ว์! ฉันกำลังคิดอยู่” ผมทำเสียงจุปากให้เขาเงียบ และหลับตาลงพลางเกากีตาร์ไปด้วย
               
“คิดอะไร” แต่แทนที่จะเงียบ หมอนั่นกลับถามขึ้นมาอีก สีหน้าแบบไม่เข้าใจสุดๆ ผมหัวเราะ ก่อนจะตอบ
               
“ก็คิดเนื้อเพลงให้ไง” คราวนี้ร่างสูงเลยเงียบไป คิ้วของเขายังคงขมวดอยู่ ขณะรอดูว่าผมจะคิดเนื้อเพลงยังไงออกมา ผมมองไปทั่วห้องเพื่อหาแรงบันดาลใจ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่เจ้าเตที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ผมยิ้มออกมานิดๆ ก่อนจะเริ่มร้องออกมา
               
“เจ้าเตๆ เจ้าเตคือแมวแสนขี้เกียจ มันชอบมานอนเบียด แถมยังดื้อรั้น วันทั้งวันได้ยินแต่เสียงเหมียวหง่าวๆ...” เพลงที่ควรจะเป็นเพลงรักหวานซึ้ง กลับถูกเร่งจังหวะ และใส่เนื้อร้องที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าเพลงรักลงไปเลยสักนิด
               
“เจ้าเตๆ เจ้าเตกำลังเติบใหญ่ ชอบตะกุยตะกาย ทำลายข้าวของยิ่งกว่าอะไร ปลอกหมอน รองเท้าบรรลัย ข้าวของกระจุยกระจาย แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะมันคือเจ้าเต...” ผมกรีดสายกีตาร์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อจบเพลง ก่อนจะหันไปมองหน้าเจ้าของทำนองเพลงทำได้แต่นั่งอึ้งไปทันทีตั้งแต่ที่ได้ยินเนื้อร้องท่อนแรก แต่แล้วอยู่ๆ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ก็ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มออกมา ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงหัวเราะในที่สุด
               
“ฮ่าๆๆๆ เพลงบ้าอะไรเนี่ย” เขาว่าพลางหัวเราะไม่หยุด ผมวางกีตาร์ลง และเดินไปนั่งหน้าจานข้าวของตัวเองต่อ
               
“เพราะจะตาย” ผมยักไหล่ และตักข้าวกิน
จริงๆ ก็แอบตลกตัวเองเหมือนกันนะ ที่คิดเพลงติงต๊องอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ คนตรงหน้าผมหยุดหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าเตที่กินอาหารเสร็จแล้ว และมานั่งมองพวกผมตาแป๋ว 
               
“ไอ้แมวขี้เกียจ” เขาพูดกับมันเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก ทำให้ผมประหลาดใจนิดหน่อย ก่อนจะหัวเราะตามบ้าง
               
พอหัวเราะออกมาแบบนี้ ดูกลายเป็นคนละคนกับนายเชนผู้แสนเย็นชาไปโดยสิ้นเชิงเลยแฮะ ทั้งๆ ที่พอยิ้มหรือหัวเราะก็ทำให้ดูดีมากขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่ชอบทำนะ เอาแต่ทำหน้านิ่งเป็นเจ้าชายน้ำแข็งอยู่นั่นแหละ ไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไง
               
“...” ผมชะงักไปนิดหน่อย เมื่อคนตรงหน้าหยุดหัวเราะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังสบตาอยู่ ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมเผลอมองหน้าเขานานเกินไปอีกแล้ว
               
“หึ” มุมปากบางกระตุกเป็นรอยยิ้มขึ้นมา ก่อนที่คนตรงหน้าจะเบือนหน้าหนี ผมจึงก้มหน้าลงกินข้าวบ้าง
               
“จริงๆ วันนี้ฉันมีนัดกับฟ้า” อยู่ๆ เขาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมเงยหน้าและเลิกคิ้วมอง
               
“แล้ว?”
               
“แล้วยัยนั่นก็ส่งข้อความมาบอกว่าไปไม่ได้แล้ว” เขายังคงพูดหน้านิ่ง ในขณะที่ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
               
“ทำไมล่ะ” ผมอดถามไม่ได้ ความคิดแวบหนึ่งของผมบอกว่า บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับไอ้พี่นิวอะไรนั่น
               
คนตรงหน้าเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอออกมาเบาๆ “เพราะไอ้พี่นิวนั่น ขู่ว่าจะโทรไปฟ้องพ่อ ถ้ายัยนั่นออกมากับฉัน”
               
ว่าแล้วไง -*-
               
ผมถอนหายใจก่อนจะวางช้อนส้อมอีกรอบ “ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย นายต่างหากที่เป็นแฟนฟ้านะ ไม่ใช่หมอนั่น”

“...”

“เขาไม่มีสิทธิ์มาห้ามซะหน่อย ถ้านายจะไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนนั้น” ผมบอกด้วยความรู้สึกอัดอั้น ตั้งแต่รู้เรื่องความสัมพันธ์อันน่าปวดหัวของหมอนี่กับแฟน

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ย สีหน้าเหมือนรำคาญใจ
               
“ก็ไม่ต้องไปแคร์สิ ต่อให้หมอนั่นมันจะขู่ หรือทำอะไรก็ช่างหัวมัน ปกตินายเป็นคนแบบนั้นนี่” ผมนึกไปถึงตอนแรกๆ ที่รู้จักกัน หมอนี่ไม่เคยสนใจสายตาคนรอบข้างที่ไม่มีผลอะไรกับชีวิตเขาทั้งนั้นแหละ แต่ในระยะเวลาแค่สั้นๆ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้นะ
               
ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผม “คนที่แคร์น่ะ ไม่ใช่ฉันสักหน่อย”
               
“...”
               
“ในเมื่อยัยนั่นเป็นคนขอร้องให้ฉันอยู่ห่างๆ สักพัก แล้วจะให้ฉันทำยังไง หน้าด้านไปเจองั้นเหรอ”

“แล้วนายไม่อึดอัดบ้างเหรอ” ผมถาม ถึงจะทำท่าเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่การที่อยู่ๆ ก็ถูกกีดกันไม่ให้เจอกับแฟนตัวเอง เป็นใครก็ต้องอึดอัดทั้งนั้นแหละ
               
“...” คนตรงหน้าไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่ลูบหัวเจ้าเต และทำหน้าเหมือนไม่อยากจะคุยเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายผมเลยต้องยอมสงบปากสงบคำ เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า นี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด
               
ผมเอาจานข้าวของตัวเองที่เหลืออยู่นิดหน่อยไปเก็บ เพราะรู้สึกอิ่มแล้ว ไม่นานหมอนั่นก็ลุกตามมาพร้อมกับหยิบจานกับข้าวมาด้วย เขาวางจานข้าวของตัวเองไว้ข้างๆ จานผม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำออกมา
               
ผมมองร่างสูงที่ยืนกินน้ำด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะรู้สึกว่าคนตรงหน้านี่ช่างเป็นผู้ชายที่เข้าใจยากเกินไปจริงๆ หลายครั้งที่เขาทำให้ผมรู้สึกว่าเขารักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ แต่บางครั้งเขากลับดูเหมือนไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย ทั้งๆ ที่ทำเหมือนจะฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อคนรัก แต่บางทีก็กลับเหมือนไม่คิดจะพยายามอะไร การกระทำหลายๆ อย่างของเขามันดูขัดกันไปหมด จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเจตนาจริงๆ ของเขามันคืออะไรกันแน่ ตกลงแล้วเขาคิดจะเอายังไงกับเรื่องของเขากับผู้หญิงคนนั้น ในความสัมพันธ์ที่มันคาราคาซังน่าปวดหัวขนาดนี้
               
“นี่” ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ผมก็อยากเรียกเขาขึ้นมา ร่างสูงหันหน้ามาและเลิกคิ้วอย่างตั้งคำถาม
               
ผมเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดออกมา “วันนี้ฉันจะออกไปวาดภาพข้างนอก”
               
“?”
               
“ก็... ไหนๆ นายก็โดนเบี้ยวนัดแล้วนี่”
               
“แล้ว?”

“แล้ว...” ผมลากเสียงไม่รู้อยู่ๆ ทำไมผมถึงรู้สึกไม่อยากสบตาหมอนี่ขึ้นมา “แล้วสนใจไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมเบือนหน้าหนีจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวย ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ

“หึ” แต่ร่างสูงกลับหัวเราะในลำคอออกมา จนผมต้องหันกลับไปมองอีกครั้งเพื่อจะถามว่าเขาหัวเราะอะไร

“เอาดิ” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถาม คนตรงหน้าก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน มุมปากบางยังคงยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ

“อะ...อืม” ผมตอบรับเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอีกรอบ แล้วหันไปล้างจานที่กองพะเนินอยู่ในอ่างล้างจานแทน

อา... พอผมชม (ในใจ) ว่าหัวเราะแล้วดูดี ก็เอาแต่ยิ้มใหญ่เลยนะ... (?)


-- มีต่อค่ะ --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 8 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-03-2016 20:32:09
-- ต่อ --                 

10.38 P.M.
 
When the days are cold,  And the cards all fold
And the saints we see, Are all made of gold
When the days are cold,  And the cards all fold
And the saints we see  Are all made of gold

เสียงทุ้มต่ำ แต่มีความแหบอย่างทรงเสน่ห์ของเตอร์ นักร้องนำของวง The Quantum สะกดคนแทบจะทั้งร้านได้
ตั้งแต่เริ่มประโยคแรงของเพลง รอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากระหว่างร้องเพลง ทำให้สาวๆ โต๊ะข้างผม แอบกรี๊ดออกมาเลยทีเดียว
 
When your dreams all fail, And the ones we hail
Are the worst of all, And the blood’s run stale
I wanna hide the truth, I wanna shelter you
But with the beast inside, There’s nowhere we can hide
No matter what we breed, We still are made of greed
This is my kingdom come, This is my kingdom come
 
นี่เป็นอีกครั้งที่ผมมานั่งดูการแสดงของพวกเขา แม้ว่าวันนี้ผมจะไม่ได้ไปเล่นดนตรีที่ร้าน แต่เพราะวันนี้ผมกับเชน
ออกไปข้างนอกทั้งวัน ก็เลยมาที่นี่เลย เพราะหมอนั่นไม่ได้หยุดงานวันอาทิตย์แบบผม ถึงช่วงนี้ผมจะมาที่นี่บ่อยมาก แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า เสน่ห์ของ The Quantum ไม่ได้ลดลงไปจากวันแรกที่ผมเห็นเลย เสน่ห์และความสามารถของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนผมเชื่อว่า ลูกค้าที่มาที่นี่หลายคน เข้าขั้น ‘คลั่งไคล้’ การแสดงสดของวงดนตรีวงนี้
 
When you feel my heat, Look into my eyes
It’s where my demons hide, It’s where my demons hide
Don’t get too close, It’s dark inside
It’s where my demons hide, It’s where my demons hide
 
เสียงโห่ร้อง และร้องตามท่อนฮุคของเพลงดังไปทั่วร้านอย่างขาดไม่ได้ ในขณะที่สายตาของผมเลื่อนไปหยุดอยู่ที่
ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำ และกางเกงยีนตัวโปรด ที่ยังคงเล่นกีตาร์ด้วยท่าทางที่เท่อย่างหาคนเปรียบได้ยากเหมือนเคย ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าผมขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั้นบ้าง ผมจะทำให้ตัวเองมีเสน่ห์ขนาดนั้นได้ยังไง หลังจากที่มาที่นี่บ่อยๆ และโดนถามอยู่หลายครั้งว่าตกลงจะมาเล่นให้ The Quantum หรือเปล่า แต่ผมก็ยังให้คำตอบพวกเขาไม่ได้สักที ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเล่นหรอกนะ แต่ผมกลัวจะเทียบรัศมีพวกเขาไม่ได้ต่างหาก
               
           
When the curtain’s call, Is the last of all
When the lights fade out, All the sinners crawl
So they dug your grave, And the masquerade
Will come calling out, At the mess you've made
 
ผมยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นดื่ม เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบตากับผมพอดี หมอ
นั่นกระตุกยิ้มมุมปากกลับมาให้เหมือนเคย ในขณะที่ผมตีหน้านิ่งและเบือนหน้าหนี

โอเค... ยอมรับเลยว่านี่มันเป็นอาการที่ประหลาดมาก ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเดี๋ยวนี้ผมไม่กล้าสบตาหมอนั่น ไม่กล้ามองรอยยิ้มมุมปากที่แสนร้ายกาจนั่นด้วย วันนี้ทั้งวันที่ผมกับเขาไปเดินเล่นรอบเมืองด้วยกัน ผมรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ ตอนที่วาดรูปอยู่ ผมแทบไม่มีสมาธิเลยเมื่อหมอนั่นนั่งดีดกีตาร์อยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรประหลาดไปกว่าปกติเลยนะ

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้อาการแบบนี้มันเริ่มมาจากไหน มันทำให้ผมรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ...

หลังจากที่เพลงจบ เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องก็ดังไปทั่วทั้งร้าน ด้วยความชอบใจของลูกค้า ผมเรียกพนักงานเพื่อสั่งแอลกอฮอล์และกับแกล้มเพิ่ม เพราะเดี๋ยวอีกสักพักพวก The Quantum ก็จะกลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว อย่างที่บอกแหละ ว่าช่วงนี้ผมมาที่นี่บ่อยมาก ทำให้ผมรู้ว่าพอเล่นเสร็จพวกเขาจะสั่งอะไรมากิน ผมก็เลยสั่งไว้ให้ก่อนแบบนี้ตลอด พอมาถึงโต๊ะ พวกนั้นจะได้ไม่โวยวายว่าหิวไง

“ฟ้าไม่ชอบที่แบบนี้เลยค่ะพี่นิว กลับเหอะ” อยู่ๆ บทสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาในหูก่อนที่เสียงเพลงบีตหนักๆ จะดังขึ้นมากลบ ทำให้ผมต้องเหลียวหลังกลับไปมอง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

“ไม่เอาน่าฟ้า พี่ขอไปเจอเพื่อนแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวค่อยกลับนะคะ” ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรสักอย่างที่ผมได้ยินไม่ค่อยชัด สีหน้าออดอ้อนจนเกินงามนั่นทำให้ผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้

ไอ้หมอนี่มันกล้าดียังไงวะ ก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือไงว่าผู้หญิงเขามีเจ้าของแล้ว

ผมเห็นฟ้าทำหน้าไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ก่อนจะพูดอะไรสักอย่าง และเดินปลีกตัวออกไป ตอนที่เธอเดินผ่าน ผมต้องหลบหน้าเพราะไม่อยากให้เธอเห็นเท่าไหร่ ผมมองแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นที่เดินหายไปตรงทางไปห้องน้ำ ก่อนจะรู้สึกว่า ผมควรจะเข้าไปคุยอะไรสักอย่างกับผู้หญิงคนนั้น ผมควรจะบอกเธอว่าเลิกทำแบบนี้สักที มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยสักนิด

“เฮ้ จะไปไหน” แต่พอผมลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ตะโกนมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองอย่างตกใจ ลืมไปเลยว่าเชนเองก็อยู่ที่นี่ด้วย

อา...แบบนี้ผมยิ่งต้องเข้าไปคุยเลย ถ้าหมอนี่เห็นว่าแฟนของตัวเองมาเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นในขณะที่ตัวเองถูกขอร้องให้ออกห่างๆ จะรู้สึกยังไงกัน

“ฉัน... ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ นายเฝ้าโต๊ะล่ะ ฉันสั่งอาหารให้แล้ว” ผมบอกพร้อมกับดันหมอนั่นให้นั่งลงที่โต๊ะ ร่างสูงทำหน้างงใส่ผมนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมปลีกตัวเดินออกมาโดยไม่ลืมหันกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าหมอนั่นจะไม่ตามมาจริงๆ ผมเดินมารอที่หน้าห้องน้ำได้ไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกมา ผมไม่ต้องเดาเลยว่าปฏิกิริยาเมื่อเธอเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้มันจะเป็นยังไง

“ตะ...ตรี” เสียงหวานครางชื่อผมออกมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นะ...นาย มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” สีหน้าหวาดระแวงของคนตรงหน้าทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมา

“ไม่ใช่แค่ฉันนะที่อยู่ที่นี่ หมอนั่นเองก็อยู่” ไม่ต้องบอกเธอก็คงจะเดาออกว่า ‘หมอนั่น’ ที่ผมพูดถึงหมายถึงใคร

“ชะ...เชนอยู่ที่นี่เหรอ” ร่างเล็กเบิกตากว้างขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางตกใจ
               
“นี่เธอไม่รู้เหรอว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่” ผมเลิกคิ้ว เผลอใช้ท่าทางและสรรพนามที่ไม่สุภาพ โดยลืมไปเลยว่าผู้หญิงคนนี้อายุมากกว่า
               
แต่เอาเถอะ ตอนนี้คนตรงหน้าดูไม่ได้มีวุฒิภาวะมากกว่าผมไปเท่าไหร่หรอก
               
ฟ้าทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเก่า ปากของเธอพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ผมว่าเธอคงกำลังกังวลมากทีเดียว แหงล่ะ สิ่งที่เธอทำอยู่มันน่ากังวลน้อยซะที่ไหนล่ะ
               
“เลิกทำแบบนี้เถอะ” ผมบอก จริงๆ เรียกว่าเตือนดีกว่า
               
“ทะ...ทำอะไร” เธอถามอึกอัก สีหน้ายังคงดูหวาดระแวง
               
“ก็อะไรที่ทำอยู่ล่ะ” ผมเอนหลังพิงผนัง และมองคนตรงหน้านิ่งๆ “ฉันเคยคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากคนหนึ่งนะ แต่การที่เธอมาเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นลับหลังแฟนตัวเองแบบนี้... ฉันแน่ใจแล้วล่ะ ว่าตกลงเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหน”
               
“...” ร่างเล็กนิ่งไป เธอก้มหน้า สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกผิด
               
“ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นแบบนี้หรอกนะ แต่ว่าหมอนั่นมันซื่อบื้อเกินไปจนฉันอดไม่ได้จริงๆ”
               
“...”
               
“เลิกยุ่งกับพี่นิวอะไรนั่น แล้วกลับไปหาเชนเถอะ ก่อนที่เรื่องมันจะแย่ลง” ผมบอกอย่างจริงจัง 
               
“นายไม่เข้าใจ...” เจ้าของเสียงหวานเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาเอ่อคลอ “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ฉันกับเชนก็ต้องเลิกกัน” น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือเหมือนจะปล่อยโฮออกมาเต็มทีแล้ว ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนี
ถึงผมจะพยายามทำตัวนิ่งอยู่ แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดทนเห็นผู้หญิงร้องไห้ต่อหน้าได้หรอกนะ
               
“ทำไมเธอไม่ไว้ใจหมอนั่นล่ะ” 
               
“...”
               
“รู้บ้างมั้ยว่าหมอนั่นกำลังพยายามอยู่” ผมหันกลับมามอง ร่างบางที่มองผมด้วยสีหน้าตั้งคำถาม น้ำตาที่เคยเอ่อคลอที่ขอบตาร่วงหล่นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เขากำลังจะเลิกบุหรี่ เพื่อให้พ่อกับแม่ของเธอยอมรับ รู้บ้างหรือเปล่า?” 
               
“จริงเหรอ” เสียงหวานถามกลับ เธอยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างลวกๆ
               
ผมพยักหน้า “อืม เพราะฉะนั้นเธอเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก ไม่อึดอัดหรือไงที่ต้องไปไหนมาไหนกับคนที่ไม่ใช่แฟนตัวเองแบบนี้”
               
ร่างเล็กก้มหน้าลงอีกครั้ง ผมเห็นน้ำตาของเธอยังคงไหลออกมาไม่หยุดแม้ว่ามือเล็กๆ นั่นจะพยายามปาดมันออกแค่ไหนก็ตาม “อึดอัดสิ แต่ว่าฉัน...”
               
“ฟ้า” ยังไม่ทันที่คนตรงหน้าจะพูดจบ เสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นมา ผมหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นผู้ชายแว่นหนาเตอะที่มองมาทางผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
               
“มายุ่งอะไรกับแฟนฉัน” ร่างสูงขมวดคิ้วถามในขณะที่เดินเข้ามา หมอนั่นเดินมาแทรกกลางระหว่างผมกับฟ้าที่เอาแต่ยืนหน้าเหวออยู่
               
“แน่ใจเหรอว่าเป็นแฟน” ผมแค่นหัวเราะ
               
กล้าพูดชิบ พอเจ้าของเขาไม่มาให้เห็นนิดเดียว ก็ริอ่านเป็นแมวขโมยแล้วเหรอวะ
               
“เออ” ไอ้แว่นกอดอกตอบด้วยท่าทางที่พยายามทำให้ดูว่าเหนือกว่า ผมมองหน้ากลับอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ผมถึงกับชะงักไป

“ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนฉัน และกำลังจะเป็นคู่หมั้นด้วย เพราะฉะนั้นนายมาทางไหนก็ไปทางนั้นดีกว่า ฉันไม่อยากให้มีเรื่อง”
               
“พี่นิว!” เจ้าของเสียงหวานเอ็ดขึ้นมา ในขณะที่ผมกำลังขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับคำพูดของหมอนี่
               
เมื่อกี้เขาว่าไงนะ... คู่หมั้น?
               
“ไม่ต้องพูดเลยฟ้า พี่แค่ปล่อยให้คลาดสายตาแป๊บเดียว ก็มีผู้ชายเข้ามาจีบเลยเหรอ แล้วแบบนี้พี่จะไว้ใจได้ยังไง”
               
“พอได้แล้วพี่นิว!”
               
ผมมองคนสองคนตรงหน้าที่กำลังเถียงกัน ด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่ ท่าทางจริงจังของไอ้แว่น และท่าทางที่ดูร้อนรนแปลกๆ ของฟ้า ทำให้ผมยิ่งรู้สึกสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนี้มากยิ่งขึ้น
               
“นี่พวกนายสองคน...” ผมไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไรดี ในเมื่อตอนนี้ผมไม่เข้าใจสถานการณ์เอาซะเลย ฟ้าหันมาส่งสายตาบอกผมเหมือนกับว่าจะอธิบายทุกอย่าง ก่อนที่เธอจะหันไปพูดกับร่างสูงที่ยังคงยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่
               
“พี่นิวกลับไปที่โต๊ะก่อนเถอะค่ะ นี่เพื่อนฟ้า ไม่ได้มีอะไรทั้งนั้น พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”
               
“แต่ว่า..”
               
“ถ้าไม่ไว้ใจกัน ฟ้าก็จะไม่คุยกับพี่อีก” เธอทำสีหน้าจริงจัง จนร่างสูงต้องชะงัก
               
เขาหันมาทำสายตาข่มขู่ผม แต่ก็ยอมเดินออกไปตามที่ผู้หญิงคนนั้นของร้อง ผมหันกลับมามองร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อรอฟังคำอธิบาย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
               
“เฮ้ย อะไรวะ” ผมหันกลับไปมองก็พบว่าไอ้พี่นิวอะไรนั่น กำลังโวยวายพร้อมกับพยายามเช็ดเสื้อที่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างหกใส่
               
“เชน...” แต่เสียงของร่างบางก็ทำให้ผมเลิกสนใจหมอนั่น และเงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณีที่ยืนล้วงกระเป๋า ในมือถือแก้วเหล้าที่ตอนนี้ว่างเปล่าอยู่แทน
               
หมอนั่น...มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...
               
“โทษทีว่ะ มือมันลื่น” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนคุ้นตา พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย ซะจนดูเหมือนจงใจกวนประสาท ผมเห็นท่าทางไอ้พี่นิวนั่นเหมือนจะโวยวายขึ้นมาอีก แต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าคู่กรณีเป็นใคร
               
“นาย...”
               
“เออ กูเอง” เชนพูดแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่รอให้หมอนั่นพูดจบเลย และถึงอีกฝ่ายจะมีอายุมากกว่า แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่คิดที่จะใช้คำพูดสุภาพด้วย
               
“ชะ...เชน เชนอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฟังฟ้าอธิบายก่อน” ในที่สุดร่างเล็กที่ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ข้างผมมานาน ก็มีบทบาทสักที เธอเดินเข้าไปหาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน ก่อนจะพยายามพูดด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ
               
“อธิบายสิ” ร่างสูงพูดสั้นๆ สายตาของเขาที่มองมายังร่างบาง มีแต่ความเย็นชาจนแม้แต่ผมยังแอบเจ็บปวดแทน
               
“คะ... คือฟ้ากับพี่นิว... ระ...เราไม่ได้มีอะไรกันนะ เราแค่...”
               
“พอเถอะฟ้า” ไม่ใช่เสียงของร่างบางที่กำลังละล่ำละลักพูดอย่างร้อนรน แต่เป็นเสียงทุ้มของผู้ชายแว่นหนาคนนั้น ที่พูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่จะดึงผู้หญิงคนนั้นไปไว้ด้านหลัง
               
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หมอนั่นพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นราวกับตั้งใจจะเผชิญหน้ากับเชน ที่ยังคงยืนนิ่ง รอฟังคำอธิบายอยู่
               
“ฉันกับฟ้ากำลังจะหมั้นกัน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ตามคำสั่งของพ่อกับแม่ของฟ้า” พอผู้ชายคนนั้นพูดออกมา ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เริ่มร้องไห้ พร้อมกับเอาแต่ส่ายหน้า เหมือนกับพยายามจะปฏิเสธ
               
“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฟ้าถึงไม่บอกนายสักที แต่ตอนนี้ฉันจะบอกแทนแล้วกัน”
               
“...”
               
“เลิกกับฟ้าซะเถอะ”
               
ผมอยากเข้าไปทำอะไรสักอย่าง ให้ไอ้แว่นนั่นหยุดพูด หรือทำอะไรก็ได้ ที่จะไม่ทำให้เหตุการณ์มันเลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่เรื่องนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยสักนิด แค่ผมมายืนฟังอยู่แบบนี้มันก็ละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นมากพอแล้ว
                 
ผมหันไปมองร่างสูงที่ยังคงเอาแต่นิ่ง สีหน้าไม่บ่งบอกอะไร แต่ผมพอจะเดาออกว่าเขาคงช็อกกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขามองไปยังร่างบางของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของตัวเองมาตลอดเหมือนจะรอฟังอะไรบางอย่างจากเธอ
               
“หึ... หมั้นเหรอ” ริมฝีปากบางแสยะยิ้มเยือกเย็น ในขณะที่ร่างบางเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด พร้อมกับเรียกชื่อหมอนั่นซ้ำไปซ้ำมา
               
“เรื่องนี้นายเป็นคนผิดเองนะ...!”
               
พลั่ก!
               
ไอ้แว่นทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่คำพูดนั้นก็ถูกกลบไปด้วยเสียงหมัดที่กระทบกับใบหน้าใสโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงกรีดร้องดังขึ้นมา พร้อมกับร่างสูงที่ล้มลงที่พื้นตามแรงหมัด
               
“พี่นิว!!” ผู้หญิงคนนั้น เข้าไปประคองร่างของว่าที่คู่หมั้นของเธอเอาไว้ พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานองหน้า
               
“พล่ามอยู่ได้ กูรำคาญ” ผมกำลังจะเข้าไปห้าม แต่ก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของหมอนั่น ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน... ถึงแม้ปกติหมอนี่จะเป็นคนนิ่งๆ อยู่ แล้ว แต่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่า เวลาที่เขาโกรธ เขาจะกลายเป็นคนเย็นชาที่ดูน่ากลัวได้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้โวยวาย หรือทำท่าเกรี้ยวกราดอะไร แต่ความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูง ก็ทำให้แม้แต่ผมเอง ก็ยังไม่อยากจะเข้าไปใกล้เลย
               
“มีอะไรจะพูดอีกมั้ย” คราวนี้สายตาเย็นชาคู่นั่น มองไปยังร่างบางที่ยังคงเอาแต่ร้องไห้
               
“เชน...”
               
“ฉันถามว่ามีอะไรจะพูดอีกมั้ย!” คำถามถูกเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดกว่าที่เคย แต่ฟ้ายังคงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ผู้ชายแว่นหนาเตอะที่ดูเหมือนจะเพิ่งได้สติหลังจากถูกต่อย เข้ามาประคองกอดเธอ และมองร่างสูงเจ้าของสายตาเย็นชาด้วยสายตาคาดโทษ
               
“ถ้านายทำอะไรอีก คราวนี้ฉันจะไม่ยอมแน่” ชายสวมแว่นขู่ พร้อมกับเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเอง ในขณะที่อีกฝ่าย ยังคงแสยะยิ้มราวกับกำลังสมเพช
               
“กูไม่ได้คุยกับมึง” เสียงต่ำเอ่ยออกมา ก่อนที่สายตาเย็นชา จะหันกลับไปมองร่างบางที่กำลังร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่ตรงหน้าอย่างคาดคั้นอะไรบางอย่าง
               
“เชน ฮึก... เชน... ฟ้าขอโทษ...เชน...” เสียงหวานที่เจือไปด้วยเสียงสะอื้น พร่ำเรียกชื่อคนรักของตัวเองพร้อมกับพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาจนผมต้องเบือนหน้าหนีเพราะทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ได้ ถ้าคนพวกนั้นไม่ขวางทาผมอยู่ ผมคงเดินหนีจากเหตุการณ์น่าอึดอัดนี้ไปตั้งนานแล้ว แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ และรับรู้เรื่องราวทั้งหมด
               
ผมไม่อาจจะเดาได้ว่าหมอนั่นจะตัดสินใจยังไง แต่ถ้าเป็นผมที่เห็นคนที่ตัวเองรักร้องไห้ราวกับจะขาดใจอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ต่อให้เธอทำผิดร้ายแรงแค่ไหน ผมก็ไม่ใจแข็งพอที่จะทำเมินเฉยแน่ๆ ผมคงจะให้อภัยโดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหน
               
แต่ดูเหมือนว่าเชนจะไม่ได้ใจอ่อนอย่างผม... ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง และประโยคต่อมา ก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาตัดสินใจที่จะจบเรื่องนี้ยังไง
               
เพล้ง!
               
เสียงแก้วที่ถูกโยนลงพื้นจนแตกกระจายอยู่ตรงหน้าของชายหญิงคู่นั้น ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งนิดๆ ร่างสูงที่ยืนเงียบไปนานมองคนที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของตัวเอง ก่อนจะเบือนสายตาไปยังผู้ชายอีกคน ที่เข้ามาแทรกกลางจนความสัมพันธ์ของคนทั้งสองต้องพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
               
“ไสหัวไป” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ร่างสูงจะหันหลังกลับไป เรียวขายาวก้ามออกจากบริเวณนี้ไป โดยไม่หันกลับมามองผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้ และเรียกชื่อเขาด้วยความเจ็บปวดเลยสักนิด ผมมองร่างบางที่ถูกสวมกอดด้วยผู้ชายที่กำลังจะเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
               
จบแล้วสินะ...
               
ผมเดินออกมาจากตรงนั้น เพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิดกันแน่ อาจจะเป็นนิวที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของคนสองคน... อาจจะเป็นฟ้า ที่ไม่เข้มแข็งพอ และปล่อยให้พ่อกับแม่มาบงการความรักของตัวเองจนเรื่องมันวุ่นวายไปหมด... หรืออาจจะเป็นเชน... ที่ยังไม่ดีพอ ที่จะทำให้พ่อแม่ของคนที่ตัวเองรักไว้ใจก็ได้...
               
ไม่ว่าเรื่องนี้ใครจะผิดหรือใครจะถูก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็กำลังแยกทางกัน ความรักของคนสองคนที่ผมมองว่าเหมาะสมยิ่งกว่าคู่ไหนๆ กำลังพังทลายลงอย่างไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้เลย...
น่าเจ็บปวดนะ ว่ามั้ย
 
               
ผมเดินออกมาที่โต๊ะ ก็พบว่าสมาชิก The Quantum คนอื่นๆ กำลังนั่งดื่มกันอยู่ ในขณะที่หมอนั่นไม่ได้อยู่ที่โต๊ะด้วย
               
“เชนล่ะ” ผมถาม ต้าที่เป็นมือกลองของวงหันมาเลิกคิ้วมองผม ก่อนจะเพยิดหน้าไปทางหน้าร้าน ผมจึงเดินตามออกมาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
               
ถึงท่าทางของหมอนั่นเมื่อครู่จะทำให้ผมกลัวอยู่บ้างก็เถอะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง จะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดีได้ยังไง ผมมองหาไม่นาน ก็เจอร่างสูงที่ยืนพิงผนัง หันหลังมาทางนี้อยู่ไม่ไกล ควันสีขาวจางๆ และกลิ่นฉุนๆ ที่ลอยเข้ามาแตะจมูกทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
               
“ขอบุหรี่หน่อยสิ” ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบ ร่างสูงจึงหันกลับมาเลิกคิ้วมอง ก่อนจะแสยะยิ้มเหมือนเคย
               
ท่าทางเขาดูเย็นลงกว่าเมื่อครู่มาก สายตาเย็นชาที่ดูน่ากลัวนั่นกลับมาเป็นสายตาเรียบนิ่งในแบบปกติของเขาแล้ว
               
มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะดึงกล่องอะไรบางอย่างออกมา ผมชะงักไปเมื่อพบว่ามันไม่ใช่กล่องบุหรี่ แต่มันคือหมากฝรั่งที่เขาพกเป็นประจำหลังจากที่บอกว่าจะเลิกไอ้สิ่งเสพติดทำลายปอดนี้

“มีแต่ไอ้นี่” เขาโยนกล่องหมากฝรั่งมาให้ผม ซึ่งรับได้ทันอย่างหวุดหวิด เพิ่งสังเกตว่าบุหรี่ที่เขาสูบอยู่ เป็นคนละยี่ห้อกับที่เขาสูบประจำ น่าจะขอใครสักคนมาล่ะมั้ง ผมมองกล่องหมากฝรั่งในมือ ก่อนจะยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และแกะหมากฝรั่งออกมาเคี้ยวพลางเดินไปยืนพิงผนังข้างๆ ร่างสูง และมองท้องฟ้าโดยที่ไม่พูดอะไร

“นี่” แต่แล้วเจ้าของเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมหันกลับไปมองเสี้ยวหน้าของร่างสูงที่ยังคงพูดโดยที่ไม่หันกลับมาสบตา

“นายเคยถามใช่มั้ยว่าตกลงฉันรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ หรือเปล่า”

“อืม” ผมรับคำ หลายครั้งที่ผมถามของออกไปแบบนั้น เพราะท่าทางเย็นชาของเขา มันทำให้บางครั้งผมก็รู้สึกว่า เขาอาจจะไม่ได้คิดจริงจังกับเธอ

“จะรักหรือไม่รักก็ไม่รู้...” ร่างสูงพูด ก่อนที่จะหันมาสบตาผม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เคยมีแต่ความนิ่งเฉย กำลังสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“...”

“แต่ตอนนี้...ฉันโคตรเจ็บเลยว่ะ”

“...”

ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกลับไป ถึงจะทำให้หมอนี่รู้สึกดีขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้ ผมได้แต่เบือนหน้าหนี และปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวแทนคำพูดของผม

ความเงียบที่จะแสดงให้คนที่อยู่ข้างๆ รู้ว่าผมเข้าใจดี... ว่าความเจ็บปวดจากความรักมันเป็นยังไง...     



*เพลง Demon : Imagine Dragons




------------------------------------------------------------
เพื่อนบอกว่า อัพนิยายในนี้ได้คอมเม้นต์ยาก
เออ... ยากจริงด้วยว่ะ 555555
 :z6:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 27-03-2016 23:55:34
มีทริคคือ เวลาอัพให้อัพตามระยะสมควรค่ะ 555 เพราะว่ามันเป็นระบบรีพลาย การอัพหลายตอนรวดเดียวมันทำให้คนอ่านไม่รู้ว่าจะเม้นถึงจุดไหนดี เพราะแต่ละตอนนั้นมันมีจุดหนักๆอยู่ใช่ไหมคะ อีกอย่าง เพราะเรื่องนี้คือเรื่องแรก ความเคยชินเลยไม่มี ถือเป็นระยะลองใจ 555 เพราะบางทีเว็บนี้มันไม่มีระบบเฟบ.แจ้งเตือน สะดวกสะบายด้วย สมมุติว่าอัพวันนี้ แล้วคนอ่านยังไม่เข้าเน็ต นิยายก็อาจถูกเรื่องอื่นๆที่มีแฟนคลับอยู่เเล้วดันถอยไปหน้าสองได้ แต่คงไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เพราะคนมันจะไม่เม้นเนาะ มีสต็อกอยู่เยอะใช่ม้า ก็เลยลงไวใช้เวลาสักนิด ให้คนอ่านคุ้นเคยกับนิยายและนามปากกาของคนเขียน รับรองแค่เห็นชื่อรีบกดมาอ่านแล้วววว #อวยสุด รอนิดนึงนะคะ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ แล้วคุณจะรู้ว่าสมาชิกบอร์ดนี้นี่น่ารักทุกกกคน โมก็แซบ 555
        ป.ล.ชอบการวิเคราะห์ของคุณเม้นบนมาก ที่พูดเกี่ยวกับอารมณ์แจ่มใส มันก็...นิดนึงอ่ะนะ แต่ชอบสำนวนการบรรยายของคุณคนเขียนมาก พออ่านแล้วรู้สึกถึงความอ่อนไหวของตรีดี พระเอกมีมิติสุดๆชอบ มันดูนิ่มนวลแบบเถื่อนๆดี 55 อาจเพราะติดจากนิยายสายปกติ เลยทำให้ตัวนายเอกเรามันให้อารมณ์ที่เบาบางกว่า ไม่รู้สิ พูดไม่ถูก แต่มันก็สนุก ชอบแนวนี้ นายเอกที่น่าพิศวงงงงวยกว่าตรีนี่ยังมีอีกเยอะ ไม่ต้องกังวล สิงในบอร์ดซักพัก อ่านเพื่อซึมซับความวายอีกหน่อยก็กระฉูดดดดด
        ป.ล.2 อ่านสบายๆ เนื้อเรื่องกลมกล่อมดี วิเคราะห์แบบวิชาการไม่ได้ ที่มานี่สายความรู้สึกส่วนตัว 55 ขอบคุณเม้นวิเคราะห์ดีๆจากเม้นบนๆ ที่ทำให้รู้สึกกระจ่างขึ้น เหมือนเราจะเจอกันหลายเรื่องแล้ว ชอบอ่านเม้นคุณมากๆค่ะ ขอบคุณนิยายดีๆที่นำมาลงนะ :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-03-2016 00:02:27
ถึงเป็นคน ปนเปื้อน เหมือนเรื้อนหมา
อย่าพูดจา ดูถูก อย่างลูกหมู
อย่าประมาท คาดโทษ ว่าโฉดกู
ถ้าไม่ได้ ทะลวงรู หูของมึง

อย่าตีค่า ราคาคน ที่จนต่ำ
อย่ากล่าวย้ำ ซ้ำเติม เพิ่มสวยหรู
อย่าประเมิน เกินเลย เคยเห็นดู
อย่าไม่รู้ ว่าจิ๋มจู๋ ถูกันมันส์

พอเหอะ..พ่อแม่ของฟ้า
ไม่รู้จริงๆเหรอว่าเชนกับฟ้า
สองคนนี้อยู่หอด้วยกัน
เอาคอดันหอกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

เลิกเนอะ..ก็ได้
เชนกับตรีจะได้เอาคอถูคอกัน
เป็นนิยายบอยเลิฟ..ซะที

ฮ่าฮ่า
+1 ขอบคุณนักเขียน
ติดใจเรื่องนี้แล้ว
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 28-03-2016 09:20:53
ชอบเรื่องนี้ค่ะ รอติดตามนะคะ
เรามองว่าเชนดูเหมือนคนที่แสดงออกไม่ค่อยเก่ง
หรือไม่ก็เก็บความรู้สึกตัวเองเก่ง ไม่แสดงออกทุกอย่างที่คิดและรู้สึก
ส่วนแม่เจ้าเตดูเป็นคนที่มั่นคงดี มองแค่คนๆ เดียว
และค่อนข้างเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น
สองคนดูแตกต่างแต่ก็ค่อนข้างลงตัวนะคะ
 o13 o13

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 28-03-2016 11:49:26
อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ คนเขียนโพสแต่ละตอนยาวดี รออ่านตอนหน้าอยู่นะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 28-03-2016 19:08:27
ตามน้าาา   สนุกมากกก ลุ้นสุดๆว่าจะลงเอยกันยังไง :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 11 [ 28/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-03-2016 23:17:01
11
คนดี
 

[ Special : Chian’s part ]
 
ไม่เคยมีใครที่ไม่เจ็บปวดกับความรัก... ผมเคยได้ยินใครสักคนพูดแบบนี้ และตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าไอ้คำพูดนี้ แม่งโคตรจะจริง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยรักใครจริงๆ เลยสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการรักคนคนหนึ่งมันเป็นยังไง ผมเคยคบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา โดยคิดว่าพวกเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อนแก้เหงา คนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของผมไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องคบกับใครเพราะความรัก
จนกระทั่ง มีใครบางคนบอกให้ผมลองจริงใจกับใครสักคน... แล้วจะได้รู้ว่าความรักมันเป็นยังไง...
และใครจะไปคิด ว่าสุดท้าย ผมก็พลาดท่าให้ไอ้คำพยางค์เดียวนี้เข้าจนได้
 
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการที่เหมือนกับหัวกำลังจะระเบิด นานมากแล้วนะ ที่ผมไม่ได้มีอาการแบบนี้ ผมแทบไม่รู้จักคำว่าเมาเลย แต่เมื่อคืนด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง มันทำให้ผมไม่สามารถวางแก้วเหล้าลงได้จริงๆ ว่ะ แล้วก็ต้องมานั่งแฮงก์อยู่แบบนี้ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนผมทำอะไรไปบ้าง และกลับมาที่ห้องนี่ได้ยังไง บัดซบสุดๆ -*-
 
ผมลุกขึ้นมานั่งตั้งสติ พร้อมกับยกมือกุมขมับด้วยความปวดหัว ผมมองไปรอบตัว ก่อนจะเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงสีขาวที่มันไม่ใช่ที่นอนของผม ก็ปกติผมนอนพื้นนี่หว่า แล้วขึ้นมานอนบนเตียงได้ไงเนี่ย ผมลุกขึ้นจากเตียง และเดินโซเซไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เผื่อว่าน้ำเย็นๆ มันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และพอกลับออกมา ก็พบว่าที่นอนประจำของผม มีร่างของอีกคนนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินเข้าไปหา ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่มาแย่งที่นอนของผมจะเป็นใคร

ร่างของผู้ชายที่เตี้ยกว่าผมน่าจะสักหกเจ็ดเซนติเมตรได้ นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนบางที่ผมใช้ห่มทุกคืน โผล่ออกมาแต่ใบหน้าขาวใส ที่กำลังหลับสนิท หมอนี่เองสินะที่เป็นคนแบกผมกลับมาที่ห้อง แถมยังสละเตียงให้ผมนอนอีก...
หึ จะเป็นคนดีไปถึงไหนเนี่ย

ผมนั่งยองๆ ลงตรงหน้าคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ และมองสำรวจใบหน้ายามหลับของหมอนี่ ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เพราะผมมักจะหลับก่อน และตื่นทีหลังเขาตลอด

สารภาพตามตรงเลยว่าตอนที่เห็นตรีครั้งแรก ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้ จากใบหน้าขาวใส กับคิ้วเข้มที่ชอบขมวดนิดๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ดวงตาโตแต่หางตาที่เฉียงขึ้น (เค้าเรียกอะไรวะ? ตาคมเหรอ) ทำให้บางครั้งก็เหมือนจะดูดุ อย่างไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่ จมูกโด่งรั้นนี่ยิ่งทำให้ดูเป็นคนดื้อไปกันใหญ่ คงมีแต่ริมฝีปากสีชมพูที่ไม่บาง แต่ก็ไม่ได้อวบอิ่ม ติดจะเจ่อนิดๆ นี่แหละที่ทำให้ใบหน้าโดยรวมของหมอนี่ดู... น่ารัก (?) อย่างเอาแต่ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ

ตอนแรกผมคิดว่าหมอนี่คงเป็นคนเอาแต่ใจและคงจะเจ้าอารมณ์มากแน่ๆ แต่พอได้มารู้จักจริงๆ กลับพบว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่คิดเลยสักนิด ถึงจะชอบทำหน้าบึ้งใส่ผม แต่ก็ไม่ถึงกับเอาแต่ใจ ถึงหน้าตาจะเหมือนไม่ชอบเข้าสังคม แต่เมื่อคนรอบข้างต้องการความช่วยเหลือ หมอนี่ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ จนบางครั้งผมก็ทึ่งในความเอาใจใส่ของคนตรงหน้านี่จริงๆ

ตอนที่ผมโดนพ่อกับแม่ของฟ้าไล่ตะเพิดออกมาจากห้อง และไม่มีที่ไปไหน เพราะว่าเพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ผมเลยไม่ค่อยอยากจะไปรบกวนพวกมันเท่าไหร่ แล้วอยู่ๆ ใบหน้าของหมอนี่ก็แวบเข้ามาในสมอง ทั้งที่เราก็เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น... แต่ไม่รู้ทำไม... ผมกลับรู้สึกว่าเขาจะต้องช่วยผมได้แน่ๆ
หึ แล้วก็ช่วยได้จริงๆ ซะด้วย

ผมเข้าใจนะ ว่าหมอนี่คงจะช่วยผมเพราะผมเป็นพี่รหัสไอ้ซัน... ผู้ชายที่เขาชอบ

ตอนแรกผมไม่แน่ใจหรอกนะว่าคนที่หมอนี่ชอบเป็นใคร ผมเคยเห็นเขาร้องเพลงอะไรสักอย่าง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแอบรัก และมันดูอินซะจนผมเดาว่าหมอนี่คงจะแอบรักใครสักคนอยู่แน่ๆ แล้วในคืนนั้นที่ไอ้ซันเมา และหมอนี่เป็นคนแบกไปส่งที่อพาร์ทเมนต์ สายตาที่มีแต่ความห่วงใยที่เวลาที่เขามองไอ้ซัน ทำให้ผมเดาสถานการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
บอกตรงๆ ว่าผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนอย่างหมอนี่จะชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจอะไรหรอกนะ (บอกแล้วไงว่าผมเองก็เคยคบกับผู้ชาย) แต่แค่คิดว่าคนหน้าตาแบบนี้ คงจะป๊อบในหมู่สาวๆ มากทีเดียว ไม่มีเหตุผลเลยที่เขาจะเมินผู้หญิงที่พร้อมจะเสนอตัวให้ แล้วหันไปชอบผู้ชายด้วยกัน แถมเป็นเพื่อนสนิทซะด้วย เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่หมอนี่จะสมหวังกับไอ้ซันนี่แทบจะติดลบเลยด้วยซ้ำ เพราะจากที่ผมรู้จักมันมา และได้เห็นมันกับน้องวีคบกัน ทำให้ผมรู้ว่ามันรักน้องเขามากแค่ไหน และคงจะยากทีเดียว ที่มันจะหันกลับมามองคนที่มันคิดว่าเป็นเพื่อนมาตลอด

ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหมอนี่ไม่ตัดใจไปซะ เพราะถ้าเป็นผม ผมคงไม่สามารถทนชอบคนที่ไม่มีวันหันมามองผมได้นานๆ หรอก (แม้ว่าผมจะยังไม่เคยเจอคนคนนั้นเลยสักครั้งน่ะนะ) แต่หลังจากที่ได้คุยกับหมอนี่บ่อยๆ และได้รู้จักนิสัยจริงๆ ของคนคนนี้ ทำให้ผมรู้ว่า ความรักที่เขามอบให้ไอ้ซัน คือความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา ก็ไม่คิดที่จะหยุดรัก ยอมทนเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่ได้เห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุข...

มันเป็นสิ่งที่คนอย่างผมคงไม่สามารถทำได้จริงๆ นั่นแหละ

แต่เป็นเพราะการได้เห็นความรักที่แสนบริสุทธิ์ของหมอนี่นี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึก... อิจฉาเล็กๆ อย่างที่บอกว่าผมไม่เคยคิดจะรักใคร ทำให้ผมไม่รู้จริงๆ ว่าความรักมันมีดียังไง ทั้งๆ ที่ไม่ได้อะไรตอบแทนแท้ๆ แต่ทำไมหมอนี่ถึงยังยอมทนอยู่แบบนี้ มันทำให้ผมย้อนกลับมามองตัวเอง และคิดได้ว่า ถ้าครั้งหนึ่งผมได้ลองรักใครจริงๆ บ้าง... มันจะเป็นยังไงนะ

เมี้ยวว

เสียงร้องเจ้าเตดังขึ้นมา ขณะที่เจ้าตัวเล็กเดินมาคลอเคลียกับขาผม ผมเอื้อมมือไปลูบหัวมันเบาๆ อย่างที่เคย ผมยังจำวันแรกที่เจอมันไอ้อยู่เลย ตอนนั้นผมคุยกับตรีอยู่ แถมหมอนั่นยังร้องไห้อีกต่างหาก ผมไม่รู้ว่าจะปลอบยังไง เพราะปกติก็ไม่เคยคิดจะปลอบใคร แต่การที่คนที่พยายามทำตัวเข้มแข็งมาตลอดอย่างหมอนี่ มาร้องไห้ต่อหน้า มันทำให้ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้จริงๆ แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวเล็กนี่ก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา ผมเป็นคนชอบแมวอยู่แล้ว และเห็นว่ามันน่ารักดี ก็เลย...

อ่า... เชื่อเถอะ ว่านั่นเป็นเรื่องน่าอายติดสิบอันดับแรกในชีวิตผมเลยทีเดียว -_-;

เมี้ยววว

เจ้าเตร้องขึ้นมาอีก พร้อมกับทำท่าจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนร่างของคนที่นอนอยู่เหมือนกับที่มันทำประจำเวลาจะปลุกผม ทำให้ผมต้องรีบคว้ามันมา ก่อนจะจุปากให้มันเงียบ

“ชู่ว์! อย่าไปกวนแม่แกสิ” ผมเอ็ดเบาๆ แม้จะรู้ว่ามันฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม

ผมแต่งตั้งให้หมอนี่เป็นแม่ของเจ้าเตอย่างเป็นทางการไปแล้ว ด้วยนิสัยที่เอาใจใส่ และชอบสั่งสอนคนอื่น ทำให้ผมรู้สึกว่าหมอนี่เหมือนแม่ของผมจริงๆ เผลอๆ ผมอาจจะเชื่อฟังเขามากกว่าแม่ตัวเองอีกนะ ฮ่ะๆ

ตั้งแต่เกิดมา ผมถูกเลี้ยงดูมาในแบบที่... จะเรียกว่าตามใจตัวเองมากเกินไปก็ว่าได้ ไม่เคยมีใครบอกผมว่า ผมต้องทำอะไร หรือห้ามทำอะไร ครอบครัวของผม ปล่อยให้ผมมีความคิดที่อิสระ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะสุดท้ายแล้ว ผลจะร้ายหรือดี มันก็จะเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน มันถือเป็นเรื่องดีสำหรับผมนะ เพราะการเลี้ยงดูแบบนี้ ทำให้ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่าอะไรดี หรือไม่ดี แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจจะดูอิสระเกินไป จนทำให้ผมกลายเป็นคนไม่แคร์อะไร อย่างที่เป็นอยู่

แล้วอยู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งมาบอกให้คนที่ไม่คิดจะแคร์ใครในโลกอย่างผมลองทำอะไรเพื่อคนอื่น บอกให้ผมลองจริงใจกับใครสักคน บอกให้ผมลองเอ่ยคำขอโทษในสิ่งที่ผมทำผิด ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้จัก และไม่เคยทำเรื่องพวกนั้นเลยสักครั้ง และน่าแปลกที่ผมก็บ้าจี้ทำตามอย่างที่หมอนั่นบอกซะด้วยนะ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตามที่เขาบอก ทั้งๆ ที่หมอนี่ก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจในทุกคำพูดของเขาเลย
 
แต่... ไม่รู้สิ อยู่ๆ ผมก็คิดว่า... ลองทำตามก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ล่ะมั้ง

และนั่นแหละ การบ้าจี้ทำตามคำพูดคนอื่นของผม ก็ทำให้สุดท้าย ผมก็ได้รู้แล้วว่า ไอ้การอกหักเนี่ย มันเป็นยังไง =_= ผมเจ็บนะ เจ็บจริงๆ ผมทั้งผิดหวัง เสียใจ ไม่เข้าใจ... หลากหลายความรู้สึกปนเปกันไปหมดจนผมแยกไม่ออกเลยว่ามันเป็นความรู้สึกยังไงกันแน่ มัน...เป็นความรู้สึกแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ตลอดยี่สิบปีที่เกิดมา

แต่เอาเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วนี่หว่า คิดถึงมันไปก็เปล่าประโยชน์ มีแต่จะทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาซะมากกว่า เพราะงั้น ช่างแม่งเหอะ -*-

ผมกลับมานั่งมองใบหน้ายามหลับของคนเจ้ากี้เจ้าการอีกครั้ง สำรวจใบหน้าขาวใสตรงหน้าอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนจะหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะทำไม ก่อนจะอุ้มเจ้าเตที่ยังคลอเคลียขาผมและทำหน้าบ้องแบ๊วใส่ขึ้นมา แล้วจับให้มันยื่นหน้าไปตรงแก้มใสของคนที่กำหลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่

จุ๊บ

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่ยังคงค้างอยู่บนใบหหน้า

ผมอยากขอบคุณหมอนี่จริงๆ นะ สำหรับอะไรหลายๆ อย่างที่ผมไม่คิดเลยว่าคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน จะสามารถทำอะไรดีๆ ให้กับผมได้มากมายขนาดนี้ แต่ให้เดานะ ผมว่าหมอนี่ต้องแอบรู้สึกผิดนิดๆ แน่ๆ ที่ตัวเองเคยบอกให้ผมจริงจังกับผู้หญิงคนนั้น แต่สุดท้ายผมกลับถูกทรยศอย่างน่าสมเพชแบบนี้

หึ ก็นิสัยหมอนี่มันเป็นแบบนั้นนี่น่า ชอบคิดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย

กริ๊งงง

...!!

ผมตกใจจนแทบจะหงายหลัง เมื่ออยู่ๆ เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นมา ผมมองไปยังโทรศัพท์มือถือข้างตัว ซึ่งไม่ใช่ของผม ก่อนจะคิดว่าผมควรจะทำยังไงดี ถึงวันนี้จะเป็นวันจันทร์ และหมอนี่จะมีเรียนก็เถอะ แต่ตอนนี้มันเพิ่งแปดโมงเองนะโว้ย แถมเมื่อคืนก็กลับดึกมากด้วย ยังจะตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าทำไมเนี่ย -*-

“อื้อ” แต่ในขณะที่ผมได้แต่ชะงัก ร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มก็เริ่มขยับตัว ก่อนที่เมือหนาจะโผล่ออกมาจากผ้าห่ม และพยายามควานหานาฬิกาปลุกทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

หมับ!

“...!!” แต่แทนที่จะได้นาฬิกาปลุกที่ยังคงแผดเสียงดังลั่นอยู่ มือเรียวกลับความเข้าที่เท้าของผม และคราวนี้ผมก็สะดุ้งตกใจจนหงายท้องลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าที่พื้นจนได้

“หือ?” เจ้าของดวงตาคมหรี่ตาขึ้นมาอยากยากลำบาก พร้อมกับยกอีกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเองอย่างงัวเงีย ก่อนจะถึงกับชะงักไป เมื่อพบว่าสิ่งที่มือตัวเองจับอยู่ ไม่ใช่โทรศัพท์มือถืออย่างที่คิด

“...” อะ...เอ่อ ผมควรพูดอะไรสักอย่างป่ะวะ?

“นะ...นาย!!?” ไม่ต้องรอให้ผมได้คิดคำพูดอะไร ร่างที่เคยนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มก็สะดุ้งตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับเบิกตากว้างมองผมอย่างตกใจ

ผมเปลี่ยนท่านั่งตัวเองเป็นขัดสมาธิ ก่อนจะตีหน้านิ่งและกระแอมออกมาเบาๆ “อะ...รุณสวัสดิ์” ผมว่าพร้อมกับยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง เป็นการทักทายที่ดูโง่เง่าที่สุดในชีวิต -*-

เจ้าของใบหน้าที่ดูเอาแต่ใจยังคงเบิกตากว้างมองผมอยู่พักใหญ่ เหมือนจะตั้งคำถามว่าผมมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง (เออ ผมก็อยากถามตัวเองอยู่เหมือนกัน) ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ และเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ยังดังลั่นห้องอยู่

“นอนต่อก็ได้นะ” ผมบอกนิ่งๆ

จริงๆ ถ้าผมเรียนสิบเอ็ดโมงอย่างหมอนี่ ผมคงจะตื่นสักสิบโมงครึ่งด้วยซ้ำ คงไม่มีอารมณ์มาตื่นแปดโมงเช้า ทำกับข้าว ทำนู่นทำนี่ก่อนไปเรียนให้เสียเวลานอนอันมีค่าหรอก

แต่มันก็เหมือนเป็นความเคยชินแหละนะ ที่ผมมักจะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนแปดโมง และได้กลิ่นอาหารเช้าโชยเข้าจมูกมาในทุกๆ วัน นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ จนบางครั้ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะแหกขี้ตาตื่นขึ้นมากินข้าวเช้ากับเขาด้วย (โคตรไม่ใช่วิถีชีวิตปกติของผมเลยอ่ะ)

คนตรงหน้าบิดตัวไปมา พลางขยี้ตาก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไร นายตื่นนานหรือยัง ปวดหัวมั้ย ให้ฉันทำอะไรให้กินแก้แฮงก์หรือเปล่า” คำถามที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ซึ่งผมมักจะได้ยินเป็นประจำ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมานิดๆ
นิสัยแม่เริ่มแล้วแฮะ

“ได้ข้าวต้มสักถ้วยก็คงดี” ผมตอบอย่างไม่ปฏิเสธ เพราะรู้ว่าถึงปฏิเสธไป หมอนี่ก็คงจะทำอะไรสักอย่างให้ผมกินอยู่ดี

“อ่า งั้นรอแป๊บนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปที่ครัว ผมลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง และมองเจ้าของใบหน้าเอาแต่ใจที่กำลังลงมือทำข้าวต้มให้ผมกิน แม้ว่าจะยังอยู่ในอาการงัวเงียก็ตาม

“หมูหรือปลา” แต่อยู่ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็หันกลับมาสบตาอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมปรับสีหน้าเป็นเรียบนิ่งทันควันก่อนจะทำท่าคิดนิดหนึ่ง

“ปลา” ผมตอบสั้นๆ ตรีพยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปค้นเนื้อปลาที่แช่เอาไว้ในตู้เย็น และลงมือทำกับข้าวอีกครั้ง ผมหัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนี จับเจ้าเตมาแล้วขยี้หัวมันอย่างหมั่นเขี้ยว จริงๆ ผมไม่ได้หมั่นเขี้ยวไอ้เจ้าตัวเล็กนี่หรอก คนที่ผมอยากจะขยี้หัวแรงๆ สักที คือเจ้าของใบหน้าขาวใสที่กำลังทำหน้าง่วงต้มข้าวต้มอยู่ที่ครัวนั่นต่างหาก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยคิดที่จะเอ่ยปากชมผู้ชายด้วยกันเลยนะ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะดีเลิศกว่าผมมากแค่ไหนก็ตาม ...แต่ว่าครั้งนี้ขอเถอะ ผมขอยอมรับตามตรง ว่าไอ้หมอนี่มันโคตรจะน่ารักเลยว่ะ ให้ตาย
 
               
[ End special ]
 

-- มีต่อค่ะ --

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-03-2016 23:17:40
-- ต่อ --


[ Tree’s part ]

หลายวันต่อมา

ในที่สุดอาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายของการเรียนซัมเมอร์อันน่าเบื่อนี่สักที แต่มันไม่ดีตรงที่ อาทิตย์หน้าผมต้องสอบนี่แหละ บอกตามตรงว่าขี้เกียจอ่านหนังสือสุดๆ

ผมหอบร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับมาที่ห้องของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดสภาพ อยากนอนสักงีบจังแฮะ แต่ติดที่ว่าคืนนี้ผมมีเล่นดนตรีที่ร้านนี่สิ... แถมวันนี้เป็นวันสำคัญซะด้วย

“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงทุ้มดังมาจากร่างสูงที่เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันเอวอยู่ผืนเดียว และหยดน้ำเกาะพราวเต็มตัวเช่นเคย

ภาพนี้เป็นอะไรที่ผมเห็นจนชินแล้วล่ะ แม้จะยังอดรู้สึกอิจฉาในรูปร่างสมส่วน และซิกซ์แพ็กแมนๆ นี่ไม่ได้ก็ตาม ผมไม่เคยเห็นหมอนี่ออกกำลังกายเลยนะ น่าสงสัยจริงๆ ว่าไปเอาไอ้กล้ามเนื้อสวยๆ พวกนี้มาจากไหน -*-

“อือ” ผมตอบเนือยๆ ก่อนจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำบ้าง แต่พอผมจะเข้าห้องน้ำ หมอนี่กลับมายืนขวางหน้าประตูไว้

“?” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง สีหน้าตั้งคำถาม แต่คนตรงหน้ากลับอมยิ้มขำกลับมาซะงั้น ผมจึงเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว

“หน้าโคตรเหนื่อยเลย ไหวมั้ยเนี่ย” เขาถามกลั้วหัวเราะ ผมเลยย่นหน้าใส่ ก่อนจะผลักร่างสูงออกให้พ้นทาง

“ช่างหน้าฉันเถอะน่า” ผมบอก และกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่ก็ถูกเรียกไว้อีกซะก่อน

“เมื่อกลางวันฉันซื้อแกงเขียวหวานมา แล้วกินไม่หมด จะกินมะ เดี๋ยวอุ่นให้” เสียงทุ้มถาม

“อ่า ก็ดีเหมือนกัน” ผมตอบรับ เพราะจริงๆ ก็เริ่มหิวแล้ว
               
ช่วงหลังๆ มานี้ ผมมักทำข้าวเช้าเป็นอาหารจานเดียวง่ายๆ อย่างพวกข้าวผัด หรือไม่ก็ไข่ดาวกับไส้กรอก ทำให้ไม่มีอาหารกลางวันเผื่อไว้ให้คนที่ห้องกิน เชนก็เลยต้องออกไปกินข้างนอก หรือไม่ก็ซื้อกับข้าวถุงมากิน แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หมอนี่จะกินกับข้าวคนเดียวไม่หมด แล้วก็จะเก็บไว้กินพร้อมผมอีกทีตอนเย็น ก่อนออกไปทำงาน มันก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ เพราะผมไม่ต้องออกเงินค่าอาหารเอง แล้วผมก็เริ่มเบื่ออาหารที่ร้านนิดๆ แล้วด้วย
               
ผมอาบน้ำภายในเวลาไม่กี่นาทีด้วยความขี้เกียจ ก่อนจะเดินมานั่งประจำอยู่ที่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิมเพื่อรอพ่อครัวจำเป็นยกอาหารมาเสิร์ฟ ตรงหน้าผมมีจานข้าวสวยสองจานที่ดูเหมือนจะผ่านการอุ่นไว้แล้ว ไม่นานร่างสูงก็เดินมาจากครัว พร้อมกับแกงเขียวหวานชามใหญ่หอมฉุย ผมไม่รอช้าที่จะเริ่มลงมือกินมื้อเย็นด้วยความหิวโหย
               
“นี่ แล้วตกลงเรื่องวงเอาไง” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เปิดประเด็นขึ้นมา ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง เหมือนกับจะบอกว่าคราวนี้ผมจะตอบว่าขอคิดดูก่อนเหมือนทุกครั้งไม่ได้อีกแล้ว
               
แต่จริงๆ หลายวันที่ผ่านมาผมก็คิดทบทวน จนได้คำตอบในเรื่องนี้มาแล้วอ่ะนะ
               
“อืม จะลองดูก็ได้” ผมตอบสั้นๆ พลางตักข้าวเข้าปาก “แต่ไม่รับประกันหรอกนะว่าฉันจะเล่นได้ดี” ผมรีบออกตัว เมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มยิ้มมุมปากออกมาอย่างพอใจ
               
“อือ” เชนรับคำเบาๆ ทั้งที่มุมปากยังมีรอยยิ้มอยู่ ผมยักไหล่ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ แต่อยู่ๆ มือหนาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เอื้อมมาขยี้หัวผมแรงๆ จนผมแทบจะสำลักน้ำแกงที่กำลังซดอยู่

“เฮ้ย! อะไรเนี่ย” ผมโวยวาย พลางมองเจ้าของฝ่ามือหนาที่ทำเป็นตีหน้าตายกลับมา
เป็นบ้าอะไรวะ ร้อยวันพันปีไม่คิดจะมาเล่นหัวเล่นหางอะไรกับผมเลยนี่
               
“เปล่า แค่เห็นมีอะไรติดผมอยู่” เขาตอบหน้านิ่ง ผมเหวอไปนิดหน่อย ก่อนจะจับผมตัวเองดูว่ามีอะไรติดอยู่จริงๆ หรือเปล่า แต่คนตรงหน้ากลับยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างร้ายกาจ ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบอย่างไม่เกรงใจ
               
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงดังกว่าเดิม และพยายามปัดมือหนาออกพร้อมกับมองตาขวางจนเจ้าของฝ่ามือหนาต้องยกมือยอมแพ้
               
“โอเค เลิกแกล้งแล้ว กินเหอะ” เขาบอก ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะสบถพึมพำพลางตักข้าวเข้าปากบ้าง
               
นี่ถ้าไม่ติดว่าหิวอยู่ผมจะด่าหมอนี่มากกว่านี้แน่ๆ สาบานได้! :(
               
“ชอบกินแกงเขียวหวานเหรอ” เสียงทุ้มถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปสักพัก ในขณะที่ผมกำลังซดน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย
               
“อือ” ผมพยักหน้า พลางกลืนน้ำแกงลงคอ “ตอนเด็กๆ ยายฉันทำให้กินบ่อยมาก แกงเขียวหวานสูตรคุณยายเป็นอะไรที่โคตรอร่อยอ่ะ” อยู่ๆ ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา เมื่อพูดถึงกับข้าวฝีมือคุณยายที่ผมมักได้กินตอนเด็กๆ
               
“แต่ตอนนี้ยายเสียไปแล้ว ฉันเลยไม่ได้กินกับข้าวสูตรคุณยายมานานมากแล้วล่ะ”
               
“แล้วแม่นายทำไม่เป็นเหรอ” เขาถามพลางตักเนื้อไก่ชิ้นเบ้อเริ่มใส่จานผมซึ่งรับมาอย่างไม่มีความเกรงใจใดๆ
               
“ก็ทำเป็นอ่ะนะ แต่แม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีใครทำให้กิน” ผมบอก เชนพยักหน้าเล็กๆ อย่างเข้าใจ
               
“แต่จริงๆ ฉันก็แอบจดสูตรไว้อยู่นะ อยากลองมั้ยล่ะ แล้ววันหลังว่างๆ จะทำให้กิน” ผมเงยหน้าขึ้นถาม รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นแค่ไหนที่จะได้ลงมือทำอาหารสูตรคุณยายอีกครั้ง
               
มันอร่อยมากจริงๆ นะ ถึงผมจะยังไม่เก่งเท่ายายก็เถอะ แต่รับรองเลย ว่าสูตรนี้ใครกินก็ต้องติดใจ เผลอๆ อร่อยกว่าภัตตาคารระดับห้าดาวซะอีก
               
“หึ” คนตรงหน้ากลับมองหน้าผม ก่อนจะหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ นี่ตกลงหน้าผมมีอะไรตลกนักหนาหรือไง หมอนี่ถึงเอาแต่หัวเราะอยู่นั่น

“จะรอกินละกันนะ” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ผมยักไหล่กลับไป แล้วกินข้าวต่อบ้าง

การกินอาหารมื้อนี้เหมือนเป็นการเพิ่มพลังให้ผมเหมือนกันนะ นานๆ ที ผมจะนึกถึงเรื่องวัยเด็ก ผมจึงอดไม่ได้ที่จะเล่าออกมาซะหมดเปลือกว่าตอนเด็กๆ ผมเคยทำอะไรแสบๆ ไว้บ้าง ในขณะที่หมอนั่นเอาแต่นั่งฟังเงียบๆ มีบ้างที่หลุดขำออกมา แต่เขาก็ไม่ปริปากเล่าเรื่องของตัวเองออกมาเลยสักแอะ จนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“แล้วตอนเด็กๆ นายเป็นไงบ้าง” ผมถามขณะที่กำลังเดินเอาจานที่กินเสร็จแล้วไปเก็บ

“ก็ไม่ไง” ร่างสูงยักไหล่ ก่อนจะวางจานข้าวซ้อนไว้ที่อ่างล้างจานแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อกินน้ำ

ผมขมวดคิ้ว “หมายความว่าไงเนี่ย ตอนเด็กๆ ไม่มีประสบการณ์อะไรเจ๋งๆ ที่ลืมไม่ลงบ้างเลยหรือไง”

ร่างสูงทำท่าคิด ก่อนจะรินน้ำและยื่นมาให้ผมดื่มบ้าง “ฉันเคย...ขโมยแมวอาจารย์ใหญ่”

“แค่กๆ” ผมถึงกับสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“ขโมยแมวอาจารย์ใหญ่? มันเป็นประสบการณ์เจ๋งๆ ตรงไหนเนี่ย” ผมถามหลังจากหยุดไอได้แล้ว ร่างสูงแค่นยิ้มนิดหน่อย ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เตียง และลูบหัวเจ้าเตที่นอนอยู่บนเตียงก่อนแล้ว

“ก็ไม่ได้เจ๋งหรอก มันก็แค่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ฉันพอจะจำได้” เขาบอก สีหน้าเหมือนกำลังรำลึกความหลัง ผมเดินตามไปนั่งขัดสมาธิข้างๆ ก่อนจะทำหน้าสงสัย

“แล้วนายขโมยแมวไปทำอะไร”

แถมเป็นแมวอาจารย์ใหญ่อีกต่างหาก เล่นของสูงเชียวนะนั่น

“ก็...” เขาวรรคไปและทำท่าคิด “ฉันพนันกับเพื่อนไว้”  ผมอึ้งไปนิดหน่อยกับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และรอฟังต่อ

“อาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนฉันเป็นคนเข้มงวดมาก ชอบทำโทษฉันกับพวกเพื่อนๆ บ่อยๆ พวกเราก็เลยแอบหมั่นไส้นิดหน่อย”

“อ่า” ผมพยักหน้านิดๆ ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็คงเคยมีประสบการณ์แบบไม่ค่อยชอบอาจารย์ที่เข้มงวดเกินไปกันทั้งนั้นสินะ

“เพื่อนฉันก็เลยวางแผนเอาคืนที่มาทำโทษพวกเรา ตอนแรกก็คิดวิธีแกล้งสารพัดน่ะนะ แต่มันมาจบที่ขโมยแมวได้ยังไงก็ไม่รู้ คงเพราะเห็นตาลุงนั่นชอบอุ้มมันไปไหนมาไหนบ่อยๆ ล่ะมั้ง” เขายิ้มนิดๆ ราวกับขำในความเป็นเด็กของตัวเอง ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ และรอฟังต่อ

“ตอนนั้นจำได้ว่า เพื่อนเป็นคนดูต้นทางให้ตอนที่ตาลงนั่นออกไปข้างนอก ส่วนฉันก็เป็นคนปีนเข้าไปในห้อง แล้วก็ขโมยแมวออกมา ง่ายๆ เลย”

“แล้วไม่ถูกจับได้เหรอ ในห้องนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดหรืออะไรเลยหรือไง” ผมถามอย่างข้องใจ

“มีแค่ตรงหน้าห้อง แค่พวกฉันเตะบอลอัดแรงๆ ก็เจ๊งแล้ว”

“โห” อย่างโหด แค่ขโมยแมวนี่ต้องทำลายทรัพย์สมบัติของโงเรียนเลยเรอะ “ขโมยมาได้แล้ว แล้วยังไง” ผมถามต่อ แอบลุ้นตามนิดๆ เพราะนี่ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ผมเคยสัมผัสเลย ส่วนใหญ่ผมมักจะแกล้งเพื่อนด้วยกันมากกว่า ไม่ค่อยกล้าเล่นกับครูบาอาจารย์เท่าไหร่หรอก

“นั่นแหละคือสิ่งที่พวกฉันไม่ได้คิดไว้ บางคนก็บอกให้เอาไปคืน บางคนก็บอกให้ปล่อยๆ มันไป แล้วทำเหมือนว่ามันหนีออกมาจากห้องเอง แต่ไอ้แมวหยิ่งนั่นมันเคยออกไปไหนมาไหนเองโดยไม่มีตาลุงนั่นซะที่ไหนล่ะ”

ผมหัวเราะออกมานิดๆ อะไรคือการวางแผนขโมยซะดิบดี แต่พอขโมยได้แล้วกลับไม่รู้จะเอาไงต่อวะเนี่ย

“ฉันรำคาญที่พวกมันเถียงกันไม่จบซะที สุดท้ายก็เลยอุ้มไอ้แมวนั่น กระโดดข้าวกำแพงหนีกลับบ้านไปเลย” เขาบอกหน้านิ่ง ในขณะที่ผมเหวอไปเลยกับความกล้าบ้าบิ่นของคนตรงหน้า

“เฮ้ย เอาจริงดิ”

“อือ” เขาพยักหน้าเนิบๆ โดยที่มือก็ยังคงลูบหัวเจ้าเตและมองมันด้วยความเอ็นดู “ฉันเอามันกลับไปบ้าน แล้วก็แอบเลี้ยงมันไว้เงียบๆ ไม่ให้คนในบ้านรู้ เป็นอาทิตย์นู่นแหละ กว่าจะโดนจับได้”

“...”

“ตอนนั้นอาจารย์ใหญ่ถึงขั้นประกาศหน้าเสาธงคาดโทษคนที่ขโมยไปทุกวันเลยนะ ไอ้พวกสมรู้ร่วมคิดก็เลยหน้าซีดกันเป็นแถว เพื่อนฉันบางคนถึงกับขาดเรียนไปเป็นอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ”

“แล้วนายไม่เอาไปคืนล่ะ ไม่กลัวเหรอ” ผมถามต่อ เชนส่ายหน้า ก่อนจะอุ้มเจ้าเตที่ตื่นแล้วขึ้นมาเล่น

“ตอนแรกก็กะจะเอาไปคืนอยู่หรอก แต่พอเลี้ยงไปเลี้ยงมา แล้วเห็นว่ามันน่ารักดี ก็เลยตัดใจเอาไปคืนไม่ได้” เขาว่าขณะจับเจ้าเตส่ายไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“แต่สุดท้ายเพื่อนฉันมันก็ทนความรู้สึกผิดไม่ไหว ก็เลยไปสารภาพความจริงกับอาจารย์ใหญ่ ฉันก็เลยต้องคืนเจ้าเหมียวไป แล้วก็ถูกทำโทษตามระเบียบ” เขายักไหล่ แล้ววางเจ้าเตลง มันกระโดดลงจากเตียงก่อนจะเดินเล่นไปมารอบห้องตามประสา

“เพราะเหตุการณ์นั่นหรือเปล่าที่ทำให้นายกลายเป็นคนรักแมวขึ้นมา” ผมถามหลังจากที่หมอนี่เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว คนตรงหน้าทำท่าคิดนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า
               
“ก็อาจจะใช่ แต่จริงๆ หลังจากนั้นฉันไม่เคยเลี้ยงแมวอีกเลย จนมีเจ้าเตนี่แหละ ที่เพิ่งมาเลี้ยงอย่างจริงจัง” เขาว่าพลางมองเจ้าเหมียวที่กระโดดขึ้นเตียงมานอนอีกรอบด้วยสายตาเอ็นดู
               
“แต่เจ้าเตเป็นแมวของฉันนะ” ผมแกล้งพูดหน้าซื่อ ถึงเจ้าตัวเล็กจะอยู่กับหมอนี่มากกว่าผมก็เถอะ แต่คนที่เก็บมันมาเลี้ยงคือผมต่างหาก ไม่ใช่เขาซะหน่อย
               
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้น คนตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมามองผม สีหน้าเหมือนกำลังไม่พอใจ จนผมหลุดขำออกมา โอ้โหแฮะ มีออกอาการหวงลูกตัวเองซะด้วย น่ากลัวซะไม่มีอ่ะ
               
“แล้วถ้านายย้ายออกไป จะเอาเจ้าเตไปด้วยหรือเปล่า” ผมถาม ถึงผมจะเป็นคนเก็บเจ้าเตมาเลี้ยงก็เถอะ แต่ดูท่ามันจะติดหมอนี่มากกว่าผมซะอีก แล้วถ้าวันไหนที่เขาหาหอใหม่ได้แล้ว และออกจากห้องนี้ไป เจ้าเตคงเศร้าน่าดู
               
“แล้วใครบอกล่ะว่าจะย้ายออก” ร่างสูงพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างประหลาด
               
“เฮ้ย หมายความว่าไง จะเบียดเบียนกันไปเรื่อยๆ แบบนี้เรอะ” ผมโวย แต่ร่างสูงกลับลุกขึ้นยืน และบิดขี้เกียจไปมาอย่างไม่สนใจ
               
“ไม่ได้นะ ห้องนี้มันแคบจะตาย นายอยากนอนพื้นแข็งๆ ไปตลอดชีวิตหรือไง” ตลอดชีวิตอาจจะเวอร์ไป ใครมันจะไปอยู่หอพักตลอดชีวิต แต่ผมกำลังหมายถึง หมอนี่จะมาอยู่หอเล็กๆ นี่ไปเรื่อยๆ ได้ยังไง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้สะดวกสบายอะไรเลยสักนิดเนี่ยนะ
               
“หึ” ร่างสูงมองมาที่ผมด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋ากีตาร์ของผมขึ้นมาสะพายหน้าตาเฉย “ไปเหอะ” พูดจบขายาวๆ นั่นก็เดินออกจากห้องไป
               
ผมยืนอึ้งไปพักใหญ่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามร่างสูงไป พยายามโวยวายว่าเขาจะต้องย้ายออกจากห้องผม แต่ดูเหมือนคนหน้าตายจะไม่ได้สนใจเลย ทำอย่างกับเสียงของผมเป็นแค่เสียงลมที่พัดผ่านหูไปเท่านั้น
               
เฮ้ย! ไม่เอานะ เขาจะมาอยู่กับผมแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะเว้ย! ใครก็ได้ช่วยบอกหมอนี่ให้ที




---------------------------------
งือออออ มีคนเข้ามาอ่านมาเม้นต์แล้ว ดีใจจ ;^;
ขอบคุณทุกความเห็นมากๆ นะคะ
ขอบคุณคุณ magic-moon ที่แนะนำทริคค่ะ เราจะเอามาใช้ละ 555
พอดีก่อนหน้านี้เห็นไม่มีคอมเมนต์ เลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ
งั้นลงไปเลยตู้มเดียวละกัน จะได้อ่านกันแบบสะใจๆ 5555

ฝาก #เชนตรี ด้วยนะคะ
มีสต็อกเยอะ เดี๋ยวมาอัพเรื่อยๆ แน่นอน :)

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-03-2016 00:05:45
ไม่รู้รัก รู้สึกชอบ ขอบใจมาก
ไม่ลำบาก อยากฝากใจ ให้ไปถึง
ไม่รู้ตัว ไม่กลัวไร ไม่ดันดึง
แค่อยากพึ่ง พิงเอนหลัง นั่งซบกัน

อิอิ
เชนกะตรี
เอาเล้ยยยยย

อยากให้อบอุ่น หนุนหมอนใบเดียวกันก็ได้
คนอ่าน..อนุญาต
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 10 [ 27/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 29-03-2016 00:22:06
ชอบบบบบบบบ พี่เชนนนนนนนค้าาาาาาาาาา

มาให้กำลังใจ บวกอ่านอีกรอบฮี่ๆ  :mew4: สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 11 [ 28/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-03-2016 06:10:35
พี่เชนนนนน   

เป็นเด็กดีตรีจะได้โอ๋ๆเยอะๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 11 [ 28/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-03-2016 11:22:07
ขอบคุณค่าาาา~~~
#เชนตรี :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 12 [ 29/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 29-03-2016 19:24:08
12
คำถาม
 
               
ผมไม่ชอบความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด... และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ชอบเช่นกัน ในความคิดของผม ความสัมพันธ์เหล่านั้นมันมักจะมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็วเสมอ... ดังนั้นตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยให้ความไว้วางใจ หรือคิดจะคบกับใครเพียงเพราะความประทับใจแรกพบเลย ผมพอใจที่จะค่อยๆ ทำความรู้จักกับใครคนหนึ่งไปเรื่อยๆ มากกว่า
               
เหมือนกับการที่ไม่นานมานี้ ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง... ผู้ชายที่มาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ และท่าทางน่ากลัว... มันไม่ใช่ความประทับใจแรกพบเลยสักนิด ไม่มีความคิดเลยว่าอยากจะเจอผู้ชายคนนั้นอีกหลังจากนั้น แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ผมได้เจอเขาอีก และได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้น และทำให้ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิด ภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ไม่อาจบ่งบอกลักษณะนิสัยที่แท้จริงของผู้ชายคนนั้นได้เลย
               
และตอนนี้ พอผมนึกย้อนกลับไปในวันแรกที่เราได้เจอกันอีกครั้ง... ถึงมันจะเป็นการพบกันที่ไม่ได้วิเศษวิโสและน่าประทับใจ แต่... ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ นะ ที่ได้เจอกับ ‘เขา’
 

09.30 P.M.
ทำนองเพลงฟังสบายๆ ซึ่งถือเป็นเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ได้หยุดลง พร้อมกับเสียงปรบมือที่ไม่ได้ดังมากนัก ผมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้าน และเห็นว่าลูกค้ากลับไปดื่มกินโดยไม่สนใจนักดนตรีโนเนมอย่างผมแล้ว มันคงไม่ผิดสินะ ถ้าผมจะใช้โอกาสนี้ทำอะไรบางอย่าง

“พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษสำหรับผม” ผมพูดใส่ไมค์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงธรรมดา ไม่เบาเกินไป และไม่ดังเกินไป ลูกค้าบางส่วนหันมามองด้วยความสนใจ แต่บางส่วนก็ยังคงพูดคุยเฮฮากันอยู่ในโต๊ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องกังวล เพราะที่ผมทำ ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ ผมเพียงแค่อยากบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาเท่านั้น
ก็บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้น่ะมันเป็นวันพิเศษ ถึงตอนนี้จะยังไม่ถึงเที่ยงคืนก็เถอะ

“มันเป็นวันเกิดของคนที่ผมแอบรักมานาน และผมก็อยากร้องเพลงนี้ให้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินก็ตาม” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะเริ่มดีดกีตาร์อีกครั้ง เสียงโห่แซวดังขึ้นมาจากลูกค้าหลายๆ โต๊ะที่ได้ยินคำพูดแสนจะเลี่ยนของผม ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเริ่มร้องเพลงสากลที่เชื่อว่าใครๆ ในโลกนี้ก็คงร้องตามได้

“Happy birthday to you Happy birthday to you Happy birthday Happy birthday Happy birthday... Happy birthday to you...” เพลงเดิมดังซ้ำขึ้นมาอีกรอบด้วยจังหวะที่เร็วกว่าเดิมนิดหน่อย ลูกค้ามากมายในร้านก็เห็นเป็นเรื่องสนุก และร่วมร้องเพลงนี้ไปกับผมด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ก็ตามว่าวันนี้เป็นวันเกิดของใคร

เห็นมั้ยไอ้ซัน ปีนี้มีคนร้องเพลงอวยพรให้มึงเยอะแยะเลยนะ มึงต้องขอบคุณกูด้วยล่ะ

“ขอบคุณครับ” ผมพูดออกมาเบาๆ หลังจากเพลง Happy birthday จบลง ลูกค้าปรบมือพร้อมกับโห่ร้องอย่างสนุกสนาน ผมมองไปที่คนเหล่านั้นพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ

แต่แล้วรอยยิ้มของผมก็ต้องค่อยๆ คลายลง เมื่อสายตาของผมเหลือบไปเห็นร่างสูงในชุดสีดำทั้งตัว ที่ยืนพิงผนังสูบบุหรี่ และกำลังมองมาทางนี้ ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยแล้วยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ ทำไมหมอนั่นยังไม่ไปสแตนด์บายที่ร้านอีกล่ะ? 

จริงอยู่ที่วันนี้พี่เจ้าของร้านบอกให้ผมเล่นเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมง เพราะวงที่จะเล่นต่อจากผมบอกว่าจะมาช้ากว่าปกติ แต่ผมก็บอกหมอนั่นไปแล้วนี่นาว่าไม่ต้องรอ แล้วก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะประจำแล้วด้วย ก็เลยคิดว่าเขาไปทำงานแล้วซะอีก แต่ไหงยังยืนตีหน้านิ่งอยู่นี่อีกเนี่ย ผมอยากจะถามนะ แต่ระยะห่างระหว่างผมกับหมอนั่นมันไกลเกินกว่าที่จะตะโกนถามจริงๆ

ผมขมวดคิ้วมองเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบที่ยังคงมองตรงมาทางนี้ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป... ทำไมวันนี้หมอนั่นไม่ยิ้มนะ

ปกติเวลาที่ผมแสดงหรือหลังแสดงเสร็จและหันไปสบตาเขาด้วยความบังเอิญ ผมก็มักจะเห็นรอยยิ้มมุมปากแสนกวนประสาทของผู้ชายคนนั้นอยู่เสมอ จนบางครั้งรอยยิ้มนั่นมันก็ทำให้ผมแอบเสียสมาธิจนเผลอร้องผิดคีย์ไปเลยด้วยซ้ำ แต่คราวนี้แววตาของหมอนั่นกลับไม่มีแววความขบขันออกมาเลยสักนิด ดวงตาคมกริบที่มองมาที่ผม มันเหมือนกับกำลังตั้งคำถามอะไรบางอย่าง... คำถามที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรซะด้วยสิ
 
ผมเลิกสนใจสายตาประหลาดนั่นชั่วคราว ก่อนจะเดินลงจากเวทีเล็กๆ ประจำร้านมา แล้วเดินไปรับค่าจ้างจากพี่เจ้าของร้อนพร้อมกับบอกลาเหมือนปกติ แต่คราวนี้พอผมมองกลับไปที่ตรงนั้น ก็ไม่มีร่างสูงยืนอยู่แล้ว ผมเดินออกไปนอกร้านเพราะคิดว่าเขาคงไปรอผมที่รถแล้ว

เอ๊ะ หรือว่าจะไปแล้ววะ นี่มันก็ใกล้สี่ทุ่มเข้าไปทุกทีแล้วนี่นา

แต่เมื่อผมออกมาจนถึงลานจอดรถ ก็พบว่ารถโฟร์คสีน้ำเงินของผมยังจอดอยู่ที่เดิม ผมขมวดคิ้วก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมา ตั้งใจจะโทรหาร่างสูงจอมกวนประสาท แต่วินาทีต่อมาผมก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องโทรอีกต่อไป

ขาของผมหยุดชะงัก เมื่อเดินพ้นกำแพงร้านออกมา และเห็นร่างสูงที่คุ้นตายืนอยู่ในมุมอับที่ห่างออกไปไม่ไกล... พร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง และมันคงจะน่าตกใจน้อยกว่านี้ ถ้าหมอนั่น กับผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้กำลังจูบกันอยู่

“เชน” เจ้าของร่างบางที่อยู่ในเดรสรัดรูปสีน้ำเงินเอ่ยเสียงหวานออกมาพร้อมกับถอนจูบออกมาเมื่อดวงตากลมโตใต้ขนตายาวนั่นสังเกตเห็นผม

เธอทำหน้ากระอักกระอ่วนนิดหน่อย ขณะจัดผมเผ้าและกระโปรงที่สั้นเพียงไม่กี่คืบที่เลิกขึ้นให้เข้าที่ ร่างสูงในชุดสีดำสนิททั้งตัวยังคงยืนหันหลังให้ผม มือเรียวยาวล้วงบุหรี่ยี่ห้อเดิมออกมาสูบอีกครั้ง พลางหยิบใบไม้แห้งที่อยู่บนผมของผู้หญิงคนนั้นออกให้

“ให้เข้าไปส่งในร้านหรือเปล่า” น้ำเสียงเรียบนิ่งถามขึ้นมา ท่าทางจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าผมยืนอยู่ตรงนี้

“มะ...ไม่เป็นไร” ผู้หญิงคนนั้นละสายตาจากผม ก่อนจะหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้หมอนั่น “เดี๋ยวคืนนี้ฉันโทรหานะ” เธอทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินจากมา แต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านผมไป เจ้าของเสียงเรียบก็พูดขึ้นมา

“ไม่ต้องโทร เดี๋ยวคืนนี้ไปหา” เจ้าของร่างบางชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าท่าทางเหนียมอาย เธอก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผมไป คงเพราะอายที่ผมได้ยิน และได้เห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้า

ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ทำไม ผมมองร่างสูงที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ด้วยลมหายใจติดขัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเบือนหน้าหนีก่อนจะเอื้อมมือไปพยายามเปิดประตูรถ โดยลืมไปว่ากุญแจรถของผมอยู่ที่หมอนั่นต่างหาก

“ทำอะไร” เจ้าของเสียงทุ้มถามขึ้นมาพลางแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนจะปลดล็อกรถให้

ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา คงเป็นเพราะรอยยิ้มกวนประสาทนั่นแน่ๆ ผมเข้ามาในรถและเปิดประตูเสียงดังกว่าที่เคย คิ้วของผมขมวดเข้าหากันโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไม่นานร่างสูงก็เปิดประตูและเข้ามาประจำที่นั่งคนขับ เขาทิ้งบุหรี่มวนนั้นไปแล้ว แต่กลิ่นบุหรี่จางๆ ก็ยังคงติดอยู่ตามเสื้อผ้าและลมหายใจของผู้ชายคนนี้ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะกลิ่นบุหรี่ฉุนๆ นี่ก็ได้ ที่ทำให้ผมหงุดหงิดกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ควรจะชินได้ตั้งนานแล้ว

“เหม็น” ผมเบ้หน้าก่อนจะเลื่อนกระจกฝั่งตัวเองลง และเบือนหน้าหนีออกไปนอกตัวรถ หวังจะให้ลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะหน้า ทำให้ไอ้อารมณ์หงุดหงิดบ้าบอนี่หายไปได้บ้าง

“วันนี้ไม่ต้องรอนะ ไปส่งแล้วก็กลับได้เลย” เจ้าของเสียงทุ้มพูดขึ้นมาหลังจากที่ทั้งรถเงียบไปสักพัก ผมหันมาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจใส่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองตรงไปที่ถนนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

คงจะไปหาผู้หญิงคนนั้นสินะ

“นายเพิ่งเลิกกับแฟนไม่ถึงเดือนเองนะ” อยู่ๆ ปากพล่อยๆ ของผมก็พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาก่อนที่ผมจะรู้ตัวด้วยซ้ำ
ผมชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ผมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าคมที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยที่แบบถ้าไม่สังเกตก็คงจะมองไม่เห็น

“แล้วไง” ริมฝีปากบางเอ่ยถามออกมาโดยที่ไม่หันมามองหน้าผมเลยสักนิด

ผมเงียบไป และเบือนหน้ากลับออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง นั่นสิ... แล้วไง?

การที่เขาเลิกกับแฟนแล้ว และมาคั่วผู้หญิงคนอื่น มันก็สมเหตุสมผลแล้วนี่ หมอนี่ไม่ได้กำลังแอบนอกใจแฟน หรือคบซ้อนอะไรสักหน่อย... แล้วผมจะมาเดือดร้อนแทนทำไม

เออ ไปเดือดร้อนกับเขาทำไมวะ แถมยังไอ้อารมณ์หงุดหงิดไม่มีที่มาที่ไปที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมานี่อีก

ให้ตาย นี่มึงเป็นอะไรไปวะเนี่ย ไอ้ตรี!
 

00.10 A.M.

ผมนั่งจดจ่อดูเวลาขณะที่ในมือถือโทรศัพท์ที่กดเบอร์โทรต่างประเทศไว้ตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อน แต่จนถึงตอนนี้
ความขี้ขลาดก็ทำให้นิ้วของผมไม่ยอมกดโทรออกตามที่สมองสั่งการสักที
               
ให้ตาย!
               
ผมสบถกับตัวเองในใจเบาๆ ก่อนจะลบเบอร์และวางโทรศัพท์ลงข้างตัว เอาเถอะ ยังไงซะตอนนี้ที่นั่นก็เพิ่งจะเที่ยงวันนี่นา รอให้ที่อเมริกาเป็นเวลาเที่ยงคืนก่อน แล้วค่อยโทรไปอวยพรก็คงไม่สายหรอก...มั้ง
               
ผมถอนหายใจรอบที่ร้อย แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เข้าเว็บไซต์เฟสบุ๊ค และเช็คไทม์ไลน์ของไอ้เพื่อนตัวดีที่ตอนนี้หนีตามแฟนไปถึงอเมริกา เริ่มเห็นคำอวยพรจากเพื่อนหลายๆ คนที่เข้ามาอวยพรวันเกิดให้มัน แต่ก็ไม่เห็นว่าไอ้ซันจะมาคอมเมนต์ หรือมีความเคลื่อนไหวอะไร สงสัยจะยังไม่ได้เปิดเฟสดูล่ะมั้ง
               
จริงๆ ผมจะอวยพรมันในเฟสบ้างก็ได้นะ แต่... ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกว่า โทรไปบอก น่าจะดีกว่า อย่างน้อยมันก็ได้ยินเสียงผม... ถึงไม่รู้ว่ามันจะอยากได้ยินหรือเปล่าอ่ะนะ ฮ่ะๆ
               
แต่อย่างที่บอกว่าผมมันขี้ขลาด เพราะฉะนั้นขอเวลาเตรียมใจหน่อยก็แล้วกัน
               
แกรก
               
เสียงเปิดประตูห้องทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ ความจริงไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าเป็นใคร ก็กลิ่นบุหรี่นอกอันเป็นเอกลักษณ์โชยเข้ามาก่อนตัวซะขนาดนั้น ข้าวของใบหน้าคมเข้มเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างแปลกใจที่เห็นว่าผมยังไม่หลับทั้งๆ ที่กลับห้องมาก่อนตั้งนานแล้ว ริมฝีปากบางที่คาบบุหรี่อยู่ เผยอขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หมอนั่นเบือนหน้าหนี และเดินเข้ามาหยิบชุดนอนในตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทีที่เหมือนกับจงใจเมิน ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่เข้าใจ
               
“คิดว่าจะกลับดึกกว่านี้ซะอีก” ผมพูดขึ้นมา ปกติเขาจะเลิกงานประมาณห้าทุ่มครึ่ง แต่วันนี้เห็นว่ามีนัดนี่ ทำไมถึงได้กลับเร็วนักล่ะ
               
“...” แต่ร่างสูงกลับไม่ตอบอะไร
               
“ไม่ต้องไปหา ผู้หญิงอกตู้มนั่นหรือไง” ผมถามอีก แต่หมอนั่นกลับหันกลับมามองนิ่งๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเฉยเลย ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง
               
อะไรของมันวะ
               
ผมพูดอะไรผิดไปป่ะเนี่ย ถามจริง?
               
ผมกำลังจะเดินไปเคาะประตูห้องน้ำถามอยู่แล้วว่าหมอนั่นไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า แต่เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขัดจังหวะขึ้นมาก็ทำให้ผมต้องชะงักลง ผมหันกลับมามองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่สว่างวาบขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นเบอร์โทรเดียวกับที่ผมพยายามจะกดโทรออกไปก่อนหน้านี้
               
ไอ้ซัน
               
“ฮัลโหล” ผมรับโทรศัพด้วยน้ำเสียงที่สั่นกว่าที่คิด อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมา ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร เพราะผมกับมันก็มักจะไลน์หากันบ่อยๆ อยู่แล้ว
               
แต่ผมก็แค่... ไม่คิดว่ามันจะโทรมาหาผม เท่านั้นเอง
               
[ มึง วันนี้วันเกิดกูนะ! ] น้ำเสียงโวยวายจากปลายสายทำให้ผมต้องหลุดหัวเราะออกมา
               
“เออ กูรู้แล้ว” ผมตอบพลางเดินออกไปที่ระเบียง ลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาทำให้ผมยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้ยินเสียงมัน
               
[ แล้วทำไมมึงไม่เห็นโทรมาร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้กูเลย ] น้ำเสียงแบบนั้นทำให้ผมจับได้ไม่ยากเย็นเลยว่ามันกำลังงอนอยู่ อย่างกับเด็กเลยแฮะ ไอ้เวรนี่
               
“กูก็รอให้ที่นู่นเที่ยงคืนก่อนไง” ผมตอบ ซึ่งก็คือความจริง ถึงแม้ว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังไม่โทรไป จะเป็นเพราะความขี้ขลาดโง่ๆ ของผมเองก็ตาม
               
แต่ผมร้องเพลงอวยพรให้มันแล้วนะ ใครๆ ก็เห็น แถมยังมีคนร่วมร้องเพลงให้อีกตั้งหลายชีวิตแน่ะ

[ ไม่เอา กูเป็นคนไทยนะ ก็ต้องนับวันเกิดตามเวลาคนไทยดิ  L ] มันโวยวายกลับมา ผมชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ

ตรรกะอะไรของมันเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด

[ ไม่ต้องมาหัวเราะเลย กูจริงจังนะ ทั้งมึงทั้งวีเลย ทำไมไม่มีใครสนใจวันเกิดกูเลยสักคน ] น้ำเสียงน้อยใจจากปลายสายทำให้ผมหยุดหัวเราะ

[ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นวันเกิดกู แต่วีก็เอาแต่อ่านหนังสือ แถมตอนนี้ก็ออกไปไหนก็ไม่รู้กับลอร่า แถมมีไอ้จอห์นที่อยู่ข้างบ้านไปด้วยอีก เอามันไปทำไมวะ แฟนก็ไม่ใช่ซะหน่อย ] มันเริ่มเข้าโหมดบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ลอร่าที่มันพูดถึงเป็นลูกสาวของลุงกับป้าของวีที่ทั้งสองคนไปอาศัยอยู่ด้วย ส่วนจอห์นนี่ รู้สึกจะเป็นเพื่อนกับรอล่า และทำท่าจะจีบวีตั้งแต่แรกเห็น ไอ้ซันมันก็เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนั่นสักเท่าไหร่

“มึงคิดมากไปหรือเปล่า” ผมถอนใจเล็กๆ ผมไม่คิดหรอกนะว่าวีจะไม่สนใจวันเกิดมัน ดีไม่ดีเธออาจจะกำลังหาเรื่องทำเซอร์ไพรซ์ให้มันหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้

[ กูเปล่าคิดมากนะเว้ย ช่วงนี้วีกับไอ้เวรจอห์นนั่นสนิทกันข้ามหน้าข้ามตากูเกินไปแล้ว ขนาดกูนั่งหัวโด่อยู่ด้วย สองคนนั้นยังคุยงุ้งงิ้งกัน ไม่สนใจกูเลยสักนิด ]

“...” ผมเงียบไป เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

อันที่จริง คำพูดของผมมันเหมือนกับจะถูกกลืนหายไปหมด ตั้งแต่ที่ได้ยินชื่อของวีแล้ว

[ นี่ขนาดกูอยู่ด้วย ยังมีผู้ชายเข้ามาจีบเลย แล้วถ้ากูกลับไปอยู่ไทย กูจะต้องหึงยัยตัวเล็กนี่จนเป็นบ้าตายแน่ๆ มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ กูไม่อยากทิ้งให้วีอยู่ที่นี่คนเดียวเลย ] น้ำเสียงว้าวุ่นใจของเพื่อนรัก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกจุกที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดปลอบใจอย่างเพื่อนที่ดี

“แค่สองปีเอง มึงต้องไว้ใจแฟนมึงสิ” ผมเอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆ สายลมเอื่อยๆ สงบลง เหมือนกับหัวใจของผม ที่มันหยุดพองโตไปแล้ว

น่าสมเพชชะมัด ทั้งๆ ที่ไม่กี่นาทีก่อนมันยังเต้นแรงอยู่เลยแท้ๆ

[ แต่กู... ] เหมือนไอ้ซันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็เงียบไป [ แป๊บนึงนะไอ้ตรี มีคนเคาะประตูว่ะ ] มันบอก ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงก๊อกแก็ก เดาว่ามันคงกำลังเดินไปเปิดประตู ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ได้ยินเสียงหวานๆ ลอดเข้ามาในสาย

[ Happy Birthday to you Happy Birthday to you Happy Birthday Happy Birthday... Happy Birthday... my boyfriend... ] เพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์จบลง พร้อมกับเสียงหัวเราะ และเสียงโห่แซวจากคนอีกหลายคน หนึ่งในนั้นก็มีเสียงหัวเราะของไอ้ผู้ชายที่เมื่อกี้ยังบ่นน้อยใจแฟนตัวเองรวมอยู่ด้วย

เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้ว วีไม่มีทางลืมวันเกิดมันหรอก

“สุขสันต์วันเกิด ขอให้มึงมีความสุขแบบนี้ตลอดไปนะ... เพื่อน” ผมพูดออกมาเบาๆ แม้จะรู้ว่าตอนนี้ปลายสายคงจะไม่ได้ยินเสียงของผมก็ตาม ผมกดตัดสายโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอกลา บางทีมันอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับผมอยู่

แต่เพื่อไม่ให้มีอะไรค้างคา ผมก็ไม่ลืมที่จะเปิดหน้าเฟสบุ๊คของมันขึ้นมา และเขียนอวยพรในไทม์ไลน์ของมันเหมือนกับคนอื่นๆ...

...นั่นสินะ จริงๆ แล้วผมมันไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นๆ เลยสักนิด ไม่ได้พิเศษ หรือมีความสำคัญอะไรกับมันมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่ง เท่านั้น

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากกดโพสต์สเตตัส ก่อนจะเท้าข้อศอกกับราวระเบียง และมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย คืนนี้ไม่มีดาวเลยแฮะ... หรือว่าท้องฟ้าที่นี่มันมองไม่เห็นดาวแบบนี้อยู่แล้วนะ?

ผมถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะหมุนตัวกลับ เพื่อจะเข้านอน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันกลับมาแล้วเจอกับร่างสูงกำลังยืนสูบบุหรี่พิงประตูบานเลื่อนและกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาอ่านยาก

มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมผมไม่ยักจะได้กลิ่นบุหรี่ของหมอนี่เลยล่ะ... หรือว่าผมแค่ไม่ได้สนใจวะ?

ผมสบตากับดวงตาคมสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นอยู่พักใหญ่ แต่หมอนั่นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนเคย สีหน้าที่ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดนั่น ยิ่งทำให้ผมข้องใจมากขึ้นไปอีก

“มีอะไร” ความอึดอัดทำให้ผมต้องถามออกไปในที่สุด คิ้วของผมขมวดขณะรอคอยคำตอบ แต่คนตรงหน้ากลับเอาแต่มองผมนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น จนผมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

ตกลงไอ้หมอนี่มันเป็นอะไรวะ อยู่ๆ ทำไมกลับมาทำตัวกวนประสาทแบบนี้อีกแล้ว

ผมชักสีหน้าใส่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงเข้ามาในห้อง ถึงไหล่เราจะชนกัน แต่ผมก็ไม่สนใจที่จะหันกลับไปขอโทษ เอาสิ ในเมื่อหมอนั่นไม่ยอมพูด ผมเองก็จะไม่พูด คิดว่าตัวเองหงุดหงิดเป็นคนเดียวหรือไง ผมเองก็อารมณ์ไม่ดีเป็นเหมือนกันนะโว้ย

“เมื่อไหร่จะตัดใจสักที” ผมชะงักทันทีที่น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นมา ผมหันกลับไปมอง แต่ร่างสูงยังคงหันหน้าออกไปที่ระเบียง และสูบบุหรี่ราวกับเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่ผมรู้ว่าหมอนั่นพูดกับผมแน่ๆ

“เรื่องของฉัน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง และเดินไปหาหนังสืออ่าน อย่างที่บอกว่าอาทิตย์หน้าผมก็สอบไฟนอลแล้ว แถมเรียนซัมเมอร์แบบนี้ เวลาสอบก็ไม่ได้เว้นว่างหลายวันเหมือนตอนเปิดเทอมด้วย ถ้าผมไม่เริ่มอ่านตอนนี้ก็คงจะอ่านไม่ทัน

“จะทนเจ็บแบบนี้ไปถึงไหนกัน” แต่ดูเหมือนเชนจะยังไม่ยอมจบ ร่างสูงหันกลับมามองหน้าผม สายตาเรียบนิ่งที่มองมาคล้ายกับกำลังสมเพชผม

“...” ผมไม่ได้ตอบ และหันกลับมาหาหนังสืออีกครั้ง ทั้งๆ ที่มองทั่วโต๊ะแล้วก็ไม่เห็น

“รักหมอนั่นจริงๆ เหรอ”

“...”

“หรือจริงๆ ก็แค่ยึดติดเกินไป จนไม่รู้ตัวว่าเลิกชอบไปแล้ว”

“หุบปากนะ!” ผมตวาดขึ้นมา พร้อมกับวางหนังสือลงบนโต๊ะเสียงดัง ผมหันกลับไปมองร่างสูงที่เอาแต่พล่ามคำพูดเสียดแทงใจคนอื่น ในขณะที่หมอนั่นยืนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม และมองมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
 
“คนอย่างนายมันจะไปเข้าใจอะไร” ผมพยายามกลั้นความโมโหเอาไว้ เพราะไม่อยากจะมีเรื่อง แต่สายตาเรียบนิ่งอย่างกวนประสาทของคนตรงหน้า ทำให้ผมอยากจะชกหน้าหมอนี่สักทีจริงๆ

“แล้วฉันควรจะเข้าใจอะไรล่ะ” เขาพูดเสียงเรียบขณะใช้เท้าบี้ก้นบุหรี่ที่เพิ่งทิ้งลงพื้น มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวที่ใส่อยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองผมด้วยสายตากวนประสาทเหมือนเคย

“เข้าใจว่าสิ่งที่นายทำมันคือความรักจริงๆ ไม่ใช่แค่ยึดติดงั้นเหรอ”

“...” ผมเงียบ เพระตอบคำถามนี้ไม่ได้

นั่นสินะ จนถึงตอนนี้... ผมยังรักไอ้ซันอยู่ หรือว่าผมแค่ยึดติดกับความรักที่เจ็บปวดจากในอดีตเท่านั้น? คำถามยากๆ แบบนี้ผมควรจะไปถามใครดีล่ะ

“คิดจะอยู่อย่างเจ็บปวดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน” หมอนั่นยังคงพูดต่อ แม้ว่าผมจะไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาเลย ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ ในขณะที่ผมได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากลับสายตาคาดคั้นที่มองมาอย่างน่าอึดอัดนั่นเลย

“อย่ามายุ่งกับเรื่องของฉันดีกว่า” ผมบอก และกำลังจะหมุนตัวหนี แต่แล้วคำพูดต่อมาของคนตรงหน้า ก็ทำให้ผมต้องชะงักไปอีกครั้ง

“คบกับฉันมั้ยล่ะ”

...! ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าจริงจังนั่นด้วยความตกใจ “วะ...ว่าไงนะ” ร่างสูงยังคงมองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับย้ำประโยคเดิม                 

“คบกับฉันมั้ย?”

คราวนี้ผมได้ยินชัดแจ๋ว... จริงๆ ผมได้ยินชัดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมแค่ไม่คิดว่าหมอนี่จะพูดแบบนั้นออกมาจริงๆ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอย่างจริงจังนั่นก็ไม่ได้มีแววล้อเล่นแฝงอยู่เลยแม้แต่นิด

“พะ...พูดบ้าอะไรของนาย ก็รู้นี่ว่าฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ผมตอบตะกุกตะกักพร้อมกับเบือนหน้าหนี

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ก็ถือซะว่าคบฉันแก้ขัด รอให้หมอนั่นเลิกกับแฟน” เสียงเรียบพูดออกมาหน้าตาเฉย ผมจึงแค่นหัวเราะออกมา

“หึ อยากเป็นตัวสำรองหรือไง มีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่านายน่ะ” ผมปรายตามองด้วยความสมเพช แต่ร่างสูงกลับ
ตอบกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมเจ็บปวดไม่แพ้กัน

"แล้วนายล่ะ มีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า ถึงได้เอาแต่รักคนที่ไม่มีวันหันกลับมามอง" น้ำเสียงเรียบนิ่งของร่างสูงยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเองก็น่าสมเพชไม่ต่างกัน

"..."

จริงของหมอนี่ คนอย่างผมไม่ควรไปหาว่าใครไม่มีศักดิ์ศรีหรอก ในเมื่อผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศักดิ์ศรีมันคืออะไร

"ว่าไง ตกลงจะคบกับฉันมั้ย?" หลังจากที่ปล่อยให้บรรยากาศจมลงสู่ความเงียบไปพักหนึ่ง เสียงเรียบก็ถามย้ำ
ขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเรียวคมมองมาที่ผมด้วยสายตาจริงจังจนผมไม่กล้าสบตา คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัวของผมเต็มไปหมด ในขณะที่หัวใจค่อยๆ เต้นแรงขึ้นอย่างน่าแปลกใจ

...ถ้าเราสองคนคบกันจริงๆ ...มันจะเป็นยังไงนะ

ผมได้แต่ตั้งคำถามวนไปวนมาอยู่ในหัวของตัวเอง นานหลายวินาที ก่อนที่ผมจะเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสี

น้ำตาลอ่อนคู่สวย ที่มองผมอยู่อย่างรอคอยคำตอบ และแน่นอนว่าผมรู้แล้วว่าควรจะตอบเขาว่าอะไร

"ฉัน..."




---------------------------------------------
เริ่มอัพนิยายคล่องขึ้นแล้วค่ะ 555555

 :katai2-1:





 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 12 [ 29/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-03-2016 19:39:34
ดูๆใจกันไปก่อนก้ได้นะ ๆๆๆๆๆๆๆๆ ตอบตกลงเถอะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 11 [ 28/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 30-03-2016 00:21:19
พี่แกมึนตลอดดดด 555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 13 [ 30/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 30-03-2016 22:54:00
13
ความสับสน
 
               
‘คบกับฉันมั้ย?’
               
               
พรึ่บ!
               
ร่างกายของผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นในความฝันเป็นรอบที่ร้อย ให้ตาย ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วทำไมคำพูดของหมอนั่นยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่ได้นะ บ้าบอชะมัด -*-
               
ผมก้าวขาลงจากเตียง ก่อนจะหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา สิบโมงแล้วแฮะ... ผมบิดขี้เกียจก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำแปรงฟัน เปิดเทอมใหม่ได้เกือบอาทิตย์นึงแล้ว แต่ผมรู้สึกเหมือนเรียนมาเป็นปีเลย การเรียนปีสองของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ย ฮาร์ดคอร์อย่างที่เขาว่าจริงๆ ขนาดอาทิตย์แรกที่เปิดเรียน อาจารย์ยังสั่งงานอย่างไม่มีความปราณีนักศึกษาตาดำๆ เลยสักนิด เฮ้อ
               
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตั้งใจจะออกมาทำกับข้าวง่ายๆ กินเหมือนอย่างเคย แต่เมื่อเข้ามาในครัวและพบว่ามันมีกับข้าวถุงวางอยู่ พร้อมกับข้าวสวยที่เหลืออยู่ในหม้อหุงข้าว ผมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
               
ฝีมือหมอนั่นอีกแล้ว
               
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจกับข้าวที่เขาซื้อมาให้หรอกนะ ผมรู้ว่าเขาหวังดี แต่... ผมแค่ลำบากใจ
               
หลังจากเรื่องวันนั้น ผมกับเชนก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมจงใจหลบหน้าเขาด้วยแหละ โชคดีที่พอขึ้นปีสาม หมอนั่นก็ดูจะยุ่งๆ แถมเขาต้องไปเล่นดนตรีจนดึกดื่นอีก กว่าจะกลับ ผมก็นอนหลับไปแล้ว และตอนเช้าผมก็จงใจตื่นสายกว่าปกติ เพื่อรอให้เชนที่มีเรียนเช้ากว่าออกจากห้องไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
               
ผมพยายามหลบหน้าซะขนาดนี้ ถึงไม่ต้องบอกใครๆ ก็เดาได้ใช่มั้ยล่ะ ว่าผมตอบอะไรเขาไปในคืนนั้น...
 
               
‘ฉัน... ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ขอโทษนะ’           
               
               
เฮ้อ ตอนผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ นะ แต่คิดว่าการปฏิเสธไปแบบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่เขามาขอคบกับผมมันคืออะไร อยากปั่นหัวผมเล่นงั้นเหรอ? หรือว่าเป็นแค่คำถามลองเชิง? ที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่ความรักหรอก คนอย่างหมอนั่นน่ะนะจะมาชอบผม แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
               
เฮ้อ
               
ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย (อาจจะเกินร้อยด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าพักนี้ผมถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน ) พลางถือจานข้าวที่ราดแกงเสร็จสรรพเดินมานั่งกินที่โต๊ะอ่านหนังสือ สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากจะถอนหายใจเป็นคนแบกโลกแบบนี้ทุกๆ วินาทีหรอกนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ตอนนี้ผมกลุ้มใจสุดๆ กลุ้มจนไม่รู้จะกลุ้มยังไง ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว แต่ทำไมผมถึงยังรู้สึกไม่ดีก็ไม่รู้
               
แกรก
               
...!
               
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสูงที่เดินหน้าตายเข้ามา ผมไม่กล้าสบตาเขาจึงหันกลับมามองจานข้าวตัวเองนิ่งอย่างทำตัวไม่ถูก
               
ฉิบหายละ เอาไงดีวะ แกล้งตายเหรอ? หมอนี่กลับมาทำบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย T_T!
               
“...” ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกว่าร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ และยืนอยู่ด้านหลังผมในระยะประชิด
               
วะ...เวรแล้วไง
               
“นะ...นาย...” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมานิ่งๆ พร้อมกับพูดอึกอักทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะพูดอะไร
               
“มาเอาหนังสือ”
               
แต่แล้วน้ำเสียงเรียบนิ่งที่พูดขัดขึ้นมาก็ทำให้ผมต้องชะงัก ผมมองใบหน้าคมเข้มที่เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเพยิดหน้าไปยังลิ้นชักใต้โต๊ะที่อ่านหนังสือซึ่งผมนั่งขวางอยู่
               
พอเห็นว่าผมได้แต่นั่งนิ่งไม่ขยับ คนตรงหน้าก็ถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะก้มลงมาเปิดลิ้นชัก และควานหาหนังสือของตัวเอง ทั้งๆ ที่ผมยังคงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
               
“...”
               
อะ...เอ่อ... ผมหนีตอนนี้จะทันหรือเปล่า
               
มันไม่ใช่เหตุการณ์น่าตื่นเต้นอะไรเลยสักนิด แต่มันกลับทำให้หัวใจดวงน้อยของผมเต้นรัวซะจนผมต้องยกมือขึ้นมากำอกเสื้อตัวเองไว้ หวังว่าจะหยุดไม่ให้มันเต้นแรงไปมากกว่านี้ จนทำให้คนตรงหน้านี้ได้ยิน
               
“...!” แต่ผมก็ชะงักจนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้ไอ้เมื่ออยู่ๆ หมอนี่ก็เงยหน้าขึ้นมา จมูกโด่งเป็นสันอยู่ห่างจากจมูกของผมเพียงไม่กี่เซ็นต์เท่านั้น ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะที่สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่จ้องกลับมานิ่งๆ ใบหน้าของหมอนี่อยู่ใกล้มากซะจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รดลงมาบนปลายจมูกของผมได้เลย
               
“นายเห็นหนังสือฉันมั้ย” หลังจากปล่อยให้ผมฟุ้งซ่านอยู่พักใหญ่ น้ำเสียงเรียบก็พูดขึ้นมาพร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน
               
“หะ...ฮะ?” ผมได้แต่ขานรับกลับไปด้วยใบหน้าโง่ๆ
               
“หนังสือฉันน่ะ เล่มสีเขียว เห็นบ้างมั้ย” เขาถามอีกรอบ คราวนี้ผมส่ายหน้าตอบกลับไป แต่มันช่างเป็นการส่ายหน้าที่อืดอาด และเกร็งสิ้นดีเลย
               
ผมมองคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม ก่อนที่คนตรงหน้าจะถอนหายใจหนักๆ อีกรอบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าลมหายใจร้อนๆ นั่นจะส่งผลให้หัวใจผมเต้นเหมือนกำลังจะหัวใจวายตายไปตรงนี้เลย
               
บ้า...ผมกำลังจะบ้าแล้ว ใครก็ได้ช่วยที T__T!!
               
ทั้งๆ ที่หาหนังสือตัวเองไม่เจอ เขาน่าจะไปหาที่อื่น แต่คนตรงหน้ากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือหนาข้างหนึ่งค้ำโต๊ะอ่านหนังสือเอาไว้ ใบหน้าคมเข้มมองมาที่ผมสลับกับจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะ นานหลายวินาที ก่อนที่เขาจะ...
               
“หึ” มุมปากบางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่ร่างสูงจะยืดตัวขึ้น และเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องไป โดยไม่สนใจจะหาหนังสือของตัวเองอีก
               
ปัง
               
เสียงประตูปิดลง พร้อมกับความเงียบที่ครอบคลุมไปทั่วห้อง แต่ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมกลับได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นรัวราวกลับจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ผมนั่งนิ่งเป็นมนุษย์แช่แข็งอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองบานประตูที่ปิดอยู่ด้วยความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
               
อันตราย... หมอนั่นมันบุคลอันตรายสุดๆ จริงๆ นะ!
 
               
06.35 P.M.
               
“ตรี จะกลับแล้วเหรอ” เสียงหวานทำให้ผมต้องหันกลับไปมองร่างบางที่วิ่งตามมา
               
“อือ” ผมยิ้มตอบทองกวาว ก่อนจะถามกลับ “แล้วกวาวอ่ะ”
               
“เราก็จะกลับเหมือนกัน ง่วงมากเลยตอนนี้” ทองกวาวเบ้ปาก จริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ตายัยนี่คล้ำเป็นหมีแพนด้าขนาดนี้
               
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” ผมถาม วันนี้เป็นวันส่งงาน และเพื่อนหลายคนก็มีสภาพแบบนี้กันเกือบหมด รวมถึงผมด้วย ถึงผมจะเริ่มลงมือทำงานตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เถอะ แต่กว่าจะเสร็จมันก็ทำเอาผมแทบไม่ได้นอนเหมือนกัน
               
“อื้อ” ทองกวาวพยักหน้าพลางขยี้ตา
               
“แล้วนี่กลับไงอ่ะ ขับมอ’ไซค์ไหวเหรอ” ผมถามอย่างเป็นห่วง สภาพเหมือนซอมบี้ขนาดนี้ ดีไม่ดีขับไม่พ้นโค้งหน้าคณะด้วยซ้ำมั้ง
               
“ไหว แหม ระดับนี้แล้ว” คนอวดดียิ้มร่าทั้งๆ ที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว
               
“จริงๆ ให้เราไปส่งก็ได้นะ” ผมเสนอ แต่ยัยตัวเล็กก็ยังคงส่ายหน้า
               
“เราไม่อยากทิ้งมอ’ไซค์ไว้นี่อ่ะ เดี๋ยวต้องใช้” ผมไม่รู้จะต้านความดื้อของยัยตัวเล็กนี่ยังไง เลยได้แต่พยักหน้าตอบ
               
“โอเค งั้นเราไปก่อนนะ” ผมบอกหลังจากที่เราเดินมาจนถึงลานจอดรถแล้ว
               
“ตรีนี่เป็นคนดีเนอะ” ผมกำลังจะแยกตัวออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวานพูดไล่หลังมา
               
“หืม?” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วถาม แต่ทองกวาวกลับก้มหน้าและไม่สบตาผม สีหน้าของเธอดูเปลี่ยนไปอย่างที่ผมสังเกตได้
               
“เพราะแบบนี้ล่ะมั้งใครๆ ถึงได้ชอบตรี” เธอพูดต่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “รวมถึงเราด้วย”
               
“...” ผมยังคงยืนนิ่งอย่างไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็เข้าใจ
               
“เราชอบตรีนะ” ร่างเล็กพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ผมรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแวบหนึ่งด้วยความตกใจ สมองสั่งให้ผมถอยหลังออกมาและมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
               
“กะ...กวาว...” เสียงของผมสั่น จริงๆ แล้วผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยากจะพูดอะไร ทองกวาวหลบสายตาผมก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
               
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เราแค่อยากลองพูดดู ไม่ได้คิดจะให้ตรีตอบรับความรู้สึกเราหรอก” ผมมองไม่เห็นแววตาของคนตัวเล็กกว่าเพราะเธอก้มหน้าอยู่ แต่ก็พอจะเดาออกว่าเธอพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าแค่ไหน
               
ผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มานี่นา
               
“ขอโทษที่ทำให้ตรีตกใจนะ” ทองกวาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ว่าจบเธอก็หมุนตัวเดินไปอีกทาง ถ้ามองไม่ผิด ผมเห็นดวงตาของเธอมีน้ำตาคลออยู่
               
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะผมเองก็เคยสารภาพรัก และใช้คำพูดที่แสดงออกว่าถึงอีกฝ่ายจะไม่รับรักก็ไม่เป็นไร... แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย...
               
ในใจของคนที่สารภาพรัก ไม่ว่ายังไงก็อยากได้ความรักตอบ แม้มันจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ก็ตาม
               
“งั้นเรามาลองคบกันมั้ย” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไป รู้ตัวอีกที คำพูดที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยนั้นก็ถูกเปล่งออกมาจากปากของผมซะแล้ว
               
และผมก็ไม่สามารถเรียกมันกลับคืนได้แล้วด้วย
               
“วะ...ว่าไงนะ” คนตัวเล็กหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตกตะลึง น้ำตาที่คลออยู่หยดลงมาอาบแก้มโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ด
               
“เรา...ลองมาคบกันมั้ย” ผมพูดคำเดิมอีกครั้งแม้ว่าน้ำเสียงของผมครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความลังเลก็ตาม
               
“...” ทองกวาวยังคงมองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่ไม่นานริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
               
“ฮืออ ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ”  เธอเอ่ยขอบคุณผมซ้ำๆ พร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นอย่างไม่สนใจเลยว่าพื้นจะสกปรกแค่ไหน
               
“ฮะ...เฮ้ย ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ” ผมรีบเดินไปนั่งยองๆ ข้างๆ พร้อมกับลูบหัวเธออย่างเก้ๆ กังๆ ยัยตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งที่น้ำตายังนองหน้า
               
“ก็เราดีใจอ่ะ T^T” ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
               
“งั้นตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ” ผมถามอย่างต้องการตอกย้ำให้แน่ใจ จริงๆ แล้วผมกำลังถามตัวเองต่างหาก
               
“อื้อ” ยัยตัวเล็กตอบพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอเช็ดน้ำตา ก่อนที่ทองกวาวจะลุกขึ้นกับพื้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายต่างจากยัยหมีแพนด้าหน้าง่วงเมื่อกี้ลิบลับ
               
“งะ...งั้นเรากลับหอก่อนนะ” เธอว่าพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยด้วยท่าทางเขินอาย
               
“อือ กลับดีๆ นะ” ผมยิ้มบางๆ ตอบ คนตัวเล็กยิ้มกว้างและโบกมือบ๊ายบายให้ผมก่อนจะวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ผมมองตามร่างบางที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปจนลับสายตา ก่อนจะเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
               
นี่ผม...ทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
               
ผมอยากจะควักสมองตัวเองออกมาดูว่ามันมีก้อนเท่าเม็ดถั่วหรือไง ทำไมถึงได้โง่ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าผมมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว...แถมยังไม่ใช่ผู้หญิงอีกต่างหาก ทำแบบนี้มันไม่เท่ากับว่าผมกำลังหลอกทองกวาวหรอกเหรอ แล้วถ้าเธอรู้เข้าเราสองคนจะมองหน้ากันติดได้ยังไง
               
ให้ตายเถอะ แกนี่งี่เง่าชะมัดเลยไอ้ตรี
               
ถึงแม้ว่าจะมีความคิดในแง่ร้ายจะผุดเข้ามาในสมองของผมมากแค่ไหน แต่ในใจลึกๆ ของผมกลับบอกตัวเองว่า ที่ผมทำน่ะมันดีแล้ว...
               
ไม่ว่าใครก็คงอยากให้คนที่ตัวเองรักตอบแบบนี้ทั้งนั้น
               
อย่างน้อยมันก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เราสองคนได้ลองศึกษากันนี่นา ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย... ใช่มั้ย?
               
ครืดด
               
ขณะที่ผมกำลังยืนคิดอะไรบ้าบออยู่คนเดียว อยู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาทำให้ผมจำเป็นต้องหยุดความคิดทั้งหมดลง
               
“สวัสดีครับ” ผมรับสายอย่างสุภาพเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาไม่ใช่เบอร์ของคนรู้จัก
               
[ ตรีเหรอ ] น้ำเสียงหาเรื่องฟังดูไม่คุ้นหูทำให้ผมชะงักนิดหน่อย แต่หมอนี่รู้ชื่อผมนี่ คงไม่ได้โทรผิดหรอก
               
“ครับ” ผมตอบ
               
[ กูเตอร์นะ ] ไม่ต้องรอให้ผมถาม อีกฝ่ายก็บอกชื่อตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ที่ชวนหาเรื่องเหมือนเคย ไอ้บ้านี่มันโทรมาท้าผมต่อยหรือไงเนี่ยทำเสียงซะโหดเชียว -*-
               
อ่อ ทุกคนยังจำไอ้เตอร์ นักร้องนำวง The Quantum ได้กันอยู่ใช่มั้ย? จะจำได้หรือไม่ได้ก็ช่างเหอะ ประเด็นคือมันโทรมาหาผมทำไมต่างหาก
               
[ ไหนมึงบอกจะมาเล่นกีตาร์ให้วงกูวะ ไม่เห็นโผล่หัวมาซ้อมเลย อาทิตย์หน้าไอ้วินมันก็จะไปเรียนต่อแล้วนะเว้ย ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
               
อา ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยแฮะ
               
“โทษที ลืมไปเลย” แต่ความจริงมันไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อยนะ ก็ในเมื่อ ‘หมอนั่น’ ไม่ได้บอกอะไรผมสักนิดเลยนี่นา
               
[ ช่างเหอะ แล้ววันนี้มึงว่างหรือเปล่า มาซ้อมได้มั้ย ] เตอร์ถาม แต่น้ำเสียงมันเหมือนกำลังบังคับผมมากกว่า
               
ถึงไม่ว่างก็ต้องว่างสินะ -_-;
               
“อือ ว่าง จะให้ไปที่ไหน กี่โมง?”
               
[ ทุ่มนึง ที่ร้าน ] คำตอบห้วนๆ แต่ตรงประเด็นของไอ้เตอร์ ทำเอาผมไม่มีอะไรจะถามต่อเลย
               
“โอเค” ผมตอบ ก่อนที่ปลายสายจะส่งเสียงเออออเล็กน้อยแล้วตัดสายไปดื้อๆ
               
ไอ้คนพวกนี้นี่เป็นพวกพูดจาห้วนๆ เหมือนหาเรื่องแบบนี้กันทั้งกลุ่มเลยใช่มั้ยเนี่ย น่าหมั่นไส้ชะมัด -*-
               
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาบน้ำคงไม่ทัน งั้นไปเลยก็แล้วกันนะ ผมเดินไปที่รถและกำลังจะเปิดประตู แต่แล้วผมกลับนึกอะไรขึ้นมาได้
               
ถ้าไปซ้อม ผมก็ต้องเจอกับหมอนั่นน่ะสิ...
 

‘คบกับฉันมั้ย?’
 
           
อยู่ๆ คำพูดของเขาในคืนนั้นก็ผุดขึ้นมาในสมองของผมราวกับฉายซ้ำ
               
มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ผมจะตอบรับความรู้สึกของทองกวาว ผมเคยปฏิเสธคำขอคบของผู้ชายคนนั้นมาก่อน
               
ทั้งๆ ที่หมอนั่นขอคบกับผม... แต่ทำไมผมกลับตอบตกลงเหมือนที่ตอบทองกวาวไปไม่ได้นะ...
               
ผมอยากจะเค้นคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน แต่มันกลับมีความคิดต่อต้านบางอย่างที่บอกให้ผมหยุดคิดหาเหตุผลเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นกับครั้งนี้มันไม่เหมือนกันสักหน่อย
               
ทองกวาวสารภาพรักเพราะเธอชอบผม แต่หมอนั่นพูดแบบนั้นออกมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรกับผมด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง




-----------------------------------------------------------------------
โชคดีที่มีสต็อกไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ดองแน่
เพราะงานท่วมหัวมาก T^T

 :m15:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 12 [ 29/03/2559 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-03-2016 22:58:25
ไอ้หยา

ตรีทำร้ายจิตใจกวาวทางอ้อมแล้วนา

ไปสารภาพเดี๋ยวนี้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 31-03-2016 15:24:24
14
หวั่นไหว
 
               
เราใช้เวลากว่าสามชั่วโมงในการซ้อมดนตรีอยู่ในห้องซ้อมส่วนตัวบนชั้นสามของร้าน ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่าเตอร์ นักร้องนำวง The Quantum เป็นหุ้นส่วนด้วย พวกเขาจึงยึดที่นี่เป็นที่ซ้อมดนตรีและที่หลับนอนเป็นบางครั้งเพื่อความสะดวก เวลาที่เมาจนกลับบ้านไม่ไหว

“น้ำ” เตอร์ว่าพลางโยนขวดน้ำเย็นมาให้ผมซึ่งกำลังนั่งเกากีตาร์อยู่ที่โซฟา
               
“ขอบใจ” ผมเปิดน้ำดื่ม ก่อนจะก้มหน้าเกากีตาร์ต่อ หลังจากที่ไม่ได้จับกีตาร์ไฟฟ้ามานาน พอได้มาลองเล่นวันนี้ แถมได้เล่นเพลงร็อกหนักๆ อีก มันทำให้ผมอดฮึกเหิมไม่ได้จริงๆ ถึงเพลงร็อกจะเป็นแนวที่ผมไม่ได้เล่นบ่อยนัก และการร่วมวงกับคนอื่นเป็นครั้งแรก ทำให้ผมต้องปรับเทคนิคในการเล่นเพื่อให้เข้ากับคนอื่นๆ พอสมควร แต่หลังจากที่ซ้อมมาสักพักก็เริ่มชิน และเริ่มจะสนุก ที่ได้เล่นดนตรีร่วมกับคนเก่งๆ อย่างพวกเขา

“พักก่อนก็ได้มั้ง” ต้า มือกลองเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับมองผมอย่างขบขัน

ผมยิ้มกลับไป แต่ก็ไม่วายกลับมาจดจ่อกับโน้ตเพลงและกีตาร์ในมืออยู่ดี

“มึงนี่เล่นเก่งนะ สมแล้วที่ไอ้เชนมันแนะนำ” เตอร์เอ่ยชมพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ เพราะตลอดเวลาที่ซ้อมด้วยกัน หมอนี่ไม่เคยพูดชมหรือบอกว่าผมเล่นดีเลย มีแต่บอกให้ผมปรับนู่นปรับนี่ จนผมแอบคิดไปแล้วว่าเขาอาจจะไม่ชอบเสียงกีตาร์ของผม

“ว่าแต่วันนี้ไอ้เชนมันจะมาหรือเปล่า” คราวนี้วินที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นคนถาม

“ไม่รู้ ช่างหัวแม่งเหอะ” เตอร์ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เป็นผมก็คงอารมณ์เสียเหมือนกันล่ะนะ ตั้งแต่ผมเข้ามาในห้องซ้อม ผมก็ไม่เห็นเชนเลยจนกระทั่งตอนนี้ เตอร์บอกว่าอยู่ๆ หมอนั่นก็เบี้ยวนัด แถมติดต่อไม่ได้ เลยต้องให้วินซึ่งเป็นมือเบสอยู่แล้วเล่นแทน ทั้งๆ ที่วันนี้คนที่ควรมาซ้อมมากที่สุดคือผมกับหมอนั่นแท้ๆ

ผมไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่หมอนั่นโดดซ้อมไปดื้อๆ คืออะไร แล้วก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นเพราะผมด้วย

“ถ้ายังไงพรุ่งนี้มึงลองมาเล่นกับพวกกูที่ร้านเลยนะ สะดวกหรือเปล่า” เตอร์ถามขึ้นมาทำให้ผมที่มัวแต่นั่งเหม่อถึงกับสะดุ้งเล็กๆ

“อะ...อืม ไม่มีปัญหา”

“อ่อ แล้วก็นี่” เขายื่นกระดาษสองแผ่นมาให้ ผมมองผ่านๆ ก็เห็นว่ามันเป็นโน๊ตเพลงสองเพลง  “เพลงที่พวกกูจะใช้ประกวดอาทิตย์หน้า มึงลองเอาไปซ้อมก่อนแล้วกันนะ”

ผมชะงัก “อ้าว ไม่ใช่ว่างานนี้พวกนายจะเล่นด้วยกันเหมือนเดิมเหรอ” ผมจำได้ว่าตอนคุยกันในวงเหล้า ใครสักคนบอกว่าผมแค่มาเล่นที่ร้านหลังจากที่วินไปแล้วเท่านั้น ส่วนการประกวดนี่มันจัดขึ้นก่อนที่วินจะเดินทางหนึ่งวัน แม้จะฉุกลุกไปหน่อยแต่ก็คุ้มที่ได้เล่นสั่งลาด้วยกันในเวทีใหญ่ๆ ผมก็เลยไม่จะเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการประกวดครั้งนี้ 

“พอดีว่าไอ้วินมันต้องไปจัดการอะไรนิดหน่อย ก็เลยต้องบินก่อนกำหนดสองวัน ไม่ทันได้อยู่จนงานประกวดหรอก” เตอร์พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าพวกเขาซ้อมหนัก และรอคอยงานประกวดนี้แค่ไหน เพราะมันเป็นงานสุดท้ายที่สมาชิกจะครบ ก่อนที่จะต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อให้วินกลับมา และจนถึงตอนนั้น วง The Quantum อาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ เพราะปีนี้พวกเขาก็ขึ้นปีสามแล้ว ยิ่งปีโตขึ้นก็ยิ่งต้องงานหนักขึ้น และมุ่งหน้าที่จะเรียนให้จบ จนอาจจะต้องพักเรื่องดนตรีไว้ก่อนก็ได้ แต่มันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของคนขี้กังวลย่างผมล่ะนะ พถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเขาอาจจะเลือกคว้าไว้ทิ้งสองอย่างเลยก็ได้ ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องดนตรี เรียนจบ

“ฉัน...ไม่คิดว่าต้องลงประกวดด้วย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด เตอร์เลยหันมายิ้มให้ ก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า มันก็เหมือนเล่นในผับนั่นแหละ ก็แค่เวทีใหญ่ขึ้นแค่นั้น” น้ำเสียงของเขาดูไม่มีความกังวล ต่างจากผมที่เริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะทำให้คนพวกนี้ผิดหวังก็ได้ ผมเพิ่งเริ่มซ้อมวันนี้วันแรกเองนะ ยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าผมเข้ากับพวกเขาได้จริงๆ หรือเปล่า ถึงตัวผมเองจะสนุกมากก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ ผมอาจจะทำพลาดในวันประกวดจนทำให้วงแพ้อย่างขายหน้าก็ได้

“อย่าทำหน้าเสียแบบนั้นสิวะ เอาเป็นว่าลองเอาไปเล่นดูก่อนแล้วกัน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที” ต้าพูดขึ้นมาท่าทางไม่ยี่หระ ผมก้มหน้าลงมองโน้ตเพลงในมืออย่างพิจารณา

“เออ กูมีเดโม่ด้วย ลองฟังก่อนมะ?” เตอร์ว่าก่อนจะควักมือถือออกมากดๆ เสียบหูฟังและยื่นมาให้ผม
เสียงอินโทรเพลงร็อกจังหวะกระแทกหูดังขึ้นมาจนทำเอาผมผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงฟังต่อไป เมโลดี้ที่เพิ่งฟังครั้งแรกก็รู้ได้เลยว่ามันต้องติดหู ทำให้ผมอดประทับใจไม่ได้ เพลงนี้คงเป็นเพลงที่เชนเคยบอกว่าเตอร์เป็นคนแต่งสินะ

“เจ๋งดีอ่ะ” ผมบอกด้วยความจริงใจหลังจากฟังจบ เก็บน้ำเสียงตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่ได้จริงๆ เตอร์หัวเราะ ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างวางมาด

“แหงล่ะ ก็กูแต่งนี่”

“แต่ไอ้วินเป็นคนใส่ทำนอง” ต้าพูดแทรกขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดหลงตัวเองของเพื่อน ผมหันไปมองคนถูกพาดพิงที่ยืนล้วงกระเป๋าสูบบุหรี่อยู่ตรงมุมห้องด้วยความทึ่ง วินเหลือบตามามองผมนิดหน่อยก่อนจะยักไหล่ท่าทางไม่ยี่หระ ผมหัวเราะนิดๆ และหันกลับมามองเนื้อเพลงในมือ ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างวินจะแต่งทำนองเพราะๆ แบบนี้ได้ เขาดูเงียบมากจริงๆ คุยกับผมแทบจะนับคำได้เลยด้วยซ้ำ (อาจเพราะยังไม่สนิทใจกันล่ะมั้ง) นึกภาพตอนเขานั่งแต่งเพลงไม่ออกจริงๆ

“ส่วนอีกเพลง ไอ้เชนเป็นคนแต่ง ทั้งเนื้อทั้งทำนอง” เตอร์พูดขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังเปิดดูเพลงถัดไปพอดี
ผมไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ เพราะรู้อยู่แล้ว แต่ก็แอบคิดไม่ถึงเหมือนกันนะ ว่าเขาจะกล้าใช้เพลงนี้ประกวด ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจแต่งเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนนั้น ที่ตอนหลังกลายเป็นคนทำร้ายเขาซะเอง

นี่แสดงว่าเขาคงจะยังรักเธออยู่สินะ

อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะกวาดสายตามองเนื้อเพลงที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดาษที่อยู่ในมือผม แต่แล้วก็ต้องชะงักไป เมื่ออ่านเนื้อเพลงดีๆ และพบว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ

ไม่สิ... เพลงนี้มันไม่น่า...

“จริงๆ ตอนแรกมันจะแต่งอีกเพลงนึงไว้ด้วยนะ แต่ยังไม่ทันเขียนจบแม่งก็เอาไปเผาทิ้งเฉยเลย จนต้องเดือดร้อนแต่งเพลงใหม่ตั้งแต่ต้น” คำพูดของเตอร์ทำให้ผมถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงอ่านเนื้อเพลงอีกครั้ง

มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย...

“ยังโชคดีนะที่มันได้เพลงนี้มา แถมดูเหมือนจะดีกว่าเพลงเก่าซะด้วย” ต้าพูดเสริม ดูภูมิใจในความสามารถของเพื่อนตัวเอง “ลองกดเลื่อนฟังเดโม่ที่ไอ้เชนมันเล่นกับกีตาร์โปร่งไว้สิ กูว่าแม่งตอแหลแหงๆ ที่บอกว่าไม่เคยแต่งเพลงมาก่อน” พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหมั่นไส้กึ่งชื่นชมพลางเอื้อมมือมากดเปลี่ยนเพลงให้ผมเสร็จสรรพ ก่อนจะยืนกอดอกรอดูปฏิกิยาของผมอย่างใจจดใจจ่อ

ทั้งๆ ที่เป็นแค่ช่วงอินโทรเพลงช้าๆ ยังไม่ทันจะมีเสียงร้องขึ้นมา อยู่ๆ จังหวะหัวใจของผมก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด มันค่อยๆ เต้นแรงขึ้นๆ จนผมแทบอยากจะหนีไปจากห้องเงียบๆ นี่ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเสียงตึกตักน่าละอายนั่น

“...!”

และทันทีที่เสียงร้องท่อนแรกดังขึ้นมา เสียงทุ้มต่ำที่ร้องออกมาเป็นทำนองเพลงหวานๆ แต่กลับไม่หลุดคราบเพลงร็อกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ก็ทำให้ผมถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ และก้มหน้าลงจนแทบจะชิดหัวเข่า

 “เฮ้ย เป็นไรวะ เพราะจนอยากจะร้องไห้เลยเหรอ” เสียงเตอร์โวยวายขึ้นมาทนทีที่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของผม
ผมได้แต่ส่ายหน้ารัวๆ ทั้งที่มือทั้งสองข้างยังคงปิดหน้าอยู่ ไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาด้วยซ้ำ เสียงเพลงที่ยังคงดังอยู่ในหู ยิ่งกระตุ้นทำให้อุณหภูมิในร่างกายของผมมันร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงจนผมคิดว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว

แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ริมฝีปากของผมกำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้จะหุบมันยังไง และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าของตัวเองตอนนี้ได้จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะหายตัวไปทันทีที่ได้ฟังท่วงทำนองที่ไพเราะเกินคำบรรยายนี่เลยด้วยซ้ำ

บ้าเอ๊ย! เพลงนี้มัน...
 
-- มีต่อค่ะ --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 31-03-2016 15:25:28
-- ต่อ --


วันต่อมา

เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ...
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่อยู่ๆ เพลงนั้นมันก็วนเวียนเข้ามาอยู่ในหัวของผมตลอด และมันก็รบกวนความคิดของผมจนไม่สามารถข่มตานอนได้จริงๆ นี่มันบ้าชัดๆ ผมกำลังฟุ้งซ่านบ้าบออะไร กับอีแค่เพลงเพลงเดียว!
ถึงเนื้อเพลงมันจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าหมอนั่นจะแต่งให้...!

ให้ตายเถอะ มันไม่มีทางเป็นอย่างที่ผมคิดได้หรอก ไม่มีทางอยู่แล้ว... ที่ผมหลอนขนาดนี้คงเป็นเพราะเมื่อวานผมถูกบังคับให้ซ้อมเพลงนี้เป็นสิบๆ รอบ แน่ๆ -*-

กริ๊งงง
ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงส่งเสียงขึ้นมา ทำให้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเหม่อทั้งๆ ที่กำลังขัดห้องน้ำอยู่ ผมถอนหายใจหนักๆ กับตัวก่อนจะวางแปรงขัดห้องน้ำลงพร้อมกับถอดถุงมือ และเดินออกไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย

“ฮัลโหล”

[ ตรี นี่กวาวนะ ]

“อ่า...” ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ “มีอะไรเหรอ”

[ คือว่าเรา... ] เธอทำน้ำเสียงอึกอักแต่ไม่นานก็พูดออกมาจนได้ [ เราจะโทรมาถามว่า วันนี้ตรีจะเข้ามาที่คณะหรือเปล่า? ]

 “หือ?” ผมขมวดคิ้ว พลางนั่งลงที่เตียง “ก็ต้องเข้าสิ วันนี้มีตรวจงานนี่” ผมยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยงงๆ เมื่อปลายสายถามอะไรแปลกๆ

[ อะ...เออ นั่นสิเนอะ ] ทองกวาวหัวเราะแห้งๆ ท่าทางเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

ผมหัวเราะกลับไป นี่โทรมาหาผมแต่เช้าต้องการอะไรกันแน่นเนี่ย ยัยบ๊องเอ๊ย

[ คือ... เราก็ต้องไปคณะเหมือนกัน... ] ผมหยักหน้า และรอฟังว่าปลายสายจะพูดอะไรต่อ พูดอึกอักซะจนผมลุ้นตามไปหมดแล้วนะเนี่ย [ แล้วทีนี้... รถเราอ่ะ น้ำมันมันใกล้จะหมด... แล้วทีนี้... ]

“ทำไมไม่ไปเติมน้ำมันล่ะ” ผมแกล้งถามกลับไป ทั้งๆ ที่พอจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ไอ้น้ำเสียงเกรงใจนั่นทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆ

[ เออะ... ] คราวนี้ยัยตัวเล็กถึงกับพูดไม่ออกไปเลย ทำให้ผมที่กำลังกลั้นขำอยู่ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมา

“ล้อเล่น จะให้เราไปรับใช่มั้ย ได้สิ แค่นี้เอง” ผมตอบโดยที่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายถามตามตรง ทองกวาวที่เหมือนจะช็อกไปเมื่อครู่พูดกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

[ ขอบคุณนะ! ] น้ำเสียงดีใจเกินเหตุนั่นทำให้ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ จะว่าไปยัยตัวเล็กนี่ก็น่ารักดีนะ ใครได้เป็นแฟนก็คง...

อา... แต่ตอนนี้คนที่เป็นแฟนเธอก็คือผมเองนี่หว่า ลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย เรื่องสำคัญขนาดนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย!
ไม่รู้ทำไม พอผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ความรู้สึกประหลาดมันก็เข้ามาเกาะที่หัวใจทันที มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาที่ผมทำอะไรบางอย่างผิดพลาด ทั้งๆ ที่ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด... ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ

[ ตรี ฟังเราอยู่หรือเปล่า? ] น้ำเสียงหวานเอ่ยถามทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง

นี่ผมเหม่ออีกแล้วเหรอ ช่วงนี้รู้สึกว่าจะเผลอเหม่อมากเกินไปแล้ว

“ขอโทษที กวาวว่าไงนะ” ผมถามอย่างยอมรับความจริงว่าไม่ได้ฟังอีกฝ่ายเลยสักนิด

[ คือเราถามว่า... ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้ก่อนนะ ] ทองกวาวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็บ่ายเบี่ยง
แต่ก่อนที่เธอจะว่างสาย ผมก็เรียกเธอไว้ก่อน “นี่ยัยตัวเล็ก”

[ หือ? ]

“คราวหลังไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยากให้ฉันไปรับเมื่อไหร่ก็โทรมาได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจ ทำตัวตามปกติเถอะ” ผมบอกจากใจจริง ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน ผมรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ยัยนี่ทำตัวแปลกไปหลังจากที่เราคบกัน

[ อื้อ เข้าใจแล้ว ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะขอตัววางสายไป ผมวางโทรศัพท์ลงที่เดิม แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

เป็นแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ...หรือเปล่านะ?

แกรก!

ในขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องวุ่นวายอยู่ในสมอง อยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาด้วยสภาพอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน เชนชะงักนิดหน่อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับถอดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มของตัวเองออกมาพาดไว้ที่เตียง

เมื่อคืนหมอนี่ไปอยู่ที่ไหนมาน่ะ

เมี้ยวว

เจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้ไม่ถือว่าเล็กแล้ว ส่งเสียงร้องพร้อมกับมุดออกมาจากใต้เตียงและเข้าไปเลียแข้งเลียขาร่างสูงอย่างรู้งาน

ระยะหลังๆ มานี้ผมลืมพูดถึงเจ้าเตไม่ซะสนิทเลย เพราะหลังจากที่เปิดเทอม งานของผมก็ยุ่งๆ จนแทบไม่มีเวลาได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ กับเจ้าเตเอง ที่ปกติก็ไม่ได้ติดผมอยู่แล้ว เลยมีหน้าที่แค่ให้อาหารมันเท่านั้น ส่วนหน้าที่เล่นกับมันคงต้องปล่อยให้หมอนี่เป็นคนจัดการ แต่ก็อย่างที่บอก ว่าช่วงนี้ผมแทบไม่เห็นเขาในห้องเลย ไม่รู้ด้วยว่าเขากลับห้องมาเล่นกับเจ้าเตบ่อยแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กจะดูเหงาๆ ซึมๆ ไปบ้าง

“เป็นไง คิดถึงฉันล่ะสิ” เชนนั่งลงกับพื้นพร้อมกับลูบหัวเจ้าเตที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนตักอย่าออดอ้อนเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่เห็นภาพแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ไม่ไปเรียนเหรอ” ผมสะดุ้งนิดๆ เมื่ออยู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็ถามขึ้นมา แถมมันก็ไม่ใช่ประโยคที่จะพูดกับแมวได้ซะด้วย

“ปะ...ไปสิ” ผมตอบอึกอักอย่างตั้งตัวไม่ทัน เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยท่าทางสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ กลับเป็นผมเองที่อยากหาเรื่องพูดออกมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศซะงั้น

“ทำไม...เมื่อวานไม่ไปซ้อมล่ะ” ผมถาม เสียงเบาซะจนน่าโมโห

ทำไมผมต้องเกร็งขนาดนี้ด้วยเนี่ย บ้าไปแล้วหรือไง -*-

“มีธุระเกี่ยวกับเรื่องรับน้องนิดหน่อย” เขาตอบโดยที่ยังคงเล่นกับเจ้าเตต่อ

อา... ถ้าจำไม่ผิด ผมว่าผมเคยได้ยินใครสักคนบอกว่าหมอนี่เป็นพี่ว้ากของคณะวิศวะสินะ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะยุ่งน่าดูเลย ไหนจะเรียน ไหนจะรับน้อง ไหนจะต้องไปเล่นดนตรีที่ร้านอีก เตอร์บอกผมอยู่เหมือนกันว่าช่วงเปิดเทอม The Quantum จะขึ้นเวทีน้อยลงเพราะทุกคนต่างก็มีเรียน และก็มีงานที่ต้องทำ ทำให้ไม่มีเวลาว่างมาเล่นดนตรีเหมือนตอนเปิดเทอม แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็รับภาระเยอะเกินไปแล้ว แบบนี้จะไหวเหรอเนี่ย

“ท่าทางนายเพลียๆ ถ้าจะนอน ก็นอนบนเตียงได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ผมสวมถุงมือยางเตรียมตัวขัดห้องน้ำในส่วนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือขัด ร่างสูงที่ควรอยู่ข้างนอก ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำแคบๆ นี่ ก่อนจะยืนพิงผนังข้างๆ ฝักบัวและมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ

“ฉันอยากอาบน้ำ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเคย

“งั้นรอแป๊บนึงนะ ฉันขัดใกล้จะเสร็จแล้ว เฮ้ย!” ผมร้องออกมาเสียงดังเมื่อร่างสูงไม่ได้มีท่าทีว่าจะฟังเลย แถมยังถอดเสื้อตัวเองออกหน้าตาเฉยอีกต่างหาก “ทำบ้าอะไรเนี่ย!?”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะอาบน้ำ” ว่าพลางทำท่าปลดเข็มขัดออกอย่างไม่สนใจเลยว่าตอนนี้ผมหน้าเหวอแค่ไหน

“เฮ้ยๆ! เดี๋ยวเด้! ไม่เห็นหรือไงว่าขัดห้องน้ำอยู่อ่ะ รอแป๊บนึงไม่ได้หรือไงเล่า!” ผมโวยวายลั่นห้อง พร้อมกับหันหลังให้คนที่กำลังจะแก้ผ้าต่อหน้าอย่างไม่แคร์สายตาผมเลย

มะ...ไม่ได้อยากจะเห็นสักหน่อยนะเว้ย

“หึ” แต่ในขณะที่ผมกำลังโวยวายไม่ให้หมอนี่ถอดไปมากกว่านี้ ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาจากร่างสูงก่อนที่บรรยากาศจะกลับเข้าสู่ความเงียบ

ถึงจะกลัวเห็นภาพอนาจาร แต่ด้วยความสงสัยว่าหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่ทำให้ผมค่อยๆ หันกลับไปอีกครั้ง แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อพบว่าร่างสูงไม่ได้กำลังแก้ผ้าอยู่ ถึงแม้ร่างกายท่อนบนจะเปลือยเปล่า แต่ร่างกายท่อนล่างก็ยังคงสวมกางเกงยีนอยู่ครบทำให้ผมถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“นายออกไปก่อนไป ฉันขอขัดตรงนี้ต่ออีกแป๊บนึงเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ผมบอกพร้อมโบกมือไล่ร่างสูง ก่อนจะนั่งลงและหยิบแปรงขัดห้องน้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“...” แต่แทนที่จะออกไปตามที่บอก ร่างสูงกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ก็เหมือนจะคิดผิด เมื่อสายตาของผมสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่มองมาอย่างเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

หะ...ให้ตาย หมอนี่ต้องการอะไรจากผมเนี่ย

“ฟังเพลงนั้นแล้วเหรอ” อยู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็เอ่ยถามออกมาท่ามกลางความเงียบ ผมชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนจะนึกออกว่าเขาพูดถึงอะไร

“อะ...อือ” ผมพยักหน้าพร้อมกับเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นขัดห้องน้ำต่อ ทั้งๆ ที่ตรงนี้ขัดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว

“เป็นไง” เขาถามต่อ

ผมเงียบไป อยู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “กะ...ก็เพราะดี” ผมตอบอึกอัก ไม่กล้าที่จะหันกลับไปสบตา

“แล้วชอบหรือเปล่า”

“ฮะ?” ผมร้องเสียงหลง และหันกลับไปมองร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงผนังห้องน้ำอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไหร่ แต่พอสบตากับสายตาอ่านยากนั่น ผมก็ต้องหลบสายตาอีกครั้ง “ฉะ...ฉันจะชอบหรือไม่ชอบ มันก็ไม่เห็นมีผลอะไรกับการประกวดนี่”

ร่างสูงเงียบไปพักใหญ่ ในขณะที่ผมแสร้งทำเป็นขัดห้องน้ำอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ความจริงหัวใจมันเต้นแรงซะจนเหมือนกับจะกระเด็นออกมากองอยู่ที่พื้นแล้ว

“มีผลสิ” แต่แล้วน้ำเสียงทุ้มนั้นก็เร่งจังหวะหัวใจของผมให้เต้นแรงมากขึ้นไปอีก “ถ้านายไม่ชอบ เพลงนี้มันก็ไม่มีความหมาย”

“...”

“ไม่รู้เหรอ ว่าฉันแต่งเพลงนี้มาเพราะอะไร”

“...!”

บะ...บ้าชะมัด หมอนี่กำลังพูดบ้าอะไรเนี่ย อย่ามาทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมคิดมันเป็นความจริงได้มั้ย... ในเมื่อมันไม่มีทาง... ไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก...

“เชน” ไม่รู้อะไรดลใจ อยู่ๆ ผมก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร แต่คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก็บ่งบอกว่าเขากำลังรอฟังในสิ่งที่ผมพูดอยู่

“ฉัน...” ทั้งๆ ที่วินาทีก่อนยังทำเป็นกล้าอยู่เลยแท้ๆ แต่พอได้สบตากับคนตรงหน้า ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ความกล้าที่มีอยู่ในตัวผม ก็เหมือนจะถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนี้ดูดกลืนไปเสียหมด อยู่ต่อหน้าหมอนี่ ผมก็เป็นได้แค่ไอ้ตรี ที่แสนจะโง่เง่าและอ่อนหัด แบบนี้มันน่าโมโหชะมัดเลย ว่ามั้ย

“ฉันมีแฟนแล้วนะ...” ในที่สุดผมก็เอ่ยออกไป สายตาหลุบต่ำลงเพราะไม่อยากรู้ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ “ฉันลองคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง...เธอเพิ่งมาสารภาพรักกับฉัน แล้วฉันก็เห็นว่ายัยนั่นน่ารักดี ก็เลย...” ผมพูดได้แค่นั้น และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพูดเรื่องนี้ออกมาทำไม ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่จำเป็นจะต้องให้คนตรงหน้ารู้เลยสักนิด

แต่...อีกใจหนึ่งผมก็อยากรู้... อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง

“...” ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องน้ำแคบๆ นี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนอยากจะหนีออกไป แต่ความอึดอัดนี้ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาเองนี่นา อย่างน้อย ผมก็ควรจะรอดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ซ่า!       

...!!?

ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำเย็นๆ ฉีดลงมาที่หัวจนผมเปียกไปหมด ผมตกใจจนไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ ได้แต่เงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือหนาที่กำฝักบัวอยู่ เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าเป็นฝีมือของเขา

“ทะ...ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมถามพลางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเหวอๆ

ซ่า!

“เฮ้ย!!” แต่แทนที่จะตอบคำถามผมดีๆ คนตรงหน้ากลับฉีดน้ำใส่หน้าผมอีกรอบโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

บ้าเอ๊ย! น้ำมันเข้าจมูกผมนะโว้ย!

“หมั่นไส้” น้ำเสียงเรียบนิ่งแสนจะกวนประสาทเอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านเลย ก่อนที่ฝ่ามือหนาทำท่าจะเปิดน้ำโจมตีผมอีกรอบ

แต่คราวนี้ผมไม่ยอมหรอก ผมพุ่งเข้าไปหาร่างสูงสุดตัวเพื่อจะแย่งฝักบัวมาจากมือเขา

“เฮ้ย!!”

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อร่างสูงเอี้ยวตัวหลบ ในขณะที่พื้นกระเบื้องซึ่งเต็มไปด้วยน้ำ ทำให้การทรงตัวของผมไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด ร่างของผมถลาเข้าหาผนังอย่างรวดเร็ว และหัวของผมคงจะฟาดเต็มแรงแน่ ถ้าไม่ติดที่ว่ามีมือหนามาคว้าเอวผมและดึงไปอีกทางเสียก่อน

ปึก!

“โอ๊ย!” ร่างของผมกระแทกกับอะไรบางอย่างเต็มๆ แต่เสียงร้องนั่นไม่ใช่ของผมหรอกนะ เพราะสิ่งที่ผมกระแทกลงไปไม่ได้แข็งถึงขนาดจะทำให้ผมเจ็บได้

เสียงปึก และเสียร้องเมื่อครู่ คงจะเกิดจากการที่หลังของใครอีกคนกระแทกกับผนังอีกฝั่งอย่างเต็มแรงต่างหาก และใครคนที่ว่า ก็คือคนเดียวกับเจ้าของฝ่ามือหนาที่กำลังโอบเอวผมอยู่ในตอนนี้ด้วย รู้ตัวอีกทีร่างของผมที่เปียกโชกไปด้วยน้ำกับร่างที่ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขาก็กำลังแบนชิดกันอย่างน่าใจหาย ทำเอาผมตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

“เป็นไรมั้ย” น้ำเสียงทุ้มถามด้วยท่าทางเคร่งเครียด ทั้งๆ ที่คนที่เจ็บมากกว่าควรจะเป็นเขาต่างหาก

“...”

“เฮ้ ฉันถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามย้ำ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ร่างของเราก็แนบชิดจนแทบจะหลอมรวมกันอยู่แล้ว ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่าลงมาบนใบหน้า ทำให้ผมได้แต่ส่ายหน้ารัว ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา แต่ยิ่งทำอย่างนั้น ก็ยิ่งเหมือนกับผมกำลังซุกใบหน้าลงกับซอกคอของเขายังไงยังงั้น

บ้าชะมัด ในสถานการณ์แบบนี้ผมต้องทำยังไงดีเนี่ย

“เล่นอะไรบ้าๆ ถ้าเกิดหัวกระแทกขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย” เขายังคงบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็แฝงด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้มีใครเป็นอะไรร้ายแรง

ผมเข้าใจนะว่าเขาคงจะตกใจน่าดู แต่...อย่างน้อยก็ช่วยรู้ตัวหน่อยเถอะว่ากำลังกอดผมอยู่... และควรจะปล่อยมือจากผมได้แล้ว

“ฉะ...ฉัน ไม่เป็นอะไร” ผมพูดอ้อมแอ้มและพยายามดันตัวเองออก แต่แทนที่คนตรงหน้าจะปล่อยมือ เขากลับโอบผมแน่นขึ้นจนตัวผมกลับไปแนบชิดกับตัวเขาอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงมาในระดับเดียวกันทำให้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนเท่านั้น

“รังเกียจเหรอ” เขาถามด้วยรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมได้แต่อึกอัก ก่อนจะเบือนหน้าหนี ทั้งๆ ที่หนีไปไหนไม่รอด

“หึ” เสียงหัวเราะร้ายกาจดังขึ้นจากคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะทำเรื่องน่าตกใจโดยการเอาคางมาเกยไว้บนหัวผมโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะกลายเป็นภาพที่น่าอายแค่ไหน

มะ...หมอนี่ ทำบ้าอะไรวะเนี่ย!!?

“นายนี่มัน... เป็นคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกเลย รู้ตัวมั้ย” ผมกำลังจะโวยวายออกมา แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่พูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังระอาใจ ทำให้ผมต้องหุบปากลงอย่างช่วยไม่ได้

“ทั้งๆ ที่ฉันอุตส่าห์เปิดใจขนาดนี้แล้วเชียวนะ” เขายังคงพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ในขณะที่ผมได้แต่เงียบ ปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่ายรินรดลงมาบนศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาทีโดยไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืน

หลังจากปล่อยให้ความเงียบกลืนกินอยู่เนิ่นนาน ผมก็ได้ยินร่างสูงพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา แล้วฝ่ามือหนาก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระเสียที ผมถอยหลังออกมาจากตัวเขาโดยอัตโนมัติ และได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมาที่ผมนิ่งๆ พักหนึ่ง พร้อมกับริมฝีปากบางที่กระตุกยิ้มมุมปาก แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องน้ำแคบๆ นี่ น้ำเสียงทุ้มก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“อาทิตย์หน้าฉันจะย้ายออก”

“...!”

“ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง ก็รีบรั้งฉันไว้ล่ะ” ถึงแม้ว่ามันจะเป็นประโยคที่แสนจะหลงตัวเอง แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกใจหายอย่างประหลาด

จะย้ายออกงั้นเหรอ... ไหนตอนแรกบอกว่าจะไม่ยอมทิ้งเจ้าเตไปไหนไง... แบบนี้มันโกหกกันชัดๆ เลยนี่...

“ดะ...เดี๋ยวสิ!” ผมเรียกเขาเอาไว้ ในขณะที่ร่างสูงกำลังจะเดินออกไป

เชนชะงักฝีเท้า และรอฟังว่าผมจะพูดอะไร แต่... ให้ตาย! ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ และในเมื่อรออยู่นานผมก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงจึงเดินไปหยิบเสื้อช็อปของตัวเองมาสวมเอาไว้ลวกๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย

ปัง

ทันทีที่เชนออกไปจากห้อง ผมก็รู้สึกหมดแรงจนต้องนั่งลงกับพื้นห้องน้ำอย่างหมดสภาพ มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวตัวเองเบาๆ รู้สึกได้ว่าแรงกดจากคางของอีกฝ่ายยังอยู่ตรงนี้ แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม อยู่ๆ หัวใจของผมที่เหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วครู่ก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องยกมือขึ้นมากุมมันไว้ หวังจะให้มันเต้นช้าลงบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงจะหัวใจวายตายแน่ๆ 

ตอนนี้ความรู้สึกในใจของผมมันสับสนปนเปกันไปหมด จนผมไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองมันเป็นยังไงกันแน่ ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง... รู้แต่ว่าที่มาของความรู้สึกบ้าๆ นี่มันมาจากผู้ชายคนเดียวทั้งหมด... เป็นเพราะเขานั่นแหละ ที่ทำให้ผมเป็นเหมือนคนเสียสติเข้าไปทุกที... เป็นเพราะเขา ที่ทำให้ผมสับสนกับตัวเองจนแทบจะบ้าตายแบบนี้

ให้ตายเถอะ นี่ผมปล่อยให้ผู้ชายคนนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของผมได้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...




------------------------------
งานท่วมหัวแล้วค่ะ
ใกล้ตายเต็มที ฮืออออ

 :katai1:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 31-03-2016 21:39:33
สู้ๆค่ะจะรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 31-03-2016 22:05:58
งานท่วมหัวต้องคว่ำโต๊ะค่ะ 5555555

เคลียร์งานก่อนก็ได้ค้า ถ้ายุ่งมากจริงๆ เด๋ยวงานไม่เสร็จโน๊ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-04-2016 00:04:34
 :katai2-1: ชอบ สนุก อ่านแล้วปล่อยวางไม่ได้
อ่านติดต่อ จนทัน  :mew1:
ติดงอมแงมเลย  :z3:
ไร้ท แต่งเก่งมาก ลงเยอะๆจุใจดี ชอบ  :L1: :L1: :L1:
รอทั้งคู่คบกัน  :กอด1:
 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 14 [ 31/03/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 02-04-2016 00:34:51
เป็นเรื่องราวที่สนุกน่าติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 15 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-04-2016 16:41:35
15
การตัดสินใจที่ผิดพลาด
 

สองวันแล้วที่ผมกับเชนไม่ได้คุยกันอีกเลย...
เขาไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง และไม่ได้บอกว่าจะไปค้างที่ไหน เราเจอกันตอนซ้อมดนตรี แต่หมอนั่นก็ไม่ได้ทักทาย หรือพูดคุยกับผมเหมือนอย่างปกติ อาจเป็นเพราะเวลามันไม่เอื้อให้เราคุยกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตลอดหลายชั่วโมงที่อยู่ในห้องซ้อม หมอนั่นก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเบส และถามเทคนิคจากวินจนอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่จะสอนแล้ว (ผมเคยบอกใช่มั้ย ว่าทักษะด้านดนตรีของเขาสูงปรี๊ดอย่างน่าหมั่นไส้มาก) ในขณะที่ผม ก็ถูกเตอร์เคี่ยวเข็ญให้ซ้อมแทบจะทุกวินาทีเพราะการแข่งใกล้เข้ามาแล้ว

สำหรับเพลงเร็วผมไม่มีปัญหาหรอก เพราะพอจำคอร์ดได้ผมก็เริ่มเล่นได้อย่างสบายๆ แต่กับเพลงช้านี่สิ... ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลายๆ ท่อนของเพลง มันทำให้ผมเสียสมาธิจนเผลอเล่นหลุดจังหวะในแทบจะทุกครั้งที่ซ้อมเลยจริงๆ

“ช่วงนี้มึงกับกวาวดูสนิทกันกว่าปกตินะ” เสียงไอ้เวสถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋า
ผมชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า “อือ กูกับกวาวกำลังคบกันอยู่”

“ฮะ!!” ไอ้เวสช็อกไปตามคาด มันแทบจะกระโดดเข้ามาหน้าชิดผม พร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ “มึงโม้ป่ะเนี่ย!?”
ผมดันหน้าออกด้วยความกลัวเล็กๆ “เปล่า กูพูดจริง”

“เชี่ยยย ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยวะ” มันยังคงทำตาโตจนผมกลัวว่าลูกตามันจะหลุดกระเด็นออกมา

“ก็กูไม่บอก กวาวไม่บอก แล้วมึงจะรู้ได้ไง” ผมตอบแบบขอไปที ก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เตรียมตัวกลับหอ
ไม่แปลกที่ไอ้เวสมันจะช็อกขนาดนั้น เพราะเรื่องที่ผมกับกวาวคบกัน แทบจะไม่มีใครในสตูดิโอรู้เลย นอกจากเพื่อนสนิทในกลุ่มของกวาวแค่คนสองคน แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรหรอกนะ เพียงแต่ มันยังไม่มีใครถามขึ้นมาเท่านั้น

“แล้วมึงไปชอบกันตอนไหนวะ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นของไอ้เวสถามประโยคที่ทำเอาผมถึงกับเงียบไป

นั่นสินะ...

“ตรี” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามไอ้เพื่อนตัวดี เสียงหวานของคนที่กำลังพูดถึงก็ดังขึ้นมา ทองกวาวยืนยิ้มห่างออกไปไม่ไกล ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสเหมือนเช่นทุกวัน

“โห กำลังพูดถึงก็มาเลย” ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าเป็นเสียงไอ้เพื่อนจอมสอดที่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “จะไปสวีทกันที่ไหนเหรอจ๊ะ”
               
ผมอยากจะหันไปฟาดปากไอ้เวสด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำเพียงหันไปถลึงตาใส่มันเท่านั้น รู้งี้ไม่น่าบอกแม่งเลย
               
“ไปเหอะกวาว” ผมรีบตัดบทก่อนที่ไอ้ตัวแสบจะเอ่ยแซวอะไรออกมาอีก ทองกวาวที่ยืนทำหน้างงอยู่จึงพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินตามผมออกจากสตู
               
วันนี้ผมกับกวาวมีนัดกินข้าวเย็นกัน ก่อนที่ผมจะต้องไปส่งเธอที่หอ ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งที่สองเองมั้ง ที่เรากินข้าวด้วยกัน ปกติแล้วเราจะต่างคนต่างแยกกันไปกินกับเพื่อนในกลุ่มตามความเคยชินมากกว่า
               
“เมื่อกี้เวสป้าพูดเรื่องอะไรเหรอ” ขณะที่กำลังจะเดินไปที่รถ ทองกวาวก็ถามขึ้นมา
               
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบปัด เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี
               
ทองกวาวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีกรอบ “เรื่องของเราหรือเปล่า”
               
เมื่อถูกถามตรงประเด็น ผมจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพยักหน้า “อืม”
               
“ตรีบอกเวสป้าว่าเราคบกันเหรอ” คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้ามาถาม ด้วยสีหน้าเหมือนอยากรู้เต็มแก่ ผมเลยหัวเราะกลับไป
               
“ใช่ พอดีมันถามน่ะ ว่าทำไมช่วงนี้เรากับกวาวสนิทกัน เราก็เลยบอกไป” ผมตอบไปตามตรง แต่ไม่รู้ทำไม พอพูดออกไปแล้ว ในใจมันกลับรู้สึกแปลกๆ
               
“อ๋อ” ทองกวาวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะอมยิ้ม “เราคิดว่าตรีอยากเก็บเป็นความลับซะอีก”
               
“ทำไมต้องเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ” ผมเลิกคิ้ว
               
“ก็... เราไม่เห็นตรีเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย คิดว่าตรีอายซะอีก ที่คบกับเรา” เสียงหวานตอบ ใบหน้าเจื่อน 

ผมชะงักไป มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ฮ่ะๆ ทำไมเราต้องอายด้วยล่ะ ไม่มีอะไรน่าอายซะหน่อย ที่เราไม่พูด เพราะไม่มีใครถามต่างหาก”

“อ่อ... แบบนี้นี่เอง” คนตัวเล็กคลี่ยิ้ม สีหน้าเหมือนกำลังโล่งอก

ผมยิ้มตอบ “ขอโทษนะ ที่ทำให้เข้าใจผิด เอางี้มั้ย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะเป็นคนบอกเพื่อนในสตูฯ เองว่าเรากับกวาวกำลังคบกันอยู่ กวาวจะได้สบายใจไง” ผมเสนอ แต่ทองกวาวกลับส่ายหน้าพัลวัน

“ไม่หรอก เราผิดเองแหละที่คิดมาก ตรีไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เราเขิน” ใบหน้าขาวใสเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอย่างที่ว่า “คนรู้น้อยๆ ก็ดีเหมือนกันแหละ จะได้ไม่โดนล้อไง”

“นั่นสินะ” ผมยิ้มตอบ แต่ในใจกลับคิดว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะถ้าไอ้เวสรู้ ก็เท่ากับคนทั้งสตูฯ (หรืออาจจะทั้งคณะ) ต้องรู้

ผมกับกวาวไม่ได้คุยอะไรต่อ จนกระทั่งเดินมาถึงรถ คนตัวเล็กจึงถามขึ้นมา “วันนี้เราจะกินอะไรกันดี”

“กวาวเลือกเลย” ผมบอก พร้อมกับเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดฝั่งตัวเองและประจำหน้าพวงมาลัย

“เรานึกไม่ออก ตรีช่วยคิดหน่อย” คนตัวเล็กบอกพลางขมวดคิ้วหนัก ผมหัวเราะ และพยายามนึกบ้าง

“เออ เราได้ยินว่าตรีทำกับข้าวเก่งนี่ ใช่มั้ย?” แต่แล้วเสียงหวานก็เปลี่ยนประเด็นคำถามขึ้นมา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทำไมเหรอ” ผมเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“เราอยากกินกับข้าวฝีมือตรี ^^” รอยยิ้มกว้างกับคำพูดตรงไปตรงมานั่นทำเอาผมชะงักไปอีกรอบ

“เอ่อ... จะดีเหรอ?” ผมถามเสียงเบา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังกลัวอะไรอยู่

“ทำไมอ่ะ ไม่อยากทำเหรอ” ร่างเล็กเลิกคิ้วมองด้วยสีหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกผิดแปลกๆ

“เปล่าหรอก... ได้สิ เดี๋ยวเราทำให้กิน แต่ถ้าไม่อร่อยห้ามโทษเรานะ” ผมแสร้งพูดติดตลก และเบือนหน้ากลับมาขับรถ ขณะที่ในใจกำลังรู้สึกประหลาด เมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะพาแฟนไปที่ห้อง

มันเป็นความรู้สึก...หวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
 

ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องแย่มากที่แวบหนึ่งในความคิดผมรู้สึกว่าผมไม่สะดวกใจที่จะพาทองกวาวมาที่ห้อง ทั้งที่เธอเป็นแฟนผม และมันคงเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นแฟนกันจะมาเยี่ยมเยียนห้องของอีกฝ่าย แถมมันไม่ใช่สถานการณ์ล่อแหลมหรือน่าเป็นห่วงอะไรเลย เราแค่มากินข้าวเย็นกันเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ผมต้องกังวลเลย

เพียงแต่ว่า...

“ตรี เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีตั้งแต่อยู่ในรถแล้ว” กวาวชะโงกหน้ามาถาม เรียกสติให้ผมหันกลับไปมองใบหน้าหวานใสของเธออีกครั้ง

“ปะ...เปล่านี่” เสียงผมอึกอักอย่างปิดไม่มิด

ทองกวาวขมวดคิ้ว ดูก็รู้ว่าเธอไม่เชื่อ แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนั้นแล้วจริงๆ

“ตรี” เธอเรียกผมอีกหนด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นกังวล “ถ้าไม่อยากให้เราไปที่ห้อง บอกตรงๆ ก็ได้นะ”

“...” คำพูดแทงใจดำและท่าทางรู้สึกผิดของกวาวทำเอาผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่สมองจะสั่งให้ผมพูดอะไรสักอย่างออกไป

“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น... คือ ห้องเรามันรกมากๆ น่ะ เราก็เลย...อายนิดหน่อย” ผมแก้ตัว

โกหกอย่างน่าสมเพชอีกแล้ว

แต่มันอาจจะดีแล้วล่ะที่พูดไปแบบนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่าทองกวาวมีสีหน้าโล่งใจขึ้น เธอยิ้มขำก่อนจะตีแขนผมเบาๆ “แค่นี้เอง? ไม่เห็นเป็นไรเลย เด็กคณะเราจะมีสักกี่คนที่ห้องสะอาด จริงมั้ย?”

“นั่นสินะ” ท่าทางไร้เดียงสานั่นทำเอาผมตอบอะไรไม่ได้นอกจากเออออ

“เรามาดูกันดีกว่า ว่าห้องตรีกับห้องเราใครจะรกกว่ากัน” กวาวว่าพลางหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผมเริ่มขมวดคิ้วหนักขึ้น เมื่อรู้ดีว่าอีกเพียงไม่กี่ก้าว เราก็จะถึงที่หมายแล้ว

“นี่ห้องตรีเหรอ?” คนตัวเล็กถามอีกรอบ เมื่อเห็นผมหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง

“อืม” ผมตอบยิ้มๆ พลางหยิบกุญแจออกมาไข

รู้สึกเลยว่ามือของตัวเองมันทำงานช้ากว่าปกติ มันอาจเป็นเพราะในใจผมกำลังลังเลว่าควรจะไขเข้าไปดีหรือเปล่า แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะหันหลังกลับก็คงไม่ทัน ได้แต่หวังว่าหลังประตูบานนี้จะมีเพียงห้องว่างเปล่าของผมเท่านั้น เพราะผมไม่รู้จะอธิบายหรือทำตัวยังไงจริงๆ ถ้าเกิดเปิดประตูเข้าไป และพบว่า ‘หมอนั่น’ อยู่ด้านใน

แกรก

...

แต่พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างผมเลยสักครั้ง... นั่นแหละความจริง

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา กลิ่นบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งอยู่เต็มห้อง ก็ทำเอาผมอยากจะปิดประตูลงอีกครั้งแล้วหายตัวไปจากตรงนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเตอยู่บนเตียง รู้ตัวและหันกลับมาสบตากับผมแล้ว

“...”

“...” ไม่มีคำพูดใดๆ เกิดขึ้นระหว่างผม กับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น เขาเพียงหันมาสบตาผมนิ่งๆ ขณะที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่ ส่วนผมก็ตกใจกับการมีอยู่ของเขาจนไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน

“ไหน ไม่เห็นจะรกเลย” จนกระทั่งทองกวาวแทรกผ่านร่างผมเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงเล็กๆ แสดงความตื่นเต้นนั่นที่ทำให้เวลาที่เหมือนจะหยุดนิ่งไป กลับมาหมุนอีกครั้ง

เธอมองสำรวจไปทั่วห้อง ก่อนจะชะงักไป เมื่อเห็นร่างสูงที่ยังคงสบตากับผมอยู่

“พะ...พี่เชน?” น้ำเสียงประหลาดใจ และแววตางุนงงที่หันกลับมามอง ทำให้ผมรู้ตัวว่าควรพูดอะไรสักอย่างออกมา

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีเรา...อยู่กับเขา...ชั่วคราวน่ะ” ผมตอบอึกอักและเสียงเบากว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้มาก พร้อมกับเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคมกริบตรงหน้าแล้ว

“ชั่วคราวเหรอ?” ทองกวาวยังคงทำหน้างุนงง

เป็นผมก็คงงงและไม่เข้าใจเหมือนกันนั่นแหละ ที่อยู่ๆ ก็ได้รู้ว่าแฟนตัวเองมีรูมเมตเป็นผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไร สถานะระหว่างผมกับเชนที่กวาวรู้คือเขาเป็นพี่รหัสของไอ้ซัน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกทีเท่านั้น ถ้าจะให้อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด มันคงจะซับซ้อนน่าดู

ผมควรบอกยังไงดีนะ…

“หึ” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะนึกคำพูดที่เหมาะสมออก ร่างสูงที่นั่งนิ่งประเมินสถานการณ์อยู่นานก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ พร้อมกับคีบบุหรี่ออกจากริมฝีปากบางเบื่อดับมันลงกับที่เขี่ยบุหรี่ข้างเตียง ก่อนจะลุกขึ้น และเดินมาหาพวกเราช้าๆ “พอดีฉันมีปัญหาเรื่องเงินน่ะ ก็เลยมาขออาศัยหมอนี่อยู่”

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาโกหก...ทำไมกัน??

แต่พอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นิ่งสนิทจนกลายเป็นเย็นชาคู่นั้น ผมก็รู้ว่าตัวเองควรหลบสายตาลงอีกครั้ง เพราะอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่ทำให้ไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้ายังไง

นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย

“ตรีนี่...ใจดีจังเนอะ” ทองกวาวพูดอึกอักอย่างพยายามทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่กำลังก่อตัวขึ้นมา
ไม่จริงเลย ผมไม่ใช่คนใจดีเลยสักนิด

“นั่นสิ” แต่ยังไม่ทันจะแย้งอะไร เสียงทุ้มของอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ร่างสูงปรายตามองผมด้วยสายตาอ่านยากขณะที่มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมา “ขนาดกับแค่คนรู้จัก ก็ยังทำดีด้วย หายากนะผู้ชายอย่างนี้”

เป็นรอยยิ้มร้ายกาจที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บไม่แพ้คำพูดประชดประชันอย่างจงใจนั่นเลย

“แฟนนายน่ารักดีนี่” เขายังคงแสยะยิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลยแม้แต่นิด

“...” พอเห็นว่าผมได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร ร่างสูงก็หัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะหมันตัวกลับไปหยิบกระเป๋ากีตาร์ของตัวเองที่วางไว้ข้างเตียงขึ้นมาสะพายไหล่ พลางล้วงบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด

“ขอตัวก่อน ขอโทษที่ขัดจังหวะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพ่นควันสีขาวออกจากปาก ก่อนที่ร่างสูงจะเดินผ่านผมไปอย่างช้าๆ โดยไม่แม้แต่จะปรายตากลับมามองผมที่ได้แต่ยืนใบ้กินอยู่ตรงนี้เลยสักนิด

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ทั้งๆ ที่ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจแบบนั้นมาหลายครั้ง...เห็นท่าทางและสายตาเย็นชาอย่างน่ากลัวแบบนั้นมาเป็นร้อยๆ หน แต่คราวนี้ความรู้สึกมันกลับต่างออกไป

และไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ทั้งน้ำเสียง รอยยิ้ม ท่าทาง โดยเฉพาะดวงตาที่แสนเย็นชาคู่นั้น

ผมไม่ชอบเอาซะเลย...
 
               
เวลาผ่านไป
               
ผมรู้สึกผิดต่อทองกวาวจริงๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจเธอเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เธอพยายามชวนคุยและทำตัวร่าเริงตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ผมกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเท่าไหร่เลย ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเอาแต่เหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้สนใจคนตรงหน้า จนกระทั่งทองกวาวออกปากถาม และบอกให้ผมพักผ่อนเพราะคิดว่าผมอาจจะกำลังเหนื่อยจากการเรียน ผมไปส่งทองกวาวที่หอโดยไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง บรรยากาศเงียบเชียบจนคนตัวเล็กที่พูดคนเดียวจนเมื่อยปากต้องขอเปิดเพลงกลบความเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นในหัวของผมก็มีเรื่องมากมายให้คิดจนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเพลงที่ดังอยู่ในรถ เป็นเพลงอะไร
               
หลังจากส่งทองกวาวเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมทันที แน่นอนว่าผมไปถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร พวกเราเริ่มซ้อมทันทีที่ผมมาถึง นั่นทำให้ผมไม่ได้ทำในสิ่งที่คิดจะทำ...
               
“ขอใหม่” เตอร์พูดเสียงเครียด หลังจากที่เราหยุดเล่นกลางเพลงเป็นรอบที่สี่
               
ไม่ต้องบอกก็รู้ตัวว่ามันเป็นความผิดของผมอีกแล้ว
               
ตลอดการซ้อมผมวอกแวกจนโดนดุหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามตั้งสมาธิยังไง มันก็อดไม่ได้ที่จะหลุดคิดเรื่องอื่นทุกที ยิ่งสายตาผมเหลือบไปเห็นร่างสูงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเบสด้วยท่าทางเคร่งเครียดกว่าปกติ ผมก็ยิ่งเสียสมาธิจนแทบจะเล่นไม่ได้

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องหันไปมองเชนบ่อยๆ อาจเป็นเพราะในใจของผมตอนนี้มันร่ำร้องว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะคุยอะไรด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าควรเริ่มบทสนทนายังไงในสถานการณ์อันคลุมเครือน่าสับสนนี้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะถามเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาว่าท่าทางพวกนั้นของเขา...มันหมายความว่ายังไง
               
“พอๆ พอเลย!” เตอร์โวยขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่เรายังเล่นได้ไม่ถึงครึ่งเพลง เขาหันกลับมากอดอกใส่พวกเราพลางขมวดคิ้วแน่น “ไอ้ตรี มึงเล่นผิดนะ” เขาบอกนิ่งๆ เป็นคำที่ผมได้ยินเป็นรอบที่ห้าของวัน
               
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้ายอมรอบผิด
               
เตอร์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคน “ส่วนไอ้เชน มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ มีสมาธิหน่อยดิ” เตอร์ทำหน้าเครียดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ขณะที่มองเพื่อนของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
               
อย่างที่บอกว่าผมแทบจะไม่มีสมาธิเลย จึงไม่รู้ว่าเชนเล่นผิดร้ายแรงขนาดไหน อย่างที่รู้กันว่าฝีมือด้านดนตรีของเชนเป็นที่ยอมรับของคนในวงแค่ไหน ต่อให้เขาไม่มาซ้อม ก็แทบจะไม่ถูกตำหนิ เพราะรู้ดีว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นในการซ้อมครั้งต่อไป แต่คราวนี้ดูจากสีหน้าของเตอร์แล้วเขาดูเหลือทนแล้วจริงๆ
               
“...” ผมเหลือบมองคนถูกดุที่ยังคงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยอ่านยากเช่นเคย
               
“มึงมีปัญหาอะไรวะ ปกติไม่เป็นงี้นี่หว่า” เตอร์ถามหลังจากถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
               
คราวนี้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเองก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เช่นกัน มือเรียวหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางจุดสูบขณะที่เงยหน้ามองเพื่อนของตัวเอง “กูไม่อยากเล่นเพลงนี้” เขาตอบนิ่งๆ ท่าทางไม่ยี่หระ
               
“ไม่อยากเล่นเหี้ยอะไร!” เตอร์เริ่มเสียงดังจนผมเผลอสะดุ้ง “เพลงนี้มึงเป็นคนแต่งนะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากเล่น แล้วหมาตัวไหนมันจะอยากเล่นวะ!” ผมไม่เคยเห็นเตอร์ขึ้นเสียงมาก่อน ถึงแม้ท่าทางปกติของเขาจะไม่ได้ดูเป็นมิตรนัก แต่ท่าทางตอนโกรธก็ดูน่ากลัวซะจนผมแอบลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เลยทีเดียว
               
ผมหันไปมองคนอื่นที่เหลือซึ่งเริ่มหยิบบุหรี่ออกมาสูบท่าทางเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ทุกคนต่างมองไปที่เชนอย่างรอคอยคำอธิบาย แต่ตัวต้นเหตุก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านเลย เขายังคงยืนนิ่ง ไม่คิดจะพูดอะไร
               
“เออ ถ้ามึงไม่อยากเล่น พวกกูก็จะไม่เล่น” ในที่สุดเตอร์ก็เอ่ยออกมาหลังจากปล่อยให้ห้องเงียบ มีแต่กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอยู่พักใหญ่ ท่าทางเขาดูไม่ได้เย็นลงเลย แต่ก็คงรู้ดีว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
               
“แล้วถ้าจะยังเล่นห่วยแบบนี้อยู่ ก็ไม่ต้องข่งไม่ต้องแข่งแม่งหรอก ขายขี้หน้าว่ะ” พูดจบเตอร์ก็โยนไมค์ไว้ที่โซฟา ก่อนจะเดินออกจากห้องซ้อมไปด้วยท่าทางหัวเสียอย่างน่ากลัว
               
ต้ากับวินที่ได้แต่นิ่งเงียบอยู่นานก็พากันเดินออกจากห้องซ้อมไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน ผมได้แต่ยืนนิ่งขณะที่ต้าเดินมาตบบ่าเบาๆ เหมือนจะปลอบใจ แต่ตอนนี้สายตาของผมไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย นอกจากร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอัดควันเข้าปอดอยู่ตรงหน้านานนับนาทีก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะถอดเบสวางลงกับพื้นอย่างลวกๆ
               
“เดี๋ยวสิ” และไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปล่งเสียงเรียกเขา ขณะที่ร่างสูงทำท่าว่าจะเดินออกไปอีกคน
               
“...” แต่เมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสนเย็นชาคู่นั้นปรายตามองกลับมา ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก ราวกับมีใครเอามือมาอุดปากอีกครั้ง
               
สายตาคู่นั้น เหมือนกับจะเตือนให้รู้ว่า...อาจเป็นเพราะผมก็ได้ที่ทำให้การซ้อมวันนี้มันพังเละเทะไม่เป็นท่า
               
ปัง
               
และวินาทีที่เหลือเพียงผมคนเดียวภายในห้องซ้อมที่ว่างเปล่า มันก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า 
               
ผมไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่แรก...




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-04-2016 16:48:16
16
ชัดเจน
               
               
วันต่อมา
               
ไม่มีใครกลับมาที่ห้องซ้อมอีกหลังจากตอนนั้น...
               
ผมรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงอยู่ซ้อมต่อคนเดียวจนดึก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าต่อให้ซ้อมจนนิ้วหักก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เทคนิค หรือความยากของเพลงเลยสักนิด ปัญหามันเกิดจากตัวผมเองต่างหาก ผมจะสามารถทำให้มันดีได้ยังไง ในเมื่อในหัวมีเรื่องสับสนวุ่นวายขนาดนี้
               
ผมตัดสินใจหยุดซ้อมและกลับมาที่หอตอนเที่ยงคืน แต่ไม่เห็นวี่แววของเชนเลย มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไม่กลับมา แต่วันก่อนๆ ผมยังเข้าใจว่าเขาอาจจะไปค้างกับใครสักคนในวง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อคืน ผมเดาว่าคนทิฐิสูงอย่างเขาคงไม่คิดแบกหน้าไปขอค้างกับใครง่ายๆ แน่ ผมจนปัญญาที่จะเดาว่าเขาหายไปไหน จะโทรหาก็ไม่กล้า... เลยได้แต่บอกให้ตัวเองเลิกคิดและนอนพักผ่อนซะ
               
แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย
               
กว่าผมจะข่มตาหลับได้ก็ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว โชคดีที่วันนี้มีเรียนตอนบ่าย การนอนเช้าก็เลยไม่เป็นปัญหานัก เชนยังไม่กลับมาแม้ว่ามันจะเป็นตอนบ่ายแล้วก็ตาม มันทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะถ้าเป็นปกติ ถึงเขาจะไม่ได้กลับมาค้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
               
ผมเหลือบมองตู้เสื้อผ้าที่ครึ่งหนึ่งมีเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมยังจำได้เรื่องที่เขาบอกว่าจะย้ายออกภายในอาทิตย์หน้า ถึงใจหนึ่งจะคิดว่ามันคงดีแล้วที่เขาย้ายออกไป ห้องผมจะได้กลับมาเป็นของผมเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม พอคิดภาพว่าเสื้อยืดสีพื้นกับกางเกงยีนแบบซ้ำๆ ที่กินเนื้อที่ครึ่งตู้นี้กำลังจะหายไป
               
มันก็รู้สึก... เสียดายอย่างบอกไม่ถูก
               
เมี้ยว~
               
เสียงร้องของเจ้าเตดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวเล็กๆ วิ่งมานั่งข้างเท้าผมพร้อมกับจ้องตาแป๋ว มองผมที่กำลังยืนถอนหายใจด้วยท่าทางซังกะตาย
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ กับความน่าเอ็นดูของมัน ก่อนจะนั่งลงลูบหัวเจ้าดูเล็กที่เริ่มยกขาขึ้นมาเลีย เจ้าเตโตขึ้นมากตั้งแต่วันแรกที่เก็บมา แถมยังกินจุมากจนจากแมวแทบจะเปลี่ยนเป็นหมูอยู่แล้ว แต่เจ้าเตก็ยังเป็นเจ้าเต แมวหน้ามึนจอมขี้เกียจที่มักจะเข้ามาทำตัวน่ารักเวลาที่ผมไม่สบายใจเสมอ ราวกับอ่านใจผมออก
               
เมี้ยว~
               
มันร้องอย่างพึงพอใจและหลับตาพริ้มขณะที่ผมเลื่อนมือลงไปเกาคางให้มัน ก่อนที่ผมจะชะงัก เมื่อสังเกตเห็นว่าปลอกคอสีน้ำตาลของมัน มีขนาดที่ใหญ่และดูใหม่ขึ้น... เพราะเป็นสีน้ำตาลเหมือนเดิม ทำให้ผมไม่ทันสังเกต ว่ามันเป็นของใหม่  คงเป็นหมอนั่นสินะ ที่ซื้อมาให้เพราะเห็นว่าเส้นเก่ามันเล็กและอึดอัดเกินไปแล้วสำหรับเจ้าเต 

“นี่” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะที่ไล้นิ้วไปตามปลอกคอที่เจ้าเตสวมอยู่เบาๆ พร้อมกับจินตนาการว่าคนคนนั้นจะมีสีหน้าแบบไหน ตอนที่ได้เลือกปลอกคอใหม่ให้ลูกชาย “ถ้าหมอนั่นไม่อยู่แกคงจะเหงาสินะ”

...

แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าตัวเล็กที่ยังเลียขาของตัวเองด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงจะพูดกับมัน

“แกคงจะคิดถึงเขาใช่มั้ย” ผมยิ้ม โดยที่ไม่รู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมา จนผมต้องเผลอพูดออกไป

...

“ฉันก็คงคิดถึงเหมือนกัน”
 

กว่าผมจะจัดการตัวเองเสร็จเวลาก็ปาไปบ่ายกว่าๆ แล้ว เหลืออีกประมาณสิบนาทีก็จะถึงเวลาเรียน ผมเลยตระหนักได้ว่าควรรีบหน่อย ผมแบกงานที่ต้องส่งวันนี้ไปที่รถโฟล์คสีน้ำเงินของตัวเองด้วยความเร่งรีบ ผมประมาทเกินไปที่มัวเอ้อระเหยจนเวลามันผ่านไปนานขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเป็นคนเผื่อเวลาเสมอแท้ๆ

แต่ความคิดแวบหนึ่งของผม มันกลับบอกว่าถ้าผมยังอยู่ที่หออีกสักพัก อาจจะได้เจอหมอนั่นก็ได้...

แปลกชะมัด ที่ผมคิดแบบนั้น ถึงมันจะแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่ผมไม่นึกเลยว่าเรื่องที่ตัวเองค้างคาใจมันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ต้องรอเขาจนทำให้ไปเรียนสาย

มันก็แค่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจท่าทางอารมณ์เสียของเขาเมื่อวานเองนะ...

ผมแค่จะถามเขาว่าเป็นอะไรเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?

ให้ตาย ผมละไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ บางทีผมอาจจะนอนน้อยจนเสียสติไปแล้วก็ได้
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพื่อลบความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไป สิ่งที่ผมควรจะสนใจตอนนี้ก็คือ การขับรถให้เร็วที่สุดเพื่อไปเรียนให้ทันเท่านั้น

แต่พระเจ้าต้องเกลียดผมแน่ๆ ถึงได้แกล้งให้อยู่ๆ รถโฟล์คสีน้ำเงินสุดรักของผมสาร์ทไม่ติดขึ้นมาซะอย่างนั้น

“บ้าชิบ” ผมสบถขึ้นมาอย่างหัวเสีย หลังจากที่พยายามบิดกุญแจอีกหลายรอบ เจ้ารถเกเรก็ไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทติด
               
ผมเดินลงมาเปิดกระโปรงรถเพื่อเช็กว่ามีอะไรเสีย แต่ผมไม่ใช่ช่าง และความรู้เรื่องการซ่อมรถก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่สมองอันน้อยนิดจะยัดเข้าไปได้ ทำให้ผมดูไม่ออกว่ามันเป็นอะไร ผมล่ะอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความหงุดหงิด แต่ก็เลือกทำแค่ถอนหายใจเบาๆ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรหาไอ้เวสป้าให้มันมันมารับ ถึงแม้นั่นจะหมายความว่าผมจะต้องรอให้มันเช็กชื่อก่อนแล้วค่อยออกมารับผมซึ่งต้องไปเรียนสายแน่ๆ แล้วก็ตาม
               
เอี๊ยด!
               
ยังไม่ทันที่ไอ้เพื่อนตัวดีจะรับสาย เสียงล้อรถที่เบียดกับพื้นด้านหลังก็ทำให้ผมหันกลับไปมองด้วยความงุนงงว่าใครกันที่มาหยุดรถในระยะประชิดจนเกือบจะเฉี่ยวหลังผมแบบนี้

แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เปิดหมวกกันน็อกสีดำขึ้นมา ก็ทำเอาคำด่าและความหงุดหงิดของผมมลายหายไปอย่างไร้เหตุผล

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่ง มองร่างสูงที่นั่งคร่อมอยู่บนสปอร์ตไบค์สีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า

เขายังใส่ชุดเดียวกับเมื่อวานอยู่จริงๆ ด้วยแฮะ...

“กำลังจะไปเรียนเหรอ” เสียงทุ้มอู้อี้ที่ดังลอดหมวกกันน็อกออกมาทำให้ผมได้สติและพยักหน้าเบาๆ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องผมนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกที่สวมอยู่ โยนให้ผมซึ่งรับได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงแกมบังคับด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่ผมเดาอารมณ์ไม่ออกเช่นเคย

“ขึ้นมา”
 

เวลาผ่านไป

ผมไม่เคยรู้สึกอายขนาดนี้มาก่อน...
               
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ เพราะเพื่อนผมส่วนใหญ่ก็ใช้มอเตอร์ไซค์กันทั้งนั้นเพราะมันสะดวกกว่าเวลารีบๆ แต่สปอร์ตไบค์เนี่ย... ภาพในหัวของผมคือปกติส่วนใหญ่เขาจะอนุญาตให้เฉพาะผู้หญิงสวยๆ ซ้อนกันไม่ใช่หรือไง...
               
ผมพยายามนั่งตัวตรงตลอดทาง แม้ว่าใจจริงจะอยากซุกตัวลงไปเพื่อทำตัวให้เล็กที่สุดก็ตาม แต่ถ้าทำแบบนั้นภาพที่ร่างของผมแนบชิดไปกับแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า มันคงจะดูประหลาดกว่าตอนนี้มาก

โชคดีที่เชนให้หมวกกันน็อกผมมาใส่ จึงมั่นใจได้ว่าคงไม่มีคนเห็นหน้าผมแน่ๆ (ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้ามีคนรู้จักมาเห็นผมตอนนี้ จะโดนล้อขนาดไหน) แต่การที่เขาสละหมวกกันน็อกให้ผม ทำให้ไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังขมวดคิ้วเข้มเพราะแสงแดดเมืองไทย กลับยิ่งดึงดูดสายตา ให้คนรอบข้างหันมามองทุกครั้งที่เราติดไฟแดง จนผมอยากจะเปลี่ยนใจถอดหมวกแล้วสวมมันกลับไปให้เขาแทน

ให้ตาย ผมล่ะอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลยจริงๆ

ไม่นานสปอร์ตไบค์สีดำก็แล่นเข้ามาในคณะที่อยู่ห่างไกลที่สุดของมหาวิทยาลัย เชนจอดรถที่ลานจอดอันเงียบเชียบเพราะเวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในห้องเรียน ผมก้าวลงจากรถด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เพราะมือทั้งสองข้างถือโมเดลกับกระดาษเขียนแบบอยู่ และมันยิ่งลำบากไปอีกเมื่อผมต้องถอดหมวกกันน็อกสีดำใบโตบนหัวคืนร่างสูงที่ยืนค้ำมอเตอร์ไซค์รออยู่

ป๊อก!

ขณะที่ผมกำลังเงอะงะพยายามหอบของทุกอย่างไปถือไว้มือเดียว เชนก็ก้าวลงมาจากรถ ก่อนที่นิ้วเรียวจะดีดลงมาบนกระจกเบาๆ แต่แรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาก็เล่นเอาผมผงะด้วยความตกใจ

“อยู่เฉยๆ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ขณะก้มลงมาแกะหมวกให้ผมที่ยืนกลั้นหายใจไปแล้ว เพราะใบหน้าของเขามันอยู่ใกล้เกินไป แม้จะมีกระจกกั้นอยู่ก็ตาม

“อะ...เอ่อ ขอบคุณ” ผมพูดอึกอัก พร้อมกับหลบสายตาต่ำลงหลังจากที่หมวกกันน็อกถูกถอดออกไปแล้ว อุณหภูมิบนใบหน้ามันร้อนไปหมดจนผมเริ่มงงว่ามันเป็นเพราะผมเพิ่งถอดหมวกแสนอึดอัดออกไป หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่...

“เดี๋ยวช่วยถือ” ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยออกมา พร้อมกับมือหนาที่แย่งโมเดลจากมือผมไปถือ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร” ผมพยายามจะแย่งคืน แต่คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันนั่น ก็ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้ปฏิเสธยังไงเขาก็ไม่ฟัง

“ทางนี้ใช่มั้ย” สุดท้ายเชนก็ถือวิสาสะเดินนำผมไปยังทางเดินที่น่าจะเป็นทางเข้าคณะ ซึ่งผมก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไป เมื่อเห็นว่าไม่ปริปากห้ามอะไรอีก ร่างสูงก็ชะลอฝีเท้าให้ผมเป็นฝ่ายเดินนำแทน เพราะคณะผมนอกจากจะอยู่ห่างไกลผู้คนแล้ว แปลนยังซับซ้อนมากจนคนภายนอกที่เพิ่งมาครั้งแรกอย่างเขาคงจะงงและหลงเอาง่ายๆ
               
“...”
               
“...” เราต่างก็เงียบกันไปตลอดทางขณะที่เดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าหากเจอกัน ผมจะต้องถามเรื่องเมื่อวาน ถามว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงมีท่าทีหงุดหงิดผิดปกติแบบนั้น และเมื่อคืนเขาหายไปไหนมา...
               
แต่พอเอาเข้าจริง ผมก็ขี้ขลาดเสมอเลย
               
“ขอโทษ” แต่ขณะที่ผมกำลังพยายามรวบรวมความกล้าที่จะถาม อีกฝ่ายกลับเป็นคนพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
               
“?” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วมองเขาอย่างงุนงง
               
เขาขอโทษผมเรื่องอะไร?
               
“เมื่อวาน... ฉันผิดเอง” เขาพูด หลุบตาต่ำลงมองพื้นด้วยใบหน้าคิ้วขมวดราวกับกำลังคิดหนักว่าควรจะพูดยังไง
               
“เรื่องอะไร?” ผมถาม ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาขอโทษในประเด็นไหน เรื่องในห้องซ้อม หรือเรื่องที่เขาแสดงท่าทีประหลาดตอนที่ผมพาทองกวาวไปที่ห้องเมื่อวาน...
               
“ก็...ทุกเรื่องนั่นแหละ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม คิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
               
“ขอโทษที่ทำให้นายโดนไอ้เตอร์ดุ” เขาถอนหายใจหนักๆ และพยายามพูดด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น ผมชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
               
“เรื่องนั้นไม่ใช่ความผิดของนายเลย” ผมรู้ตัวเองดี “เป็นเพราะฉันเองที่เล่นห่วย”
               
“งั้นฉันก็คงห่วยกว่า” เชนแสยะยิ้มขืนๆ เพราะเมื่อวานเขาเองก็โดนดุเหมือนกัน แถมยังโดนหนักกว่าผมเสียอีก
               
ผมหัวเราะ “นายควรไปขอโทษเตอร์มากกว่านะ หมอนั่นหงุดหงิดน่าดูกับเหตุการณ์เมื่อวาน”
               
“รู้แล้วน่า... ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่” เขาตอบอ้อมแอ้มพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเก้อๆ ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังรู้ตัวว่าผิด
               
“จริงเหรอ? หมอนั่นโมโหแบบนั้นบ่อยเหรอ” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ คิดว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอาการหงุดหงิดออกมาเสียอีก เพราะผมไม่ค่อยเห็นเตอร์แสดงอารมณ์อะไรเลย นอกจากทำหน้านิ่งๆ ตั้งอกตั้งใจทำงาน อาจเป็นเพราะผมเพิ่งรู้จักพวกเขาไม่นานล่ะมั้ง
               
“ก็...บ่อย” เชนขมวดคิ้วทำท่านึกอย่างจริงจังเกินไป “ส่วนใหญ่จะเป็นตอนใกล้แสดง อารมณ์เหมือนผู้หญิงตอนเมนใกล้มาล่ะมั้ง” ผมยิ่งหัวเราะดังขึ้นกับการเปรียบเทียบแปลกๆ ของเขา 

“นายนั่นแหละที่เหมือนเมนใกล้จะมา” ผมแย้ง ก่อนจะถาม “แล้วตกลงเมื่อวานเป็นอะไร?”
               
“...” แต่แทนที่จะตอบ ร่างสูงกลับเงียบไป พร้อมกับหยุดเดินจนผมต้องชะงักตามและหันกลับไปทำหน้าสงสัย เชนกำลังมองหน้าผมพลางขมวดคิ้วแน่นด้วยสีหน้าอ่านยากอีกแล้ว

“?” ผมถามอะไรผิดงั้นเหรอ

“เฮ้อ” ผมยิ่งงงหนักไปอีกเมื่อเขาถอนหายใจออกมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาเหมือนกำลังด่าว่าผมทำไมถึงโง่นัก ก่อนที่มือหนาข้างที่ว่างอยู่จะเอื้อมมาขยี้หัวผมแรงๆ ให้ผมที่เสียทรงจากการสวมหมวกกันน็อกยิ่งยุ่งฟูไปกันใหญ่

“ไม่บอก”

“อะ...อ้าว!?” ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองตามร่างสูงที่เริ่มเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นสุดท้าย พยายามคิดว่าเขาหมายความว่ายังไง ซึ่งก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“อ้าวตรี ^^” แต่แล้วก่อนที่ผมจะทันได้ถามต่อ เจ้าของแผ่นหลังกว้างก็หยุดชะงักอีกครั้ง พร้อมกับที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี

“เพิ่งมาเหรอ? ทำไมมาสายล่ะ ปกติตรีไม่เคยมาสายนี่นา” ทองกวาววิ่งเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับตั้งคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากยิ้มแห้งๆ กลับไป

“สวัสดีค่ะพี่เชน” ร่างเล็กยกมือไหว้เขาด้วยท่าทางที่เหมือนเพิ่งสังเกตเห็น “มาทำอะไรเหรอคะ?”

“พอดีรถเราเสีย เขาเลยมาส่งน่ะ” ผมเป็นฝ่ายอธิบายแทน พลางเหลือบมองร่างสูงที่นิ่งไปเลยตั้งแต่เห็นทองกวาว
และไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขา มันกลับมามีแต่ความเย็นชาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เมื่อกี้พวกเรายังคุยกันด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอยู่เลยแท้ๆ

“อ่อ” ทองกวาวพยักหน้าเบาๆ “อันนั้นของตรีเหรอ เดี๋ยวเราช่วยถือแทนนะ จะได้ไม่รบกวนพี่เค้า” ว่าจบร่างเล็กก็เดินเข้าไปหาเชน พร้อมกับดึงโมเดลของผมในมือเขามาถือไว้แทน

“ขอบคุณนะคะพี่”

“...”

“...” ทั้งผมและเชนต่างก็เงียบ ปล่อยให้ร่างเล็กเป็นฝ่ายพูดและยิ้มแย้มอยู่คนเดียว ผมรู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักอย่างในสถานการณ์ที่เริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ อยู่ในสมองกลวงๆ ของผมเลย

“ขอตัวนะ” และก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าของเสียงทุ้มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาแทน

เชนไม่รอให้ผมตอบอะไร และหมุนตัวเดินลงบันไดไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีก ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มอก

อย่างน้อยผมก็ควรจะขอบคุณเขาไม่ใช่เหรอ...

“ตรี ไปเหอะ ป่านนี้อาจารย์รอแล้ว” แต่แล้วความคิดของผมก็ถูกหยุดด้วยเสียงหวานจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของผมอีกครั้ง ซึ่งคนซื่อบื้ออย่างผม ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับและเดินตามร่างเล็กไปโดยไม่พูดอะไร
               
“เออตรี เรายืมมือถือหน่อยดิ” อยู่ๆ ทองกวาวก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เรามาถึงห้องเรียน ซึ่งโชคดีที่กลุ่มผม อาจารย์ประจำกลุ่มยังไม่มา
               
“ทำไมเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถามงงๆ แต่คนตัวเล็กกลับหัวเราะและยื่นมือมาตรงหน้า
               
“เอามาเถอะน่า เราไม่แกล้งตรีหรอก” ถึงท่าทางจะดูไม่น่าไว้ใจ แต่เพราะเป็นทองกวาวที่ไร้เดียงสากว่าใคร ...และเธอคือแฟนของผม ผมจึงตัดสินใจยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธออย่างไม่คิดอะไร
               
ทองกวาวรับมันไปกดอะไรสักอย่างสักพักก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดบ้าง ท่าทางกรุ้มกริ่มของเธอทำให้ผมเริ่มสงสัย แต่ไม่ทันถามอะไร มือเรียวก็ยื่นโทรศัพท์กลับมา
               
และตอนนั้นเอง ที่ผมได้คำตอบแล้วว่าเธอทำอะไรกับโทรศัพท์ผม...
               
จอสมาร์ทโฟนที่ยังคงค้างหน้าเฟสบุ๊ก แสดงให้เห็นสถานะว่า ผมกับทองกวาวกับลงคบกันเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว...
               
“เราแค่อยากลองดู ถ้าตรีไม่ชอบ จะยกเลิกก็ได้นะ” เธอยังคงพูดด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนเคย แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นที่มองมา ก็สื่ออย่างชัดเจนว่า...เธอไม่ได้เอ่ยมันออกมาจากใจจริง
               
ผมยืนชะงักอยู่นานด้วยสมองที่ขาวโพลน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรตอบอะไร จึงยิ้มออกมาบางๆ “ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ชัดเจนดี” ว่าพลางกดล็อกโทรศัพท์และยัดมันลงกระเป๋ากางเกง

ทำเป็นไม่สนใจสเตตัสที่เห็นเมื่อครู่

ทำเป็นไม่สนใจ... ว่าความชัดเจนนั้น มันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ตัว ว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผิดพลาด...




-----------------------------------------------
หายไปหนึ่งวัน เลยอัพสองตอนรวดเป็นการไถ่โทษค่ะ
ขอบคุณวันเสาร์ที่ทำให้มีเวลาพักหายใจบ้าง ฮืออ u_u

มีคนอ่านเพิ่มแล้ว ดีใจ ขอบคุณมากนะคะ
มามะ มาสกรีมพี่เชนเป็นเพื่อนกันค่ะ 5555
ฝากด้วยน้า
ใครเล่นทวิตเตอร์มาติดแท็ก #เชนตรี เม้ามอยกันเถอะ -..-

 :mew1:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 02-04-2016 20:31:47
อยากให้ทั้งสองคุยกันให้รู้เรื่อง สงสารกวาวนิดๆ  :mew5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-04-2016 22:02:57
 :katai1:ตรี รู้ว่าทำผิดพลาด รีบแก้ไขสิ  :เฮ้อ:
เชน ก็ไม่บอกชอบให้ตรีรู้ เลยคลุมเครือ :m16:
ทั้งที่เวลาอยู่ด้วยกันก็รู้สึกดีๆ ให้กัน
 อยากให้คบกันซะที :katai1:
รอ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 03-04-2016 14:17:14
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 17 [ 3/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 03-04-2016 14:46:31
17
ไพ่ตาย
 
               
ผมเดาไม่ผิดจริงๆ ที่คิดว่าสเตตัสนั้นคงจะกลายเป็นทีฮือฮาในหมู่เพื่อน เฟสที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวของผมขึ้นแจ้งเตือนไม่หยุดตลอดวัน พร้อมกับพวกไอ้เวสป้าที่เอาแต่แซวไม่ขาดปาก ผมรำคาญจนไม่รู้จะรำคาญยังไง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าพวกมันอย่างไม่จริงจังนัก และพยายามหนีออกมาจากวงสนทนา
               
ทำยังไงได้ล่ะ ก็ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะลบโพสนั้น เพราะรู้ดีว่าคงจะทำให้อีกคนไม่สบายใจ...
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน ขณะที่เงยหน้ามองตัวเองในกระจกห้องน้ำ
               
ในสตูดิโอยังคงวุ่นวายกับการเม้าท์มอยเรื่องผมกับทองกวาวไม่หยุด ถึงขนาดลากผมกับทองกวาวมาซักไซ้ถามที่มาที่ไปเรื่องความรักของเรา จนผมต้องขอปลีกตัวหนีออกมาและให้อีกฝ่ายเป็นคนรับหน้าแทน
               
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรำคาญไอ้พวกเพื่อนจอมกวนทั้งหลาย
               
แต่อีกส่วนหนึ่ง...เป็นเพราะผมไม่รู้จะตอบคำถามพวกนั้นยังไงต่างหาก
               
ความรู้สึกที่ผมมีต่อทองกวาว มันมีตรงไหนที่ใกล้เคียงคำว่า ‘รัก’ มั้ยนะ...
               
ผมถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดยุ่งยากออกไปจากสมอง ตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองจริงๆ
               
แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าควรจะหันหน้าไปพึ่งใคร...
               
ตึ๊ง~
               
แต่ขณะที่ผมกำลังจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะไม่รู้จะจัดการชีวิตตัวเองยังไง เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วเพราะปกติไม่เคยมีคนทักไลน์มา มันเป็นเหมือนแอพลิเคชั่นไร้ประโยชน์ที่มีไว้ประดับสมาร์ทโฟนราคาแพงของผมเท่านั้น
 
               
‘มึงมีอะไรจะบอกกูมั้ย???’
 

ผมยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเจ้าของข้อความคือไอ้ซัน
 
               
‘หือ?’
 
               
ผมพิมพ์ตอบไปอย่างงงๆ อีกฝ่ายจึงส่งรูปมา... มันเป็นรูปที่แคปมาจากหน้าจอเฟสบุ๊คของผม ซึ่งขึ้นสถานนะกำลังคบกับทองกวาว
 
               
‘จริงจังป่ะวะ?’
               

พอเห็นว่าผมอ่านแล้วไม่ตอบ ซันจึงถามต่อ ผมชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจพิมพ์กลับไป
 

‘จริง’
 

ไอ้ซันเงียบไปนานจนผมเกือบจะคิดว่าบทสนทนาจบลงแล้ว ถ้าหากว่าขณะที่ผมกำลังจะกดออกไม่มีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาเสียก่อน

 
‘แต่มึงเคยบอกกูว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง?’

 
คำถามที่ตอบยากและแสนจะแทงใจดำ...
นั่นสินะ ผมเคยบอกมันไปแบบนั้นนี่นา ตอนนั้นผมมั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถชอบใครได้อีกนอกจากไอ้ซัน เพราะแบบนั้นก็เลยคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถเปิดใจให้ใครอีกแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมจึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ผมกลับกลืนน้ำลายตัวเอง

มันเป็นเพราะอะไร
 

‘ตกลงมันยังไงกันแน่วะ’

‘ไอ้ตรี...’

‘ตอบดิ’

‘ไอ้ตรี!!’

               
ซันพิมพ์อะไรมาไม่หยุด แต่ผมกำลังจมอยู่ในห้องความคิดของตัวเองจนลืมที่จะสนใจ แต่ขณะที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไอ้เพื่อนตัวดีที่เห็นว่าผมไม่ตอบข้อความมันสักที ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับ

[ ทำไมมึงไม่ตอบกู ] น้ำเสียงจริงจังถูกส่งมาทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากทักทาย

“...”

[ ไอ้ตรี ] พอเห็นว่าผมเอาแต่เงียบ มันจึงกดเสียงต่ำลงอย่างกดดัน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบ “กูไม่รู้”
               
[ ไม่รู้เหี้ยอะไร ] มันยังคงทำน้ำเสียงข้องใจ
               
ผมเงียบไปอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไร ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงที่ผมพูดกับมันไปแบบนั้นดีหรือเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าผมกำลังสารภาพกับมันว่าผมโกหก... ผมยังไม่สามารถหยุดรักมันได้อย่างที่พูด
               
และหมายความว่าความเป็นเพื่อนของเราจะถูกทำลายอีกครั้ง

[ ไอ้ตรี ] ไอ้ซันเรียก ผมจับน้ำเสียงกังวลของมันได้ อาจเป็นเพราะมันเองก็จับความรู้สึกกังวลของผมได้เช่นกัน
               
ผมใช้เวลานานในการหาคำพูดที่ดีที่สุดมาตอบเพื่อนรัก แต่มันก็เป็นแค่คำตอบโง่ๆ ของคนที่พยายามจะบ่ายเบี่ยงเอาตัวรอด “เขาแค่มาสารภาพรักกับกู”
               
[ แล้วไง? มึงก็เลยไม่ปฏิเสธ? ] น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความงุนงง
               
“กูปฏิเสธไม่ได้”
               
[ ทำไม? เขาบังคับมึงเหรอ? ]
               
“...” ผมนิ่ง ไม่รู้จะตอบยังไง
               
นั่นสิ เท่าที่จำได้ ตอนนั้นทองกวาวไม่ได้บังคับผม หรือทำอะไรที่เข้าข่ายแบบนั้นเลยสักนิด เธอแค่สารภาพรัก
               
และทำให้ผมนึกถึงตัวเอง...
               
[ มึงชอบเขาเหรอ? ] มันถามคำถามตอบยากอีกครั้ง
               
“เปล่า” ผมตอบคราวนี้ไม่ใช้เวลานานเลย
               
[ งั้นเพราะอะไร? กูเป็นเพื่อนมึงนะ แต่กูไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามึงจะตอบรับรักคนที่มึงไม่ได้ชอบไปเพื่ออะไร ]
               
“เพราะกูกลัวไง” ผมเผลอพูดออกไปทันที เมื่อถูกคาดคั้นจนเริ่มจะจนมุม
               
ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง และตัดสินใจจะตอบคำถามที่ผมเพิ่งจะค้นเจอ ว่าเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไร
               
“กูกลัว... ว่าถ้าปฏิเสธไป เขาจะเจ็บเจียนตาย แบบที่กูเคยเป็น”
               
[ … ] แน่นอนว่าไอ้ซันต้องเงียบไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คำตอบที่คงจะทำให้มันนึกย้อนกลับไปในวันที่ผมสารภาพความรู้สึกกับมัน เหมือนที่ผมกำลังนึกถึง...วันที่หัวใจมันเจ็บจนเหมือนกำลังจะแตกสลาย
               
ไม่แปลกหรอกที่มันจะไม่เข้าใจการกระทำของผม เพราะมันไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของการถูกคนที่รักปฏิเสธ ไม่เคยรับรู้ว่าการรวบรวมความกล้าเพื่อจะสารภาพคำว่า ‘ชอบ’ ออกมามันยากเย็นขนาดไหน ไม่รู้หรอกว่าการเดิมพันหัวใจตัวเองกับคำคำเดียวมันเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะยอมรับคำปฏิเสธ แม้ว่าจะพยายามทำใจยอมรับมากแค่ไหนก็ตาม
               
มันคงไม่มีวันรู้เลย...
               
[ เข้าใจแล้ว ขอโทษนะที่คาดคั้นมึง ] เสียงปลายสายฟังดูอ่อนลง และเจือปนไปด้วยความรู้สึกผิด
               
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร ตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงยังไม่รู้เลย
               
[ แต่ไอ้ตรี มึงแน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ] มันถามขึ้นมา หลังจากที่เราต่างก็เงียบกันไปสักพัก
               
“...”
               
[ มึงไม่คิดเหรอว่าแบบนี้มันอาจจะทำให้เขาเจ็บกว่า ] คำพูดของมันยังคงแทงใจดำจนผมจุกไปหมด [ การที่มึงคบใครเพราะสงสาร มันไม่ได้ทำให้คนที่รักมึง เขามีความสุขจริงๆ หรอกนะเว้ย ]
               
 “...”
               
[ ถ้าตอนนั้นกูยอมคบกับมึง เพราะแค่กลัวว่าถ้าปฏิเสธแล้วมึงจะเสียใจ มึงจะรู้สึกยังไงวะ ]
               
“...”
               
ผมคงเกลียดเขา และที่สำคัญ คงเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนน่าสมเพชขนาดนั้น
               
[ ตอนนี้มึงกำลังทำร้ายทุกคนทางอ้อมด้วยการโกหกความรู้สึกตัวเองอยู่นะ ]
               
“...”
               
[ ถ้ามึงไม่ได้รัก ก็อย่าไปให้ความหวังเขาเลย ] คำพูดนั้นเหมือนจะกรีดลงมาในใจผมอย่างจัง เพราะมันทำให้ผมยิ่งเข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร [ กลับไปคิดให้ดีๆ นะเพื่อน ]
               
ไอ้ซันพูดถูก...ทุกอย่างเลย...คำพูดของมันถูกต้องทั้งหมดจนผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกมาได้อีก
               
มันเหมือนกับสมการคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดถูกไขให้กระจ่างได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งที่ผมพยายามแก้มาหลายวัน คำตอบที่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดในความเป็นจริง แต่ในความคิดของผม... มันคือคำตอบที่ทำให้รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป
               
               
เวลาผ่านไป

ชีวิตที่ผ่านมาของผม มันเรียบง่ายเกินไปจบติดจะน่าเบื่อ เพราะแบบนั้นจึงไม่ค่อยมีเรื่องกลุ้มใจให้ต้องคิดนัก ส่วนใหญ่เลยมักจะเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาแก่คนอื่นมากกว่า ช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามแต่สติปัญญาอันน้อยนิดจะอำนวย และคนที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้บ่อยสุด ก็คงหนีไม่พ้นไอ้ซัน เพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปี ดังนั้นนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่มันเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาผมบ้าง
               
หลังจากที่วางสายจากไอ้ซัน ผมก็จัดการล้างหน้าล้างตา และกลับไปที่สตูดิโออีกครั้ง ตัดสินใจจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดกับทองกวาว ตอนนี้ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันกลับแล้ว มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังตรวจงานไม่เสร็จ
               
“ไอ้ตรี มึงหายไปนานจังวะ คิดว่าตกส้วมไปแล้ว” ไอ้เวสป้าส่งเสียงทักทันทีที่เห็นผม ผมไม่ได้ตอบอะไร และยังคงเดินไปที่โต๊ะของกลุ่มทองกวาว ซึ่งเธอกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ ไม่ทันสังเกตเห็นผม
               
“เย็นนี้มึงกินข้าวไหน ไปกับพวกกูมั้ย” แต่ขณะที่กำลังจะถึง ไอ้เวสกลับเดินมากระโดดกอดคอผมพร้อมกับล็อกไม่ให้เดินต่อเสียก่อน
               
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นนี้กูไปกับกวาว” ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย เป็นจังหวะเดียวกับที่ทองกวาวหันมาเห็นผมพอดี และเธอคงจะได้ยินประโยคนั้นด้วย
               
“แน่ะ ตั้งแต่เปิดตัวต่อสาธารณะชน ก็หวานกันใหญ่เลยนะพวกมึง” ไอ้เวสเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน ทองกวาวส่งยิ้มเขินๆ ให้คนปากดี
แต่เมื่อดวงตากลมโตคู่นั้นหันมาสบตากับผม... รอยยิ้มน่ารัก ก็เลือนหายไปจากใบหน้าแทบจะทันที
               
เวสป้าเอ่ยแซวต่อนิดหน่อย ซึ่งผมก็ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มกลับไป ก่อนที่มันจะชวนเพื่อนคนอื่นไปกินข้าวด้วยแทน เป็นโอกาสให้ผมได้เดินเข้าไปหาทองกวาวสักที
               
แปลก... ที่แทนที่เธอจะส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ผมเหมือนเคย ร่างบางกับถอยห่าง เดินกลับไปที่โต๊ะเขียนแบบของตัวเอง และหันหลังให้ผมด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างประหลาด
               
“กวาว เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย” ผมเข้าประเด็นทันทีด้วยความใจร้อน
               
“...” ทองกวาวชะงักไป ดูเหมือนเธอจะจับสังเกตได้ ว่าปกติแล้วผมไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเธอไปไหนมาไหนก่อนเลย ดังนั้นแทนที่ร่างบางจะกระตือรือร้นตอบตกลง เธอกลับหันมามองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
               
“ขอโทษนะตรี” นิ้วเรียวพยายามหยิบจับอะไรสักอย่างบนโต๊ะอย่างเก้ๆ กังๆ “พอดีเรายังทำงานไม่เสร็จ ละ...แล้วเย็นนี้เราก็มีธุระ... คงไปด้วยไม่ได้”
               
“...” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะอ่านจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากออกไปกับผมจริงๆ
               
“ขอโทษนะ”
               
ทั้งที่ผมกำลังร้อนใจอยากจะพูดเรื่องทั้งหมดในใจออกมาใจจะขาด แต่พอได้ยินคำขอโทษด้วยน้ำเสียงหงอยๆ นั้นบวกกับแผ่นหลังบางที่ดูจะหดเล็กลงกว่าเดิม มันก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนอีกครั้ง
               
“อืม... ไม่เป็นไร” ผมบอกและหันหลังเดินจากมา
               
ไม่เป็นไรหรอก... วันหลังยังมีนี่นา... จริงมั้ย
 
               
สุดท้ายผมก็ต้องโบกรถกลับหอด้วยความรู้สึกค้างคาที่ยังไม่ได้ถูกจัดการ
               
แต่แบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้ ที่ผมไม่รีบร้อนทำอะไร รอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ในการพูดเรื่องสำคัญ เพราะการพูดอะไรทันทีมันอาจจะเร็วเกินไป จนเธอ หรือแม้แต่ผมเองก็อาจจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
               
ผมไม่อยากให้เกิดการแตกหักระหว่างเรา เพราะยังไงทองกวาวก็เป็นเพื่อนผม แถมยังเป็นสายรหัสที่ต้องมีเรื่องให้เจอบ่อยครั้ง มันคงไม่ดีแน่ถ้าผมเผลอรีบร้อนจนทำลายความสัมพันธ์ดีๆ นั้นไป ผมกลับมาถึงหอด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าปกติ วันนี้เป็นวันที่มีเรื่องให้คิดมากมายจริงๆ แต่มันก็ดีแล้วล่ะนะที่ได้คิดอะไรซะบ้าง อย่างน้อยในที่สุดมันก็ทำให้ผมกำลังจะได้ทำอะไรที่ตรงกับความรู้สึกจริงๆ สักที
               
ผมถอยหายใจออกมาเบาๆ (อีกแล้ว) ก่อนจะหยิบกุญแจห้องออกมาไขประตูด้วยความผ่อนคลาย
               
แกรก
               
แต่แล้ว...เมื่อประตูเปิดออก ผมก็ได้รู้ว่าห้องที่ผมแสนจะคุ้นเคย มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
               
เมี้ยวว~
               
เสียงเจ้าเตที่ร้องถี่กว่าปกติ เรียกให้ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็ก ซึ่งนั่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า มันหันมามองผมที่เปิดประตูเข้ามาและเริ่มร้องดังกว่าเดิม พลางหันกลับไปมองตูเสื้อผ้าที่ปิดไม่สนิท
               
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องร้อนใจถึงขนาดต้องทิ้งกระเป๋าและสัมภาระทุกอย่างไว้ที่หน้าประตูโดยไม่ห่วงเลยว่าจะมีอะไรหักพัง ผมพุ่งตัวไปยังตู้เสื้อผ้าหลังโตและกระชากประตูออก ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างที่เอ่อขึ้นมาในใจ
               
“...”
               
และมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด...
               
ตู้เสื้อผ้าที่เคยเต็ม กลับเหลือเพียงเสื้อผ้าที่จำได้ดีว่ามีแต่ของผม ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งว่างเปล่า ไร้ร่องรอยเสื้อยืดกางเกงยีนซ้ำแบบของร่างสูงอีกคน ผมมองไปรอบห้องและพบว่าข้าวของของเขาหายไปทั้งหมด ทั้งกีตาร์และซองบุหรี่ยี่ห้อโปรด

บนโต๊ะที่เขานั่งประจำเหลือไว้เพียงก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งไว้ในที่เขี่ยบุหรี่...

ราวกับว่ามันคือสิ่งที่เขาใช้ทดแทนคำบอกลา




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ploy ที่ 03-04-2016 15:56:40
 :sad4: :sad4: เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 03-04-2016 17:19:38
ตรีนายอาจจะคิดว่าวันหลังก็ได้ แต่อีกคนเขาอาจจะรอไม่ไหวก็ได้นะ
หน่วงงงง  :hao5:
รีบไปเคลียร์เลยนะตรี อย่าทำร้ายเชนนนนนน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-04-2016 05:37:53
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 16 [ 2/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 04-04-2016 19:47:35
 :sad4: :sad4: รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 04-04-2016 20:10:26
18
ถอนตัว
                               
               
อะไรๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด
               
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอเชนอีกเลยแม้แต่ในห้องซ้อม... เขาไม่ได้หายตัวไป หรือโดนลักพาตัวแน่ๆ เพราะพวกเตอร์ยังเจอเขาอยู่และรู้ว่าเขาแอบไปซ้อมดนตรีอยู่คนเดียว เหตุผลที่เขาหายไปมันเป็นเพราะผม... เขาหลบหน้าผม
 
               
‘ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง ก็รีบรั้งฉันไว้ล่ะ’
 
           
คำพูดในวันนั้นดังก้องขึ้นมาในหัวผม มันเป็นคำขู่ที่ผมไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่เห็นท่าที และถึงแม้จะรู้ว่าเขาจะไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะรั้งเขาไว้ด้วยเหตุผลใดอยู่ดี
               
น่าสมเพชจริงๆ ที่พอเขาหายไป ผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างที่เขาว่าไม่มีผิด
               
มันช่างไร้เหตุผลเกินไปที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมกับเขาอยู่ด้วยกันมาเพียงไม่นาน มันไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าผูกพันได้เลยสักนิด เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นตัวติดกันตลอดเวลา บางคืนเขาก็ไม่ได้กลับมานอนที่ห้องด้วยซ้ำ
แต่ทำไม... พอไม่มีภาพของร่างสูงที่มักจะนอนกลิ้งไปมากับเจ้าเตบนเตียง ไม่มีภาพร่างกายกำยำที่มักจะเปลือยท่อนบนนั่งดีดกีตาร์อย่างไม่มีความเกรงใจอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง... ไม่มีแม้แต่กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อแพงที่มักจะถูกลมพัดผ่านเข้ามาจากระเบียง
               
ในใจ...มันก็โหวงไปหมด
               
อาจเป็นเพราะ ผมรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังจะกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง
               
               
[ มึงจะมาถึงนี่กี่โมง ] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ก็ฟังออกว่ากำลังกังวลอยู่
               
“น่าจะอีกสักชั่วโมงนึง” ผมตอบกลับไป พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าโมง กว่าการประกวดจะเริ่มก็ทุ่มหนึ่ง ผมมีเวลาเตรียมตัวสองชั่วโมงซึ่งถือว่ามากพอ
               
วันนี้เป็นวันประกวดแล้ว... ใช่ ผมกับวง The Quantum ยังคงลงแข่งอยู่ แม้ว่ามือเบสจำเป็นอย่างเชนจะไม่ได้มาซ้อมเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ตาม แต่แน่นอนว่าไม่มีใครห่วง เตอร์หัวเสียนิดหน่อยกับความเอาแต่ใจของเพื่อนรัก แต่เขาก็รู้ฝีมือเชนดี ต่อให้ไม่ต้องซ้อมร่วมกับคนอื่น เขาก็จะทำได้ดี
               
แต่มันก็ทำให้ผมอดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี ถ้าผมไม่เข้าไปในวง ป่านนี้พวกเขาอาจจะได้ซ้อมกันอย่างเต็มที่ พร้อมลงแข่งเต็มร้อยกว่านี่แน่ๆ
               
[ เออ กูจะรอ ] เตอร์บอก ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ทำให้ผมลดความกดดันของตัวเองลงอย่างง่ายดาย [ มาสนุกกันให้เต็มที่นะมึง ]
               
“อืม” ผมยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ก่อนจะวางสาย
               
อย่างที่รู้ ว่าการที่ผมเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาได้ ก็เพราะวินมือเบสของวงต้องไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ และด้วยเหตุผลฉุกละหุกบางอย่างทำให้เขาต้องบินไปเตรียมตัวก่อนวันประกวด ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เล่นด้วยกันก่อนขึ้นปีสี่

มันเป็นภาระหนักอึ้งที่ทำให้ผมอดรู้สึกกลัวไม่ได้ ฝีมือด้านดนตรีของพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ เลย และการฟอร์มวงกันมานาน ก็ทำให้พวกเขาเล่นเข้าขากันจนเป็นที่นิยมอยู่พอตัว แม้จะรับจ็อบเล่นในผับเท่านั้น ผมกลัวว่าการเข้ามามีตัวตนของผม จะทำให้ดนตรีของเขาเสียหาย โดยเฉพาะการที่ผมต้องมาเล่นกีตาร์แทนเชนซึ่งต้องไปเล่นเบสแทนด้วยทักษะด้านดนตรีที่ล้นตัวเขา ยิ่งทำให้ผมกดดันทุกครั้งที่ซ้อม เพราะผมรู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันเล่นกีตาร์เทียบชั้นผู้ชายคนนั้นได้เลย
ผมสูดหายใจลึกอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย ก่อนจะดึงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงมุ่งไปสู่ลานจอดรถที่มีรถโฟล์คสีน้ำเงินของผมจอดอยู่ ผมต้องกลับไปเอากีตาร์ที่หอ เพราะเมื่อคืนเอามันกลับมาซ้อมครั้งสุดท้ายแต่ดันรีบจนเผลอลืมเอามาคณะด้วยซะอย่างนั้น และเพราะเวลายังเหลือพอสมควร ผมเลยคิดว่าตัวเองควรจะถือโอกาสอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วยเลย

“ตรี” แต่เมื่อผมกำลังจะเดินไปถึงลานจอดรถ เสียงหนึ่งก็เรียกชื่อผมจากด้านหลัง

“กวาว...” ผมหันกลับไปมอง และถึงกับขมวดคิ้วว่าเจ้าของเสียงคือใคร

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจผมนึกก็คือเรื่องของเรา... ผมกับทองกวาวยังไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่วันนั้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเธอเอาแต่หลบหน้าผม ทั้งๆ ที่ตั้งแต่คบกัน เธอมักจะเป็นฝ่ายตามผมไปไหนมาไหนตลอด ท่าทางหวาดระแวงเวลาที่ผมเข้าไปคุยด้วยยิ่งทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนั้นออกมา และปล่อยมันคาราคาซังมาจนถึงวันนี้

ขี้ขลาดจริงๆ เลยไอ้ตรี...

“ตรีกำลังจะไปแข่งเหรอ?” เธอเอ่ยถามหลังจากที่เราเอาแต่ยืนเงียบอยู่นาน

ผมจำได้ว่า ผมไม่เคยบอกเธอเรื่องประกวด

“เวสป้าบอกเราเมื่อกี้น่ะ” เธอยิ้ม และพูดต่อราวกับอ่านใจผมออก “เราไม่เห็นเคยรู้เลยว่าตรีลงแข่งกับวงพี่เชน” แววตาที่ดูน้อยใจนั่น ทำเอาผมได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวยังไง

“มันเป็นเรื่องสุดวิสัยน่ะ” ผมได้แต่ตอบไปแค่นั้น

“เหรอ” ทองกวาวยิ้มขืนๆ “เพราะแบบนี้หรือเปล่า พี่เชนเลยต้องไปนอนที่ห้องตรี” ผมไม่แน่ใจว่าทองกวาวต้องการจะสื่ออะไร และทำไมถึงข้องใจเรื่องนี้นัก

“เปล่าหรอก เขาไปอยู่ก่อนที่เราจะเข้าวง ตอนนั้นเขาก็บอกแล้วนี่ว่ามีปัญหาเลยมาอยู่กับเรา” ผมขมวดคิ้วงงๆ

“อืม เราจำได้ เราแค่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะว่าตรีไปสนิทกับพี่เขาแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร ท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าอ่านยากเกินไปจนไม่เหมือนทองกวาวคนเดิมที่ผมรู้จัก

“เอ้อ วันนี้เราขอไปดูตรีแข่งด้วยได้มั้ย” แต่แล้วท่าทางแปลกๆ กลับหายไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใสซื่อที่ส่งมากให้ผมเหมือนเคย

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะยังคงไม่เข้าใจท่าทางของเธอ แถมยังตั้งตัวไม่ทันที่อยู่ๆ เธอก็กลับมาคุยด้วยง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามหลบหน้ากัน ถ้าอย่างนั้นมันอาจถึงเวลาแล้วก็ได้ ที่ผมจะพูดเรื่องนั้นออกมาสักที

“ไม่ได้เหรอ?” เจ้าของดวงตากลมตัวเอียงคอถามอย่างน่ารัก

ผมหัวเราะพลางส่ายหน้า “เปล่า”

ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปฏิเสธ

“ได้สิ ไปพร้อมเราเลยก็แล้วกัน”

เพราะผมเอง ก็มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสักทีเหมือนกัน...
 

ผมพาทองกวาวมาที่ห้องเพราะคิดว่าคงไม่ดีที่จะทิ้งเธอให้รอในรถ และมันคงไม่ดีอีกถ้าผมจะปล่อยให้เธอรอตอนผมอาบน้ำเลยตัดสินใจว่าจะแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแทน

“กินน้ำก่อนนะ” ผมว่าพลางเดินไปรินน้ำให้คนตัวเล็กที่เดินไปนั่งรอบนเตียงเมื่อผมบอกให้ทำตัวตามสบาย “เราขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะ” ผมบอกสั้นๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อไปเปลี่ยนในห้องน้ำ

ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินออกมาในเสื้อชุดเสื้อยืดกางเกงยีนคล่องตัว ทองกวาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแต่ในมือของเธออุ้มเจ้าเตที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่

“แปลกแฮะ คราวนี้ทำไมเชื่องล่ะ” ผมหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นภาพนั้น

คราวก่อนที่ทองกวาวมาที่ห้อง เธอพยายามจะเล่นกับเจ้าเตครั้งหนึ่งแล้ว แต่เจ้าแมวจอมพยศก็ดันไม่ยอมเล่นด้วยและวิ่งหนีไปหลบที่ซอกระหว่างกีตาร์ที่ผมวางอิงไว้กับเตียงซะงั้น แต่จะว่าไป เจ้าตัวเล็กก็ดูเซื่องๆ ซึมๆ ผิดปกติมาสักพักแล้ว ตั้งแต่หมอนั่นไม่อยู่

คงคิดถึงสินะ...

ผมสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว และเดินไปเก็บกีตาร์ที่ต้องใช้ขึ้นแสดงเก็บใส่กระเป๋า ในใจคิดว่ายังไงวันนี้ก็ต้องได้เจอ... อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น

แต่ก่อนหน้านั้น ผมอาจจะต้องจัดการเรื่องหนึ่งก่อน

“เจ้านี่ชื่ออะไรนะตรี” เสียงหวานถามขึ้นมาเรียกสติผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง

“เตน่ะ” ผมตอนสั้นๆ พลางยัดกีตาร์ใส่กระเป๋า

คนตัวเล็กเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะถามคำถามแปลกๆ ออกมา “หมายถึง ‘ตรี’ กับ ‘เชน’ เหรอ??”

“...” ผมชะงักมือที่กำลังรูดซิปกีตาร์แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างบางที่กำลังนั่งหันหลังให้ด้วยความประหลาดใจ "ถามอะไรน่ะ?"

“เราพูดเสมอเลยใช่มั้ยว่าตรีเป็นคนใจดี” แต่เธอยังพูดต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันหน้ากลับมา “เพราะความใจดีนี้หรือเปล่า เราถึงได้คบกัน”

“กวาว...” ผมยืดตัวตรง เรียกชื่อเธอขณะที่ในหัวคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ

เธอเองก็คงรู้ตัว...

เพราะแบบนี้สินะถึงพยายามหลบหน้าผม... เธอคงรู้ตัวและขอเวลาเตรียมใจ

“ตรี” เธอเรียกชื่อผมอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สดใสเหมือนเคยจนผมรู้สึกผิด “เราถามได้มั้ย ว่าทำไมตรีถึงยอมคบกับเรา”

“...” ผมไม่กล้าบอกความจริงออกไป เพราะกลัวว่ามันจำทำร้ายเธอ

“ถ้าตรีไม่ตอบ เราจะเปลี่ยนคำถามนะ” ทองกวาวหัวเราะขืนๆ และเอ่ยคำถามใหม่ที่น่าตกใจไม่แพ้กันขึ้นมา “ตรีกับพี่เชน เป็นอะไรกันแน่”

“กวาว” ผมเรียกชื่อเธอซ้ำ ไม่เข้าใจคำถาม และไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ถึงถามออกมา "ทำไมอยู่ๆ..."

“ตรีชอบผู้ชายทำไมไม่บอกเรา” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบเธอก็แทรงขึ้นมา แล้วไหล่บางก็เริ่มสั่นเทิ้มพร้อมกับส่งเสียงสะอื้น

“...” ผมยิ่งชะงัก เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มร้องไห้ ไม่รู้ว่าควรเข้าหาหรือถอยห่างดี

ที่เธอพูด แม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่มันก็ถูกอยู่ดี... ผมเคยชอบผู้ชาย ถึงจะแค่คนเดียว และไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนก็ได้ก็ตาม แต่ความจริงก็คือผมชอบผู้ชายอยู่ดี

“ตรีทำแบบนี้ทำไม ให้ความหวังเราทำไม ถ้าตรีไม่ได้รักเรา” เธอเริ่มสะอึกสะอื้นจนแทบจะพูดไม่รู้เรื่อง

ผมไม่รู้ว่าเธอไประแคะระคายอะไรมา และรู้เรื่องที่ผมชอบผู้ชายได้ยังไง แต่คำพูดแทงใจดำของเธอก็ทำเอาผมรู้สึกผิดจนพูดไม่ออก

“เราขอโทษ” ผมเอ่ยออกมาในที่สุด แต่ดูเหมือนว่าคำขอโทษนั้นจะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

“เราชอบตรีนะ เราชอบตรีจริงๆ” ทองกวาวลุกขึ้นยืนและหันมาทางผม น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด “แต่ตรีชอบผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย ใช่มั้ยตรี” เธอคาดคั้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าสงสาร

ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเธอยังคงอุ้มเจ้าเตอยู่ด้วยแรงบีบที่น่ากลัว...

แง้ว!

“กวาว! ปล่อยเจ้าเตก่อน” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความอึดอัดของเจ้าเต และกำลังจะพุ่งเข้าไปแย่งเจ้าตัวเล็อกออกมาจากอ้อมแขนนั้น แต่ร่างบางกลับสะบัดตัวหนีอย่างรวดเร็ว

“เราไม่ให้! ทำไม! ตรีกลัวมันเจ็บเหรอ? แล้วทำไมตรีไม่คิดบ้างว่าตรีก็ทำเราเจ็บเหมือนกัน!” เธอตะโกนพร้อมกับเปลี่ยนจากอุ้มเจ้าเตด้วยแขนสองข้างเป็นกระชากคอมันขึ้นมาชูไว้แทน” 

“ทองกวาว!!” ผมตะคอกและพุ่งเข้าใส่ทันทีที่เห็นเธอทำแบบนั้น แต่ร่างบางก็ยังคงเร็วกว่า เธอเอี้ยวตัวหลบไปที่ประตู โดยไม่สนใจเลยว่าการถือเจ้าเตไว้แบบนั้นจะทำให้เจ้าตัวเล็กต้องดิ้นตะเกียกตะกายด้วยสีหน้าทรมานแค่ไหน

“ตรีทำแบบนี้เราน่าสมเพชนะ เคยคิดบ้างมั้ยว่าผู้หญิงที่อยู่ๆ ก็มารู้ว่าแฟนตัวเองเป็นเกย์และคบกับตัวเองเพราะว่าสงสารมันจะรู้สึกยังไง” เธอยังคงพูดไม่หยุดและไม่ยอมปล่อยเจ้าเตลง

“กวาว ปล่อยเจ้าเตเดี๋ยวนี้” ผมกดเสียงต่ำบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ สายตายังคงจับจ้องไปที่เจ้าเตที่กำลังดิ้นเอาชีวิตรอด

“ไม่!” แต่อีกฝ่ายกลับตะโกนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดกว่าเดิม เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดโดยที่ไม่รู้เลยว่ายิ่งเธอร้องไห้หนักแค่ไหน มันก็ยิ่งส่งผลให้แรงบีบของฝ่ามือมีมากขึ้นเท่านั้น

“เราขอร้อง กวาว คืนเจ้าเตให้เรา” ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจึงพยายามใช้ไม้อ่อน ค่อยๆ เดินเข้าไปหาและยื่นมือออกไปขอชีวิตน้อยๆ ในมือเธอคืนมาดีๆ

“ทำไมเป็นเราไม่ได้ตรี ทำไมถึงไม่ใช่เรา” เธอไม่สนใจคำขอร้องของผม และยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นพูดไม่ได้ศัพท์ แต่ผมไม่สนใจแล้ว ผมพุ่งเข้าไปหาเธออีกครั้งหวังจะคว้าตัวเจ้าเตมา แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อทองกวาวไหวตัวทันและพยายามจะหนีผมด้วยการชูเจ้าเตให้สูงขึ้นกว่าเดิมจนสุดแขน ซึ่งหมายความว่าเธอต้องใช้แรงสุดตัวเพื่อยืดตัวให้สูงขนาดนั้น

...!!

มันเป็นความผิดของผมเองที่ถึงตัวเธอแล้ว แต่ไม่กล้ากระชากเจ้าตัวเล็กกลับมาเพราะกลัวว่าแรงรั้งจากสองทางจะทำให้มันเจ็บ เป็นความผิดของผมเองที่ได้แต่ยืนมองร่างเจ้าเตลอยขึ้นเหนือหัวด้วยสีหน้าที่ทรมานกว่าเดิมด้วยความตกใจ ทุกอย่างเป็นเหมือนภาพช้าเมื่อดวงตากลมโตที่เคยสดใสเหลือกขึ้นพร้อมกับลิ้นเล็กๆ ที่เริ่มจุกปากอย่างน่ากลัว... และในที่สุด เสียงเล็กๆ ที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้เพราะถูกกดหลอดลมเอาไว้ก็เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยิน

อ่อก!

“เต!!” ผมตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวเล็กเสียงดังและเอื้อมมือไปคว้าเจ้าเตมาโดยไม่สนใจอะไรอีก ทองกวาวเองก็ดูจะตกใจและได้สติจึงคลายมือออกทำให้ร่างเล็กตกมาอยู่ในมือผมโดยง่าย
แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป

ร่างเล็กที่ส่งเสียงหายใจรวยรินอยู่บนฝ่ามือผม พยายามเหลือบตากลับมามองราวกับรู้ว่าเจ้าของฝ่ามือนี้คือใคร ผมอยากจะพูดกับมันว่าไม่เป็นไรแล้ว มันจะปลอดภัยถ้าผมพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด

แต่ก็ไม่ทัน... เมื่อสุดท้ายเปลือกตาของเจ้าเตก็ปิดลง พร้อมกับเสียงหายใจที่หยุดชะงักไป ต่อหน้าต่อตา...




-------------------------------
เป็นตอนที่สะเทือนใจที่สุดของเรื่องแล้วค่ะ
จนถึงตอนนี้ก็ยังสะเทือนใจอยู่

 :m15:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 04-04-2016 21:21:10
เตตตตตตต  :sad12:

ตรีคงไปแข่งไม่ไหวแน่เลย สภาพจิตใจคงย่ำแย่อ่ะ ฮือออออ
//อยากอ่านตอนต่อไปจัง งือออ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-04-2016 22:55:51
เห้ย

ไม่นะ ฮืออออ

ปั๊มหัวใจเตได้ไหม  T T
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 05-04-2016 07:37:22
แงๆๆๆ :sad4: :sad4: :sad4: :o12: ต่อตอนหน้าเร็วๆ นะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-04-2016 07:54:21
กวาว ใสๆ ทำไมเหมือนจิตเลย สองบุคลิก? :katai1:
กวาว บอกชอบตรี ขอคบตรี ก่อน
ตรีแค่บอกลองคบก็ได้ ไม่ได้บอกรักกวาวสักหน่อย
ทำไมมาพูดทำนองว่าตรีรัก ให้ความหวัง :hao7:
แล้วไปลงกับเจ้าเต  :m16:
รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 05-04-2016 10:34:04
นางน่ากลัวอ่ะ  จิตใจทำด้วยอะไรสงสารเต
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 18 [ 4/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-04-2016 13:11:21
โอ๊ยยยยยจะโทษกวาวอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่แม่งอย่าเอาความรู้สึกไปลงที่สัตว์ดิวะ
ตรีแม่งโลเลลังเล ทำไมไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองซะที เฮ้อออ
สงสารเจ้าเต ฮือออ ไปสู่สุคตินะลูก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 19 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 05-04-2016 15:32:37
19
ปลอบโยน
 
               
ผมโง่เองที่ไม่เคยศึกษาวิธีปฐมพยาบาลแมว จึงคิดอะไรไม่ออกในสถานการณ์แบบนั้นนอกจากคิดว่าต้องพาเจ้าเตไปหาหมอให้เร็วที่สุด ทองกวาวช็อกไปเลยหลังจากที่เห็นว่าเจ้าเตหยุดหายใจ ก่อนจะเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้งพร้อมกับพร่ำพูดคำขอโทษไม่รู้จบ แต่ผมไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ผมรีบคว้ากุญแจรถและพาร่างอันแน่นิ่งของเจ้าเตวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่คิดชีวิต
               
ผมเหยียบคันเร่งเร็วที่สุดในชีวิต และสบถก่นด่ารถทุกคันที่ขวางทาง รู้ตัวอีกทีผมก็พาเจ้าเตมาส่งถึงมือหมอแล้ว
               
แต่ก็ไม่ทัน...
               
เจ้าเตสิ้นใจไปนานเกินกว่าจะกู้ชีพคืนมา
               
ตอนนั้นมันเหมือนกับโลกกำลังสลายลงต่อหน้าต่อตา... สิ่งเดียวที่ผุดเข้ามาในหัวสมองอันขาวโพลนของผม คือใบหน้าของเชน...
               
ผมทำผิดร้ายแรงกับเขาเข้าเสียแล้ว
               
แล้วแบบนี้ผมจะมีหน้าไปเจอเขาอีกได้ยังไง...
               
หัวใจของผมมันเจ็บจนจุกไปหมด อยากจะทรุดตัวลงร้องไห้ตรงนั้น แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่ได้ช่วยให้ผมได้เจ้าเตคืนมา... 
               
ผมแทบไม่มีสติเลยตอนที่รับร่างไร้วิญญาณของเจ้าเตกลับมาจากมือหมอ ความรู้สึกตอนนั้นมันราวกับว่าวิญญาณของผมได้หลุดลอยตามเจ้าตัวเล็กไปแล้วยังไงยังงั้น ผมขับรถกลับไปที่คณะอันเงียบเชียบของตัวเองเพื่อฝังร่างของเจ้าเตลงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารด้านหลังคณะ
               
มันไม่เคยมาที่นี่ และไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ แต่ผมนึกสถานที่ที่จะให้มันได้อยู่อย่างสงบที่อื่นไม่ออกแล้ว และเพราะความเห็นแก่ตัวของผม ผมจึ่งเลือกที่จะฝังมันไว้ตรงที่ผมจะสามารถมองเห็นมันได้จากหน้าต่างด้านหน้าโต๊ะเขียนแบบของตัวเองได้พอดี
               
“ขอโทษที่ดูแลแกไม่ดี” ผมว่าหลังจากวางดอกไม้ช่อเล็กไว้บนหลุมศพของมัน

“หลับให้สบายนะ” ผมตบลงบนหลุมศพของมันเบาๆ ขณะที่อีกมือหนึ่งกำปลอกคอสีน้ำตาลที่มันเคยใส่ไว้แน่นก่อนจะนั่งอธิษฐานให้มันอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจเลยว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
 
               
เวลาผ่านไป
ผมไม่อยากกลับห้องทันทีจึงไปหาร้านนั่งดื่มอยู่คนเดียว และนึกขึ้นได้ว่าความผิดของผม มันไม่ได้มีแค่เรื่องเจ้าเตเท่านั้น แต่ยังมีอีกเรื่อง ที่เป็นความผิดร้ายแรงไม่แพ้กัน

ป่านนี้การประกวดคงจบลงแล้ว...

หรือต่อให้ยังไม่จบ ผมก็ไม่มีหน้าไปที่นั่นอยู่ดี แค่คิดว่าผมจะต้องกลับไปเจอหน้าเชนหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันก็รู้สึกผิดจนแทบจะทนไม่ไหว ผมรู้ว่าเขาต้องเกลียดผมมากขึ้นแน่ๆ ไหนจะคนอื่นๆ อีก... ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทรยศที่ทำลายความเชื่อใจที่พวกเขามีให้จนไม่เหลือชิ้นดี แค่นี้ผมก็เกลียดตัวเองจะแย่อยู่แล้ว

ผมดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปแก้วแล้วแก้วเล่า หวังจะให้ความมึนเมาลบล้างความรู้สึกผิดออกไปให้หมดสิ้น แม้จะแค่ชั่วครู่ก็ตาม ผมนั่งดื่มคนเดียวเป็นชั่วโมงๆ พร้อมกับความคิดที่ว่าถ้ามีใครสักคนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้บ้างก็คงดี ใครสักคนที่ผมจะสามารถพึ่งพิงได้และไม่ต้องมาทุกข์ใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

แน่นอนว่าผมมีเพื่อน แต่เพื่อนคนไหนล่ะที่ผมจะสามารถระบายเรื่องทั้งหมดให้ฟังและช่วยบรรเทาความเศร้าไปจากใจผมได้

ผมคิดไม่ออกเลย...

เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืน ผมจึงตัดสินใจเดินกลับมาที่หอเพราะรู้ตัวว่าเมาเกินกว่าจะขับรถไหว และอีกอย่าง... ผมก็อยากใช้เวลากับตัวเองจนไม่อยากจะให้การใช้ยานพาหนะมาย่นระยะเวลาให้มันสั้นเกินไป

ผมใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกับระยะทางที่ปกติขับรถไม่ถึงสิบนาทีหากรถไม่ติดกลับมาถึงหอด้วยสติอันเลื่อนลอยเต็มที ในใจตอนนี้อยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงและลืมเรื่องราวทั้งหมดจมลงสู่ความฝันซะ เผื่อว่าถ้าตื่นมาความเลวร้ายทั้งหมด มันจะบรรเทาลง

แต่ขณะที่ผมกำลังเดินโซซัดโซเซไปที่บันไดทางขึ้นหอพัก เสียงที่ผมไม่อยากจะได้ยินที่สุดในตอนนี้ก็ดังขึ้นมา

“ตรี”
               
ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่อีก... ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าตัวเองทำอะไรลงไป
               
ผมกำปลอกคอของเจ้าเตที่อยู่ในมือแน่น พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาเพื่อที่จะได้ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลั้งเผลอทำอะไรสิ้นคิดลงไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
               
ผมไม่อยากเป็นเหมือนเธอ... ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติจนเผลอทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นลงไป
               
“ตรี ฮึก... เราขอโทษ” ทองกวาวที่ยืนอยู่ในระยะห่างหลายสิบเมตรเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เห็นปลอกคอว่างเปล่าไร้ร่องรอยของเข้าเตในมือผม เธอเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างมันบวมจนไม่รู้จะบวมยังไงแล้ว
               
ผมโทษตัวเอง ที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกสงสารเธอ
               
“ตรีเราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เธอร้องไห้หนักยิ่งขึ้นและพยายามจะเดินเข้ามาหาผม แต่ผมกลับถอยห่าง
               
“อย่าเข้ามา” ผมห้าม ร่างบางจึงชะงักฝีเท้า แต่ยังไม่หยุดร้องไห้ “ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ” ผมพูดตามความจริง
               
ต้องขอบคุณแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาตรงๆ ได้สักที
               
“เราขอโทษ ขอโทษจริงๆ” เสียงร้องสะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวดและรู้สึกผิดของคนตรงหน้าเป็นภาพที่น่าสงสารจับใจ แต่ผมก็ยังเสียใจเกินว่าจะให้อภัยเธอในทันที
               
“มันไม่ใช่ความผิดของกวาวคนเดียวหรอก” ในที่สุดผมก็เอ่ยปาก หลังจากที่ยืนมองร่างบางที่สะอื้นไห้แทบขาดใจอยู่นาน “เราผิดเอง ที่เป็นฝ่ายทำร้ายกวาวก่อนตั้งแต่ต้น”
               
“ตรี ฮึก...”
               
 “ถ้าไม่ใช่เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเรา เรื่องทั้งหมดมันคงไม่ลงเอยแบบนี้” ผมหัวเราะขืนๆ รู้สึกสมเพชในความโง่ของตัวเอง “วันนั้นเราไม่น่าตอบรับรักกวาวเลย”
               
“ตรี” ร่างบางยังคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเรียกชื่อผมแล้วขอโทษซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
               
“เราขอโทษที่ดึงกวาวเข้ามาในชีวิตเรา” ผมพูดและเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตาด้วยคำขอโทษจากใจจริง “แล้วก็ขอโทษ ที่สุดท้ายเราก็กำลังจะเป็นฝ่ายผลักไสกวาวออกไป”
               
“...”
               
“ต่อไปนี้... อย่ามายุ่งกับเราอีกเลยนะ”
               
“...”
               
“ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นก่อนหน้านี้เถอะ” ผมพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินผ่านร่างบางไป
               
“ตรี” แต่เธอก็ยังคงเรียกชื่อผมทั้งที่ลำคอแหบแห้งไปกับการร้องไห้อย่างหนัก “ขอบคุณนะตรี” แต่คราวนี้เปลี่ยนจากคำขอโทษซ้ำๆ เป็นคำขอบคุณที่ผมไม่เข้าใจความหมายแทน
               
“ตรีเป็นคนดีเสมอเลย เป็นคนดีมากจริงๆ”
               
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร และเดินจากมาโดยปล่อยให้ร่างเล็กทรุดตัวกับพื้นนั่งร้องไห้แทบขาดใจไว้เบื้องหลัง
               
เปล่าเลย ผมไม่ใช่คนดี...ไม่ใกล้เคียงคำนั้นเลยแม้แต่น้อย
               
ผมมันก็แค่คนโง่ เห็นแก่ตัวที่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็มักจะผิดพลาดเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ผมทำร้ายทองกวาวอย่างแสนสาหัส ด้วยความคิดอันโง่เขลาและการกระทำอันแสนเห็นแก่ตัวของตัวเอง ผมทำให้เธอมีตราบาป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสากว่าใครๆ... ผมทำลายความสัมพันธ์ที่แม้จะไม่ได้สนิทแต่ก็เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเราจนพังยับเยิน

ผมทำร้ายทุกคน... ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผมเอง

“หายไปไหนมา” แต่ขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้ากล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นเรียกสติให้ผมเงยหน้ามอง

ทำไม...

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงเข้มยังคงถามต่อด้วยใบหน้าคิ้วขมวด

เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนไม่ทันสังเกตเลยสักนิด ว่ามีร่างสูงยืนอยู่หน้าประตูห้องที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าว... ไม่สังเกตเลยสักนิด กว่าตอนนี้บุหรี่ยี่ห้อเดิม กำลังส่งกลิ่นอันคุ้นเคยคละคลุ้งเต็มทางเดินไปหมด

“เฮ้!” เขาร้องเรียกเมื่อเห็นว่าผมได้สติและกำลังเดินหนีไป

ผมไม่กล้าสู้หน้าเขา...

หมับ!

แต่แน่นอนว่าร่างที่เดินโซซัดโซเซเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของผมไม่มีทางเร็วไปกว่าร่างสูงที่มีสติและมีพละกำลังมากกว่าผมหลายเท่า เชนพุ่งเข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ทัน และกระชากให้หมุนกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
และเมื่อได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่จ้องมาด้วยแววตาคมกริบ ผมก็รู้ตัวว่า ผมกำลังจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มาตลอดได้อีกแล้ว

“...” ผมก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอไม่ให้คนตรงหน้าเห็นสุดกำลัง มือข้างที่ถือปลอกคอเจ้าเตซ่อนไว้ด้านหลัง กำแน่นจนร็สึกเจ็บ

พอเห็นท่าทางของผม ร่างสูงก็ชะงักไป เขาคลายฝ่ามือที่จับแขนผมไว้แน่น และถอนหายใจเหมือนกับพยายามจะผ่อนอารมณ์

“เป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แต่ความน่ากลัวในน้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้ลดลงด้วยเลย

“...” ผมพยายามจะกลั้นน้ำตา แต่มันกลับยากยิ่งกว่าความพยายามใดๆ ที่ผมเคยทำ

“ถ้าไม่ตอบฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ” เขาเริ่มกลับมาทำเสียงดุอีกครั้ง

แล้วถ้าผมบอกไป เขาจะไม่โกรธผมงั้นเหรอ

“ตรี” แต่น้ำเสียงกดดันที่เรียกชื่อผมนับครั้งได้ ก็ทำให้ผมไม่กล้าที่จะปากแข็งอีกต่อไป

“เจ้าเต...ตายแล้ว” เสียงของผมขาดห้วงขณะที่ยื่นปลอกคอสีน้ำตาลของเจ้าเตออกมาตรงหน้า มือของผมกำมันไว้แน่นจนแทบจะสั่นไปทั้งร่าง

“...” ถึงจะยังไม่ได้เงยหน้ามอง แต่ผมก็รู้ว่าร่างสูงกำลังชะงักไปด้วยความตกใจ เขานิ่งนาน จนผมเริ่มรู้ตัวว่าความจริงที่เพิ่งบอกไปคงจะทำให้เขาโกรธจนพูดไม่ออก ผมจึงถอยหลังออกมา และเตรียมใจรับคำด่าทอหรือการลงโทษจากเขาอย่างเต็มใจ

“ให้ตายสิ...” ไม่นานเจ้าของเสียงเข้มก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาพร้อมกับอัดควันบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นอย่างไม่ไยดี

วินาทีนั้นผมหลับตาและกัดฟันแน่น เพราะคิดว่าเขาคงจะเดินเข้ามาชกหน้าผม...

เพราะความผิดที่ผมก่อมันร้ายแรงจนแม้แต่ผมยังไม่อยากให้อภัยตัวเอง

“...!” แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อร่างสูงกลับเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับฝ่ามือหนาที่เอื้อมมากดหัวผมลงไปซบไหล่กว้างอันแข็งแกร่งของเขา แล้วเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ไม่เป็นไร” เขาบอกพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ แทนที่จะผลักไส

และความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นก็ทำเอาน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นแทบตาย ไหลลงมาอาบสองแก้มอย่างง่ายดาย ราวกับกำแพงเขื่อนที่ถูกทำลายลงในพริบตา

“ฮึก...ขอโทษ...” ผมพร่ำพูดคำนั้นพร้อมกับปล่อยโฮอย่างไม่คิดจะอายอีกต่อไป

ผมไม่พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ใบหน้าของผมซบลงบนไหล่กว้างที่ราวกับเตรียมพร้อมที่จะรองรับทำนบน้ำตาผมได้ ไม่ว่ามันจะมากมายแค่ไหนก็ตาม

“อย่าโทษตัวเอง เจ้าเตมันไปดีแล้ว” เขาบอก น้ำเสียงไม่มีความกดดันหรือน่ากลัวอีกต่อไป ไม่มีแม้แต่การแสดงความตำหนิผม กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาควรจะโกรธผมมากด้วยซ้ำ

ผมยิ่งปล่อยโฮหนักกว่าเดิมจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ เชนยังคงลูบหัวผมเบาๆ พลางพูดว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ราวกับจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่มันก็ยากเหลือเกิน ผมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานหลายวินาทีจนร่างสูงคงจะเริ่มเหนื่อยใจ

“อย่าร้อง... ไม่มีเจ้าเต ฉันก็ไม่รู้จะปลอบยังไง”

เขาคงไม่รู้เลยว่ายิ่งพูดชื่อเจ้าเตออกมา ก็ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ฮึก...” ผมพยายามแล้วที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่มันยิ่งกลับกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพช

เชนเองก็ดูจะตกใจที่เห็นผมเป็นแบบนั้น เขาผงะไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้งแล้วก้มหน้าลงมาอยู่ในระดับเดียวกับผมที่พยายามจะก้มหน้าซ่อนน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง

“ถ้าไม่หยุด ฉันจะใช้วิธีของฉันแล้วนะ...” เขาขู่ ขณะที่เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยอย่างงุนงงทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

เขาขมวดคิ้วจ้องผมนิ่งนานราวกับจะรอดูว่าเมื่อไหร่ผมจะหยุดร้องไห้สักที แต่มันไม่ใช่ก๊อกน้ำนี่ที่จะเปิดปิดได้ตามใจสั่ง ใช่ว่าผมจะอยากทำตัวน่าอายแบบนี้ซะเมื่อไหร่ ผมพยายามจะหยุดแล้ว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงน้ำตามันก็ไม่หยุดไหลสักทีนี่นา

“ฉันเตือนแล้วนะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันหนักกว่าเดิมเหมือนกับจะเน้นย้ำกับผมว่าเขาเตือนผมแล้วจริงๆ และในเมื่อผมไม่สามารถหยุดร้องไห้ด้วยตัวเองได้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะทำในสิ่งที่ขู่เอาไว้

“...!!”

ผมไม่มีโอกาสได้ถามด้วยซ้ำว่าวิธีของเขาที่ว่ามันคืออะไร เพราะทันทีที่จบคำพูดนั้น ร่างสูงก็เอื้อมมือมาจับใบหน้าของผมขึ้นไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีหนึ่งผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆ แสนร้ายกาจ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา... ก่อนที่ริมฝีปากบางร้อนจัดนั่นจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากผมโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัวหรือโต้แย้งใดๆ

เขาอาศัยจังหวะที่ผมได้แต่นิ่งอึ้งกับการกระทำอันอุกอาจลุกล้ำเข้ามาตักตวงความหวานจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นด้วยความตกใจของผมราวกับคนที่กำลังหิวโหย แต่ในขณะที่เดียวกัน... ก็ทำหน้าที่ดูดซับความทุกข์ใจของผมออกไปผ่านสัมผัสลึกซึ้งที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

รสชาติแห่งการปลอบประโลมที่ช่วยแบ่งเบาความเศร้าใจของผมไป โดยไม่ต้องอาศัยคำพูดสวยหรูใดๆ ...

“ได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ” เขาแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจทันทีที่ผละริมฝีปากออกไป

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่งอย่างตั้งตัวไม่ติด ขณะที่ปล่อยให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมในระยะประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รินลดลงมาบนปลายจมูก

ก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง พร้อมกับเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“เด็กดี”

“...”
วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจตัวเองมันหยุดเต้นไปแล้ว เพียงเพราะได้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับจากผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 19 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 05-04-2016 16:46:54
เค้าดีกันแล้วใช่ไหม อยากอ่านตอนหน้าเร็วๆ อีกแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 6/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 06-04-2016 16:31:32
20
เยียวยา
 
           
ใครจะไปคิด... ว่าวิธีของเขา มันจะได้ผลจริงๆ
               
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงหยุดร้องไห้ง่ายดายขนาดนั้น... เพราะตกใจ เพราะรอยยิ้มของเขา หรือเป็นเพราะว่าจูบนั่นมันซึมซับความเศร้าไปจนหมดแล้วกันแน่...
               
ผมรู้แต่ว่าหลังจากนั้น น้ำตาของผมมันก็หยุดไหลไปโดยปริยาย
               
แม้จะยังเศร้าอยู่ แต่ผมก็คุมสติได้มากกว่าก่อนหน้านี้ แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดเหมือนจะสลายไปหมดตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน พวกเรากลับเข้ามาในห้องและผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เชนฟัง ในขณะที่เขานั่งสูบบุหรี่ฟังเงียบๆ อยู่ข้างเตียง
               
“บางที มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าฉันไม่พาเจ้าเตมา” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เล่าจบ และห้องก็เงียบไปหลายนาที ผมก้มหน้ามองปลอกคอของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในมือแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลขึ้นมาอีกซะอย่างนั้น
               
ถ้าวันนั้นผมไม่พามันกลับมา มันอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้...
               
เชนพ่นควันสีขาวขุ่นออกมาพร้อมกับการถอนหายใจราวกับเหนื่อยใจที่ผมยังเอาแต่โทษตัวเอง เขาดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ก่อนจะลุกจากเก้าอี้มานั่งข้างผมที่นั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองอยู่บนเตียง
               
“อ่ะ” อยู่ๆ มือหนาก็ยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองมาตรงหน้าผม
               
“นี่มัน...” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาปรากฏรูปผมกับเจ้าเตที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง “ปะ...ไปถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!” ผมทั้งตกใจทั้งประหลาดใจที่ได้เห็นรูปนั้น และเมื่อเลื่อนดูรูปถัดๆ ไป ก็พบว่ามันมีรูปทำนองเดียวกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งภาพตอนที่เจ้าเตยืนมองผมทำกับข้าว  ตอนที่ผมให้อาหารมัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมดุเจ้าตัวเล็กที่มันทำโมเดลของผมพัง

ภาพในอิริยาบถที่ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันเคยเกิดขึ้น ถูกบันทึกเอาไว้โดยเจ้าของโทรศัพท์ขณะที่ผมไม่รู้ตัวเลย
               
“ตลกดี ก็เลยถ่ายเอาไว้ดูแก้เครียด” เชนบอกขณะที่ผมยังคงเลื่อนดูรูปกลับไปกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร
ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้ใช้เวลากับเจ้าตัวเล็กมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เราเพิ่งจะเจอกันไม่นานด้วยซ้ำ
               
“นายชอบพูดว่าเจ้าเตมันติดฉันมากกว่าใช่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอนหลังพิงหัวเตียง “แต่ในสายตาฉัน เจ้าเตมันรักนายมากนะ”
               
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะคลอขึ้นมาอีกแล้ว
               
“ก่อนหน้านี้มันยังเป็นแค่ลูกแมวจรจัดผอมๆ อยู่เลย แต่เป็นเพราะนาย มันถึงได้อ้วนฉุแทบจะเปลี่ยนจากแมวเป็นหมูแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
               
ผมถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงร่างที่ค่อยๆ กลมขึ้นเหมือนจะกลิ้งได้ของมัน เจ้าเตอ้วนขึ้นจากตอนที่เจอกันครั้งแรกมากจริงๆ นั่นแหละ จนช่วงหลังผมคิดจะลดอาหารมันลงเพื่อให้มันลดความอ้วนด้วยซ้ำ
               
แต่ก็ไม่ทันได้ทำ
               
“ถ้าฉันเป็นเจ้าเต ฉันก็คงดีใจที่ได้มาอยู่กับนาย” ผมหันไปมองทันทีที่เขาพูดจบ
               
สีหน้าจริงจังนั้นทำเอาผมแยกไม่ออกเลยว่าเขาแค่พูดปลอบใจให้ผมรู้สึกดีขึ้น หรือพูดจากใจจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน มันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ
               
“ขอบคุณ” ผมบอกพลางยิ้มบางๆ
               
“หึ” เขายกยิ้มมุมปากตอบ “เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้วแม่เจ้าเต” ก่อนที่เจ้าของฝ่ามือหนาจะทำสิ่งไม่คาดคิดอย่างการเอื้อมมือข้างหนึ่งมาปิดตาผมไว้ แล้วออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆ เขาอย่างง่ายดาย
               
“รู้แล้วล่ะน่า!” ผมโวยวาย แต่ไม่รู้ทำไมกลับไม่ยื้อตัวหนี หรือดึงมือเขาออกไป ผมนอนนิ่งและปล่อยให้ฝ่ามือหนาปิดตาตัวเองอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ามันจะช่วยสะกดน้ำตาของผมเอาไว้ ไม่ให้ไหลออกมาได้จริงๆ
               
“นี่” แล้วผมก็เป็นฝ่ายเรียกเขา หลังจากที่เราเอาแต่เงียบกันไปนาน “นายไม่เสียใจเหรอ”
               
ผมคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้ซะอีก ตอนที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง แต่เชนกลับใจเย็นกว่าที่คิด เขาไม่มีท่าทีเสียใจ หรือโกรธเคืองมากไปกว่าการขมวดคิ้วและอัดบุหรี่เข้าปอดนิ่งๆ เขาไม่กล่าวโทษผมเหมือนที่ผมกล่าวโทษตัวเอง แถมยังมาช่วยปลอบไม่ให้ผมร้องไห้เสียอีก
               
“เสียใจสิ” เขาตอบนิ่งๆ หลังจากดึงมือที่ปิดตาผมกลับไป ทำให้ผมสามารถหันไปมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
               
ไม่รู้เลยว่าระยะห่างของเรามันใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากตรงนี้ ผมเห็นความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาแม้จะแวบเดียวก็ตาม
               
“แต่นายไม่ร้องไห้”
               
เขาหัวเราะ “ก็มีคนร้องไห้แทนให้แล้วนี่” ว่าพลางเหลือบตามามองผมอย่างล้อเลียน
               
กะ... ก็คนมันเสียใจจนกลั้นไม่อยู่นี่หว่า L
               
ถึงจะคิดในใจแต่ผมก็ไม่ได้เถียงอะไร และถามต่อ “แล้วไม่โกรธเหรอ”
               
“โกรธใคร?” เขาเลิกคิ้ว
               
“ทั้งทองกวาว แล้วก็ฉัน” ผมตอบเสียงเบา ผมรู้ว่าคนที่พลั้งมือปลิดชีวิตเจ้าเตก็คือทองกวาว แต่ว่ามันก็เป็นความผิดผม ที่ปกป้องมันเอาไว้ไม่ได้
               
“โกรธสิ” เขาตอบและแสร้งขมวดคิ้ว “ถึงได้ลงโทษไปไง”
               
ลงโทษ? ตอนไหนกัน?
               
พอเห็นผมทำสีหน้าไม่เข้าใจเขาก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
               
“แล้วนายล่ะ โกรธผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
               
ผมชะงัก ถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน นานหลายนาทีกว่าจะได้คำตอบจากใจจริง

“ก็...โกรธ” ผมเบ้หน้า “อยากจะทำให้เธอเจ็บเหมือนที่เจ้าเตเจ็บเลยล่ะ” ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีที่คิดแบบนั้นเพราะทองกวาวเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอแค่ขาดสติจนเผลอทำพลาดไป

แต่ว่ามันก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ

“แล้วได้ทำแบบที่พูดหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้ว ท่าทางเหมือนประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดผม

“เปล่า” แต่ผมก็ได้แค่พูดนี่นา ผมไม่ใจร้ายขนาดจะทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ลงคอหรอก แค่เห็นเธอร้องไห้แทบขาดใจขนาดนั้น ผมก็แทบจะใจอ่อนยอมยกโทษให้แล้ว

“หึ คนดีชะมัด” เขาแสยะยิ้มพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมอีกครั้ง “เจ้าเตมันคงภูมิใจในตัวนายน่าดู”

“ฉันแค่บอกเธอไปว่าอย่ามายุ่งกันอีก” ผมบอกพลางมองเขาอย่างรู้สึกผิด เมื่อนึกได้ว่าตัวเองปล่อยผ่านเรื่องนี้ง่ายเกินไป จนไม่ทันนึกถึงคนที่รักเจ้าเตที่สุดอีกคนเลย

ถ้าเป็นเชนเขาจะทำยังไง? นี่ผมทำพลาดอีกแล้วหรือเปล่านะ

“ทำดีแล้ว” ราวกับอ่านใจผมออก เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจึงยิ้มบางๆ ออกมาพลางเปลี่ยนน้ำหนักมือจากขยี้ผมผมแรงๆ เป็นลูบหัวผมเบาๆ แทน

ถึงมันจะไม่ต่างอะไรกับตอนที่ผู้ใหญ่ลูบหัวให้กำลังใจเด็กเล็กๆ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นึกขอบคุณเขาในใจที่ไม่ต่อว่าอะไรเลยสักคำ

ผมเบือนหน้ากลับมา มองปลอกคอสีน้ำตาลที่อยู่ในมืออีกครั้ง และคิดถึงคำพูดที่เขาบอกเมื่อครู่

เจ้าเต มันจะดีใจที่ได้มาอยู่กับผมจริงๆ หรือเปล่า?

...

และโดยไม่รู้ตัว ผมก็เผลอหลับไปทั้งที่มือยังกำปลอกคอของเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่ยอมปล่อย

คืนนั้นผมหลับสนิทราวกับว่าไม่ได้เพิ่งผ่านเรื่องทุกข์ใจแสนสาหัสมาก่อน ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเป็นเพราะแอลกอฮอล์ปริมาณมากที่ดื่มเข้าไปเมื่อตอนค่ำ เพราะความอ่อนเพลียจากการปล่อยโฮเหมือนเด็กๆ

...หรือเป็นเพราะไออุ่นจากร่างสูงที่เผลอหลับข้างกันบนเตียงเล็กๆ ที่ทำให้ร่างของเราใกล้ชิดกว่าที่เคยกันแน่

           
[ Chain’s Part ]
               
ผมมาส่งตรีที่คณะเป็นครั้งที่สองเพราะเมื่อคืนหมอนั่นเมามากจนต้องทิ้งรถไว้ที่ร้านเหล้า ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธและพยายามรั้นจะโทรให้เพื่อนมารับ ด้วยเหตุผลว่าผู้ชายนั่งซ้อนสปอร์ตไบค์กันมันเป็นภาพที่ประหลาดเกินไป (เหรอวะ?)
               
แต่จะดื้อไปทำไมในเมื่อก็รู้ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมผมอยู่ดี -_-
               
ผมเลยแก้ความอายให้คนหน้าบางด้วยการเอาหมวกกันน็อกให้เขาสวมเหมือนคราวก่อน ถึงจะยังดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้ผมมาส่งจนได้
               
และไหนๆ ก็มาที่คณะเขาแล้ว ตรีจึงพาผมไปยังสถานที่ที่ฝังเจ้าเต...
               
เรื่องนี้ผมยังสะเทือนใจไม่หาย ถึงจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก เพราะเห็นอีกคนร้องไห้จนคิดว่าตัวเองควรเป็นฝ่ายปลอบมากกว่าจะมาชวนกันฟูมฟาย แต่ในใจผม ก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวเล็กต้องจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา
               
“นี่ ชาติหน้าแกจะยังเกิดเป็นแมวอีกมั้ย” ผมถามหลังจากนั่งลงวางดอกไม้บนหลุมศพ ข้างดอกไม้ช่อเล็กๆ ของตรีที่วางอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะรู้ว่าเจ้าเตคงตอบไม่ได้ และคงไม่มีทางได้ยิน ผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี

“ถ้าเกิดมาเป็นแมวอีก ก็อย่าลืมหลงมาหาพวกฉันอีกนะ” ผมยิ้ม ความเศร้าถูกทดแทนด้วยความหวังดีที่อยากจะส่งเจ้าตัวเล็กไปอยู่ในที่ที่ดี 
               
หวังว่ามันจะหลับสบาย
               
“ขอโทษ” เสียงทุ้มของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหงอยๆ นั่นแล้วอดไม่ได้ที่จะอยากทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป
               
“ขอมือหน่อย” ว่าพลางยื่นมือออกไป ตรงหน้าเขา
               
ตรีเปลี่ยนสีหน้าเป็นงุนงง แต่ก็ยอมยื่นมือมาให้ผมจับอย่างไม่มีสติ ผมยิ้มมุมปากที่เห็นเขาว่าง่ายกว่าที่คิด ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น แล้วหันมาพูดกับเจ้าตัวเล็กที่หลับอยู่ใต้ผืนดินอันสงบ
               
“หลับให้สบายเถอะ...พ่อจะดูแลแม่แกเอง ไม่ต้องห่วง” ประโยคหลังผมแอบหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของฝ่ามือร้อนๆ ที่ถึงกับชะงักแล้วชักมือกลับทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางพลางบ่นอะไรพึมพำคนเดียว
               
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเศษดินออกจากกางเกง
               
“ไปเถอะ” ผมบอก เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้หมอนี่อาจจะอยากร้องไห้ออกมาอีกก็ได้ แล้วผมก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนมาปลอบแล้ว       

พูดแล้วก็เหนื่อยใจเหมือนกันแฮะ ตรีเอาแต่โทษตัวเองที่เจ้าเตตาย ทั้งที่ฟังจากที่เขาเล่า ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ผมไม่ใช่คนดีอย่างตรี เพราะฉะนั้นในใจผมถึงได้แค้นผู้หญิงคนนั้นที่หึงจนไม่ลืมหูลืมตา
               
คนเรา เสียสติถึงขนาดนั้นได้ยังไงวะ
               
แต่ตอนที่ได้ยินว่ายัยนั่นหึงเพราะผม ถึงจะโกรธแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแอบรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ผมเจอเธอแค่สองครั้งเท่านั้น และอาจจะเผลอแสดงอารมณ์ที่ไม่ควรออกไป แต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะชัดถึงขนาดที่ผู้หญิงคนนั้นจะจับได้
               
แต่ขนาดยัยนั่นจับได้ แล้วทำไมคนที่ผมอยากให้รู้ถึงดูไม่ออกสักที...
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มันเป็นการระบายความรู้สึกที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ต่อหน้าผู้ชายอีกคนที่คงจะเป็นกังวลและเริ่มโทษตัวเองอีกครั้งถ้าเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ดี เป็นเมื่อก่อนถ้าไม่ได้ดั่งใจ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยผมคงสบถคำหยาบ หรือไม่ก็ทำลายข้าวของไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมแคร์ความรู้สึกหมอนี่จนใช้วิธีระบายอารมณ์โง่ๆ แบบนี้
               
"?" ตรีหันมามองหน้าผมอย่างงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจเสียงดัง จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมเขาแรงๆ อย่างหมั่นไส้

ช่วงนี้หมอนี่ไม่ค่อยโวยวายหรือทำท่าขยาดเวลาผมแตะเนี้อต้องตัวเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยชิน หรือเพราะเหนื่อยที่จะโวยวายแล้วกันแน่ ขนาดเมื่อวานผมเผลอหลับบนเตียงแทนที่จะลงไปนอนที่พื้น เขาก็ไม่ว่าอะไร... หรือแม้กระทั่งตอนที่โดนผมจูบก็เหมือนกัน

ตอนนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะปลอบคนตรงหน้ายังไง ผมไม่ใช่คนเข้าอกเข้าใจใคร เลยคิดคำพูดปลอบใจดีๆ ไม่เป็น วิธีเดียวที่ผมนึกออก...คือจูบนั่น (อันที่จริง มันมีวิธีอื่นแต่ผมไม่อยากทำนี่หว่า -_-)

มันเป็นความต้องการลึกๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ ตอนนั้นเตรียมใจ
ไว้แล้วล่ะว่าต้องโดนโกรธจนถูกชกสักหมัด แต่อย่างน้อยให้เขาโกรธ ก็ยังดีว่าต้องเห็นใบหน้าเศร้าๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำตานั่นล่ะนะ

แต่ผิดคาด แทนที่จะโกรธ หมอนั่นกลับไม่ว่าอะไรผมสักคำ แถมยังยอมให้ผมนอนข้างๆ อีก
แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ ไม่ใช่หรือไง?

“จะขยี้ให้ผมหลุดหมดหัวเลยเรอะ” ตรีเริ่มทำเสียงไม่พอใจเมื่อผมยื่นมือไปขยี้หัวเขาอีกครั้ง ผมหัวเราะและไม่ยอมหยุด ผมหมอนี่นุ่มไม่แพ้ขนเจ้าเตเลย

เวลาผมคิดถึงเจ้าตัวเล็กจะขอลูบหัวหมอนี่เล่นได้มั้ยนะ?

แต่ขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางเดินผ่านตัวตึกคณะไปยังลานจอดรถอีกฝั่ง สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังเดินอยู่บนชั้นสองพอดี

“เฮ้” ผมส่งเสียงเรียกตรีที่เริ่มเดินนำไปไม่กี่ก้าว “ห้องน้ำไปทางไหน” แกล้งถามทั้งที่สายตาไม่ได้มองหาห้องน้ำเลย

“ตรงนั้นไง” เขาหันมาตอบงงๆ เพราะพวกเราเพิ่งเดินผ่านมา

“อ่อ” ผมส่งเสียงตอบเบาๆ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองทำตัวมีพิรุธ “แยกกันตรงนี้ก็ได้ ฉันไปเข้าห้องน้ำแล้วจะกลับเลย” เดิมทีตรีจะไปส่งผมที่รถ แต่ตอนนี้คงให้เป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว

“อ่า โอเค เอางั้นก็ได้” เขาพยักหน้ารับ สีหน้าเหมือนจะไม่ค่อยเข้าในท่าทางของผมเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร และเดินแยกมา

โดยที่สายตายังคงโฟกัสไปที่ผู้หญิงคนนั้น ที่ผมจำได้ดีว่าเธอชื่อทองกวาว
               
ผมแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับออกมาเมื่อแน่ใจว่าตรีจะไปแล้ว โชคดีที่ขาผมยาวพอที่จะสาวเท้าตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไป และเห็นแผ่นหลังบางของเธอในที่สุด
               
และโชคดี ที่เธออยู่ตรงนี้คนเดียว
               
“ทองกวาว” ผมตะโกนเรียก ร่างบางจึงหันกลับมาอย่างสงสัย
               
ใช่จริงด้วยแฮะ
               
“พะ...พี่เชน” เสียงหวานอึกอักทันทีที่เห็นหน้าผม ผมแสยะยิ้มและเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว คนตัวเล็กกว่าหมุนตัวทำท่าจะวิ่งหนี
               
เป็นเรื่องโง่เง่าที่เธอคิดว่าจะหนีผมทัน
               
ปึก!
               
ผมคว้าร่างบางไว้โดยที่เธอยังก้าวไปไม่ทันถึงสามก้าวด้วยซ้ำ และเพราะออกแรงมากเกินไป จึงเผลอเหวี่ยงจนแผ่นหลังของเธอกระแทกกับผนังด้านหลังจนเกิดเสียงดัง แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
               
“สวัสดี” ผมยกริมฝีปากทักทาย หลังจากขยับเข้าไปชิดจนร่างบางแทบจะฝังตัวลงไปกับผนัง และขังเธอไว้ด้วยแขนข้างซ้ายที่กำข้อมือเล็กชูไว้เหนือหัว

“พะ... พี่เชนคะ” เธอยังคงทำอะไรไม่ได้นอกจากละล่ำละลักเรียกชื่อผมด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
               
หมอนั่นใจอ่อนให้ใบหน้าแบบนี้สินะ
               
“โอ๊ย! พี่เชน กวาวขอโทษจริงๆ ค่ะ กวาวไม่ได้ตั้งใจ” เธอร้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวและพยายามจะแกะมือผมออกจากข้อมือตัวเองเมื่อผมเผลอออกแรงบีบหนักกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
               
“ขอโทษ? หึ!” ผมแค่นหัวเราะ และปล่อยมือ ไม่ใช่เพราะเห็นใจที่เห็นเธอเจ็บจนร้องไห้

แต่เพราะแค่บีบข้อมือ มันยังไม่สาแก่ใจ
               
“อย่างที่รู้ ตรีใจดีเกินไป ก็เลยไม่เอาเรื่องเธอ” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปที่ลำคอขาวๆ นั่นและออกแรงบีบเบาๆ “แต่ฉันไม่ใช่”

“อึก...” ผู้หญิงตรงหน้าเบิกตากว้างชะงักไปเมื่อถูกฝ่ามือของผมกดที่หลอดลม

“เธอทำอะไรไว้ ก็ต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน” ผมออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกคำที่พูด จนคนตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาใสๆ เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า

ใจจริงผมอยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ อยากจะบีบคอเล็กๆ นี่ให้แหลกคามือ ให้ยิ่งกว่าที่เธอทำกับเจ้าเต แต่ถ้าทำแบบนั้น จะมีผู้ชายอีกคนที่รู้สึกผิดแทนผม และไม่ยอมให้อภัยตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมพลั้งมือทำร้ายผู้หญิงคนนี้

เพราะอย่างนั้นผมจึงคลายมือออกหลังจากที่ร่างเล็กในกำมือเริ่มน้ำตาไหลอาบแก้มและตะเกียกตะกายที่จะหายใจอย่างทุรนทุราย

“ฮึก...ฮือออออ” ร่างบางทรุดตัวลงปล่อยโฮทันทีที่ผมปล่อยมือ

แต่แน่นอนว่าผมไม่ใช่ตรี ผมจึงมีแต่ความสมเพชให้เธอมากกว่าจะสงสาร

“ฉันไม่ได้ขู่” ผมว่าพลางปรายตามองลำคอขาวที่มีรอยฝ่ามือของผมทิ้งไว้จนมันแดงไปหมด ก่อนจะยกมุมปาก ยิ้มให้กับร่างเล็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว

“รอรับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้เลย”




---------------------------------------
เกือบลืมไปแล้วนะว่าพี่เชนเป็นคนร้ายๆ
อยู่กับตรีละมุ้งมิ้งเชียว 5555

 :ling1:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-04-2016 17:14:45
ตรี กับเชน ดีกันแล้ว
ตรียังมึนๆ แม้จะรับจูบ รับสัมผัสจากเชน
นอนหลับไปด้วยกันบนเตียง โดยไม่ต่อต้าน :ling1: :mew1:
กวาว รับผลการกระทำของตัวจากเชนซะดีๆ
รอตอนใหม่ :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 06-04-2016 19:08:57
เชนสายโหดก็มา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 06-04-2016 20:08:13
จะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกไหม  :hao3:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 5/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-04-2016 22:56:08
เฮือกพี่เชนคนโหด เอาล่ะอีเจ๊ทองกวาว รอรับผลกรรมได้เลย ตรีแม่งก็คนดีเกิ๊นนนน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 21 [ 7/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-04-2016 18:09:33
21
มิตรภาพ
 
               
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เห็นทองกวาวอีกเลย…
               
ผมตกใจมากที่อยู่ๆ เธอก็หายไป และคิดว่าเพราะผมเป็นต้นเหตุ จึงร้อนใจจนเผลอลืมสิ่งที่เธอทำและพยายามโทรหาด้วยความเป็นห่วง แต่กลับติดต่อไม่ได้เลย เพื่อนๆ ของเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทองกวาวหายไปไหน แต่น่าแลกที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่นัก

ผมแวะไปหาที่หอก็ไม่มีคนอยู่ ผมเป็นห่วงจนเกือบจะไปขอที่อยู่จากฝ่ายบุคคลเพื่อไปหาเธอที่บ้านแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากพี่ชบาไม่มาบอกก่อนว่าทองกวาวมีปัญหาทางบ้าน จนต้องดร็อปเรียนไป
               
แต่ว่า ทองกวาวมีปัญหาทางบ้านจริงๆ น่ะเหรอ...
               
 มันประจวบเหมาะกันเกินไปหรือเปล่า?
               
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมเอาแต่คิดมากเรื่องนี้ จนเชนคงจะรำคาญและเตือนสติว่า ผมควรคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เธอทำ แล้วเลิกเห็นอกเห็นใจเธอสักที
               
ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ นี่หว่า
               
“อะไรเนี่ย” เสียงทุ้มดังขึ้นมาข้างหูขณะที่ผมกำลังยืนมองรูปถ่ายคอลเลคชั่นใหม่ของตัวเองที่เพิ่งจะปริ๊นมาแปะไว้บนผนัง มันเป็นรูปของเจ้าเตที่ผมถ่ายไว้ รวมถึงรูปจากโทรศัพท์มือถือเชนที่เขาเคยเอามาให้ดูด้วย
               
“คอลเลคชั่นเจ้าเต...!” ผมหันไปยิ้มตอบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าใบหน้าของร่างสูงที่กำลังชะโงกผ่านไหล่ผมไปดูรูปบนผนังมันอยู่ใกล้มากซะจนปลายจมูกผมเฉียดแก้มเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
               
“เห่อชะมัด” เขายิ้มมุมปาก พลางยืดตัวขึ้นเต็มความสูงขณะที่ผมเขยิบตัวหนีออกมาก้าวใหญ่พร้อมกับยกมือเกาคางแก้เก้อ
               
ทำไมพักนี้หมอนี่ชอบเข้ามาใกล้ผิดปกติแบบนี้ตลอดเลย
               
“ไม่เห็นรู้เลยว่าถ่ายรูปสวยขนาดนี้” เขาว่าพลางพิจารณารูปที่แปะอยู่บนผนังไปเรื่อยๆ ท่าทางจะไม่ทันสังเกตว่าผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนใส่

...ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนทำให้ใบหน้าของผมร้อนขนาดนี้แท้ๆ

“ขะ...ขอบคุณ” ผมอึกอักและทำเป็นหันไปสนใจรูปที่ถูกแปะไว้บนผนังบ้าง
               
ปกติผมเป็นคนชอบถ่ายภาพอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นธรรมดาของเด็กสถาปัตย์ก็ได้ ที่ชอบเก็บภาพสถานที่หรือเหตุการณ์ประทับใจต่างๆ เอาไว้ทั้งรูปถ่ายหรือรูปสเก็ต แต่ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปสวยหรือเข้าขั้นโปรเฟสชั่นนอลอะไรหรอกนะ ก็แค่ถ่ายไว้เป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น
               
“ขอรูปนี้ได้มะ” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็หันมาถาม ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองกำลังลอบมองเขาอยู่
               
ผมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนั่นทำผมชะงัก ก่อนจะอึกอักและหันไปมองภาพที่เขาชี้มึนๆ มันเป็นรูปถ่ายเซลฟี่ที่รวมผม เชน และเจ้าเตไว้พร้อมหน้า เป็นรูปเดียวในบรรดารูปทั้งหมดที่มีพวกเราสามคนครบ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้เพราะตอนถ่ายผมดันลืมปิดแฟลช ทำให้ทันทีที่กดชัตเตอร์แสงแฟลชที่สว่างวาบขึ้นมาทำเอาพวกเราหน้าเหวอด้วยความตกใจทั้งคนทั้งแมว โดยเฉพาะผมที่ต้องหลับตาปี๋เพราะอยู่ด้านหน้าสุด ถึงมันจะเป็นภาพที่หน้าทุกคนดูตลกมากก็ตาม แต่ผมก็ชอบรูปนี้ที่สุดเหมือนกัน
               
“เอาสิ” ผมตอบยิ้มๆ ยังไงผมก็มีไฟล์ต้นฉบับเก็บไว้อยู่แล้ว ไปปริ๊นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้
               
ผมเลิกคิ้วมองมือหนาที่ดึงรูปออกจากผนัง แล้วเดินไปหยิบกีตาร์ของตัวเองขึ้นมาอย่างงงๆ เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรสักอย่างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบกรรไกรกับเทปที่ผมใช้แปะรูปเมื่อกี้ออกมา เพื่อแปะรูปถ่ายใบนั้นลงกับหลังกีตาร์โปร่งของตัวเองด้วยท่าทางเงอะงะจนผมอดยิ้มขำออกมาไม่ได้
               
 “มา เดี๋ยวช่วย” ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ร่างสูงที่ถูกเทปกาวพันนิ้วเป็นรอบที่สอง และแย่งมันมาสั่งให้เขาจับรูปไว้และผมเป็นฝ่ายแปะให้แทน
               
“แปลกๆ แฮะ” ผมขมวดคิ้วมองด้านหลังกีตาร์ใบโตที่มีรูปถ่ายซึ่งมีใบหน้าแสนน่าเกลียดของตัวเองอยู่ในนั้นด้วย “เอาออกเหอะ” ผมหันไปนิ่วหน้า แต่ฝ่ามือหนาก็แย่งกีตาร์ออกจากมือผมไปเสียก่อน
               
เขามองรูปถ่ายที่แปะอยู่ด้วยสีหน้าพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะตีหน้ามึนทำเป็นดีดกีตาร์เล่น ไม่สนใจท่าทางไม่พอใจของผมที่เพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรช่วยเขาแปะเลย มันประหลาดจริงๆ นะ พอเห็นหน้าตัวเองแปะอยู่บนกีตาร์คนอื่นเนี่ย อย่างน้อยตัดหน้าผมออกเหลือแค่เขากับเจ้าเตก็ได้เอ้า
               
ยิ่งพอเห็นเขาทำเป็นดีดกีตาร์อารมณ์ดีแบบนั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะเบ้หน้าใส่อย่างหมั่นไส้ ดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจกวนประสาทผมชัดๆ แต่กวนได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของร่างสูงก็ดังขึ้นมา เขาหยิบมากดรับโดยไม่พูดอะไร เพียงไม่กี่วิก็กดตัดสายด้วยใบหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

อะไรวะ
               
“คอลเซนเตอร์เหรอ?” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม
               
มันจะมีสักกี่กรณีกันที่คนเราจะกดรับโทรศัพท์แล้วตัดสายในเวลาอันรวดเร็วด้วยใบหน้าเรียบเฉยขนาดนั้น
               
เชนขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจคำถามผม ก่อนจะตอบ “เปล่า ไอ้เตอร์ มันโทรมานัดไปซ้อมดนตรี”
               
 “...” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ความรู้สึกผิดซ้ำๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

หลังจากวันที่ผมเบี้ยวไม่ยอมไปแข่ง ผมก็ไม่ได้เจอพวกเขาอีกเลย เชนบอกว่าวันนั้น The Quantum ไม่ได้ขึ้นเวทีด้วยสาเหตุสมาชิกไม่พร้อม... ไม่ใช่แค่ผม แต่เชนเองก็หายตัวออกมาตามหาผมทันทีที่ผมขาดการติดต่อไปทั้งที่เหลือเวลาเตรียมตัวไม่ถึงชั่วโมง พอเหลือสมาชิกแค่สองคน พวกเขาก็ไม่สามารถขึ้นแสดงได้ จะหาใครมาแทนก็ไม่ทันแล้ว
               
มันเป็นความผิดของผมเองที่มัวแต่เป็นห่วงเจ้าเต จึงรีบพามันไปโรงพยาบาลจนลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วย แถมยังมีความคิดเห็นแก่ตัวว่าดีแล้วที่ไม่เอาไป ผมจะได้หนีหน้าได้โดยไม่รู้สึกผิดนัก แต่เมื่อเห็นมิสคอลเป็นร้อยๆ จากเชนและเตอร์ มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า ถึงเชนจะบอกว่าเตอร์เข้าใจเหตุผลของผม แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดี พวกเขาซ้อมหนักขนาดนั้นมาเป็นเดือนๆ ก่อนผมจะเข้าวงเสียอีก

แต่เป็นเพราะผมคนเดียว...ทุกอย่างมันเลยพังหมด
               
“ไปด้วยกันมั้ย?” เสียงทุ้มถามขึ้นมาขณะที่ผมเอาแต่คิดเรื่องซ้ำซากอยู่คนเดียว
               
“ไปไหน” ผมเงยหน้าถามงงๆ
               
 “ซ้อมไง” เขาตอบนิ่งๆ “ไอ้เตอร์มันถามหาอยู่พอดี”
               
“ถามหาฉันเหรอ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองอย่างประหลาดใจ
               
“อืม มันบอกว่า ‘ลากไอ้ตรีมาด้วย!’ ” ประโยคหลังเขาดัดเสียงเป็นเสียงโหดๆ ของเตอร์ได้เหมือนเป๊ะ จนผมชะงักไป

“จริงเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่แปลกใจกับตัวเอง 

ที่เตอร์อยากเจอผม คงมีไม่กี่เหตุผล คือเรียกไปด่า หรือชกหน้าสักที
               
แต่เป็นแบบนั้นก็อาจจะดีเหมือนกัน...
               
“ไปมั้ย?” เชนย้ำคำถามอีกรอบ ผมลังเลสักพัก ก่อนจะพยักหน้า
               
“อืม”
               
ผมชอบพวกเขามาก ดังนั้นถ้าการอัดผมมันจะทำให้พวกเขาหายโกรธ ผมก็เต็มใจ เพราะไม่อยากสู้หน้าพวกเขาไม่ติดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว
               
“เมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที” ไม่ว่าเปล่า ฝ่ามือหนายังเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ เหมือนทุกครั้งที่ผมกำลังคิดโทษตัวเองไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
               
คราวนี้ผมอดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวหนีพร้อมกับโวยวาย “แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเล่นหัวสักทีฮะ”
               
ช่วงนี้เขาถึงเนื้อถึงตัวผมบ่อยเกินไปจริงๆ นะ โดยเฉพาะขยี้ผมเนี่ย เล่นมากๆ เดี๋ยวก็หัวล้านกันพอดีหรอก!
               
“คิดถึงเจ้าเต” พอถูกผมปัดมือออก อยู่ๆ ร่างสูงก็นิ่งไป แล้วพูดออกมาด้วยใบหน้า (แกล้ง) เศร้า
               
“...”
     
ไหงทำหน้างั้น
               
“ขอลูบหัวหน่อย”
               
“...”
               
“ไม่ได้เหรอ?” 
               
“ครับ”
               
แล้วทำไมสุดท้ายผมถึงเป็นฝ่ายยื่นหัวไปให้เขาเล่นซะเองล่ะวะเนี่ย!?


10.00 P.M.

ผมกับเชนมาถึงผับตอนสี่ทุ่มพอดี มันออกจะแปลกสักหน่อยที่นัดเวลานี้ เพราะปกติพวกเราจะซ้อมกันช่วงเย็นก่อนผับเปิดเพราะถ้าวันไหน The Quantum มีแสดง พวกเขาจะได้มีเวลาพักก่อนโชว์ แต่ดูเหมือนตั้งแต่ที่วินไปเรียนแลกเปลี่ยน The Quantum ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีอีกเลย ผมเกือบจะโทษตัวเองว่าเป็นเพราะผมหายหัวไป จึงทำให้คนไม่พอแสดงแล้ว แต่เชนก็ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าวินที่อยู่เมืองนอกจะน้อยใจที่ไม่ได้เล่นด้วยกันต่างหาก และที่นัดซ้อมทั้งๆ ที่ไม่มีแสดง เป็นเพราะพวกเขายังไม่อยากแยกย้ายและลืมเรื่องวงไปก่อน เพราะถ้าทำแบบนั้น สุดท้ายทุกคนก็จะลืมมันไปจริงๆ

ผมเดินตามเชนเข้ามในร้านที่คนยังคงพลุกพล่านเหมือนเคย ก่อนจะชะงักไป เมื่อพบว่าคนที่เล่นดนตรีอยู่บนเวทีคือเตอร์กับต้าที่มีเครื่องดนตรีในมือเป็นกีตาร์โปร่ง และกลองคาฮอน พวกเขาเปลี่ยนมาเล่นเพลงโฟล์คซองฟังสบายๆ ขัดกับลุคนิ่งๆ โหดๆ ของตัวเองแต่กลับฟังลื่นหูจนทำเอาผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขามาจากวงดนตรีร็อก

“ไหนบอกว่าจะไม่แสดงไง” ผมหันไปถามเชนที่ยืนล้วงกระเป๋ามองอยู่ข้างๆ

 “บอกว่า The Quantum ไม่แสดง ไม่ใช่ไอ้สองคนนั่นสักหน่อย” เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

กวนประสาทจริงๆ -_-

“แล้วนายไม่ต้องไปเล่นด้วยเหรอ” ผมถามต่อ

“ไม่ล่ะ” ว่าพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหน้าตาเฉย “ฉันไม่ได้เป็นตัวเรียกลูกค้าแบบพวกมัน”

“อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ

ที่ผ่านมา The Quantum เป็นวงหลักเรียกลูกค้ามาโดยตลอด ด้วยฝีมือระดับเทพของสมาชิกในวงและเสียงร้องอันมีเอกลักษณ์ของเตอร์ที่ติดหูคนฟังได้อย่างไม่ยากเย็นทำให้ช่วงแรกๆ ที่ร้านเปิด คนพูดถึงวงดนตรีมากกว่าตัวผับเองซะอีก ถึงปัจจุบันที่นี่จะมีชื่อเสียงและยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่การที่อยู่ๆ The Quantum เลิกเล่นไป ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ก็คงส่งผลกระทบอยู่บ้าง อย่างน้อยการให้สองคนนั้นมาเล่นดนตรี ก็คงจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดึงลูกค้าเอาไว้ อีกอย่าง เตอร์เป็นหุ้นส่วนของร้าน การให้เขามาเล่นเองยังไงก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการไปจ้างวงดนตรีใหม่อยู่แล้ว

วู้วว~

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่การแสดงจบลง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขนาดมีแค่สองคนยังเรียกเสียงฮือฮาได้ขนาดนี้ พวกเขานี่มันสุดยอดจริงๆ
               
“ได้เวลาแล้วมั้ง” ผมได้ยินเสียงแว่วๆ ของคนข้างๆ จึงหันไปมอง แต่เพราะว่าในนี้มันเสียงดังเกินไปจึงได้ยินไม่ชัดนัก แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาพูดอะไร เชนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงบอกคนบนเวทีว่าเขามาแล้ว ผมเห็นเตอร์ตอบรับ สายตามองมาที่ผมพลางแสยะยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นวางกีตาร์โปร่งลงข้างตัวแล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดใส่ไมค์
               
“มาจนได้นะมึง”
               
“!?” พะ...พูดกับผมเหรอ?
               
“หึ” สายตาของเตอร์และเสียงหัวเราะของคนข้างตัวยิ่งตอกย้ำว่าคนที่เตอร์พูดถึงคือผมจริงๆ และเพราะเขาพูดใส่ไมค์ จึงทำให้ตอนนี้คนรอบตัวเริ่มมองมาเป็นสายตาเดียวจนผมเกร็งไปหมด
               
อะไรเนี่ย??
               
“วันนี้พวกเรามีการแสดงพิเศษ สำหรับคนที่คิดถึง The Quantum โดยเฉพาะ” เสียงกรี๊ดและโห่ร้องดังขึ้นมาอย่างถูกใจทันทีที่เตอร์ประกาศไปแบบนั้น
               
ส่วนผมก็ยังคงยืนงงอยู่เหมือนเดิม
               
“ไปเหอะ” และยิ่งงงหนักเมื่ออยู่ๆ คนข้างตัวโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นทำท่าจะเดินไปที่เวที
               
ดะ...เดี๋ยวสิ! ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้กันฟังเลยหรือไง??
               
“จะไม่ไปเหรอ?” พอเห็นว่าผมยังยืนนิ่ง ร่างสูงจึงหันกลับมาเลิกคิ้วถาม
               
“...” ผมอ้ำอึ้ง
               
“หรือต้องให้พี่จูงมือไปครับ?” มุมปากบางแสยะยิ้มร้ายกาจพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าผม
               
คะ...ใครจะไปต้องการแบบนั้นวะ
               
ผมยืนมองหน้าเชนสลับกับเตอร์บนเวทีด้วยความลังเล พวกเขาตกลงอะไรกันไว้ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ ผมโดนเล่นแล้ว
               
ไม่รอให้ผมได้ตัดสินใจนาน เตอร์ที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนก็ยกมือขึ้นกวักมือเรียกช้าๆ ด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่นิ้วทั้งห้าจะลดเหลือแค่สาม... สอง...
               
และก่อนที่มันจะเหลือหนึ่งผมก็ตัดสินใจสาวเท้ายาวๆ ไปบนเวทีทันที ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอขณะที่เดินผ่านร่างสูงของเชนและได้แต่หันไปทำหน้าคาดโทษใส่เขา หัวใจผมเต้นแรงมากตอนขึ้นที่ขึ้นเวทีและเตอร์ก็ส่งกีตาร์มาให้ เชนยืนประจำตำแหน่งมือเบสแทนวินเหมือนทุกครั้ง เขาหันมามองอย่างขบขันเมือเห็นว่าผมยังเหวออยู่
               
และยิ่งเหวอหนักเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเตอร์
               
“ต้องขอบคุณไอ้วิน ที่เสือกไปเมืองนอก ทำให้เราได้สมาชิกใหม่หน้าใสกว่ามาแทน” ว่าพลางหันมายิ้มมุมปากให้ผม คนในร้านจึงยิ่งหันมามองกันใหญ่จนผมต้องก้มหน้าหนีแสร้งทำเป็นจูนสายกีตาร์ทั้งที่สมาธิหลุดกระเจิง
               
ให้ตาย มือผมสั่นไปหมด ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้สักหน่อย
               
“ถ้าใครสนิทกับมือเบสคนเก่าของเรา ฝากบอกแม่งด้วยนะครับว่าถ้าขืนกลับมาช้า ก็เตรียมตัวเสียน้ำตาได้เลย เพราะผมกำลังจะนอกใจมาหาน้องเขาจริงจัง” คราวนี้เตอร์เดินเข้ามากอดคอแถมยังขยี้หัวผมแรงๆ อีกต่างหาก
               
และขณะที่ผมได้แต่ยืนหน้าเหวอทำตัวไม่ถูก เสียงแปะเบาๆ ก็ดังขึ้นจากการที่ฝ่ามือหนาของใครอีกคนกระทบลงมาบนหัวนักร้องนำที่ยังคงเล่นสนุกไม่เลิก เป็นเชนนั่นเองที่เดินมาตบหัวเพื่อนด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก เขามองผมสลับกับเตอร์ ก่อนจะยิ้มมุมปากพลางชี้นิ้วมาที่ผมก่อนจะหมุนเข้าหาตัว
               
“คนนี้ของกู”
               
ถึงเขาจะไม่ได้พูดดัง แต่เพราะยืนอยู่ตรงไมค์ เสียงทุ้มต่ำจึงถูกขยายเข้าลำโพงจนได้ยินกันทั้งผับ เสียงโห่ร้องพร้อมกับเสียงหัวเราะถูกใจดังขึ้นทันทีที่ได้เห็นโมเมนต์หยอกล้อกันของสมาชิกวงที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก เพราะ The Quantum ไม่ใช่วงดนตรีสายเอนเตอร์เทน พวกเขาแทบจะไม่พูดด้วยซ้ำ เวลาทำการแสดง
               
คงมีแต่ผมแหละที่ขำไม่ออกเพราะอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
               
เล่นบ้าอะไรกันเนี่ย...
               
เตอร์หัวเราะอย่างพอใจ ก่อนจะผละออกจากผมกลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิมอีกครั้งเขาเสียบไมค์ลงกับขาตั้ง เงียบลงสักพักเพื่อรวบรวมสมาธิ ก่อนจะหันมามองผมนิ่งๆ แล้วยิ้ม
               
“มามันให้ตายกันไปข้าง”
               
คำพูดนั้นแม้ไม่ใช่การตะโกนปลุกระดม แต่มันก็เรียกอะดรีนาลีนในร่างกายผมให้สูบฉีดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และทันทีที่เสียงกลองของต้าดังขึ้น นิ้วเรียวก็ละเลงไปตามสายทั้งหกทันทีโดยที่พวกเขาไม่ต้องบอกเลยว่ากำลังจะเล่นเพลงอะไร ผมเห็นเตอร์ยิ้มอย่างพอใจและเริ่มเปล่งเสียงร้องทรงพลังของเขาออกมาสะกดผู้คนมากมายที่ยืนมองให้เริ่มขยับตัวไปตามจังหวะเพลงร็อกแสนหนักแน่นที่ถูกส่งไป

ผมเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่คู่ควรจะมาเป็นส่วนหนึ่งในเสียงดนตรีของพวกเขา แต่ตอนนี้...ช่างหัวความเหมาะสมมันปะไร แค่ได้มีโอกาสได้เล่นดนตรีอย่างสนุกแบบนี้สักครั้งในชีวิต ก็ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว
               
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นดนตรีกับพวกเขา แต่คราวนี้มันต่างกันลิบลับ หลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด การได้มายืนอยู่ตรงนี้ราวกับการได้รับการเยียวยาจากเสียงดนตรีที่ทรงพลังพอที่จะกระชากความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นออกไปจากใจ ผมเพิ่งรู้ตัววันนี้เองว่าพวกเราซ้อมกันมาหนักมาก ผ่านนิ้วมือที่ขยับไปตามสัญชาตญาณโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับอะไร
               
ถ้าไม่ได้เล่น คงเสียดาย
               
พวกเขาคงรู้ความรู้สึกนี้ จึงให้เชนพาผมมา... 
               
ดนตรีที่กำลังเล่นอยู่ ไม่ได้เกิดจากการต้องการแกล้งให้ผมเสียหน้าจึงเรียกมาเล่นโดยไม่บอกกล่าว ท่าทางของพวกเขาไม่ได้แสดงถึงความโกรธหรือกล่าวโทษในความผิดของผมเลยสักนิด แต่กลับให้อภัยผมผ่านเสียงดนตรีที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สิ่งที่พวกเราทุ่มเทมา มันงดงามคุ้มค่ามากแค่ไหน
               
ผมหันกลับไปมองเชนซึ่งยื่นอยู่อีกฝั่งของเวทีและพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน เราสบตากันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ นิ้วเรียวสวยยังคงไล้ไปตามสายเบสขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสื่อความหมายบางอย่างออกมา
               
สายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า เห็นมั้ย...ไม่มีใครโกรธนาย
               
ผมหัวเราะ เบือนหน้าหนีด้วยความอายแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสบตากับร่างสูงอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ดังก้องอยู่ในใจ
               
“ขอบคุณครับ”
               
ขอบคุณจริงๆ... ที่เข้ามาในชีวิตผม





---------------------------------------------
เราจะไม่บอกว่าพี่เชนทำอะไรกับทองกวาว ฝากไปจินตนาการกันเอาเองนะคะ 55555
ส่วนตัวชอบตอนนี้มาก เขียนเกี่ยวกับวงดนตรีทีไรรู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก
คงเพราะชอบผู้ชายเล่ยดนตรีเป็นการส่วนตัว 5555

ตรีเหมือนจะเริ่มรู้หัวใจตัวเองนิดๆแล้ว
อยากให้คบกันเร็วๆ เนอะ

 :hao5:


-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 21 [ 7/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-04-2016 20:23:38
เชนโหด แล้วกวาวหายไปเลย :katai2-1:
ยังไงเจ้าเต ทำให้ ตรี เชน ไม่ห่างกัน บรรยากาศเริ่มเป็นสีชมพู  :hao3:
ตรีเริ่ม เข้ากับกลุ่ม ควอนตัม ได้ เพราะ เชน เตอร์  :mew1:
ชอบ  รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 21 [ 7/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-04-2016 20:37:42
ยังเศร้าเรื่องเจ้าเตไม่หาย
ดีนะมีรูปไว้ดูแก้คิดถึง
เอ้าเชียร์พ่อแม่เขาลงเอยกันสักที
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 21 [ 7/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 07-04-2016 21:37:22
เราจะไม่จินตนาการว่าเชนทำอะไร เพราะเดี๋ยวมันจะโหดเกินไป 555555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 21 [ 7/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ammie_mn ที่ 08-04-2016 16:38:24
สะเทือนใจกับการจากไปของเจ้าเตมาก น้ำตาซึมเลยแต่ก็ดีใจที่พ่อแม่เค้าเคลียร์กันแล้ว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-04-2016 18:10:17
22
ความหวัง
 
           
หลายวันผ่านไป
เพราะดันเผลอไปรับปากกับไอ้เวสป้าไว้ วันนี้ผมเลยต้องแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อเก็บภาพงานกีฬาประจำปีของมหาวิทยาลัยทั้งที่เพิ่งนอนไปไม่ถึงชั่วโมง ผมมาถึงสนามกีฬากลางของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมด้วยสภาพหน้ามันหัวฟูแถมเนื้อตัวยังเหม็นหึ่งเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ คนรอบข้างอาจจะรังเกียจแต่พวกเราเด็กสถาปัตย์ก็ชินแล้วล่ะกับเรื่องแบบนี้ การนั่งทำงานอยู่ที่สตูดิโอทั้งคืนและออกมาใช้ชีวิตตอนเช้าด้วยสภาพเดียวกันเป็นอะไรที่ปกติมากสำหรับพวกเรา

ถึงจะชินกับความซกมกและการอดหลับอดนอน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลกับชีวิตประจำวันหรอกนะ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น สนามกลางแจ้งที่แดดแสนจะจ้านี่เล่นเอาเนื้อตัวผมเหนอะหนะจนน่ารำคาญ แถมง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว อย่าว่าแต่กดชัตเตอร์เลย แค่พยุงหนังตาไม่ให้หลับยังยาก

ผมกับเวสป้าแยกกันไปถ่ายรูปคนละฝั่งของสนามเพื่อเก็บภาพกิจกรรมให้ทั่วถึง ถึงจะไม่ได้นอนพอกัน แต่ไอ้เวสดูจะกระตือรือร้นกว่าผมมาก คงเพราะกิจกรรมนี้เป็นแหล่งรวมบรรดาสาวสวยของแต่ละคณะไว้มากที่สุดล่ะมั้ง ผมเห็นมันตาลุกวาวทันทีที่เห็นลีดคณะบริหาร แถมยังวิ่งโร่ถ่ายรูปสาวไปทั่วจนลืมสนใจรุ่นน้องของคณะตัวเองที่มาเดินขบวนตั้งแต่ไก่โห่อีกต่างหาก สุดท้ายเลยเป็นผมที่ต้องรับหน้าที่ถ่ายน้องๆ แทน จะว่าไปมันก็ดีกว่าต้องไปถ่ายคนอื่นล่ะนะ เพราะผมเองก็ไม่ได้เฟรนด์ลี่เหมือนไอ้เวสที่กล้าเข้าหาคนไปทั่ว ได้อยู่กับคนคุ้นเคยก็สบายใจที่จะกดชัตเตอร์มากกว่า

แชะ!

ผมยังกดรัวชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ ขณะที่น้องปีหนึ่งหลายคนเห็นกล้องก็หันมายิ้มให้ โดยเฉพาะน้องๆ กระเทยที่แต่งตัวสวยมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทุกคนแข่งกันโพสท่าสุดกำลังจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ทั้งๆ ที่เด็กๆ เองก็เตรียมงานจนไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน แต่ยังอุตส่าห์ยิ้มแย้มกันขนาดนี้ ไฟแรงกันชะมัด ผมนี่ยอมแพ้เลย

“พี่ตรีถ่ายแต่สาวๆ อ้ะ” น้องกระเทยคนหนึ่งทำหน้างอแงใส่ผมหลังจากที่ผมยื่นกล้องไปให้น้องดูรูปที่ถ่ายไว้ตั้งแต่เช้า

“เปล่าครับ พี่ถ่ายทุกคนนั่นแหละ” ผมหัวเราะเขินๆ ปกติไม่ใช่คนคุยเก่งนักจึงไม่ชินที่มีรุ่นน้องที่ไม่ได้สนิทมาคุยด้วยแบบนี้

“มีแต่เด็กคณะเราอ่ะ น่าเบื่อ” อยู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาเบ้ปากใส่หลังจากเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ

“...” จุดนี้ผมไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ

ก็ผมถูกขอให้มาถ่ายกิจกรรมคณะนี่นา

“ถ่ายเด็กวิดวะหล่อๆ ให้น้องมั่งจิ” เธอยื่นหน้าเข้ามากระซิบกับผม พร้อมกับหรี่ตามองไปยังแถวข้างๆ ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมหันไปมองตามแล้วหัวเราะออกมา

“อยากได้คนไหนล่ะ” ผมถามและกวาดสายตามองเด็กวิศวกรรมกว่าร้อยชีวิตที่นั่งนิ่งสู้แดดร้อนๆ รอขึ้นแสตนด์เชียร์อยู่ในสนาม คนมันเยอะเกินไปจนผมแยกหน้าไม่ออกแล้ว แถมทุกคนก็กำลังก้มหน้าเพราะแดดแรง แล้วแบบนี้จะควานหาคนหน้าตาดีง่ายๆ ได้ยังไง จริงมั้ย ฮะๆ

“เอาพี่เชน!” น้องกระเทยตอบอย่างหนักแน่นแม้ว่าเสียงจะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอให้เพื่อนคนอื่นหันมามองและหัวเราะคิกคัก

อา...ผมลืมไปเลยว่ามีเด็กวิศวะอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ก้มหน้า

แถมยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่แถวหน้าทั้งที่แสงแยงตาขนาดนั้นด้วย

มันเป็นจุดที่ผมไม่ค่อยได้หันไปมอง... เรียกว่าพยายามจะไม่หันไปมองน่าจะถูกกว่า ทั้งๆ ที่เป็นจุดรวมสายตาของสาวๆ แทบจะทุกคณะ เพราะการที่พี่ว้ากวิศวะมายืนตามระเบียบพักทำหน้าเข้มกลางแสงจ้าแบบนี้ดูจะไม่ใช่ภาพที่หาได้ง่ายๆ เลย

ผมกระแอมเบาๆ ทันทีที่หันไปเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนร่วมห้องที่ยืนขมวดคิ้วมองตรงไปข้างหน้าอยู่ เหงื่อใสๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและไรผมของร่างสูงจนชุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เช่นเคย

เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมเชนถึงถูกเลือกให้เป็นพี่ว้าก ทั้งดูโหดและหล่อในเวลาเดียวกันแบบนั้น ทำได้ยังไงวะคนเรา

“น้า~ พี่ตรี ถ่ายพี่เชนให้เค้าหน่อยยย” น้องกระเทยคนเดิมยังคงวอแวแกว่งแขนผมไปมา

อยากบอกเหลือเกินว่าเดี๋ยวถ่ายให้วันหลัง จะเอาให้เบื่อขี้หน้ากันไปข้างเลย เพราะยังไงผมก็ต้องเจอหน้าเขาทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดแบบนั้น...น้องเขาก็รู้น่ะสิว่าพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน

เพราะงั้นอย่าบอกดีกว่า

สุดท้ายผมก็ทนแรงตื๊อไม่ไหว ยอมเดินออกจากแถวคณะตัวเองไปยังแถวข้างๆ แกล้งทำเป็นถ่ายไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเดินไปยังด้านหน้าสุดจุดที่คิดว่าจะแอบถ่ายร่างสูงได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเพราะไม่อยากรบกวน

แต่...

แชะ!

วาบ!

ฉิบหาย แฟลชออก!

ผมลนลานยกกล้องลงหมุนไปมาเพื่อดูว่าทำไมแสงแฟลชถึงออกทั้งๆ ที่ผมปิดแล้ว สงสัยตอนที่ผมเอากล้องให้รุ่นน้องดู เธอคงเผลอไปโดนปุ่มเปิดมันเข้า...

พลาดชิบ

ผมยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นดูว่าเชนรู้ตัวหรือเปล่า และก็เป็นไปตามคาด เขาเหลือบตามามองผมพลางเลิกคิ้วนิ่งๆ เหมือนจะถามว่าทำอะไร จนผมได้แต่ผงกหัวยิ้มแห้งๆ กลับไป

แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจที่ถูกแอบถ่าย... หรืออาจจะชินแล้วก็ได้ เพราะผมเห็นช่างภาพจากคณะอื่นๆ ก็วนเวียนมาถ่ายเขาไม่ขาดเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงกดปิดแฟลชแล้วขยับเข้าไปอีกนิดเพื่อที่จะถ่ายรูปเขาได้ใกล้ขึ้น

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอดนอนจนเบลอหรือเพราะความเซ่อส่วนบุคคลกันแน่ ตอนที่ผมกำลังเดินไปข้างหน้า ขามันจึงสะดุดเข้ากับหลุมเล็กๆ บนสนามหญ้าจนหน้าแทบคว่ำ โชคดีที่ทรงตัวได้ทันจึงแค่เสียหลักเล็กน้อยเท่านั้น

“เฮ้ย!”

ถึงเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นเสี้ยววินาทีที่ผมทันเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลส่งเสียงร้องพร้อมกับสะดุ้งสุดตัวด้วยใบหน้าที่เก็บอาการตกใจไม่มิด เพื่อนเขาที่ยืนตามระเบียบพักอยู่ข้างๆ ก็สะดุ้งตามและหันไปมองเชนอย่างงงๆ เขาทำท่าเหมือนจะมารับผมที่กำลังจะล้ม แต่เพราะว่าผมตั้งหลักได้ก่อน ร่างสูงจึงเหวอค้างอยู่อย่างนั้นโดยที่ขาข้างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าหลุดระเบียบโดยไม่รู้ตัว

ผมประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นเขาตกใจขนาดนั้น พอทรงตัวได้ จึงได้แต่หันไปหัวเราะแห้งๆ พึมพำบอกเขาว่าผมไม่เป็นอะไร และเมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติผมก็ยกกล้องขึ้นมากำลังจะถ่ายรูปต่อ

แต่ปฏิกิริยาของร่างสูงที่อยู่หน้าเลนส์ก็ทำเอาผมต้องหยุดชะงัก

เชนกลับไปยืนตามระเบียบพักทำหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่เพราะเหตุการณ์เสียหน้าเมื่อครู่ ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาปิดปากแกล้งกระแอมเบาๆ เพื่อปรับสีหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายเขาก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อปกปิดใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อและรอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาด้วยความอายอย่างปิดไม่มิด เพื่อนคนอื่นๆ ของเขาที่ยืนเก๊กหน้านิ่งอยู่ได้แต่เหลือบมองอย่างงุนงงไม่หายในปฏิกิริยาแปลกๆ ของเพื่อน ส่วนรุ่นน้องที่อยู่ในแถวก็เริ่มหัวเราะคิกคักและชี้ให้คนอื่นดูพี่ว้ากจอมโหดหลุดเก๊กแทบไม่เหลือคราบ

ผมยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบาๆ เช่นกันเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาซึ่งมีผมเป็นต้นเหตุ อยากจะขอโทษจับใจแต่ไม่รู้ทำไมอีกใจหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขมวดคิ้วมุ่นส่งสายตาเชิงตำหนิมาให้ผม ทั้งๆ ที่ยังใช้หลังมือกลั้นยิ้มที่เก็บไม่อยู่ และก่อนที่เชนจะขายหน้าหนักกว่านี้ ผมจึงตัดสินใจหมุนตัวเดินจากมาแม้ว่าจะยังอยากเห็นใบหน้าแดงๆ ที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ ของเขาอีกสักพักก็ตาม

อา ให้ตาย... ผมเผลอทำให้เขาคีพลุคพี่ว้ากตัวร้ายไม่อยู่ต่อหน้าน้องๆ ปีหนึ่งซะแล้ว ทำไงดี


8.23 P.M.

หลังจากที่ทุกคณะแยกย้ายกันขึ้นแสตนด์เชียร์ ผมก็เก็บภาพบรรยากาศได้อีกนิดหน่อย ก่อนที่ไอ้เวสจะมาตามให้กลับ (เพราะถ่ายสาวจนหนำใจแล้ว) ผมไม่ขัดศรัทธาเพราะง่วงมากเหมือนกัน ผมกลับไปอาบน้ำและนอนพักได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องกลับไปทำงานที่คณะอีก เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ยังไม่วายลากผมออกมาดูกิจกรรมเชียร์โชว์ในช่วงเย็น

มันเป็นกิจกรรมที่แทบจะทุกคณะตั้งหน้าตั้งตารอคอย เพราะเป็นเวลาที่ถือเป็นการสิ้นสุดกิจกรรมห้องเชียร์ที่ลำบากตรากตรำกันมายาวนาน กิจกรรมที่รุ่นน้องปีหนึ่งทั้งมหาวิทยาลัยจะได้มาโชว์สปิริตให้คณะอื่นได้เห็น คณะสถาปัตยกรรมเอง ถึงแม้จะไม่มีห้องเชียร์เพื่อขึ้นแสตนด์แปรอักษรเหมือนคนอื่นเขา แต่เราก็มีโชว์ที่ใช้สำหรับโปรโมทกิจกรรมของคณะที่กำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้าเพื่อให้คนได้รู้จักและถือโอกาสเรียกสปอนเซอร์ไปในตัว

ผมกับไอ้เวสแบกกล้องตามมาเก็บภาพกิจกรรมตอนเย็นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะว่าไม่ถนัดถ่ายภาพกลางคืนทั้งคู่ ปล่อยให้รุ่นพี่ที่เซียนๆ เป็นคนรับหน้าที่หลักเก็บภาพไปลงเว็บคณะแทน

“มึงรีบกลับป่ะ” ไอ้เวสหันมาถามผมที่นั่งหาวอยู่กลางสนามหญ้าซึ่งเป็นจุดชมการแสดง

สารภาพตามตรงว่าผมแทบไม่ได้สนใจการแปรอักษรของแต่ละคณะเลย มีแต่ไอ้เวสป้านี่แหละที่ดูตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะเวลาเชียร์ลีดเดอร์ผู้หญิงนุ่งสั้นเต้นท่ายั่วหัวใจชายหนุ่ม (มันเป็นคนพูดงี้เองเลย)

“ก็... ไม่รีบ มีไร” ผมตอบอย่างลังเล หลังจากนี้ผมไม่มีอะไรต้องทำหรอก นอกจากกลับห้องไปหลับให้หนำใจ

“งั้นอยู่ดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนกูหน่อย กูนัดสาวไว้” มันตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“สาวไหน” ผมขมวดคิ้ว

“ลีดบริหาร”

หือ... ได้ข่าวว่ามึงเพิ่งวิ่งโร่ไปขอถ่ายรูปเขาเมื่อเช้าเองไม่ใช่เหรอครับ อะไรจะไฟแรงกันปานนั้น

“แล้วแต่” ผมตอบอย่างขอไปที่ และหันหน้าไปยังแสตนด์คณะวิศวะซึ่งโชว์เป็นคณะสุดท้าย ซึ่งจบลงภายในไม่กี่นาทีต่อมา

หลังจากจบการโชว์สปิริตของแต่ละคณะ ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่สนามหญ้าด้านล่างอีกครั้ง เพื่อดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่สโมสรนักศึกษาจัดหามา ปีนี้เองก็มีวงดนตรีดังๆ มาเล่น ทำให้คนแทบจะล้นสนามกีฬา

“มึงจองที่ไว้ เดี๋ยวกูไปหาน้องเขาก่อน” ไอ้เวสหันมาบอกผม หลังจากพวกเรามาจับจองที่เกือบหน้าเวทีได้ ผมไม่ทันจะได้แย้งอะไร มันก็แวบหายออกไปในฝูงชนแล้ว

นี่ผมต้องยืนรอมันตรงนี้จริงเหรอ? มันจะฝ่าคนเป็นร้อยที่ยืนเบียดเสียดกลับมาหาผมได้จริงๆ เหรอวะ นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่อยู่รอดูคอนเสิร์ตกับมัน ไม่งั้นป่านนี้ได้นอนตีพุงอยู่หอแล้ว ศิลปินที่มาวันนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นแนวที่ผมชอบซะเมื่อไหร่

ผมยืนรอไอ้เวสอยู่ที่เดิมร่วมยี่สิบนาทีได้ แต่มันก็ยังไม่โผล่หัวมา แถมคนยังเบียดเสียดยัดเยียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนักศึกษาเกือบทุกคณะมารวมตัวกันเพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยยากอยู่ข้างล่างนี่จนแสตนด์เชียร์โล่งหมดแล้ว ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะโทรบอกไอ้เพื่อนตัวดีว่ากำลังจะกลับแล้ว

ทว่ากลับมีข้อความจากแชทเฟสบุ๊คเด้งขึ้นมาเสียก่อน
 

‘อยู่ไหน’
 

ข้อความห้วนๆ จากคนที่ไม่เคยคุยกันทำเอาผมขมวดคิ้ว อ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วอ่านชื่อเฟสของคนส่งอย่างงุนงง ถึงขั้นต้องกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์เพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนี้ไม่ได้ส่งข้อความมาหาผิดคน และความจริงก็กระจ่างเมื่อขยายรูปโปรไฟล์ซึ่งเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าคุ้นตาและพบว่ามันคือเฟสบุ๊คของเชน...

อา... ‘Pantakan’ คือชื่อจริงของเขาเหรอ? 

ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงหัวเราะออกมา อาจเป็นเพราะชื่อที่แปลว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ มันดูไม่ค่อยเข้ากับหน้าโหดๆ ของหมอนั่นเท่าไหร่
 

‘หน้าเวที’
 

ผมพิมพ์ตอบกลับไปห้วนพอกัน แล้วไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
 

‘เดี๋ยวไปหา’
 

ผมขมวดคิ้ว รีบตอบกลับ
 

‘ไม่ต้อง จะกลับแล้ว’
 

มันขึ้นว่าอีกฝ่ายซีนแล้วทันทีที่ผมกดส่ง เชนกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างกลับมา และน่าแปลกที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอ
 

‘กลับพร้อมกัน รอหน้าประตู’
 

ผมหัวเราะกับข้อความสั้นๆ นั้น ขณะที่คนรอบตัวกำลังโยกช้าๆ ไปกับเพลงซึ้งๆ ที่ผมไม่ตั้งใจฟัง ทั้งที่มันเป็นข้อความโคตรธรรมดาและแสนจะเผด็จการ แต่ไม่รู้ทำไมพอนึกหน้าหมอนั่นตอนกำลังพิมพ์มันก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ ผมไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไป เก็บมือถือเข้ากระเป๋าและพยายามแหวกฝูงชนที่กำลังอินกับเพลงออกไปข้างนอกที่หายใจได้สะดวกกว่า

ครืดดด~

เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว โทรศัพท์ในกระเป๋ามันก็สั่นขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่ข้อความจากแชทเหมือนเมื่อครู่ เป็นการสั่นเพราะมีคนโทรเข้ามา ตอนแรกผมคิดว่าเป็นไอ้เวสป้า จึงคิดว่าดีเลยจะได้บอกมันว่าผมกำลังกลับ แต่พอหยิบมือถือออกมาดูเบอร์ก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ไอ้เวสป้า

แต่เป็นไอ้ซัน...

ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ทั้งที่ต้องขอบคุณมันแท้ๆ ที่ช่วยเตือนสติผมเรื่องทองกวาว

“ฮัลโหล” ไม่รอให้ปลายสายรอนานไปกว่านี้ ผมกดรับและพยายามเร่งเสียงแข่งกับลำโพงที่ดังกว่าหลายเท่า

[ กูเลิกกับวีแล้ว ] 

“...” ผมชะงัก ไม่แน่ใจว่าเสียงเพลงมันดังเกินไปจนหูเพี้ยน หรือเพราะอะไรผมถึงได้ยินคำพูดนั้นแทนคำทักทายจากเพื่อนเก่า

[ คราวนี้เลิกจริงๆ ฮึก... ] ผมพบว่าตัวเองไม่ได้หูแว่วได้ยินผิดไป เมื่อประโยคต่อมาที่เจือไปด้วยเสียงสะอื้นของปลายสายดังชัดยิ่งกว่าเสียงเพลงที่ดังอยู่ใกล้ตัว

หัวใจผม เหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย น้ำเสียงซีเรียสและเสียงร้องไห้ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่านี่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ

คราวนี้มันจริงจัง

“มึงอยู่ไหน” ผมถาม

และเมื่อได้พิกัดมาผมก็ไม่รอช้าที่จะเร่งฝีเท้าตัวเองจนไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอชนใครไปบ้าง ผมแหวกฝูงชนออกมาได้ในที่สุด และกำลังจะไปที่ลานจอดรถ ถ้าไม่ติดว่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เสียก่อน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เปิดแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊คและเข้ากล่องแชทที่เพิ่งคุยล่าสุด เพื่อพิมพ์ข้อความสั้นๆ บอกผู้ชายอีกคนที่อาจจะกำลังรออยู่ตามนัด
 

‘ขอโทษ กลับด้วยไม่ได้แล้ว ไปก่อนเลย’
 

ข้อความที่ถูกอ่านอย่างรวดเร็ว...

แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ...





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 08-04-2016 18:38:24
ว่าแล้ว ว่าซันต้องกลับมาเป็นตัวแปรอีกรอบ มุ้งมิ้งกันได้ไม่เท่าไหร่ ดราม่าจะมาเยือนหรือเปล่า รอตอนต่อไป  :ling3:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-04-2016 19:04:38
โอ้ ไม่นะ

ความรู้สึกรักซันยังอยู่เหรอ อยากกลับไปคบกับซัน??

อย่าทำร้ายเชนเลย พลีสสสสส
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-04-2016 19:33:03
ซัน ทำให้ตรีเป็นห่วง อีก จะตัดขาดได้หรือ  :hao7: :m16:
แล้วเชนที่เริ่มจะรู้สึกดีๆ ต่อกัน ? :katai1:
 :เฮ้อ:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 08-04-2016 19:39:08
ตรีอย่าทำร้ายเชนนะ ฮือออออ TT
เชนต้องเจ็บอีกแล้ว
#ดราม่าอย่ามาเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-04-2016 01:12:44
เชนจะทนได้อีกนานแค่ไหนนะ
โอ้ย เชียร์เชน #ทีมเชน

 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

.....
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 22 [ 8/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 09-04-2016 10:08:16
+1 ให้กำลังใจกับเรื่องสนุกๆนะคะ
เสียน้ำตาให้เต เศร้ามาก
ตอนนี้สงสารเชนเลย ซันก็น่ะ มาอกหักอะไรตอนนี้
ตอนหน้าขอไม่าดราม่ามากนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 09-04-2016 14:21:46
23
รู้ใจ
 
ผมน่าจะไปบอกเขาเองกับตัว...

อย่างน้อยก็คงไม่ต้องมานั่งกังวลจ้องโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาเหมือนคนบ้าแบบนี้

เชนไม่ตอบกลับอะไรมาเลยแม้ว่าเขาจะอ่านข้อความที่ผมส่งไปแล้วก็ตาม ไม่รู้ว่าผมควรคาดหวังคำตอบแบบไหน แต่ที่แน่ๆ การที่เขาเงียบไปมันทำให้ผมรู้สึกโหวงๆ ในอกอย่างประหลาด ตลอดทางที่ขับรถมาหาไอ้ซัน ผมเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์แทบจะทุกๆ ห้านาที แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ สุดท้ายเลยต้องตัดใจวางมือถือลงโฟกัสกับอีกคนที่นั่งเซื่องซึมอยู่ตรงหน้าแทน

กว่าชั่วโมงที่ผ่านมา ไอ้ซันเอาแต่นั่งเหม่อมองแก้วเหล้าด้วยสายตาเลื่อนลอยราวกับคนวิญญาณหลุด มันหยุดร้องไห้แล้วตั้งแต่สิบนาทีแรกที่ผมมาถึง มันไม่ได้ฟูมฟายหนักอย่างที่คิด แถมไม่ได้กระดกเหล้าเป็นน้ำเปล่าเหมือนคราวที่แล้ว แต่อาการเซื่องซึมเหม่อลอยนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าคราวนี้อาการมันหนักว่าครั้งก่อนมาก

ไม่ใช่แค่การทะเลาะกันที่พอปรับความเข้าใจแล้วก็หาย

แต่เป็นการเลิกราที่เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ และปล่อยใจให้พ่ายแพ้ต่ออุปสรรคเรื่องระยะทาง

วีนอกใจไอ้ซัน ไปหาเพื่อนข้างบ้านคนนั้นที่ใกล้ชิดกันมากกว่า

ผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก รู้เพียงแค่ว่าวีเพิ่งมาสารภาพกันมันว่าเธอมีคนใหม่ และขอโทษที่ใจไม่แข็งพอ

เจ็บปวดนะ... แต่อย่างน้อยเธอก็มีความจริงใจดี ที่พูดออกมาตรงๆ

“เอาน้ำแข็งเพิ่มมั้ย” ผมถาม ตั้งใจล้อเล่นมากกว่าจะถามจริงจัง เพราะเห็นว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไปแล้ว

ไอ้ซันหันมายิ้มขืนๆ และยื่นแก้วเหล้าให้ผมเติมน้ำแข็งลงไป มันเทแอลกอฮอล์เพียวๆ ลงในแก้ว และกระดกรวดเดียวหมดไม่มียั้ง ผมตกใจนิดหน่อย แต่ไม่คิดจะห้าม ตอนนี้มันอยากทำอะไรผมก็จะให้มันทำ เผื่อจะลบล้างความเสียใจได้บ้าง

เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมจะต้องมานั่งตรงนี้... ในเวลาแบบนี้... รับฟังความทุกข์ใจของเพื่อนคนเดิมซ้ำๆ และทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจด้วยความเงียบ ไอ้ซันไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้จุกจิก ถ้าให้เลือกระหว่างต้องนั่งฟังคำปลอบใจสวยหรู กับคนที่เงียบเป็นเป่าสากและปล่อยให้มันเป็นฝ่ายระบายจนหนำใจ มันจะเลือกอย่างหลัง... ซึ่งก็คือผม

แม้ว่าที่ผ่านมาที่ผมเงียบไม่ใช่เพราะความหวังดีใดๆ ทั้งนั้น ผมก็แค่พูดอะไรไม่ออก... เพราะกำลังเจ็บอยู่เหมือนกัน
แต่คราวนี้มันกลับต่างออกไป ต่าง...จนผมต้องยกมือขึ้นมาทาบอกข้างซ้ายตัวเองดูว่ามันเกิดความผิดปกติอะไรหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ต้องรับฟังประโยคเดิมๆ ที่ตอกย้ำความผิดหวัง แต่ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ตรงนี้ มันกลับไม่เจ็บเหมือนเคย

หรือเป็นเพราะมันด้านชาไปหมดแล้วกันแน่นะ?

“กูควรปล่อยเขาไปจริงๆ ใช่มั้ย” ประโยคนั้นจากเพื่อนรัก เหมือนจะพูดลอยๆ ให้ตัวเองฟัง มากกว่าจะต้องการคำตอบจากใคร ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แต่เอื้อมมือออกไปตอบบ่ามันสองสามครั้ง เพื่อบอกว่าไม่ว่ามันจะตัดสินใจยังไง ก็ยังมีผมอยู่ข้างๆ เสมอ

ไอ้ซันเทเหล้าใส่แก้วเดิมและกระดกรวดเดียวหมดอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนเป็นการสั่งลา เพราะมันหันหน้ามาหาผมด้วยสายตาที่บอกว่าหมดเวลาสำหรับความเสียใจแล้ว

“วันนี้กูไปนอนห้องมึงได้มั้ย”

“...”

“กูยังไม่อยากกลับไปในที่ที่เคยมีกูกับเขาว่ะ” สายตาที่มองมาไม่ได้มีความเว้าวอนหรือขอร้องใดๆ เป็นเหมือนกับคำถามที่รอให้ผมตัดสินใจมากกว่า

ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองลังเลอะไร เพราะถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงตอบตกลงอย่างไม่ยากเย็น เพราะสภาพของไอ้ซันตอนนี้ น่าสงสารซะจนผมคิดว่าถ้าปล่อยมันกลับไป มันอาจจะเสียใจจนเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ แต่ตอนนี้ในใจผมกลับมีความคิดขัดแย้ง และรู้ดีว่าสาเหตุมันเป็นเพราะอะไร

ผมไม่ได้อยู่ห้องนั้นคนเดียวอีกต่อไปแล้ว... ถ้าลากไอ้ซันไปเพิ่ม ผมไม่คิดว่าเชนจะพอใจนัก

สามคนมันอึดอัดเกินไปในพื้นที่แสนคับแคบนั้น

“เอาดิ” แต่สุดท้าย ผมก็ไม่อาจปฏิเสธเจ้าของดวงตาที่กำลังมองมาอย่างรอคอยคำตอบได้เลยสักครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
 

ถึงจะไม่ได้เมาจนหัวราน้ำ แต่สภาพไอ้ซันก็ยังถือว่าน่าเป็นห่วงอยู่ดี ผมพยุงร่างที่เดินโซเซของมันขึ้นรอโฟล์คสีน้ำเงินคันเก่า และขับกลับมาที่หอในเวลาไม่กี่นาที พวกเราต่างคนต่างเงียบมาตลอดทาง เพราะต่างก็มีความคิดอยู่ในหัว

น่าแปลกที่คราวนี้ในหัวผม ไม่ได้มีเรื่องของคนที่นั่งข้างตัว แต่กลับมีความกังวลถึงผู้ชายอีกคนที่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ตอบข้อความ อย่างน้อยผมควรโทรบอกเชนว่าจะพาไอ้ซันกลับมาค้าง เพราะถ้าเขายังไม่กลับ จะได้ตัดสินใจถูกว่าจะมานอนกับพวกเราหรือเปล่า

บอกแล้วว่าสามคนมันยัดเยียดเกินไป... เขาอาจจะรังเกียจ

“มึงเดินไหวแน่นะ” ผมหันไปถามไอ้ซันที่เปิดประตูกำลังจะก้าวออกจากรถ

“เออ” มันหัวเราะนิดๆ ทำหน้าเหมือนทั้งเอือมทั้งขำกับนิสัยเหมือนแม่ของผม

ผมมองตามร่างสูงที่เดินลงจากรถไปก่อนด้วยความกังวนิดๆ แต่ดูเหมือนว่าการนั่งรถตากลมจะทำให้ความเมาของมันลดลงไปไม่น้อย ผมเก็บกุญแจและเปิดประตูลงตาม ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกที่อกในทุกก้าวที่กำลังจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนตัวเอง

“แป๊บนะ” ผมบอกไอ้ซัน แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่เพราะเผลอดึงออกมาแรงไป หรืออะไรก็แล้วแต่ จึงทำให้กระเป๋าสตางค์ที่เสียบอยู่ด้วยกันหล่นลงมาด้วย

ผมกำลังจะก้มเก็บ แต่เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่อยู่ในมือก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียงก่อน ผมรีบก้มดูโทรศัพท์โดยอัตโนมัติหัวใจผมเหมือนจะพองโตขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็เหี่ยวลง เมื่อพบว่าคนที่โทรมาคือไอ้เวสป้า

[ มึงหายไปไหนวะ ] มันถามเสียงดัง ยังไม่ทันฟังคำทักทายจากผมด้วยซ้ำ

“โทษที พอดีมีธุระว่ะ” ผมตอบขณะที่กำลังจะหันกลับไปเก็บกระเป๋าสตางค์ที่ตกอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ทันอีกคนที่ก้มลงเก็บให้แทน

“...” แต่แทนที่มันจะส่งคือ ไอ้ซันกลับชะงัก มองกระเป๋าสตางค์ของผมที่แบออกแล้วขมวดคิ้ว

[ เออดี ทิ้งกูเฉยเลย อุตส่าห์ตามหาจนงานเลิก ] ผมกำลังจะถามไอ้ซันว่าเป็นอะไร แต่เสียงไอ้เวสป้าก็เรียกความสนใจกลับไปเสียก่อน

“ขอโทษจริงๆ ว่ะ ธุระกะทันหัน” แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของผมก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้าซึ่งเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยสีหน้าอธิบายยาก

[ วันหลังเลี้ยงเหล้ากูเลย เพื่อนก็หนี สาวก็แห้ว ชีวิตคนหล่ออาภัพสัส... ] ผมคงจะยอมฟังไอ้เวสบ่นจนหนำใจ ถ้าหากว่าสีหน้าของไอ้ซันไม่เป็นปริศนาจนทำให้ผมคับข้องใจขนาดนี้

“แค่นี้ก่อนนะไอ้เวส กูต้องทำธุระต่อว่ะ” ผมบอกแค่นั้น และกดตัดสายโดยไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆ ได้ยืนมองหน้าไอ้ซันอย่างไม่เข้าใจสายตาคู่นั้น นานหลายวินาที กว่าที่มันจะยอมขยับตัว เดินเข้ามายื่นกระเป๋าสตางค์คืนให้ผม

และนั่นทำให้ผมรู้คำตอบว่าสิ่งที่ทำให้สีหน้ามันเป็นแบบนั้น คืออะไร...

ในกระเป๋าสตางค์ใบเก่าที่เปิดอ้าจนเห็นด้านใจ มีรูปถ่ายใบหนึ่งเสียบเอาไว้ในซองใสด้านหน้าช่องใส่บัตร มันคือรูปที่ผมกับไอ้ซันกำลังกอดคอหัวเราะให้กันในชุดนักเรียน มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ผมจะสารภาพรักเพียงไม่กี่วัน

“มึงเคยบอกว่าเลิกชอบกูแล้ว” เสียงทุ้มจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตามันอีกครั้ง “โกหกใช่มั้ย”
สายตาคู่นั้นที่มองมา มีทั้งความมึนงง จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ และความสับสนจากสิ่งที่เห็นด้วยตา

เป็นผมก็คงจับได้เหมือนกัน ถ้าได้เห็นรูปตัวเองถูกเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าสตางค์ของคนที่เคยสารภาพรักตัวเองแบบนี้

“...” ผมได้แต่นิ่งไปนาน จนคนตรงหน้าเป็นฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม และเอ่ยประโยคที่แสนจะแทงใจดำ

“ที่ผ่านมา มึงฝืนใจมาตลอดเลยเหรอ... ฝืนใจกลับมาเป็นเพื่อนกับกู ฝืนใจฟังกูปรึกษาปัญหาเรื่องวี... ทั้งหมดนั่น มึงยอมทำทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเจ็บปวดเหรอวะ”

“...” ผมไม่แน่ใจว่ามันต้องการอะไรจากคำถามเหล่านั้น แต่ผมก็ไม่มีคำตอบดีๆ กลับไปให้มันเลย ได้แต่ยืนเงียบด้วยความรู้สึกที่ปนเปจนแยกไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกอะไร

ตกใจที่โดนจับได้... หรือเสียใจที่ความเป็นเพื่อนของเรา กำลังจะจบลงเหมือนเดิมอีกครั้ง

“ตอบดิวะ!” มันคาดคั้น เสียงดังกว่าเดิมจนผมตกใจ

“...” แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ ให้อยู่ดี

ไอ้ซันนิ่งไป ขมวดคิ้วในความดื้อด้านอมพะนำของผม ก่อนจะแค่นหัวเราะ

“ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะพิสูจน์เอง... ว่าที่ผ่านมามึงโกหกกูจริงหรือเปล่า”

“...!!”

จบคำพูดนั้น ร่างของผมก็ถูกมือหนากระชากคอเสื้อเข้าไปประชิด ก่อนที่ริมฝีปากบางที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จะทาบลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว ผมตกใจจนแทบช็อกกับการกระทำอันเหนือความคาดหมายของไอ้ซัน และได้แต่ยืนนิ่ง ปล่อยให้ริมฝีปากของเราแตะกันอยู่อย่างนั้น นานหลายวินาที

หลายวินาทีที่ทำให้ผมจะตระหนักได้ว่า... จูบนี้... มันไม่ใช่

มันแทบจะไม่เรียกว่าจูบด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนไอ้ซันเอง ก็ไม่ได้เต็มใจเหมือนกัน มันแค่ทำไปเพราะต้องการค้นหาคำตอบบางอย่างผ่านริมฝีปากของผม ที่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา

ความจริง... ที่แม้แต่ผมเองก็เพิ่งรู้

เอี๊ยดด~!

ผมคิดว่าเรื่องบางอย่างกำลังจะคลี่คลายเพราะความรู้สึกที่ชัดเจนของตัวเอง แต่เปล่าเลย... ทันทีที่เสียงล้อบดขยี้กับพื้นลานจอดรถตรงหน้าผมดังขึ้น พร้อมกับที่สปอร์ตไบค์สีดำแสนคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา

ผมก็รู้ทันที ว่ามันคือเวลาแห่งหายนะ

ผมผลักไอ้ซันออกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างสูงที่แม้จะซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้หมวกกันน็อกสีดำสนิท แต่ก็รู้ได้ไม่ยากเย็นว่าเขาคือใคร ผมก้าวเท้าไปหาเขาโดยอัตโนมัติเร็วกว่าที่ตัวเองจะรู้ตัวเสียอีก ในหัวคิดคำอธิบายมากมายเพื่อจะพูดออกมา ...แต่ก็ไม่ทัน

ร่างสูงบิดคันเร่งอีกครั้ง พร้อมกับวนรถกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะวิ่งไปถึงตัวเขาเพียงไม่กี่วินาที
...เขาหนีผมไปอีกแล้ว
               
“เดี๋ยวสิ...” ผมพึมพำได้แต่มองตามจุดที่แผ่นหลังกว้างเพิ่งจะหายไป ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าหัวใจมันหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่ก็ได้รับคำตอบในเวลาเดียวกัน
               
ไม่เอาหรอก ยังไงผมไม่ยอมให้เขาหนีไปแบบนี้แน่ๆ
               
“ไอ้ซัน” พอคิดได้ดังนั้นผมก็หันกลับไปมองเพื่อนที่ ‘เคย’ แอบรักด้วยสายตาจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
               
“...”
               
“มึงคงได้คำตอบที่ต้องการแล้วใช่มั้ย” ผมถาม ไม่ได้ต้องการคำตอบ
               
เพราะถ้ามันตอบไม่ได้ ผมก็จะเป็นคนตอบเอง
               
“กูไม่ได้โกหก”
               
“...”
               
“กูเลิกรักมึงได้แล้วจริงๆ” พูดเพียงแค่นั้น แล้วผมก็หันหลังผละออกมา

วิ่งสุดชีวิต ไปตามทางที่คิดว่าจะไม่ทำร้ายใครเพราะความโง่เง่าไม่รู้ใจตัวเองของผมอีกแล้ว





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 09-04-2016 14:53:25
 :hao5: รู้ตัวแล้วๆ ตามไปเร็ววววว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-04-2016 15:35:14
 :katai1:  ได้เวลาลุย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 09-04-2016 17:32:49
รอปรับความเข้าใจกันอีกรอบ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-04-2016 19:05:40
จบเรื่องซัน ตรีไปง้อเชนด่วนจี๋


ทำไมเชนต้องโผล่มาถูกเวลาดีจริง ฮ่วย!!!!
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 09-04-2016 21:25:28
เชนรอก่อนดิ๊  รอตรีอธิบายก่อนนน

บทจะซวยนี่อะไรก็ห้ามไม่ได้ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 23 [ 9/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 10-04-2016 11:57:00
 :serius2:  ไม่น่ะ เชนรอก่อน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 10-04-2016 17:00:25
24
คำสารภาพ
 
         
Chain’s Part

ผมมันโง่... โคตรจะโง่ ที่เลือกกลับไปตอนนั้น

ถ้าผมกลับก่อนหน้าหรือช้ากว่านั้นอีกสักนิด ก็คงไม่เห็นภาพที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกไม้เบสบอลฟาดหน้าขนาดนี้ ผมตกใจจนแทบจะเบรกรถไม่ทันตอนที่เห็นว่ามีผู้ชายสองคนกำลังยืนจูบกันอยู่ที่ลานจอดรถใต้หอพัก และมันคงน่าตกใจน้อยกว่านี้ถ้าหากผู้ชายสองคนที่ว่าไม่ดูคุ้นตาซะจนผมไม่ต้องใช้เวลานานเลยในการยืนยันตัวตนของพวกเขา

ตรีกับไอ้ซัน...

นี่สินะเหตุผลที่ผมถูกเบี้ยวนัด...

ถ้าตอนนั้นโทรศัพท์แบตไม่หมดเสียก่อน ผมคงถามให้รู้เรื่อง และคงไม่ต้องเสียสติยืนรออยู่ที่ทางออกเป็นชั่วโมงๆ จนในสนามกีฬาไม่เหลือใครสักคนกว่าจะตัดสินใจกลับมา

เพื่อพบความจริงที่ว่า ผมเป็นไอ้หน้าโง่ที่เป็นได้แค่ตัวสำรองวันยังค่ำ

เหอะ! น่าสมเพชชิบ

ผมบิดคันเร่งและเลี้ยวรถกลับทันทีโดยไม่คิดจะไถ่ถามที่มาที่ไป หรือสนใจผู้ชายที่ผละออกก่อนเมื่อเห็นผมและทำท่าจะวิ่งมา ในใจลึกๆ มันก็อยากฟังคำอธิบายเหมือนกัน... แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ความหงุดหงิดมันปะทุจนแทบจะห้ามใจไม่ขับรถพุ่งไปเหยียบหน้าไอ้น้องรหัสตัวดีไม่ไหว

กล้าดียังไงมาแตะต้องวะ!

แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรทั้งนั้น เพราะผมกับตรีไม่ได้เป็นอะไรกัน หมอนั่นเองก็แอบชอบไอ้ซันมานาน ...จูบนั้นคงทำให้เขามีความสุขไม่น้อย

เวรเอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด!

พลั่ก!

ผมผลักประตูเข้าไปในห้องซ้อมซึ่งอยู่ชั้นสามของผับที่รับจ็อบเล่นดนตรีอยู่อย่างแรงจนไอ้เพื่อนสองตัวที่นั่งกินเหล้าอยู่บนโซฟาสะดุ้งเฮือก หันมามองอย่างตกใจ

“มึงมาทำไรวะ วันนี้ไม่มีซ้อมนี่” ไอ้เตอร์ทักคนแรก มองผมที่กำลังหงุดหงิดจัดพลางขมวดคิ้วงุนงง

“...” แต่ผมไม่ได้ตอบ จริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาทำอะไร แค่สัญชาตญาณมันบอกให้มาที่นี่ ที่เดียวที่ผมจะสามารถระบายความโกรธทั้งหมดได้

ผมเดินเข้าไปแย่งแก้วไอ้ต้าที่กำลังจะยกแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มมากระดกรวดเดียวหมด ก่อนจะคืนแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งให้เพื่อนที่นั่งหน้าเหวอเพราะถูกฉกเหล้าไปต่อหน้าต่อตา แต่แน่นอนว่าแค่นั้นไม่ทำให้ผมหายหงุดหงิด ผมเดินต่อไปหยิบกีตาร์ตัวโปรดของตัวเองขึ้นมาเสียบกับแอมป์ เปิดลำโพง ก่อนจะนั่งลงบนลำโพงตัวเล็กและเริ่มละเลงนิ้วลงบนสายทั้งหกจนเกิดเป็นเสียงที่เพี้ยนบรรลัยเพราะยังไม่ได้จูนสาย บวกกับอารมณ์ที่คุกรุ่น

แต่ใครจะไปสน ตอนนี้ผมต้องการระบายกับอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่การไปลงกับสิ่งมีชีวิตใดๆ

เพราะเชื่อเถอะว่าอารมณ์ของผมตอนนี้มันสามารถฆ่าใครสักคนให้ตายคามือได้จริงๆ

“เป็นเชี่ยไรมาอีกวะ” ไอ้ต้าบ่น ก่อนที่มันกับไอ้เตอร์จะมองหน้ากันแล้วยักไหล่ ปล่อยให้ผมรัวนิ้วกับกีตาร์ต่อไป โดยไม่สนใจว่าจะส่งเสียงหนวกหูแค่ไหน

เมื่อก่อนตอนที่เจอกันใหม่ๆ สมัยที่ผมยังอารมณ์ร้อนกว่านี้ ไอ้เตอร์เป็นคนบอกผมเองว่าเวลาโมโห มันมีวิธีที่ดีกว่าการทำลายข้าวของ หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน มันสอนให้ผมระบายอารมณ์กับอาวุธที่ผมมีอยู่ นั่นก็คือดนตรี...

ถึงช่วงแรกๆ จะไม่ค่อยเข้าใจจนระบายผิดวิธีจนกีตาร์แพงๆ พังคามือไปเป็นสิบตัว แต่หลังจากเรียนรู้ได้ไม่นาน ผมก็รู้ว่าวิธีที่ถูกต้องมันไม่ใช่การทุ่มกีตาร์ลงกับพื้นจนไม่เหลือชิ้นดีแบบที่ผมทำ แต่เป็นการขุดเอาความสามารถด้านดนตรีทั้งหมดในตัว คอร์ดเพลงทุกคอร์ด ทักษะทุกทักษะที่มีออกมาใช้กับเครื่องดนตรีที่อยู่ในมือ

และด้วยความเป็นคนอารมณ์ร้อนโมโหง่ายของผม ก็เลยมีเรื่องให้ต้องมาระบายอารมณ์ที่นี่บ่อยครั้งจนเพื่อนชินไม่รู้จะชินยังไง (นี่หรือเปล่าวะ เหตุผลที่ทำให้สกิลด้านดนตรีของผมดี)

ผมยังคงรัวนิ้วไปตามสายกีตาร์ขณะที่คอร์ดเพลงมากมายแล่นเข้ามาในหัว แต่สุดท้ายเมโลดี้ทั้งหมดก็พ่ายแพ้ให้กับภาพที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ที่แวบเข้ามาเพียงเสี้ยววินาที

“บัดซบเอ๊ย!”

ผมสบถพลางหยุดเล่นกะทันหันจนไอ้เพื่อนสองตัวหันกลับมามองงงหนักกว่าเดิม ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง อัดควันเข้าปอดแรงๆ เพราะรู้ว่าแค่เล่นกีตาร์มันไม่พอที่จะสยบอารมณ์โมโหที่พุ่งพล่านอยู่ในตัว

“อาการหนัก” ไอ้ต้าพึมพำ ท่าทางเหมือนเอือมระอาปนสงสาร แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้สงสารจริงหรอก รอให้ผมเล่าแล้วซ้ำเติมมากกว่า (ตอนเรื่องฟ้าพวกแม่งก็ซ้ำเติมผมเหมือนกัน โคตรซึ้ง)

“เดาว่าโดนเมียทิ้ง” ไอ้เตอร์สันนิษฐานไม่จริงจังนัก เพราะมันรู้ดีว่าตอนนี้ผมไม่ได้คบใคร

“เหอะ” ผมแค่นหัวเราะ ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นพร้อมใช้เท้าขยี้แล้วจุดมวนใหม่

ถ้าเป็นเมียก็ดี

แต่นี่ไม่ใช่ เป็นแค่ตัวอะไรก็ไม่รู้ที่ถูกลืมซ้ำๆ ไม่มีสิทธิ์โกรธหรือไม่พอใจใดๆ ทั้งนั้น ได้แต่หนีมาตั้งหลักใหม่อย่างน่าสมเพช

นี่ผมเป็นขนาดนี้ได้ไงวะ โคตรจะไม่เข้าใจตัวเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมายังไม่เคยเป็นบ้าเพราะใครขนาดนี้เลย หมอนั่นมันกล้าดียังไงถึงได้มองผมเป็นของตายหน้าตาเฉย

คราวก่อนตอนที่ไปคบผู้หญิงที่ชื่อทองกวาวอะไรนั่นหลังจากปฏิเสธคำสารภาพรักของผมก็ทีหนึ่งแล้ว ตอนนั้นผมไม่โกรธเพราะคิดว่าเขาแค่ยังสบสนและยังไม่เชื่อว่าผมจะชอบเขาจริงๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องเจ้าเต ผมก็แสดงออกชัดเจนแล้วนะ... แต่สงสัยจะไม่ชัดเจนพอว่ะ

คิดว่ากำลังจะไปด้วยดีแล้วซะอีก แต่สุดท้ายก็พัง เพราะความรักฝังใจ

ผมถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งโกรธ ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกตัวเองมันจะปนเปจนน่ารำคาญแบบนี้ คำถามมากมายมันตีรวนอยู่ในหัวเต็มไปหมด จนไม่รู้ว่าควรหยิบคำถามไหนออกมาหาคำตอบก่อน ได้แต่หวังว่าตัวเองจะตั้งสติได้ แล้วยอมกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้งเหมือนคราวก่อน

แต่ครั้งนี้ผมโกรธจริงๆ นะ... โกรธจนคิดว่าตัดใจปล่อยเขาไปซะ อาจจะง่ายกว่า

ดันทุรังไปก็ไร้ประโยชน์... ถ้าหมอนั่นยังรักไอ้ซันอยู่จริงๆ

พลั่ก!

แต่แล้วความคิดทุกอย่างของผมก็หยุดชะงัก เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างคุ้นตาที่พุ่งเข้ามา จนพวกผมสามคนสะดุ้งด้วยความตกใจ ไอ้เตอร์กับไอ้ต้ามองหน้ากันก่อนจะหันไปทำหน้างงใส่คนมาใหม่เหมือนที่ทำใส่ผมเป๊ะ ในขณะที่ผม ปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นใคร

“แฮ่ก... แฮ่ก...” สายตาของตรีมองตรงมาที่ผมโดยไม่โฟกัสสิ่งอื่นใดรอบตัว สีหน้าเหมือนมีอะไรจะพูด แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ก้มตัวลงเอามือเท้ากันเข่าแล้วหอบตัวโยน

“วิ่งมาจากไหนวะเนี่ย”

ไอ้เตอร์ถามคำถามเดียวกับที่ผมคิดเป๊ะ

แต่ผมมีข้อสันนิษฐานในใจ สภาพเหงื่อโทรมไปทั้งร่างหมดแรงขนาดนี้ คงไม่ได้วิ่งใกล้ๆ แน่ อย่าบอกนะว่าวิ่งมาจากหอน่ะ...

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันคงบัดซบมาก ที่ผมมัวแต่โกรธจนไม่ทันสนใจมองเลยว่าเขาวิ่งตามมา ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ปล่อยให้เขาวิ่งมาถึงนี่แน่

“อยู่นี่...จริงด้วย” ในที่สุดตรีก็เอาชนะอาการหอบได้และเอ่ยออกมาแม้ว่าน้ำเสียงจะยังขาดห้วงก็ตาม

ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม...

เออ ก็ต้องอยู่นี่สิวะ จะให้ไปไหน คิดว่าผมมีที่ให้ไปเยอะนักหรือไง เป็นบ้าอะไรถึงได้วิ่งตามมา

ให้ตาย ผมโกรธเรื่องนี้มากกว่าเรื่องที่เห็นเขาจูบกับไอ้ซันอีก

แต่อันที่จริง...ผมหายโกรธเรื่องนั้น นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นใบหน้าชุ่มที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาแล้วล่ะ...

“มึงจะไม่ตายใช่มั้ย” ไอ้ต้าถาม สีหน้าหวาดๆ เมื่อเห็นตรียังหอบไม่หยุดเหมือนคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ

ผมอยากจะลุกไปทำอะไรสักอย่างกับสภาพนั้นจริงๆ ให้หายใจแทนก็ยังดี แต่เพราะมันทำไม่ได้ไง เลยได้แต่นั่งนิ่งมองร่างที่หอบตัวโยนอยู่ที่เดิม

“เชน...” หลายวินาทีกว่าเขาจะปรับการหายใจได้แล้วเรียกชื่อผมซึ่งไม่ได้ยินบ่อยนัก เจ้าของใบหน้ารั้นเงยหน้าขึ้นสบตาผมอย่างจริงจังพร้อมกับยืดตัวขึ้นสูดหายใจลึกๆ และเริ่มเอ่ยเข้าประเด็น

“ที่นายเคยบอกว่าจะคบกับฉัน ยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”

“...!” แต่มันดันไม่ใช่ประเด็นที่ผมคิดไว้ ก็เลยตั้งตัวไม่ทัน...

อะไรวะ คิดว่าจะมาอธิบายเรื่องจูบซะอีก

แล้วคำถามนี้มันอะไร...

“ที่นายเคยขอคบกัน... แค่พูดเล่น...หรือว่าจริงจัง” คราวนี้เขาขมวดคิ้ว ถามด้วยสีหน้าคาดคั้น

“จริงจัง” ผมตอบ ไม่ต้องคิดเลย “ยิ่งตอนนี้ยิ่งจริงจัง”

ไม่คิดเหมือนกันว่าน้ำเสียงตัวเองจะฟังดูหงุดหงิดจนน่ากลัวขนาดนี้ อาจเพราะมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจ และไม่คิดว่าจะถูกถามอะไรที่มันน่าจะรู้ๆ กันอยู่แบบนี้

 “ที่กลับไปหา ก็เพราะว่าอยากอยู่ด้วย... แล้วที่ทำดีด้วย ก็เพราะว่าชอบ ไม่เข้าใจหรือไง? ทำไมโง่งี้วะ” ผมพูดด้วยความอัดอั้นและอดไม่ได้ที่จะดุออกไป

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แต่เขาเป็นคนถามเอง และผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก็เอาให้มันเคลียร์ๆ กันไปเลย จะได้รู้ซะทีว่าผมรู้สึกยังไง

“...” ตรีนิ่งไป ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

อันที่จริงตอนนี้สมองผมกำลังขาวโพลนจนคาดเดาอารมณ์ใครไม่ออกแล้ว ผมหงุดหงิดจริงๆ ที่หมอนี่ดูไม่ออกเลย ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกการกระทำของผมมันหมายความว่ายังไง

“...”

“...”

พอผมเงียบ เขาเงียบบรรยากาศในห้องมันเลยเงียบสนิทจนแทบไม่ได้ยินเสียงแอร์ ผมเห็นไอ้เตอร์กับไอ้ต้ามองพวกเราสลับกันไปมาด้วยความตกใจ แต่ผมไม่สนใจพวกมันหรอก ตอนนี้คนเดียวที่ผมให้ความสำคัญก็คือคนที่ยืนเหงื่อท่วมสบตาผมอยู่หน้าประตูนั่นต่างหาก เราต่างคนต่างจ้องหน้ากันนิ่ง อมพะนำจนเหมือนกับว่าถ้าใครพูดขึ้นมาก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้

และแน่นอนว่าไม่ใช่ผม เพราะสุดท้ายคนที่เอ่ยปากออกมาก็คือเขา

“งั้นมาคบกันเถอะ” สีหน้าตรีผ่อนคลายลง เหมือนในที่สุดก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องตามใจตัวเองเสียที

“...!” ผมชะงัก ไม่รู้จะตอบอะไร ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าที่ตัวเองได้ยินมันคือประโยคที่ถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า

มันเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่สายตาที่มองมาก็ยังคงจริงจังแน่วแน่ซะจนเผลอกระตุ้นให้หัวใจของผมมันเต้นแรงขึ้นมาไม่รู้ตัว

“คราวนี้ไม่ต้องรอให้ใครเลิกกับใครทั้งนั้น..."

"..."

"ช่วยคบกัน... จนกว่านายจะทนความโง่ของฉันไม่ไหวเลย...ได้มั้ย”

“...”

ยืนยันทีว่าผมไม่ได้หูฝาด

ยืนยันให้หน่อยว่าสิ่งที่ผมได้ยิน มันคือเรื่องจริง ไม่ได้แค่เพ้อคิดไปเองเพราะเมากลิ่นบุหรี่

“พี่เชน”

“...”

ยืนยันให้ผมแน่ใจ ว่าสีหน้ากังวลปนเขินอายของหมอนี่ เกิดจากการที่เขาเพิ่งขอคบกับผม ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น...
 
"ได้มั้ยครับ?” และเพราะไม่มีใครยืนยันเรื่องทั้งหมดได้ นอกจากตัวผมเอง สุดท้ายผมจึงต้องลุกขึ้นวางกีตาร์ลงข้างตัวลวกๆ ทิ้งก้นบุหรี่และใช้เท้าบี้ย่างไม่ไยดี ก่อนจะเดินไปคว้ามือเย็นๆ ชุ่มเหงื่อของคนที่ตัวเล็กกว่าเพียงไม่กี่เซนต์ แล้วกระชากให้เดินออกจากห้องซ้อมทันที

“มานี่!”

...เพื่อไปคุยกันในที่ที่มีแค่เราสองคน




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 10-04-2016 18:22:07
เห้ย ตัดจบงี๊ได้ไงง่าาาา อยากอ่านต่อ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-04-2016 18:36:43
เลิศ

เชนนี่แอบใจบุญเหมือนกันนะ :D

รับฟังตรี แล้วขอคบตรีด้วยล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-04-2016 18:51:48
 :katai2-1:    ได้ใจเลย. มันต้องแบบนี้สิ
อยากไขว่คว้ามันก็ต้องลงแรง
เชนก็ดีที่ได้สติบ้าง
รอต่อนะคะ. เขาจะแอบไปตกลงคบกันต่อที่ไหนน้อ.  :hao6: 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 10-04-2016 19:30:29
+1 ให้ตรี
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 10-04-2016 21:47:38
ทำดีมากค่ะตรี
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 25 [ 11/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-04-2016 11:35:23
25
ลงเอย

เชนกำลังโกรธ... โกรธมากๆ

เขาบีบมือผมแน่น ขณะที่ลากผมเดินออกมาจากห้องซ้อม ตรงไปยังบันไดหนีไฟอันไร้ผู้คน ผมอยากท้วงมากว่าหยุดเถอะ ผมยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งมาเลย แต่ก็ไม่กล้า สีหน้าเขาตอนนี้ดูน่ากลัวเกินไปจนกลัวว่าถ้าผมเอ่ยปากแม้แต่คำเดียวอาจจะถูกชกหน้าเอาได้

แต่แล้วร่างสูงหยุดเดินในที่สุด เขาเหวี่ยงตัวผมกระแทกเข้ากับกำแพง ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากันด้วยใบหน้าคิ้วขมวดอย่างคนหงุดหงิดถึงขีดสุด ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เดาไม่ออกว่าเขากำลังโกรธเรื่องอะไร เรื่องที่เห็นผมจูบกับไอ้ซัน...

หรือเรื่องที่ผมขอคบกับเขา

ผมไม่น่าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเลย ทั้งๆ ที่ในห้องนั้นมีเตอร์กับต้าอยู่ แต่ผมกลับพูดอะไรแบบนั้น มันคงทำให้เขารู้สึกขายหน้า จนโกรธจัดแบบนี้ ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบของเชน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เตรียมรับการโดนตำหนิจากร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาดันกำแพงด้านหลังผมไว้ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขา

“ทำไมวิ่งมา”

แต่คำถามแรกที่ออกจากปากเขากลับไม่ใช่อะไรที่ผมคาดคิด

“อะ... ฮะ?” ผมถามมึนๆ ไม่แน่ใจในคำถาม

“วิ่งมาจากไหน แล้วทำไมวิ่งมา” เขาขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

“เอ่อ...วิ่งมา...จากหอ...” ผมอ้ำอึ้ง และตอบคำถามแค่นั้น พลางยกมือขึ้นมาเกาคางเก้อๆ

จะให้บอกได้ไงว่าลืมว่าตัวเองมีรถก็เลยวิ่งมา...

นั่นมันโคตรจะโง่เลย

แต่การที่ผมวิ่งมาแบบนี้มันก็มีผลดีนะ เพราะมันทำให้ผมได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่างกับตัวเอง จนแน่ใจแล้วว่าความรู้สึกที่เด่นชัดขึ้นมาในใจตอนนี้ มันไม่ผิด

ผมชอบเขา... ชอบผู้ชายที่ยืนขมวดคิ้วสีหน้างุ่นง่านอยู่ตรงหน้านี้จริงๆ

และผมก็หวัง... ว่าเขาจะคิดแบบเดียวกัน

“...”

“...” แต่ความหวังนั้นก็ค่อยๆ หดลงตามระยะเวลาที่เราสบตากัน ผมพยายามควานหาความรู้สึกของเขาผ่านดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวย แต่ไม่ว่ายังไงก็คาดเดาไม่ได้เลย เขาดูโกรธ และสับสน... ทว่าก็เหมือนจะมีความรู้สึกอื่น ที่ผมไม่อาจเข้าใจ

“เฮ้อ!” แต่แล้วร่างสูงก็ก้มหน้าลงมาจนจมูกอยู่ในระดับคางของผมแล้วพ่นลมหายใจหนักๆ ราวกับคนที่มีปัญหาคิดไม่ตก

“ทำไมมันน่าหงุดหงิดขนาดนี้วะ” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำ แต่ผมได้ยินชัดเจน

ผมทำให้เขาโกรธจริงๆ

“ขอโทษ...!” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบดีก็ต้องชะงักไป เมื่ออยู่ๆ เชนก็เลื่อนใบหน้าต่ำลงมาซบไหล่ของผมแทน 

“คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำกับฉันแบบนี้” ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดลงมาที่ต้นคอ ทำเอาผมได้แต่กลืนน้ำลาย ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

“จูบกับไอ้ซัน แล้วมาขอคบกับฉัน มันหมายความว่ายังไง” เขายังพูดโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ของผม

อ่า... ผมใจร้อนเกินไป จนเผลอลืมอธิบายเรื่องนี้ไปเลย

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...” ผมตอบ รู้สึกหายใจติดขัดเพราะจมูกโด่งของเขาที่ยังหายใจรดต้นคอผมอยู่

ให้ตาย อย่างน้อยเขาควรจะเงยหน้าขึ้นมายืนคุยกันดีๆ แล้วแบบนี้ผมจะอธิบายได้ยังไง แค่หายใจให้ตรงจังหวะยังยากเลย

“เข้าใจผิดยังไง” พอเห็นว่าผมเว้นวรรคไปนาน เชนก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง คิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันแน่นอย่างคาดคั้น

ผมถอนหายใจ รู้สึกโล่งที่เขากลับมายืนเต็มความสูงเสียที

“มันเข้าใจว่าฉันยังชอบมันอยู่ ก็เลยพิสูจน์” ผมตอบ ถึงเขาไม่คาดคั้นขนาดนี้ ผมก็พร้อมจะอธิบายอยู่แล้ว

“ด้วยการจูบ?”

“อะ...อืม” ผมพยักหน้าเก้ๆ กังๆ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าคำอธิบายนั่นมันโคตรจะไม่เมคเซนต์เลย

“ไอ้เชี่ยซัน!” เชนสบถ สีหน้าเหมือนโกรธจนอยากจะชกใครสักคนขึ้นมาอีกแล้ว

ซึ่งอาจจะเป็นผม เพราะอยู่ใกล้สุด

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิด เชนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง แล้วถามต่อ

“แล้วพิสูจน์ได้หรือเปล่า?” คิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันจนผมอยากจะจิ้มระหว่างคิ้วย่นๆ ของเขาให้มันคลายออกสักที

“อะ...อืม” ผมพยักหน้าตอบอ้ำอึ้ง “เพราะว่าพิสูจน์ได้ไง... เลยรีบวิ่งมา”

“...”

“รู้ตัวแล้ว...ว่าชอบนาย” ผมพูดต่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองกำลังร้อนขึ้นมา พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นถี่เร็วจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน

ให้ตาย มันเต้นเเรงเกินไป... เหมือนใกล้จะระเบิดแล้ว

เชนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนทำท่าเหมือนจะยิ้มออกมา แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ เขายังคงขมวดคิ้ว แต่สายตาไม่ดูโกรธเหมือนเมื่อครู่แล้วเปลี่ยนเป็นแววตาหมาป่าเจ้าเล่ห์แทน “แน่ใจ?”

 “แน่ใจ” ผมตอบทันที พยักหน้าจริงจัง

ที่ผ่านมาผมโง่ และโลเลเกินเกว่าจะยอมรับหัวใจตัวเอง แต่คราวนี้ ผมจะไม่ยอมทำพลาดอีกแล้ว

“แน่ใจจริงๆ แน่ใจที่สุดในชีวิตเลย” ผมยืนยันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม พร้อมกับสบตาคนตรงหน้าสื่อสารให้เขารู้ว่าผมจริงใจแค่ไหน

ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องผมนิ่งพักหนึ่งแต่แล้วสุดท้ายก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านมลายหายไปราวกับไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเขามาก่อน

“บ้าชิบ!”  เชนสบถ พลางยกมือขึ้นมาปิดหน้าไว้ สีหน้าเหมือนทั้งหนักใจ ทั้งขำในเวลาเดียวกัน ”เล่นทำหน้าแบบนั้นแล้วฉันจะแกล้งต่อได้ไง” เขาพึมพำ ใบหูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง...

อันที่จริงมันกำลังแดงทั้งหน้าเลย

ผมชะงักไปพักใหญ่ พิจารณาปฏิกิริยาของร่างสูงอย่างงุนงง แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธอย่างที่ผมคิดตอนแรก

...ดีจริงๆ ที่ตัดสินใจสารภาพออกไป

“หายโกรธแล้วเหรอ” ผมถามพยายามไม่ขำกับใบหน้าแดงแปร๊ดของเขา แต่มันทำได้ยากจริงๆ

แล้วพอเห็นผมอมยิ้มอย่างได้ใจเชนเลยแกล้งทำหน้าดุ ขมวดคิ้วมองเหมือนยังหงุดหงิดอยู่ แต่ไม่เนียนเลย

“ยัง” เขาเบ้หน้า ขณะที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้เกินไป จนผมถอยหลังติดกำแพงจนแทบจะสิง ไม่กล้าหายใจแล้ว

“ถึงได้ลากมาทำโทษนี่ไง”

เขาบอก ผมไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถาม เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาแวบหนึ่งก็ให้คำตอบเป็นการกระทำที่ไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัวเช่นเคย

“...!!”

เสียงที่กำลังจะเปล่งออกมา หายไปทันทีที่ริมฝีปากบางของเขาทาบทับลงมานริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว คำถามทั้งหมดถูกลบทิ้งจนเหลือแต่สมองขาวโพลน แต่ไม่นานสมองก็กลับมาประมวลผลอีกครั้ง เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
นี่คือการลงโทษจากเขา

จูบหนักๆ ที่แทบจะหลอมละลายริมฝีปากไปกับสัมผัสร้อนจัดนั้น มันแตกต่างจากจูบแรกที่เขามอบให้อย่างสิ้นเชิง แต่ที่ไม่ต่างเลย ก็คือความรู้สึกของผม... หัวใจมันเหมือนจะหยุดเต้นไป และกลับมาเต้นใหม่อีกครั้งด้วยความเร็วที่แทบจะฆ่าผมตายได้เลย

ผมรู้ดีว่ามันคือความรู้สึกอะไร... รู้ตั้งแต่จูบครั้งก่อนแล้ว

นั่นเป็นเหตุผลที่วันนั้นผมไม่ผลักเขาออกไป... ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“หือ?” นานนับนาทีกว่าเชนจะถอนริมฝีปากออก เปิดโอกาสให้ผมได้หายใจบ้าง

ใบหน้าของเขายังคงอยู่ใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนจัดที่เป่ารดลงบนปลายจมูก เห็นดวงตาคมที่จ้องลึกเข้ามาและคิ้วเข้มที่ขมวดนิดๆ อย่างชัดเจน 

“นี่ฉันกำลังทำโทษอยู่นะ” เขากระซิบ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนร้ายกาจอย่างเคย “แล้วจูบตอบนี่คืออะไร”

“...!” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พยายามเบือนหน้าหนีทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงก็ซ่อนใบหน้าร้อนจัดด้วยความอายของตัวเองได้ไม่มิด

เขาไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก ผมรู้ เขาแค่ต้องการแกล้งผม

“หึ” เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ (ความจริงแล้วคือตอบไม่ได้) คนเจ้าเล่ห์ก็หัวเราะเบาๆ อย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับหน้าผมให้หันกลับไป และกดจูบหนักๆ ลงมาอีกครั้ง

“ไหนๆ ก็จะคบกัน” เขาผละออกไปและกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ผมแยกไม่ออกว่ากำลังล้อเล่นหรือจริงจัง “มีอย่างหนึ่งที่นายควรรู้ไว้ก่อน”

“...?”

“ฉันเป็นคนขี้หึง” เขากระซิบ แล้วกดริมฝีปากร้อนจัดลงมาอีกครั้ง

“...”

“สุดๆ” และอีกครั้ง

“...” เขาควรปล่อยให้ผมได้พักหายใจบ้าง อย่างน้อยแค่ให้หัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บหน้าอกมันได้เต้นช้าลงสักหน่อยก็ยังดี
ไม่อย่างนั้นมีหวังผมอาจหัวใจวายตายได้ในอีกไม่ช้า

“ก่อนหน้านี้เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันถึงหยวนให้" แต่แน่นอนว่าเชนไม่ฟังเสียงความปรารถนาปลอมๆ ในใจผม เสียงทุ้มจึงเอ่ยประโยคต่อมา ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นการขู่

“แต่ว่าต่อจากนี้...” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็งราวกับจะบอกว่าเขากำลังจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ จนผมต้องลอบกลืนน้ำลาย “คนของฉัน ใครหน้าไหนก็ห้ามแตะต้องทั้งนั้น”

“...”

“เข้าใจมั้ย”

มันเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอีกเช่นเคย เพราะทันทีที่พูดจบ เจ้าของริมฝีปากร้อนจัดแสนละโมบ ก็พรากลมหายใจของผมไปด้วยจูบที่ลึกซึ้งจนคราวนี้ผมคิดว่าตัวเองกำลังจะละลายหายไปจริงๆ

คำขู่ของเขา บวกกับจูบร้อนแรงที่เขามอบให้ ทำให้ผมตระหนักถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

...ดูเหมือนว่าผมจะตกหลุมรักบุคคลอันตราย (สุดๆ) เข้าให้แล้ว

เชนจูบผมอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนผมที่เหนื่อยอยู่แล้วยิ่งรู้สึกเหนื่อยจนแทบจะขาดอากาศหายใจตาย ผมกำลังจะผลักเขาออก แล้วขอเวลานอก แต่ยังไม่ทันได้ทำ ก็มีคนช่วยขัดจังหวะให้แทนเสียก่อน

“โอ้โห...” เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นมา ทำให้คนตรงหน้ายอมถอนริมฝีปากออกไปมองตามต้นเสียง ในขณะที่ผมยืนหอบหายใจตักตวงอากาศที่เหมือนจะไม่ได้สัมผัสมานานเข้าปอดให้ได้มากที่สุด

“โคตรเด็ด” ร่างสูงของเตอร์กับต้าโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของผนัง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าทั้งสองคน ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขายืนแอบฟังอยู่ตรงนั้นมาตลอด

อา...แย่แล้ว

“พวกมึงมาทำไม” เชนขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ

“ตามมาเสือก” เตอร์ว่า

“เห็นทุกช็อต” แล้วต้าก็เสริม

คราวนี้ผมอายจนแทบจะมุดหน้าลงกับพื้น แต่ก็ได้แต่ก้มหน้าพยายามซ่อนใบหน้าร้อนจัดของตัวเองไว้ แม้จะรู้ว่าซ่อนยังไงก็ไม่มิดก็ตาม

“นี่พวกมึงแอบกินกันเองจริงๆ สินะ” เตอร์ถาม สายตาเขาพุ่งเป้ามาที่ผมชัดเจน

“ไม่ใช่นะ!” ผมเงยหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง

ยังไม่ได้กินซะหน่อย...

แต่การเงยหน้าขึ้น ช่างเป็นการกระทำที่โคตรพลาด

“หน้าแดงสัส” ต้าเอ่ยแซวพร้อมหัวเราะ ผมจึงรีบก้มหน้าลงอีกรอบทันที

ให้ตาย ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วจริงๆ

“หึ” ดูเหมือนว่าเชนจะรู้ความในใจผม เขาหัวเราะเบาๆ ฝ่ามือหนาเอื้อมมาดึงท้ายทอยของผมไปซบกับไหล่กว้าง เหมือนกับจะช่วยซ่อนใบหน้าเขินอายของผมให้พ้นสายตาสองคนนั้น

แต่เขาคงไม่รู้ ว่าแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมเขินยิ่งกว่าเดิมอีก

“กูว่าแล้ว ทำไมวันประกวดไอ้เชนถึงรีบร้อนออกไปตามหามึง” ผมยังคงได้ยินเสียงเตอร์เอ่ยแซว ก่อนที่เขาจะแกล้งทำเป็นถอนหายใจเอือมๆ “นี่กูพลาดรางวัลเพราะปัญหาผัวเมียเหรอวะเนี่ย”

และแน่นอนว่าพอเตอร์ยิงให้แบบนั้น ต้าที่รอเสริมทัพอยู่ก็รีบส่งเสียงเห็นด้วยทันที

“กูก็ว่างั้น”

โอย พอเถอะครับ เลิกแซวกันสักที

“ฮะๆ” ดูเหมือนจะมีแต่ผมคนเดียวที่อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี เพราะเจ้าของไหล่กว้างที่ให้ผมซบ กลับไม่มีการแก้ตัวใดๆ แถมยังส่งเสียงหัวเราะอย่างพอใจอีกต่างหาก เขายกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบอยากจะระเบิดตัวเองให้หายไปจากตรงนี้ซะเดี๋ยวนี้เลย

“บอกแล้วไง คนนี้ของกู”

ให้ตาย... นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ ที่มาตกหลุมรักผู้ชายอันตราย (ต่อใจ) อย่างเขาเนี่ย...





---------------------------------------------------------
จะเป็นไรมั้ย ถ้าจะบอกว่าอยากได้พี่เชนมากเลยตอนนี้
(กอดเข่าขอตรี งืออออ)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ยังไงก็ฝาก #เชนตรี ด้วยน้า ^^

 :hao5:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-04-2016 12:26:20
โอว เขินแทนตรี
พยานรักตั้งสองคนแน่ะ
ขอทึ่ส่วนตัวให้พวกนางที. 55
พี่เชนเท่มาก. ใจละลาย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 24 [ 10/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 11-04-2016 18:47:04
เค้าคบกันแล้ว  :hao3: ตรี เปลี่ยนเป็นเรียก พี่เชนนน ก็ดีนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 12-04-2016 20:27:40
26
เปลี่ยนสถานะ
 
ทุกอย่างมันกลายเป็นเรื่องประหลาดไปหมดสำหรับผม
ทั้งในด้านกายภาพ... และความรู้สึก...

เสียงนาฬิกาปลุกที่ได้ยินเป็นประจำทุกเช้าดังขึ้น เรียกให้ผมเอื้อมมือไปกดปิด ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาสู้แสงแดดยามเช้าที่ลอดเข้ามาจากผ้าม่าน ผมส่งเสียงครางอย่างเกียจคร้านพลางยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยความเคยชิน
แต่ลืมไปว่าตอนนี้อะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...

ทันทีที่บิดขี้เกียจและพลิกตัวไปอีกด้าน จมูกของผมก็ปะทะเข้ากับสันจมูกโด่งๆ ของใครอีกคนที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ข้างหลัง

“...!” ผมชะงัก และนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเล็กๆ นี่คนเดียว แต่มีผู้ชายอีกคนที่พอเกิดเรื่องเมื่อคืน ก็สถาปนาตัวเองจากพื้นมานอนเบียดผมบนเตียงเฉยเลย

ไล่ก็ไม่ยอมไป...เอาแต่ใจชะมัด

ทั้งที่ผมพลิกตัวแรงขนาดนี้ แถมจมูกยังชนจมูกเขาเข้าอย่างจัง แต่เจ้าของใบหน้าคมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ผมกระแอมเบาๆ พลางขยับถอยหลังมานิดหน่อยด้วยอาการประหม่าบอกไม่ถูก แต่การที่ถอยออกมา มันกลับทำให้ผมมองใบหน้าของเขาได้ชัดขึ้น ผมไม่เคยตั้งใจมองดวงตาเรียวคมแสนเจ้าเล่ห์และร้ายกาจคู่นี้ในยามหลับจริงจังแบบนี้มาก่อน
ทำไมมันดู... ร้ายกาจไม่แพ้ตอนตื่นเลยล่ะ

ผมได้แต่คิดในใจแล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะ เพราะไม่อยากจะทำให้เขาตื่นขึ้นมาก่อนที่ผมจะพิจารณาใบหน้า
หล่อเหลานี้ได้หมดจด อาจเป็นเพราะคิ้วเข้มที่เหมือนจะขมวดเข้าหากันตลอดเวลานี่ก็ได้ ที่ทำให้เขาดูดุแม้กระทั่งยามหลับ แถมจมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากที่พอเรียบตึงก็ดูหน้าบึ้งแต่พอยิ้มก็ดูร้ายกาจนี่คงมีส่วนอยู่ไม่น้อย
               
นี่แฟนผมหน้าโหดขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ฮะๆ...
                 
...
               
อืม... ถึงจะเป็นการคิดในใจก็เถอะ
               
แต่อยู่ๆ ก็เรียกเขาว่า ‘แฟน’ เนี่ย... คิดเองก็เขินเองแฮะ มันดูขี้เห่อไงก็ไม่รู้
               
ถ้าหมอนี่ได้ยินความคิดผม เขาต้องล้อเลียนไม่หยุดแน่ๆ แค่เมื่อวาน ผมหลุดเรียกเขาว่าพี่เชนไปครั้งเดียวตอนที่ขอคบกัน พอกลับมาถึงห้องเขาก็บอกให้ผมเรียกอีกซ้ำๆ จนผมอยากจะย้อนเวลากลับไปฟาดปากตัวเองสักที
               
ไม่น่าพลาดเลย
               
ผมนอนจ้องใบหน้าของเชนอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที ในใจนึกอยากจะเอานิ้วจิ้มๆ ระหว่างคิ้วที่ชอบพันกันมองผมด้วยสีหน้าเหมือนโกรธอยู่ตลอดเวลานั่นให้มันผ่อนคลายลงซะบ้าง ไม่รู้หรือไงเวลาที่เขายิ้มหรือหัวเราะแบบจริงใจมันดูดีมากน่ะ ทำไมถึงชอบทำหน้าโหดนักก็ไม่รู้ อย่างตอนเจอกันครั้งแรก เขาดูอย่างกับพวกมนุษย์น้ำแข็ง เย็นชา พูดไม่เข้าหู แถมยังชวนผมสูบบุหรี่ทั้งที่ไม่รู้จักกันอีก
           
แต่ที่จำได้แม่นก็คงเป็นรอยยิ้มมุมปากแสนร้ายกาจของเขานี่แหละ ยิ้มดีๆ ไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องยิ้มเหมือนดูถูกดูแคลนชาวบ้านเขาตลอดเวลา...

ให้ตาย ว่าแล้วก็อยากจะจับปากหมอนี่ฉีกให้หัดยิ้มใหม่ชะมัด

ถ้าไม่ติดที่ว่า พอคิดอีกที อาจเป็นเพราะรอยยิ้มร้ายกาจนั่นก็ได้... ที่ทำให้ผมชอบเขา

โอเค... ใครก็ได้บอกผมทีว่าตอนนี้หน้าผมไม่ได้แดง...ทำไมมันถึงได้ร้อนจัดขนาดนี้

“มัวมองอะไร” แต่แล้วความคิดเพ้อเจ้อของผมก็หยุดชะงัก เมื่อเสียงทุ้มจากคนที่นอนอยู่ตรงหน้าดังขึ้นเบาๆ ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขายังปิดสนิท

“...!?”

“รอให้จูบอยู่” ชัดเจนเลยว่าผมไม่ได้หูฝาด เมื่อเชนเอ่ยประโยคนั้น พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นมานิดๆ อย่างคนเจ้าเล่ห์

เขาแกล้งหลับ! บ้าชะมัด

พอรู้ตัวว่าพลาดซะแล้ว ผมก็แกล้งลุกขึ้นเพื่อซ่อนความอายของตัวเอง ก่อนจะหยิบหมอนใบโตโยนใส่หน้าเขาด้วยความหมั่นไส้ เชนหัวเราะในลำคอเบาๆ เหมือนสะใจที่แกล้งผมได้ ก่อนจะลุกขึ้นตาม กอดหมอนที่ผมเพิ่งปาไปไว้บนตัก มองมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เหมือนเคย

“ตกลงจะไม่จูบ?” เขาเลิกคิ้ว ผมเบ้หน้า

ใครจะไปจูบวะ

แค่เมื่อวานปากผมก็แทบจะเปื่อยอยู่แล้ว...

“งั้นวันหลังฉันคงต้องตื่นก่อน” เขาพูดต่อ มุมปากยังคงยกเป็นรอยยิ้มกวนประสาท “เดี๋ยวจะสอนให้ว่าคนเป็นแฟนกันเขาทักทายตอนเช้ากันยังไง”

“หุบปากไปเลย!” ผมขึ้นเสียง อยากจะหาอะไรมาปาใส่เขาอีกรอบ แต่นอกจากผ้าห่มที่คลุมตัวกับหมอนที่อยู่บนตักเขาแล้ว บนเตียงแคบๆ นี่ก็ไม่มีอะไรที่จะพอเป็นอาวุธได้เลย

ผมได้แต่ฮึดฮัดลุกจากเตียงอย่างคนแพ้ รู้สึกแพ้ราบคาบเมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่าคำพูดของเขา มันทำให้หน้าของผมร้อนไปหมดอย่างห้ามไม่ได้ ผมได้ยินเสียงคนกวนประสาทดังตามหลังมาขณะที่ผมเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน เห็นหน้าแดงๆ ของตัวเองในกระจกแล้วอยากจะหาอะไรมาทากลบให้มันหายแดงจริงๆ แต่เพราะไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่าเท่าไหร่ ก็เลยได้แต่พยายามสงบจิตสงบใจปล่อยให้มันหายแดงไปเอง

แต่ยังไม่ทันจะปรับสีหน้าได้ ตัวต้นเหตุก็เดินตามมาในห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟันของตัวเองที่เหลืออยู่ในแก้วออกมาบีบยาสีฟัน และยืนแปรงฟันข้างผมด้วยสีหน้าที่ยังดูกวนประสาทไม่หาย เขาเหลือบมองผมและเหมือนจะยิ้มมุมปากตลอดเวลาจนกระทั่งเราแปรงฟันเสร็จ ผมบ้วนปาก แล้วยื่นน้ำยาบ้วนปากให้เขา ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนอยู่หน้ากระจกขึ้นมาเช็ดปาก แล้วเตรียมตัวจะเดินออกไป

“เดี๋ยว” แต่เชนก็เรียกไว้ก่อน

"หือ...อ๊ะ!?" พอผมหันกลับไปทำสีหน้าตั้งคำถาม คนตัวสูงกว่าก็ก้มหน้าลงมาใกล้ จนผมผงะ

แต่เขาไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คิด เชนแค่ก้มตัวลงมาเช็ดปากตัวเองกับผ้าขนหนูที่ผมพาดคอเอาไว้เท่านั้น

“ยืมหน่อย” เขาว่าพลางแสยะยิ้ม คงอ่านออกว่าเมื่อกี้ผมคิดอะไร

หมอนี่แกล้งผมอีกแล้ว... และมันน่าโมโหจริงๆ ที่การแกล้งซ้ำๆ ของเขามันยิ่งทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัวว่ามันจะกระเด็นออกมาจากอกเข้าสักวัน

“หน้านายตลกชะมัด” เขาพูดกลั้วหัวเราะ พลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ เหมือนทุกที ผมไม่ตอบ ได้แต่เบ้หน้ากลับไป แต่ร่างสูงก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านเลย เขาล้วงกระเป๋ากางเกงหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำไปหน้าตาเฉย ทิ้งผมไว้กับความอับอายที่ตกหลุมความเจ้าเล่ห์ของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“วันนี้อยากกินข้าวต้มปลา” เขาบอกขณะที่นั่งเหยียดขาลงบนเตียง หยิบกีตาร์ขึ้นมาดีดไปพลาง

“บอกทำไม” ผมแกล้งตีหน้าไม่เข้าใจ เพราะยังแอบไม่พอใจที่โดนเขาแกล้ง

“จะไม่ทำให้เหรอ?” เชนเลิกคิ้ว

“ทำ” และผมก็แพ้ราบคาบอีกครั้ง

หมอนี่มีความสามารถในการบังคับคนโดยไม่ใช้ประโยคบังคับได้ดีจริงๆ

ผมเดินไปเปิดตู้เย็น ควานหาวัตถุดิบทำข้าวต้มปลาให้คนเอาแต่ในที่ยังคงดีดกีตาร์ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอยู่บนเตียง จัดการหยิบวัตถุดิบทุกอย่างขึ้นมาเตรียมไว้บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปล้างมือเตรียมตัวทำอาหารเช้า

แต่ขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่ตรงโซนครัว เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่จำได้ว่าเป็นของผมก็ดังขึ้นมา ผมวางมือจากถุงข้าวสารที่เพิ่งเทลงหม้อ เช็ดมือกับผ้าเช็ดมือแล้วเดินไปที่เตียงเพื่อจะรับโทรศัพท์ แต่กลับพบว่าเชนกำลังถือโทรศัพท์มือถือของผมอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องที่หน้าจอนิ่งๆ ขณะที่คิ้วเข้มกำลังขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังหงุดหงิด

“ไอ้ซัน” เขาคงรู้ว่าผมมาแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาบอกชื่อคนโทรเข้าให้ผมรู้

“อ่อ” ผมพยักหน้ารับ กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองในมือเขา แต่นิ้วเรียวกลับกดตัดสายที่กำลังโทรเข้ามาต่อหน้าต่อตา

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง “ทำอะไร??”

อยู่ๆ ตัดสายเฉย ผมยังไม่เคยตัดสายไอ้ซันสักครั้งเลยนะ

“มีธุระอะไรต้องคุย” เขายังกำมือถือของผมเอาไว้ ถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่องเต็มที

“จะรู้ได้ไง ก็มันเป็นคนโทรมา” ผมตอบตามความจริง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานหลังจากที่ผมวิ่งออกไป ผมก็ไม่ได้ติดต่อไอ้ซันเลย

ก่อนหน้านั้นมันขอมานอนห้องผม แต่ผมก็ดันวิ่งหนีมันซะงั้น แถมไม่ทิ้งกุญแจไว้ให้ด้วย พอกลับมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้เพื่อนตัวดีแล้ว

“บางทีมันอาจจะโทรมาเรื่องเมื่อวาน” ผมทำท่าครุ่นคิด คงไม่มีเหตุผลอื่นหรอก

“เรื่องจูบ?” เชนขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ท่าทางเหมือนพร้อมจะบีบมือถือผมให้แหลกคามือ

“ไม่ใช่ เรื่องที่ฉันทิ้งมันไว้” ผมเลยต้องรีบแย้ง “มันคงงงว่าทำไมอยู่ๆ ก็วิ่งออกไป”

ทั้งๆ ที่มีรถ... เรื่องโง่ๆ ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย =_=

เชนขมวดคิ้ว เหมือนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แล้วพอเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้ผมเป็นฝ่ายรับสายเอง

[ ทำไมเมื่อกี้สายตัดวะ ] ไอ้ซันถามทันทีที่ผมกดรับ

“โทษที” ผมไม่ได้อธิบาย แต่เหลือบตามองตัวต้นเหตุด้วยสายตาคาดโทษแทน

เชนยังขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจ จนผมต้องเบือนหน้าหนี เดินออกมาคุยที่ระเบียงเพื่อหลบสายตาคมกริบของเขา

“มึงมีอะไร” ผมถามหลังจากที่พ้นหูพ้นตาคนขี้โมโหแล้ว

นี่หรือเปล่าที่เขาบอกว่าตัวเองขี้หึง...

[ จะขอโทษเรื่องเมื่อวาน ] ปลายสายตอบ ก่อนจะทำเสียงอ่อนลงในประโยคต่อมา [ ขอโทษที่จูบ... ]

ผมชะงักไปพักหนึ่งเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดเรื่องนี้ “ไม่เป็นไร กูต้องขอบใจมึงต่างหาก” ผมตอบ

ถ้ามันไม่ทำแบบนั้น ผมก็คงไม่รู้ใจตัวเอง และปล่อยให้การยึดติดกับความรักครั้งเก่าครอบงำหัวใจต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าความรักครั้งนั้นมันหายไปตั้งนานแล้ว

[ ขอบใจเรื่องอะไร ] ไอ้ซันถาม น้ำเสียงงุนงง

“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบยังไง สายตาเหลือบมองกลับไปยังร่างสูงที่ยังคงขมวดคิ้วมองมาอยู่ที่เดิม

ให้ตาย ผมจะพูดได้ไงว่าเพราะจูบนั่นถึงทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจตัวเองเป็นของใคร

โคตรจะน้ำเน่าเลย

“ช่างมันเถอะ ขอบใจมึงแล้วกัน” ผมตัดบท ไม่อยากพูดอะไรที่ทำให้หน้าร้อนไปมากกว่านี้ แค่นี้อัตราการเต้นของหัวใจผมมันก็ผิดปกติจนน่าเป็นห่วงแล้ว

ไอ้ซันเงียบไปพักใหญ่เหมือนกำลังทำความเข้าใจ แต่แล้วมันก็ถามคำถามที่ทำเอาผมถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง [ เมื่อวานเหมือนกูเห็นพี่เชน ]

“แค่ก!...” หะ...เห็นได้ไง

[ แล้วมึงก็วิ่งออกไป ]

“แค่กๆๆ!” ผมล่ะอยากจะไอให้อ้วกไปเลย ไอ้เพื่อนตัวดีจะได้เปลี่ยนประเด็นการสนทนาไปเรื่องอื่น

แต่นอกจากผมจะไม่อ้วกแล้ว ไอ้ซันก็ยังคงคุยเรื่องเดิม ด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรๆ มากกว่าเดิม

[ ถ้ากูเดาไม่ผิด ที่มึงวิ่งออกไป... คือไปหาพี่เชน? ]

อย่าทำน้ำเสียงรู้ทันแบบนั้นสิครับเพื่อนรัก

[ นี่มึงกับพี่เขา... ] มันเว้นวรรคไว้ ให้ผมต่อประโยคคำถามนั้นเอง และตอบเอง

“อืม” ผมตอบเบาๆ เหมือนกลัวว่าอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องจะได้ยิน ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าเรากำลังคุยอะไรกัน

[ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ] น้ำเสียงไอ้ซันกึ่งตกใจกึ่งตื่นเต้นซะจนผมทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“ก็... ไม่รู้ว่ะ”

ผมตอบตามตรง ไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องระหว่างผมกับเชนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อาจเป็นตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอกับเขาที่หน้าห้องไอ้ซันเลยก็ได้

อา ดูเหมือนว่าไอ้ซันจะกลายเป็นพ่อสื่อให้ผม ทั้งๆ ที่มันไม่รู้ตัวซะงั้น

[ แล้วตอนนี้มึงกับพี่เชนกำลังคบกัน? ]

ทำไมไอ้เวรนี้ตั้งคำถามแทงใจดำผมตลอดเลย ไม่คิดจะอ้อมค้อมบ้างหรือไง

“อืม” ผมตอบแค่นั้น พยายามควบคุมใบหน้าของตัวเองไม่ให้ร้อนไปมากกว่านี้ แต่มันจะไปทำได้ยังไง

คราวนี้ไอ้ซันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อยู่ๆ มันจะหัวเราะออกมา

“หัวเราะอะไร” ผมถามพลางเกาคางเก้อๆ เป็นบทสนทนาที่แปลกดีแฮะ ปกติถ้าไอ้ซันโทรมานอกจากเรื่องปัญหาของมันกับวีแล้ว ก็แทบไม่มีเรื่องอื่นเลย

[ เปล่า กูดีใจ ] มันตอบ น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ดีใจอะไร”

[ ก็ดีใจที่มึงเลิกชอบกูได้จริงๆ ซะที ]

“นี่มึงจะบอกว่าดีใจที่กูไปให้พ้นๆ จากชีวิตมึงสักที ว่างั้น?” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกน้อยใจนิดๆ ถ้ามันคิดแบบนั้นจริงๆ
แต่ไอ้ซันกลับหัวเราะ [ เปล่า กูหมายถึง ในที่สุดกูก็สามารถยินดีกับความรักของมึงจากใจจริงได้สักทีต่างหาก ]

“...” ผมชะงัก เริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้ซันต้องการจะพูดอะไร

[ ที่ผ่านมามึงคงเจ็บมามากกับรักครั้งเก่า ] มันพูดต่อ น้ำเสียงผ่อนคลายและจริงใจแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน [ แล้วกูก็ไม่สามารถปลอบใจ หรือทำอะไรให้มึงได้เลย เพราะคนที่ทำให้มึงเจ็บ...ก็คือกู ]

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร เพราะในใจมันรู้ดีทุกอย่าง

ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของมันแล้ว ที่ผ่านมาคงไม่ได้มีแต่ผมหรอกที่รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เจอหน้ามัน ไอ้ซันเองก็คงลำบากใจมากเหมือนกัน

[ ในที่สุดก็มีความสุขได้สักทีนะเพื่อน ] มันหัวเราะ ผมจึงหัวเราะตาม [ ยินดีด้วยจริงๆ ว่ะ ]

“ขอบใจ” ผมตอบด้วยใจจริง ในอกมันรู้สึกโล่งไปหมด เมื่อในที่สุดเราสองคนก็สามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้งจริงๆ

ต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมยอมปล่อยความรักครั้งแรกที่ฝังใจเอาไว้

ขอบคุณความรักครั้งใหม่ที่เข้ามาเยียวยาความเจ็บปวด และเติมเต็มหัวใจที่ขาดหายไปจากความผิดหวัง

และคงต้องขอบคุณเขา ผู้ชายอีกคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตสีเทาหม่นของผมให้มันสว่างกว่าเดิม

คุยกันต่อสักพัก ไอ้ซันก็ขอตัววางสาย ผมเก็บโทรศัพท์และเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งด้วยหัวใจที่เบาลงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ขณะที่กำลังจะหยิบวัตถุดิบขึ้นมาทำอาหารอีกครั้ง ร่างสูงที่นั่งหน้านิ่วอยู่บนเตียง ก็เดินมาแย่งหม้อใส่ข้าวออกไปจากมือผม วางลงที่เคาน์เตอร์ข้างตัวแล้วหันมากอดอกทำหน้างุ่นง่านใส่

“จะไม่อธิบายหน่อยหรือไง” เชนขมวดคิ้วคาดคั้น จนผมอยากขำ แต่ขำไม่ได้เพราะงานนี้ผมต้องเอาคืน

“อธิบายอะไร?” ผมแกล้งเลิกคิ้วหน้าซื่อ

คนตัวสูงขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าดิมสีหน้างุ่นง่านเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ “คุยอะไรกับไอ้ซัน”

“ก็ไม่มีอะไร” ผมตอบ เบือนหน้าหนีทำท่าจะหยิบอะไรขึ้นมาทำกับข้าวต่อ

แต่แน่นอนว่าเชนไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เขาแย่งเนื้อปลาแช่แข็งที่ผมเพิ่งจะหยิบขึ้นมาแกะ เอาไปวางลงที่เคาน์เตอร์ห่างออกไป แล้วหันกลับมายืนกอดอกทำสีหน้าไม่พอใจแบบสุดๆ

“บอกมา”

ผมล่ะชอบใบหน้างุ่นง่านแบบตอนนี้ของเขาจริงๆ

มันบ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขากำลังหึง

ในที่สุดผมก็หลุดขำ แล้วยอมพูดความจริง “มันโทรมาถามเรื่องที่วิ่งหนีไปเมื่อวาน”

“แล้ว?” เชนเลิกคิ้ว สีหน้าผ่อนคลายขึ้นกว่าเมื่อกี้แต่ก็ยุงดูข้องใจอยู่

“แล้วก็เลยบอกไปว่าวิ่งไปหานาย” ผมว่าพลางมองคนที่ยืนกอดอกตั้งใจฟัง “แล้วมันก็เข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร”

“อะไรเป็นอะไร?” เขาขมวดคิ้ว แต่ไม่ใช่ความโกรธ เป็นความงุนงงมากกว่า

ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ และอธิบายให้เขาเข้าใจทีเดียว “ก็เข้าใจว่าทำไมถึงวิ่งไปหานาย... เข้าใจว่าเรากำลังคบกัน”
เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคต่อมา

“มันแสดงความยินดี ที่ในที่สุดฉันก็รักคนอื่นได้สักที”

ผมเน้นคำว่า ‘รัก’ อย่างชัดเจน เพื่อให้คนตรงหน้ารับรู้ความรู้สึกที่ต้องการสื่อออกไป แต่แค่นั้นมันคงยังไม่พอ ผมเลยพูดซ้ำอีก

“ขอบคุณครับ ที่ทำให้ผมรู้จักความรัก” 

พอพูดประโยคนั้นจบ ผมกลับรู้สึกเขินขึ้นมาเองซะอย่างนั้น...

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียว เพราะร่างสูงที่ก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วมุ่น ก็เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน เชนยกมือขึ้นมาป้องปาก พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ดของเขาทำให้ผมไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังรู้สึกอะไร

“ทำไมน่ารัก” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำอะไรสักอย่างขณะที่เหลือบสายตากลับมามองผมโดยที่ยังใช้หลังมือป้องปากตัวเองพยายามปกปิดรอยยิ้มเขินๆ ที่ยังไงก็เล็ดลอดสายตาผมไปไม่ได้อยู่ดี

ท่าทางเขินอายของเขาทำให้ผมเขินตามจนต้องกระแอมออกมาเบาๆ ใบหน้ามันร้อนไปหมด สุดท้ายก็เลยยืมมุกเขามาใช้ ยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองบ้าง พลางเบือนหน้าหนีแสร้งทำเป็นหยิบนู่นหยิบนี่มาทำอาหารต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยสักนิด

ให้ตาย...

ใครกันแน่ที่น่ารัก




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-04-2016 20:34:22
อื้อหือ. น่ารักมากๆตอนนี้
มีความมุ้งมิ้ง หึงกันเบาๆแต่เขินหนักๆ
สารภาพว่าเตียงไม่อำนวยเนอะ ลุ้นncอยู่นะคะ
ตรีต้องน่ารักมากๆแน่ๆ.  :L1: 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 12-04-2016 20:40:30
เราก็อยากถามเหมือนกันว่าทำไมน่ารัก  งื้ออออ 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 12-04-2016 21:48:51
ความน่ารักมุ้งมิ้งมาเต็ม น่ารักกก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 12-04-2016 22:20:50
โอ้ยเขินนนนนน  :-[

คือดีงามมาก
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sundayskydee ที่ 13-04-2016 01:34:35
ตั้งแต่เริ่มต้นอ่านเรื่องนี้ รู้สึกชอบในอารมณ์ ความรู้สึกตัวของเชนและตรีน้ะ แต่ชอบความเป็นไปของพี่เชนเงียบๆๆนิ่งแต่มาแรง และก็ชอบโมเม้นที่ว่า พ่อเชน แม่ตรี ลูกเต  :mew3: น่ารักมาาาาก

ขอบคุณคนเขียนที่ทำให้หลงรักเรื่องนี้อย่างจัง #รอตอนต่อไป #อยากเห็นตรีหึงพี่เชนบ้าง  :hao3:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-04-2016 01:43:51
น่ารักกกกกกกก ชอบเชนมาก สงสารมาตลอด เป็นเรื่องที่พระเอกเป็นทาสมาก ยอมตลอด 555555555

ปล.คิดถึงเตจังค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-04-2016 01:44:03
เขินกันไปเขินกันมาไม่ต้องทานมันหรอกข้าวน่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-04-2016 04:18:21
คุณคนเขียนต้องรับผิดชอบนะคะ มาทำให้เรรติดนิยายเรื่องนี่ขนาดนี้ ฮืออออออ
อยากให้อัพทุกวันเลย
ชอบตัวละครทุกตัวในเรื่อง มันดูมีมิติ และเรียลมาก
ขอสมัครเป็นแฟนคลับนิยายของคุณคนเขียน ทั้งเเรื่องนี้ และเรื่องต่อๆไปค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 26 [ 12/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-04-2016 08:35:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 13-04-2016 15:28:46
27
แฟนเก่า
 

ผมน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าเชนเป็นคนพูดจริงทำจริง

ต่อให้เรื่องที่เขาพูด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม...

“อืม...” 

จุ๊บ~

“...!” ผมสะดุ้งสุดตัวและเบิกตากว้างทันทีที่มีสัมผัสร้อนๆ แตะลงบนริมฝีปากเบาๆ ขณะที่ผมกำลังงัวเงียโงหัวขึ้นจากหมอน

“บะ...บอกแล้วไงว่าวันหลังรอให้ตั้งตัวก่อน แบบนี้มันตกใจ!” ผมโวย พร้อมยกมือขึ้นมาปิดปาก ขมวดคิ้วตำหนิร่างสูงที่ทำให้ผมแทบจะหัวใจวายแต่เช้า

ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียงแต่ก้มลงมาเท้าแขนคร่อมตัวผมไว้ แสยะยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะยืดตัวกลับไปยืนเต็มความสูงเหมือนเดิม

ไม่ว่ายังไงการได้รับจูบตอนเช้าทั้งที่ยังไม่ทันจะแหกขี้ตาตื่นดีเนี่ย... เป็นอะไรที่ยังรับไม่ทันจริงๆ นะ

“ถ้ารอให้ตั้งตัว ก็ไม่เห็นหน้าตลกๆ ดิ” แต่คนเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกเลย แถมยังยื่นมือมาขยี้หัวผมจนผมที่ฟูเพราะเพิ่งตื่นนอนคงจะดูทุเรศไปกันใหญ่

ผมได้แต่เบ้หน้า เพราะรู้ว่าโวยวายไปเขาก็คงไม่สนใจ ก็มันเป็นความตั้งใจของเขานี่นะ อุตส่าห์ลงทุนตื่นเช้ากว่าเพื่อมาแกล้งผมทุกวี่วันแบบนี้
               
บอกแล้วไง ว่าหมอนี่เป็นคนพูดจริงทำจริง
               
เขาเคยบอกว่าจะตื่นก่อนเพื่อสอนวิธีการทักทายยามเช้าให้ผม... แล้วก็ทำจริงๆ
               
ผมตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกครั้ง เพื่อปรับสีหน้าของตัวเอง ตั้งสติใหม่ ก่อนจะลุกขึ้น เดินไปจัดการธุระของตัวเองในห้องน้ำ เชนตามมาในไม่ช้า
             
หลังจากคบกัน นี่ถือเป็นกิจวัตรที่เราทำร่วมกันในทุกๆ วัน ตื่นมาตอนเช้า จูบ...
 
มะ...หมายถึงทักทายยามเช้า
               
จากนั้นก็มาล้างหน้าแปรงฟันอยู่หน้ากระจกเดียวกัน ก่อนที่ต่างคนจะอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน
               
มันดูเป็นอะไรง่ายๆ นะ แต่กลับมีความหมายกับผมอย่างบอกไม่ถูก
               
เชนชอบเล่นหัวผมเวลาแปรงฟัน ทำไมไม่รู้ ช่วงแรกๆ ผมก็รำคาญ และพยายามบิดตัวหนี แต่ก็หนีไม่พ้น เลยยอมทนให้เขาเล่นหัวจนกว่าจะพอใจ แต่ไม่รู้ไปยังไงมายังไง สุดท้ายผมถึงเป็นฝ่ายไม่ชินซะเองถ้าวันไหนไม่โดนฝ่ามือหนานั่นขยี้ลงบนหัว
               
แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะมีโอกาสได้เอาคืนบ้าง
               
“เช็ดผมให้มั้ย?” ผมเงยหน้าจากโมเดลสถาปัตย์ที่กำลังเก็บรายละเอียดอยู่ถามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพเปลือยท่อนบน มีหยดน้ำเกาะพราว พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมอยู่บนผมเปียกๆ
               
เขาไม่พูดอะไร แค่เดินมานั่งข้างผม และหันหลังให้เป็นคำตอบ
               
หลังจากที่ถูกเขาเล่นหัวอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด ในที่สุด ผมก็พบหนทางเอาคืนในวันหนึ่งที่เห็นเขาสระผมตอนดึก และไม่ยอมนอนสักทีเพราะผมยังไม่แห้ง
               
เชนไม่ชอบเป่าผม เขามักจะหาอะไรทำและรอให้มันแห้งเอง แต่บางทีมันก็ไม่ทันใจใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นพักหลังมานี่ผมก็เลยอาสาเช็ดให้ทุกครั้ง ถ้าเห็นหมอนี่สระผม กลิ่นแชมพูยี่ห้อเดียวกับที่ผมใช้โชยมาทันทีที่ ผ้าขนหนูขยี้ลงบนผมเปียกๆ เบาๆ
                 
เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่ชอบเล่นหัวผม ว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนเวลาที่ได้ขยำเส้นผมนุ่มๆ หอมๆ ของคนอื่น
               
“วันนี้เรียนเสร็จกี่โมง” เสียงทุ้มถาม ขณะที่ผมกำลังเล่นหัวเขาเพลินๆ
               
“ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้มีตรวจแบบ” ปกติแล้วถ้าวันไหนมีตรวจ ผมมักจะเลิกช้ากว่าปกติ วันนั้นเราจะแยกกันไปเรียน เพราะขากลับจะได้ไม่ต้องรอกัน แต่ถ้าวันไหนไม่มี เชนก็จะขับรถโฟล์คไปส่งผมที่คณะ แล้วค่อยไปเรียน ก่อนจะมารับผมกลับหอพร้อมกันในตอนเย็น
               
นี่มันเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กประถมที่ต้องมีผู้ปกครองไปรับไปส่งตลอดเวลาเลยแฮะ
               
“มีอะไรเหรอ” ผมถาม แต่มือยังคงขยี้ผมคนตรงหน้าต่อไป
               
“ก็ซื้อบัตรละครไว้” เขาตอบสั้นๆ ทำให้ผมนึกขึ้นได้
               
อา... ลืมไปเลยว่าวันนี้ที่คณะมีละครเวที แถมเป็นการแสดงรอบสุดท้ายแล้ว เชนเพิ่งบอกให้ผมซื้อบัตรให้สองใบเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง แต่บัตรวันสุดท้ายหายากจะตาย เต็มหมดตั้งแต่เปิดขายแรกๆ เลยด้วยซ้ำ

อันที่จริงคนในคณะ ไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรหรอก เพราะมันเป็นสิทธิพิเศษของพวกเราที่แวะเวียนไปช่วยพี่ปีสี่ซึ่งเป็นเฮดหลักโปรดักชั่น ผมจะพาเชนไปดูฟรีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาไม่ยอม ผมก็เลยต้องลัดคิวจองเก้าอี้เสริมที่มักจะขายหน้างานเท่านั้นไว้ให้เขาได้ที่นั่งสมใจ 
               
“ถึงตรวจเสร็จก็ต้องไปช่วยร้องเพลงอยู่ดี” ผมบอก ปกติก่อนจะปล่อยให้ผู้ชมเข้าไปดูละคร นักศึกษาตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่คณะผม จะทำการตั้งบูธขายของ และจัดกิจกรรมคั่นเวลาเพื่อไม่ให้คนดูเบื่อซะก่อน หนึ่งในนั้นก็คือดนตรีโฟล์คซองซึ่งเกณฑ์ใครก็ตามในคณะที่สามารถเล่นดนตรีได้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างบรรยากาศ
               
และคืนนี้ก็เป็นเวรผม
               
ตอนแรกก็ไม่ได้ทำหรอก เพราะถึงไม่มีผม คนที่เล่นดนตรีเก่งในคณะก็มีเยอะแยะ แต่เพราะไอ้เวสป้ามันว้อนท์อยากร้องเพลงโชว์พลังเสียงมาก ก็เลยมาตื๊อให้ผมไปช่วยเล่นกีตาร์ให้มัน
               
ซึ่งผมก็ไม่เคยปฏิเสธไอ้เพื่อนตัวดีได้เลย
               
ผมชะงักเมื่ออยู่ดีๆ ใบหน้าคมก็เอนลงมามาสบตาผมที่อยู่ข้างหลังโดยไม่บอกกล่าวจนจมูกโด่งๆ เฉียดกันริมฝีปากผมไปนิดเดียว
               
“แล้วฉันจะดูกับใคร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มองผมทั้งๆ ที่ใบหน้ายังอยู่ในระนาบแนวนอน
               
ช่วงหลังมา ถ้าเห็นหมอนี่ขมวดคิ้วใส่ ผมจะอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มระหว่างคิ้วของเขาเบาๆ ให้มันคลายออกด้วยความหมั่นไส้
               
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อบัตรให้ไง” ยังไงวันนี้ผมก็ยุ่งจะตาย ไปดูด้วยไม่ได้หรอก ซื้อมาก็เปลืองเงิน
แต่เขาก็ไม่เคยฟังผมเลย

เชนกลับไปขมวดคิ้วอีก ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนทำให้นิ้วที่เคยจิ้มอยู่ระหว่างคิ้วไปอยู่ระดับปาก แล้วงับเบาๆ จนผมสะดุ้งรีบชักมือกลับ

“งั้นจะไปดูกับคนอื่น” เขายืดตัวขึ้น หันหน้ามาทำหน้าเอาแต่ใจ

ผมชะงักแวบหนึ่ง อย่างไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง ถ้าว่ากันตามจริง การที่เขาหาเพื่อนไปดูด้วยเพราะบัตรเหลือมันก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงรู้สึกไม่พอใจนิดๆ

“เอาดิ เสียดายตั๋ว” แต่ก็ได้แค่พยักหน้า ไม่มีการโต้แย้ง เชนขมวดคิ้วมองผมเหมือนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก

“แล้วจะเสียใจ” พูดจบเขาก็คว้าผ้าขนหนูในมือผมไปเช็ดผมที่เริ่มหมาดของตัวเอง พลางลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อช็อป สีน้ำเงินเข้มออกมาสวมลวกๆ เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาที่ผมต้องเก็บของ เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว

ถึงวันนี้จะไม่ได้ไปเรียนด้วยกัน แต่แค่ได้ออกจากห้องพร้อมกันก็ยังดี
 

เวลาผ่านไป

ผมเข้าใจแล้วว่าเมื่อเช้าเชนหมายความว่ายังไง

เขาพาคนอื่นมาดูละครที่คณะผมจริงๆ และมันจะไม่น่าเสียใจอย่างที่เขาบอกเลย ถ้าคนที่เขาพามา ไม่ใช่ฟ้า...
             
ฟ้าที่เป็นอดีตดาวคณะวิศวะ... และเป็นแฟนเก่าเขานั่นแหละ
             
หมอนั่นทำผมหน้าชาไปเลย เขาพาเธอมาโดยไม่อธิบายให้ผมฟังเลยสักนิดว่าทำไมถึงมาด้วยกัน
             
ไม่อธิบายแม้กระทั่งว่าเขากับฟ้า กลับไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมพอเข้าใจนะว่าเขาอยู่คณะเดียวกัน ปีเดียวกัน ก็เลยเจอหน้ากันบ่อย แถมยังเป็นสายรหัสกัน ก็คงสนิทกันเป็นธรรมดา แต่เขาลืมไปแล้วเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเคยทำอะไรไว้ เธอนอกใจเขาไปหมั้นกับคนอื่นนะ ไม่ใช่แค่คบกับคนอื่นธรรมดา แต่ถึงขั้นหมั้นกัน แล้วทำไม...
               
ให้ตาย ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ
               
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกำลังยุ่งอยู่ ผมยังคงเล่นดนตรีอยู่ที่ลานกลางแจ้งซึ่งมีฉากหลังเข้าธีมละคร ไอ้เวสป้านั่งร้องเพลงอยู่ข้างๆ เสียงมันเพราะกว่าที่ผมคิดไว้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ตลอดการแสดงสายตาของผมมันเอาแต่จับจ้องไปที่คนสองคนซึ่งกำลังนั่งฟังเพลงอยู่ตรงที่นั่งด้านหลังสุดตรงกับผมพอดี ทั้งที่ไม่ได้อยากมอง
               
ถึงเชนกับฟ้าจะไม่ได้มีทีท่าสวีทหวานเหมือนตอนเป็นแฟนกัน แค่นั่งฟังเพลงแล้วหันไปคุยกันบ้างเป็นพักๆ แถมรักษาระยะห่างระหว่างกันชัดเจน แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่คนอื่นจะจินตนาการไปไกล ว่าคู่ของเขากำลังจะมีรีเทิร์น
               
และมันน่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ผมก็เป็นหนึ่งคนที่คิดแบบนั้น... ทั้งๆ ที่แฟนคนปัจจุบันของเชนคือตัวผมเองแท้ๆ
               
มันเป็นความน่าสมเพชที่ผมเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับฟ้าที่มีดรีกรีเป็นถึงดาวคณะ เธอเพอร์เฟ็กต์ในแทบจะทุกๆ ด้าน ในขณะที่ผมเป็นมนุษย์โนเนมในคณะที่อยู่หลืบสุดของมหาวิทยาลัย
               
และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
               
ผมเป็นผู้ชาย…
               
ตอนขอคบกับเขาผมลืมคิดไปเลยว่าถ้าคนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะน่าอายแค่ไหน ผมไม่อยากทำให้ภาพลักษณ์หนุ่มฮอตของเขาเสียหายโดยการทำให้คนอื่นรู้ว่าเขาทิ้งสาวสวยมาคบกับผู้ชายหน้าบ้านๆ อย่างผม ก็เลยต้องเก็บอาการหึงหวงเอาไว้ในใจคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
               
“มึงอยู่ดูละครต่อป่ะ” ไอ้เวสป้าหันมาถาม หลังจากที่เราหยุดเล่นดนตรี เพราะใกล้จะได้เวลาแสดงละครแล้ว คนดูที่เคยอออยู่เต็มลานก็หายไปเกือบหมด เหลือเพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นคือเชน... ส่วนฟ้า เธอลุกไปไหนสักที่ก่อนหน้านี้แล้ว
               
“คิดว่าไม่ว่ะ” ผมตอบอย่างขอไปที ก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาใส่กีตาร์ตั้งใจจะกลับหอเร็วๆ

แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมีเท้าของใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเจ้าของรองเท้าผ้าใบเก่าๆ นี่ คือเชนจริงๆ
               
“จะไม่ดูเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามท่าทางข้องใจ
               
ผมชะงัก มองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าไอ้เวสป้ากับคนอื่นๆ ที่กำลังเก็บบูธหันมามองทางเราเป็นตาเดียวด้วยสายตาสงสัย เชนเคยมาที่คณะกับผมก็จริง แต่ก็แค่สองครั้งเท่านั้น แถมตอนนั้นยังไม่มีใครเห็นอีก แทบไม่มีใครรู้ว่าเรารู้จักกัน แล้วอยู่ๆ ตอนนี้เขาก็มาคุยกับผมอย่างสนิทสนม มันคงจะน่าประหลาดใจไม่น้อย
               
ผมก้าวถอยหลัง รักษาระยะห่างของเราเอาไว้ ไม่ให้ใครระแคะระคายในความสัมพันธ์
               
“มะ...ไม่ครับ” ผมไม่กล้าพูดเป็นกันเองกับเขาต่อหน้าคนอื่น ก็เลยตอบกลับไปอย่างสุภาพ
               
เชนขมวดคิ้วมองท่าทางแปลกๆ ของผมอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปมองรอบตัว แล้วคงรู้ว่าทำไมผมถึงถอยหนี

“อายเหรอ?” เขาแค่นหัวเราะมองผมด้วยสายตาอ่านยาก “งั้นก็ตามใจ” ก่อนจะยัดอะไรบางอย่างมาไว้ในมือผม
               
มันคือบัตรละครอีกใบที่เขาซื้อเอาไว้ให้ผม
               
เขาไม่ได้ให้ฟ้า...
               
ผมกำลังจะถามเขาว่ามันหมายความว่ายังไงแต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นร่างสูงเดินหายเข้าไปในทางเดินเข้าโรงละครที่มืดสนิทซะแล้ว
               
บ้าชิบ นี่ผมเข้าใจผิดเหรอ?
               
“เดี๋ยวกูมานะ” ผมวางกีตาร์ หันไปบอกไอ้เวสป้าที่ยังคงทำหน้างงๆ แล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างของเชนไป แต่กลับมีใครบางคนเดินสวนออกมาจากทางเดินมืดๆ และเกือบจะชนกับผม
               
“อ้าวตรี” เป็นฟ้านั่นเองที่เดินออกมา เธอทำหน้าตกใจอยู่พักหนึ่งที่เห็นผม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ “เล่นกีตาร์เก่งดีนะ” น้ำเสียงและรอยยิ้มหวานที่คงละลายใจชายหนุ่มมานักต่อนัก
               
แม้แต่ผมยังรู้สึกว่าเธอน่าถะนุถนอมเลย
               
“...” ผมไม่ตอบ สมองกำลังประมวลผลอยู่ว่าต้องพูดอะไร
               
ปกติเวลาเจอหน้าแฟนเก่าของแฟนปัจจุบันที่ดีกว่าเราทุกอย่าง ต้องทำหน้ายังไง
               
“ห้องน้ำไปทางไหนเหรอ?” สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากพวกเรายืนนิ่งใส่กันอยู่สักพัก
               
“ทางนั้นครับ ตรงไปเลี้ยวซ้าย” ผมอ้ำอึ้งก่อนจะชี้มือไปตามทางเดิน
               
“อ่อ... ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ผมอีกรอบ ก่อนจะเดินไปตามทางที่บอก แต่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เลยหันกลับมา “เชนบอกแล้วนะ ว่ากำลังคบอยู่กับนาย”
               
“...” เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอาผมนิ่งไปเลย

“ยินดีด้วยนะ”       
             
ผมไม่รู้ว่าเธอยินดีจากใจ หรือมีอะไรแอบแฝงกันแน่ เธออาจจะแค่ประชดประชันและกำลังเย้ยหยันผมที่อาจเอื้อมไปคบกับเชนก็ได้
             
แต่ประโยคต่อมาของผู้หญิงตรงหน้า ก็ทำเอาความคลางแคลงใจทั้งหมดของผมหายไปทันที  “หมอนั่นมาสารภาพว่าอาจจะชอบนายตั้งแต่ตอนที่คบกับฉันแล้ว” เธอว่า หัวเราะเบาๆ “เพราะแบบนั้นฉันก็เลยรู้สึกผิดเรื่องพี่นิวน้อยลงบ้าง”
               
“เห็นแบบนั้น แต่เขาเป็นคนดีกว่าที่คิดจริงๆ แฮะ” ฟ้ายกมือขึ้นมาเกาแก้มใสเบาๆ สีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านิสัยที่แท้จริงของเชนเป็นยังไง ขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบ มองท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา
               
แต่ทุกการกระทำ และน้ำเสียงของเธอไม่มีตรงไหนที่บอกว่าไม่ได้พูดทุกอย่างมาจากใจเลย
               
ฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาผมที่ยังคงยืนใบ้กินด้วยความสับสนกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ “ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันที่เขาหันมาคบผู้ชาย”
               
“...”
               
“แต่ก็นะ คนอย่างเชน ไม่สนใจหรอกว่าคนที่ตัวเองรักจะเป็นใคร... หมอนั่นเคยแคร์ใครที่ไหนล่ะ จริงมั้ย ฮะๆ” เธอหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส ทุกคำพูดนั้นไม่แฝงความเสียใจจากความสัมพันธ์ครั้งเก่าเลย
               
มันทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอีกฝ่ายในสถานะเพื่อนที่จริงใจ
               
ผมอยากจะตบหัวตัวเองแรงๆ จริงๆ ที่มองผู้หญิงคนนี้ผิดไป อยากตีตัวเองที่ทำปล่อยให้ความหึงหวงมาตัดสินไปว่าเธอเป็นคนไม่ดี
               
“ขอบคุณนะครับ” ในที่สุดผมก็นึกคำที่จะพูดขึ้นมาได้
               
ฟ้าพูดถูก ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเชนไม่เคยแคร์ว่าใครจะมองความสัมพันธ์ของเรายังไง... มีแต่ผม ที่กลัวไปเอง
               
“หืม?” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว สีหน้างุนงง
               
“ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้าใจ” ผมผงกหัวให้ขอบคุณเธอจากใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปยังทางเดินมืดๆ อีกครั้ง เพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ
               
ที่นั่งเสริมที่ผมหาให้เชนอยู่ที่ชั้นสอง มันเป็นพื้นที่บริเวณทางลาดที่เวียนรอบตึกที่รูปวงกลม จากตรงนี้จะมองเห็นเวทีซึ่งอยู่ตรงลานกว้างกลางตึกได้อย่างชัดเจน ผมวิ่งขึ้นบันไดฝ่าความมืดมาโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายเพราะความเคยชิน ไม่นานก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาได้อย่างชัดเจน แม้ตอนนี้รอบด้านจะมีแต่ความมืดสลัวก็ตาม
               
เชนนั่งอยู่ที่นั่งตรงกลางพอดี ถูกขนาบข้างด้วยผู้หญิงสองกลุ่มที่หันมามองเขาเป็นระยะๆ และซุบซิบกันเบาๆ ผมยืนมองแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง คิดคำพูดดีๆ ที่จะใช้ง้อ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ด้านซ้ายมือเขาที่ว่างอยู่
               
“...”
               
“...” เชนรู้ว่าผมมา แต่ก็ไม่พูดอะไร ไม่เหลือบมองเลยสักนิด
               
งอนอยู่จริงด้วยแฮะ
               
ผมอมยิ้ม รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นโมเมนต์นี้ของคนเย็นชา แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
               
“ปกติเป็นคนขี้งอนแบบนี้เหรอ” ผมเอียงหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขา เพราะไม่อยากรบกวนคนอื่นที่กำลังดูละคร
               
เชนเหลือบสายตามามองผม แต่ก็ไม่พูดอะไรเหมือนเคย ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปพูดเสียงอ่อน

 “ขอโทษ”
 
 "..." แต่เชนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาฟังเลย เขานั่งนิ่ง ทำเป็นมองไปที่เวที ไม่สนใจคำขอโทษของผม

ใจแข็งชะมัด

“เมื่อกี้เข้าใจผิดไป ก็เลยทำตัวแบบนั้น... แต่ตอนนี้รู้แล้ว”
               
ผมเว้นวรรคไปนาน จนคนขี้งอนต้องหันมาถามด้วยความสงสัย “รู้ว่า?”
               
เป็นคำถามที่ผมต้องการพอดี
               
“รู้แล้ว... ว่ามีเงินเป็นแสน... ก็ไม่เท่ามีแฟนเป็นพี่เชน”
               
“...” คำพูดของผม ทำเอาเขาหยุดชะงักไปอย่างอึ้งๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดจนคนข้างๆ หันมามอง “มุกอะไรเนี่ย” เขาถามกลั้วะหัวเราะเบือนหน้าหนี
               
เออนั่นสิ มุกอะไรวะ ทำไมผมกล้าเล่น
               
แต่มันก็ได้ผลอยู่ไม่ใช่หรือไง...
               
“หายงอนยัง” ผมถาม คนตรงหน้าเลยหยุดหัวเราะ ผมนึกภาพออกเลยว่าเขาคงกำลังขมวดคิ้วอยู่ในความมืด
               
“ไม่ได้งอน...แค่เสียใจนิดๆ ที่เห็นนายถอยหนี” เขาตอบหันมาสบตาผมด้วย น้ำเสียงจริงจัง “อายเหรอที่คบกับฉัน” คำพูดเจือความน้อยใจนั่นทำเอาผมรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
               
“ขอโทษ” ผมทำหน้าสลด รู้ตัวว่าผิดจริงๆ “วันหลังจะไม่ทำแบบนี้แล้ว”
               
“...”
               
“คราวหลังจะไม่อายด้วย... จะอวด”
               
ผมพูดจริงๆ การที่คบกับเชนไม่เห็นมีอะไรน่าอาย น่าอวดด้วยซ้ำ... ชาตินี้ผมจะไปหาแฟนที่ดูดีขนาดนี้ได้จากไหนอีก จริงมั้ย

“หืม?” พอได้ยินแบบนั้น เชนก็ครางอย่างประหลาดใจ คงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดออกมา
               
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะในลำคอ เอียงตัวเข้ามากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
               
“งั้นเดี๋ยวช่วย จะได้อวดได้ง่ายๆ”
               
“...!!”
               
ผมน่าจะเรียนรู้ได้แล้ว ว่าถ้าได้ยินน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แบบนั้นแล้วจะโดนอะไร แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน ผมก็เตรียมรับสัมผัสอันกะทันหันของริมฝีปากร้อนจัดที่ชอบทาบทับมาบนริมฝีปากผมแบบไม่ให้ตั้งตัวไม่เคยทันสักที
               
ผมตกใจและกำลังจะผงะหนีเพราะรู้ดีว่ามีคนอยู่รอบตัวเรามากแค่ไหน แต่คนเจ้าเล่ห์กลับรู้ทัน จึงเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยของผมเอาไว้พร้อมกับกดริมฝีปากลงมาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ผมหนีได้ดั่งใจ
               
“กรี๊ดดด อะไรอ่ะ!?” ผมได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ ดังมาจากผู้หญิงที่นั่งข้างเรา
               
“เขาจูบกันเหรอ!”
               
“พี่เชนไม่ใช่เหรอ...กับใครอ่ะ??”
               
“งื้ออออ”
               
“ฟินนนน~”
               
และเสียงอีกมากมายที่ถูกสัมผัสร้อนจัดที่ริมฝีปาก ตัดออกจากโสตประสาทราวกับอ่านใจออกว่าตอนนี้ผมอายจนไม่อยากจะได้ยินอะไรทั้งนั้น
               
ให้ตาย... ถึงจะเป็นคนพูดเองก็เถอะ
   
แต่ผมไม่ได้หมายความว่าจะอวดตอนนี้สักหน่อยนะเว้ย!




--------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
ฝาก #เชนตรี ด้วยน้า

 :hao5:

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 13-04-2016 15:53:01
กรื้ดดดดดดพี่เชนนน โหยชอบมั่นคงในความรู้สึกและแคร์แต่สิ่งที่อยากแคร์
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-04-2016 16:13:36
อวดสมใจ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 13-04-2016 16:24:47
ได้อวดสมใจ 55555 เขาจูบโชว์กันแล้วว  ว ววว วว    :o8:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 13-04-2016 20:39:02
เดี๋ยวนะ ตอนนี้ใครอวดใครหรือมีอะไรแอบแฝง อิพี่เชนบอกจะช่วยน้องอวด แต่เราว่าพี่แกตีตราจอง 556
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-04-2016 21:11:33
 :o8:    มีแฟนน่ารักก็ต้องอวดสิเนอะพี่เชน
น่ารักมากมายค่ะ.     :mew1: 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 27 [ 13/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-04-2016 22:29:25
กรี๊ดร้องง พี่เชนน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 14-04-2016 16:14:25
28
เวลา
 
           
ผมไม่ค่อยได้เล่นโซเชียล ก็เลยไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นเรื่องของผมกับเชนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์แค่ไหน จนกระทั่งไอ้เวสป้าเอารูปที่ผมกับเชนถูกแอบถ่ายตอนกลับหอด้วยกันลงเพจคนดังของมหาวิทยาลัย แล้วมียอดไลค์และคอมเมนต์เหยียบหมื่นมาให้ดู

ในรูปไม่เห็นหน้าผมเพราะถูกมือของอีกคนที่วางอยู่บนหัวผมบัง แต่มันกลับเห็นใบหน้าของเชนชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือเขา แคปชั่นภาพเขียนบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างละครเวทีได้เป็นฉากๆ จนผมคิดว่าคนโพสต์น่าจะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ใครคนนั้นจุดประเด็นคำถามว่าผมเป็นใคร แล้วสุดท้ายก็มีคนสืบเจอจนได้ แถมยังขุดภาพและประวัติของผมมาโพสต์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน

ถึงส่วนใหญ่จะไม่ใช่คอมเมนต์ในทางไม่ดี ออกจะเชียร์ด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบนะที่คนมาขุดคุ้ยความเป็นส่วนตัวของตัวเอง เชนก็ดูเหมือนจะไม่ชอบเหมือนกัน แต่เขาคงจะชินแล้วเพราะในเพจนั้นก็ชอบมีคนเอารูปเขาไปลงบ่อยๆ เขาก็เลยไม่ได้แคร์เท่าที่ควร

แต่ผมเป็นคนธรรมดานี่หว่า ไม่ใช่หนุ่มหล่อตัวท็อปแบบเขา จะให้ไปชินเรื่องแบบนี้ได้ไง มันประหม่าจะตาย เวลาที่ออกไปไหนมาไหนแล้วมีแต่คนมอง

ดีที่ช่วงนี้ผมแทบไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเชนเลยเพราะต่างคนต่างยุ่งกับการเรียน ทำให้ไม่มีใครแอบถ่ายรูปคู่พวกเราได้อีก เรื่องก็เลยเริ่มซาๆ ไป เพราะไม่มีอะไรมาช่วยต่อจินตนาการ

แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด

ถึงการที่ผมกับเชนจะต่างคนต่างยุ่งจะทำให้เราเลิกเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่ว่าช่วงหลังๆ มา ผมชักจะคิดว่า การเป็นแบบนั้น อาจดีว่าการที่เราแทบจะไม่ได้เจอกันเลยตลอดทั้งอาทิตย์แบบนี้ก็ได้

ช่วงนี้ใกล้จะปิดเทอมแล้ว เชนก็เลยต้องหมกมุ่นกับการอ่านหนังสือสอบและทำงานส่งไฟนอล ในขณะที่ผมเองก็มีไฟนอลโปรเจ็กต์ที่ต้องส่งปลายเทอมเช่นกัน ที่สำคัญ อาทิตย์นี้เป็นโปรดักชั่นวีค.. อาทิตย์สุดท้ายก่อนส่งงาน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่เด็กถาปัตย์ว่ามันคือสัปดาห์นรก

นรกจริงๆ ครับ ผมยืนยัน

วงจรชีวิตบัดซบที่เริ่มต้นตอนเกือบบ่ายและจบลงในตอนที่พระอาทิตย์วันใหม่ทอแสงขึ้นมาแยงตา พวกเรากินนอนในคณะแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน ห้ามปล่อยให้ตัวเองว่างสักวินาที ไม่อย่างนั้นจะทำงานส่งไม่ทัน (แล้วเกรดก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง...) แค่จะปลีกตัวออกไปกินข้าวยังรู้สึกผิดเลย

ตอนแรกๆ มันก็ไม่หนักขนาดนี้ แต่วันนี้วันพุธแล้ว ความพีคมันยิ่งทวีคูณ สภาพเพื่อนแต่ละคนที่เดินผ่านผมไป ไม่ต่างจากซอมบี้ที่หลุดมาจากหนังวอล์กกิ้ง เดด ตัวผมเองก็คงจะเหมือนกัน

“กูหิววว~” อยู่ๆ ไอ้เวสป้าก็ตะโกนขึ้นมา ทำเอาผมสะดุ้งเพราะกำลังนั่งเหม่ออยู่

และเมื่อไอ้เพื่อนตัวดีบ่นขึ้นมาแบบนี้ เป้าหมายต่อไปที่มันมองหาจะเป็นใครซะอีก ถ้าไม่ใช่ผม

“ไอ้ตรี! แดกข้าว!”

นั่นไง เคยเดาผิดซะที่ไหน

ผมมองนาฬิกาและพบว่ามันปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว จึงยอมลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนแบบ บิดขี้เกียจแป๊บหนึ่ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์เดินตามไอ้เวสป้าไป คนอื่นหันมามองพวกเรานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หันไปทำงานต่อด้วยสภาพอิดโรยเต็มที ผมกับไอ้เวส เดินเอื่อยๆ ลงมาจนถึงโรงอาหารใต้คณะซึ่งคนเยอะเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงโปรฯ
นี่แหละครับ ช่วงเวลาทองของคนขายกับข้าวคณะเรา

ที่คณะ มีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้าน เพราะคนที่มากิน ก็มีแต่คนในซึ่งมีอยู่ไม่กี่ร้อยคน แถมในเวลาปกติ ใครๆ ก็อยากออกไปหาอะไรกินข้างนอกทั้งนั้นเพราะเบื่อกับข้าวซ้ำซากจำเจ โรงอาหารก็เลยค่อนข้างเงียบเหงา แต่ถ้าช่วงไหนเป็นช่วงโปรดักชั่นวีค หรือมีงานที่ต้องทำหามรุ่งหามค่ำล่ะก็ โรงอาหารก็จะคึกคักขึ้นมาทันที เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับพวกเรา

“เอาน้ำให้กูด้วย” ไอ้เวสตะโกนสั่ง หลังจากที่ผมวางจานข้าวและกำลังจะเดินไปกดน้ำฟรี

“เออ” ผมตอบ และกดน้ำมาสองแก้ว วางลงตรงหน้าไอ้เวสและข้างจานข้าวผม ก่อนจะนั่งลง

แต่ยังไม่ทันจะตักข้าวเข้าปาก เสียงหัวเราะจากรุ่นพี่กระเทยโต๊ะข้างๆ ก็ดังขึ้นมาผิดสังเกตจนผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าพวกเธอกำลังมองมาทางผม

ถ้าอย่างนั้นประเด็นที่พวกเธอหัวเราะเมื่อครู่ ก็คงไม่พ้นเรื่องของผมสินะ

“งานเป็นไงบ้างน้องตรี ทันมั้ย ถ้าไม่ทันเรียกพวกพี่ได้นะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม น้ำเสียงหยอกล้อ

“มึงไม่ต้องไปเสือกเลย น้องตรีเขามีพี่เชนช่วยอยู่แล้ว ไม่รู้เหรอ” พี่กระเทยอีกคนปรามขำๆ พี่กระเทยคนเดิมเลยหัวเราะคิกคัก

“ตรีนี่แอ๊บเนียนเนอะ พี่มองไม่ออกเลย เต๊าะมาตั้งนาน เสียดายอ่ะ” พี่เขาทำเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะโดนพี่อีกคนผลักหัว แล้วหันไปหัวเราะคิกคักกันอีกครั้ง

ผมไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มๆ กลับไป ชินแล้วล่ะที่ต้องถูกแซว

นับตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ ผมก็มักทำตัวกลมกลืนไปกับอากาศธาตุ พยายามไม่เป็นที่สนใจของใครให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่เก่งแถมยังไม่ค่อยทันมุกคนอื่น เป็นมนุษย์ที่คุยด้วยยาก ก็เลยไม่อยากสร้างความสัมพันธ์กับใคร คนที่สนิทที่สุดในคณะก็มีแต่ไอ้เวสป้านี่แหละ ที่ยอมมาคุยกับผม เพราะผมไม่ค่อยเถียงมัน

แต่ถึงอย่างนั้นขนาดกับไอ้เวสป้าที่สนิทกันผมก็ไม่เคยบอกอะไรมันเลยถ้ามันไม่ถาม มันไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของผม มากไปกว่าเรื่องทั่วๆ ไปที่ไม่ได้น่าสนใจอะไร  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่คนอื่นที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อจะมารู้ตัวตนหรือเรื่องส่วนตัวของผมมากไปกว่าที่ไอ้เวสรู้ พอเรื่องที่ผมคบกับเชนแพร่งพรายออกมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ทุกคนจะตกใจ

ผมไร้ตัวตน จนไม่เคยมีใครตั้งข้อสงสัยมาก่อนว่าจริงๆ แล้วผมชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย

แต่บอกแล้วไงว่านับจากนี้ผมจะไม่แคร์แล้ว... ไม่สนหรอกว่าใครจะมองผมเป็นยังไง

แค่ผมได้มีความสุขกับคนที่ผมรัก แค่นั้นก็พอ

“กูว่ามึงไม่ได้แอ๊บนะ” อยู่ๆ ไอ้เวสป้าก็พูดขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ “ที่กูเห็นมึงก็เป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนแรกที่กูรู้จักมึง”

ผมใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจคำพูดของมันเพราะสมองยังรวนจากการอดนอนติดๆ กัน แต่ไม่นานก็เข้าใจ และหัวเราะออกมาเบาๆ

“มึงไม่ตกใจเลยเหรอที่รู้ว่าจริงๆ แล้วกูชอบผู้ชาย” ผมถาม

นอกจากไอ้เวสป้าแล้ว เพื่อนคนอื่นๆ ตั้งแต่รู้เรื่องนั้นก็เอาแต่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ หลายคนเอ่ยแซว ด้วยคำถามว่า ผมเปิดตัวแล้วเหรอ

เปิดตัวอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“ก็ตกใจ ตอนแรกมึงยังคบกับทองกวาวอยู่เลย” มันพูดนิ่งๆ สีหน้าไม่ได้ดูตกใจอย่างปากว่าเท่าไหร่

เรื่องที่ผมเคยคบกับทองกวาวเอง ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึง บ้างก็ว่าผมหลอกใช้ทองกวาวบังหน้าไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเป็นเกย์ บ้างก็ว่าผมสับสน ก็เลยลองคบผู้หญิงก่อน

แต่ไม่มีใครรู้ความจริงสักนิด...

“แต่กูดูออก ว่ามึงไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่ากัน” ไอ้เวสป้าเอ่ย ทำลายคำครหาต่างๆ ที่อยู่ในใจผม “มึงก็แค่รักใครก็ได้ ที่ใช่สำหรับมึง ก็แค่นั้น”

“...”

“กูพูดถูกมะ?” มันเลิกคิ้วเมื่อผมไม่พูดอะไร

ผมหัวเราะ ก่อนจะให้คำตอบ “เออ ถูกจนกูตกใจเลย”

นานๆ ทีจะเห็นไอ้เวรนี่ในโหมดความคิดดีๆ แบบนี้ เล่นเอาผมอึ้งไปเลย หรือบางทีการอดนอนหลายวันอาจจะช่วยไล่ความบ้าของมันออกไปหมดแล้วก็ได้

“ตอนแรกกูคิดว่ามึงจะรังเกียจกูซะอีก แต่เห็นแบบนี้ก็สบายใจ” ผมพูดยิ้มๆ รู้สึกโล่งใจจริงๆ ที่เพื่อนเพียงไม่กี่คนในชีวิตยังคงเข้าใจผมอยู่

“จะรังเกียจทำไม มึงไม่ได้ทำอะไรไม่ดี” มันตอบกลับสีหน้าจริงจัง แต่ประโยคต่อมาก็ทำเอาผมอยากจะถอนหายใจใส่หน้ามันสักล้านที “และตราบใดที่มึงยังมาช่วยกูตัดโมอยู่ กูสาบานว่าจะเกาะติดมึงแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยครั้บเพื่อนรัก ฮ่าๆๆๆๆ”

“...”

นี่ผมขอถอนคำพูดที่เคยชมมันไว้ก่อนหน้านี้กลับมาทันมั้ยวะเนี่ย
 

9.30 P.M.

ผมกลับมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอ เพื่อกลับไปทำงานที่สตูดิโออีกรอบในตอนค่ำ แต่กลับมาก็ไม่เจอร่างสูงที่อยากเจอเช่นเคย เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เราคลาดกันไปมา ด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน ตอนเขากลับหอผมอยู่ที่สตู และพอผมกลับมาจากสตูก็มักจะเป็นเวลาที่เขาไม่อยู่หอทุกที

ผมล่ะอยากให้มันผ่านอาทิตย์นี้ไปเร็วๆ จริงๆ ...ถ้าไม่ติดว่านั่นมันเท่ากับว่าปิดเทอมอันยาวนานกำลังใกล้เข้ามา และผมยังไม่อยากให้ถึงเวลานั้นเลย

ผมลืมไปว่าคณะอื่นไม่ได้เป็นเหมือนคณะผมที่ต้องเรียนห้าปีและมีฝึกงานตอนปีสี่ เขาฝึกงานตอนปีสามกัน และเชนก็อยู่ปีสามแล้ว ปิดเทอมนี้เขาก็เลยต้องไปฝึกงานด้วยเหมือนกัน ผมเพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่าเขาได้ฝึกงานในบริษัทชื่อดังระดับประเทศ และต้องลงไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ ในขณะที่ผมเองถึงจะมีบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ก็คงไม่ได้กลับเพราะผมลงสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟของรุ่นพี่ที่รู้จักเอาไว้ แถมยังต้องอยู่ช่วยเพื่อนเตรียมกิจกรรมรับน้องใหม่ซึ่งรุ่นผมเป็นเฮดหลักอีก

นั่นหมายความว่าตลอดปิดเทอมเราจะไม่ได้เจอกัน

แค่คิดก็เศร้าแล้ว

อาทิตย์เดียวผมก็คิดถึงเขาจนแทบบ้า แล้วนับประสาอะไรกับสามเดือน
 

ตึ๊ง~

ดูเหมือนจะอ่านใจผมออก คนที่ผมกำลังนึกถึง จึงส่งข้อความมาในแชทเฟสบุ๊คได้เหมาะเจาะพอดี
 

‘อยู่ไหน’
 

คำถามห้วนสั้นที่ทำให้ผมนึกถึงใบหน้าเรียบนิ่งของเขาได้ไม่ยากเย็น
 

‘หอ กำลังจะไปสตู’
 

ผมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

แต่เวลาผ่านไปพักใหญ่ เชนก็ไม่ตอบอะไรกลับมา จนผมต้องเป็นฝ่ายถามกลับเอง
 

‘คืนนี้กลับหรือเปล่า?’
 
               
รออยู่นานกว่าเขาจะซีนและพิมพ์ตอบกลับมาด้วยข้อความสั้นๆ
 
               
‘ดึกๆ’
 
               
สั้นจริงๆ... ผมไม่รู้จะคุยอะไรต่อเลย
               
ผมจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าจบบทสนทนาเท่านั้น แต่มันก็ค้างคา

ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนชอบเวิ่นเว้อ ไม่ว่าจะคุยโทรศัพท์หรือในแชท แต่วันๆ เราจะคุยกันแค่นี้เรอะ... มันสั้นไป
               
ผมยังคงเปิดกล่องแชทกดพิมพ์ๆ ลบๆ พยายามหาคำถามที่ไม่ดูเซ้าซี้เกินไป แต่ก็คิดไม่ออก จนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกคำที่มาจากความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองแทน
 
               
‘คิดถึง’
 

ผมพิมพ์คำนั้น และชั่งใจอยู่นานว่าควรจะกดส่งไปดีมั้ย เพราะปกติเราไม่ค่อยใช้คำพูดหวานๆ กันเท่าไหร่
               
แล้วสุดท้ายผมก็ไม่ได้กดส่งไป…
 
               
‘คิดถึง’
 
               
เพราะเขาเป็นฝ่ายส่งมาเสียก่อน
               
ผมยิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะ เมื่อเห็นข้อความนั้นและคิดถึงใบหน้าเขายามเขินอายที่ทั้งประหลาดและน่ารักในเวลาเดียวกัน ก่อนจะกดพิมพ์ข้อความเพิ่มเติมจากคำเดิมที่ยังไม่ได้กดส่ง ด้วยหัวใจที่พองโตพอให้มีแรงสู้กับสัปดาห์นรกที่กำลังจะผ่านไปอีกวัน 
 
               
‘คิดถึงเหมือนกันครับ’




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 14-04-2016 16:22:36
บร๊ะ ปิดเทอมนี้พี่เชนอย่าให้เสียเวลาเปล่าๆ

จงบุกไปบ้านน้องตรีแนะนำตัวเลย 555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-04-2016 16:43:11
หวานกันดี
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-04-2016 16:50:32
เรื่อยๆไปก่อนนะช่วงนี้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-04-2016 17:12:08
"คิดถึง"  :-[
"คิดถึง" ไร้ท  :L1: :L1: :L1:
รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 14-04-2016 20:16:43
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 14-04-2016 20:58:10
เห็นชื่อเรื่องคุ้นๆ
อ่อ พึ่งอ่านในเด็กดี
ชอบมากนะ :D
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: BeautifulGirl ที่ 14-04-2016 22:15:15
อ่านไปเขินแรงง :-[
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 15-04-2016 00:23:02
รักแท้ชนะระยะทางน้าาาา
#ทีมพี่เชน

 :o8:  :-[  :o8:  :-[

...
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 28 [ 14/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 15-04-2016 12:38:49
โอยเขินนนนน รอNC :z1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-04-2016 22:05:22
29
ชูใจ
 
               
ในที่สุด สัปดาห์นรกก็ผ่านพ้นไป
               
ผมส่งงานสี่โมงเย็นตามเวลาห้องส่งงานเปิดเป๊ะ เพราะทำเสร็จก่อนเวลาประมาณสองชั่วโมงได้ แต่ถึงส่งงานของตัวเองแล้ว ก็ยังต้องไปช่วยไอ้เพื่อนตัวดียังคงอยู่ในภาวะวิกฤติ ทั้งๆ ที่ผมส่งน้องรหัสตัวเองไปช่วยไอ้เวสป้าตั้งสองคนแล้วแท้ๆ
               
การที่ทองกวาวดร็อปเรียนไป ทำให้ผมเป็นพี่รหัสปีสองคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในสาย พอโปรดักชั่นเด็กๆ ก็เลยมารุมช่วย จนแบ่งเบาภาระไปได้เยอะพอสมควร แต่ปกติแล้วผมก็ไม่เคยทำงานไม่ทัน เพราะพยายามจะแบ่งเวลา และเผื่อเวลาไว้ตลอด
               
ไอ้เวสป้าแทบจะกอดขาขอบคุณที่ผมไปช่วยมันแถมยังส่งน้องรหัสไปช่วยรุม ทำให้มันส่งงานทันก่อนหมดเวลาอย่างเฉียดฉิว ก็เลยจะตอบแทนผมด้วยการพาไปเลี้ยงเหล้า ผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอก เพราะมันก็ทำงานช้าจนวิกฤตแบบนี้ทุกงานอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าไอ้เพื่อนตัวดีไม่ยอมให้ปฏิเสธ มันนัดเวลาเสร็จสรรพ แถมยังกำชับว่าผมไม่โผล่หัวไปตามนัด มันจะไปลากคอผมถึงหอ
               
สุดท้ายผมเลยต้องกลับมาอาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัดตอนสามทุ่มกว่าจะสังสรรค์เสร็จกันจนเมาหัวราน้ำก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว แถมผมซึ่งกินน้อยสุดยังต้องรับหน้าที่ขับรถไปส่งเพื่อนคนอื่นๆ ที่เมาไม่รู้เรื่องอีก สุดท้ายกว่าจะได้กลับมานอนก็ตอนตีสองกว่า เกือบจะตีสามแล้ว 
               
แต่ห้องก็ยังคงว่างเปล่า

ผมถามเชนแล้วว่าคืนนี้เขาจะกลับหอกี่โมง แต่หมอนั่นกลับบอกว่าไม่กลับ ทำเอาความคาดหวังของผมที่คิดว่าพอจบโปรดักชั่นจะได้กลับมาเจอหน้ากันห่อเหี่ยวลงทันตา
               
ถึงผมว่าง ก็ใช่ว่าเขาจะว่างนี่นะ
               
ได้ออกไปดื่มบ้างก็ดี มันจะได้ทำให้คืนนี้ผมหลับได้ง่ายขึ้นในวันที่เตียงดูกว้างเพราะไม่มีคนนอนข้างๆ แบบนี้ ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็อยู่คนเดียวแท้ๆ แถมคิดมาตลอดว่าการที่มีคนมาอยู่ด้วยคงน่าอึดอัดและคงมีแต่เรื่องไม่สบายใจ
แต่พอเวลาผ่านไป ความอึดอัดมันก็ถูกแทนที่ด้วยความเคยชินซะอย่างนั้น
               
เฮ้อ อาการหนักแฮะ
               
ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพลางปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายแล้วถอดเสื้อที่เหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ออก เงยหน้ามองรูปถ่ายคอลเลคชั่นเจ้าเตที่แปะอยู่บนผนัง ยังไม่คิดจะโละทิ้ง ด้วยความรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ
               
“เมื่อไหร่พ่อแกจะกลับฮะ เจ้าเต”
               
ผมถาม อาจด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดก็เลยเกิดอาการเพ้อกว่าปกติ พอคิดได้ว่ารูปถ่ายมันไม่สามารถตอบอะไร ผมก็เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง ฝังหน้าลงกับหมอนแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
               
คิดถึงจนแทบบ้าแล้ว
 
               
วันต่อมา
               
แล้วผมก็เผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น ต้องขอบคุณฤทธิ์แอลกอฮอล์และความอ่อนเพลียจากการอดหลับอดนอนมาทั้งอาทิตย์ทำให้ผมหลับสนิทจนเช้า
               
แต่ใครจะไปคิดว่าการหลับสนิทจะทำให้ผมพลาดโอกาสสำคัญ
               
“อื้อ” ผมครางเบาๆ พลางขมวดคิ้วเพราะรู้สึกอึดอัดผิดปกติจนต้องตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
               
ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเผลอนอนดิ้นจนถูกผ้าห่มพันตัว แต่พอตั้งสติพิจารณาดีๆ แล้ว ก็รู้ว่าแรงที่โอบรัดจากด้านหลัง ไม่ได้เกิดจากสัมผัสของผ้า แต่เป็นอ้อมแขนแข็งแกร่งของใครอีกคนที่กอดผมอยู่ต่างหาก
               
ลมหายใจร้อนๆ ที่รดลงมาบนท้ายทอย และสัมผัสของแผ่นอกกว้างซึ่งกำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจที่ทาบอยู่กับแผ่นหลังเปลือยเปล่า เล่นเอาหัวใจของผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาแต่เช้า
               
ปกติเวลานอนเชนมักจะถอดเสื้อออกเพราะอากาศร้อน ในขณะที่ผมจะสวมเสื้อยืดและกางเกงขายาวนอนตลอดเวลาเพราะความเคยชิน แต่เพราะเมื่อวานเสื้อผมเหม็นเหล้าก็เลยต้องถอดออก แถมยังหลับไปโดยไม่รู้ตัว ก็เลยยังคงอยู่ในสภาพที่เหลือแต่กางเกงยีนตัวเดียว
               
แต่ผมไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาจะกลับมาไม่บอกไม่กล่าวนี่หว่า แถมยังถือวิสาสะนอนกอดผมจากด้านหลังอีก แบบนี้มัน...เนื้อแนบเนื้อเกินไปแล้ว
               
“หัวใจเต้นแรงจัง” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากคนที่ยังฝังหน้าลงกับท้ายทอยของผม
               
เชนรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ไม่ยอมคลายอ้อมกอดของตัวเองออก ยังคงกอดผมไว้แน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างแผ่นอกเปลือยเปล่าของเขากับแผ่นหลังของผม

ทั้งที่ตัวเองเกลียดอากาศร้อนแท้ๆ แล้วกอดผมไว้แบบนี้ไม่อึดอัดหรือไง

“ไหนบอกว่าไม่กลับ” ผมถาม เบี่ยงประเด็นจากเรื่องที่เขาถาม เพราะจนถึงตอนนี้หัวใจก็ยังเต้นแรงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง

“ก็รู้ว่ามีคนคิดถึง” เขาว่าพลางขยับเข้ามาใกล้ ยกคางขึ้นเกยไหล่ผมแทน

หมอนี่เป็นพ่อมดหรือไง ถึงได้อ่านใจผมออกทุกครั้งเลย

“คิดถึงเป็นบ้า” เสียงทุ้มเอ่ยแล้วกดจูบหนักๆ ลงมาบนไหล่ของผม โดยไม่สนใจเลยว่าตอนนี้หัวใจผมมันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว

ปกติเขาไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้เลย... ถ้าไม่นับเรื่องจูบน่ะนะ เพราะรู้ว่าผมไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อน และผมก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่จะชินกับการแสดงความรักจากคนที่แข็งแกร่งกว่า เชนก็เลยทำหลายๆ อย่างด้วยความค่อยเป็นค่อยไป เราไม่ได้จับมือกันเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่ได้นอนกอดกันแม้ว่าจะอยู่ข้างกันทุกคืน เขารักษาระยะห่างเสมอ เพื่อให้ผมปรับตัว รอให้ผมเคยชินกับการแสดงความรักจากผู้ชายแมนๆ อย่างเขาแล้วค่อยขยับเข้ามาเมื่อเวลาเหมาะสม

“ตัวเหม็นนะ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ผมบอก ตกใจนิดๆ ที่เอาซุกใบหน้าลงกับไหล่ผมราวกับต้องการจะสูดกลิ่นกายเปลือยเปล่า

“รู้แล้ว” เขาตอบ
               
ไม่ปฏิเสธด้วย -_-
               
“ไปไหนมา” เขาถาม คงจะรู้จากกลิ่นแอลกอฮอล์ที่หลงเหลืออยู่บนตัวผม
               
“กินเหล้ากับพวกไอ้เวสป้า” ผมตอบตามตรง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง
               
“ไม่คิดจะขออนุญาตเลย?”
               
“อ้าว” ต้องขอเหรอ...? “ก็เห็นว่าจะไม่กลับ ก็เลยไป”
               
“ไม่เห็นเกี่ยว” เขาทำเสียงตำหนิ และคงจะขมวดคิ้วเหมือนเคยแน่ๆ “จะกลับหรือไม่กลับก็ต้องขอ”
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น “ทำไมเอาแต่ใจ”
               
“แค่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน "ไปไหน กับใคร จะกลับเมื่อไหร่"
               
นี่มันรายงานผู้ปกครองหรือไง
               
“แล้วถ้าขอจะให้ไปหรือเปล่า” ผมถามต่อ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าขอกับไม่ขอมันจะต่างกันตรงไหน เพราะยังไงเขาก็คงไม่ห้ามผมหรอก
               
“แล้วถ้าไม่ให้ไป จะไปหรือเปล่า”
               
“ไป” ผมว่า ไม่ต้องคิดเลย ก็นัดกับเพื่อนไว้แล้วแถมเขาไม่อยู่อีก ถึงห้ามผมก็ไม่ยอมนอนแกร่วอยู่หอคนเดียวหรอก
               
“ใครกันแน่ที่เอาแต่ใจ” เชนทำเสียงตำหนิอีกรอบ
               
ผมหัวเราะดังกว่าเดิม แล้วสรุป “งั้นก็พอกันทั้งคู่อ่ะ”
               
ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอและไม่เถียงอะไรอีก เราต่างคนต่างเงียบและซึมซับไออุ่นของกันและกันราวกับจะใช้มันทดแทนเวลาที่ไม่ได้เจอหน้า แต่เพราะรู้สึกผิดที่โดนกอดอยู่ฝ่ายเดียว ผมเลยค่อยๆ พลิกตัวหันไปทางเขา และกอดเขากลับบ้าง

“หืม?” เชนย่นหน้ามองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา “อย่ามาอ้อนนะ” เขาว่าพลางก้มหน้าลงมาจรดริมฝีปากหนักๆ ลงบนหน้าผากผม

“ถ้าเกิดฉันได้ใจ อยากทำมากกว่ากอดขึ้นมาจะทำไง” แล้วริมฝีปากร้อนจัดก็เลื่อนมางับจมูกผมเบาๆ

“...” ผมไม่ตอบ หลบตาซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างของเขาแทน เพื่อซ่อนใบหน้าร้อนจัดของตัวเองเอาไว้ แต่อีกนัยก็คือการถือโอกาสสูดกลิ่นกายที่แสนคุ้นเคยให้หายคิดถึง

“หึ” เชนหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นผมไม่สนใจคำหยอกล้อของเขา ก่อนจะกอดผมแน่นขึ้นทำลายช่องว่างระหว่างเรา
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ทำอะไรหรอก ถ้าผมไม่ยอม

เราตกลงกันแล้วว่าถ้ายังไม่พร้อมก็จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ผมรู้นะว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชาย เรื่องเซ็กซ์แทบจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฝังอยู่ในสมองตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ที่จะหมกมุ่นจนปล่อยให้ตัณหามันครอบงำความยับยั้งชั่งใจ เรารู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ถึงมันจะไม่มีอะไรเสียหาย

แต่ยังไม่ถึงเวลา ก็คือยังไม่ถึงเวลา
 

เวลาผ่านไป

ถึงจะกลับมานอนที่หอได้ แต่ก็ใช่ว่าเชนจะว่าง

ยิ่งใกล้สอบ เขาก็ยิ่งยุ่งจนหัวหมุน เขาบอกว่าถึงงานจะเคลียร์ไปบ้างแล้ว ก็ยังมีหนังสือเป็นตั้งๆ ที่ต้องอ่านอยู่ดี แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เขาก็เลยเลือกสถานที่อ่านหนังสือได้บ้าง ไม่ต้องก้มหน้าก้มตาอ่านที่คณะหลังเลิกเรียนเหมือนที่ผ่านมา พวกเราเลยตัดสินใจออกมาเปลี่ยนบรรยากาศอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟใกล้ๆ หอพัก ซึ่งมีบรรยากาศสงบ แถมยังมีแอร์เย็นๆ ให้นั่งแช่อย่างสบายๆ อีก

ตลอดหลายชั่วโมงที่นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วแทบไม่คุยกันเลย เพราะเชนเอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ ส่วนผม ก็กำลังคิดสคริปต์พรีเซนต์โปรเจ๊กที่เพิ่งส่งไป

“พี่คะ” แต่แล้วความเงียบอันยาวนานก็ถูกทำลายลง ด้วยเสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามาหาพวกเรา

“ครับ?” ผมเป็นคนตอบ ขณะที่เชนแค่ปรายตามองไม่พูดอะไร

“ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ” เธอเอ่ย ผมตกใจนิดๆ เพราะไม่เคยโดนคนแปลกหน้ามาขอถ่ายรูปแบบนี้

“หมายถึง?” ผมเลิกคิ้วงุนงง

“หมายถึงพี่สองคนน่ะค่ะ”

ผมหันไปมองหน้าเชนอย่างขอความเห็น ยังไม่เข้าใจเลยว่าเธอมาขอถ่ายรูปพวกเราทำไม และเหมือนเชนจะอ่านใจผมออก (อีกแล้ว) ว่าผมไม่สะดวกใจ เขาเลยวางหนังสือลงแล้วหันไปมองน้องผู้หญิงที่ยืนรออยู่นิ่งๆ และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่ครับ”

มะ...หมอนี่ จะเย็นชาไปแล้ว

ผมเห็นน้องผู้หญิงหน้าเสียไปทันทีที่ถูกปฏิเสธ ก็เลยเสริมคำพูดเขาให้มันดูซอฟต์ลง “พอดีพวกพี่อ่านหนังสืออยู่ ไม่ค่อยสะดวก ขอโทษนะครับ” ผมยิ้มแห้งๆ พลางผงกหัวขอโทษเธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เธอว่า ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนที่โต๊ะห่างออกไป
ท่าทางจะไม่พอใจเท่าไหร่แฮะ ทำไงดี

“ไม่ควรปฏิเสธหรือเปล่า” ผมหันมาถามเชนหลังจากเห็นน้องผู้หญิงกลุ่มนั้นเริ่มซุบซิบมองมาทางเรา

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ

“ไม่กลัวเขาเอาไปพูดถึงเสียๆ หายๆ หรือไง” ผมขมวดคิ้ว ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงคนก็ไม่ค่อยรู้จัก แต่เชนเนี่ยเขาดังมากเลยนะในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยเรา แถมชื่อเสียงปกติก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ถ้าโดนเรื่องนี้ไปอีกคนอื่นต้องมองเขาเป็นคนไม่ดียิ่งกว่าเดิมแน่ๆ

“ไม่เห็นต้องแคร์”

อะไรมันจะเฉยชาขนาดนั้นวะ -_-

ผมอยากจะท้วงอีก แต่คิดว่าเขาคงไม่ใส่ใจก็เลยเลือกหุบปากทำงานของตัวเองต่อ บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งเมื่อเราต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนของตัวเอง แต่ไม่นานความเงียบก็ถูกทำลายลงอีก

“ไอ้ตรี”

“หืม?” ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะจำได้ว่าเสียงที่เรียกชื่อผมเป็นเสียงของใคร

ไอ้ซันทำหน้าตกใจที่เห็นผม ก่อนจะยิ้มร่าเดินเข้ามาหา

“สวัสดีครับพี่เชน” มันยกมือไหว้คนที่นั่งตรงข้ามกับผมก่อนจะหันมาถาม “มึงมาอ่านหนังสือเหรอ?”

ไอ้สายตากรุ้มกริ่มนั่นมันอะไร

“เออ” ผมตอบ “มึงอ่ะ”

“เหมือนกัน”

“มาคนเดียว?” ผมถามต่อเมื่อเห็นว่าข้างตัวมันไม่มีใคร

“เออ เพื่อนกูมันไปอ่านกับแฟนกันหมด” มันตอบสีหน้าเหมือนน้อยใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร

จนถึงตอนนี้ไอ้ซันก็ยังไม่มีใคร ผมไม่รู้ว่ามันลืมวีได้หรือยัง แต่ท่าทางที่ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ ก็ทำให้ผมเบาใจไม่น้อย

“นั่งด้วยกันป่ะ?” ผมถาม ใช้เท้าเตะๆ เก้าอี้ตัวที่เหลือบอกว่ามีเก้าอี้ว่าง

ไอ้ซันมองไปรอบๆ ตัวซึ่งที่นั่งส่วนใหญ่มีคนจับจองแล้ว ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “เออ ขอบใจ” มันกำลังจะนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ ผม แต่กลับถูกขัดด้วยใครอีกคนที่โยนหนังสือที่เคยวางไว้เก้าอี้ข้างตัวเองมาวางไว้ฝั่งนี้แทน

“มานั่งนี่” เชนว่าพลางตบเก้าอี้ฝั่งเขาที่ว่างแล้วเบาๆ

อะไรวะ?

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันงงๆ แต่มันก็ยอมไปนั่งตามคำสั่งแต่โดยดี

“มึงไม่มีสอบเหรอวะ” ไอ้ซันถามหลังจากชะโงกหน้ามามองสมุดสเก็ตในมือผมที่เริ่มวาดอะไรไปเรื่อยแล้ว

“มี แต่ยังไม่อ่าน” ผมว่า รู้สึกเหนือกว่านิดๆ ที่มีสอบน้อยแถมเป็นวิชาที่ไม่ต้องอ่านก็ทำข้อสอบได้
 
“อะไรวะ อิจฉาสัส”

ถ้ามันรู้ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาผมตรากตรำแค่ไหนคงไม่พูดแบบนี้

“มึงสอบกี่ตัว” มันถามต่อ

ผมนึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “ประมาณสี่” ผมเรียนหกตัว และอีกสองตัวไม่มีสอบ (แต่สั่งงานยากระดับนรกแทน)

“กูสอบหก! เชี่ยมาก ใครจะไปอ่านทัน” ไอ้ซันโวยวายหน้าตาซีเรียสมากจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ท่าทางการพูดของมันดูสบายๆ กว่าเดิมมาก หลังจากที่รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันแล้ว

นี่เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้แล้วจริงๆ สินะ

“อะแฮ่ม” บทสนทนาของผมกับไอ้ซันหยุดลงทันทีที่คนที่นั่งเงียบอยู่นานส่งเสียงกระแอมออกมา พวกผมหันไปมองเชนงงๆ แต่เขาก็ไม่พูดอะไร ยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือสีหน้าปกติ

ที่ไม่ปกติก็คือมือข้างหนึ่งที่เคยจับปากกาไฮไลต์ กลับเอื้อมข้ามฝั่งมาตรงหน้าผม พร้อมกับกระดิกนิ้ว

“ส่งมือมา” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมนิ่งๆ พร้อมออกคำสั่ง ผมก็เลยยื่นมือออกไปให้เขาอย่างงงๆ

อะไร? จะงัดข้อเหรอ?

แต่ไม่ปล่อยให้เดาไปไกล มือหนาเพียงดึงมือผมไปจับไว้หลวมๆ แล้วเหลือบสายตามองไอ้ซัน

“อย่าคุยเยอะ กูหวง” ว่าจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

เฮ้ยเดี๋ยว มาโยนระเบิดใส่กันแล้วทำหน้าตาเฉยแบบนั้นได้ไง ไม่คิดหน่อยเหรอว่าผมจะทำสีหน้าไม่ถูกขนาดไหนน่ะฮะ!

“ครับพี่” ไอ้ซันหัวเราะ ก่อนจะทำท่าล้อเลียนผงกหัวรับคำบัญชา

เออ เอาเข้าไป กวนตีนทั้งคู่เลย

“ลาเต้ร้อนค่ะ” พนักงานตะโกนขึ้นมา ก่อนที่ไอ้ซันจะหันไปมอง ทำท่าจะลุกขึ้น

“ของมึงเหรอ” อยู่ๆ เชนก็ถาม

“ครับ”

“เดี๋ยวกูไปเอาให้” ผมกับไอ้ซันเลิกคิ้วมองคนหน้านิ่งอย่างประหลาดใจ ก่อนที่มันจะปฏิเสธพัลวัน

“เฮ้ยไม่ต้องพี่ เดี๋ยวผมไปเอาเอง”

แต่มีหรือที่เชนจะฟัง

“ไม่เป็นไร กูจะไปสั่งกาแฟพอดี” เขากดไหล่ไอ้ซันให้นั่งลงที่เดิมแล้วลุกไปทันทีไม่รอคำโต้แย้งใดๆ

ผมได้แต่มองหน้ากับไอ้ซันอย่างงงหนักไปอีก เพราะกาแฟดำที่อยู่ในแก้วเขายังไม่หมดเลย แล้วจะไปสั่งใหม่ทำไม

“พี่เชนเขาแปลกๆ ป่ะวะ” ไอ้ซันยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ผมได้แต่ยักไหล่ เพราะไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเขาเหมือนกัน ไม่นานเชนก็กลับมา พร้อมกับวางลาเต้ร้อนไว้ตรงหน้าไอ้ซัน ก่อนจะนั่งลงยื่นมือมาขอมือผมไปจับไว้อีกครั้งพลางก้มหน้าอ่านหนังสือหน้าตาจริงจัง พวกผมยังคงมองหน้ากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเขาเป็นอะไร แต่ไม่นานก็ได้คำตอบ

“ไอ้เชี่ย! เค็ม!” ไอ้ซันพ่นลาเต้ร้อนที่เพิ่งกระดกออกมาพร้อมกับสบถลั่นร้าน
ผมถึงกับสะดุ้งเพราะกาแฟที่มันพ่นเฉียดสมุดสเก็ตผมไปนิดเดียว มองเพื่อนตัวดีที่ทำหน้าเหยเกก่อนจะยื่นน้ำเปล่าของตัวเองให้มัน

“อะไรวะ ทำไมเค็ม” มันโวยวายต่อ ผมหันไปมองพนักงานและพบว่าทุกคนทำหน้าตกใจ ลนลานเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง

แต่ผมว่าพวกเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก เพราะมันเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นฝีมือใคร

“พี่เชน?” ไอ้ซันเองก็เหมือนจะรู้แล้วเหมือนกัน

ผมกับมันต่างพุ่งสายตาไปที่ผู้อาวุโสสุดที่ทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสายตาคาดโทษ และต้องการคำอธิบาย ไม่นานเสียงทุ้มก็ยอมเฉลยความจริง

“เอาคืน ที่มึงจูบแฟนกู” เขาตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยซ้ำ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกผิดเลยสักนิด

“โหพี่ แรงเกิ๊น เค็มยันไตแล้วเนี่ย” ไอ้ซันยังคงทำหน้าเหยเกงอแงใส่คนเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ

ไม่รู้ทำไมผมถึงหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าเขาทำไปเพราะอะไร

เป็นคนที่หึงได้หน้าตายสัสๆ เลยแฟนผม

“กูจ่ายตังค์ให้แล้ว” เชนไม่สนใจเสียงโวยวายของน้องรหัสแม้แต่น้อย เขาเหลือบตามองมันนิ่งๆ พลางใช้นิ้วกลางข้างที่จับหนังสือดันแก้วกาแฟเลื่อนไปตรงหน้ามัน

“แดกไป”

“เฮ้ยพี่ ไม่เอา!” เพื่อนรักผมถึงกับเบิกตากว้างโวยวาย แต่แล้วก็ถึงกับหน้าซีดไปเลยเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากคนบ้าอำนาจ

“แดกให้หมด... ไม่งั้นกูจะให้มึงซ่อมเชียร์”

“...!!” ไอ้ซัน

“...” ผม ได้แต่นั่งเงียบมองคนที่แกล้งคนอื่นแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือพลางวนนิ้วโป้งเล่นกับมือผมหน้าตาเฉยด้วยความรู้สึกทึ่งนิดๆ

อืม... นี่สินะ ข้อเสียของระบบโซตัส




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-04-2016 22:27:03
ชอบ เชน แสดงออกเต็มที่เรื่องหึง   
เชนหึงซันมากมาย :katai2-1:
เพราะซันเคยเป็นคนที่ตรีเคยรักสินะ :m16:
หวาน เวลาเชนมุ้งมิ้งกับตรี  :กอด1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-04-2016 22:38:03
คนหึงได้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-04-2016 22:57:05
โอ๊ยยสงสารซัน5555 พี่เชนหึงเงียบอ่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-04-2016 00:12:09
เจ็บปวด เเทนซัน 555555555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 29 [ 15/04/2559 ] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: imvodka ที่ 16-04-2016 01:53:06
 o22 สงสารซัน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 16-04-2016 12:14:02
30
ห่างไกล
 
           
ผมนึกไว้แล้ว ว่าการที่เชนปฏิเสธน้องผู้หญิงคนนั้นไปอย่างเย็นชาที่ร้านกาแฟวันนั้น จะต้องส่งผลกับชื่อเสียงของเขาแน่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ... เมื่อหลังจากนั้นไม่นานผมได้เห็นหน้าตัวเองกับเชน ถูกแอบถ่ายจากมุมที่จำได้ว่าเป็นโต๊ะของน้องคนนั้น พร้อมกับแคปชั่นที่ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
 
               
‘#เชนตรี หยิ่งมากกกก ขอถ่ายรูปนิดเดียวทำเป็นมองแรง คิดว่าหล่อนักเหรอคะ? เหอะ! #เบ้ปากรัว’
 
               
ผมดูรูปแล้วไล่อ่านคอมเมนต์ลงไปเรื่อยๆ และก็พบว่าส่วนใหญ่มีแต่คอมเมนต์ไปในเชิงเห็นด้วยทั้งนั้น เชนโดนด่าเยอะมากซะจนผมคิดว่าถ้าเป็นผมคงเครียดจนไม่กล้าเข้าเฟสบุ๊คอีก
 
               
‘จริง หยิ่งมาก เคยเจอที่คณะหน้าตาไม่เป็นมิตรสุด คงคิดว่าหล่อมาก #เชน #เชนตรี’
 
           
‘โคตรไม่ชอบ คนกรี๊ดไปได้ไง นิสัยโคตรแย่ #เชนตรี’
 
           
‘เคยคบเพื่อนเรา (เป็นผู้หญิง) แล้วทิ้งไป ที่แท้เป็นเก้งเหรอ เหอะ! สันดาน #เชนตรี’
 
           
‘เราเคยเจอ หล่อมากกกกกกจริง แต่นิสัยก็น่ากลัวมากกกกเหมือนกัน ชอบมองนิ่งๆ หยิ่งๆ กรี๊ดแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อ่ะ #เชนตรี’
 
           
‘กรี๊ดคู่นี้มากกกก แต่ได้แต่จิ้นไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ออร่าโลกส่วนตัวสูงมาก #เชนตรี’
 
           
‘คู่รักอันตรายเหรอครับ 5555555 #เชนตรี’
 
           
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
 
               
“ทำไร” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นข้างหูพร้อมกับใบหน้าคมที่ชะโงกข้ามไหล่มาจากด้านหลังจนแผ่นอกที่เปลือยเปล่าเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จแนบลงมากับหลังผมเบาๆ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมือถือในมือผมที่ยังคงค้างอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดด้วยสีหน้าสงสัย
               
ผมเลยยื่นให้เขาดู “บอกแล้วว่าไม่น่าปฏิเสธ” ผมตำหนิ มันคงไม่กลายเป็นเรื่องแบบนี้ถ้าวันนั้นเรายอมให้น้องถ่ายรูปไปซะ เพราะสุดท้ายเธอก็แอบถ่ายอยู่ดี แถมยังเขียนถึงพวกเราไปในทางที่ไม่ดีซะอีก
               
เชนเอื้อมนิ้วมาเลื่อนดูคอมเมนต์ทั้งหมดผ่านๆ ก่อนจะชะงักอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดเหมือนผม คิ้วเข้มขมวดขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางไม่พอใจเห็นได้ชัด
               
“ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ก็เหอะ แต่โดนด่าขนาดนี้...”
               
“เอามานี่ดิ๊” ยังไม่ทันจะพูดจบมือหนาก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมเฉยเลย
               
“เฮ้ย! ทำอะไร” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปในโทรศัพท์
               
ถึงจะโกรธก็เหอะ แต่ผมนึกว่าเขาไม่คิดจะตอบโต้กับอะไรพวกนี้ซะอีก แล้วอีกอย่าง นั่นมันล็อกอินเฟสบุ๊คผมอยู่นะเว้ย!
               
“อ่ะ” แต่ดูเหมือนว่าผมจะห้ามอะไรไม่ทัน เมื่อไม่กี่วินาทีต่อมามือหนาก็ส่งมือถือกลับมาให้ ผมกระวนกระวายรีบหาดูว่าเขาพิมพ์อะไรลงไป แต่ก็ไม่พบคอมเมนต์เพิ่มเติม
นอกจาก...คอมเมนต์ที่ตอบกลับคอมเมนต์ล่าสุดอีกที
 
           
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
           
‘มีแฟนแล้ว’
 

ผมคิดว่าเขาจะเมนต์ตอบโต้พวกที่ด่าเขาเสียอีก แต่นี่มัน...

เปาะ!

“คราวหลังอย่าทำตัวน่ารักให้มาก” เอื้อมมือมาดีดหน้าผากผมพร้อมกับทำเสียงเข้ม

เดี๋ยวนะครับ...

“มันใช่เวลามาสนใจคอมเมนต์ไร้สาระนี่มั้ยเนี่ย ไม่คิดจะทำอะไรกับพวกที่ด่าเลย?” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดผิดประเด็น

“ชินแล้ว” ร่างสูงตอบแค่นั้น พลางเดินไปที่ระเบียงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนอยู่บนราวมาคลุมผมเปียกๆ ของตัวเองไว้ แล้วเดินกลับมานั่งลงข้างผมพร้อมกับหันหลังให้

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมต้องทำหน้าที่เช็ดผมให้เขาทุกครั้งหลังอาบน้ำ ซึ่งมันก็ถือเป็นกำไรของผมนะ ที่ได้เล่นผมนุ่มๆ หอมๆ ของหมอนี่ ซึ่งคงไม่มีใครได้จับบ่อยนัก

เอ๊ะ... หรืออาจจะมีวะ

“ปกติแฟนคนก่อนๆ นายทำแบบนี้ให้ด้วยหรือเปล่า” ผมเผลอหลุดปากถามออกไปทันทีที่ใจคิด

“หือ?” เขาส่งเสียงประหลาดใจ แต่ก็ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ไม่นะ ไม่ค่อยชอบให้ใครเล่นหัว”

“แต่ตัวเองชอบเล่นหัวคนอื่นเนี่ยนะ?” ผมแย้งกลั้วหัวเราะ เมื่อคิดได้ว่าหมอนี่ชอบขยี้หัวผมเป็นกิจวัตร

อืม... แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าคำตอบของเขาทำให้ผมพอใจอยู่ไม่น้อย

“แล้วตอนนี้เลิกไม่ชอบแล้วเหรอ” ผมถามต่อ ขณะที่ลงน้ำหนักมือมากกว่าเดิม ด้วยความหมั่นไส้

“ยัง” เสียงทุ้มเอ่ย “แต่เห็นใครบางคนชอบ ก็เลยยอม” ว่าพลางหันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผม ก่อนจะดึงผ้าขนหนูออก แล้วจับมือผมสัมผัสกับผมที่ยังคงเปียกหมาดๆ ของเขาโดยตรงแล้วบังคับให้ลูบไปมา
                 
พอได้จับจริงๆ ก็พบว่าผมของเขานุ่มกว่าที่คิดไว้ แถมยังหนามากอีกต่างหาก เวลาผมแห้งมันคงจะให้สัมผัสที่ดีกว่านี้น่าดู เหมือนขนหมานุ่มๆ ฟูๆ น่าขยี้อะไรแบบนั้น

“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมชอบเล่นหัวคนอื่น” เขาแสยะยิ้มเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่ จนผมอดไม่ได้ที่จะทำในสิ่งที่ใจคิดอย่างการขยี้ผมเขาแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้

เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปัดมือผมออกแล้วยัดผ้าขนหนูกลับมาให้แทน ผมไม่ว่าอะไรและกลับมาเช็ดผมให้เขาต่อ แม้ว่ามันจะหมาดมากแล้วก็ตาม แต่ผมชอบกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเราแบบนี้นี่... ดังนั้นขอต่อเวลาอีกสักหน่อยเถอะ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์เชนก็ต้องไปฝึกงานแล้ว และผมคงไม่มีโอกาสได้เล่นหัวเขาแบบนี้อีกสักพัก

อา...ไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้นเลยแฮะ

“ไม่ไปแล้วดีมั้ย” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ราวกับอ่านใจผมออกอีกแล้ว “ย้ายมาฝึกบริษัทที่เชียงใหม่ดีกว่า” เขาว่า น้ำเสียงเอาแต่ใจ

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วผลักหัวเขาเบาๆ “มันจะไปทันได้ไง”

ป่านนี้ทุกบริษัทคงมีนักศึกษาฝึกงานเต็มอัตราไปแล้ว อีกอย่างการที่จะได้ฝึกงานบริษัทใหญ่ๆ แบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา จะมาทิ้งโอกาสเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ไง

“แล้วเตรียมของครบยัง” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ถึงจะยังเหลือเวลาอีกพอสมควร แต่เขาต้องลงไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายเดือน จะให้เตรียมตัวกะทันหันก็คงไม่ดี

“หึ” แต่เชนกลับหัวเราะในลำคอ หันมามองผมหน่ายๆ ปนขำกับนิสัยเหมือนแม่ที่แก้ไม่ได้ของผม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือผมลงจากหัวเขาอีกรอบแล้วจรดริมฝีปากลงกับฝ่ามือผมเบาๆ พร้อมยิ้มมุมปาก

“เหลือคนนี้อ่ะ เอายัดใส่กระเป๋าไปด้วยได้มะ?”

เก่งนักนะ ไอ้เรื่องแกล้งให้ผมเขินแบบไม่ทันตั้งตัวเนี่ย
 
“พอเลย” ผม (แสร้ง) ทำเสียงดุ ลุกขึ้น และจะชักมือกลับมา แต่ฝ่ามือหนาก็ยังจับไม่ยอมปล่อยแถมยังออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนั่งตรงระหว่างขาเขาอีก
               
“ไม่พอ ยิ่งเวลาเหลือน้อยก็ยิ่งต้องตักตวง” มือหนายื่นออกมาโอบไหล่ผมจากด้านหลัง พร้อมกับยกคางขึ้นมาเกยหัวไว้ “คิดถึง”
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประหลาดใจกับน้ำเสียงที่ฟังดูอ้อนแปลกๆ นั่น “ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเลย” ว่าพลางซุกหน้าลงกับแขนแข็งๆ ที่ยังคงเจือด้วยกลิ่นสบู่อ่อนๆ อย่างต้องการซึมซับกลิ่นนี้ไว้ให้นานที่สุด ก่อนเราจะต้องจากกัน
               
แค่คิดก็ใจหายแล้ว
               
“ทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ” เขาถามขึ้นมาหลังจากที่เราต่างเงียบกันไปสักพักน้ำเสียงจริงจังจนผมหลุดขำอีกรอบ
               
“ก็บอกแล้วว่าปิดเทอมไม่ว่าง” อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวกลับไปใช้นิ้วจิ้มหน้าผากย่นๆ นั่นให้คลายออกอย่างรู้ทัน
               
แต่เชนก็กลับมาขมวดคิ้วอีก เขายกมือขึ้นมาจับมือผมออกจากหน้าผากเขา ท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจจนหงุดหงิด
               
“งั้นคงต้องทำอะไรสักอย่าง”
               
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันถามว่าหมายความว่ายังไง มือหนาก็ปล่อยจากนิ้วผมแล้วเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมไว้แทน ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาบนริมฝีปากผมโดยไม่ให้ตั้งตัว
               
เอาอีกแล้ว... เล่นทีเผลออีกแล้ว
               
“ถ้ายังดื้อก็จะจูบแบบนี้” พูดเอาแต่ใจพลางกดจูบหนักๆ ลงมาอีกรอบ

“...”

“จะจูบทุกวัน...จนขาดไม่ได้ แล้วยอมตามฉันไปแต่โดยดีเลย” เชนจรดริมฝีปากร้อนจัดลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่จูบสั้นๆ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นจูบลึกซึ้งที่ตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจ

จูบที่กินเวลาเนิ่นนานราวกับต้องการจะให้ผมค่อยๆ ซึบซับสารเสพติดชนิดนี้ที่เขาป้อนให้ตามที่พูดไว้

“หึ” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างนึกตลกในความเอาแต่ใจ พลางขยับเข้าไปใกล้และจูบตอบเขาเช่นกัน

ให้ตายเถอะ... ผมคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าหากเกิดเสพติดจูบนี้ขึ้นมาจริงๆ...


หลายวันผ่านไป

สุดท้ายวันที่พวกเราไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ ถึงผมจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ยังไงมันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี

ผมมาส่งเชนที่สนามบินในเช้าวันศุกร์ซึ่งเขาจองตั๋วไว้ มันไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่ไปฝึกงาน อีกไม่กี่เดือนก็กลับแล้ว

แต่มันคงเป็นอีกไม่กี่เดือนที่ยาวนานน่าดู...

“หึ ดูทำหน้าเข้า” คนตัวสูงกว่าเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนเคย

ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่การที่เขายังยิ้มได้แบบนี้มันทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งคิดจุกจิกกับเรื่องแบบนี้เหมือนผมก็เหอะ แต่ไอ้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนไปแค่ไม่กี่วันเนี่ย มันอะไรกันวะ มีแต่ผมคนเดียวหรือไงที่กลัวความเหงาเวลาที่เขาไม่อยู่น่ะ

“ขอให้เหงาจนตาย” ผมสาป แต่จริงๆ อาจจะเป็นการสาปตัวเองก็ได้ เพราะคนที่มีแนวโน้มเป็นแบบนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผมมากกว่า เชนหัวเราะเบาๆ แล้วขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบแต่กลับไม่ปฏิเสธ

“ก็คงงั้น” อยู่ๆ เขาก็หยุดแกล้ง และมองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม “ทั้งเหงา แล้วก็คิดถึงจนตาย”

คราวนี้กลับเป็นผมบ้างที่อยากจะหัวเราะให้กับสีหน้าอธิบายยากของคนตรงหน้า ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทั้งดูหงุดหงิด เสียใจ กังวล และสับสนในเวลาเดียวกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาไม่ได้ เลยได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

ความจริงหมอนี่ไม่ได้เป็นปกติอย่างที่เสดงออกก่อนหน้านี้สินะ

“ไม่ต้องมายิ้มเลย” เชนดุเสียงเข้ม เพราะผมเผลอยิ้มมุมปากอย่างที่เขาทำ

ฮะๆ เข้าใจความรู้สึกเวลาเห็นสีหน้าเป็นกังวลจนดูตลกของอีกฝ่ายแล้วล่ะ

ให้ตาย น่ารักชะมัด

“เฮ้อ” แล้วอยู่ๆ เขาก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาพลางก้มหน้าล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ผม “แบมือ” ออกคำสั่งนิ่งๆ

ผมแบมือตามที่บอก เชนวางวัตถุเย็นๆ ไว้บนมือผม และพอเขาปล่อยมือออกผมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เขาให้คือสร้อยสีดำเส้นหนึ่งที่มีจี้สีทองเป็นรูปฟันเฟืองห้อยอยู่

นี่มัน... เกียร์?

“เก็บไว้ดีๆ ล่ะ กว่าจะหาเจอ” เขาพูดขณะที่เบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย ผมคงไม่คิดอะไร ถ้าหากว่าใบหน้าคมเข้มนั่นไม่กลายเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา

ผมหัวเราะ กำสิ่งที่เขาให้ไว้แน่น ก่อนจะแกล้งถามติดตลก

“คิดว่าให้ผู้หญิงคนก่อนๆ ไปแล้วซะอีก”

ที่ผมได้ยินมา มันเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของเด็กวิศวะน่ะ ที่จะมอบเกียร์ที่ได้มาจากการรับน้องอย่างยากลำบาก ให้แฟนตัวเองเป็นของแทนใจอะไรแบบนั้น

“ตอนแรกคิดว่ามันไม่สำคัญ ก็เลยไม่ได้ให้ใคร แต่คนนี้ต้องให้แล้วล่ะ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอย่างจริงจังอีกครั้งแม้ว่าใบหูจะยังไม่หายแดงก็ตาม “จะได้รู้ว่าหวง”

“หึ” ผมถึงกับยกหลังมือขึ้นมาปิดปากเพราะรู้ตัวว่าผมคงกำลังยิ้มกว้างมาก พลางเบือนหน้าหนีซ่อนใบหน้าที่คงจะกำลังแดงไม่แพ้กัน เชนขมวดคิ้วท่าทางไม่พอใจเล็กๆ ที่เห็นผมยิ้มในขณะที่เขากำลังจริงจัง มือหนาเลยเอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆ อีกครั้ง

ป่านนี้หัวผมคงจะฟูยิ่งกว่ารังนกแล้ว

แต่ช่างเถอะ... ถ้าสามารถยื้อเวลาได้ ต่อให้เขาขยี้จนผมร่วงหมดหัว ผมก็ยอม

ต่างคนต่างเงียบได้ไม่นานก็มีประกาศเรียกไฟล์ทของเชนดังขึ้นมา ผมหยุดยิ้มแล้วเงยหน้ามองเขาที่เริ่มขมวดคิ้วทำหน้างุ่นง่านอีกครั้งด้วยความรู้สึกโหวงๆ ในใจแปลกๆ

ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครจะสามารถยื้อเวลาได้จริงๆ หรอก

“ไม่ไปแล้วดีมะ” แต่ประโยคเอาแต่ใจนั่นก็ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปขยี้ผมเขาบ้าง “เป็นเด็กหรือไง”

ผมล่ะอยากให้คนที่เคยคิดว่าเชนหยิ่ง แข็งกระด้าง หรือเย็นชาจนไม่น่าเข้าใกล้มาเห็นมุมนี้ของเขาจริงๆ จะได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้น่ารักกว่าที่คนพวกนั้นคิดมากแค่ไหน

แต่คิดอีกที... อย่าดีกว่า ผมขอเก็บมุมนี้ไว้ดูคนเดียวเถอะ

“ให้ตาย” แล้วพอผมหยุดเล่นหัว เขาก็สบถออกมาเบาๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาผมด้วยสีหน้างุ่นง่านกว่าเดิม “รู้งี้น่าจะจูบมาตั้งแต่ที่หอ” เขาว่า สีหน้าเสียดาย

“...” เขารู้ว่าผมคงไม่ยอมให้เขาทำอะไรแบบนั้นในที่สาธารณะแบบนี้ ถึงตอนนี้ในสนามบินจะมีคนอยู่ไม่เยอะเพราะมันเช้ามากก็เถอะ

“น่าจะกอดให้มากกว่านี้..."

"..."

"จูบให้มากกว่านี้... ตุนให้พอสำหรับสามเดือน”

ผมควรจะโกรธหมอนี่ดีมั้ยนะ ที่ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่ควรจะเศร้าที่ต้องจากกันแท้ๆ
หลายวันที่ผ่านมาพอรู้ว่าเหลือเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกไม่มาก ประจวบเหมาะกับตอนนี้ปิดเทอมพอดี ทำให้พวกเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆ นั้น ใช้เวลาแทบจะทุกวินาทีร่วมกัน ราวกับต้องการจะใช้มันทดแทนเวลาที่มันกำลังจะหายไป

เรานอนกอดกันทุกคืน เล่นหัว จับมือ ทำทุกย่างที่จะแสดงออกถึงความรักในเวลาที่เหมาะสม เขาจูบทักทายผมในทุกๆ เช้าและทุกครั้งที่ใจต้องการ จูบลึกซึ้งที่ราวกับจะซึมซาบเข้าสู่ใจผมอย่างช้าๆ จนเหมือนจะขาดไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ
แต่คงไม่ได้มีแค่ผมที่เสพติดสัมผัสของกันและกัน เพราะเชนเองก็ดูเหมือนใกล้ลงแดงเต็มทีเมื่อคิดว่าจะต้องห่างเหินจากสัมผัสเหล่านั้นนับเดือนๆ

“สวมนี่ให้หน่อย” ผมว่าพลางยื่นสร้อยห้อยเกียร์ที่เขาเพิ่งให้ไปตรงหน้าร่างสูง

เชนไม่ตอบอะไร แค่เอื้อมมือมาหยิบมันไป แล้วขยับเข้ามาใกล้เพื่อสวมคอให้ผม

ใกล้พอ...ที่ผมจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ตอบแทนสำหรับของแทนใจที่เขามอบให้

“...!”

คนตรงหน้าเบิกตากว้างทันทีที่ผมเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้ และทาบริมฝีปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากของเขาเบาๆ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว มอบจูบที่แสนอ่อนหัดให้เขาด้วยความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในใจ ทั้งความเป็นห่วง กังวล คิดถึง และความรักทั้งหมดของผม ถูกถ่ายทอดออกไปผ่านรสจูบที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อนในชีวิต

“หึ เอาคืนกันหรือไง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากบางทันทีที่ผมถอนริมฝีปากออก หน้าผากของเขายังคงแตะอยู่ที่หน้าผากของผม ลมหายใจร้อนๆ ยังคงรินรดลงมาบนปลายจมูกอย่างไม่อยากจะจากกัน
               
“...” ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มมุมปากกลับไป รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้งเขาแบบที่เขาชอบทำบ้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าวินาทีต่อมา ผมจะถูกเขาเอาคืนจนได้

“ถ้าตกเครื่องขึ้นมา ฉันจะโทษนาย” ว่าจบริมฝีปากร้อนจัดก็ทาบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง

สอนให้ผมรู้ว่า ‘จูบ’ ที่แท้จริง มันเป็นยังไง




-------------------------------------------------
พี่เชนดูหลงน้องมากอ่ะ 5555555
ยังไงฝากคู่ #เชนตรี ด้วยน้า

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

 :-[

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-04-2016 12:52:45
ละมุนมาก
หวังให้ระยะทางทำอะไรคู่นี้ไม่ได้
ไม่เอามือที่สามสี่อะไรนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-04-2016 13:39:28
หล่อนๆทั้งหลายช่างไม่รู้อะไรซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 16-04-2016 17:49:52
โอ้ยย ... น่ารักไปแล้วววว

อย่าแอบไปมีใครนะเชนนน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 16-04-2016 23:47:20
กรี๊ดดด น่ารักเกินไปละคู่นี้ อยากจะอ่านทุกวันเลย  :ling1: จะรอตอนต่อไปนะคะ


ปล.พี่เชนอย่าไปมองใครนะ ไม่งั้นจะจิ้นให้มีคนมาจีบตรีซะให้เข็ด  :hao3:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Wingging gao ที่ 17-04-2016 01:14:24
เขินแรง :-[ :-[ ฟินแทนตรี :haun4:#เชนตรี
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 17-04-2016 07:24:22
รักแท้ไม่แพ้ระยะทางนะเออ #เชนตรี

 :กอด1:  :กอด1:   :กอด1:  :กอด1:

 :n1:  :n1:  :n1:  :n1:

.....
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: BeautifulGirl ที่ 17-04-2016 08:44:38
หน้านี่ร้อนผ่าวๆ เขิน-////-
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 17-04-2016 09:09:36
โหยยยเชนไปฝึกงานละอ่ะ ขอให้ระยะทางทำให้ทั้งสองคนรักกันมากๆนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 30 [ 16/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-04-2016 12:30:57
ชอบ  ต่างคนต่างห่วงหา คิดถึงกัน ไม่อยากจากกัน :katai2-1:
อย่ามีอะไร ที่ทำให้ เชน  กับ ตรี ผิดใจกัน  :mew2:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-04-2016 21:20:55
31
คนกลาง
 
               
สามเดือนมันนานเกินไป...เกินไปจริงๆ
               
และคนที่เหงาและคิดถึงจนตายก่อน จะต้องเป็นผมแน่ๆ พนันได้เลย
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อยของวัน เมื่อคิดได้ว่านี่ก็เข้าวันที่สองแล้วที่เชนไม่ติดต่อมา
               
แค่หนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้า ได้คุยแค่โทรศัพท์หรือแชทไลน์ผมก็แทบบ้าแล้ว แต่นี่หมอนั่นดันเงียบหายไปตั้งแต่เช้าเมื่อวาน โทรไปไม่รับ ทักไลน์ไม่ตอบแบบนี้ แล้วจะไม่ให้ผมกลุ้มได้ไง นี่มันไม่ปกติสักนิด ถึงระหว่างวันจะยุ่งแค่ไหน แต่ก่อนนอนก็ควรคุยกันให้หายคิดถึงบ้างไม่ใช่เหรอ...

ใช่มั้ย หรือผมเข้าใจผิด?
               
ผมข้องใจจนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูกล่องแชทที่ยังคงเงียบสนิทมาจนถึงตอนนี้ คำถามล่าสุดที่ผมถามไปก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ ยังไม่แม้แต่จะถูกเปิดอ่านด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่นี่มันเกือบจะสองทุ่มแล้ว เขาน่าจะเลิกงานตั้งนานแล้ว
               
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
               
“ตรี เดี๋ยววันนี้มีเด็กใหม่มา ตรีช่วยดูหน่อยนะ” ผมกำลังจะพิมพ์ข้อความลงไปในกล่องแชท แต่เสียงของพี่โม รุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟก็ทำให้ผมชะงัก เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนอีกครั้ง แล้วหันไปพยักหน้ารับ
               
“ครับ”
               
พี่โมยิ้มให้ เหมือนจะไม่เห็นว่าผมหยิบมือถือขึ้นมาระหว่างงานเลยไม่ว่าอะไร “เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เดี๋ยวก็คงออกมา” พูดจบพี่โมก็เดินหายเข้าไปในครัวอีกรอบ
               
ผมไม่ได้ตอบอะไร และหันกลับมาหยิบนู่นจับนี่บนเคาน์เตอร์ไปเรื่อย รอเด็กใหม่ที่ว่า อยากจะหยิบมือถือออกมาอีกรอบเพื่อพิมพ์สิ่งที่ตัวเองอยากจะถามลงไป แต่ก็กลัวว่าพี่โมจะเดินออกมาเห็น ถึงจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าพี่โมจะไม่ดุผมถ้าเอาสมาร์ทโฟนมาเล่นระหว่างงาน แม้ตอนนี้ในร้านจะแทบไม่มีคนเลยก็เถอะ
               
ร้านของพี่โมเป็นร้านกาแฟเปิด 24 ชั่วโมงอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยนัก ซึ่งในช่วงเวลาปิดเทอมแบบนี้จึงไม่แปลกที่คนจะไม่เยอะเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านกัน ตอนนี้ทั้งร้านมีลูกค้าแค่สองโต๊ะเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่กำลังคุยกันสนุกสนาน และอีกโต๊ะเป็นคนวัยทำงานซึ่งนั่งเล่นคอมอยู่ที่มุมร้านเงียบๆ ท่าทางไม่ต้องการให้ใครรบกวนผมจึงไม่ต้องทำอะไร นอกจากรอให้ใครสักคนเรียก
               
และเพราะว่าคนไม่เยอะเท่าช่วงเปิดเทอม พนักงานพาร์ทไทม์กะดึกจึงมีแค่ผมคนเดียว เพราะพี่โมเองก็อยู่ดูแลด้วย มันเลยอดตกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ พี่แกก็จ้างพนักงานมาเพิ่ม ทั้งๆ ที่ลูกค้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย
               
“พี่โม ผูกไอ้นี่ให้ผมหน่อย” ความคิดของผมหยุดชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินมาจากหลังร้านพลางพยายามผูกผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอย่างทุลักทุเล
               
“อ้าว” เขาดูจะตกใจนิดๆ ที่ผมไม่ใช่พี่โม ร่างที่เตี้ยกว่าผมนิดหน่อยหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าของร้าน แต่พี่โมกำลังยุ่งอยู่ในครัวผมจึงอาสาทำแทน
               
“หันหลังสิ” ผมทำท่าวนนิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้ แม้ท่าทางจะดูงงๆ แต่เด็กใหม่ก็หันหลัง ยอมให้ผมผูกผ้ากันเปื้อนให้แต่โดยดี ซึ่งใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็เรียบร้อย
               
“ขอบคุณครับ” เขาผงกหัวนิดๆ ขอบคุณผมหน้ามึนๆ ก่อนจะมองหน้าผมนิ่ง
               
"..."
                 
"..." หมอนี่มองหน้าผมนานมากจนอยากจะถามว่ามีอะไร แต่ยังไม่ทันได้ถามดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูซุกซนนั่นก็เบิกกว้างขึ้นมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
               
“ตรี! ตรีใช่ป่ะ” เขาตะโกนเสียงดังมากจนผมคิดว่าลูกค้าที่มีอยู่น้อยนิดน่าจะหันมามองพวกเราแล้ว
               
“คะ...ครับ” ผมพยักหน้าตอบงงๆ ตกใจที่อยู่ๆ ก็โดนทักจากคนที่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
               
“จำผมได้มั้ย... ไม่สิ จะไปจำได้ยังไง” ประโยคหลังเขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้อีกรอบ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดๆ อะไรบางอย่างสักพัก
               
ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวง เอ่อ... เดี๋ยวพี่โมมาเห็นก็ซวยแพ็คคู่หรอก
               
ผมกำลังจะเตือนเขาสักหน่อย แต่เจ้าของใบหน้าใสติดจะน่ารักกว่าผู้ชายทั่วไป ก็ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผมดูก่อน
               
“นี่ไง ที่เราเคยคุยกัน”
               
“หือ?” ผมขมวดคิ้ว ยื่นหน้าเข้าไปอ่านหน้าจอมือถือที่เปิดหน้าเฟสบุ๊คของเขาซึ่งมีคอมเมนต์ตอบโต้ใต้โพสต์รูปของผมกับเชนที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ขึ้นมา
 
               
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ J’
           
‘มีแฟนแล้ว’
           
‘55555 ครับ รู้แล้วครับ’
 
           
นี่มัน... เรียกว่าคุยกันเหรอ...
               
ข้อความนั่นผมไม่ได้เป็นคนพิมพ์สักหน่อย แถมที่เขาตอบผมก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เพราะเป็นพวกไม่ชอบเช็กการแจ้งเตือนบนเฟสบุ๊คอยู่แล้วถ้าไม่ใช่อะไรที่สำคัญจริงๆ
               
“อา... ข้อความนี่ตรีคงจะไม่ได้เป็นคนตอบเองใช่มั้ย” เขาถามน้ำเสียงฟังดูผิดหวังแปลกๆ
               
ผมชะงักไปนิดหน่อยอย่างไม่รู้จะตอบยังไง แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ครับ”
               
รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
               
“ว่าแล้วเชียว... ดีใจเก้อไปสิผม” เขาหัวเราะเจื่อนๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มใสแก้เก้อ ขณะที่ผมได้แต่ยืนมองอย่างไม่เข้าใจ
               
ดีใจเรื่องอะไร?
               
“ช่างเหอะ” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเสียงดัง แต่เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า ก่อนจะหันมยิ้มกว้าง “ผมชื่อโชนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่โม จะมาช่วยทำงานกะดึกตั้งแต่วันนี้ครับ” ยิ้มที่เหมือนเด็กนั่นดูสดใสซะจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
               
“ครับ พี่โมบอกแล้ว เดี๋ยวผมสอนงานให้นะ” ผมพูดยิ้มๆ แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะ เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบ
               
“ไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ผมก็อายุเท่าตรีนั่นแหละ” เขาว่า ยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาที่ตี่อยู่แล้วกลายเป็นรูปสระอิ
               
“แต่ เมื่อกี้คุณก็แทนตัวเองว่าผมนะ” ผมเลิกคิ้วงงๆ ถ้าเขาไม่สุภาพมา ผมก็คงไม่พูดเป็นทางการขนาดนี้หรอก
               
“เออว่ะ” คนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นมาเกาแก้มเหมือนนึกขึ้นได้ “โทษที ผมติดน่ะ” แล้วหันมายิ้มให้อีกรอบ
               
“...” ยิ้มเก่งจังแฮะ
               
“งั้นเอางี้ดีกว่า ผมจะเรียกแทนตัวเองว่าผมแล้วเรียกตรีว่าตรี ส่วนตรีก็เรียกผมว่าโช แต่จะแทนตัวว่าอะไรก็แล้วแต่ตรี ดีป่ะ”
               
ผมต้องใช้เวลาประมวลผลอยู่สักพักว่าเขาพูดอะไร กว่าจะเข้าใจแล้วตอบตกลงไปอย่างมึนๆ “อ่าๆ งั้น... เราแทนตัวเองว่าเราละกัน”
               
“โอเค”   
               
เขาตอบอย่างกระตือรือร้น ซึ่ง... ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเราต้องคุยกันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ด้วย
               
“ตรีมีอะไรก็สอนผมได้เลยนะ ดุได้ด้วย ผมไม่โกรธหรอก” เขายิ้มกว้างและบ่อยมาก จนผมอยากจะยื่นมือไปบีบแก้มที่ดูน่าจะนิ่มมากนั่นสักทีให้หุบยิ้มบ้าง กลัวว่าเขาจะเมื่อย
               
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรบ้าบอแบบนั้นหรอกครับ ดีแต่พยักหน้ารับแหละ
               
“งั้น เดี๋ยวเราสอนดูเมนูกับชงกาแฟ” ผมว่า แล้วหันมาค้นเมนูของร้านที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ถ้าเป็นปกติคงต้องสอนเรื่องง่ายๆ อย่างมารยาทการต้อนรับลูกค้าก่อน แต่ร้านเราไม่ได้เคร่งขนาดนั้น มีแต่คนกันเอง แถมดูจากโหงวเฮ้งแล้วหมอนี่ท่าจะรู้เรื่องการเข้าหาคนอยู่พอสมควร ก็เลยข้ามขั้นนั้นมาเลยดีกว่า แต่ผมเอง ก็ใช่ว่าจะชงกาแฟเก่ง ทุกวันนี้ก็ทำได้แค่เมนูง่ายๆ ส่วนอะไรที่มันต้องใช้ฝีมือพี่โมก็เป็นคนทำหมด ดังนั้นส่วนที่เหลือค่อยให้พี่โมสอนเองละกัน
               
โชดูจะตั้งใจเรียนรู้มาก แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการล้างอุปกรณ์ หรือต้องเก็บอะไรไว้ตรงไหน เขาก็ตั้งใจดูไม่ละสายตา... อันที่จริง ผมว่าเขาเอาแต่มองหน้าผมตลอดเวลาเลยมากกว่า
               
“เอ่อ” ผมอ้ำอึ้ง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้สนใจที่ผมสอนเลยแม้แต่นิด “มีอะไรติดหน้าเราหรือเปล่า” ผมถามพลางยกมือขึ้นถูๆ หน้าตัวเองอย่าระแวง โชหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมออก
               
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องเช็ดหรอก”
               
“แล้วมองหน้าเราทำไม?” ผมถามตรงๆ รู้สึกงงกว่าเดิม
               
“เปล่า” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “มองหน้าตรีแล้วไม่เบื่อดี”
               
“หือ?” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยแม้แต่นิด แต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมอธิบาย เขาหัวเราะอีกรอบแล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่องด้วยการเดินไปยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ
               
“จริงๆ พี่โมเคยสอนผมชงกาแฟแล้ว ให้ลองทำให้ชิมป่ะ” โชหันมาถาม ส่วนผมก็ยังขมวดคิ้วไม่เข้าใจประโยคก่อนหน้าของเขาอยู่เลย จนคนตัวเล็กกว่าต้องหันมาถามอีกรอบ “ตรีอยากกินกาแฟอะไร”
               
“...” ผมไม่ตอบ เพราะตั้งตัวไม่ทัน คนตรงหน้าเลยยิ้มแล้วตอบเองเสร็จสรรพ
               
“เอาลาเต้ละกันเนอะ เดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือลาเต้อาร์ตเป็นหน้าตรีให้ดู ฮ่าๆๆ” เขาไม่สนใจสีหน้าต้องการคำอธิบายของผมเลยแม้แต่น้อย แถมยังหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันไปวุ่ยวายกับการชงกาแฟด้วยท่าทางที่ชำนาญกว่าผมซะอีก
               
ผมมองการกระทำของเขาอยู่สักพักด้วยคำถามมากมายที่แล่นเข้ามาในหัว แต่ก็ต้องหยุดสนใจเพราะมีลูกค้าใหม่เดินมาสั่งออร์เดอร์พอดี
               
“อเมริกาโน่เย็นค่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งมาใหม่บอกพร้อมกับยื่นเงินให้ผมในจำนวนที่พอดี
               
“ครับ เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะนะครับ” ผมยิ้มรับ แล้วเธอก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
               
ผมหันไปมองโชกำลังจะบอกออเดอร์เพราะดูเหมือนเขาจะทำได้ดีกว่า แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็หันมายิ้มกว้างให้เหมือนจะบอกว่ารู้หน้าที่แล้ว ผมเลยไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับรู้ แต่แทนที่จะทำออร์เดอร์ของลูกค้าก่อน สิ่งที่มาวางตรงหน้าผมที่ยืนรอไปเสิร์ฟ กลับเป็นลาเต้ร้อนที่มีฟองนมวาดเป็นรูปแมวซะอย่างนั้น
               
“อะไรเนี่ย” ผมถาม กำลังจะแย้งว่าลูกค้าไม่ได้สั่ง แต่เสียงใสก็ตอบกลับมาก่อน
               
“บอกแล้วไงว่าผมจะทำลาเต้ให้” โชยิ้มกว้าง
               
“แต่ลูกค้า...” ผมกำลังจะแย้ง แต่แน่นอนว่าไม่ทันเขาอีกแล้ว
               
“คร้าบบ เดี๋ยวจะรีบทำให้ลูกค้าเลยครับ ตรีกินนี่ไปเหอะ ผมเป็นคนเอาไปเสิร์ฟเอง” ว่าจบเขาก็หันไปชงกาแฟต่อ ไม่เปิดโอกาสให้ผมแย้งอะไรเลยสักนิด
               
ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองเขา ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเครื่องชงกาแฟ ท่าทางอารมณ์ดี (เกินไป) ก่อนจะก้มลงมองลาเต้ที่มีรูปหน้าแมวนี่อีกครั้งอย่างชั่งใจ
               
ผมควรกินมันมั้ยเนี่ย?
               
“กิน ไม่กินผมไม่เอาไปเสิร์ฟนะ” เขาส่งเสียงขู่ ทั้งที่ยังง่วนอยู่กับการเทกาแฟใส่แก้ว
               
แล้วทำไมผมโดนขู่วะ?
               
เป็นคำถามที่ไม่รู้จะไปเอาคำตอบที่ไหน แถมยังได้คำถามใหม่คือ แล้วทำไมสุดท้ายผมถึงยอมกินตามคำขู่ของเขา?
               
โชหัวเราะอย่างพอใจเมื่อเห็นผมยกกาแฟของเขาขึ้นดื่มในที่สุดก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่ตกลงไว้ และกลับมาตอนที่ผมวางแก้วลงพอดี เขาเดินมายืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์มองผมแล้วถามยิ้มๆ
               
“เป็นไง ใช้ได้มั้ย?”
               
“อร่อยดี” ผมตอบ
               
“งั้นก็กินให้หมดดิ” เขาว่า พยายามดันแก้วกาแฟมาให้
               
“มันร้อน” ผมเงยหน้าขึ้นไปขมวดคิ้วใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยัดเยียดนัก ถึงมันจะอร่อยจริงๆ ก็เหอะ แต่คอผมก็ไม่ได้ทำจากทองแดงนะที่จะได้ดื่มของร้อนๆ แบบนี้รวดเดียวหมด
               
“ฮ่าๆ” แล้วทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงได้ขำขึ้นมา ผมไม่เข้าใจจริงๆ “ตรีนี่น่ารักกว่าที่ผมคิดอีก”
               
“...”
               
“เสียดายที่มีแฟนแล้ว”
               
“...” ผมนิ่งไป รู้สึกแปลกๆ กับคำพูด และสายตาที่เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มซุกซนนั่น
               
“เอ้อ ตอนนี้พี่เชนไปฝึกงานอยู่ใช่มั้ย” แต่อยู่ๆ แววตาประหลาดนั้นก็หายไป พร้อมกับคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหนีทำทีเป็นสนใจอย่างอื่นและเปลี่ยนประเด็นสนทนาหน้าตาเฉย
               
“รู้ได้ไง” เลิกคิ้วถามอย่างงุนงง
               
ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้จักผมกับเชนจากโพสต์นั้น แต่ก็ไม่น่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้
               
“ก็เราเป็นเพื่อนพี่เชนในเฟส” เขาหันมายิ้มตอบ “เขาเพิ่งอัพรูปไปเที่ยวกับที่ทำงานเมื่อกี้นี้เอง”
               
“...”
               
เดี๋ยวนะครับ... หมายความว่ายังไง? ที่ไม่ติดต่อผมกลับมาเพราะไปเที่ยวอยู่งั้นเหรอ?
               
พอได้ยินแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะฝืนกฎหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเฟสของเชนดูเพื่อเช็กว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า และก็พบว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เพิ่งมีรูปที่เชนไปเที่ยวกับบริษัทอัพขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ใช่จากเจ้าตัว
               
เป็นเฟสของผู้หญิงคนหนึ่งที่โพสต์และแท็กเขาพร้อมกับคนในรูปอีกหลายคน
               
“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ พี่เชนสวยดีนะ ผมเห็นยังใจสั่นเลย” โชพูดกลั้วหัวเราะ เรียกให้สายตาผมกลับมาพิจารณารูปนั้นดีๆ อีกครั้ง
               
ในรูปถ่ายเชนนั่งอยู่ตรงกลางโซฟาตัวยาว ถูกล้อมรอบด้วยคนวัยทำงานกลุ่มหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุด และทำให้ผมสะดุดใจก็คือผู้หญิงผมบ็อบปากแดงท่าทางเฉี่ยวๆ ที่นั่งอยู่ข้างเขา ซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์กำลังใช้แขนข้างหนึ่งกอดคอเชนเอาไว้ด้วยท่าทางสนิทสนมพลางมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี ขณะที่เชนมองเธอกลับด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก แต่มุมปากบางกลับปรากฏเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกเอ็นจอยกับเธอไม่น้อยเช่นกัน
               
นี่มัน... ทำไม?
 
               
‘ฉลองต้อนรับเด็กฝึกงานคนใหม่ ที่รองมือรองเท้าชั้นดี จงมาเป็นทาสพี่ซะหนุ่มน้อย 5555’
               
               
ผมอ่านแคปชั่นที่คงจะถูกเขียนขึ้นมาขำๆ ด้วยความรู้สึกสับสนอย่างประหลาด และกลับยิ่งสับสนไปอีกเมื่อไล่สายตาลงมาเห็นคอมเมนต์ตอบกลับของเชน ที่ปกติ ผมแทบไม่เห็นเขาตอบโพสต์ใครถ้าหากไม่สนิทจริงๆ
 
               
‘ยิ้มจนเห็นตีนกาแล้วป้า’
           
‘ใครป้า!’
           
‘ไม่รู้ตัว?’
           
‘กวนตีน!’
           
‘ครับ : )’
 
               
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้อความนี้จะถูกพิมพ์จากแอคเคาท์ของคนที่ผมพยายามติดต่อทั้งวันทั้งคืน.... แต่หลักฐานมันก็เห็นอยู่ตำตา

ผมไม่ได้โกรธที่เขาออกไปเที่ยวโดยไม่บอก ไม่ได้คิดจะห้ามด้วยซ้ำถ้าหากเขาจะออกไปฉลองอะไรต่อมิอะไรกับที่ทำงาน

แต่ผม...ไม่เข้าใจเลย... ไม่เข้าใจเรื่องที่ว่าทำไมผมโทรหา เขาไม่รับ แชทไลน์ไป เขาก็ไม่ตอบ...
แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขากลับคุยกับผู้หญิงที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครในเฟสบุ๊คด้วยบทสนทนาที่ดูสนิทสนมผิดปกติแบบนี้
               
มันหมายความว่ายังไง...



-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-04-2016 21:25:30
 :mew5:   ความเหงามาพร้อมความหน่วง
แต่ระหว่างโชกับเชน เราเลือกที่จะระแวงโชมากกว่านะมาดีหรือมาร้ายใครจะไปรู้
หน้าใสๆใจดีหรือเปล่า
พี่เชนรีบๆติดต่อมาเถอะสงสารตรี ขอบคุณคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 17-04-2016 22:06:32
นั่นไง ใจคนรอ แค่วินาทีเดียวก็คิดไปได้ต่างๆนาๆ กับอีกคนที่เหมือนไม่รอ ชั่วโมงนึงก็ว่าแปปเดียว

เคลียร์ด้วยเชนไม่ติดต่อเพราะกลัวคิดถึงมากกว่าเดิมก็ควรจะบอก ไม่งั้นให้ตรีไปคบกับโชแทนเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-04-2016 22:17:15
เอ้า พี่เชนนนนนนนนนนนนน

ก่อเรื่องโดยไม่รุ้ตัวอีกแล้วเน้อ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-04-2016 00:28:32
 :mew5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Disthaporn ที่ 18-04-2016 19:17:06
ไม่เอาเเบบเน้ :sad4: ตรีเชนจะจบลงด้วยดีใช่มั้ยคะ เรากลัวใจคนเขียน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน5555 รอตอนต่อไปนะคะ งอนหนักๆนะตรี ปล. ไม่เอาไอ้พนักงานคนใหม่ ชื่ออะไรไม่รู้ลืม :katai5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 31 [ 17/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-04-2016 19:32:21
นึกไว้แล้วๆ เชียว ว่าสองคนนี้ต้องมีคนเข้าหา
แต่เชน เป็นไร ไม่อ่าน ไม่ทัก ไม่ตอบ  :ling1:
นี่เหรอ อยากจะแพคตรีไปฝึกงานด้วย อยากจะเปลี่ยนที่ฝึกงานเป็นเชียงใหม่ :m31:
ใจคนรอมันคิดไปต่างๆนาๆ  งงๆ กับเชน  :m16:
รอนะ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 18-04-2016 20:52:16
32
คลุมเครือ
 
               
วันต่อมา

ผมอยากได้คำอธิบาย... สัสๆ
               
แต่หนึ่งวันที่ผ่านมา หลังจากผมรัวคำถามมากมายลงไปในแชทไลน์ และกดโทรออกเบอร์เดิมซ้ำๆ เหมือนคนที่บ้านไฟไหม้ ก็ยังคงไม่มีใครรับสาย แถมยังถูกซีนแล้วไม่ตอบเลยสักคำถาม เล่นเอาผมร้อนใจจนแทบบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
ผมรอโทรศัพท์จากเชนทั้งคืนแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะโทรกลับ และล่าสุด เมื่อเช้าผมลองโทรไปหาเขาอีกครั้ง มันก็ โทรไม่ติดแล้ว
               
มันหมายความว่ายังไงกันแน่
               
ผมอึดอัดใจถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำงานเสร็จผมก็เปิดเข้าไปดูโปร์ไฟล์ของผู้หญิงคนนั้นในเฟสบุ๊คเพื่อดูว่าเธอเป็นใคร ก่อนจะพบว่านอกจากจะสวยจนแม้แต่ผมที่แค่เห็นรูปยังหวั่นไหวแล้ว โปรไฟล์เธอยังดีเข้าขั้นเพอร์เฟ็กต์อีกต่างหาก
               
แค่เห็นนามสกุล ผมก็ขนลุกแล้ว
               
ผู้หญิงผมบ๊อบปากแดงคนนั้นชื่อริบบิ้น เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกานต์สุริยะ... บริษัทที่เชนกำลังฝึกงานอยู่ เพิ่งจบปริญญาโทมาจากต่างประเทศได้สองปี เป็นทายาทรุ่นใหม่ไฟแรงที่อนาคตคงจะได้เป็นผู้บริหารของบริษัทมีชื่อเสียงระดับประเทศ ...นั่นคือประวัติของเธอที่ผมพอจะสืบได้ และพอใจที่จะหยุดสืบแต่เพียงเท่านี้ เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกต่ำต้อยมากพอแล้ว
               
ยิ่งนึกถึงภาพที่เธอยิ้มให้เชนอย่างเริงร่า ในขณะที่เขาก็ยิ้มตอบ มันก็ยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่าน คิดไปไกลว่าทั้งสองคนคงกำลังคิดอะไรๆ ต่อกัน
               
อันที่จริงผมไม่อยากทำตัวงี่เง่าเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์แบบนี้เลยสักนิด... แต่มันก็อดที่ไม่ได้จริงๆ
               
ในเมื่อภาพที่เห็น และพฤติกรรมของเขา มันชวนให้คิดแบบนั้น
               
ผมอาจจะคิดมากไปเอง... อันนั้นผมรู้ตัว แต่ว่า ถ้าได้คำอธิบายจากเจ้าตัวสักนิด ผมก็คงไม่คิดมากอย่างนี้ ดีไม่ดี ผมอาจจะหลับหูหลับตาเชื่อทุกๆ คำพูดของเขาอย่างไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลยก็ได้ แต่นี่มันไม่ใช่ มันไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งคำพูด และตัวอักษร

ให้ตาย! หมอนั่นเป็นบ้าอะไรวะ ทำไมอยู่ๆ ถึงหายหน้าไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้

ถ้าเขากำลังแกล้งให้ผมเสียสติล่ะก็...บอกเลยว่าผมใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

“ตรีๆ” ขณะที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านจนหัวจะระเบิด อยู่ๆ ก็มีใครบางคนเอานิ้วมาจิ้มๆ ไหล่ จนผมสะดุ้งแล้วหันไปเลิกคิ้วถาม

“ฮะ?”

แชะ!

ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น ก่อนจะเพิ่งเห็นว่าในมือของโชที่เดินมายืนข้างๆ มีโทรศัพท์มือถือที่เปิดกล้องหน้ากดถ่ายเซลฟี่ไปแล้วโดยไม่บอกไม่กล่าว

“เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลง เมื่อพบว่าหน้าตัวเองเหลอหลามากในรูปที่โชถ่าย

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ” ขนาดโชยังหลุดขำออกมาเสียงดังทันทีที่มองรูปนั้น “หน้าตรีโคตรตลก” เขาชี้หน้าผมแล้วขำเสียงดังไม่หยุด ทำเอาลูกค้าที่คืนนี้มีเพียงกลุ่มเดียวหันมามองงงๆ จนผมต้องหันไปผงกหัวขอโทษแทนคนตัวเล็กกว่าที่ยังคงกลั้นขำไม่อยู่

มันไม่ได้ตลกขนาดนั้นสักหน่อย -_-

“ถ่ายไปทำไมเนี่ย” ผมถามเสียงขุ่น จะยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์จากมือโช แต่เขาก็ไหวตัวทัน

โชหยุดหัวเราะ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแทน “พี่โมบอกให้หาวิธีโปรโมทร้าน”

“แล้ว?” ถ่ายเซลฟี่มันช่วยโปรโมทร้านยังไง?

“ถามแปลก” เขายิ้มขำ “จะมีอะไรช่วยโปรโมทได้ดีไปกว่าพนักงานหนุ่มหล่อหน้าใสหัวใจกะล่อนอีกล่ะครับ” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายักคิ้วทะเล้นให้ ขณะที่ผมถึงกับชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะกับประโยคเสี่ยวๆ เหนือความคาดหมายนั่น
คิดได้ไงวะ

“ยิ้มได้ซะที” เขาพูดอะไรสักอย่างพึมพำ แต่ผมได้ยินไม่ชัดจึงไม่ใส่ใจ ก่อนที่โชจะเปลี่ยนเรื่อง “เฟสบุ๊คตรีอะไรนะ ผมจะแท็กรูป” เขาถามขณะที่ก้มหน้ากดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์

“ทำไมต้องแท็กอ่ะ” ผมเลิกคิ้ว คิดว่าเขาจะแค่โพสในเพจร้านซะอีก

“ก็...” เขาอึกอัก ยกมือขึ้นมาเกาแก้มเก้อๆ เหมือนเคย ก่อนจะถามกลับเสียงอ่อน “ผมแท็ก...ไม่ได้เหรอ?”

ผมหลุดหัวเราะอีกรอบกับท่าทางเหมือนหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้ของเขา ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมๆ และยอมบอกชื่อเฟสตัวเองไป สักพักก็มีการสั่นเตือนมาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง

“แอดแล้ว รับดิ” โชหันมาพยักเพยิดหน้าท่าทางกระตือรือร้นเกินจำเป็น

“พี่โมห้ามเล่นมือถือระหว่างงานนะ” ผมขมวดคิ้ว

เจ้าของใบหน้าใสจึงแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กแล้วหันมากระซิบ “ก็อย่าบอกพี่โมสิ” ว่าพลางกระพริบตาปริบๆ
ผมหัวเราะพลางส่ายหน้ากับความขี้เล่นไม่เลือกเวลาของเขา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับแอดคำขอเป็นเพื่อนล่าสุด ก็อย่างที่ว่าแหละ ตอนนี้พี่โมไม่อยู่ร้าน และถ้าไม่มีใครบอก พี่โมก็คงไม่รู้...

แต่อันที่จริงถึงพี่โมอยู่ เขาก็คงไม่โดนดุหรอก เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงาน ผมก็ยังไม่เห็นโชวางมือถือเลย ในขณะที่ผมแค่จะหยิบมือถือขึ้นมาเช็กข้อความ ก็ถูกมองเขม่นแล้ว (สองมาตรฐานชัดๆ -_-) แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เพราะได้ยินมาว่าพี่โมขอให้เขามาช่วยทำงานโดยไม่มีค่าจ้างตอบแทน ไม่เหมือนผม ที่ทำในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์ และต้องการเงิน
“โพสต์ละ” โชหันมายิ้มกวนๆ ให้อีกรอบ ผมจึงก้มมองมือถือตัวเอง กดแจ้งเตือนที่เพิ่งขึ้นดู และก็เห็นรูปที่โชแท็กมา
หน้าผมโคตรตลกจริงๆ ด้วย

แล้วอะไรคืออีกคนกลับยิ้มหวาน หน้าใส สภาพกายหยาบต่างกันสุดขั้วขนาดนี้

“ลบแล้วถ่ายใหม่ได้มะ” ผมหันไปถาม สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่ารับไม่ได้กับรูปนี้จริงๆ แต่โชกกลับขำแล้วยื่นมือถือตัวเองที่โชว์รูปเดียวกันมาให้ดู

“ลบได้ไง ดูดิ ยอดไลค์พุ่งพรวดแล้ว” ผมก้มดูจำนวนคนที่กดไลค์ ก็พบว่ามันขึ้นไปแตะยี่สิบไลค์ถายในไม่กี่นาที แถมเริ่มมีคอมเมนต์จากสาวๆ ที่เข้ามากรี๊ดกร๊าดเขาแล้วด้วย

อ่า... ลืมบอกไปเลย ว่าจริงๆ แล้วโชเองก็ฮอตใช่ย่อยนะครับ ด้วยใบหน้าน่ารักสไตล์หนุ่มตี๋ แถมอัธยาศัยดีเลิศขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่จะถูกสาวๆ รุมกรี๊ด ผมเพิ่งรู้ก่อนหน้านี้เอง ว่าตอนปีหนึ่งเขาเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะบริหารพ่วงด้วยเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยอีกต่างหาก แต่ว่าตอนนั้นผมไม่ได้สนใจโลกภายนอกเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้จัก

และด้วยชื่อเสียงระดับท็อปของโช การที่เขาแค่ถ่ายรูปลงโซเชียลเนตเวิร์กและบอกโลเคชั่นร้าน ก็อาจจะเป็นการโปรโมทที่ดีจริงๆ ก็ได้

“มาทายกันมั้ยว่าวันนี้ลูกค้าจะเพิ่มสักกี่คน” เขาเสนอไอเดีย ขณะที่กระโดดขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ข้างๆ ผม

“ยากไปมั้ย นับเป็นคนเนี่ย” ผมแย้งขำๆ

“เออว่ะ” เขายกมือเกาแก้มอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะเสนอไอเดียใหม่ “นับเป็นโต๊ะดีกว่า ตรีว่าคืนนี้ลูกค้าจะเพิ่มขึ้นสักกี่โต๊ะ” ว่าพลางเหลียวกลับไปมองโต๊ะว่างด้านหลัง

“อืม” ผมนิ่งคิด

ถ้านับรวมโต๊ะทั้งหมดในร้าน ก็มีอยู่สิบสี่โต๊ะ ตอนนี้มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียวเอง แถมนี่ก็ค่อนข้างดึกแล้ว ถึงจะใช้หน้าหล่อๆ โปรโมท ก็คงมีลูกค้าเพิ่มมาไม่มากนักหรอก

“สัก...ห้ามั้ง” ผมเดา 

โชหัวเราะ แล้วกระโดดกลับมายืนข้างผมอีกรอบแกล้งทำเป็นนับโต๊ะ แต่ท่าทางไม่ได้ใส่ใจเลย

“ผมว่าเต็มร้าน” ว่าเสียงดังพลางยิ้มทะเล้น “คนแพ้ต้องยอมทำตามที่คนชนะบอกทุกอย่างนะ”

“...” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนตกกะไดพลอยโจรให้พนันอะไรไรสาระไปแล้ว

แต่ก็เอาเถอะ ยังไงผมก็คิดว่าตัวเองคงไม่แพ้หรอก การที่ลูกค้าจะเต็มร้านภายในคืนนี้เนี่ย เป็นอะไรที่ยากกว่าเอาหินถมมหาสมุทรซะอีก

“อืม” ดังนั้นผมจึงตอบตกลงไปอย่างไม่คิดอะไร

“ผมไม่แพ้แน่ คอยดูเหอะ” โชยิ้มกว้างอย่างพอใจและหันไปหาอะไรทำฆ่าเวลา

ผมเองก็กำลังจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเคานเตอร์ที่เขาเพิ่งจะกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมืดเจ้าของร้าน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่เพิ่งจะเอาใส่กระเป๋า

ผมเลิกคิ้วอย่างงุนงงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครโทรมาหาเวลานี้ แต่เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า คิ้วของผมก็ขมวดแน่นโดยอัตโนมัติ

เชน...

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของผมทันที มีเรื่องที่ผมจำเป็นต้องคุยกับเขาเยอะจนผมต้องใช้เวลาเรียบเรียงความคิดอยู่ในสมองสักพักและเอาแต่จ้องสายเรียกเข้าที่ยังคงทำให้โทรศัพท์ของผมสั่นไม่หยุด

ตอนแรก... ผมคิดว่าตัวเองจะโกรธเขาจนต้องรีบกดรับสายเพื่อต่อว่าเขาที่หายหน้าไป ไหนจะเรื่องผู้หญิงคนนั้นอีก

แต่พอเอาเข้าจริง... ตอนนี้ผมกลับโล่งใจ ที่เห็นเบอร์โทรของเขาอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าเขายังคิดถึงผมบ้าง

เฮ้อ ผมนี่บ้าชะมัด

“ฮัลโหล” หลังจากที่จ้องเบอร์ของเขาอยู่นาน สุดท้ายผมก็กดรับก่อนที่สายจะตัดไป

แต่แทนที่จะได้ยินน้ำเสียงรู้สึกผิด หรือคำอธิบายที่อยากฟัง กลับกลายเป็นว่าเสียงที่ลอดผ่านปลายสายมา เป็นเสียงทุ้ม ที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดแบบที่นึกภาพออกทันทีว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหน

[ มันเป็นใคร ]

“...”

[ คนที่ถ่ายรูปด้วย มันเป็นใคร ] เชนย้ำคำถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงต่ำที่ฟังดูกดดันยิ่งกว่าเดิม

แต่... ขอโทษนะครับ คนที่หายหน้าไปก่อน มีสิทธิ์มาตั้งคำถามทำน้ำเสียงไม่พอใจแบบนี้ด้วยเหรอ?

ไม่ยุติธรรมเลย

ผมหันไปมองโช ส่งสัญญาณว่าจะขอออกไปโทรศัพท์หลังร้าน พอเห็นโชยิ้มรับผมก็ปลีกตัวออกมา

[ ได้ยินหรือเปล่า ] เสียงขุ่นถาม ขณะที่ผมกำลังเดินออกมา

“ได้ยิน” ผมตอบเสียงขุ่นไม่แพ้กัน
 
[ มันเป็นใคร ] เขาย้ำคำถามเดิมอีกรอบ

ทำไมเอาแต่ใจขนาดนี้ ผมโทรหาทั้งวันไม่ยอมรับ แต่พอตัวเองโทรมากลับเร่งเร้าจะเอาคำตอบ น่าหมั่นไส้ชะมัด
               
แต่ถึงจะหมั่นไส้แค่ไหน ผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจทรุดตัวนั่งลงที่ชานพักบันไดตรงประตูหลัง และตอบคำถามตามตรง
               
“เพื่อนร่วมงาน”
               
[ แล้ว? ]
               
“แล้วอะไร” ผมถามกลับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องซักไซ้
               
[ ถ่ายรูปทำไม ] เขาถามเสียงขุ่นกว่าเดิม ให้เดา คิ้วเข้มต้องกำลังขมวดแน่นเหมือนเคยแน่ๆ
               
“โชเขาอยากถ่ายรูปโปรโมทร้านเฉยๆ” ผมตอบเสียงหน่าย 
               
[ ชื่อโช? ] น้ำเสียงหาเรื่องสุดๆ

อันที่จริงผมไม่ใช่คนที่ต้องถูกซักไม่ใช่เหรอ แถมเขากำลังพาดพิงไปถึงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย แบบนี้มันงี่เง่าไปแล้ว

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละครับ แค่ทำงานด้วยกัน” ผมพูดเสียงดังขึ้น และสุภาพขึ้นเพื่อให้เขารู้ว่าผมเริ่มไม่พอใจแล้ว
               
เชนเงียบไป ผมรู้ว่าเขายังข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมตอบคำถามไปตามตรงด้วยความบริสุทธิ์ใจหมดแล้ว
คราวนี้คงถึงคราวผมถามกลับบ้าง
               
“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์” เสียงผมมันเต็มไปด้วยความกังวลมากกว่าความโกรธ
               
และผมก็ค้นพบว่าความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองไม่ใช่ความไม่พอใจที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงอื่นอย่างสนิทสนม แต่มันเป็นความรู้สึกกลัว... กลัวว่าจริงๆ แล้วเขาพร้อมที่จะทิ้งผม กลับไปคบผู้หญิงอีกครั้ง
               
[ ไม่ว่าง ] เขาเงียบไปนาน ก่อนจะตอบกลับมาห้วนๆ
               
แค่นั้นเอง
               
“แต่มีเวลาเช็กเฟส? แชทไลน์ก็มีเวลาอ่านนี่ ไม่คิดจะเจียดเวลาตอบหน่อยเหรอ?” ผมถามยาว รู้สึกกังวลมากจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ พยายามห้ามสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
               
ไม่ชอบเลยที่ไม่ได้คุยกันต่อหน้า กับปัญหาบ้าๆ แบบนี้…อย่างน้อยผมก็อยากเห็นสีหน้าเขา อยากรู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นจะให้คำตอบกับผมยังไง
               
เชนเงียบไปนาน นานมากจนผมคิดว่าเขาตัดสายผมไปแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ จากปลายสาย ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมา [ ขอโทษ แต่เหตุผลมัน... โคตรจะงี่เง่าเลย ]
               
“...”
               
[ โง่ชะมัดที่ยอมทำอะไรแบบนี้ ] เขายังคงพึมพำในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แปลกๆ
               
“เหตุผลอะไร” ผมถาม ไม่ว่าเหตุผลมันจะงี่เง่าแค่ไหนก็พร้อมจะฟัง เพราะมันคงไม่มีอะไรงี่เง่าไปกว่าความรู้สึกของผมตอนนี้แล้ว
               
“เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า” ในเมื่อเขาเงียบ ผมจึงถามต่อ
               
[ อืม ] เขาตอบเสียงเบา
               
เป็นคำตอบที่เล่นเอาผมชะงักไปเลย... หมายความว่ายังไงวะ
               
“เธอเป็นใคร” ผมถามคำถามที่ควรเอ่ยเป็นประโยคแรกที่เห็นเขาโทรมาด้วยซ้ำ
               
[ เจ้านาย ] เขาตอบ
               
สั้นมาก สั้นจนผมขมวดคิ้วถามต่อเสียงเข้ม
               
“ขอคำอธิบายด้วยครับ” เสียงผมนิ่งมาก แต่ตอนนี้ใจผมไม่ได้นิ่งเลย
               
มันกระวนกระวายไปหมด อึดอัดจนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว
               
[ เดี๋ยวนะ ] แต่แทนที่จะตอบ เขากลับเบรกผม ก่อนจะถามกลับ [ นี่หึงเหรอ? ] น้ำเสียงเขาดูประหลาดใจ
               
“...” ผมสิที่ควรจะประหลาดใจ
ทำไมเขาถึงคิดว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองหายหน้าไปตั้งหลายวัน แถมมีรูปยิ้มหน้าระรื่นกับผู้หญิงสวยๆ โผล่มาให้เห็นอีก
               
ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับ จะได้ไม่หึง ไม่รู้สึกอะไรเลย
               
[ ให้ตาย ใครกันแน่ที่ควรจะหึง ฉันยังไม่เคลียร์เลยนะว่าตกลงไอ้ตี๋นั่นมันเป็นใคร ทำไมดูสนิทสนม ] แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงวนกลับมาเรื่องนี้อีก กำลังจะเฉไฉโยนความผิดให้ผมหรือไง
               
“บอกแล้วไงว่าเพื่อนที่ทำงาน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ผมตอบ ยืนยันคำตอบหนักแน่น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เชื่อ
               
[ รู้ได้ไงว่าจะไม่หวั่นไหว หน้าตามันน่ารักขนาดนั้น ]
               
ผมขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ชักจะไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทำไมถึงพูดแบบนี้วะ

“น่ารักแล้วยังไง คิดว่าฉันชอบคนที่หน้าตาเหรอ” ผมขึ้นเสียง ไม่เคยโกรธเขาขนาดนี้มาก่อนเลย

คิดว่าตัวเองงี่เง่าแล้ว แต่เขากลับงี่เง่ากว่าอีก

“แล้วอีกอย่าง... คิดว่าชีวิตนี้ฉันจะรักผู้ชายได้สักกี่คนกัน” ผมขมวดคิ้ว พูดอย่างจริงจัง “คนที่ฉันรักตอนนี้ก็มีแค่
นายคนเดียว ไม่ได้คิดจะมองใคร” ผมไม่เคยมั่นใจขนาดนี้มาก่อนเลย สาบาน
               
[ … ]

“ก็รู้นี่ว่ากว่าจะรู้ใจตัวเอง มันยากเย็นแค่ไหน ฉันไม่ยอมปล่อยความรู้สึกนี้ไปง่ายๆ หรอก”
               
[ … ]
               
“ไม่ยอมปล่อยนายไปด้วย”

เพราะฉะนั้น... ไม่ว่าเขาจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง จะแก้ตัวยังไง ก็พร้อมจะเชื่อเขาทุกอย่าง ต่อให้เขาโกหกและผมต้องกลายเป็นคนโง่ก็ยอม
               
[ ... ] เชนเงียบไป มีเพียงเสียงหายใจที่ลอดผ่านสายโทรศัพท์มาเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าเขายังฟังผมอยู่
               
“ไม่เชื่อเหรอ” ผมขมวดคิ้ว ผมพูดความรู้สึกของตัวเองไปหมดเปลือก ถ้าเขาไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วจริงๆ
               
[ เปล่า ] เขาตอบเสียงเครียด ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมา [ กำลังอดทนอยู่ ]
               
“...”
               
[ พูดออกมาแบบนั้น ตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายไปเลยใช่มั้ย ]
               
“...” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดว่าเขากำลังพูดอะไร
               
[ เชี่ยเอ๊ย ไม่น่าโทรหาเลยว่ะ ] แล้วอยู่ๆ เชนก็สบถออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง น้ำเสียงของเขาดูเครียดมาก จนคนที่คิดว่ากำลังโกรธอย่างผม ถึงกับหายโกรธและเปลี่ยนเป็นเป็นห่วงเขาแทน

[ คิดถึงชิบหาย คิดถึงจนจะร้องไห้แล้ว ] เขาพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงอ่อนแรงจนผมรู้สึกว่าเขากำลังจะร้องไห้จริงๆ แม้ว่าจะจินตนาการภาพเขาร้องไห้ไม่ออกเลยสักนิดก็ตาม 
               
“พี่เชน” ผมเอ่ยชื่อเขา ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกปวดใจแปลกๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของเขา เพราะผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้น มันอยากเห็นหน้า อยากกอด อยากจูบ อยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียงหรือเห็นแค่ข้อความแบบที่เป็นทุกวันนี้ แต่เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ มันก็เลยเจ็บ
               
เผลอๆ อาจจะเจ็บกว่าตอนที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ
               
[ อย่าเรียกแบบนั้น ] เขาเอ่ยเสียงเบาและฟังดูอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก
               
“ขอโทษ” ไม่รู้เหมือนกันว่าขอโทษทำไม รู้แต่ว่ามันเป็นความผิดของผมที่เขาเป็นแบบนี้
               
[ ห้ามขอโทษ ] เขาดุ
               
“...”
               
[ อย่ามาอ้อน ตอนที่กอดไม่ได้ ]
               
“...”
               
[ แล้วถ้าจะหึง ก็มาหึงต่อหน้า ]
               
“...”
               
[ ขอโทษที่ต้องทำให้อึดอัด แต่ว่า ถ้าอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ก็มาดูเอาเอง ] เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ [ มาหาฉัน แล้วจะอธิบายให้ฟังทั้งหมดเลย ]
               
มันเป็นการบังคับกันด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าผม กลับไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
               
[ มาหาหน่อย ] และเมื่อไม่ได้ยินคำตอบทันที เขาก็เริ่มเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
               
“...”
                 
[ เถอะนะ ]
               
“...”
               
[ นะครับ ]
                 
ให้ตาย แล้วแบบนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไง




-- makok_num --
               
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-04-2016 21:05:03
บุกไปหาเลยตรี
เขาจะเจอกันแล้วใช่ไหม.  :mew1:
ไม่รู้ทำไมกลัวมาม่าหนักเรื่องครอบครัว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-04-2016 22:39:15
เหยย

ตรีไปเลย สู้ๆ ขอลางานกลับบ้าน :D ซัก 3 วัน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-04-2016 04:11:33
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-04-2016 05:16:10
..... ให้ไปหาหรอ :katai2-1:
ไปเลยตรี   เชียร์ :mew1:
รอต่อไป  :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 19-04-2016 16:19:25
สนุกจังเลยคะ ชอบๆ มาต่ออีกเยอะๆ นะคะ ^^
เป็นกำลังใจให้นักเขียนคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 19-04-2016 21:38:27
ไปหาเลย เอาให้เคลียร์ ไม่เคลียร์ก็เตะเชนไปเลย!
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 19-04-2016 21:42:24
พึ่งเข้ามาอ่าน โอ้ยพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง!!

สนุกมากกกกกกกกกก เชนหายไปซะขนาดนั้น นี่เป็นตรีนะโกธรยาว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 21-04-2016 11:23:28
รีบไปเลยตรี ไม่อยากให้เรื่องมันหน่วงแล้วววววว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 23-04-2016 07:40:40
33
แทนใจ
 
               
ถึงจะรับปากแล้วว่าจะไปก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไปได้ทันทีซะเมื่อไหร่
               
ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือขอบคุณโชดี ที่วิธีของเขามันได้ผล... เกินคาด
               
เมื่อคืนหลังจากที่ผมกลับมาจากคุยโทรศัพท์ อยู่ๆ ก็มีลูกค้าเพิ่มมามากกว่าห้าโต๊ะ และทยอยกันมาตลอดทั้งคืน จนในที่สุดลูกค้าก็เต็มร้าน... เต็มร้านจริงๆ ครับ เต็มทุกโต๊ะ จนผมถึงกับยืนช็อกไปเลย
               
มันเหลือเชื่อเกินไป จนผมแอบคิดว่าเขาต้องจ้างลูกค้าพวกนั้นมาแน่ๆ หรือไม่ก็แอบมีโปรโมชั่นแจกกาแฟฟรีโดยไม่บอกผม... แต่ใครมันจะไปลงทุนขนาดนั้นวะ
               
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าโชทำได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ พี่โมยิ้มจนหน้าบานที่เห็นลูกค้าเต็มร้าน และกำลังวางแผนจะจ้างพนักงานพาร์ทไทม์เพิ่ม
               
ข่าวดีคือ ผมจะได้ขอลางานไปหาเชนได้ เพราะถ้าพนักงานมีคนเดียวผมก็ไม่รู้จะขอจังหวะลายังไง
               
แต่ข่าวร้ายคือ ยังไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนพนักงานคนใหม่จะมา...

ผมต้องตาย ต้องอึดอัดใจกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจนตายก่อนแน่ๆ

กึก

“...!” ผมสะดุ้งสุดตัว เพราะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่อยู่ๆ กลับมีคนมายืนซ้อนหลังในระยะประชิด ก่อนจะเอื้อมมือไปเหนือหัวผม เพื่อหยิบแก้วที่อยู่บนชั้น

“คราวหลังให้เราหยิบให้ก็ได้นะ” ผมหันกลับไปมองโชที่ยืนถือแก้วยิ้มแป้นให้ผมอยู่ ถึงจะตัวเล็กกว่าผมไม่มาก แต่ยังไงซะผมก็สูงกว่า แถมอยู่ใกล้ แค่เขาสะกิดบอกให้ผมหยิบให้ ก็ไม่ต้องลำบากแล้ว

“ก็เห็นเหม่อๆ เลยไม่อยากกวน” เขายิ้ม แล้วยืดตัวขึ้น เอื้อมมือไปหยิบอะไรสักอย่างบนชั้นเหนือหัวผมอีกรอบ
ผมผงะถอยหลังอย่างตกใจ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ยืนหันหลังให้เขาแล้ว ทำให้พอเขายืดตัวขึ้น ใบหน้าของโชก็เลื่อนเข้ามาใกล้หน้าผมจนจมูกแทบจะแตะกัน

“เฮ้ยๆๆ” เสียงตะโกนด้วยความตกใจดังลั่นร้าน

“...??”

ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ แต่เป็นเสียงไอ้ซัน ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ที่สุดต่างหาก

มันร้องดังพร้อมกับลุกพรวดมาที่เคาน์เตอร์อย่างรวดเร็วจนคนทั้งร้านตกใจ ผมกับโชเองก็ตกใจ คนตัวเล็กกว่าถอยห่างออกจากผม หันไปมองไอ้ซันด้วยสีหน้าสงสัยปนไม่พอใจนิดๆ

สงสัยใช่มั้ยว่าทำไมไอ้ซันถึงอยู่ที่นี่...

เออ ผมก็สงสัยเหมือนกัน

อยู่ๆ เมื่อหัวค่ำมันก็โทรมาหาผม ถามว่าอยู่ไหน และพอผมบอกว่าทำงานอยู่ที่ร้าน รู้ตัวอีกทีมันก็มานั่งหน้าสลอนอยู่นี่เฉยเลย

มันบอกว่ามาอ่านหนังสือ แต่ใครจะไปเชื่อ โคตรจะผิดวิสัยเลย ถึงจะไม่ได้ติดต่อกันนาน แต่ผมก็รู้ดีครับว่าเพื่อนผมไม่ใช่คนขยันขนาดนั้น มันจะอ่านหนังสือเฉพาะตอนใกล้สอบเท่านั้นแหละ แถมเท่าที่สังเกต ถึงมันจะเอาชีทมากองเต็มโต๊ะ แต่ผมก็ไม่เห็นมันจะแตะสักนิด เอาแต่เล่นโทรศัพท์มาเป็นชั่วโมงๆ แล้ว

“มึงอ่ะ ชื่ออะไรนะ” มันชี้หน้าโช แถมถือวิสาสะเรียกเขาด้วยสรรพนามแสดงความสนิทสนมเกินเหตุ เล่นเอาโชที่ดูจะไม่สบอารมณ์กับมันอยู่แล้ว ถึงกับขมวดคิ้ว (ผมเองก็เพิ่งเห็นนี่แหละ ว่าโชเองก็ชักสีหน้ากับเขาเป็นเหมือนกัน)

“โช” เขาตอบสั้นๆ เดินไปหน้าเคาน์เตอร์เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไร

“เอ่อ...กาแฟมันขม! ขอเติมน้ำตาลหน่อย” มันนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะตอบอึกอัก

ผมขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้มันก็มาขอให้เติมไปรอบนึงแล้วไม่ใช่หรือไง ป่านนี้กาแฟไม่กลายเป็นน้ำเชื่อมไปแล้วเรอะ
               
“ครับ” โชรับคำสั้นๆ ก่อนที่ทั้งสองคนจะยืนมองหน้ากันนิ่งๆ

นิ่งมากจนผมงงว่ามันมองหน้ากันทำไม ถ้าเป็นปลากัดก็คงจะท้องไปแล้ว โชคดีที่โชเอ่ยถามขึ้นมา

“ไหนล่ะครับกาแฟ” เขาชักสีหน้าอีกรอบส่วนไอ้ซันก็ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ แล้วเดินกลับไปหยิบแก้วกาแฟที่โต๊ะมาให้โชเติมน้ำตาลให้ แต่ก่อนที่มันจะเดินกลับไป ไอ้เพื่อนตัวดีก็หันมากระดิกนิ้วเรียกผม

“ไอ้ตรี มึงมานี่ดิ๊”

ผมเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้ถาม มันก็เดินนำกลับไปที่โต๊ะตัวเองเฉยเลย ผมหันไปมองโชเป็นเชิงขอโทษที่ต้องให้เขาเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียวอีกแล้ว ก่อนจะวางผ้าขี้ริ้วในมือลง แล้วเดินออกไปหาไอ้ซัน

“นั่ง” มันสั่ง ถีบเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามให้เลื่อนออก

ผมยอมนั่งลง กอดอกรอให้มันพูดธุระมา ทำตัววุ่นวายขนาดนี้ ถ้าไม่มีเหตุผลล่ะก็ผมจะด่าให้

“มึงมีแฟนแล้วนะ”

“...” อะ... อะไรวะ??

“แฟนมึงชื่อเชน เป็นพี่รหัสกู หล่อมาก... หล่อสัสๆ หล่อกว่าไอ้ตี๋นั่นแน่ๆ กูยืนยัน”

“ฮะ??”

“ถึงตอนนี้พี่เขาจะไม่อยู่ แต่มึงต้องจำไว้ ว่าพี่เชนหล่อมาก”

“เดี๋ยว” ผมยกมือห้าม ก่อนที่มันจะพูดประโยคแปลกๆ ออกมาอีก “พูดเชี่ยไรมึงเนี่ย”

อยู่ๆ ก็มาชมเชนให้ผมฟังซ้ำไปซ้ำมา โคตรจะประหลาดเลย

“กูกำลังสะกดจิตมึง” มันพูดหน้าตาย จนผมต้องขมวดคิ้ว งงหนักกว่าเดิม

“สะกดจิตอะไร”

“ก็...” ไอ้ซันทำท่าจะพูอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบือนหน้าหนีกลบเกลื่อน “เอาเหอะน่ะ เอาเป็นว่ามึงท่องไว้ในใจละกันว่าพี่กูหล่อกว่าไอ้ตี๋นั่น” คราวนี้มันพูดเสียงดังขึ้น แถมชี้ไปที่โชอย่างเสียมารยาทอีก

เขาเห็นนะว่ามึงนินทาเขา ช่วยรู้ตัวหน่อยเหอะเพื่อน

“ไปได้ละ” พอทำให้ผมงงเสร็จ แม่งก็ไล่ผมเฉยเลย

“...” ผมยังไม่ยอมไป ยังคงนั่งกอดอกมองเพื่อนตัวดีอย่างสงสัยในท่าทางแปลกๆ และคำพูดประหลาดๆ ของมัน
แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ และเพราะมันวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะฝั่งนี้ ผมจึงทันเห็นว่าคนที่เพิ่งแชทมาเป็นใคร

“เฮ้ย!” ไอ้เพื่อนตัวดีร้องเสียงหลงทันทีที่ผมแย่งโทรศัพท์มันมากดดูข้อความที่เพิ่งส่งมาก่อนที่มันจะเอื้อมมาหยิบเพียงเสี้ยววินาที

ผมเหลือบตามองไอ้เพื่อนตัวดีที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะเปิดอ่านข้อความอย่างถือวิสาสะ ผมคงไม่ทำแบบนี้ ถ้าไม่เห็นตำตา ว่าคนที่ส่งข้อความมาคือเชน
 

‘ถ้ามึงกลับกูจะสาป’
 

นี่คือข้อความที่เขาส่งมา

สาปอะไรวะ?

ด้วยความสงสัย ผมจึงเลื่อนอ่านข้อความก่อนหน้าโดยไม่สนใจท่าทางเลิกลั่กของคนตรงหน้า จนสุดท้ายมันก็ยักไหล่ ยอมให้ผมอ่านเพราะห้ามไม่ได้

ผมเลื่อนขึ้นไป จนเจอข้อความแรกของวัน ซึ่งมันเป็นอะไรที่... บางทีผมอาจจะไม่ควรอ่าน
 

‘ไอ้ซัน’

‘ครับ???’

‘ไปเฝ้าเพื่อนมึงที’

‘เพื่อนไหนพี่’

‘แฟนกู’

‘ฮะ?? เกิดอะไรขึ้น ไอ้ตรีมันเป็นไรพี่’

‘มีหมามากวน’

‘งง หมาอะไรอ่ะ??’

‘หมาหน้าตี๋ที่ร้านกาแฟ’
 

เชนส่งข้อความนั่นมาพร้อมกับแนบรูปของผมกับโชที่เขาถ่ายเมื่อวาน
 

‘อ๋ออออออ ผมเข้าใจละ’

‘…’

‘นี่พี่หวงแม่งขนาดนี้เลยเหรอ เป็นเอามากนะ 55555’

‘…’

‘ขอโทษครับ ._.’

‘ไปเฝ้า’

‘ครับ’
 

ผมอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เดาสีหน้าออกเลยว่าถ้าพูดกันตัวต่อตัว เขาจะทำหน้าตาน่ากลัวแค่ไหน ผมมองหน้าไอ้ซันที่ส่งเสียงกระแอมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนอ่านข้อความต่อ
 

‘อยู่ร้านกาแฟแล้วพี่ ไอ้หมาตี๋นี่น่ารักกว่าในรูปสัสๆ ผมยังหวั่นไหวเลย ไอ้เอ๋อตรีจะเหลือเหรอ 5555’

‘มึงอยากตาย?’

‘ขอโทษครับ’

‘ถ้ามันทำอะไรแปลกๆ รายงานกูด้วย’

‘คร้าบบบ ว่าแต่ ทำไมพี่ไม่คุยกับไอ้ตรีมันเองอ่ะ’

‘กูมีเหตุผล’

‘เหตุผลอะไร?’
 

เออนั่นสิ... เหตุผลอะไร ถึงทำให้เขาแชทกับไอ้ซันเป็นวรรคเป็นเวร แต่ปล่อยให้กล่องแชทผมเงียบสนิทแบบนี้
 

‘เสือก’
 

แต่ข้อความต่อมาก็ทำเอาผมหน้าชาเหมือนโดนด่าเอง

เอาเถอะ อีกไม่นานผมก็คงได้เจอหน้าเขา และถามความจริงจากเขา ด้วยตัวเอง
 

‘โหยพี่ ถามแค่นี้ไม่เห็นต้องด่าเลย นี่น้องนะครับ’

‘…’

‘ไม่ถามเหตุผลก็ได้ ขอรางวัลดีกว่า’

‘รางวัลอะไร’

‘ยังคิดไม่ออก แต่ผมไม่เฝ้าให้ฟรีๆ แน่ J’

‘เออ อยากได้อะไรก็บอก’

‘อยากได้ไอ้ตรีได้ป่ะ’

‘…’

‘มองไปมองมามันก็น่ารักดี’

‘ได้’

‘...’

‘แต่มึงเตรียมเขียนจดหมายสั่งเสียพ่อแม่ไว้ได้เลย’

‘ขอโทษครับ’
 

หลังจากข้อความนี้ไอ้ซันก็แชทไปหาเขาอีกทีเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง
 

‘พี่เชนคร้าบบบบบ น้องซันเบื่อแล้วคร้าบบบบบ’
 

แต่เชนก็ไม่ตอบอะไร จนไอ้ซันต้องแชทไปอีกรอบ
 

‘ผมกลับก่อนได้มั้ยพี่ ไอ้ตรีมันไม่เสียตัววันนี้หรอก’
 
               
ก่อนที่บทสนทนาจะทิ้งห่างไปซักพัก ผมเดาว่าคงเป็นตอนที่ไอ้ซันมันโหวกเหวกขึ้นมา แล้ววิ่งพรวดพราดไปที่เคาน์เตอร์เมื่อกี้ จากนั้นก็เป็นข้อความของเชนที่ส่งมาล่าสุด
 
               
‘ถ้ามึงกลับกูจะสาป’
 

โอเค ผมเข้าใจแล้วว่าเขาจะสาปอะไรไอ้ซัน

“หน้าบานเชียวนะมึง” ไอ้ซันทักขึ้นมา เมื่อผมยิ้มกว้างอย่างเก็บอาการไม่อยู่ทันทีที่อ่านข้อความทั้งหมดแล้ว “มึงไปทำอะไรให้วะ พี่เชนถึงคลั่งมึงสัสๆ ขนาดนี้” มันถาม สีหน้าข้องใจสุดๆ

ผมไม่ตอบ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบยังไง

“ปกติคุยกับกูนับคำได้ พอเป็นเรื่องมึงนี่คุยเป็นวรรคเป็นเวร กูควรดีใจมะ” มันว่าพลางยกกาแฟขึ้นดื่มแต่ก็พ่นกาแฟกลับลงแก้วอย่างน่ารังเกียจทันทีที่กระเดือกเข้าไป “เชี่ย หวานสัส”

ก็ใครใช้ให้มึงเดินไปขอเติมน้ำตาลตั้งสองรอบล่ะครับ -_-

“ชาตินี้กูจะได้แดกกาแฟดีๆ กับเขาบ้างมั้ยวะ” มันบ่น เหลือบตามองโชที่ยังมองมาทางเราด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนเคย

“เอาจริงๆ กูว่าที่พี่เชนกังวลก็น่าจะไม่ผิด” ไอ้ซันหันกลับมายื่นหน้ากระซิบกับผม “ไอ้ตี๋นั่นดูจะสนใจมึงเป็นพิเศษจริงๆ ว่ะ”

“มึงบ้าเหรอ” ผมมองเอือมๆ ไอ้เวรนี่ติดเชื้อพี่รหัสมาหรือไง

โชน่ะสาวเยอะจะตาย ผมไม่เห็นวี่แววเลยว่าเขาจะมาชอบคนอย่างผมได้ยังไง

“กูไม่ได้บ้า กูนั่งมองมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ว่ามันเอาแต่แอบมองมึงตลอดเวลาแถมเมื่อกี้แม่งยังตั้งใจแต๊ะอั๋งมึงอีก”

“...” ผมชะงัก พอนึกถึงสิ่งที่โชทำ มันก็แปลกๆ จริงๆ นั่นแหละ และนั่นไม่ใช่ครั้งแรกด้วย

“เนียนสัส กูนี่ขนลุก”

“เวอร์แล้วมึงอ่ะ” ผมอดตำหนิไม่ได้ เมื่อเห็นไอ้ซันทำท่าโอเวอร์แอคติ้งซะจนน่าหมั่นไส้

“หาว่ากูเวอร์ เดี๋ยวคอยดูเหอะ ถ้าเป็นอย่างที่กูพูดจริงๆ จะฟ้องพี่เชนให้เล่นทั้งมึงทั้งชู้เลย”

“ชู้พ่อง” ผมยกชีทขึ้นมาตีหัวมัน จนไอ้เพื่อนตัวดียอมถอยหลังกลับไป มันเหลือบมองโชอีกครั้ง พอเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะสงสัยว่าพวกเราคุยอะไรกัน มันก็ยกคิ้วยิ้มมุมปากทำหน้าเหนือใส่อย่างกวนตีน

ผมว่าไอ้เวรนี่ชักจะติดพฤติกรรมไม่น่าคบของเชนมานิดๆ แล้วจริงๆ นะ

“กูไปทำงานต่อละ” ผมว่ากำลังจะลุกขึ้น แต่เสียงแจ้งเตือนไลน์จากมือถือไอ้ซันก็ทำเอาต้องหยุดชะงัก

คราวนี้ไอ้เพื่อนตัวดีเร็วกว่า มันหยิบมือถือตัวเองไปอ่านข้อความ ก่อนจะเบะปากทำหน้าแปลกๆ แล้วเงยหน้ามองผม

“ปกติพี่เชนเป็นคนตลกเหรอวะ กูไม่เห็นรู้” ว่าพลางยื่นโทรศัพท์มาให้ผมโดยไม่ต้องขอ

ผมอ่านข้อความที่เขาส่งมา ก่อนจะหลุดหัวเราะอีกรอบ

หมอนั่น... พิมพ์บ้าอะไรมาเนี่ย
 
‘เฝ้าไป’

‘...’

‘เฝ้าอย่างเดียวนะ’

‘...’

‘ห้ามกิน’
 

ผมไม่ใช่ขนมนะครับ ใครมันจะมาแอบกิน

“กูตอบได้มะ” ผมพยายามกลั้นขำ เงยหน้าขึ้นถามไอ้ซัน

“เออ... จริงๆ พวกมึงควรจะคุยกันตั้งนานแล้วป่ะ ลำบากกูทำไม” มันพยักหน้าอย่างขอไปที พลางยกน้ำเปล่าขึ้นมากินแทนกาแฟที่คงจะกลายเป็นน้ำเชื่อมไปแล้ว

พอได้รับอนุญาตผมก็กดเครื่องหมายบวกด้านหน้ากล่องพิมพ์ข้อความ จนมันมีตัวเลือกขึ้นมา ผมกดไปที่กล้องถ่ายรูป เปลี่ยนเป็นกล้องหน้า และเซลฟี่ส่งไป พร้อมกับข้อความ
 

‘ครับ จะไม่ให้ใครกินครับ’
 

“อ่ะ” ส่งเสร็จ ผมก็ยื่นโทรศัพท์กลับไปให้เจ้าของ รู้เลยว่าหน้าตัวเองคงกำลังแดงมากๆ จากการพยายามกลั้นยิ้ม
               
“หวานกว่ากาแฟกูก็มึงกับพี่เชนนี่แหละ” ไอ้ซันเบะปากทำหน้าเอือมปนหมั่นไส้ แล้วรับโทรศัพท์กลับไปโยนลงบนโต๊ะราวกับไม่อยากจะแตะ
               
ผมหัวเราะ ยักคิ้วให้อย่างจงใจกวนประสาท ก่อนจะเดินหน้าบานกลับมายืนหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง
               
“คุยอะไรกัน” และทันทีที่ผมกลับมา โชก็ยิงคำถามด้วยสีหน้าสงสัยทันที
               
“...” ผมหุบยิ้ม มองหน้าเขานิ่ง แล้วหันไปมองไอ้ซันที่มองมาด้วยความสอดรู้อย่างเก็บอาการไม่อยู่
               
 คำพูดของไอ้ซันเมื่อครู่แล่นเข้ามาในหัว ถึงผมจะไม่ค่อยรู้ตัว แต่ว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ก็หมายความว่าผมกำลังทำให้เชนไม่สบายใจ... และอาจจะทำร้ายคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัวเพราะความไม่ชัดเจน
               
อาจจะฟังดูหลงตัวเองนะ แต่บอกตามตรงว่าผมไม่อยากให้เป็นเหมือนเรื่องทองกวาวอีก
               
ดังนั้นผมควรจะทำอะไรสักอย่าง

“โช” ผมเรียกเขา มองหน้าอย่างจริงจังพลางหยิบจี้รูปฟันเฟืองที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาให้เขาดู “เห็นนี่มั้ย”

เขาไม่ตอบ แต่มองมาที่คอผม ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้

“มันคือเกียร์...” ผมพูดต่อ “เกียร์ของพี่เชน”

“...”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนจะฉายแววตกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไร

ผมรู้ว่าประโยคต่อไปที่กำลังจะพูดมันคงจะฟังดูประหลาดมากๆ สำหรับเขา และถ้าโชไม่ได้ชอบผมอย่างที่ไอ้ซันว่า ผมก็คงจะหน้าแตก

แต่ใครจะไปสน สิ่งที่ผมทำ มันก็แค่การป้องกันตัว

“แล้วก็...” ผมปล่อยเกียร์ในมือ และเปลี่ยนเป็นจิ้มนิ้วมาที่หน้าอกข้างซ้ายที่มีก้อนเนื้อกำลังเต้นอยู่ พร้อมกับเงยหน้าสบตาเขาด้วยสายตาจริงใจ

“...”

“นี่ก็ของพี่เชน”

สุดท้ายจะได้ไม่เสียใจ และไม่มีใครเสียใจอีก




-----------------------------------
แอบหายไปปั่นโปรเจ็กต์มาคะ ฮือออออ
มีความพีคสูงมาก คิดว่าจะส่งไม่ทันซะแล้ว   :katai1:

ฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
หลังจากนี้มาอัพรัวๆ แน่ค่ะ 5555

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 32 [ 18/04/2559 ] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ben10 ที่ 23-04-2016 07:42:35
ตามอ่านจนทันนนนนนนน ชอบอ่ะ ชอบมากกกกกกกกกก :katai2-1:
ตรีไปหาพี่เชนเลยยยยยย รอให้เค้าได้กัน อุ้ยย ได้เข้าใจกัน แหะๆ :impress2:
ทั้งโช ทั้งผญ.นั่น ตัวกระตุ้นชั้นดี อิอิ
หวังว่าจะไม่มีมาม่าาาาาาาาาาาาามาขัดขวางความหวานเชนตรีอีกนะ o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-04-2016 08:21:38
มีสมุนตามเฝ้าด้วย อิอิ ซันเอาโชไปกินที
ขอบคุณค่ะ รอเขาได้เจอกันนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 23-04-2016 08:59:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 23-04-2016 13:14:32
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 23-04-2016 14:29:29
สงสัย ซันได้กับ โช 555555555555555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ben10 ที่ 23-04-2016 17:14:45
เอ๊ะๆ ได้กลิ่นนคู่ใหม่ ซันโชรึปล่าว55555
พี่เชนโครตตลกกก นี่สั่งมาเฝ้าเลยวุ้ยย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 23-04-2016 17:16:08
โช หนูมาทีหลัง อย่าทำตัวไร้คุณค่าแบบโง่ๆ นะหนู
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 23-04-2016 17:46:36
ชัดเจนมาก กดไลค์
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aphanite ที่ 23-04-2016 23:52:14
น่ารักมากกกกกกกกกกกกก ฟินมากกกกกกกกกกกกกก  :-[ :o8:
มาต่อไวๆเน้อออ เค้ารออยู่ ^^
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-04-2016 00:17:23
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทัน
ตรีชัดเจนแล้วเคลียร์ให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋
เหลือพี่เชนเคลียร์เรื่องสาวว่าจะเปฺ็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-04-2016 02:56:40
ก็น่าหวงอยู่นะ แสนดีขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 33 [ 23/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 24-04-2016 08:54:08
ถ้าพี่เชนได้ยินที่ตรีพูดกะโชละก็
ขี้คร้านจะหน้าบานเท่ากระด้งนะคะ
  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 24-04-2016 09:49:17
34
การต้อนรับ
 
               
ในที่สุด พี่โมก็หาพนักงานพาร์ทไทม์คนใหม่มาเพิ่มจนได้
               
ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน...
               
“มึงจะมองอะไรนักหนา รีบๆ สอนดิ”
               
ครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ซัน เพื่อนตัวดีของผมเอง
               
หลังจากสองสามวันก่อนมันมานั่งเฝ้าผมทั้งคืนตามคำสั่งเชน ไล่ก็ไม่ยอมไป บอกไม่เป็นไรก็ไม่ยอมเชื่อ มานั่งทำหน้าเหม็นเบื่อแถมหลับกรนเสียงดังรบกวนลูกค้าอีก สุดท้ายผมเลยประชดมันไปว่า

‘ถ้ามึงจะมาทำตัวไร้ประโยชน์ ก็มาช่วยกูทำงานดีกว่า’
               
แต่ใครจะไปคิด ว่ามันจะบ้าจี้ ทำตามคำประชดของผมจริงๆ -_-
               
เห็นอย่างนี้ ไอ้ซันมันลูกคุณหนูนะครับ งานหนักไม่เอางานเบาไม่สู้ ตอนอยู่โรงเรียนเก่าก็อู้ไม่ยอมช่วยงานห้องตลอด แล้วอยู่ๆ จะมาเป็นพนักงานร้านกาแฟกะดึกเนี่ยนะ?
               
เชนแม่ง ต้องซื้อบ้านซื้อรถเป็นรางวัลให้มันแหงๆ ถึงได้ยอมทำขนาดนี้
               
แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องขอบใจมัน เพราะการที่มีไอ้ซันเข้ามา ทำให้ในที่สุดผมเลยขอลางานได้ในวันมะรืนนี้แล้ว
               
“ครับ” อ้อ แล้วที่ไอ้ซันโวยวายใส่เมื่อกี้ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นโชที่ต้องรับหน้าที่สอนงานให้มันต่างหาก ตอนแรกพี่โมให้ผมเป็นคนทำหน้าที่นั้นนะ แต่พอถึงเวลาเข้ากะไอ้เพื่อนตัวดีกลับไล่ผมออกมาห่างๆ แล้วให้โชเป็นคนสอนงานแทนซะงั้น
               
อันที่จริงผมสังเกตมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่า ดูเหมือนไอ้ซันกับโชจะไม่ค่อยชอบหน้ากัน สาเหตุก็คงเป็นเพราะไอ้ซันมันเอาแต่จับตามองโชทุกฝีเก้าตามคำสั่งของเชนนั่นแหละ เล่นจ้องจริงจังขนาดนั้นเป็นผมก็คงจะหงุดหงิดเหมือนกัน แถมทุกครั้งที่โชเข้ามาใกล้ผม มันมักจะทำตัวกระตายตื่นตูมพุ่งมาที่เคาน์เตอร์เพื่อเรียกใช้เขานู่นนี่ตลอด จนพักหลังๆ โชเหมือนจะทิ้งระยะห่างจากผมมากกว่าปกติ อาจเพราะรำคาญไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ได้ แล้วพอเห็นโชหลุดฟอร์มหนุ่มน้อยน่ารักชักสีหน้าใส่มันบ่อยๆ ไอ้ดซันก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจ กวนตีนเขาหนักขึ้นไปอีก ทั้งเรียกใช้งานเขาบ่อยๆ แถมยังใช้คำสรรพนามเรียกโชอย่างสนิทสนมเกินจำเป็นอีก
               
“มึงพูดกับโชดีๆ หน่อยดิวะ” ผมปราม เพราะตั้งแต่คุยกัน ผมก็เห็นโชพูดสุภาพกับมันตลอด มีแต่เพื่อนผมนี่แหละ ที่พูดหยาบเอาๆ แถมเล่นหัวเหมือนรู้จักกันมาสิบปี
               
สารภาพตามตรงว่าตั้งแต่กลับมาสนิทใจเหมือนเดิมผมก็เพิ่งสังเกตนี่แหละว่าไอ้ซันมันทำตัวหยาบขึ้น ตอนมัธยมถึงจะพูดไม่เพราะกับเพื่อนเป็นปกติ แต่พฤติกรรมก็ไม่ถึงกับดิบขนาดนี้นะ
สงสัยจะติดพี่รหัสมันมา
               
“นี่กูพูดไม่ดีเหรอ?” คนถูกตำหนิยังมีหน้าหันมาเลิกคิ้วถามผมอีก
               
“เออ มึงไม่ได้สนิทกับเขานะ มาขึ้นกูมึงเฉย” ผมตอบพลางไปมองโชก็พบว่าเขากำลังมองมาก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ

“ไม่เป็นไร...” แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกคนที่ยืนอยู่ตรงกลางเอียงหน้าเข้ามาขัดจังหวะด้วยท่าทางกวนประสาท
               
 นอกจากจะถ่อยติดกันมาแล้ว ยังเอานิสัยกวนตีนหน้าตายมาด้วยสินะ -_-
               
“โอเค กูจะพูดเพราะๆ" มันแกล้งฉีกยิ้มหน้าตายใส่ผม ก่อนจะหันไปพูดสุภาพกับโชอย่างประชดประชัน "ตี๋ครับ สอนชงลาเต้อร่อยๆ หน่อยครับ :)” ว่าพลางถือวิสาสะจับไหล่คนตัวเล็กหมุนเข้าหาเครื่องชงกาแฟ
               
มันจะรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองเสียมารยาทมากที่ไปเรียกเขาแบบนั้น ถึงตาจะตี่จนเหมือนหลับตาชงกาแฟ แต่เขาก็ชื่อโชนะโว้ยไม่ได้ชื่อตี๋อย่างที่แม่งเรียก
               
กวนตีนขนาดนี้เดี๋ยวก็โดนเขาเอาน้ำร้อนราดหัวหรอก
               
ผมส่ายหน้าเอือมๆ กับพฤติกรรมเกินรับของเพื่อนสนิท โดนผมว่าแม่งก็ไม่ฟังหรอก รอให้โชทนไม่ไหวแล้วด่ามันเองดีกว่า แต่น่าแปลกที่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ยินเสียงด่าจากโช พอหันกลับไปอีกทีก็พบว่าไอ้ซันไม่ได้ทำตัววุ่นวายอย่างที่คิด มันเพียงแค่ยืนมองโชที่กำลังเทฟองนมลงในกาแฟทำลาเต้อาร์ตอย่างชำนาญด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจผิดวิสัย

ผมรู้ว่ามันชอบกินลาเต้นะ แต่ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นกับการทำลาเต้อาร์ตขนาดนี้... โคตรจะเด็กเลย

“กินได้ยัง” ไอ้ซันชะโงกหน้าข้ามไหล่คนที่ตัวเล็กกว่ามองกาแฟแก้วเล็กที่เขาเพิ่งวางงบนเคาน์เตอร์ตาลุกวาว

“อันนี้ของลูกค้า” โชหันกลับไปตอบหน้าเอือมๆ ไอ้ซันเลยหน้าเหวอ หดคอกลับมาเกาท้ายทอยเก้อๆ

“เออว่ะ ลืม”

ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำกับความลืมตัวของมัน เคยเป็นแต่ลูกค้านั่งรอกาแฟมาเสิร์ฟ แต่คราวนี้ต้องมายืนหลังเคาน์เตอร์คอยให้บริการซะเองคงจะยังไม่ชิน จะรอดมั้ยวะ

“เดี๋ยวเราเอาไปเสิร์ฟเอง” ผมว่า เดินเข้าไปหาโชที่วางแก้วกาแฟลงถาดเรียบร้อย แล้วหยิบถาดมา
อยากจะให้ไอ้ซันเป็นคนถือไปเสิร์ฟอยู่หรอก มันจะได้ฝึก แต่อย่าเพิ่งดีกว่า เดี๋ยวหกราดหัวลูกค้าขึ้นมา มันไม่ตลกเลยนะครับลาเต้ร้อนน่ะ

ผมเอากาแฟมาเสิร์ฟให้โต๊ะผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำ แล้วเดินกลับมาหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง ก่อนจะชะงักไป เมื่อเห็นโชกำลังก้มหน้า กุมตาข้างหนึ่งของตัวเองไว้พร้อมกับทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่าง

“เฮ้ย เป็นไร” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงตัว เสียงไอ้ซันที่อยู่ใกล้กว่าก็ดังขึ้นมา พร้อมกับที่มันเดินไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าโช

“คอนแท็กเลนส์หลุด” เขาตอบ ท่าทางกระวนกระวายพร้อมกับควานหาที่พื้นรอบๆ ตัว

“ฮะ? มึงใส่คอนแท็กด้วย?” ไอ้ซันเบิกตากว้างทำหน้าสงสัย

ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะไม่รู้มาก่อนเลยว่าโชใส่คอนแท็กเลนส์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั่นดูเป็นธรรมชาติจะตาย

“มาๆ เดี๋ยวกูช่วยหา” ถึงโชจะไม่ยอมตอบคำถาม แต่ไอ้ซันก็กระวีกระวาดช่วยเขามองหา ผมกำลังจะเข้าไปช่วยบ้าง แต่ก็มีลูกค้าเข้ามาเสียก่อน เลยต้องอยู่รับหน้า ระหว่างรับออร์เดอร์ผมก็หันไปมองสองคนนั้นที่ก้มหน้าก้มตาหาคอนแท็กเลนส์ของโชกันอย่างวุ่นวาย

“หาไม่เจอว่ะ มึงมีสำรองมั้ย” ไอ้ซันเอ่ยขึ้นมาอย่างยอมแพ้ ผมรับออร์เดอร์เสร็จก็เดินเข้าไปหาเพื่อดูว่าเป็นยังไงกันบ้าง

“ไม่มี ไม่เป็นไรหรอก...”

โครม!

“โอ๊ย!” ยังไม่ทันจะพูดจบดี ตอนที่โชลุกขึ้นและกำลังจะหมุนตัวไปที่เคาน์เตอร์ กลับกะระยะพลาดจนเดินชนชั้นที่อยู่ใกล้ๆ เต็มๆ

เขาร้องและถอยหลังออกมาท่าทางมึนๆ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาข้างซ้ายของตัวเอง

“ไม่เป็นไรเชี่ยไรเนี่ย อย่าขยี้ดิ” ไอ้ซันดุ พลางเอื้อมมือไปดึงมือเขาออกจากตา

“โชสายตาสั้นมากเหรอ” ผมถาม ดูจากท่าทางแล้วเขาคงจะกำลังมองอะไรไม่เห็น

“ก็...นิดหน่อย” เขาขมวดคิ้วตอบด้วยท่าทางลำบากใจแปลกๆ

“งั้นเอาไงดี มองไม่เห็นก็คงทำงานไม่สะดวก ไปพักก่อนมั้ย” ผมบอก ยังไงซะก็มีไอ้ซันมาช่วยแล้ว ถึงมันจะยังทำอะไรได้ไม่มากก็เหอะ แต่ผมก็คิดว่าน่าจะช่วยกันรับมือลูกค้าไหว

โชเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ไม่เป็นไร ผมมีแว่นอยู่ในกระเป๋า” เขาบอกหน้านิ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าที่ผมเดาไม่ออก ก่อนทำท่าจะเดินไปยังห้องแต่งตัวหลังร้าน แต่ก็ดันกะระยะพลาดเดินชนเคาน์เตอร์อีกโครมใหญ่

“จะรอดมั้ยวะ” ไอ้ซันบ่นพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อโชให้ถอยออกมาจากเคาน์เตอร์ที่มีแก้ววางอยู่ก่อนที่เขาจะกวาดมือไปชนจนมีอะไรตกหล่น แล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนมือไปจับแขนเขาแทน “มานี่” ว่าจบมันก็ลากแขนคนที่ตัวเล็กกว่าเดินนำไปที่หลังร้านอย่างรวดเร็ว

ผมมองตามอย่างมึนๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หันกลับมาประจำหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง ทำเครื่องดื่มที่ลูกค้าเพิ่งสั่งด้วยสูตรของร้านที่ได้ร่ำเรียนกับพี่โมและอาศัยครูพักลักจำโชมาก่อนหน้านี้ไปเสิร์ฟให้ลูกค้า พอกลับมา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โชและไอ้ซันเดินกลับมาจากหลังร้านพอดี ผมเลิกคิ้วมองโชที่สวมแว่นสีดำหนาเตอะแปลกตาด้วยความประหลาดใจ

ทำไม... ผมถึงรู้สึกคุ้นตากับลุคนี้ของเขาขึ้นมา

โชสบตาผมแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินผ่านไป ท่าทางดูเหมือนกำลังกังวลอะไรสักอย่าง ผมคิดว่าเขาอาจจะรูสึกไม่มั่นใจที่ต้องใส่แว่นก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นหนุ่มหล่อสดใสสาวตรึมนี่นา แต่พอมีแว่นกรอบหนาเตอะแบบนี้ กลับดูเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน
 
“เนิร์ดสัส” ไอ้ซันยืนกอดอกมองโชแล้วยิ้มมุมปากมองคนตัวเล็กกว่าอย่างเย้ยหยัน “ยิ่งสภาพนี้พี่เชนกูยิ่งหล่อกว่า มึงเห็นมั้ย” ว่าพลางกระแทกไหล่ผมเบาๆ

เออ รู้แล้วครับ ไม่ต้องย้ำ พี่รหัสมันหล่อกว่าผู้ชายทุกคนในโลกนี้นั่นแหละ

แต่โชในลุคแว่นหนาแสนเนิร์ดนี่ก็ไม่ได้ดูแย่นักหรอกครับ ที่บอกว่าเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนก็แค่บรรยากาศรอบตัวเขาที่ดูไม่สดใสสว่างจ้าเหมือนเก่า แต่ยังไงเขาก็ยังดูดี ดูเป็นผู้ชายน่ารักแบบแว่นๆ อ่ะ (ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ)
 
“แต่มองไปมองมา หน้ามึงนี่คุ้นๆ นะ” อยู่ๆ ไอ้ซันก็พูดขึ้นมาหลังจากมองหน้าโชอยู่สักพัก มันขมวดคิ้วยกมือขึ้นมาเกาคางทำท่าครุ่นคิด

ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ซันจะคิดเหมือนผมเลย พอโชใส่แว่นแบบนี้ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน...

“ผมคงหน้าโหลล่ะมั้ง” แต่เจ้าตัวก็พูดขัดความคิดของผม ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีไปที่เคาน์เตอร์แสร้งจับนู่นจับนี่ขึ้นมาเช็ดท่าทางเลิ่กลั่ก

ผมกับไอ้ซันมองหน้ากันอย่างข้องใจไม่หาย แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะยักไหล่ เลิกคิด แล้วแยกย้ายกันไปทำการทำงาน
ช่างเถอะ บางทีผมอาจจะคิดไปเอง หรือโชในมาดใส่แว่นแบบนี้อาจจะดูโหลอย่างที่เขาว่าจริงๆ ก็ได้

“เออไอ้ตรี มึงลางานได้แล้วใช่มะ” ต่างคนต่างหาอะไรทำได้ไม่นาน ไอ้ซันมันก็เดินกลับมายืนพิงเคาน์เตอร์ถามผม

“อืม” ผมตอบ อมยิ้มเมื่อนึกได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะได้เจอแล้ว

“แหม หน้าระรื่นเชียวนะ หมั่นไส้ว่ะ” มันเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ “จริงๆ ทั้งมึงทั้งพี่เชนนี่ เป็นหนี้บุญคุณกูทั้งคู่เลยน่าหว่า” ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
 
ก็จริงของมันเชนติดมันเรื่องที่มันช่วยมาเฝ้าผมและคอยกันท่าให้อยู่ห่างจากโช แล้วมันก็ยังช่วยทำให้ผมลางานไปหาเขาได้เร็วขึ้นอีก นี่มันเป็นพ่อสื่อหรือไงวะ

“ถ้ากลับมาแล้ว เลี้ยงเหล้ากูเป็นการตอบแทนด้วยนะมึง” มันว่าแล้วหัวเราะร่า

“เออๆ” พอผมไม่ปฏิเสธมันเลยยิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างได้ใจไปกันใหญ่ จนคนแทบจะหันมามองกันทั้งร้าน
นี่ถ้าไม่บอก คงไม่มีใครคิดใช่มั้ยว่ามันเป็นถึงอดีตผู้นำเชียร์คณะวิศวะที่สาวๆ คลั่งไคล้ ไม่มีการคีพลงคีพลุคใดๆ จนผมเพลียใจแทนสาวๆ ที่มาคลั่งมัน

“เดี๋ยวกูมานะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน” มันว่า ตบบ่าผมเบาๆ ไม่วายย้ำสิ่งที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาในหน้าที่ไม้กันหมา

“ระหว่างกูไป มึงก็อยู่ห่างๆ ไอ้ตี๋ไว้ล่ะ ไม่งั้นกูฟ้องพี่เชนแน่”

“เออ” ผมตอบอย่างขอไปทีด้วยความเอือมระอา แล้วไล่ให้มันไปพ้นๆ หน้าสักที
น่ารำคาญจริงโว้ย

“ตรี” แต่ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของใบหน้าใสที่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยแว่นกรอบดำหนาก็เดินเข้ามาหาผมทันทีที่ไอ้ซันลับสายตา

ผมหันไปเลิกคิ้วสงสัย ไม่ได้ถอยห่างอย่างที่รับปากไว้กับไอ้เพื่อนตัวดี

ถึงก่อนหน้านี้มันจะสันนิษฐานบ้าบอกับเรื่องที่โชทำตัวแปลกๆ เหมือนพยายามใกล้ผมว่าเป็นเพราะเขาชอบผมก็เถอะ แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะมาชอบผมได้ยังไง และทำไม โคตรจะไม่มีเหตุผลรองรับ ผมก็เลยคิดว่าทั้งเชนทั้งไอ้ซันคงจะคิดไปเองจริงๆ นั่นแหละ เพราะเท่าที่ดูมันเป็นธรรมชาติของโชมากกว่าที่จะน่ารักเฟรนด์ลี่กับทุกคน (ยกเว้นไอ้เวรซัน)

“จำที่เราเคยพนันกันได้มั้ย ว่าถ้าลูกค้าเต็มร้านตรีจะต้องทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง”

ผมนิ่งคิดอยู่สึกพักก่อนจะร้องอ๋อออกมาเบาๆ “โชอยากได้อะไร?”

โชยิ้มบางๆ เหมือนไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูด “ผมอยากใช้สิทธิ์นั้นขอให้ตรียกเลิกวันลา”

“...”

“ไม่ต้องไปหาพี่เชน ได้มั้ย?”

“...!”

ดูเหมือนว่า ผมคงจะต้องถอนความคิดของตัวเองซะแล้ว

ไอ้ซันกับเชนไม่ได้เข้าใจผิด...

ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้ว ว่ารอยยิ้มสดใสที่คนตรงหน้ามีให้ผมมาตลอด ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติจากการเป็นคนเฟรนด์ลี่ของเขาอย่างที่ผมคิด...
 
 

หลายวันต่อมา

สุดท้ายวันนั้น ผมก็ปฏิเสธโชไป เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางยอมแลกวันที่ผมจะได้เจอเชนกับการพนันไร้สาระอยู่แล้ว โชไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแปลกๆ และบอกว่าเขาแค่ล้อเล่น ก่อนจะหันไปทำงานของตัวเองก่อนที่ไอ้ซันจะมาเพียงไม่กี่วินาที

โชคดีไอ้ซันทำงานผ่านไปด้วยดี ไม่เผลอเอากาแฟไปราดหัวใคร หรือทำเครื่องชงกาแฟพังอย่างที่ผมกลัว ผมก็เลยไม่จำเป็นต้องเลื่อนตั๋วเพราะเพื่อนถูกไล่ออกภายในสามวันแรกของการทำงาน

ผมเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ตอนสี่โมงเย็น แต่เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาและเชนยังไม่เลิกงาน เขาเลยบอกให้ผมรอในสนามบินก่อนแล้วเขาจะรีบมารับ แต่แน่นอนว่าผมดื้อ และอยากเจอหน้าเขาเกินกว่าจะนั่งแกร่วรอเฉยๆ อยู่ในสนามบินได้ ก็เลยขอเป็นฝ่ายไปหาเขาดีกว่า อีกอย่าง ผมไม่อยากให้เขาฝ่ารถติดมาหาผมทั้งๆ ที่เพิ่งทำงานมาเหนื่อยๆ ด้วย ด้วยเหตุผมร้อยแปดที่ผมบอกไป สุดท้ายเชนก็เลยยอม และบอกให้ผมรออยู่ที่คอฟฟี่ช็อปชั้นล่างของบริษัทแทน

ดีที่ผมไม่ได้เอาสัมภาระมาเยอะมาก มีแค่กระเป๋าเป้เล็กๆ ใบเดียวเท่านั้น เพราะอยู่แค่ไม่กี่วัน ก็เลยไม่ลำบากในการเดินทางนัก ใช้เวลาไม่นานผมก็ฝ่ามรสุมรถติดมาถึงที่ทำงานของเชนจนได้

ผมดื่มกาแฟและอ่านหนังสือที่พกมาด้วยฆ่าเวลาอยู่นานเกินว่าจะรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมเหลือบมองนาฬิกา มันจะสองทุ่มแล้ว เชนน่าจะเลิกงานตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมยังไม่มา หรือติดต่ออะไรมาเลยล่ะ
หรือเขาลืมไปแล้วว่าผมรออยู่ตรงนี้?

ผมรู้สึกใจแป้วทันทีที่คิดแบบนั้น รีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็กข้อความและก็ไม่เห็นอะไรเพิ่มเติมหลังจากที่คุยกันหลังลงเครื่อง ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจโทรหาเขาเพื่อถาม

พรึ่บ!

แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออกก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีใครบางคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม ถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วทิ้งตัวนั่งกอดอกวางมาดเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าว

ผมเงยหน้ามองร่างเพรียวบางกับใบหน้าสวยเฉี่ยวที่จำได้ขึ้นใจด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไร ริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกสีแดงสดเข้ากับใบหน้าก็ฉีกยิ้มกว้างพลางเอ่ยทักทายด้วยประโยคที่คงจะเตรียมมาเพื่อทักผมโดยเฉพาะ

“เธอเหรอ ตรี แฟนเชน?” เธอเลิกคิ้วถามทั้งที่คงจะมั่นใจอยู่แล้วว่าไม่ได้ทักผิดคน

“...”

“หน้าตาน่ารักดีนะ”

“...”

“อยากเห็นจังว่าตอนร้องไห้จะยังน่ารักอยู่หรือเปล่า” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็ยื่นหน้าเขามาฉีกยิ้มร้ายกาจที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาดให้ผม ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจผมหยุดเต้นไปชั่ววินาที

“เลิกกับเชนซะ”

“...!”

“ขอโทษที่เพิ่งมาบอก...”

“...”

“แต่เชนน่ะ...เขาเป็นของฉันมาก่อน”

“...!!”

นี่มัน...อะไรกันวะ?

ใครก็ได้ ช่วยบอกหน่อยเถอะครับ...ว่าตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-04-2016 10:19:52
 :hao7:  อิเจ๊ สัมผัสได้ถึงความขี้แกล้งง่า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 24-04-2016 11:52:37
เห็นด้วยว่าเจ้น่าจะแกล้ง
ค้างเบาๆ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ben10 ที่ 24-04-2016 11:53:17
อร๊ายยยยยย อีเจ๊ เดี่ยวตบคว่ำ :beat:
โชนี่ อย่าเยอะคะลูกกกก ซันจัดหนักทีดิ :oo1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 24-04-2016 12:01:51
เอ๋ๆๆ

พี่สาวเชนหรือเปล่า?

แต่คาใจจริง โชเป็นอดีตที่ไหนหนอ?


ซันโชๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-04-2016 12:06:31
ค้างงงงงงงงงงงงงงงง :katai4: :ling1: :katai1: :z3:
พี่เชนรีบมาเคลียร์เลยนะ  :m16: :m16: :m16:
#เชนตรี #ซันโช

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: NUBTANG ที่ 24-04-2016 13:05:03
เออ เหอะ เอาเถอะ - -
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-04-2016 13:54:36
 :a5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-04-2016 14:19:43
ฟากกกกกกกกกกกก ค้างมากกกก
อีเจ๊นี้เล่นอะไร
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 34 [ 24/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-04-2016 18:08:11
เชน ชอบทำตัวติดต่อไม่ได้ แปลก? :m16:
พี่สาวคนนี้ รู้ได้อย่างไร ว่าตรีเป็นแฟนเชน ?
แถมมาสั่งให้เลิก ว่าเชนเป็นของตัวเองมาก่อน  :katai1:
พี่สาวเชนป่ะ  :mew2:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-04-2016 16:54:07
35
ความจริง
 
               
“...” ผมได้แต่นั่งนิ่ง มองหน้าเธอด้วยความงงสุดขีด
               
“...” และเธอก็มองหน้าผม ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังลุ้นอะไรบางอย่างอย่างสุดขีดเช่นกัน
               
“อ้าว ไม่ยักร้อง หรือมุกนี้ไม่แรงพอ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน
               
เป็นภาพที่คุ้นตาไม่ต่างจากรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจเมื่อครู่... ประหลาดมาก เหมือนผมเคยเห็นรอยยิ้มและท่าทางการขมวดคิ้วแบบนี้มาก่อน

“งั้นเปลี่ยนเป็นอะไรดี” เธอพึมพำ ทำท่าครุ่นคิด “ฉันกับเชนกำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า จงเป็นฝ่ายถอยไปซะ!” พูดจบ เธอก็จ้องหน้าผมนิ่งอีกรอบ
               
“...”
               
ผมว่าไม่ใช่ละ ประโยคหนังจีนแบบนี้...
               
“สนุกมากมะ” แต่ขณะที่ผมได้แต่นั่งโง่งมโข่งอยู่นั้นเอง เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นเคยก็ดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับอะไรบางอย่างที่ลอยมาหาผู้หญิงตรงหน้าผม ซึ่งเธอก็ยกมือขึ้นรับได้อย่างพอดิบพอดี
               
“ถ้าร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ฉันฆ่าเธอแน่” ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มนั้นก็เดินมายืนข้างผมซึ่งเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมของเขาพอดี
               
แล้วหัวใจของผมมันก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
               
ให้ตาย ผมไม่ได้เห็นใบหน้านี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย
               
เราสบตากันอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ นานหลายวินาที ขณะที่คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย และเชนก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปหาผู้หญิงปริศนาคนเดิมซึ่งผมลืมไปแล้วว่าเธอนั่งอยู่ด้วย
               
ลืมไปแล้วว่าควรถามเขาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
               
“เอารถมาให้แล้ว ขับกลับด้วย” เขาสั่งนิ่งๆ สิ่งที่เพิ่งโยนมาเมื่อกี้คือกุญแจรถนั่นเอง
               
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว สถานะของทั้งสองคนไม่น่าจะใช่อะไรที่ผมกังวลอยู่เลย
               
อยู่ๆ มันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงเลยด้วยซ้ำ
               
“แหม พอเจอน้องเหมียวมึนสุดที่รักก็เนรคุณกันเลยนะยะ” ร่างบางเจ้าของริมฝีปากแดงสดเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้
               
เหมียวมึน?
               
หมายถึงผมเหรอ?
               
“หรืออยากจะรถคว่ำตาย” เชนเลิกคิ้วนิ่งๆ คราวนี้ดวงตาคมที่กรีดอายไลน์เนอร์หนาจึงหันมามองผม ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
               
“เออๆ อะไรมันจะคลั่งขนาดนั้นวะ”
               
“...” บอกตามตรง ว่าผมตามไม่ทัน
               
เป็นบทสนทนาที่โคตรจะ Abstract เลยครับ
               
“ไปเหอะ” แต่ยังไม่ทันจะปะติดปะต่ออะไรได้ มือหนาก็เอื้อมมาคว้ากระเป๋าเป้ของผมไปพาดบ่า ก่อนจะหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป แต่เพราะผมยังข้องใจ ก็เลยเอื้อมมือไปคว้ามือข้างที่เหลือของเขาไว้ก่อน
               
“เดี๋ยวดิ” เชนหยุดชะงัก ขมวดคิ้วมองมือผมที่จับอยู่ที่แขนเขาด้วยสีหน้ายากจะอธิบายอีกแล้ว “ขอคำอธิบายก่อน”
               
เขาดึงแขนของตัวเองออกจากมือผมไปล้วงกระเป๋า มันเป็นปฏิกิริยาที่แปลกมาก แต่ผมก็ปล่อยผ่าน เพราะมีเรื่องอื่นที่อยากจะถามมากกว่า
                 
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ผมมองผู้หญิงตรงหน้า แล้วหันกลับมาสบตาเขาอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบ
               
ถึงแม้ท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแอบแฝงของทั้งสองคนจะทำให้ผมเบาใจได้ว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ยังไงซะ ผมก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากเขาอยู่ดี
               
เชนมองผมสลับกับร่างบางที่ยกมุมปากยิ้มร้ายๆ อีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ยัยนี่ชื่อริบบิ้น”
               
“...” อันนั้นเป็นข้อมูลที่ผมรู้แล้ว
               
“เป็นพี่สาวฉันเอง”
               
“ฮะ?” แต่ข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ยินก็เล่นเอาผมเหวออย่างคิดไม่ถึง ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วมองร่างบางอย่างงงๆ “ตะ... แต่ในประวัติ คุณเป็นลูกสาวคนเดียวไม่ใช่เหรอ” ผมถามออกมาด้วยความสับสน
               
ถึงจะยังอ่านชีวประวัติที่ยาวเป็นหน้าๆ ของเธอไม่ครบ แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจนะว่าในนั้นมันเขียนว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียว... แล้วอยู่ๆ เชนก็มาบอกว่าเป็นพี่สาวเนี่ย มันหมายความว่ายังไงกัน
               
ผมเข้าใจอะไรผิดไปเหรอ?
               
พอเห็นสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกของผม เจ้าของริมฝีปากสีแดงสดก็หัวเราะออกมาอีกรอบ “แฟนแกนี่ตลกว่ะ มาสืบประวัติคนอื่น แต่ดันไม่รู้ประวัติแฟนตัวเองเนี่ยนะ” เธอหันไปเลิกคิ้วใส่เชนอย่างล้อเลียน
               
ร่างสูงเลยถอนหายใจหนักๆ ออกมาพลางปรายตามองผมเหมือนเหนื่อยใจ “บอกแล้วว่าเป็นคนมึนๆ”
               
“เออมึนจริงจัง ขอหยิกแก้มสักทีได้มะ หมั่นไส้”
               
เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งปล่อยเบลอคำถามผมกันสิครับ
               
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังในรถ” พอเห็นว่าผมยังไม่เลิกทำหน้าสงสัย เชนก็หันมาพูดพลางยกมือขึ้นเสยผมท่าทางงุ่นง่าน ก่อนจะสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “เพราะงั้นรีบตามมาสักทีเหอะ”
               
“...?”
               
“ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว แล้วดึงมาจูบต่อหน้าคนทั้งร้าน” ว่าจบร่างสูงก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีไปหน้าตาเฉย ทิ้งผมที่ได้แต่ช็อกค้างกับคำพูดนั้นไว้กับผู้หญิงที่เขาบอกว่าเป็นพี่สาวซึ่งระเบิดหัวเราะเสียงดังท่าทางเหมือนสะใจ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นเดินตามเชนไป แต่ก็ไม่วายเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ เหมือนที่เชนทำ
               
ตอนนั้นเองที่ผมปะติดปะต่ออะไรสักอย่างได้ในหัว... เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ กับรอยยิ้มร้ายๆ และท่าทางการขมวดคิ้วของผู้หญิงปริศนาคนนี้
               
เหมือนกันแม้กระทั่งน้ำหนักมือที่ขยี้ลงมาบนหัวผมแบบนี้
               
เชื่อแล้วล่ะครับว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ...
 
               
เวลาผ่านไป
               
เขาชื่อพันธกานต์... พันธกานต์  กานต์สุริยะ
               
ใช่ครับ แฟนผม คือลูกชายอีกคนของผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกานต์สุริยะ...
               
ตกใจใช่มั้ย?

เออ... ผมก็ช็อกไปเลยเหมือนกัน

ทั้งที่รู้จักกันมาตั้งนาน แต่ผมกลับไม่รู้เลยว่าเชนนามสกุลอะไร เพราะเฟสบุ๊คของเขา ก็ใช้แค่ชื่อจริง ไม่มีนามสกุลต่อท้ายใดๆ

ทั้งหมดมันเป็นความสะเพร่าของผมเองที่ไม่เคยถาม หรืออยากรู้พื้นเพครอบครัวของเขามาก่อน แล้วก็ไปคิดเอาเองเป็นตุ
เป็นตะว่าเขาอาจจะนอกใจ
             
ใครก็ได้ตีหัวผม ให้สาสมกับความโง่นี้ที

พี่ริบบิ้นเป็นคนอธิบายความจริงทั้งหมดให้ผมฟังขณะที่เรากำลังนั่งรถไปที่บ้านของทั้งคู่ เพราะเชนเอาแต่นั่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างสีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดลมฟ้าอากาศจนผมไม่กล้าแม้แต่จะถามว่าเขาเป็นอะไร พี่ริบบิ้นบอกว่าที่ในประวัติของพี่ริบบิ้นเขียนไว้ว่าเธอเป็นลูกคนเดียว นั่นก็เพราะเชนกับพี่ริบบิ้นเป็นพี่น้องคนละแม่กัน ดังนั้นเธอจึงเป็นลูกคนเดียวของพ่อเชนกับแม่เธอ ส่วนเชนเองก็เป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่เขาเหมือนกัน และตอนนี้ภรรยาคนปัจจุบันที่อยู่กับพ่อของเชน ก็คือแม่ของพี่ริบบิ้น ซึ่งเข้ามาในบ้านหลังจากที่แม่ของเชนเสียชีวิตไปแล้ว

มันออกจะแปลกสักหน่อย ที่ภรรยาคนปัจจุบันมีลูกสาวอายุมากกว่าภรรยาคนก่อน แต่ว่าเรื่องในครอบครัวของเขาเป็นอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าผมจะเข้าไปยุ่งมากกว่าที่ทั้งสองคนอยากจะบอก ผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรออกไป 

รู้แต่เพียงว่า สาเหตุที่เขาไม่โทรหาหรือแชทมาหาผมก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะพี่ริบบิ้นนี่แหละ ที่ยื่นข้อเสนอพิเรนท์ๆ กับเขา แลกกับการที่จะไปคุยกับพ่อ เรื่องที่เขาจะคบกับผม...

มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ตระกูลที่มีชื่อเสียงและกิจการใหญ่โตขนาดนี้จะต้องการคนสืบทอดกิจการในภายภาคหน้า แต่ว่า ถ้าลูกชายเพียงคนเดียวที่น่าจะได้เป็นเสาหลักของบริษัทในอนาคตไม่ได้ชอบผู้หญิง... นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถมีทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อไปให้กับพ่อของเขาได้ ก็เลยต้องหาทางที่ทำให้เขาสามารถคบกับผู้ชายอย่างผมได้ และขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังมีเสาหลักที่มั่นคงพอ

บอกตามตรง ว่าผมไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย

“แกล้งแค่นี้ยังน้อยไป ฉันต้องแต่งงานเร็วขึ้นก็เพราะพวกแกเลยนะ” พี่ริบบิ้นบอกน้ำเสียงเซ็งๆ หลังจากที่เฉลยว่าเธอเป็นต้นเหตุของการที่เชนไม่ติดต่อผมให้ฟัง


[ ขอโทษ แต่เหตุผลมัน... โคตรจะงี่เง่าเลย ]

             
น้ำเสียงเครียดๆ ของเชนในวันที่เขาโทรมาโวยวายเรื่องโชดังเข้ามาในหัวผมทันที ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่เขาบอกมันคืออะไร

               
[ โง่ชะมัดที่ยอมทำอะไรแบบนี้ ]


ผมไม่มีอะไรจะพูดเลยเมื่อได้รู้ความจริง

ความคับข้องใจของผมหายไปพร้อมกับความรู้สึกผิดที่เข้ามาแทนที่ อย่างที่พี่ริบบิ้นบอก การที่พวกเราโดนเธอแกล้งไม่ให้ติดต่อกัน ดูจะเป็นเรื่องงี่เง่าไปเลยเมื่อเธอต้องรับภาระเป็นเสาหลักสืบทอดทายาทของตระกูลแทนน้องชายจอมหัวแข็งที่สิบปีจะติดต่อกลับมาที่บ้านที แต่อยู่ๆ ก็กลับมาขอร้องให้เธอยอมสละชีวิตโสดเพื่อสืบทอดตระกูลแทนตัวเอง (พี่ริบบิ้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วครับ แต่ยังไม่มีแผนแต่งงาน เพราะพี่แกหวงแหนชีวิตโสดยิ่งกว่าอะไร)

ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เชนก็ทำเรื่องเอาแต่ใจตัวเองเสมอเลย ว่ามั้ย?

แต่เป็นการเอาแต่ใจที่ทำให้หัวใจของผมมันพองโตจนอยากจะพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นๆ สักที... ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสายตาของพี่ริบบิ้นคอยมองพวกเราอยู่ล่ะก็นะ

“แต่ก็สะใจชะมัด ตอนที่เห็นสีหน้าทรมานเหมือนจะลงแดงเพราะความคิดถึงของไอ้ขี้เก๊กนี่” เสียงหวานว่าพลางมองผ่านกระจกส่องหลังไปหาเชนแล้วหัวเราะ

“ก็นะ ถ้ามีแฟนน่ารักน่าฟัดขนาดนี้ ฉันก็คงคลั่งจนอาละวาดเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายเดือน” คราวนี้เจ้าของดวงตาคมเลื่อนสายตามามองผม ก่อนจะยิ้มมุมปากเหมือนเคย

ถึงจะเป็นพี่น้องคนละแม่ก็เหอะ แต่ไอ้รอยยิ้มร้ายๆ นี่ มันเหมือนกันเกินไปมั้ย อย่างกับเป็นสิ่งที่สืบทอดทางพันธุกรรมงั้นแหละ

ผมปล่อยให้พี่ริบบิ้นพูดอะไรไปตลอดทาง พลางมองไปที่เชนเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วงที่เขาเอาแต่เงียบเหมือนกำลังคิดอะไรยากๆ อยู่คนเดียว แต่เหมือนเขาจะรู้ตัว จึงเลิกขมวดคิ้วหันมามองผมแล้วเลื่อนมือมาจับมือผมไว้พลางบีบเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้

“แมวโง่เอ๊ย”

ผมอยากจะถามจริงๆ ว่าเขาไปเอาไอ้ฉายาพวกนี้มาจากไหน ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินพี่ริบบิ้นเรียกผมด้วยสรรพนามแปลกๆ ที่ร้านแล้ว

เหมียวมึน? แมวโง่?

ผมว่า ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนไหนบนใบหน้าที่คล้ายแมวเลยนะ

แต่เอาเถอะ ผมไม่คิดจะเถียงหรือแก้ตัวอะไรหรอก เพราะมันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้

ผมเป็นแมวโง่ๆ ตัวหนึ่ง ที่ไม่รู้เลยว่าลับหลังตัวเอง เจ้าของปลอกคอที่ผมสวมอยู่ กำลังทำอะไรเพื่อ ‘เรา’ บ้าง





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-04-2016 17:15:24
พี่เชนๆๆๆๆๆ


ยอดสามี >< ทุ่มเท!
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-04-2016 17:26:31
โอ้ววว. ต่อไปก็รับขวัญสะใภ้สินะ
พี่ริบบิ้นเอ็นดูน้องเยอะๆนะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-04-2016 19:07:06
พี่เชนนนนนนน o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
เจอพี่ริบบิ้นแล้วเหลือพ่อแม่พี่เชนจะว่าต้อนรับว่าที่ลูกสะใภ้ยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-04-2016 19:15:06
  o13o13 o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-04-2016 19:31:46
พี่เชนสุดยอดอ่ะ ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้คบต่อไป
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 25-04-2016 21:30:31
ถึงจะเป็นแมวโง่ แต่พี่เชนก็ร้ากก มากนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 35 [ 25/04/2559 ] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 26-04-2016 15:07:14
พี่เชนคนดี รอดูท่าทีโชต่อไป
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-04-2016 17:47:45
36
สุดหัวใจ
 
               
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเชนถึงนั่งหน้าเครียดมาตลอดทาง
               
ถ้าผมรู้ว่าพอมาถึงที่หมายแล้วเราจะเจออะไร ก็คงเครียดไม่น้อยเหมือนกัน... อาจจะเครียดกว่าเขาด้วยซ้ำ
               
เหมือนตอนนี้ไง ที่ผมได้แต่นั่งตัวเกร็ง มองใบหน้าคมของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะกำลังถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมที่เป็นต้นแบบของดวงตาคู่สวยของเชนจ้องตรงมาด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา
               
“เฮ้อ” แล้วเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบก็ทำเอาผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยอัตโนมัติ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมซึ่งเหมือนกับเชนเป๊ะต่างกันตรงร่องรอยแห่งวัยที่มากกว่าจะหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหนาที่ลอบกุมมือผมอยู่ใต้โต๊ะอาหารพร้อมกับถามเสียงเข้ม
               
“ตกลงว่าคราวนี้ไม่ได้ล้อเล่นสินะ” เสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความหนักใจนั้น เล่นเอาผมที่หายใจไม่ตรงจังหวะอยู่แล้ว อยากจะหยุดหายใจไปซะตรงนี้เลย
               
ผมเงยหน้ามองเชนที่กำลังสบตาพ่อของเขาด้วยสายตาที่เรียบนิ่งไม่แพ้กันด้วยความกังวล 
บางที...ผมอาจจะมาที่นี่เร็วเกินไป

ถึงพี่ริบบิ้นจะบอกว่าพ่อของเชนรับรู้เรื่องของเราแล้วก็เถอะ แต่ดูเหมือนท่านจะยังรับไม่ได้เสียทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่
นั่งมองพวกเราหน้าเครียดแบบนี้

“ครับ” เชนตอบสั้นๆ

ตั้งแต่ตอนที่เราเข้ามา สีหน้าเขาก็ดูเคร่งขรึม เหมือนคิดอะไรตลอดเวลา ถึงมือหนาที่กุมอยู่จะบีบมือผมเบาๆ เป็นระยะเหมือนจะบอกให้ผมผ่อนคลาย แต่ผมก็พอจะดูออกว่าเจ้าของฝ่ามือร้อนจัดนี้ไม่ได้ผ่อนคลายได้ด้วยเลย

ผมอยากจะช่วยอะไรเขาบ้าง แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะทำยังไง จึงได้แต่นั่งเงียบอย่างคนขี้ขลาด

“ไม่เอาน่าพ่อ บิ้นบอกพ่อไปแล้วนะว่าเชนมันจริงจัง ตอนนั้นพ่อไม่เห็นว่าอะไรเลย” พี่ริบบิ้นที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่อของตัวเองเอ่ยขึ้นมาอย่างต้องการแก้สถานการณ์ เธอหันมายิ้มให้ผมเหมือนจะปลอบใจผมที่คงจะกำลังหน้าซีดขวัญหนีดีฝ่อไปกับบรรยากาศแสนกดดันที่กำลังเผชิญ

และผมคงจะวิ่งหนีไปแล้วถ้าไม่มีเชนอยู่ข้างๆ ไม่มีฝ่ามือของเขาที่จับมือผมไว้ราวกับจะบอกว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

“ก็ฉันคิดว่ามันจะโกหกเหมือนตอนมัธยมนี่หว่า” พ่อของเชนเอ่ยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนที่เสียงหวานของพี่ริบบิ้นจะเสริมขึ้นมา

“เออเนอะ” เธอยกกำปั้นขึ้นมาตีมืออีกข้างเหมือนนึกขึ้นได้ “ตอนมัธยมแกเคยพาผู้ชายมาบ้านครั้งนึงแล้วโกหกว่าเป็นแฟนนี่ ใช่มะ? ตอนนั้นทำไปทำไมนะ”

“ประชดพ่อที่จะแต่งงานใหม่กับแม่บิ้น” พ่อของเชนเบ้ปาก

“โคตรเด็ก!” พี่ริบบิ้นโวย

“ใช่มะ”

เดี๋ยวนะครับ... เหมือนบรรยากาศซีเรียสเมื่อกี้มันจะหายไปหรือเปล่า?

“แล้วจะรู้ได้ไงว่านายรักลูกชายฉันจริง” แต่แล้วอยู่ๆ พ่อของเชนก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะตีหน้านิ่งหันกลับมาตั้งคำถามกับผมด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง เล่นเอาผมถึงกับอ้ำอึ้งอย่างตั้งตัวไม่ทัน

“ว่าไง?” ท่านเลิกคิ้ว “พิสูจน์ได้มั้ยว่านายรักไอ้เชนมันจริง ไม่ได้แค่ต้องการจับเพราะบ้านรวย”

“...” ผมถึงกับหน้าชาไปเลยเมื่อเจอคำถามนั้น

จริงอย่างที่พ่อของเชนว่า ผมจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าผมรักเชนจริงๆ ในเมื่อตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากคำพูดที่เป็นเพียงลมปาก

แต่ผมสาบานได้ว่ามันออกมาจากหัวใจของผมจริงๆ

“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยออกมาพลางเงยหน้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของคนที่ผมรักด้วยสายตาจริงจังที่สุดในชีวิต “แต่ผมไม่มีอะไรมาพิสูจน์เลย”

“...” ความเงียบก่อตัวขึ้นทันที เมื่อทุกคนในที่นี้ต่างก็จ้องมาที่ผมอย่างรอฟัง

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเชนเป็นใคร หรือมีครอบครัวที่ร่ำรวยขนาดไหน เพราะฉะนั้นผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้คิดจะจับเขา”

“...” พ่อของเชนยังคงมองหน้าผมนิ่งจนรู้สึกกดดัน

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว... พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เชนพยายามเพื่อเรื่องของเราขนาดไหน ผมก็คิดได้ว่าคงถึงคราวที่ผมจะต้องพยายามบ้าง

“พ่อครับ ผมรักเชนจริงๆ” ผมเอ่ยขณะที่บีบมือเชนไว้แน่นอย่างต้องการสร้างความเชื่อมั่น “รักจนสุดหัวใจเลย”

“...”

“เพราะฉะนั้น ให้พวกเราคบกันเถอะนะครับ” พูดจบผมก็ยังคงสบตากับพ่อของเชนอย่างจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมจะไม่หนี

ต่อให้โดนปฏิเสธผมก็จะไม่ยอม... ไม่มีทางยอมแน่ๆ

“...”

“...”

ความเงียบที่แสนจะอธิบายยากครอบคลุมอยู่ในบรรยากาศนานหลายวินาที ก่อนที่เสียงทุ้มของคนข้างตัวผมจะดังขึ้นมาเบาๆ

“ให้ตาย” เชนยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาปิดหน้า แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่โผล่พ้นฝ่ามือออกมาหรือแม้แต่ใบหูของ
เขา ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างปิดไม่มิด

“บอกแล้วว่าอย่าเล่น” น้ำเสียงของเขาฟังดูทั้งขบขันและตึงเครียดในเวลาเดียวกันจนผมต้องเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ

เล่น? เล่นอะไร

“ใครจะไปรู้ว่าแฟนแกจะจริงจังขนาดนี้” คราวนี้เป็นพ่อของเชนที่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในขณะที่พี่ริบบิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคางมองผม

“น้องเหมียวมึนน่ารักอ่ะ อยากหยิกแก้ม” เธอว่าพลางทำหน้าละห้อย

“...” เอาอีกแล้ว บทสนทนาที่แสนจะเฉพาะกลุ่มโผล่มาอีกแล้ว

มีแต่ผมหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจว่าทั้งสามคนพูดอะไร?

“...”

“รักจนสุดหัวใจ... สมัยพ่อยังไม่พูดเลยว่ะ” พ่อของเชนย้ำคำพูดผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนจะล้อเลียน

“...” ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ยังคงปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

ตกลงไม่ต้องซีเรียสแล้วเหรอครับ?

ใครก็ได้บอกทีว่าผมควรอยู่ในโหมดไหน จะได้ทำตัวถูก

“คู่นี้มันเหลือเกินชะมัด” พี่ริบบิ้นพูดต่อ ด้วยรอยยิ้มร้ายกาจไม่แพ้กัน "เข้าใจแล้วว่าทำไมเชนมันถึงหลงหัวปักหัวปำซะยิ่งกว่าตอนพ่อหลงแม่อีก” ว่าพลางหันไปมองเชนแล้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“...” เอ่อ... ผมว่าผมพอเข้าใจแล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไร

“ตอนบิ้นแกล้งไม่ให้โทรหานะ โอ๊ยย คลั่งจนแทบจะกรีดข้อมือ” พี่ริบบิ้นพูดอย่างออกรส ขณะที่ผู้เป็นพ่อพยักหน้าหงึกหงักพลางเลิกคิ้วล้อเลียน

“อะไรจะเบอร์นั้น”

“หุบปากสักทีน่า” เสียงทุ้มจากคนข้างตัวผมเอ่ยขึ้นมา ผมหันกลับไปหาเชนก็พบว่าเขาเลิกเอามือปิดหน้า เพราะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว “พามาให้แกล้งแล้ว พอใจยัง? จะได้พาขึ้นห้อง” เขาเลิกคิ้ว สีหน้างุ่นง่านเหมือนพยายามเก็บอาการไม่ให้หน้าแดงขึ้นมาอีก

จากคำถามของเชนทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าใจไม่ผิด... โดนแกล้งอีกแล้ว จริงๆ ด้วย

ให้ตาย ผมต้องโง่แค่ไหนถึงได้โดนแกล้งซ้ำซ้อนในวันเดียวกันแบบนี้เนี่ย

“ใครกันแน่ที่พอใจ? พอโดนบอกรักตรงๆ เข้าหน่อยหน้าแดงสติแตกทำแผนเสียเลยนะแก” พี่ริบบิ้นแสยะยิ้ม มองพวกเราอย่างล้อเลียนไม่เลิก ในขณะที่พ่อของเชนยกมือขึ้นมาโบกไล่

“เออ หมั่นไส้ว่ะ จะไปไหนก็ไปๆ”

พอได้ยินแบบนั้นมือหนาก็ฉุดผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “มานี่”

แล้วเชนก็หันมาลากผมที่ยังมึนๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะไปที่บันไดขึ้นชั้นสองและน่าจะพาผมไปที่ห้องเขาอย่างที่ว่า สีหน้าของเขาดูงุ่นงานจนผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ ทั้งๆ ที่คนที่ต้องหงุดหงิดเพราะโดนแกล้งควรจะเป็นผมแท้ๆ

จะว่าไป พอเห็นแบบนี้ผมก็ไม่สงสัยแล้วล่ะว่าเขาเจ้าเล่ห์ติดใครมา เล่นเหมือนกันทั้งบ้านขนาดนี้

ไม่นาน เขาก็พาผมมาถึงห้องนอนจนได้ ห้องนอนใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาวดำ เข้ากับความโมเดิร์นของบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเขา พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาอยู่ในหอแคบๆ ของผมได้โดยไม่บ่นสักคำ แถมก่อนหน้าที่เราจะคบกัน ผมยังให้เขานอนพื้นแข็งๆ ซะอีก

ไม่เจียมตัวเลยแฮะ

“เฮ้อ!” แต่ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ร่างสูงก็ถอนหายใจหนักๆ พลางหมุนตัวกลับมาหาผมด้วยสีหน้าอธิบายยากเหมือนเคย

เชนมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาทีก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ดันผมจนถอยหลังไปชนผนังพลางเอื้อมมือมากอดไว้หลวมๆ ร่างสูงโน้มตัวลงมาฝังใบหน้าลงกับไหล่ของผมแล้วถอนหายใจอีกรอบ

“เหลือเชื่อเลย... กล้าพูดแบบนั้นออกมาต่อหน้าพ่อกับยัยป้านั่นได้ไงเนี่ย เดี๋ยวก็โดนล้อไปจนตายหรอก” เขาบ่นพึมพำทั้งที่ยังซบหน้าลงที่ไหล่ผม เหมือนพยายามจะซ่อนใบหน้าที่กลับมาเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้งของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ผมเห็น

แต่แน่นอนว่าผมสังเกตเห็นก่อนที่เขาจะพยายามซ่อนมันเสียอีก

“ไม่ชอบเหรอ” ผมแกล้งถามกลั้วหัวเราะ ชอบจริงๆ เวลาที่เขาพยายามกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเองเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าคิ้วขมวดหงุดหงิดงุ่นง่าน ทั้งๆ ที่มันปิดไม่มิดเนี่ย

“ชอบ...แต่อยากได้ยินคนเดียวมากกว่า” เสียงอู้อี้ที่เกิดจากการที่เขายังคงซุกใบหน้าคลอเคลียอยู่ระหว่างไหล่กับต้นคอของผมทำเอาผมรู้สึกจั๊กจี้จนหัวเราะออกมาอีกรอบ

เราเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามขึ้นมา

“ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ว่าพี่ริบบิ้นเป็นพี่สาว” เพราะตอนนั้นที่โทรมาเขาไม่ยอมบอกความจริงนี่แหละ ถึงทำให้ผมวุ่นวายใจจนถ่อมาหาถึงที่แบบนี้

คราวนี้เชนเงยหน้าขึ้นสบตาผม ก่อนจะตอบยิ้มๆ “กลัวว่าถ้ารู้ว่ามีพี่สาวเป็นลูกสาวตระกูลดังแล้วจะถูกจับ”

“ฮะ?” ผมเลิกคิ้ว คำตอบอะไรของหมอนี่เนี่ย ใครจะไปอยากจับเขากัน “ถ้างั้นทำไมถึงยอมบอกง่ายๆ?”
แถมยังพามาที่บ้านอีก ผมไม่ได้ขอสักหน่อย L

เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาสบตาผมด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ “ก็เพราะตอนนี้อยากถูกจับไง ก็เลยบอก” ว่าพลางยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจเหมือนเคย ก่อนจะเลิกคิ้วถาม

“ที่นี้ตัดสินใจง่ายขึ้นแล้วใช่มั้ย”

“ตัดสินใจอะไร?” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ตัดสินใจว่าจะยอมอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า”

“...” ผมนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนั้นจากปากคนตรงหน้า
และพอเห็นผมนิ่ง เขาก็ยิ้มมุมปากอีกครั้งพร้อมกับโน้มหน้าลงมาจนหน้าผากตัวเองแตะกับหน้าผากผมเบาๆ “คิดเยอะทำไม เลี้ยงไหวนะ บ้านรวย”

ผมถึงกับชะงักไปอีกรอบ แล้วหลุดหัวเราะออกมากับประโยคหลงตัวเองหน้าตายของคนตรงหน้า ต้องมั่นใจแค่ไหนถึงจะกล้าพูดจูงใจด้วยประโยคแบบนี้เนี่ย

เชนหัวเราะตามผมก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจูบหนักๆ ลงบนหน้าผาก แล้วเลื่อนจมูกโด่งๆ ลงมาคลอเคลียกับจมูกของผมไปมา

“ขอบคุณที่มา” คราวนี้ริมฝีปากบางถือวิสาสะกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ  ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับสบตาผมด้วยสายตาเว้าวอน “ไม่อย่างนั้นฉันคงคิดถึงจนเป็นบ้าไปจริงๆ แน่”

คำพูดและสีหน้าของเขา ทำเอาผมนึกถึงคำพูดโอเวอร์ของพี่ริบบิ้นก่อนหน้านี้แล้วหลุดขำออกมา

หมอนี่ท่าจะอาการโคม่าจริงๆ

แต่จะว่าแต่เขาก็คงไม่ได้ล่ะนะ...

"แล้วใครบอกว่าตัวเองคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียว” ผมเอ่ย คราวนี้เป็นฝ่ายเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ร่างสูงแล้วใช้จมูกคลอเคลียกับจมูกของเขาบ้าง ลมหายใจที่รินรดลงบนปลายจมูกเหมือนจะช่วยต่อลมหายใจของกันและกันในทุกขณะที่ขยับเข้าใกล้ด้วยแรงดึงดูดอันน่าพิศวง

“ฉันเองก็คิดถึงจนแทบบ้าเหมือนกัน” ว่าจบผมก็เอื้อมมือไปจับใบหน้าของร่างสูงให้โน้มลงมา เพื่อทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเขา

ยืนยันคำพูดนั้นให้เขารู้ว่าผมเองก็คิดถึงและโหยหาที่จะเจอหน้าเขามากแค่ไหน

“หึ... อย่าออกตัวแรงสิ พ่ออยู่” เขายิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ พูดล้อทันทีที่ผมผละริมฝีปากออกเพื่อหายใจ

แต่แทนที่จะโกรธที่โดนเขาหยอกอีกแล้ว ผมกลับหัวเราะเบาๆ แล้วดึงเขามาจูบอีกครั้งอย่างไม่สนคำพูดที่จงใจแกล้งให้ผมอายนั่น 

ก่อนจะถอนริมฝีปากออก กระซิบคำพูดที่เขาอยากได้ยินอีกครั้งในขณะที่มีเราแค่สองคน

“รักพี่เชนนะครับ”

“...”

“รักจนสุดหัวใจเลย”

ต่อให้โดนล้อไปจนตาย ผมก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดที่พูดมันออกมา




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 26-04-2016 18:38:17
เป็นแค่คนอ่านยังเขิน
รักจนสุดหัวใจ
อ๊ากกกกก :serius2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 26-04-2016 18:45:07
แหม่ ทั้งบ้านนี่แสบจริง  พี่เชนนี่เบๆไปเลย กั่กๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-04-2016 19:15:34
รักจนสุดหัวใจ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
พี่เชนนนนนนเจอบอกรักตอนอยู่กันสองต่อสองแบบนี้
สงสัยหน้าแดงหูก็แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกแน่ๆเลย :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-04-2016 19:22:25
 :-[.   ฟินนนนนนนน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 26-04-2016 19:36:03
บ้านนี่นิสัยเหมือนกันเด๊ะเลย 5555 
ตรีโดนแกล้งอ่า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-04-2016 19:49:19
หึหึ ขี้เเกล้งกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 26-04-2016 20:00:09
หวานนนนน
 :-[
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-04-2016 20:40:36
โอ้ยยยยยย เจ้จะเป็นลมด้วยความอิจฉา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 26-04-2016 21:29:52
ฟินเบย. เขินอ่าาาา

 :o8:  :o8:  :-[  :-[   :impress2:

....
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 26-04-2016 21:52:39
 :z1:หวานมากกกกกกกกกกกกกกก น่ารักมากๆเลยค่าาาา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 36 [ 26/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 27-04-2016 00:07:56
ชอบอ่ะค่ะ ตอนนี้เขินแทนเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-04-2016 18:45:13
37
ครอบครัว
 
               
บางทีเราอาจจะเคยชินกับเตียงเล็กๆ ที่หอของผม จนลืมไปว่าเตียงคิงไซส์ในห้องนอนของเชน มันมีพื้นที่มากขนาดที่นอนกางแขนกางขาทั้งสองคนก็ยังไม่เต็ม
               
ผมถึงกับชะงักไปทันทีหลังจากงัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าร่างของตัวเองกลิ้งมาชิดที่ขอบเตียงด้านหนึ่งจนแทบจะตกลงไปอยู่แล้ว หนำซ้ำร่างหนาที่ส่งเสียงกรนเบาๆ ข้างหูยังตามมากอดผมไว้จากด้านหลังอีก ทั้งที่พื้นที่เตียงออกจะกว้าง ไม่จำเป็นที่พวกเราจะมานอนเบียดกันแบบนี้เลยสักนิด

“จะตกเตียงแล้ว” ผมกระซิบบอกหลังจากพลิกตัวหันหน้ากลับมาอีกด้าน เพราะคิดว่าเชนคงจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่ผมขยับแล้ว

แต่แทนที่จะเขยิบไปตรงที่ว่างที่เหลือด้านหลัง เจ้าของแขนแข็งแกร่งกลับครางออกมาเบาๆ พลางกอดผมแน่นขึ้นจนร่างของเราแทบจะหลอมเข้าด้วยกัน ราวกับวิธีนี้มันจะช่วยรั้งผมออกจากความหมิ่นเหม่ชวนตกเตียง

ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้ทำให้ร่างผมพ้นขอบเตียงมาสักเท่าไหร่เลย

ผมหัวเราะเบาๆ ซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแล้วกอดเขากลับบ้าง

รู้สึกได้ว่าหัวใจมันกำลังพองโตขึ้นมาด้วยสัมผัสอบอุ่นคุ้นเคย ที่ผมแสนคิดถึง

เชนส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ อย่างพอใจที่ผมไม่ขัดขืน ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงมาบนเรือนผม และเอาคางเกยศีรษะผมไว้ขณะที่กอดผมแน่นขึ้นอย่างหยอกล้อด้วยความหมั่นไส้

ผมยิ้มกว้างมองใบหน้าของคนขี้แกล้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างขบขัน ก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขาอีกรอบไม่สนใจว่าอ้อมกอดของเขาจะรัดแน่นแค่ไหน เพราะรู้ดีว่าคงจะได้ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันแบบนี้อีกเพียงไม่กี่วัน จึงตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ให้นานที่สุดด้วยการซึบซับไออุ่นจากร่างกายแข็งแกร่งของเขาและปล่อยให้ตัวเองหลับไปในอ้อมกอดของกันและกันอีกครั้งโดยไร้บทสนทนา

พอตื่นมาอีกทีก็พบว่าร่างหนาเจ้าของอ้อมกอดอุ่นกำลังลืมตามองผมอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายโดยไม่ต้องสื่อสารผ่านคำพูดใดๆ

ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นผมงัวเงียตื่นขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนเข้ามาใกล้เพื่อจูบผมเบาๆ เป็นการทักทายยามเช้า

“ไม่อยากลุกเลย” พูดทั้งที่ริมฝีปากร้อนจัดยังคงคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากของผมรอโอกาสที่จะกดจูบลงมาซ้ำๆ ให้สมกับความคิดถึงที่มีให้กัน

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของน้ำเสียงอ้อนด้วยความรู้สึกขบขัน ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นคนตรงหน้าในมุมนี้ สายตาเว้าวอนที่ตรงข้ามกับดวงตาคมกริบนี่มัน... น่าหมั่นไส้มาก ทำไงดี

จุ๊บ~

และเพราะหมั่นไส้จนไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยยื่นหน้าเข้าไปทาบริมฝีปากบนริมฝีปากเขาเบาๆ เชนผงะไปเล็กน้อยที่ผมเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

“เดี๋ยวนี้รุกหนักนะ สงสัยแฟนเทรนมาดี”

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังกับมุกหลงตัวเองหน้าตายของเขาอีกรอบ ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา หันไปอีกทีก็พบว่าเชนยังคงนอนอยู่ที่เดิม มองผมด้วยสายตาร้ายกาจที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนเคย

“ไม่ไปทำงานเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตัวเองพุ่งเข้าไปจูบริมฝีปากบางที่ยกยิ้มมุมปากร้ายๆ นั่นอีกรอบ

“วันนี้วันเสาร์” เขาตอบนิ่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอือมระอาอย่างขำๆ

เออว่ะ ผมลืมไปเลย

ผมยกมือขึ้นเกาหัวมึนๆ แล้วถาม “แล้วจะนอนอยู่งี้เหรอ?”

เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่นี่ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อยจะให้มานอนกินบ้านกินเมืองทำตัวสบายๆ เหมือนตอนอยู่หอก็กะไรอยู่ จริงมั้ย แต่ถ้าไม่มีเชน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร หรือขยับตัวไปทางไหนในบ้านหลังใหญ่นี่

“ไม่อ่ะ” เสียงทุ้มปฏิเสธแล้วลุกขึ้นมานั่งข้างๆ พลางยื่นมือมาขยี้หัวผมแรงๆ “หิวแล้ว”

ผมพยายามก้มหัวหลบฝ่ามือหนาแต่ยังไงก็หลบไม่พ้นอยู่ดีเลยปล่อยให้เขาเล่นจนพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจต่อ “อยากกินแกงเขียวหวาน”

ไม่ต้องพูดจบผมก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร

“ที่นี่ไม่มีแม่บ้านเหรอ” ผมเลิกคิ้ว ถ้าไม่ได้ดูละครมากไป ยังไงบ้านหลังใหญ่ของตระกูลเศรษฐีแบบนี้ก็คงไม่พ้นมีคนคอยอำนวยความสะดวกให้ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ?

“มี” เขาตอบ วางมือบนหัวผมแล้วโยกไปมา ก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบขมับผมเบาๆ “แต่อยากกินแกงเขียวหวานสูตรแม่ของแม่ยายมากกว่า”

“...” ผมชะงักไป นิ่งคิดอยู่นานว่าเจ้าของรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจตรงหน้าพูดอะไร กว่าจะเข้าใจ
 
         
'ชอบกินแกงเขียวหวานเหรอ’
 

คำพูดของเชนที่ถามผมในวันที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันดังเข้ามาในหัว จำได้ว่าตอนนั้นผมพยักหน้าตอบและเล่าความหลังวัยเด็กให้เขาฟัง
 
               
‘ตอนเด็กๆ ยายฉันทำให้กินบ่อยมาก แกงเขียวหวานสูตรคุณยายเป็นอะไรที่โคตรอร่อยอ่ะ... แต่ตอนนี้ยายเสียไปแล้ว ฉันเลยไม่ได้กินกับข้าวสูตรคุณยายมานานมากแล้วล่ะ’
 
               
‘แล้วแม่นายทำไม่เป็นเหรอ’
           

‘ก็ทำเป็นอ่ะนะ แต่แม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีใครทำให้กิน...แต่จริงๆ ฉันก็แอบจดสูตรไว้อยู่นะ อยากลองมั้ยล่ะ แล้ววันหลังว่างๆ จะทำให้กิน’
 

‘หึ... จะรอกินละกันนะ’
 

ผมยิ้มกว้างออกมาทันทีที่นึกออก แปลกชะมัดที่ผมยังจำบทสนทนานั้นได้แทบทุกประโยคทั้งที่มันเป็นแค่บทสนทนาง่ายๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร บางที อาจเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเปิดใจ เล่าความหลังไร้สาระให้กันฟังล่ะมั้ง
แต่ที่ทำผมประหลาดใจกว่าคือการที่เชนจำมันได้เหมือนกันนี่แหละ

“ไม่คิดว่าจะจำได้” ผมหันไปถามยิ้มๆ

มือหนาเลยขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบก่อนจะยื่นหน้าเข้ามางับจมูกผมเบาๆ “เห็นฉันเป็นคนความจำสั้นหรือไง” แล้วคลอเคลียอยู่อย่างนั้นหลายวินาทีราวกับไม่อยากจะแยกจาก

ผมยังคงยิ้มกว้าง สบตาเขาด้วยความรู้สึกสุขใจที่เอ่อล้นขึ้นมาจนเก็บไม่อยู่ และปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดปลายจมูกอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดขัดขืน แต่ไม่นานเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยก็กดริมฝีปากบางลงมาเร็วๆ แล้วผละออกไปเหมือนกำลังห้ามใจ

“รีบไปดีกว่า ก่อนจะอยากกินอย่างอื่นแทนแกงเขียวหวาน” เชนขมวดคิ้วจริงจังเกินไปจนผมหลุดขำ มองร่างสูงที่ลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อที่เขาถอดทิ้งไว้ก่อนนอนขึ้นมาสวมแล้วเดินกลับมาฉุดมือผมที่เอาแต่นั่งอมยิ้มให้ลุกตามไปอย่างว่าง่าย
 

ถึงจะพูดว่าอยากกินก็เถอะ แต่แกงเขียวหวานไม่ใช่อะไรที่จะทำได้ง่ายๆ เลย แถมยังต้องใช้วัตถุดิบมากมายที่บ้านหลังนี้ไม่มี สุดท้ายมื้อเช้าเราก็เลยต้องกินอาหารที่แม่บ้านทำ แล้วปล่อยให้แกงเขียวหวานสูตรคุณยายเป็นเรื่องของมื้อเย็นแทน

และถึงแม้จะมีแม่บ้านมากมายยื่นมืออาสามาช่วยอำนวยความสะดวก แต่เพราะมันเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัว และผมก็เกรงใจเกินกว่าจะเรียกใช้ใคร ก็เลยขอจัดการทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่ออกไปซื้อวัตถุดิบจนกระทั่งเข้าครัว แน่นอนว่าตอนออกไปซื้อของ เชนก็อาสาออกไปช่วยด้วย เขาดูจะตื่นเต้นน่าดูเพราะเคยเข้าไปเดินช็อปของสดเป็นครั้งแรก ถึงจะไม่ค่อยได้ช่วยอะไร แถมยังทำตัวเกะกะคอยเกาะแกะผมตลอดเวลา แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าพอมีเขาไปด้วย การซื้อของธรรมดาๆ ก็ทำให้ผมมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
ผมยิ้มไม่หุบตลอดวันด้วยความรู้สึกที่มันเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกจนกลัวว่าจะสำลักความสุขตายเข้าสักวินาที ความกดดันเดียวของวันนี้ที่ผมต้องเผชิญก็คือการที่ต้องลุ้นว่าแกงเขียวหวานที่ผมกำลังทำ จะออกมารสชาติถูกปากคนในบ้านเชนหรือเปล่าเท่านั้นเอง

“ขอน้ำหน่อย” ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ หันกลับไปก็พบกับผู้หญิงวัยกลางคนในชุทสูทสีเข้มท่าทางภูมิฐานกำลังเดินเข้ามา

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านเป็นใคร เพราะโครงหน้า จมูกและริมฝีปากเรียวบางนั้นเหมือนกับพี่ริบบิ้นราวกับถอดแบบ

“ใครเนี่ย” คนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นแม่ของพี่ริบบิ้นเลิกคิ้ว ก่อนจะนึกออกเองภายในไม่กี่วินาที “อ้อ แฟนเชนสินะ”

“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยยกมือขึ้นสวัสดี แม่พี่ริบบิ้นยิ้มรับ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วด้วยตัวเอง

“หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดไว้อีกนะ” ดวงตาเรียวคมเหลือบมองผมหลังจากดื่มน้ำเสร็จ

ท่าทางและวิธีการพูดที่ติดจะจริงใจแมนๆ ของท่านเหมือนกับพี่ริบบิ้นไม่มีผิดเพี้ยน...

อันที่จริง ผมคิดว่าครอบครัวนี้เหมือนกันทั้งบ้านเลยต่างหาก
             
จะผิดก็แต่แม่ของพี่ริบบิ้นดูจะเป็นคนจริงจังกว่าคนอื่นๆ ในบ้านหลังนี้แล้ว ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาพอสมควรแต่กลับยังดูสวยสง่ามองผมนิ่งหลายวินาทีราวกับกำลังประเมิน
               
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหัวดื้ออย่างเชน จะตกหลุมรักใครสักคนได้จริงๆ” ริมฝีปากเคลือบริปสติกสีนู้ดเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มใจดีก่อนที่ร่างระหงเดินไปวางแก้วน้ำที่ใช้แล้วลงในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินมาหาผมด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับพูดเรื่องที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน
               
“เธออาจจะยังไม่รู้ ว่าเชนเขาไม่ค่อยชอบฉันสักเท่าไหร่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อของเขา”
               
“...” ผมจึงได้แต่ยืนนิ่ง รับฟังอีกมุมหนึ่งของครอบครัวโดยไม่ออกความคิดเห็นอะไร
               
“ดังนั้นการที่อยู่ๆ เขาก็มาขอร้องให้ริบบิ้นแต่งงานแล้วสืบทอดกิจการแทนเขา มันคงเป็นเรื่องลำบากใจน่าดู” แม่ของพี่ริบบิ้นทำหน้าเหมือนรำลึกความหลังก่อนจะส่งยิ้มใจดีให้ผมอีกครั้ง “เขาจริงจังกับเธอมากนะ”   
               
ผมไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มตอบกลับไป ยิ่งรู้สึกสุขใจเมื่อรู้ว่าเชนทำอะไรแบบนั้นเพื่อผม
               
แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมรักเขาได้ยังไง
               
“แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด” ถึงจะยังพูดด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ประโยคต่อมาที่แฝงไปด้วยความจริงจังของท่านก็ทำเอาผมชะงัก “ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์แบบนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่ดี”
               
“...”
               
“เชนยังโชคดีที่มีริบบิ้นเป็นตัวแทนสืบทอดตระกูล... แต่ว่าเธอน่ะ เป็นลูกคนเดียวใช่หรือเปล่า”
               
“ครับ” ผมตอบ เข้าใจดีว่าแม่พี่ริบบิ้นกำลังจะพูดอะไร
               
ผมไม่มีพี่น้อง หรือใครที่จะทำหน้าที่สืบทอดตระกูลเราได้เลยถ้าหากในภายภาคหน้าผมไม่สามารถมีทายาทให้พ่อกับแม่ได้ ถึงแม้ว่าบ้านเราจะไม่ได้ร่ำรวยและเป็นตระกูลดังเหมือนบ้านเชน แต่มันก็คงเป็นความฝันอย่างหนึ่งของพ่อกับแม่ที่อยากจะเห็นผมมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนคนอื่นๆ
               
“แต่ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกมีความสุขหรอก” อาจเป็นเพราะสีหน้าผมแสดงความกังวลออกมาชัดเจนเกินไป แม่พี่ริบบิ้นจึงเอ่ยเหมือนปลอบใจพลางยกมือขึ้นมาตบบ่าผมเบาๆ "ถ้าคิดจะจริงจังแล้ว ก็คุยกับพวกท่านดีๆ ล่ะ"
             
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ช่วยทลายความกังวลทั้งหมดของผมก่อนหน้านี้ทิ้งไป

“ยังไง บ้านนี้ก็ยินดีต้อนรับนะ”

ผมได้แต่ยิ้มและตอบกลับด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“ขอบคุณครับ”
 

เย็นนั้นแกงเขียวหวานสูตรคุณยายที่ผมตั้งใจทำสุดฝีมือถูกยกไปเสิร์ฟพร้อมกับอาหารอื่นๆ ที่ผมทำเพิ่มอีกเล็กน้อย มันเป็นแค่เมนูบ้านๆ ที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่พอมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ต่อหน้าครอบครัวของคนตัวเองรักอย่างพร้อมหน้า มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าพูดอะไรนอกจากลุ้นอยู่ในใจอย่างใจจดใจจ่อ

“อร่อย” คำชมสั้นๆ ดังขึ้นจากผู้นำครอบครัวที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกหลังจากชิมอาหารของผมเข้าไป ขณะที่คุณนายของบ้านเพียงพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะกินอาหารต่อไปเงียบๆ

“หน้าตาดีแถมเป็นแม่บ้านแม่เรือนขนาดนี้” คราวนี้เป็นพี่ริบบิ้นที่เอ่ยขึ้นมาสีหน้าเซ็งๆ “พี่ยกมดลูกให้เลยได้มั้ย”

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าเก็บอาการเขินจากการถูกชม รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทุกคนต่างก็ใจดีกับผมทั้งที่
เจอกันได้ไม่นาน ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

“หึ” แต่คนที่เก็บอาการไม่อยู่ยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้นร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างตัว ซึ่งกำลังคลี่ยิ้มกว้างออกมาซะจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่อยู่แล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบตาผมด้วยแววตาที่ฉายประกายความสุขกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น

ความสุขแบบเดียวกับที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในใจผม

ความสุข... ที่ไม่ว่ายังไง ผมก็จะรักษาเอาไว้

ไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดมือ





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-04-2016 18:59:31
หวาน มุ้งมิ้ง อบอุ่น ชอบ  :katai2-1:
อยากให้กินอย่างอื่นแทนแกงเขียวหวาน  :hao3:
รอตอนต่อไป  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2016 19:03:38
ละลาย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2016 19:49:51
เหลือครอบครัวตรีแล้วว่าจะว่ายังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-04-2016 20:16:57
คลื่นลมสงบรึเปล่าแลดูดีเว่อร์
บ้านตรีอย่ามีอะไรเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 28-04-2016 15:40:56
หวานละมุน อบอุ่นสุดๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 37 [ 27/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 28-04-2016 16:16:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 30-04-2016 01:38:59
38
วังวน
 
               
เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
               
สุดท้ายผมก็ต้องกลับมาเชียงใหม่เพื่อช่วยงานรับน้อง ในขณะที่เชนก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาฝึกงานต่อไป ถึงจะเป็นลูกชายผู้บริหาร ก็ใช่ว่าเขาจะได้รับความเอ็นดูมากกว่าคนอื่นนะครับ เชนบ่นให้ฟังแทบทุกวันก่อนนอนว่าพี่ริบบิ้นใช้งานเขาโหดยิ่งกว่าแม่เลี้ยงใจร้ายใช้งานซินเดอเรลล่าอีก (ทำไมกล้าเปรียบตัวเองกับซินเดอเรลล่าผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน =_=) นี่ก็สองสัปดาห์แล้วที่เราแยกกัน ทั้งที่ควรจะชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเมื่อวานเราเพิ่งจะนอนบนเตียงเดียวกันอยู่เลย ตื่นพร้อมกัน ทำกิจวัตรประจำวันแสนซ้ำซากแต่กลับไม่น่าเบื่อ ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัวเขา ฟังเรื่องของเชนในมุมที่ผมไม่เคยรู้ มันมีความสุขซะจนผมโกรธเวลา ที่เดินเร็วเกินไป
               
แต่ถ้าเวลาแห่งความสุขจะผ่านไปเร็วขนาดนั้น ก็ช่วยให้เวลาแห่งความเหงาผ่านไปเร็วๆ บ้างไม่ได้หรือไง
               
“มึงเพ้ออะไรอีกเนี่ย” เสียงกวนๆ ของไอ้ซันปลุกผมออกจากความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับสะดุ้งโหยงทันทีด้วยความตกใจ
               
“เพ้ออะไร” ผมหันไปตีหน้าซื่อแกล้งไขสือ
               
ทั้งที่ไอ้อาการเมื่อครู่นี่ ถ้าไม่เรียกเพ้อก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว
               
“ถ้าจะคิดถึงขนาดนี้มึงปริ๊น 3D พี่เชนพกมาทำงานด้วยเลยมะ” ไอ้เพื่อนตัวดีเลิกคิ้วทำหน้ากวนตีน ผมเลยตีหน้าเอือมใส่มันแล้วเดินหนีไปล้างแก้วแทน
               
ตอนนี้ผมกลับมาทำงานที่ร้านกาแฟตามปกติแล้ว แต่ถูกลดกะเหลือแค่วันจันทร์ถึงพฤหัสฯ เพราะตอนที่ลาหยุดไป ลูกค้าเยอะจนคนไม่พอทำให้พี่โมต้องจ้างคนมาเพิ่ม ซึ่งตอนนี้ผลัดทำงานกับผมและไอ้ซันในวันศุกร์ถึงอาทิตย์เพื่อให้เวลาของแต่ละคนลงตัว ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังไงการทำงานตลอดคืนทั้งสัปดาห์มันก็ค่อนข้างหนักเกินไปสำหรับผมอยู่แล้วแถมตอนกลางวันยังต้องไปช่วยเพื่อนเรื่องกิจกรรมรับน้องอีก ได้พักบ้างก็คงดี ไอ้ซันยิ่งแล้วใหญ่ หน้าที่หลักของมันคือการมาเฝ้าผมตามคำสั่งเชน ถ้าผมทำงานน้อยลง ก็ถือว่าเป็นกำไรของมัน
               
แต่ข้อเสียของการว่างงานตอนกลางคืนก็คือ... ความคิดถึงที่มาพร้อมกับความเหงานี่แหละ
               
ถูกอย่างไอ้ซันว่า ช่วงนี้ผมกำลังเพ้อเจ้อสัสๆ เพ้อจนตัวเองยังรำคาญเลย
               
อะไรจะขนาดนี้วะ
               
“เออมึง วันนี้ไอ้ตี๋ไปไหนวะ” แต่ไอ้ซันยังไม่วายเดินตามมากวนผมไม่ยอมไปทำงานทำการ
               
ผมต้องเท้าความมั้ย ว่าตี๋ที่มันว่า หมายถึงโช
               
“ไม่สบาย” ผมบอกอย่างขอไปทีตามที่ได้ยินพี่โมบอกมา
               
“ฮะ” ไอ้ซันเบิกตากว้างถามเสียงดังจนผมถึงกับสะดุ้ง “เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลยนี่หว่า” มันขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่โอเวอร์แอ็คติ้งมากๆ จนผมอยากจะถามออกไปจริงๆ ว่ามึงจะเล่นใหญ่ทำไม
               
“เห็นว่าเมื่อเช้าฝนตกตอนเดินกลับหอ” ผมบอก เป็นสิ่งที่รู้จากพี่โมมาอีกทีนั่นแหละ
               
พี่โมบอกว่าหอของโชอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง แต่เพราะช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ถึงจะเดินใกล้แค่ไหน ถ้าไม่พกร่มก็มีโอกาสโดนแจ็กพ็อตได้ไม่ยากเลย
               
“ตากฝนวันเดียวเนี่ยนะ อ่อนจังวะ” ไอ้ซันขมวดคิ้วพึมพำ เหมือนจะบ่นคนเดียวมากกว่า
               
“ถ้ามึงเป็นห่วง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาล่ะวะ” ผมบอก เพราะพอจะดูออกว่ามันกำลังคิดอะไร แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับเหลือกตาทำท่าตกใจโอเวอร์อีกรอบ
               
“ฮะ! ใคร ใครบอกมึงว่ากูเป็นห่วงไอ้ตี๋ กูเนี่ยนะ!? เกลียดขี้หน้ากันจะตายมึงก็รู้” มันโวย
               
ผมแทบจะยกมือขึ้นตบหัวมันสักฉาดให้หุบปาก เพราะเล่นใหญ่เกินจนลูกค้าหันมามองทั้งร้านแล้ว แต่ไอ้อาการร้อนตัวอย่างชัดเจนนี่ก็เล่นเอาผมเริ่มคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
               
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่สังเกตหรอกนะ ว่าระยะหลังมานี้ไอ้ซันกับโชดูจะสนิทกันผิดปกติ ถึงจะเป็นในเชิงกัดกันตลอดเวลาเพราะไอ้ซันชอบหาเรื่องไปกวนตีน ในขณะที่อีกคนก็เหมือนจะพยามเก๊กแต่เก็บอาการไม่อยู่จนโวยวายออกมาหลายหน แต่ผมเห็นแล้วก็ดูออกไม่ยากเย็นเลยว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดกันจริงๆ อย่างที่แสดงออก
               
อย่างครั้งหนึ่งตอนที่ไอ้ซันเผลอทำน้ำหกใส่ลูกค้าจนเกือบโดนโวย คนที่เข้าไปช่วยคนแรกก็คือโชที่ละมือจากการชงกาแฟมาช่วยรับหน้าแทนไอ้เพื่อนตัวดีของผมจนสถานการณ์สงบลงได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ตอนนั้นผมอยู่ใกล้กว่า แถมพี่โมที่ควรจะเป็นจัดการให้ก็อยู่อีกต่างหาก
               
แล้วดูตอนนี้สิ แค่โชหายไปวันเดียว มันก็แสดงท่าทางเป็นห่วงจนปิดไม่มิด แม้จะพยายามทำตัวปากแข็งก็เหอะ
               
“มึงเพ้อหนักแล้วว่ะกูว่า เพ้อเรื่องพี่เชนลามมาเรื่องกูละ เป็นเอามากนะมึงอ่ะ” ไอ้ซันชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรทำ “กะ...กูไปห้องน้ำดีกว่า” ว่าแล้วก็ฟาดผ้าเช็ดโต๊ะลงกับเคาน์เตอร์ แล้วเดินหนีไปหลังร้านเฉยเลย
               
อะไรของแม่ง -_-
               
ผมยังไหล่ไม่สนใจอาการสุดประหลาดของไอ้ซัน แล้วหันมาล้างแก้วต่อ กำลังจะปล่อยให้ความคิดแล่นไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงประหลาดใจของพี่โมที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
               
“อ้าว ซันล่ะ”
               
ผมหันกลับไปตอบมึนๆ “เข้าห้องน้ำครับ พี่โมมีอะไรหรือเปล่า”
               
“อ๋อ พอดีพี่จะวานให้ซันไปดูโชให้หน่อย ว่าไข้มันลดหรือยัง” พี่โมตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลนิดหน่อย “พอดีพี่ต้องเตรียมของสำหรับพรุ่งนี้เลยไปดูไม่ได้ กลัวว่าโชมันอยู่คนเดียวแล้วน็อกไปจะไม่มีใครรู้”
               
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ก่อนจะอาสา “งั้นให้ผมไปแทนมั้ยครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรทำพอดี”
               
“จริงเหรอ” สีหน้าพี่โมเริ่มคลายกังวลลงนิดหน่อย “งั้นพี่วานตรีหน่อยนะ เดี๋ยวตรงนี้พี่กับซันจัดการเอง” พี่โมว่าพลางหยิบกุญแจดอกหนึ่งซึ่งมีโลโก้หอและหมายเลขห้องให้พร้อมสรรพ
               
“ป่านนี้โชมันคงหลับไปแล้ว ไขเข้าไปได้เลยนะ”
               
“ครับ” ผมยิ้มรับแล้วหยิงกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง
               
“ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่เลยนะ” พี่โมบอกขณะที่ผมเดินไปถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ที่มุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ ผมยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากร้านมา
 
               
หอโชเป็นหอพักขนาดใหญ่ที่ผมเองก็รู้จัก จึงไม่ต้องเสียเวลาหาสถานที่ มันอยู่ไม่ไกลร้านกาแฟอย่างที่ว่าเดินไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงหน้าห้องตามหมายเลยที่ติดอยู่กับกุญแจ ชั่งใจว่าควรจะเคาะประตูดีหรือเปล่า แต่ถ้าพี่โมบอกว่าโชอาจจะหลับไปแล้วผมก็ไม่อยากจะรบกวน สุดท้ายเลยถือวิสาสะไขกุญแจเข้ามา
               
ด้านในมันไม่ได้เป็นแบบหอถูกๆ ของผมที่รวมทุกอย่างไว้ในห้องเดียวมีแยกเพียงโซนครัวเล็กๆ ไม่มีผนังกั้น แต่มีการแบ่งสัดส่วนอย่างดี จนผมคิดว่าค่าเช่าคงจะแพงหูฉี่แน่ๆ ไฟในห้องยังคงถูกเปิดจนสว่างโร่ทำให้ผมไม่ต้องลำบากใจในการตัดสินใจว่าควรจะเปิดไฟหรือควรจะเดินมืดๆ เพราะไม่อยากรบกวนดี ผมถือวิสาสะเดินผ่านห้องรับแขกไปยังห้องด้านในซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเปิดประตูเข้ามา กลับพบว่าเตียงขนาดควีนไซส์สีเข้มนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงร่องรอยของความไม่เป็นระเบียบของผ้าห่มที่บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนนอนอยู่
               
ผมเลิกประหลาดใจ แต่ก็เดาได้ว่าโชอาจจะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ จึงกำลังจะหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอก
               
แต่แล้วอะไรบางอย่างที่อยู่บนผนังก็ดึงดูดสายตา จนผมต้องหยุดชะงักอีกครั้ง ตอนแรกผมไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อเดินเข้าไปไกลจนเห็นได้ถนัด ก็มั่นใจว่าที่ผมเห็นเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
               
นี่มัน...

รูปถ่าย... ของผมกับไอ้ซัน?

ผมตกใจจนพูดไม่ออกที่ได้เห็นรูปนี้แปะอยู่บนผนังห้องเหนือโต๊ะเขียนหนังสือของโช มันคือรูปถ่ายสมัยมัธยมของผมกับไอ้ซันที่จำได้ว่าถูกใครสักคนขอถ่ายในวันปัจฉิมตอนที่พวกผมตระเวนไปผลัดกันเขียนเสื้อนักเรียนกับเพื่อนห้องอื่นๆ ไอ้ซันหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเขียนเสื้อให้ใครสักคนอยู่ มันเกือบจะเป็นภาพถ่ายธรรมดาที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าหากไม่มีสิ่งหนึ่งสะดุดตาผมขึ้นมา

ตรงช่องว่างที่เกิดจากระยะห่างของผมกับเพื่อนที่ผมเขียนเสื้อให้อยู่ มีผู้ชายผิวเข้มร่างท้วมแว่นหนาคนหนึ่งกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาและรอยยิ้มพิศวงซึ่งถ้าตอนนั้นผมเห็นก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อถูกหยุดเวลาไว้ในภาพถ่าย รอยยิ้มและแววตานั้นกลับฉายชัดความรู้สึกที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า คือการที่อยู่ๆ สมองผมมันก็ขุดเค้นความทรงจำขึ้นมา และทำให้รู้ว่าผมรู้จักผู้ชายคนนั้น
รู้แล้ว ว่าทำไมภาพใบหน้าของโชยามที่มีแว่นสีดำกรอบหนาอยู่บนหน้า ถึงได้คุ้นตานัก
 

‘โชกุน? ไอ้โชกุนอ้วนดำแว่นอ่ะนะ’
 

คำพูดแสนเหยียดที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนพูดดังเข้ามาในสมองของผมทันทีที่นึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้
วันนั้นผมกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ และได้ยินบทสนทนานั้นโดยบังเอิญ ขณะที่สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าของชื่อยืนแอบอยู่หลังผนังห้องน้ำพร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
 

‘เออ กูว่าแม่งต้องเป็นแน่เลยว่ะ เห็นสายตาที่แม่งมองไอ้ท็อปป่ะ สัสเอ๊ย น่าขนลุก’

‘จริงป้ะ! เชี่ย! กูช็อก อ้วน ดำ เนิร์ดแล้วยังเป็นเกย์อีกเหรอวะ ชีวิตอาภัพสัส’
 

เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดพล่อยๆ นั้นกำลังทำร้ายใครอยู่

ตอนนั้นผมไม่อยู่ในสถานะที่จะเข้าไปยุ่งอะไรได้ ผมไม่ได้รักความยุติธรรมถึงขนาดที่จะเข้าไปช่วยเอาเรื่องใครก็ตามที่พูดบทสนทนาแสนน่ารังเกียจนั้นออกมา ผมมันก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่อยู่ใกล้ที่สุดและคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าใครๆ

สุดท้ายวันนั้นผมจึงทำได้แค่เดินไปตบบ่าเขา ผู้ชายซึ่งกำลังตกอยู่ในวังวนของคำดูถูกจนไม่ทันสังเกตเลยว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
 

‘ชื่อโชกุนเหรอ’
 

ผมถาม เจ้าของร่างท้วมที่เตี้ยกว่าผมเล็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นขยับแว่นให้ชิดสันจมูกแล้วมองผมงงๆ
 

‘เราชื่อตรี’

‘...’
 

ตอนนั้นสีหน้าเขาบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ถามชื่อผมเลยสักนิด ผมเลยยิ้มแล้วพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะพูดออกไป

ความลับของผม ที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟัง
 

‘เราเอง... ก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน’

‘…!!’

‘ฝากเก็บไว้เป็นความลับให้หน่อยนะ’ ผมพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะเดินจากมา
 

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผมบอกเรื่องนั้นกับเขาไปทำไม ทั้งๆ ที่มันไม่มีเหตุผล และไม่เกี่ยวของกับเรื่องที่เขากำลังเผชิญเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ต้องทำ และมัน...ก็ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด ที่ได้พูดออกไปกับใครสักคน แม้ว่าสุดท้ายเขาอาจจะเอาเรื่องของผมไปโพนทะนาทำให้โดนสายตาดูถูกจากคนรอบตัวเหมือนที่เขาโดนก็ตาม

“ตะ...ตรี!!” เสียงเรียกอย่างตกใจทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด หันกลับมาก็พบกับโชในสภาพเสื้อยืดกางเกงนอนผมเผ้ายุ่งฟูแถมสวมแว่นหนาเตอะไร้วี่แววหนุ่มฮอตที่ผมเคยอิจฉา

โชเบิกตากว้างขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของเขาซึ่งมีภาพนั้นแปะอยู่ ขายาวๆ จึงรีบก้าวพรวดมาตรงผมพร้อมกับกระชากรูปนั้นออกไปซ่อนไว้หลังตัวเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับถามเสียงดัง

“ตะ...ตรีมาทำอะไรที่นี่” สีหน้าหวาดระแวงพยายมกลบเกลื่อนของเขาชัดเจนซะจนผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ผมเลยถอยหลังออกมามองหน้าเขาแล้วยิ้มให้ตามปกติ

“พี่โมให้มาดูว่าโชเป็นยังไงบ้าง” ผมบอกและสังเกตว่าหน้าตาของโชดูไม่สดใสด้วยอาการป่วย แต่ก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว

“ผะ...ผมไม่เป็นอะไร” เขาตอบอึกอัก ยกมือขึ้นมาดันแว่นแล้วทำสายตาหลุกหลิกเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร “ผม...ผม...”
สุดท้ายผมเลยเป็นคนพูดแทน

“โชกุน” ผมเรียกชื่อเขา ชื่อของโชคนเก่าที่ผมเคยรู้จัก

“...!!” และเขาก็คงรู้ตัวว่าผมรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร

ผมจึงยิ้มกว้างรู้สึกดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย”

“ตะ...ตรี” เขาดูทั้งตกใจและสับสนในเวลาเดียวกัน จนผมคิดว่าควรปล่อยให้เขาอยู่กับความคิดตัวเองจนสบายใจดีกว่า จึงยืนเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ
               
เวลาผ่านไปนับนาที กว่าที่โชจะดูสงบลง แล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตาเหมือนปล่อยวาง ไม่คิดจะกลบเกลื่อนอะไรอีก เมื่อความจริงมันเห็นอยู่ทนโท่
               
“ขอโทษ ที่ตอนแรกทำเป็นไม่รู้จัก” เขาพูด น้ำเสียงอ้อมแอ้ม
               
ผมเลยหัวเราะกลับไป “ไม่เป็นไร เราต่างหากผิดเองที่จำโชไม่ได้ ก็เล่นดูดีขึ้นขนาดนี้นี่นะ” ผมว่า โชเลยยิ้มเจื่อนๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มเหมือนเคย
               
 “แบบนี้ถ้าไอ้พวกนั้นมาเห็นก็คงไม่มีอะไรให้ล้อแล้วดิ” ผมพูดติดตลก
               
“...” แต่โชกลับนิ่งไป

เขาก้มหน้าลงราวกับจะปกปิกความรู้สึกบางอย่างของตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สบตาผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“ไม่หรอก ถ้าพวกมันมาเห็นผม ก็คงจะโดนล้ออยู่ดี” สายตาที่ผมเหมือนจะเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร “เพราะผมเป็นเกย์อย่างที่พวกมันว่าจริงๆ”

“...”

เราต่างก็มองหน้ากันนานหลายวินาทีด้วยความรู้สึกกลัว... ต่างคนต่างกลัว ในคำในความคิดของเขาที่กำลังจะเอ่ย คำคำเดียวที่เคยทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคนมานักต่อนัก

แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่หอมหวานเกินกว่าที่ใครจะต้านทาน

“ตรีรู้แล้วใช่มั้ย... ว่าผมชอบตรี”

“...”

“ชอบมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอตรี” คนตัวเล็กกว่าพูดคำนั้นออกมาด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ

มันทำให้ผมนึกถึงความเจ็บปวดตอนที่ผมสารภาพรักกับไอ้ซันอีกครั้งราวกับภาพของหนังที่ฉายซ้ำ ถึงตอนนี้มันจะหายไปแล้ว แต่มันก็เป็นเหมือนกับเพื่อนเก่า ที่เข้าใจกันดี

ดีเกินไปจนไม่อยากให้ความเจ็บปวดเดียวกันเกิดขึ้นกับใครอีก

“ตอนที่รู้ว่าคนที่ตรีชอบคือซัน ผู้ชายคนนั้น ที่เพียบพร้อมกว่าผมทุกอย่าง ผมก็พยายามทำทุกวิถีทางให้ได้แม้สักครึ่งของ
ความเพอร์เฟ็กต์นั้น เผื่อว่าสักวันที่ตรีเลิกรักเขา มันอาจจะเป็นเวลาของผม”

“...”

“แต่มันก็ช้าไป” เขาพูด ก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลลงมาหวังจะไม่ให้ผมเห็น
แต่ก็ไม่ทัน

"..." ผมได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร โง่เง่าจนไม่สามารถจัดการกับความคิดของตัวเองได้ว่าต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้

“ทำไมตรีไม่รอผมเลย... ทำไมถึงวิ่งไปหาคนที่เพอร์เฟ็กต์กว่า... แล้วแบบนี้ผมจะไปสู้ได้ยังไง” โชเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่พยายามปิดกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลไม่ให้ผมเห็นอีกแล้ว โชเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ในขณะที่ผมยังคงยืนนิ่งมองคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ผมกำลังทำร้ายคนอื่นอีกแล้ว ทำไมกัน…

สิ่งที่ผมเคยทำ มันจะส่งผลดีกับใครสักครั้งบ้างไม่ได้เหรอ?

“ตรียังจำพนันของเราได้มั้ย” แต่แล้วเสียงสะอื้นก็ถูกทำให้หยุดลง พร้อมกับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “คราวนี้ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่ให้ตรีปฏิเสธแล้วนะ” เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนกำลังพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ผมอย่างรวดเร็ว

“โช?” ผมเรียกชื่อเขาอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ นอกจากหมัดลุ่นๆ ที่ชกเขามาที่ท้องของผมสุดแรง
อึก!

เพราะไม่ทันได้เตรียมตัว ผมจึงจุกจนร่างทรุดลงบนเตียงที่อยู่ด้านหลังอย่างหมดท่า เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายที่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้วถอดแว่นหนาที่ขวางดวงตาออก แล้วตามมาคร่อมตัวผมที่ได้แต่นอนตัวงอเอาไว้ราวกับจะขังไม่ให้ผมสามารถขยับตัวได้ตามต้องการ

“ผมขอสั่งให้คืนนี้ตรีอยู่กับผม” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงมองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวด น้ำตาใสๆ เอ่อรื้นขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้าง ขณะที่ใบหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนๆ จากร่างกายที่โดนพิษไข้

“เป็นของผมแค่คนเดียวเถอะนะ” และพูดประโยคสุดท้าย ก่อนจะทาบริบฝีปากร้อนจัดลงมาอย่างรวดเร็ว

“...!!”




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2016 01:55:07
ม่ายยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-04-2016 07:23:33
 :z3:     ซัน. มาเดี๋ยวนี้เลย
แกปล่อยแมวไว้กับปลาย่างได้ไง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-04-2016 08:10:08
เอิ่มมมม

เดะนะ


โชกุนนี่รุกหรา??
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-04-2016 09:03:26
จะซันหรือจะพี่เชนใครก็ได้ช่วยตรีด้วย :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 30-04-2016 17:52:16
เฮ้ยยยยยยยยยย
 :serius2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-04-2016 20:44:46
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 30-04-2016 21:02:18
เชรดดดด ซันแกมาเอาว่าาที่เมีย?แกออกไปจากตรีเดี๋ยวนี้นะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 30-04-2016 23:31:54
ผมคิดไปเอง หรือว่าหลังๆหนึ่งตอนมันค่อนข้างสั้นลงครับนั่น? แต่สำหรับผมมันก็โอเคนะ เพราะอารมณ์ตัดได้เหมาะสม แต่มีข้อแนะนำให้เผื่ออนาคตอยากเขียนตอนที่ยาวขึ้น แล้วมีเส้นคั่นฉากอารมณ์นะครับ

ข้อแรกคือลองศึกษาพวกกระทู้แนะนำการใช้โค้ดลูกเล่นนะครับ (พวกเล่นสี ขีดเส่นใต้ หรือเส้นคั่นยาว) กระทู้ที่อาจจะเป็นประโยชน์ก็พวกนี้ครับ
Tips การใช้งาน : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32221.0
คำสั่ง Code และการใช้งาน(พวกลงเพลง ลงรูป) : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63.0

ที่ผมอยากแนะนำให้ใช้ก็พวกเส้นคั่นยาว(เป็นรูปปุ่มลูกศรมีปลายทั้งสองด้าน) ครับ เผื่อใช้ไว้มันก็จะสะดวกขึ้นเวลาพิมพ์ตอนยาวๆ แล้วก็แถบด้านบนพวกข้อมูลส่วนตัวก็สามารถแก้ไขได้ ข้อความส่วนตัวก็จะเป็น PM ที่สมาชิกส่งให้ คลิกเล่นดูได้ ถ้าใช้สะดวกขึ้นก็จะสามารถเล่นเว็บบอร์ดได้สนุกมากขึ้นนะครับ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-05-2016 00:43:12
อ้าว...โช ไมทำงี้  :katai1:
รักเขา แต่ทำอย่างนี้ ทำร้ายคนที่เขาดีกับเราเนี่ยนะ  :m31:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 38 [ 30/04/2559 ] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 01-05-2016 14:07:35
โชรักตรีหรือรักตัวเอง ถ้าตรีโดนโชข่มขืนเราจะเลิกอ่านจริงๆ ด้วย  :mew4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 1/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 01-05-2016 18:31:16
39
สัมพันธ์
 
                 
“เดี๋ยว...อึก โช!” ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบและส่งเสียงเรียกให้เขาหยุดแต่การโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อครู่ก็ยังทำเอาผมจุกจนได้แต่พูดอึกอัก แถมร่างกายร้อนจัดที่คร่อมอยู่ก็ยังทิ้งน้ำหนักลงมาจนผมไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่างหาก
               
เวรเอ๊ย!
               
“โชกุน!” ผมฝืนตะโกนอีกรอบเพื่อเรียกสติ แต่โชก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังเลย เจ้าของริมฝีปากร้อนจัดที่พยายามจะจูบผมกำลังเลื่อนริมฝีปากลงมาที่ซอกคอและเริ่มระดมจูบสะเปะสะปะเหมือนคนไม่ได้สติ
               
“ผมรักตรีจริงๆ นะ ฮึก...” เสียงสะอื้นเจือปนไปกับเสียงอ้อนวอนที่มาพร้อมกับการกระทำอันอุกอาจแบบที่ผมไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะกล้าทำ ฝ่ามือข้างหนึ่งของโชเริ่มลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว ขณะที่อีกข้างก็พยายามปลดกระดุมเสื้อออกอย่างถือวิสาสะ
               
บ้าชิบ หมอนี่มันป่วยจริงหรือเปล่าวะ ทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้
               
ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่จะหมดท่าเพียงเพราะโดนชกแค่ครั้งเดียว แต่สถานการณ์มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนผมไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงจริงๆ ในหัวมันขาวโพลนไปหมดจนได้แต่พยายามดิ้นพล่านเพื่อออกจากพันธนาการของคนตรงหน้าอย่างสติแตก

“โช! หยุดก่อน โช!” ผมตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้เขาหยุด แต่ดูเหมือนโชจะไม่มีสติเลย เขายังคงเอาแต่ระดมจูบไปบนร่างกายท่อนบนของผมที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกฉีกกระชากจนกระดุมหลุดหมดแผงอย่างน่าอนาถ
               
“ตรีรู้ได้ยังไงว่าพี่เชนเขารักตรีจริง” แล้วอยู่ๆ โชก็หยุดริมฝีปากตัวเอง เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาอาบแก้ม “รู้ได้ไงว่าเขาจะรักตรีมากกว่าผม!”
               
“...”
               
“คนอย่างพี่เชน มีผู้หญิงตั้งมากมายพร้อมเสนอตัวมาให้เลือก ฮึก... แล้วตรีจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่เผลอใจไปหาผู้หญิงพวกนั้น!” โชเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารอีกครั้ง เขามองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวดแบบที่สัมผัสได้ ก่อนจะกลบเกลื่อนความเจ็บปวดนั้นด้วยการฝังใบหน้าลงกับซอกคอของผมอีกครั้งกดเม้มริมฝีปากลงมาบนผิวกายของผมอย่างอ่อนแรง
               
และคราวนี้ผมไม่คิดจะดิ้นขัดขืนแล้ว
               
เพราะผมรู้ว่าโชไม่ได้อยากทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่เลย
               
“เรารู้ว่าพี่เชนจะไม่เปลี่ยนใจ” ผมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดังพอที่จะทำให้คนที่พยายามจาบจ้วงลุกล้ำเข้ามาแทรกกลางความสัมพันธ์ของผมด้วยวิธีผิดๆ ต้องหยุดชะงักลง
               
"..." โชไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่ผมก็รู้ว่าเขาฟังผมอยู่
               
“ต่อให้วันข้างหน้ามีผู้หญิงเข้ามามากมายขนาดไหน เราก็เชื่อว่าเขาจะยังรักเรา”
               
มันไม่มีอะไรมายืนยันได้เลยว่าสิ่งที่ผมพูดมันจะเป็นจริง... ผมก็แค่เชื่อ เชื่อในความสัมพันธ์ของเรา
               
“ขอโทษที่เราไม่รู้ว่าโชรักเราแค่ไหน หรือโชรักเรามากกว่าพี่เชนหรือเปล่า”
               
“...”
               
“แต่คนที่เรารัก... ก็คือพี่เชน... ไม่มีวันเป็นคนอื่นอีกแล้ว”
               
“...”
               
“ขอโทษครับ ที่ยอมรับความรู้สึกของโชไม่ได้” ผมเอ่ยคำนั้นออกมาจากใจจริง
               
ผมไม่โกรธที่โชพลาดพลั้งทำเรื่องแย่ๆ ลงไปเพราะผมรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และต่อให้สุดท้ายเขาทำสำเร็จ คืนนี้ร่างกายของผมกลายเป็นของเขาไปจริงๆ ...มันก็ไม่มีความหมาย เพราะหัวใจของผมจะยังคงเป็นเหมือนเดิม
               
ผมรักเชน... นั่นคือความสัตย์จริง
               
“ฮึก...ฮือ...” โชนิ่งไปพักใหญ่หลังจากได้ยินคำพูดอันมั่นคงของผม ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บกดความรู้สึกไว้อีก ร่างกายของคนตัวเล็กกว่ายังคงคร่อมอยู่เหนือร่างผม แต่ไม่คิดจะทำอะไรน่ารังเกียจแบบก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาเพียงแค่ซุกหน้าลงมาร้องไห้กับไหล่ผมอย่างต้องการที่พักพิงเท่านั้น
               
พลั่ก!
               
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงตามอารมณ์คุกรุ่นของร่างสูงที่เป็นคนเปิดมันออก
               
วินาทีต่อมา ก่อนที่สมองของผมจะประมวลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของโชก็ลอยหวือออกจากร่างผมไป กระแทกกับกำแพงด้านหลังอย่างแรง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่โชก็ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ ขณะที่ผมเองก็ได้แต่นอนนิ่งเบิกตากว้างมองร่างสูงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ
               
มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมที่ปรายตากลับมาสบตาผมด้วยความเย็นชา ก่อนจะเดินตามไปกระชากร่างของโชขึ้นมาปล่อยหมัดลุ่นๆ ลงกับใบหน้าใสโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ
               
เชน...
               
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้??
               
“เฮ้ยพี่! ใจเย็นๆ ก่อน!” เสียงไอ้ซันที่พุ่งตามเข้ามาปลุกผมขึ้นจากคำถามในหัว ได้สติว่าตอนนี้เชนกำลังทำร้ายโชที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกอยู่ในกำมือของเขาอย่างไร้ทางสู้
               
“พี่เชน! หยุดก่อน เดี๋ยวมันก็ตายหรอก โอ๊ย!” เสียงร้องห้ามขาดห้วงไปเมื่อไอ้ซันพยายามจะเข้าไปขวางแต่ดันถูกกำปั้นของเชนซัดเข้าที่มุมปากเต็มแรงจนหน้าหัน
               
“มึงถอยไป” น้ำเสียงเยือกเย็นของเชนดังขึ้นมา พร้อมกับที่ฝ่ามือหนาที่เอื้อมไปกำคอเสื้อน้องรหัสตัวเองไว้ทำท่าจะโยนออกไปให้พ้นทาง
               
"ใจเย็นๆ ก่อนดิพี่!" แต่ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ไม่ยอม พยายามยื้อตัวเองไว้และร้องให้เชนหยุด แม้ว่าริมฝีปากมันจะมีเลือดอาบแล้วก็ตาม
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกเมื่อได้สติว่าควรทำอะไรสักอย่าง ผมลุกจากเตียงวิ่งไปคว้าแขนแข็งที่เงื้อขึ้น เตรียมจะชกหน้าไอ้ซันอีกรอบเพราะมันไม่ยอมถอย
               
ร่างสูงหยุดชะงัก ก่อนจะตวัดสายตาน่ากลัวกลับมามองผม ขณะที่กำหมัดแน่นเหมือนกำลังพยายามห้ามตัวเองให้หยุด
               
“นายกำลังเข้าใจผิดนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย” ผมพยายามอธิบายแม้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองตอนนี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่พูดก็ตาม
               
เชนนิ่งไปมองสภาพของผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาคมกริบ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตท่หลุดลุ่ยเผยให้เห็นร่องรอยที่โชทิ้งไว้บนร่างกายของผม ถึงแม้ดวงตาคมกริบจะยังมองมาอย่างน่ากลัว แต่สุดท้ายเขาก็ยอมลดหมัดลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นคว้าแขนผมแทน
               
“มานี่!” ฝ่ามือหนาบีบแขนผมแน่นก่อนจะลากออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก
               
แต่ก่อนที่จะพ้นประตู สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นว่าโชที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเต็มทีมองผมด้วยสายตาเจ็บปวดและอ่อนล้า ก่อนที่ร่างเล็กที่กำลังสั่นเทิ้มจากการร้องไห้อย่างหนักจะหมดสติไป ซบกับหลังของไอ้ซันที่ยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
               
ผมตกใจแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะลำพังตัวเองก็ยังเอาชนะแรงของร่างสูงของคนตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เชนลากผมออกมาจนถึงชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ตรงประตูทางเข้ามีรถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งจอดขวางอยู่ ผมไม่คิดว่าเป็นของเชนจนกระทั่งเขาเดินมาเปิดประตูและจับผมโยนเข้าไปในรถโดยไม่พูดไม่จา
               
ตลอดทางผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ ไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำตอนที่เขาเหยียบคันเร่งต่อเนื่องด้วยอารมณ์คุกรุ่นจนเรามาถึงหอภายในไม่กี่นาที
               
“นี่ ฟังก่อน...” ผมพยายามคิดหาคำพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาทำลายบรรยากาศ แต่ทันทีที่จอดรถสนิท เชนก็เปิดประตูลงไปโดยไม่ทันให้ผมได้พูดอะไรจบ
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกเมื่อเห็นร่างสูงสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในหอพักและทิ้งผมไว้ในรถอย่างไม่ไยดี แต่เขาก็ไม่หันกลับมา ผมจึงเลิกนั่งเซ่อแล้วเปิดประตูวิ่งตามเขาลงไปแทน
               
"เชน! พี่เชน!" กว่าจะตามทัน ก็ตอนที่เขาเดินขึ้นมาถึงห้อง ไขประตูเข้าไปและปิดประตูใส่หน้าผมอย่างแรง
               
ผมรีบเปิดประตูตามเข้าไปเพื่อจะอธิบาย แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าร่างสูงที่เดินนำเข้ามาก่อนหยุดยืนหันหลังอยู่ตรงหน้านี่เอง แผ่นหลังกว้างที่เครียดเกร็งกับฝ่ามือที่กำหมัดแน่น บ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังโกรธจัดแค่ไหน
               
“โง่ชิบ” เสียงทุ้มเอ่ยรอดไรฟันขณะที่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเหมือนกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่น่ามาวันนี้เลย”
               
“ขะ...ขอโทษ” ผมอึกอัก กำลังจะเดินเข้าไปหาเขา ทำอะไรก็ได้ให้รู้ว่าเขากำลังเข้าใจผิด
               
แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ตวัดกลับมาสบตาผมด้วยสายตาอ่านยาก ก่อนที่ร่างสูงจะเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้ามา ดันร่างผมกลับไปชิดประตูอย่างแรงพร้อมกับทาบริมฝีปากลงมาทันทีโดยไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัว
               
“มันแตะตรงไหน” เสียงทุ้มถามรอดไรฟันอีกครั้งหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก มองผมด้วยสายตาเย็นชา “ถามว่ามันแตะตรงไหน!” เขาขึ้นเสียงเมื่อผมไม่ตอบในทันที
               
“เชน...” ผมกลัวสายตาและท่าทางโกรธจัดของเขา จนทำได้แค่เอ่ยชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
               
ผมรู้ว่าเขาโกรธ... แต่แบบนี้มันน่ากลัวเกินไป
               
“ถ้าไม่บอก ฉันจะหาเอง” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนน่ากลัว ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะทาบลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งล็อกใบหน้าผมไว้ไม่ยอมให้ขัดขืน ขณะที่มืออีกข้างก็ฉีกกระชากเศษเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวของผมออกไปให้พ้นทาง เหลือเพียงร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเพื่อให้ร่องรอยที่โชได้ทิ้งไว้เผยออกมาได้ชัดเจน
               
“เชน ฟังก่อน” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น และพยายามดันร่างของเขาออก แต่เจ้าของริมฝีปากร้อนจัดกลับเลื่อนจูบหนักๆ ลงไปที่ซอกคอและไหปลาร้าเปลือยเปล่าของผม กัดเม้มอย่างรุนแรงราวกับต้องการจะใช้รสจูบของเขาลบล้างทุกสัมผัสของโชให้หายไป
               
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...อึก!” คำพูดของผมถูกกลืนหายไปทันทีที่ริมฝีปากของเขาเลื่อนลงมาที่แผ่นอกของผม มอบสัมผัสแปลกประหลาดที่ทำเอาผมผงะ หยุดคำพูดและความคิดทุกอย่างที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในหัว
               
“หุบปาก” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ พร้อมกับใช้มือหนาข้างหนึ่งล็อกแขนทั้งสองข้างของผมไว้กับกำแพง ไม่ให้ผลักร่างของเขาได้อีก
               
นี่มัน... ไม่ใช่แล้ว 
               
มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิวะ 
               
“ดะ...เดี๋ยว...เชน” ผมพยายามร้องห้ามเมื่อร่างสูงเริ่มระดมจูบสะเปะสะปะไปทั่วผิว ในขณะที่มือซุกซนเริ่มเลื่อนไปในที่ที่ไม่ควรสัมผัสอย่างน่ากลัว
               
“พี่เชน! หยุด!” และก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะปลดกระดุมกางเกงผมสำเร็จ ผมก็รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายตะโกนเตือนสติเขาพร้อมกับผลักร่างสูงออกไป
               
“เวรเอ๊ย!” เสียงทุ้มสบถออกมาเสียงดังด้วยความโกรธจัด เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาเจ็บปวดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วหมุนตัวกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เท้าแขนลงกับเข่าและซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือราวกับกำลังพยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
               
“ทำแบบนั้นทำไม” นานหลายวินาทีกว่าเขาจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วงราวกับกำลังสับสน “พอฉันไม่อยู่ ก็ไปหาผู้ชายคนอื่นงั้นเหรอ” เขาหันกลับมามองผมอีกครั้งสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ
               
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ผมยังคงพูดคำเดิมซ้ำๆ และหวังว่าเขาจะฟัง "ฉันกับโชไม่ได้มีอะไรกัน" แต่แววตาของเชนกลับฉายแววหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับตวาดกลับมา
               
“เข้าใจผิดห่าเหวอะไรก็เหอะ! แต่ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วจะให้เชื่อใจได้ยังไง!”
               
"..."
               
"จะปล่อยให้ห่างกันได้ยังไง ถ้าต้องมานั่งหวาดระแวงกลัวใครจะเข้ามา"
               
“...” ช่างโง่เง่าที่คำอธิบายมากมายที่อยู่ในหัวผม มันไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดดีๆ ได้เลยแม้แต่คำเดียว
               
“ที่ฉันทำให้ มันยังไม่พอ?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าเจ็บปวด พร้อมกับเอ่ยถาม “แล้วจะให้ทำยังไงวะ ถึงจะไม่ไปไหนอีก”
               
คำถามทิ่มแทงที่ทำให้ผมเจ็บปวดไม่แพ้กัน
               
“อย่ามาทำให้ฉันกลายเป็นคนโง่ เหมือนตอนยัยทองกวาวนั่น... ขอแค่นั้นไม่ได้หรือไง”

คำพูดของเชนในทุกๆ ประโยคมันบ่งบอกชัดเจนว่าความโลเลที่ผ่านมาของผม มันส่งผลแย่แค่ไหน
มันทำให้เขาไม่เชื่อใจผม...
               
เป็นความผิดของผมเอง อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
               
“อย่ามาแตะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยห้ามไว้ เมื่อผมเอื้อมมือออกไปกำลังจะแตะไหล่กว้างที่เครียดเกร็งของเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบตาผมด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง สายตาที่เหมือนกับจะสื่อว่าให้ผมไปให้พ้น
               
แต่ถ้าผมยอมแพ้สายตานั่น... ทุกอย่างก็จะพัง
               
ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้พิสูจน์เลยว่า ผมรักเขามากแค่ไหน
               
“ขอโทษ ที่ดูแลตัวเองไม่ดี” ผมเอ่ยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงและคุกเข่าลงเพื่อให้เงยหน้าสบตาเขาได้ถนัด
               
“...” เชนยังคงมองมาด้วยสายตาเย็นชา แต่คราวนี้ไม่มีความไม่ผลักไส
               
“ขอโทษครับ ที่ไม่เคยทำอะไรให้เชื่อใจได้เลย”
               
“...”
               
“พี่เชน” ผมเรียกชื่อเขา แล้วดึงฝ่ามือหนาของเขามาแนบกับแก้มทั้งสองข้างของตัวเอง และมองเขาด้วยสายตาที่ต้องการสื่อถึงความจริงใจ “ถ้าผมบอกว่าต่อไปนี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจแล้ว จะเชื่อผมมั้ย?”
               
“...”
               
“ถ้าพูดว่าจะไม่ทำให้พี่เชนเจ็บเพราะความโลเลของผมอีก จะเชื่อหรือเปล่า?”
               
“...”
               
“สัญญาได้มั้ย... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... พี่เชนจะยังอยู่ข้างๆ ผม ไม่ไปไหน”
               
“...”
               
“แล้วผมจะเป็นคนพิสูจน์เอง...ว่าผมรักพี่เชนยิ่งกว่าใครๆ... และจะไม่ยอมให้ใครมแทรกกางระหว่างเราอีก” ผมยิ้ม มองใบหน้าที่อ่อนลงของเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นออกมา
               
เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการตัดสินใจทำบางอย่างในหัว... 
               
และผมภาวนาว่ามันจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอีก
               
ดูเหมือนความโกรธจะมลายหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยหมดแล้ว โดยที่ผมไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาวในเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เขารู้ดีว่าผมไม่ได้โกหก และผมเชื่อว่าสายตาของผมที่แสดงความรู้สึกทั้งหมดที่มีออกไป คงจะทำให้เขาเชื่อใจผมขึ้นมาบ้าง แม้นิดเดียวก็ยังดี
             
“จะทำอะไร” เขาถาม พลางเกลี่ยนิ้วโป้งวนไปมาบนใบหน้าของผมเบาๆ

ผมยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน แล้วเอ่ยคำถามใหม่ขึ้นมา “จำได้มั้ยที่พี่เชนเคย
ถาม ว่าจะยอมอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า... ตอนนั้นพูดเล่นหรือจริงจัง”

“จริงจัง” เขาตอบทันที ไม่ทิ้งเวลาให้ผมรอเลย

ผมหัวเราะอย่างพอใจในคำตอบนั้น ขณะที่แตะหน้าผากลงกับหน้าผากของเขาเบาๆ สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวย และเอ่ยในสิ่งตัวเองตัดสินใจแล้วออกมาให้เขาได้ยิน

“ถ้างั้น... ก็ช่วยดูแลผม ไปตลอดชีวิตที่เหลือเลยได้มั้ย?” ผมเว้าวอน ในขณะที่เชนนิ่งไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงระเหี่ยใจอย่างไม่จริงจัง

"แล้วฉันจะปฏิเสธได้ยังไง" เขาว่า ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากของผม เลื่อนลงมาที่จมูก และทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

รสจูบที่เร่งเร้าขึ้นตามการตอบสนองของผมที่ขยับเข้าไปใกล้เพื่อตอบรับสัมผัสของเขาโดยไม่คิดจะขัดขืน เราต่างมอบจูบลึกซึ้งให้กันและกันด้วยความรู้สึกมากมายที่เปี่ยมล้นออกมาเกินต้านทาน อ้อมแขนแข็งแกร่ง ดึงร่างของผมขึ้นไปนั่งบนตักเขาและจูบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะพลิกตัวดันร่างผมให้เอนหลังลงบนเตียงโดยมีร่างเขาตามขึ้นมาคร่อมไว้ ขณะที่ริมฝีปากของเรายังไม่แยกจากกันแม้สักวินาที

จูบที่ลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ ส่งผลถึงร่างกายที่กำลังร้อนจัดของเราทั้งคู่ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นจนเกือบจะเลยเถิดไปตามจินตนาการ... แล้วไม่นานเชนก็ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ขมวดคิ้วสบตาผมด้วยสายตาที่ดูสับสนและงุ่นง่านในเวลาเดียวกัน

ผมเดาออกได้ไม่ยากเย็นเลยว่าเขากำลังคิดอะไร

ผมจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายรั้งท้ายทอยของเขาลงมาเพื่อทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขาอีกครั้ง เป็นการให้คำตอบในสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ

ว่าผมอนุญาต...

เชนส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างเข้าใจ ร่างหนาขยับเข้ามาชิดกันมากกว่าเคยเพื่อมอบจูบอันดูดดื่มที่ลุกล้ำไปยังผิวกายทุกๆ ส่วนของผมด้วยความรู้สึกโหยหา เราต่างกอดกันแน่นขึ้นในทุกๆ วินาทีราวกับไม่อยากให้มีแม้แต่ธุลีของอากาศเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราได้อีก

เขามอบสัมผัสแห่งความสุขลึกซึ้งในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนในชีวิต ด้วยความรักที่ไม่อาจแสดงออกผ่านเพียงคำพูดได้อีกต่อไป

สัมผัสแห่งรักที่ช่วยยืนยันว่าคราวนี้ผมตัดสินใจไม่ผิด

มันถึงเวลาแล้ว ที่ผม จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างของผมให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า

ผู้ชายเพียงคนเดียว ที่ผมรักหมดหัวใจ




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 01/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-05-2016 18:45:10
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีนะที่พี่เชนมาทัน
พี่เชนตรีไม่ผิดนะตรีโดนต่อยท้องน่ะรู้เปล่า

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 01/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-05-2016 19:01:25
เห้ออออ.  :เฮ้อ:
เขาจะได้กันใช่ไหม เขียนncสักหน่อยดีไหมคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 01/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-05-2016 21:00:19
เรียบร้อย  :กอด1:


ดีที่ยังหยุดฟัง อย่าลืมอธิบายด้วยนะ




หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 01/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-05-2016 22:53:51
พี่เชนหึงแรง ณ จุดๆนั้นคงรู้สึกแบบผิดหวังเหมือนตรีหักหลังอีกครั้งสินะงืออออ
แต่ก็ดีแล้ว ขอบคุณที่ยังฟังกันงืออออ
รักเชนตรี
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 39 [ 01/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-05-2016 00:17:45
ใชคดีที่ไม่มีอะไรมาก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-05-2016 09:01:55
ตอนพิเศษ
 
               
Sun’s Part
 
               
ในบรรดากาแฟทั้งหมด ผมชอบกินลาเต้มากที่สุด
               
กาแฟใส่นมรสชาติละมุนลิ้นที่ต้องสั่งทุกครั้งไม่ว่าจะไปร้านกาแฟที่ไหนก็ตาม

แต่นานๆ ทีจะเจอบาริสต้าที่ชงลาเต้ได้รสชาติถูกใจ
               
…และไอ้ตี๋โชก็เป็นหนึ่งในนั้น
               
“กินได้ยัง” ผมชะโงกหน้าข้ามไหล่คนตัวเตี้ยมองกาแฟในมือมันที่เทฟองนมเป็นรูปต้นอะไรสักอย่างที่เขาชอบทำกันอย่างสวยงาม
               
ไอ้ตี๋เลยหันหน้ากลับมาตีสีหน้าเอือมใส่ผมพลางวางลาเต้ร้อนลงในถาดข้างตัว
               
“อันนี้ของลูกค้า” ย้ำคำพูดเดิมเป็นรอบที่ล้าน ทั้งที่รู้ว่าผมไม่อยากได้ยิน
               
“ไอ้สัส แล้วของกูเมื่อไหร่จะได้” ผมโวย
               
หลังจากมาทำงานที่นี่และได้สวัสดิการเป็นเครื่องดื่มฟรีไม่อั้น ผมก็สั่งให้ไอ้ตี๋ทำลาเต้ร้อนให้ผมทุกวันวันละแก้ว แต่ก็อย่างที่เห็น แม่งเล่นตัวชิบ กว่าผมจะได้กินลาเต้ฝีมือคุณบาริสต้าค่าตัวแพงนี่ก็ต้องทนได้ยินคำว่าของลูกค้าๆ ประมาณสามร้อยรอบจนเอียน
               
“มานี่ กูเอาไปเสิร์ฟเอง มึงทำของกูไป” ผมว่า พลางแย่งถาดกาแฟมาจากมัน แล้วชี้หน้าออกคำสั่ง ไอ้ตี๋โชเลยยักไหล่หันกลับไปชงกาแฟแก้วต่อไปซึ่งผมภาวนาให้เป็นของผมสักที
               
ผมประคองถาดลาเต้ร้อนไปเสิร์ฟให้ถึงมือลูกค้าโดยสวัสดิภาพจนได้ และยืนคุยกับลูกค้าที่มาประจำจนคุ้นเคยกันต่อนิดหน่อย ก่อนจะเดินกลับมาและพบว่ามีลาเต้ร้อนแก้วใหม่วางอยู่บนเคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว
               
“อันนี้ของกูป่ะ?” ผมเลิกคิ้ว ถ้ามันพูดว่าของลูกค้าอีกที สาบานเลยว่าผมเอาถาดฟาดหน้ามันแน่
               
“อือ” ไอ้ตี๋ตอบสั้นๆ แล้วหันไปทำนู่นทำนี่ตามประสา
               
ผมยักไหล่ วางถาดเปล่าลงและกำลังจะหยิบลาเต้ร้อนขึ้นมาดื่ม ถ้าไม่สังเกตว่าลายลาเต้อาร์ตที่อยู่บนแก้วมันเป็นรูปที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
               
พิจารณาดีๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นรูปลิงหน้าเบี้ยวๆ ดูกะโหลกกะลาอย่างน่าขำ
               
“เหี้ยไรวะเนี่ยตี๋” ผมเลิกคิ้วถามอย่างข้องใจ
               
“ไม่ใช่เหี้ย ลิง” มันว่า ไม่หันกลับมามองหน้าผมสักนิด
               
“ด่าไรกูป่ะเนี่ย” 

ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นมันทำลาเต้อาร์ตเป็นรูปลิงเลย ไหงมาทำให้ผมแดกซะงั้น
               
“...” จะไม่เจ็บใจเลยถ้าไอ้ตี๋ตาขีดเดียวไม่ปรายตากลับมามองผมนิ่งๆ ไม่ตอบอะไรสักคำ
               
“สัส ด่ากูเป็นลิงจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย” ผมโวย เดินเข้าไปผลักหัวทุยๆ ของไอ้คนกวนประสาทหน้าตาย
               
“ครับ”
               
อ้าว เสือกยอมรับอีก
               
“ไอ้ตี๋!” ผมทำเสียงเคืองๆ

พอเห็นผมเล่นด้วยหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะครับ
               
ยิ่งช่วงนี้ไอ้ตรีลงกรุงเทพฯ ไปหาพี่เชน ก็เหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้มันไม่จำเป็นต้องคีพลุคตี๋นุ่มผู้แสนดีอีกต่อไป พออยู่ต่อหน้าผมก็เลยกวนตีนเอาๆ จนน่าหมั่นไส้ (ถึงส่วนมากจะเป็นผมที่ไปกวนมันก่อนก็เหอะ)
               
ผมอดไม่ได้ที่จะผลักหัวมันแรงๆ อีกรอบ จนหน้าใสๆ แทบคว่ำลงไปในอ่างล้างจาน สงสัยจะเล่นแรงไป ไอ้ตี๋เลยหันกลับมามองตาขวางใส่
               
“จะกินไม่กิน” แน่ะ มีการเอากาแฟมาต่อรองด้วย “ไม่กินผมจะเททิ้ง”
               
“กิน” ผมยักไหล่ ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำขู่ของมันเท่าไหร่ แต่ก็ยอมหยุดเล่นหัวไอ้ตัวเล็ก และยกกาแฟขึ้นดื่มแทน ไอ้ตี๋มองผมตาขวางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปล้างแก้วต่อ เปิดโอกาสให้ผมผลักหัวทุยๆ ของมันอีกรอบ
               
“ไอ้ซัน!” และคราวนี้มันก็ปรี๊ดแตกหันกลับมาเรียกผมด้วยสรรพนามหยาบๆ ที่หลุดเรียกทุกครั้งที่ผมกวนตีนจนมันทนไม่ไหว
               
ผมหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจก่อนจะตีมึนเดินกลับมาอยู่หน้าแคชเชียร์จิบกาแฟโดยไม่สนใจว่ามันจะด่าอะไรผมตามหลัง ก็นะ การได้เห็นไอ้จอมเสแสร้งนี่หลุดเก๊ก ถือเป็นความบันเทิงอย่างเดียวที่ผมจะหาได้จากการทำงานร้านกาแฟกะดึกนี่หว่า
 
               
บางทีการที่ผมให้ไอ้ตี๋ชงกาแฟให้กินทุกวัน และการที่มันยอมขึ้นไอ้ขึ้นอีกับผม อาจทำให้ไอ้ตรีเข้าใจผิดว่าผมกับไอ้ตี๋โชสนิทกัน ดังนั้นตอนที่ผมไปถามหาไอ้ตี๋กับมันตอนที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็กกว่าในที่ทำงาน มันเลยพูดอะไรแปลกๆ ออกมา
               
“ถ้ามึงเป็นห่วง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาล่ะวะ” มันว่าพร้อมกับหันมาทำสายตาแปลกๆ ใส่ผม ผมก็เลยต้องรีบแย้งออกไปทันที
               
“ฮะ! ใคร ใครบอกมึงว่ากูเป็นห่วงไอ้ตี๋ กูเนี่ยนะ!? เกลียดขี้หน้ากันจะตายมึงก็รู้”
               
มันกำลังเข้าใจผิดครับ ไอ้ตรีแม่งคิดถึงพี่เชนจนเข้าใจผิดไปเรื่อยเปื่อยแล้ว
               
“มึงเพ้อหนักแล้วว่ะกูว่า เพ้อเรื่องพี่เชนลามมาเรื่องกูละ เป็นเอามากนะมึงอ่ะ” ผมชี้หน้ามัน ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาประเด็นอื่นขึ้นมาคุย แต่ก็โง่เกินกว่าจะคิดอะไรทัน เลยชิ่งหนีหน้าด้านๆ แทน
               
“กะ...กูไปห้องน้ำดีกว่า” ว่าจบก็ฟาดผ้าเช็ดโต๊ะลงกับเคาน์เตอร์ แล้วเดินหนีมาหลังร้าน โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะโมโหทำไม
               
และยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ เมื่อส่องกระจกในห้องน้ำและพบว่าหน้าผมกำลังแดกเถือกเหมือนมีใครเอาเลือดมาสาด
               
เป็นเชี่ยไรวะเนี่ย
               
ผมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะจัดการกับอารมณ์บ้าบอที่แล่นเข้ามาในอกให้สงบลง และทำให้ไอ้ใบหน้าแดงๆ นี่กลับมาขาวใสแบบปกติได้
               
แต่พอเดินกลับไปหน้าร้านอีกครั้งก็พบว่าไอ้ตรีไม่อยู่แล้ว เหลือแต่พี่โมที่ยืนเฝ้าเคาน์เตอร์ให้อยู่ 
               
“อ้าว ไอ้ตรีไปไหนอ่ะพี่” ผมถามอย่างแปลกใจ มันไม่ได้อยู่หลังร้านแน่ เพราะผมเพิ่งออกมา
               
“พี่ให้ไปดูโชที่หอ มีอะไรเหรอ” พี่โมเลิกคิ้วถามกลับ ผมชะงักไปนิดหน่อยด้วยความตกใจ เพราะหน้าที่ของผมคือเฝ้าไอ้ตรีไม่ให้ละสายตา และห้ามให้เข้าใกล้ไอ้ตี๋เด็ดขาด แล้วนี่เล่นไปหากันถึงหอเลย...
               
 แต่คิดอีกทีคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่ไปเยี่ยมไข้เอง
               
“เออ เมื่อกี้ก็มีลูกค้ามาถามหาตรีเหมือนกัน พอพี่บอกว่าไม่อยู่เขาก็ถามหาซัน พี่เลยให้นั่งรอก่อน... อ๊ะนั่นไงเดินมาแล้ว” คำพูดของพี่โมทำเอาอยู่ๆ ผมก็เสียวสันหลังวูบ ทั้งที่ยังไม่ทันจะหันไปมองเลยว่าลูกค้าที่ว่าเป็นใคร
               
แต่ก็ไม่น่าจะเดายากเท่าไหร่
               
“ไอ้ซัน” เสียงทุ้มของคนที่ผมรู้ดีว่าเป็นใครเรียกชื่อผมนิ่งๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ขนผมลุกซู่ไปทั้งตัว
               
“สะ...สวัสดีครับพี่เชน” ผมหันไปยกมือไหว้พลางยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่รหัสที่ตีหน้าเครียดอยู่ ก่อนจะหันกลับมาหาพี่โม ถามคำถามที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เกินจะควบคุม “เอ่อ...พี่โมครับ รู้มั้ยครับว่าหอไอ้โชไปทางไหน”
               
“หือ?”

“พอดีพวกเราจะไปเยี่ยมไข้มันน่ะครับ แหะๆ” ผมอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อน หน้าคงซีดยิ่งกว่าไข่ต้มไปแล้ว
               
เชื่อเถอะว่างานนี้คงได้มีใครสักคนลงโลงแน่ๆ ไม่ไอ้ตี๋...ก็ผมนี่แหละ
 
               
พอได้ที่อยู่ไอ้ตี๋มา พี่เชนก็ลากผมขึ้นรถสปอร์ตคันงามของพี่แกทันทีอยากจะตื่นเต้นกับรถสวยๆ เหมือนกัน แต่สถานการณ์โคตรจะไม่อำนวย เลยได้แต่นั่งหุบปากสวดภาวนานึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วอยู่ในใจ 
               
ใช้เวลาเหยียบคันเร่งแค่พริบตาเดียวรถก็มาจอดอยู่หน้าประตูเข้าหอแล้ว และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่หอเวรตะไลนี่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ นอกจากยามเฝ้าประตูที่หนีไปเฝ้าพระอินทร์แทน ทำให้พวกเราเข้ามาด้านในได้อย่างง่ายดาย
               
พี่เชนสาวเท้ายาวๆ ตามหาหมายเลขห้องที่ได้ยินมาจากพี่โมโดยไม่พูดไม่จาขณะที่ผมพยายามอธิบายว่าไอ้ตรีมันมาที่นี่ก็เพราะพี่โมวานให้มันมาเยี่ยมไข้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย
               
แต่มีหรือที่พี่รหัสจอมโหดของผมจะฟัง
               
แค่มองหน้าผมสักวิยังไม่มีเลย เอาแต่เดินไปข้างหน้าอย่าเร่งรีบ ด้วยใบหน้าถมึงทึงเหมือนพายุเทอร์นาโดที่พร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
               
น่ากลัวสัสๆ
               
ผมชักจะรู้สึกผิดแล้วล่ะ ที่ถามที่อยู่ไอ้ตี๋ให้พี่เขา (แต่ถึงผมไม่ถาม พี่เชนก็คงจะเค้นเอาจากปากพี่โมมาได้อยู่ดี แบบนั้นหนักกว่าอีก!)
               
“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะพี่ โชมันไม่กล้าทำอะไรไอ้ตรีหรอก” ผมพร่ำพูดคำเดิมๆ ซ้ำๆ ไปตลอดทาง จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงหน้าห้องที่ผมจำได้ว่าเป็นหมายเลขห้องที่พี่โมเพิ่งบอก
               
ไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่เชนเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของ แถมยังสาวเท้าพรวดๆ เข้าไปยันห้องนอนอย่างรวดเร็ว 
               
ซึ่ง...
               
ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออกไปเลยเช่นกัน
               
ไอ้สัสตี๋! เล่นเชี่ยอะไรวะเนี่ย!
               
โครม!
               
เหมือนหนังที่ปรับโหมดเป็นสโลวโมชั่น เมื่อผมเห็นพี่เชนพุ่งเข้าไปคว้าร่างไอ้ตี๋ที่กำลังคร่อมอยู่บนตัวของไอ้ตรีโยนไปที่กำแพงโครมใหญ่ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัว จนกระทั่งพี่เชนตามไปคว้าคอเสื้อของคนตัวเล็กขึ้นมาอีกครั้ง และรัวหมัดใส่ไม่ยั้งโดยไม่มีการเจรจาใดๆ นั่นแหละผมถึงได้สติว่าอะไรเป็นอะไร
               
“เฮ้ยพี่! ใจเย็นๆ ก่อน!” ผมพร้อมกับพุ่งเข้าไปห้ามเป็นคนแรก ขณะที่ไอ้ตรียังนอนมึนตามสถานการณ์ไม่ทันอยู่บนเตียง
               
“พี่เชน! หยุดก่อน เดี๋ยวมันก็ตายหรอก โอ๊ย!” แต่ดูเหมือนจะเข้ามาผิดจังหวะไปหน่อย ก็เลยกลายเป็นว่าผมเสือกเอาหน้ามารับหมัดหนักๆ ของพี่เชนแทนซะงั้น
               
เจ็บชิบ!
               
“มึงถอยไป” น้ำเสียงเยือกเย็นของพี่เชนดังขึ้นมา ก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้อไอ้ตี๋เปลี่ยนมาคว้าคอเสื้อผมทำท่าจะโยนออกไปให้พ้นทาง 

แต่ผมไม่ยอมหรอก ไม่งั้นไอ้ตี๋ได้ตายคาตีนพี่เชนแน่
               
“ใจเย็นๆ ก่อนดิพี่” ผมพยายามตะโกนห้าม แต่พี่เชนกลับเงื้อมือขึ้นทำท่าจะชกผมอีกรอบ ผมรับตาปี๋เตรียมรับหมัดนั่นโดยไม่คิดจะหลบ เพราะรู้ดีว่าถ้าหลบหมัดนี้ก็คงไม่พ้นกระทบลงบนหน้าใสๆ ของไอ้ตี๋ที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง
               
“เชน!”
               
“...” แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะไอ้ตรีได้สติขึ้นมาร้องห้ามเสียก่อน
               
“นายกำลังเข้าใจผิดนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น” ไอ้เพื่อนตัวดีของผมพยายามอธิบายด้วยถ้อยคำที่โคตรจะขัดแย้งกับสภาพร่างกายตัวเอง
               
ผมมองเสื้อเชิ้ตขาดรุ่งริ่ง และรอยจูบที่ชัดเจนบนตัวไอ้ตรีแล้วได้แต่กุมขมับ
               
ไอ้ตี๋เอ๊ย อยากตายหรือไงวะ
               
 “มานี่!” ผมได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดของพี่เชนดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะปล่อยผมเป็นอิสระแล้วหันไปคว้าแขนไอ้ตรีลากออกจากห้องไปแทน
               
ผมยังยืนขวางอยู่ที่เดิม มองพายุเทอร์นาโดที่กำลังจะพัดผ่านไป เกือบจะโล่งอกแล้ว ถ้าหากว่าคนที่ยืนส่งเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ด้านหลังไม่เงียบไปพร้อมกับทิ้งน้ำหนักตัวลงมาใส่ผมเพราะหมดสติ
               
“เฮ้ย!” ผมร้องและหันกลับไปรับร่างของคนตัวเล็กไว้ ก่อนที่มันจะไหลลงไปหน้าฟาดพื้น “ไอ้ตี๋! ไอ้ตี๋!” ผมพยายามร้องเรียก แต่ร่างกายที่ร้อนจัดเพราะพิษไข้ กับสภาพสะบักสะบอมจากการโดนต่อยก็บ่งบอกว่าไอ้ตี๋มันหมดสติไปจริงๆ
               
เชี่ยเอ๊ย! อะไรกันนักหนาวะ!
 
               
ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง จะพามันไปโรงพยาบาลก็กลัวว่าพี่เชนจะเดือดร้อน สุดท้ายก็เลยพามันกลับไปนอนบนเตียง เช็ดเนื้อเช็ดตัวป้อนยาให้มัน พยายามทำทุกวิถีทางจนไข้มันลด 

ผมทำแผลบนใบหน้าให้คนที่หมดสติเท่าที่จะมีปัญญา และนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ภาวนาให้มันไม่ตาย ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดไม่น้อยที่พาพี่เชนมายำมันถึงที่ทั้งที่รู้ว่ามันป่วย
               
แต่ขนาดป่วยอยู่ยังมีปัญญาปล้ำแฟนชาวบ้านเขาแบบนั้นก็สมควรโดนยำแหละวะ
               
เหอะ! ผมไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ามันดีที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
               
ระหว่างที่รอให้ไอ้ตี๋ฟื้นผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ เพราะเห็นรูปถ่ายที่แปะไว้บนผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือของไอ้ตี๋ 
มันเป็นรูปถ่ายของผมกับไอ้ตรีในวันปัจฉิม และในรูปนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองไอ้ตรีและยิ้มด้วยสายตาที่ผมเดาออกว่ามันคิดอะไร
               
มองแวบแรกผมก็แค่คุ้นๆ กับใบหน้าของเจ้าของร่างท้วมสวมแว่นหนานั่น
               
แต่พอนึกถึงวันที่ไอ้ตี๋ทำคอนแท็กเลนส์หายจนต้องใส่แว่นแบบเดียวกัน ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าแม่งเป็นคนคนเดียวกัน
               
มิน่า... ผมถึงรู้สึกคุ้นหน้ามันนัก
               
ไปทำอะไรมาวะ ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
               
ผมไม่ได้รู้จักมันเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ที่โรงเรียนเก่า ใครๆ ก็เคยได้ยินเรื่องของไอ้แว่นอ้วนดำชื่อโชกุนที่เป็นเกย์ทั้งนั้น ตอนนั้นผมยังแอบสงสารมันเลยที่โดนล้อโดนดูถูกทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำห่าเหวอะไรเลย ออกจะเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครด้วยซ้ำ ผมเห็นไอ้ตรีทักมันบ้างเวลาเดินผ่าน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่จะจินตนาการออกว่าอีกฝ่ายจะมาหลงรักไอ้เพื่อนตัวดีของผมเป็นตุเป็นตะขนาดนี้
               
แม่งเหลือเชื่อสัสๆ
               
“ตรี... ตรี...” เสียงคร่ำครวญของไอ้คนที่นอนอยู่บนเตียงปลุกผมออกจากภวังค์ความคิด ผมละสายตาจากรูปถ่ายที่อยู่ในมือหันไปมองคนที่หลับตาเพ้อเพราะพิษไข้แล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
               
“ไอ้ตรีมันไปกับแฟนมันแล้วโว้ย! เพ้อเหี้ยอะไรนักหนา” แต่สงสัยว่าผมจะโวยวายดังไป ไอ้ตาขีดเดียวเลยขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมด้วยมึนๆ
               
“โอ๊ย” แล้วพออวดดีจะขยับตัว ก็ต้องร้องออกมาเพราะเจ็บแผล
               
“อยู่นิ่งๆ ไปเหอะมึงอ่ะ” ผมบอก และกดหัวที่พยายามจะโงขึ้นมาให้ล้มลงไปกับหมอนอีกครั้ง
               
 “เกิดอะไรขึ้น” มันขมวดคิ้วมองผมหน้ามึนไม่หาย
               
สงสัยจะโดนอัดจนความจำเสื่อมไปแล้ว
               
“มึงไปเจอยมทูตมา” ผมตอบนิ่งๆ 

ถึงจะไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละครับ การยั่วโมโหพี่เชนนี่เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ผมจะทำเลยนะ ชื่อเสียงพี่แกเป็นที่เลื่องลือจะตายไอ้เรื่องความน่ากลัวเนี่ย แล้วไอ้ตี๋หน้าล่ะอ่อนนี่กล้าดียังไง ถึงไปยุ่งกับของรักของหวงของพี่เขาขนาดนั้น

“ไม่ตายก็บุญแล้วนะมึงอ่ะ ผีเข้าหรือไงถึงได้ทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนั้น”
               
ผมล่ะอยากจะชกหน้ามันซ้ำให้สมกับความโง่ของแม่งจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าบนใบหน้าใสๆ นั่นไม่มีพื้นที่เหลือให้รอยช้ำจากหมัดของผมแล้วล่ะก็นะ
               
ไอ้ตี๋เงียบไปพักใหญ่ขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วพอนึกได้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยฉายแววสงสัยก็หม่นแสงวูบลงทันที
               
“ผมขอโทษ”
               
“...” ผมไม่รู้ว่ามันขอโทษใคร ขอโทษเรื่องอะไร เลยไม่ได้ตอบ

บางทีมันอาจจะขอโทษไอ้ตรีก็ได้ที่ทำระยำแบบนั้นลงไป แต่เพราะไอ้ตรีไม่อยู่แล้ว ก็เลยขอโทษกับลมแทน

“ขอบคุณนะที่ช่วย”

แต่คราวนี้ผมรู้ว่ามันขอบคุณผม

“เออ ช่างเหอะ” ผมตอบอย่างขอไปที ถึงแม้ว่าปากที่ยังมีเลือดซิบของตัวเองจะไม่ใช่เรื่องที่น่าช่างเลย

ผมควรด่ามันนะที่ทำให้ผมโดนลูกหลงโดนต่อยปากแตกแบบนี้

เกิดเสียโฉมขึ้นมาทำไง ใบหน้าหล่อๆ ของผมมันมีค่านะเว้ย

“ฮึก...” แต่ยังไม่ทันจะได้ด่า ไอ้คนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงก็เบ้หน้าก่อนจะเริ่มส่งเสียงสะอื้นร้องไห้ออกมาเฉยเลย

“เฮ้ย อย่าร้อง” ความคิดที่จะด่ามลายหายไปทันทีที่เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของคนตรงหน้า

“ผมขอโทษ” คนตัวเล็กเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นมากัดไว้พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง

บ้าชิบ! อย่ามาทำตัวน่าสงสารใส่ผมนะโว้ย

“เออๆ มึงร้องออกมาเหอะ อย่ากลั้นเลย” ผมว่าพลางดึงมือเรียวออกจากริมฝีปาก เปิดโอกาสให้มันได้ร้องไห้อย่างเต็มที่

“ฮือ...” คนตัวเล็กเลยปล่อยโฮออกมาขนานใหญ่

ใบหน้าตอนร้องไห้ของมันดูน่าสงสารซะจนผมเกือบจะร้องไห้ตาม เลยต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“กูปลอบคนไม่เป็นหรอกนะ ทำได้แค่นั่งเป็นเพื่อนนี่แหละ” ผมว่า พลางเอนหลังพิงโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ข้างเตียง

“ฮึก... ฮืออ...” แต่เสียงสะอื้นของไอ้ตี๋ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเป็นระยะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

รู้แต่ว่าโคตรไม่ชอบหน้ามันตอนร้องไห้เลย

ให้ทำหน้าโมโหตะโกนด่าผมว่าไอ้เหี้ยซันยังจะดีซะกว่า

ผมไม่ชอบใบหน้านี้ซะจนหยิบหมอนที่ตกอยู่ข้างๆ โยนไปปิดหน้ามันไว้เพราะทนดูไม่ไหว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวแม่งหายใจไม่ออกตาย ก็เลยดึงกลับมากอดไว้แทน

ผมเบือนหน้าหนีอีกรอบห้ามตัวเองไม่ให้หันกลับไปมองภาพที่ไม่อยากเห็นอีก แล้วเท้าคางลงกับหมอนใบโตฟังเสียงร้องไห้เหมือนจะขาดใจของไอ้ตี๋ด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูด้วย
ความสงสัยว่าทำไมมันจะต้องเสียใจขนาดนั้น

แต่พอเห็นรอยยิ้มและแววตาของมันที่ฉายชัดอยู่ในรูปถ่าย ผมก็เข้าใจว่าทำไม

ใครๆ ก็ต้องเสียใจกับความรักที่ผิดหวังกันทั้งนั้น

ยิ่งเป็นความรักที่ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัส... ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะทำให้เจ็บปวดมากแค่ไหน

“ตัดใจเหอะ” ผมบอก โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่รูปถ่ายใบเดิม “ยังไงมึงไม่มีวันเข้าไปแทรกกลางระหว่างเขาสองคนได้หรอก” ผมพูดในสิ่งที่อาจจะทำร้ายจิตใจมันยิ่งกว่าเดิม

แต่นี่คือความจริง... และมันก็ควรจะยอมรับ

“ฮึก...” คนตัวเล็กตอบกลับมาด้วยเสียงสะอื้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง

ผมไม่ได้ว่าอะไรที่มันจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ เพราะเข้าใจความรู้สึกมันดี ยิ่งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของมันที่อยู่ในรูปถ่ายในมือก็ยิ่งเข้าใจ และอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่ามันต้องพยายามแค่ไหน ถึงได้มายืนอยู่จุดนี้ จุดที่มันเพียบพร้อมพอที่จะยืนเคียงข้างกับคนที่มันรัก

มันอาจจะสมหวังก็ได้ ถ้าก้าวออกมาจากมุมมืดเร็วกว่านี้สักนิด แสดงความรักที่มีอย่างจริงใจให้ไอ้ตรีได้รู้ก่อนที่มันจะมีพี่เชน

แต่เพราะพ่ายแพ้ให้กับเวลา สุดท้ายความพยายามของมันก็เลยไม่มีความหมาย

แควก~
 
“มึงมาช้าไปจริงๆ ว่ะตี๋” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอ่ยคำนั้นออกมา พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างฉีกรูปถ่ายที่อยู่ในมือตรงตำแหน่งระหว่างไอ้ตี๋โชกับไอ้ตรีจนขาดเป็นสองส่วนพอดิบพอดี

บางทีผมอาจจะกำลังหวังว่ารูปถ่ายที่ขาดสะบั้น จะช่วยให้มันตัดความรู้สึกที่มีต่อไอ้ตรีได้บ้าง

แม้อีกใจจะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายดายขนาดนั้นก็ตาม




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 02-05-2016 09:24:39
ซันนนนนน


ตรีอ่อนแอ ต้องดูแลนะ เข้าใจไหม?
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 02-05-2016 09:48:55
“มึงไปเจอยมทูตมา”


เห็นภาพเลย  :sad3:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-05-2016 09:54:13
  โช กดใครไม่ลงหรอก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-05-2016 11:32:52
โชต้องเข้าใจนะว่าเรามาทีหลังแล้วถึงจะมาก่อนก็ใช่ว่าตรีจะรักโช และที่สำคัญตรีรักพี่เชน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-05-2016 12:28:14
ใช่ ถ้าโชออกจากมุมมืดเร็วกว่านี้ แล้วพยายามทำแสดงความจริงใจให้ตรีได้เห็น ความสัมพันธ์อาจจะพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ได้  :L2: ปลอบใจ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 02-05-2016 17:43:15
โช ต้องตัดใจ ดึงดันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษ [ 02/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ssipra ที่ 03-05-2016 01:02:31
อ่านรวดเดียว ชอบเรื่องนี้มากกกก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 03-05-2016 23:31:17
40
สัญญา
 
               
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการปวดระบมจนไม่อยากจะขยับตัว
               
อยากจะโกรธเจ้าของอ้อมแขนที่กำลังกอดผมอยู่เหมือนกันที่ทำรุนแรงกับร่างกายของผมขนาดนี้
               
แต่แน่นอนว่าไม่มีทางโกรธลง เพราะอีกนัยหนึ่งความเจ็บปวดที่ค้างอยู่ ก็ช่วยย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า ความรู้สึกสุขล้นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน... มันไม่ใช่ความฝัน
               
เป็นอีกวันที่เชนตื่นขึ้นมาก่อนผม เพื่อมอบจุมพิตทักทายยามเช้าให้กันโดยไม่รอให้ผมทันได้ตั้งตัว แต่คราวนี้ผมไม่คิดจะดุเขาแล้ว เพราะรู้ว่าโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงคนเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีทางเลิกทำแบบนี้แน่ๆ ตราบใดที่เรายังนอนเตียงเดียวกันอยู่
               
ผมลืมตาขึ้นมองเขานิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเพราะกำลังตั้งสติ แต่รอยยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ของคนตรงหน้า ก็ทำเอาผมหลุดขำออกมาทั้งๆ ที่ยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา
               
“ยิ้มอะไรนักหนา” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ
               
“เปล่า” เขาโกหก
               
“เปล่าอะไรก็เห็นอยู่” คราวนี้เชนเอื้อมมือมาดึงมือผมให้เลิกขยี้ตาตัวเอง ก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบเบาๆ อีกหน

“ก็มีความสุข” เขาว่า ยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาคมๆ นั่นแทบจะหยีเป็นสระอิ

บอกตามตรงว่าผมอดชะงักไม่ได้กับรอยยิ้มกว้างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักของเขา ซึ่งมันดูน่ารักซะจนผมเผลอยิ้มตามพลางยกมือขึ้นมาขยี้ผมยุ่งๆ ของเขาเบาๆ 

“...” เชนเหมือนจะตกใจที่ผมทำแบบนั้น เลยมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาที ก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งตัวซุกหน้าลงกับหมอนใบโตของตัวเองเฉยเลย “โอ๊ยย จะน่ารักอะไรขนาดนี้วะ”
               
เสียงของเขามันอู้อี้จนแทบไม่ได้ยิน แต่ผมก็ฟังออกว่าเขาพูดอะไร จึงหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบพลางยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอาย
               
ทำมาเป็นชมคนอื่น ตัวเองนั่นแหละที่น่ารัก
               
ไม่กี่วินาทีต่อมาเชนก็เอียงหน้ากลับมามองผมอีกครั้ง มุมปากบางยังคงยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขณะที่มือหนาเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ
               
“ทำไงดี” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง “หลงจะแย่แล้ว”
               
ผมชะงักไปอีกรอบเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลั้นยิ้มสุดกำลัง
               
บ้าชะมัด มาพูดแบบนี้ต่อหน้ากันแล้วจะให้ผมทำตัวยังไง
               
พอเห็นว่าผมเอาแต่ก้มหน้าพยายามเก็บอาการเขิน เชนก็เอื้อมมือมาดึงร่างผมไปกอดไว้แน่นก่อนจะฝังเขี้ยวลงมาบนไหล่ผมเบาๆ อย่างหมั่นไส้
               
“มันเจ็บนะ!” ผมโวยพร้อมกับผลักเขาออก แต่อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยังกอดผมไว้หลวมๆ อยู่ดี
               
“เจ็บเท่าเมื่อคืนหรือเปล่า” แววตาหมาป่าเจ่าเล่ห์กลับมาอีกครั้งทันทีที่พูดถึงเรื่องเมื่อคืน และพอเห็นว่าผมไม่ตอบเขาก็ยิ่งเอาใหญ่ “ได้ยินว่า ถ้าเป็นครั้งแรกจะเจ็บมาก...” และก่อนที่เขาจะพูดอะไรละลาบละล้วงไปกว่านี้ ผมก็หยุดเขาเอาไว้ด้วยการยกมือขึ้นไปปิดริมฝีปากบางแน่นๆ ไม่ให้คำพูดใดเล็ดลอดออกมาอีก
               
“หุบปากไปเลยครับ” ผมตีหน้าคาดโทษ แต่คนเจ้าเล่ห์กลับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจที่กวนผมได้ ก่อนจะกดจูบลงมาบนฝ่ามือของผมที่ปิดปากเขาอยู่โดยไม่เกรงกลัวสีหน้าบึ้งตึงของผมเลย   

“แล้วนี่ยังไม่ได้บอกเลยนะ ว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ ไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย” ผมชักมือกลับมาและถามอย่างนึกขึ้นได้
อันที่จริงว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เพราะมีแต่เรื่องยุ่งๆ ก็เลยไม่มีโอกาส ก็อย่างที่บอก วันนี้เป็นวันศุกร์ ถึงจะปลายสัปดาห์ แต่มันก็ยังไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย นักขัตฤกษ์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แล้วทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงหนีงานกลับมาได้ แถมมาได้ตรงจังหวะซะจนเกิดเรื่องวุ่นวายไปหมด

ว่าแล้วผมก็เพิ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้ลาพี่โมเลย ยังไม่ได้ถามไอ้ซันด้วยว่าหลังจากที่ผมกับเชนออกมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
               
“ขอลามา บอกว่าคิดถึงแฟน”
               
เหตุผลของเขาทำเอาผมขมวดคิ้ว เกือบจะโกรธแล้วถ้าคนตรงหน้าไม่หัวเราะ แล้วบอกความจริง
               
“เมื่อวานช่วยงานใหญ่ยัยแม่มดได้ ก็เลยได้รางวัลมา” เขาว่าพลางขยับใบหน้าเข้ามาใกล้คลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกผมอย่างหยอกล้อ
               
ผมยิ้มขำกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกพี่สาวคนสวยของตัวเอง
               
“ใช้งานหนักเป็นบ้า เห็นฉันเป็นซินเดอเรลล่าหรือไง”
               
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าเปรียบตัวเองกับเจ้าหญิงดิสนีย์แสนอาภัพนั่นเห็นตัวเองเป็นสาวน้อยบอบบางหรือยังไงกัน
               
 “ก็ได้พักแล้วนี่ไง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ยกนิ้วขึ้นจิ้มหว่างคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันเพื่อให้มันคลายออก แต่คนเจ้าเล่ห์กลับจับนิ้วผมไว้ ดึงลงมาจรดริมฝีปากก่อนจะแสยะยิ้มร้ายกาจเหมือนเคย
               
“ใครบอก” เขาว่า “ยังไม่ได้พักเลย” จรดริมฝีปากลงมาบนนิ้วทั้งห้าของผมอีกครั้ง
               
“...”
               
“คืนนี้ก็คงจะไม่ได้พักอีก” สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาทำให้ผมที่มึนๆ อยู่เข้าใจแล้วว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เลยรีบยกมือขึ้นไปปิดปากของเขาอีกครั้งทันที
               
“ทะลึ่ง!” ผมโวย
               
“หรือไม่จริง?” เขาปัดมือผมออกแล้วเลิกคิ้วกวนประสาท
               
“ไม่จริง” ผมทำหน้าซีเรียสแล้วพูดซ้ำ “ไม่จริงสักนิด”
               
พอเห็นผมจริงจังเขาก็ยิ่งยิ้มขำก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างพึงพอใจที่แกล้งผมได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนผมก็ได้แต่เบ้หน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
               
ให้ตาย ใครจะไปคิดว่าคนที่เอาแต่แสดงท่าทางเย็นชาต่อหน้าคนอื่นอย่างเขา จะพูดเรื่องล่อแหลมออกมาได้หน้าตาเฉยไม่มีความกระดากอายแบบนี้
               
ที่ผ่านมาหมอนี่ซ่อนใบหน้าตาเฒ่าหื่นกามเอาไว้ภายใต้หน้ากากมนุษย์น้ำแข็งมาตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย ฮะ?
               
“วันนี้อยู่ด้วยกันทั้งวันเลยได้มั้ย” ฝ่ามือหนาเปลี่ยนเป็นลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าจะขอร้อง
               
ผมขมวดคิ้ว “ไม่ได้หรอก วันนี้มีนัดกับเพื่อนแล้ว”
ถึงคืนนี้ผมจะไม่มีเวรที่ร้านกาแฟก็เถอะ แต่ตอนบ่ายผมก็มีนัดไปซื้อของมาทำพร็อพรับน้องกับไอ้เวสป้าอยู่ดี เป็นหน้าที่ที่ขาดไม่ได้เพราะผมเป็นสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่เหลือในรุ่นที่มีรถและไม่มีธุระอะไร

หมายถึงก่อนที่เขาจะมาน่ะนะ
               
“ก็ให้เพื่อนไปซื้อเองดิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ ผมหัวเราะ และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ารั้นๆ ของคนตรงหน้าอย่างขบขัน
               
“งั้นไปด้วยกันมั้ย” ผมถาม หาทางออกที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งได้อยู่ด้วยกัน และผมก็ไม่ต้องละเลยหน้าที่ของตัวเองด้วย
               
เชนชั่งใจไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
               
ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
               
“งั้นก็ลุก ไปอาบน้ำครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลานัดแล้ว” ผมบอกพลางควานหากางเกงที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมปกปิดส่วนล่างของตัวเองเอาไว้และชิงลุกขึ้นก่อน แต่ยังไม่ทันพ้นขอบเตียง ฝ่ามือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนผมไว้ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
               
“ต้องตามไปช่วยอาบให้หรือเปล่า” รอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมา จนผมต้องขมวดคิ้วตีสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอีกรอบ
               
ได้คืบจะเอาศอกนะครับ
               
พอเห็นว่าผมไม่เล่นด้วย เชนก็ยักไหล่ ยอมปล่อยมือให้ผมได้ไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปถึงไหน เสียงโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
               
มันเป็นโทรศัพท์ของผม ผมจึงเดินกลับไปดูว่าใครโทรมา แต่พอเห็นเบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ ผมก็ชะงักไป พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจมันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
               
“ใคร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนนิ่ง มองโทรศัพท์มือถือในมือ ไม่ยอมกดรับ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” และถามย้ำ เมื่อผมหันหน้ากลับไปมองเขาโดยไม่ยอมตอบอะไร
               
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง มองหน้าเชนที่ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงด้วยความรู้สึกกังวลที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยย้ำคำถามที่ผมอยากจะใช้เรียกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมา
               
“เมื่อคืน นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
               
“คำถามอะไร?”
               
ผมขยับเข้าไปใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างคาดคั้น “สัญญาได้มั้ย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังอยู่ข้างๆ กัน”
               
 “หมายความว่ายังไง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะสื่ออะไร
               
“ฉันกำลังจะพิสูจน์ ว่าจะไม่มีวันไปไหนอีกแล้ว”
               
“...” เชนยังคงมองหน้าผมนิ่ง ต้องการคำอธิบาย
               
แต่ผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เพราะมือถือที่สั่นอยู่ในมือกำลังเร่งเร้าให้ผมต้องได้คำตอบจากเขาก่อนที่มันจะหยุดไปเสียก่อน
               
ก่อนที่จะได้พูดสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
               
“สัญญา” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับปลายจมูกของเขาเป็นเชิงบังคับ “ได้มั้ยครับ?”
               
“อืม” สุดท้าย เขาก็ยอมตอบคำถามผมจนได้
               
ผมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน และให้รางวัลเขาด้วยจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากบาง “ขอบคุณ”
               
ก่อนจะเอนตัวกลับมา กดรับโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดเพื่อรับมือกับผลของสิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไป เมื่อไม่นานมานี้
               
“สวัสดีครับ”
               
[ … ] แต่พอผมรับ ปลายสายกลับไม่ตอบอะไร จนผมต้องยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูว่าสายยังไม่ถูกตัดไป
               
และพบว่าปลายสายยังฟังผมอยู่ แต่ไม่ยอมตอบกลับมา
               
“พ่อ” ผมเรียก หลังจากเห็นเลขวินาทียังเดินไปข้างหน้า แม้จะมีแต่ความเงียบก็ตาม
               
พอได้ยินสิ่งที่ผมเอ่ยฝ่ามือหนาของเชนก็เอื้อมมากุมมือผมไว้ทันทีราวกับรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไร ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายในที่สุด ก่อนที่เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยจะตอบกลับมา
               
[ รูปที่แกส่งมา มันหมายความว่ายังไง ]
               
พ่อเข้าเรื่องทันที โดยที่ผมไม่ต้องเกริ่นนำ
               
ผมหลับตา กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะรู้ดีว่าปลายสายพูดเรื่องอะไร
               
หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านเชน ผมก็ส่งโปสการ์ดไปให้พ่อกับแม่ที่ทำงานเลี้ยงครอบครัวอยู่ต่างประเทศ หนึ่งในโปสการ์ดเพียงไม่กี่ใบที่ผมส่งไปเพื่อบ่งบอกสารทุกข์สุขดิบให้พวกท่านได้รู้ว่าผมสบายดี
               
เพียงแต่ครั้งนี้... มันเป็นโปสการ์ดที่ผมต้องการบอกข่าวสารอย่างอื่นนอกจากเรื่องทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำซากอีกแล้ว
               
โปสการ์ดที่มีรูปถ่ายของผม เชน และเจ้าเตอยู่กันพร้อมหน้า ใบเดียวกับที่ติดอยู่หลังกีตาร์ของเชน
               
โปสการ์ดที่ผมส่งไปโดยไม่ได้เขียนตัวอักษรใดๆ เอาไว้ เพราะต้องการเอ่ยมันด้วยเสียงของผมเอง
               
“พ่อครับ” ผมเรียกท่านอีกครั้ง ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยสิ่งที่อยากจะพูดออกไป “ผมชอบผู้ชาย” ผมบีบมือของเชนไว้แน่น พร้อมกับหันกลับไปสบตากับดวงตาคู่สวยของเขาอย่างต้องการความกล้า
               
ต้องการแววตาที่จะบอกว่าผมไม่ได้ตัดสินใจทำสิ่งนี้เร็วเกินไป
               
[ ทำไม ]
               
“...”
               
[ ฉันไม่ได้ปล่อยให้แกเป็นอิสระ เพื่อให้แกกลายเป็นคนวิปริตผิดเพศแบบนี้ ]
               
“...”
               
[ เลิกไปซะ ]
               
ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้ว... เราก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนี้อยู่ดี




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-05-2016 23:45:17
งานช้างแน่ๆพ่อตรีคงคัดค้านน่าดู :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-05-2016 23:48:14
ม่ายยยยยยยยยยยย


พี่เชนบินไปหาว่าที่พ่อตา สู่ขอลูกชายเลยค่ะ แมนๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-05-2016 23:51:59
มันไม่ง่ายเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ssipra ที่ 04-05-2016 01:20:06
ต้องผ่านมันไปให้ได้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-05-2016 13:11:45
 :z3:   ไม่นะ คุณพ่อ
พาหนีเลยไหม โรมิโอเชนช่วยด้วย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-05-2016 14:10:58
โอ้ววว ดราม่าไหม
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BeautifulGirl ที่ 04-05-2016 15:33:42
ร้องไหหหหห้ ทำไมพ่อตรีใจร้าย ฮืออออออออ :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 04-05-2016 20:01:35
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ma Lullaby ที่ 04-05-2016 22:24:52
ตามมาเป็นกำลังใจจากเด็กดีค่ะ :katai5:

ฟังเพลง Lets her go ตามไป

ช่วงนี้ชอบนิยายหน่วงๆค่ะ :hao7:

>< 555+ :กอด1:

ไรเตอร์สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 08-05-2016 09:26:36
งืออนั่นไงว่าแล้ววว่าอุปสรรคมันยังไม่หมด
ตอนแรกนึกว่าโชโทรมา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 08-05-2016 14:59:15
เอาใจช่วยตรีกับเชนนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 12-05-2016 14:53:27
มันต้องผ่านไปได้ค่ะ จับมือกันเดินไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 24-05-2016 04:12:55
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ เก็บรายละเอียดอารมณ์อย่างเนียน ดึงดูดไปหมดทั้งตัวละคร พล็อต และบทพูด
ตอนเจ้าเตตาย น้ำตาไหลจริงจังมาก T^T ...รออ่านต่ออยู่นะคะ บวกเป็ดรัวๆ (+1)
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 24-05-2016 20:14:47
ไม่น้าาาาา   ตามมาอ่านจนถึงปัจจุบันเลย

แบบ อ่านตอนแรกๆก็ไม่คิดว่าจะติดขนาดนี้   แบบ มันออกแนวนอมอลมาก แต่อ่านได้เรื่อยๆ ตัวละคร เป็นแบบ ช ปกติทั่วไปแล้ว มาชอบ ช ด้วยกันทีหลังเนี่ย พีคเลย แถมหวานมุ้งมิ้งมาก ถถถถถถ

ปล  ซัน โช แหงมๆ 55555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-05-2016 20:10:54
อยากอ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 06-06-2016 07:56:38
คุณพ่ออย่าพูดกับตรีแบบนั้นสิค่ะ หนูไม่ให้เลิกค่ะ หนูลุ้นตั้งนานกว่าจะได้คบกันอยู่ดีๆมาบอกให้เลิกได้ๆง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 06-06-2016 08:04:03
อัพๆๆๆๆๆๆรอๆๆๆๆ :katai5: :katai5: :ling1: :L2: :sad4: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 40 [ 03/05/2559 ] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-06-2016 21:36:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 10-06-2016 19:23:06
41
กำลังใจ
 
               
นิสัยเสียอย่างหนึ่งที่ผมกับพ่อเหมือนกันก็คือ พวกเราต่างก็เป็นพวกดื้อเงียบ
               
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เราคุยกันน้อยลง อาจเป็นเพราะผมโตขึ้นและอยู่ห่างจากครอบครัวมากขึ้น ...หรืออาจเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับพ่อที่ดูเหมือนจะกลายเป็นคนเคร่งขรึมขึ้นทุกวันกันแน่
สุดท้ายความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเลยเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ รอวันที่จะกลายเป็นคลื่นยักษ์ทำลายชายฝั่งเข้าสักวัน   
               
เราเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง...เป็นครั้งแรกที่เรียกได้ว่าทะเลาะ แม้จะไม่มีปากเสียงใดๆ กันเลยก็ตาม
มันคือตอนที่พ่อต้องออกจากการเป็นพนักงานประจำ และพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจจะไปตั้งตัวทำธุรกิจร้านอาหารที่อิตาลี เพราะแม่มีน้องสาวอยู่ที่นั่น ในขณะที่ผมอยากอยู่ที่นี่และเรียนต่อด้านสถาปัตยกรรมตามความฝัน

มันไม่ใช่ความผิดของผมที่พ่อถูกไล่ออก และไม่ใช่ความผิดของพ่อที่อยากให้เราไปอยู่ที่นู่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ...แต่อย่างที่บอก ว่าเราต่างก็เป็นมนุษย์ดื้อเงียบ ที่พอมีทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ในใจมันก็ค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย ขณะที่สภาพภายนอกเป็นเหมือนสงครามเย็นที่ไร้การเจรจา 
               
และสุดท้ายเราต่างก็เลือกทำในสิ่งตัวเองพอใจ ผมดั้นด้นตั้งใจสอบจนได้ทุนทำให้พ่อแม่หมดคำคัดค้าน ในขณะที่ผมก็ปล่อยให้พวกท่านไปตั้งต้นธุรกิจใหม่ที่ต่างประเทศตามตั้งใจ
               
เรื่องเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่การไม่ได้พูดคุยกันให้เคลียร์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความมึนตึงระหว่างผมกับพ่อกินระยะเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่รู้ว่าพ่อหายโกรธผมหรือยัง ในขณะที่พ่อเอง ก็คงรอให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปพูดกับท่านก่อน
               
แล้วใครจะไปคิดว่าประโยคแรกที่ต้องพูดหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานานจะเป็นเรื่องแบบนี้
               
แต่ผมจำเป็นต้องพูดออกไป เพราะผมไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เหมือนปัญหาอื่นๆ ได้อีกแล้ว
               
“แล้วมึงจะไม่กลับมาเชียงใหม่จนกว่าจะเปิดเทอมเลยหรือเปล่า” เสียงไอ้ซันปลุกผมออกจากภวังค์ ขณะที่กำลังปลดผ้ากันเปื้อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดของตัวเอง
               
“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบ
               
วันนี้ผมมาทำงานที่ร้านกาแฟเป็นวันสุดท้ายแล้ว
               
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของโช ที่ทำให้ผมไม่สะดวกใจที่จะทำงานที่นี่อีกต่อไป
แต่อีกเหตุผล เป็นเพราะผมต้องกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ... เพราะพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา
               
แน่นอนว่าผมเดาได้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องกลับมาแน่ ถ้ารู้เรื่องของผมกับเชน ไม่ว่าผมจะพยายามแย้งแค่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนไปหมด ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ เสียเวลา เสียค่าเดินทาง ทำให้น้าต้องมาแบกรับภาระดูแลร้านอาหารแทนเพราะครอบครัวต้องมาเคลียร์เรื่องของผม 

แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมคิดว่าพอจะทำได้ก็คือการเคลียร์ปัญหานี้ให้จบอย่างรวดเร็ว
               
ผมจัดการเรื่องลาออกจากร้านกาแฟ ขอโทษเพื่อนๆ ที่อยู่ช่วยงานรับน้องต่อไม่ได้ และอาสาทำในส่วนที่พอจะทำได้ก่อนทั้งหมดแล้ว โชคดีที่ทุกคนเข้าใจ พี่โมไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าผมกับโช แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมลาออกกะทันหัน
               
“แล้วมึงล่ะ” ผมหันกลับไปถามไอ้ซันบ้าง
               
“อะไร?”
               
“จะลาออกด้วยหรือเปล่า”
               
มันนิ่งไปพักหนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่อ่ะ”
               
ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนแรกผมคิดว่ามันมาทำงานที่นี่ตามคำสั่งเชน แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจแล้ว
               
“คือ... กูเห็นว่าพี่โมเค้ายังหาคนมาแทนมึงไม่ได้อ่ะ จะให้ไอ้ตี๋มันทำงานคนเดียวก็คงไม่ไหว” มันอธิบายพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย
               
ผมพยักหน้าไม่ว่าอะไร แล้วเดินไปตบบ่ามันเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ
               
“กูไปก่อนนะ” ผมต้องรีบหน่อย เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเดินทางแล้ว และยังมีบางเรื่องที่ยังต้องสะสาง
               
เรื่องของโช
               
หลายวันที่ผ่านมาผมไม่เห็นเขามาทำงานเลย เพราะพิษไข้และพิษหมัดของเชนที่ทำเอาเขาต้องนอนซม ผมไม่อยากจะคิดว่าเขาพยายามหลบหน้าผม แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะแม้แต่วันนี้ที่เขากลับมาทำงานอีกครั้ง เขายังแทบไม่สบตาผมเลย
               
แต่ก็อย่างที่บอก ผมไม่อยากให้เรามีอะไรติดค้างกันอีก
               
ผมเดินกลับออกไปหน้าร้านอีกครั้ง และเห็นโชกำลังยืนจัดการนู่นนี่อยู่ทั้งๆ ที่หมดกะแล้ว มันชัดเจนเลยว่าเขากำลังถ่วงเวลา รอให้พวกเราออกไปก่อนแล้วถึงจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังร้าน

“โช” ผมเรียก คนตัวเล็กหยุดชะงัก และไม่ยอมหันกลับมาจนกระทั่งผมเดินเข้าไปใกล้ “เรามีเรื่องอยากคุย”

ในที่สุดเขาก็ยอมหันมา

“ขอโทษแทนพี่เชนด้วยนะ” ผมยิ้มมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าที่ยังไม่จางสนิท

โชยังคงนิ่ง แต่คราวนี้เขาเลิกก้มหน้า ยอมสบตาผมด้วยสายตาอ่านยาก “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ถ้าตาไม่ฝาด ผมคิดว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากำลังมีน้ำตาคลอ

“ผมขอโทษที่ทำไม่ดีกับตรี... ผมมันโง่จริงๆ” เขาก้มหน้าอีกครั้ง ยกมือขึ้นมาปิดตาเอาไว้ เหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
 
“โช...” ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยได้แต่เรียกชื่อเขาอึกอัก

“ผมไม่เป็นไร” เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตายังคงชื้นแฉะไปด้วยน้ำตาที่เพิ่งจะปาดทิ้งอย่างลวกๆ “แค่รู้สึกผิดน่ะ” ริมฝีปากบางยกเป็นยิ้มเจื่อนๆ

“ผมขอโทษจริงๆ นะตรี” เขาย้ำคำขอโทษและมองผมอย่างจริงจัง

ผมยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ถือซะว่าที่โดนต่อยไปก็หายกันละกัน” พูดกลั้วหัวเราะ

อันที่จริงที่เชนอัดเขาไม่ยั้งวันนั้น มันอาจจะมากกว่าสิ่งที่โชทำด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายเขาก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรผมเลย

ผมดีใจที่เห็นโชยิ้มออกมาได้สักที แม้มันจะเทียบไม่ได้กับรอยยิ้มสดใสของเขาที่ผมเคยเห็นก็ตาม

“ผมขอโทษที่พยายามจะเข้าไปแทรกระหว่างตรีกับพี่เชน”

“...”

“ทั้งๆ ที่ผมเทียบอะไรกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยสักนิด” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

ผมเลยหัวเราะบ้าง และเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาทันที “ใช่ ไม่มีใครเทียบพี่เชนได้จริงๆ”

ให้ตาย นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกคนอวดแฟน

โชหัวเราะออกมาแต่คราวนี้เป็นหัวเราะขบขันที่ดูสดใสกว่าเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหน้าผมนิ่ง ด้วยสายตาที่ผมมองออกว่ากำลังคิดอะไร

“เป็นผมไม่ได้แน่ๆ ใช่มั้ย” สายตาแห่งความเว้าวอน ครั้งสุดท้าย

“ไม่มีวัน” ผมพูดถ้อยคำที่แสนใจร้ายออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

แต่มันคือความจริง คงไม่มีวันที่ผมจะหันกลับไปหาเขาได้ เพราะผมไม่มีวันเลิกรักเชน

ผมมันเป็นพวกรักฝังใจ ใครๆ ก็รู้

“ฮะๆ เชื่อเขาเลย” โชหัวเราะขืนๆ อีกรอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองเอาไว้ ซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา “ขอบคุณนะที่ทำให้ตัดใจง่ายขึ้น”

“...” ผมยืนนิ่ง มองใบหน้าเศร้าสร้อยโดยไม่พูดอะไร

“จริงอย่างที่หมอนั่นว่า ผมมาช้าไป” เขาพึมพำกับตัวเอง

ผมอยากจะถามเหมือนกัน ว่าหมอนั่นที่เขาว่าเป็นใคร แต่ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องไป

“ขอโทษนะ ต้องไปแล้ว วันนี้ต้องเดินทาง” ผมบอกลา เดินกลับเข้าไปหลังร้าน เพื่อเดินออกทางประตูหลังที่มีรถโฟล์คจอดอยู่

ผมเดินสวนไอ้ซันที่ดูเหมือนจะยืนฟังผมกับโชมาโดยตลอด ผมบอกลามันเล็กน้อยขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดียักคิ้วกวนๆ กลับมา ก่อนจะเดินกลับไปหน้าร้านอีกครั้งทั้งที่ไม่มีหน้าที่ต้องทำแล้ว

และตอนนั้นเองที่ผมได้คำตอบแล้วว่า ‘หมอนั่น’ ที่โชพูดถึงหมายถึงใคร

“ตี๋! ขอลาเต้ร้อน”

“...”

“ไม่เอารูปลิงนะมึง”

หึ... ผมบอกแล้วไงว่าพวกเขาสนิทกันมากกว่าที่ใครๆ คิด
 

เวลาผ่านไป

ผมเคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย แต่ทันทีที่เท้าผมแตะสนามบินที่กรุงเทพฯ หัวใจมันก็ว้าวุ่นไปหมด

ความคิดมากมายปะดังเข้ามาเต็มไปหมดระหว่างที่อยู่ในแท็กซี่ ผมคิดคำพูดเป็นล้านๆ คำที่จะอธิบาย แต่ทุกอย่างก็หายไป เหลือแต่สมองขาวโพลนทันทีที่ลากกระเป๋ามายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

รู้สึกประหม่า ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านของผมแท้ๆ

ผมรู้ว่าพ่อกับแม่อยู่ในนั้น เพราะประตูรั้วไม่ได้ล็อก และผมก็ได้ยินเสียงทีวีเล็ดลอดมาจากด้านใน

ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เป็นครั้งที่สามก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป หัวใจมันเต้นเหมือนมีใครมารัวกลองอยู่ในอก และเต้นแรงขึ้นอีกเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่ถูกเล่นงานด้วยกาลเวลากำลังนั่งจ้องหน้าจอทีวีนิ่งอยู่ในห้องรับแขก แม้ว่าแววตาจะเหมือนไม่ได้โฟกัสสิ่งที่อยู่ในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเลยก็ตาม

“สวัสดีครับพ่อ” ผมวางกระเป๋าลงข้างตัว แล้วยกมือไหว้

“กลับมาแล้วเหรอตรี” แต่กลับเป็นแม่ ที่เดินออกมาทักทายผมจากในครัว กลิ่นกับข้าวที่โชยออกมา เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยให้จิตใจของผมผ่อนคลายลง

“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่าน แต่ครั้งนี้เพิ่มรอยยิ้มเข้ามาด้วย

“หิวมั้ย แม่กำลังทำข้าวเย็นพอดี” แม่เดินเข้ามากอดผมไว้ แล้วยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มใจดีที่แสนคิดถึง

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบ แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ไม่เจอนานลูกแม่หล่อขึ้นเยอะเลย”

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และก้มตัวลงไปกอดแม่ไว้แน่นๆ และหอมแก้มท่านเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ “แม่ผมก็สวยเหมือนเดิมเลย”

เราหัวเราะให้กัน เติมเต็มวินาทีที่แสนคิดถึงด้วยอ้อมกอดอันคุ้นเคย อ้อมกอดที่ช่วยเติมพลังให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

“หึ คราวหลังชมว่าสวยขึ้นสิ มันน่าจะดีใจกว่า” เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้รอยยิ้มของผมต้องหุบลง

ผมหันไปมองพ่อ ที่หันกลับมาสบตาผมเป็นครั้งแรก ด้วยสายตาตำหนิติเตียนแบบที่ผมเคยเห็นจนชิน

“คุณคะ ลูกไม่ได้เป็นแบบนั้น” แม่พยายามพูด แต่ผมรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร ผมผละออกจากอ้อมกอดแม่แล้วยิ้มบางๆ ให้ท่าน

“ไม่เป็นไรครับ แม่ไปทำกับข้าวต่อเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว

เข้มแข็งและเผชิญหน้ากับปัญหานี้ด้วยตัวเอง

แม่ยอมทำตามที่ผมบอก แม้ว่าจะไม่ยอมละสายตาจากผม จนกระทั่งเข้าไปในครัวแล้วก็ตาม ผมลอบถอนหายใจเบาๆ
ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเล็กข้างๆ กับผู้เป็นพ่อที่เบือนหน้ากลับไปมองจอทีวีอีกครั้ง เห็นชัดว่าพยายามหลบเลี่ยงที่จะมองหน้าผม

“ผมรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม” ผมเอ่ยประโยคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ปกติ เหมือนเล่าเรื่องทั่วไป
บ่งบอกว่าผมไม่ได้กำลังกลัว และไม่ได้มาเพื่อฟังคำคัดค้าน

ผมมาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจ

“ผู้ชายคนแรกที่ผมชอบ ก็คือไอ้ซัน เพื่อนสนิทของผมเอง” คราวนี้พ่อหันมามองหน้าผมอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ท่านคงจะตกใจ เพราะผมเคยพาไอ้ซันมาเที่ยวบ้านบ่อยครั้ง และไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยว่าผมแอบชอบมัน

“ผมแอบชอบไอ้ซันมาตั้งแต่ม.4 และชอบจนกระทั่งไปเรียนมหาลัย แต่สุดท้ายผมก็ตัดใจได้...”

“...”

“เขาชื่อเชน” ผมตัดสินใจอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมเอ่ยชื่อเขาออกมา

ความรู้สึกหนักอึ้งผุดขึ้นมาในใจทันทีที่สายตาทิ่มแทงของพ่อพุ่งตรงมาที่ผมอีกครั้ง

แต่ถ้าหยุดพูด ก็เท่ากับผมยอมแพ้

“เขาเข้ามาดึงผมจากความเศร้าเพราะการแอบรักเพื่อนสนิทที่ไม่มีวันหันมามอง”

“...”

“ผมไม่คิดว่าเราจะเข้ากันได้ แต่สุดท้ายเราก็สนิทกันขึ้นมาจริงๆ”

“...”

“เขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ยิ้มก็ยาก ภายนอกดูเย็นชา แต่ก็จริงใจกว่าใครๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของเชนที่ผมจำได้ขึ้นใจ “สูบบุหรี่จัดไปนิด แต่ก็เป็นคนดี”

“...”

“เขาเป็นนักดนตรีที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แถมยังฉลาดอย่างไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่คนตรงหน้ากลับขมวดคิ้วแน่นมองหน้าผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงกว่าเคย

แต่ผมไม่สนใจ และเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจต่อไป

“พ่อครับ... ผมรักเขาจริงๆ”

“...”

“ปล่อยให้ผมได้รัก คนที่ผมรักด้วยเถอะนะครับพ่อ” มันเกือบจะกลายเป็นประโยคขอร้องแล้ว ถ้าผมไม่รู้ดีว่ามันเป็นความหัวรั้นของตัวเองที่ผลักดันให้เอ่ยคำพูดทั้งหมดนั้นออกมา

พ่อมองหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกว่าท่านกำลังคิดอะไร

แต่ผมรู้จักพ่อผมดี

ดีจนรู้ล่วงหน้าว่าความพยายามของผม มันไม่มีทางสำเร็จใจครั้งแรกแน่ๆ

“เลือกมาซะ” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน “จะเลิกกับมัน หรือจะไปอยู่ด้วยกันที่อิตาลี” ว่าจบท่านก็ลุกขึ้น เดินจากไปทันที

“...” ผมชะงักนิ่งไปนานด้วยความตกใจกับเงื่อนไขนั้น

ใช่ว่าจะไม่ได้คิดล่วงหน้าว่าต้องเจอเงื่อนไขทำนองนี้ แต่พอได้ยินจริงๆ มันก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี

“ตรี” ผมได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงหวานของแม่ที่ดังขึ้นมา ท่านเดินมาแตะไหล่ผมที่เอาแต่นั่งนิ่งด้วยความเป็นห่วง ผมจึงหันกลับไปยิ้มบางๆ เพื่อแสดงว่าผมไม่เป็นอะไร

“เดี๋ยวผมเอากระเป๋าไปเก็บ แล้วจะลงมากินข้าวนะครับแม่” ผมว่า และลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋า แบกไปที่ห้องนอนของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน

และพอได้อยู่คนเดียวในห้องนอนว่างเปล่า ผมก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก พอเอาเข้าจริง การที่อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด มันก็ทำเอาผมอึดอัดใจไปหมด จนอยากจะระบายออกมาด้วยการร้องไห้อย่างหมดท่า

แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหล เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

ผมถอนหายใจแล้วหยิบมันขึ้นมาดูเบอร์และพบว่าเป็นเชน จึงตัดสินใจรับอย่างไม่ยากเย็น

“ฮัลโหล” แค่คิดว่าจะได้ยินเสียงเขา มันก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาจนอดที่จะยิ้มไม่ได้

หลังจากแยกกันเพราะเชนต้องกลับมาฝึกงาน นี่ก็ครบอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้เจอหน้า เราโทรคุยกันทุกคืนและไลน์หากันในทุกๆ เวลาที่ว่าง แต่ก็ใช้ว่าความคิดถึงจะลดน้อยลง

[ ออกมาที่ระเบียงหน่อย ] คำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั่น ทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนจะบ้าจี้เดินไปที่ระเบียงตามที่เขาบอกจริงๆ

และผมก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น

ร่างสูงในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนกำลังยืนพิงสปอร์ตไบค์คันโตอยู่ข้างรั้วบ้านผม มือหนาข้างหนึ่งแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหูขณะที่เงยหน้าขึ้นมองมาด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่แสนคุ้นเคย

“รู้จักบ้านฉันได้ยังไง” ผมถามกลั้วหัวเราะ นึกได้ว่าไม่เคยบอกที่อยู่กับเขาเลยสักครั้ง

[ ขอไอ้ซัน ] เขาเว้นวรรค [ แล้วก็กูเกิ้ลแม็พ ] ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แสนร้ายกาจเหมือนเคย

ผมหัวเราะเบาๆ มองเขานิ่งด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้นขึ้นมาในอก ถึงแม้จะอยู่ในระยะไกล แต่สาบานเลยว่าผมเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าหล่อเหลานั่น ไม่ต่างกับตอนที่เราอยู่ข้างกัน

[ อยากสูบบุหรี่ชะมัด ] เขาเอ่ยเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเอง ขณะที่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันเหมือนเคย

“ใครห้ามล่ะ” ผมถามกลั้วหัวเราะ

แต่เชนกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเคืองๆ [ เลิกไปแล้ว ไม่รู้หรือไง ]

“รู้สิ” ผมตอบทันที นานแล้วที่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อแพงของเขาเลย “รู้ดีเลย” ผมยิ้ม และเห็นว่าเชนเองก็ยิ้มบางๆ ตอบมาเช่นกัน

[ แต่วันนี้ฉันมีสำรองนะ ] เขาบอก และทำท่าล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

ตอนแรกผมคิดว่ามันคือบุหรี่ยี่ห้อแพงที่คุ้นเคย แต่พอเห็นสิ่งที่เขาหยิบออกมา ก็หลุดขำเสียงดัง

มันคืออมยิ้มสีชมพู ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นรสสตอว์เบอร์รี่แบบที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ เชนแกะห่ออมยิ้ม และเอามันเข้าปากพลางเงยหน้ายิ้มมุมปากให้ผมที่ยังยืนขำอยู่

“มองมุมนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนกำลังสูบบุหรี่ดี” ผมบอกกลั้วหัวเราะ มองผู้ชายที่ยืนกินอมยิ้มขัดลุคตัวเองด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เราต่างก็เงียบกันไปหลายวินาที ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถอนหายใจหนักๆ ลอดสายโทรศัพท์เข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

[ คิดถึง ชะมัด ]

ผมยิ้ม ในใจตะโกนบอกว่าผมเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน

“อยากให้ลงไปหาหรือเปล่า” ผมถาม เตรียมตัวจะถอยกลับเพื่อลงไปหาเขาข้างล่าง

[ ไม่ต้อง ] แต่เชนกลับเอ่ยห้าม [ ไม่อย่างนั้นฉันต้องทนไม่ไหว แล้วบุกเข้าไปขอนายกับพ่อเองแน่ๆ ]

ผมหัวเราะ แม้จะรู้ว่าเขาจริงจัง

“งั้นไม่ไปแล้วดีกว่า” ผมว่า เพราะถ้าเขาขืนทำอย่างที่พูดขึ้นมาจริงๆ มันคงไม่เป็นผลดีต่อเราแน่

[ แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้ช่วยอะไร ] เขาถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดพอๆ กับสีหน้าคิ้วขมวดนั่น

“แน่ใจ” ผมตอบอย่างหนักแน่น

อย่างที่บอก ว่าผมรู้จักพ่อของผมดี รู้ว่าท่านคงจะยิ่งค้านหัวชนฝาอย่างไม่ยอมแพ้ และสถานการณ์มันคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม ถ้าเชนยื่นมือเข้ามาช่วย

แล้วอีกอย่าง... ผมก็อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และพาเขาเข้ามาในบ้านด้วยความสบายใจ

อยากให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เหมือนที่ผมเคยได้รับบ้าง ต่อให้มันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

“ช่วยอยู่ข้างๆ กันก็พอ” ผมบอก ยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ต้องการสื่อไป

ร่างสูงจึงหัวเราะเบาๆ ดึงอมยิ้มออกจากปาก ชูมันขึ้นมาเหนือหัว แล้วเอามันกลับเข้าปากอีกครั้งทำท่ารับคำบัญชา

[ ทราบแล้วครับ ]

“...”

[ จะอยู่จนกว่าจะโดนไล่เลย ]

แค่นี้แหละ...ผมต้องการ

แค่มีเขาอยู่ตรงนี้... ผมก็ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ แล้วจริงๆ





-------------------------------
หายไปนานจังเลย ฮืออ ยอมรับผิดแต่โดยดีค่ะ u_u
เดือนที่แล้วไปค่ายมา กลับมาได้สักพักแล้วแต่ลืมมาอัพ 5555
เข้าช่วงดราม่าท้ายเรื่องแล้ว หวังว่าคอดราม่าจะถูกใจกันนะคะ (ฮา)
ใครไม่ชอบดราม่าก็อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งทิ้งกัน u_u

ยังไงฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
ส่งฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ

ขอบคุณค่า ^^
makok_num
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 10-06-2016 19:37:23
มาแล้ว. มาแล้ว. รออยู่นานเลย

 :z2:  :z2:  :z2:  :z2: 

....
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-06-2016 20:16:12
 :ling1:   อุปสรรคใหญ่มาก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 10-06-2016 22:02:07
เด็จพ่อหวงลูกจริงด้วย

แต่ก็เพราะว่าพ่อรักลูกนั่นล่ะนะ

:)
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-06-2016 22:33:46
คิดถึง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 10-06-2016 23:34:30
ตรีพูดได้ดีแล้ว ให้เวลาพ่อเขาหน่อยนะ สู้ๆ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-06-2016 00:38:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-06-2016 05:33:12
เชน ตรี  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 11-06-2016 08:57:29
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-06-2016 09:04:14
ขอให้คุณพ่อใจอ่อนเร็วๆเถอะ :call: :call: :call:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 11-06-2016 11:18:29
ลุ้นแทนเลย

เรื่องดำเนินได้ดีค่ะ ไม่มีกระโดดข้าม รวบรัด มีเหตุมีผลชัดเจน ภาษาอ่านง่ายเพลินๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ติดเสียแล้ว เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 41 [ 10/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-06-2016 19:01:55
42
น้ำตา
 
               
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
               
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อ ผมได้แต่อยู่บ้านทุกวันราวกับถูกกักบริเวณด้วยความเงียบ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เมื่อทุกครั้งที่ทำท่าจะออกไปนอกบ้าน ดวงตาทิ่มแทงของพ่อจะมองมาด้วยสายตาที่สื่อออกเป็นคำพูดได้ว่า จะไปหาแฟนเกย์ของแกสินะ...
               
มันเป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
               
...แต่ก็เป็นความเคยชินอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
               
ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ไม่เคยไม่ถูกตำหนิจากพ่อเลย ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องเล็ก หรือใหญ่แค่ไหน ก็มักจะได้ยินคำพูดประชดประชันเสียดสีออกมาจากปากท่าน ราวกับว่าสิ่งที่ผมทำมันผิดเสียเต็มประดา ผมรู้ว่าท่านพูดด้วยความหวังดี แต่มันคงไม่แปลก ที่ผมจะไม่ชอบความหวังดีที่มีแต่จะทำร้ายจิตใจกันแบบนั้น
               
อาจเป็นเพราะแบบนี้... ผมเลยสนิทกับแม่มากกว่า
               
ความสุขในแต่ละวันที่ผ่านมาของผม เกิดขึ้นจากเรื่องง่ายๆ อย่างการที่ได้ยินเสียงแม่แทนนาฬิกาปลุกยามเช้า เพื่อให้ไปช่วยถือของตอนจ่ายตลอด มองแม่ทักทายคนรู้จักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่ด้วยใบหน้าสดใส และได้เข้าครัวช่วยท่านเป็นบางครั้งแม้ว่าจะมีหน้าที่แค่ล้างผักเมื่ออยู่ต่อหน้าเชฟใหญ่ก็ตาม บ้านเราไม่มีลูกสาว ผมจึงคิดว่าการได้ทำแบบนั้น เป็นการคลายเหงาให้ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตได้วิธีหนึ่ง
               
“ตรี กินข้าวได้แล้วลูก” เสียงแม่ดังขึ้นมาจากหลังประตู
               
เป็นเหมือนระฆังตีบอกเวลาว่าความสุขอีกอย่างหนึ่งของวันสำหรับผม กำลังจะหมดไป
               
[ ต้องไปแล้วเหรอ ]

เวลาที่จะได้เห็นหน้าเขา

หลังจากผมกลับมาอยู่บ้าน ทุกวันหลังเลิกงานเชนก็จะขับมอเตอร์ไซค์คันโตมาหาซึ่งตรงกับเวลาก่อนข้าวเย็นบ้านผมพอดี เขามา และยืนอยู่ริมรั้วที่เดิม ขณะที่ผมจะออกมาหน้าระเบียง มีสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้เราได้ยินเสียงกัน

เราพูดติดตลกกันว่าชีวิตเราตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวรรณกรรมน้ำเน่าอย่างโรมิโอจูเลียตเลย... ทั้งตื่นเต้น แล้วก็ขมขื่นในเวลาเดียวกัน

สารภาพตามตรงว่ามันเป็นความงี่เง่าของพวกผมเองที่เลือกทำแบบนี้ แทนที่จะลงไปคุยกันดีๆ อาจจะได้กอด หรือจูบกันสมใจ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้น ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องทนไม่ไหวและอาละวาดกับพ่อผมขึ้นมาจริงๆ แน่

ตอนแรกคนที่กลัวว่าจะทำแบบนั้นอาจจะเป็นเชน แต่ตอนนี้คงกลายเป็นผมเสียเองมากกว่า

“ได้อีกสิบนาที” ผมตอบเขา ก่อนจะหันกลับไปตะโกนบอกแม่ “ขอสิบนาทีครับแม่”  ปลายสายส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินผมตะโกนแบบนั้น มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรีบหันกลับมามองรอยยิ้มของเขาแล้วยิ้มตาม

“แป๊บนึงนะ” ผมบอก ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมกีตาร์ตัวเก่าที่เพิ่งรื้อห้องเก็บของเจอ

มันคือกีตาร์ที่ผมใช้ตอนหัดเล่น สภาพสมบุกสมบันน่าดูแต่ก็ยังพอเล่นได้อยู่ พอได้จับอีกครั้ง มันก็รู้สึกคันไม้คันมือไปหมด ผมเล่นมันแทบจะทั้งวัน เพราะไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว

“จะถามว่าหลังจากท่อนนี้ร้องว่าอะไร” ผมกลับมานั่งอีกครั้ง ก่อนจะกดเปิดสปีกเกอร์โฟนแล้ววางมือถือลงบนตักเพื่อจะได้เล่นกีตาร์ได้ง่ายขึ้น

ผมจับคอร์ดและเกาสายทั้งหกไปตามท่อนฮุคของเพลงที่ไม่ได้เล่นมานาน ในขณะที่ปากก็ฮัมเนื้อร้องที่อยู่ในหัวออกมาเบาๆ แต่เพราะปกติไม่ได้เป็นคนร้องเองก็เลยจำเนื้อไม่ได้ทั้งหมด ผมหยุดลงในท่อนที่ร้องไม่ได้ และถามร่างสูงที่ยืนนิ่งฟังเพลงที่ตัวเองแต่งผ่านสายโทรศัพท์
               
ใช่ ที่ต้องถามเชน เพราะมันคือเพลงของเขา
               
[ … ] เชนถือสายมองผมนิ่งด้วยสายตาอ่านยาก แม้ว่าผมจะหยุดเล่นและหยิบโทรศัพท์กลับมาแนบหูรอฟังคำตอบจากเขาแล้วก็ตาม
               
ผมหัวเราะงงๆ ก่อนจะถามย้ำ “ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ ท่อนต่อไปร้องว่าไง?”
               
เขาหัวเราะนิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าเหมือนเรียกสติ แล้วตอบ [ คนพูดว่าผมคือความมืด ส่วนคุณคือแสงสว่าง ]
               
“...”
               
[ ผมยิ้มกว้าง และตอบว่า... ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องอยู่คู่กันตลอดไป ] น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาโดยไม่ลืมที่จะใส่ทำนอง
               
ผมยิ้มกว้างตามเนื้อเพลงที่เขาเอ่ย วางโทรศัพท์อีกครั้งจับคอร์ดที่คุ้นเคยและร้องท่อนที่เพิ่งจะจำได้ขึ้นมา
               
“ถูกมั้ย?” ร้องจบผมก็ถามเจ้าของบทเพลงที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
               
อาจเพราะในใจมันรู้ดีว่านี่คือเพลงที่เขาแต่งให้เรา
               
เชนไม่ตอบ แต่กลับยิ้มกว้างกว่าเคย ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าคมอีกครั้งพลางถอนหายใจ
               
[ ให้ตาย นายจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว ] เขาบอก ขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
               
ผมวางกีตาร์ลงข้างตัวและลุกขึ้นยืนเท้าแขนยื่นหน้าออกไปพ้นขอบระเบียง เพื่อมองหน้าเขาให้ชัดขึ้น แม้ว่ามันแทบจะไม่มีความแตกต่างเลยก็ตาม
               
“อยากเห็นหน้าตอนร้องไห้เหมือนกัน” ผมแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ เชนเลยยิ่งนิ่วหน้า แต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมา แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ หลายวินาที
               
[ อยากกอดจะแย่ ] เขาเอ่ย
               
“เหมือนกัน” ผมหัวเราะ
               
เราต่างก็เงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะยืดตัวขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
               
[ มีกระดาษมั้ย ]
               
“หืม?” ผมขมวดคิ้วงงๆ
               
[ ขอกระดาษหน่อย ]
               
ถึงจะยังงงๆ แต่ผมก็ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง รื้อโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ของตัวเองเพื่อหากระดาษสักแผ่นให้เขาอย่างว่าง่าย และกลับออกมาพร้อมกับกระดาษเอสี่ว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง
               
[ โยนมาให้หน่อย ] เขาบอกเมื่อเห็นผมชูกระดาษให้ดู
               
“พับได้ป่ะ?” ผมถาม เพราะมันเป็นกระดาษบางๆ จะให้โยนให้เฉยๆ ก็คงไม่ถึงมือเขาแน่ ผมเลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับมัน
               
พอเห็นเชนพยักหน้า ผมจึงก้มลงวางโทรศัพท์ลงกับเก้าอี้และบรรจงพับกระดาษในมือให้กลายเป็นรูปเครื่องบินเหมือนที่เคยพับตอนเด็กๆ
               
“รับให้ได้ล่ะ” ผมพูดขำๆ ก่อนจะร่อนเครื่องบินกระดาษออกไป
               
น่าตกใจจริงๆ ที่ผมกะแรงพอดีจนมันร่อนไปถึงมือร่างสูงที่แค่เอื้อมแขนข้างหนึ่งออกมาคว้าไว้ได้อย่างง่ายๆ แทบไม่ต้องใช้ความพยายาม
               
[ เก่งนี่ ] เขาพูดล้อผมมากกว่าจะชมจริงๆ
               
อันที่จริงผมน่าจะออกแรงอีกสักนิดร่อนไปไกลๆ ให้เขาได้เหนื่อยเก็บบ้างนะ
               
เชนไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ได้อธิบายด้วยว่าเขาจะเอากระดาษไปทำอะไร ร่างสูงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเก็บก้อนหินขนาดพอประมาณขึ้นมาจากพื้น แล้วล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนสีซีด และจัดการห่อทั้งสองอย่างลงในกระดาษที่ผมให้ไป ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วโยนกลับมาตกที่ระเบียงห้องผมอีกครั้ง
               
“อะไร” ผมมองห่อกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นแล้วขมวดคิ้วถาม
               
[ เปิดดูสิ ] เขาไม่ยอมตอบ
               
ผมเลยเดินไปเก็บมันขึ้นมาและค่อยๆ แกะห่อกระดาษออก สิ่งแรกที่เห็นคือก้อนหินที่เขาใช้ถ่วงน้ำหนัก แต่เมื่อผมโยนมันทิ้งไปและเห็นวัตถุอีกอย่างที่เหลือก็ทำเอาผมถึงกับชะงัก
               
[ ใส่ให้ดูหน่อย ] ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมเห็นของที่เขาให้แล้วเลยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแกมออกคำสั่ง
               
ผมจึงหยิบแหวนทองคำขาวกลมเกลี้ยงขึ้นมาจากกระดาษที่ถูกขยำจนไม่เป็นรูป และเดินกลับไปยืนที่เดิม ตรงตำแหน่งที่ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขาได้ชัดเจน
               
“อะไรเนี่ย” ผมถามกลั้วหัวเราะ แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันคืออะไร
               
[ แหวนหมั้นไง ] เขาตอบตามตรง
               
ซึ่ง... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้ครับ
               
ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าที่คงจะกลายเป็นสีแดงเถือกของตัวเอง พยายามกลั้นยิ้มไม่ให้กว้างเกินไปนัก แต่มันก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี
               
“ปกติขอหมั้นด้วยวิธีนี้เหรอ” ผมเอามือออกและแกล้งส่ายหน้ามองเขาเอือมๆ
               
[ ก็ครั้งแรก ]
               
ผมหัวเราะ “ไม่โรแมนติกเลย”
               
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ยอมสวมมันลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองอยู่ดี มันพอดีซะจนราวกับว่าเขาพาผมไปลองด้วย และพอผมชูหลังมือที่มีเครื่องประดับที่เขาให้ให้ดู ริมฝีปากบางก็ยิ้มมุมปากกว้างขึ้นอย่างพอใจ
               
[ ตอนแรกว่าจะให้วันหลัง... จัดฉากให้อลังการกว่านี้ ]
               
ผมหัวเราะอีกรอบ เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคนหน้าตายอย่างเขาจะจัดฉากให้แหวนยังไง
               
กลับมองว่าวิธีดิบๆ เมื่อครู่เข้ากับเขามากกว่าเสียอีก
               
[ แต่เพราะเพลงเมื่อกี้ ก็เลยรอไม่ไหว ]
               
“...” แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองตรงมาด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ
               
จนเขาพูดออกมา
               
[ ฉันขอให้แหวนนั่น แลกกับการอนุญาตให้ฉันเข้าบ้าน... ]
               
“...”
               
[ ให้ฉันช่วยคุยกับพ่อนายสักครั้งเถอะ... แค่ครั้งเดียว ]
               
มันเป็นคำขอที่ทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาจนได้แต่เงียบนิ่งไปนานนับนาที สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขา ในระยะที่อ่านได้ว่าเขาพูดจริงจังแค่ไหน
               
และสุดท้าย ก็ต้องยอม
               
“อืม”
               
               
เวลาผ่านไป
               
แน่นอนว่าท็อปปิคการพูดคุยระหว่างอาหารมื้อเย็นวันนี้ หนีไม่พ้นเรื่องของเชน
               
อันที่จริงมันก็เป็นท็อปปิคที่ผมพยายามยกขึ้นมาพูดทุกวันซ้ำไปซ้ำมา ขุดความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเชน นับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกออกมาเล่า ราวกับพยายามจะละลายหินด้วยน้ำ
               
แต่เย็นนี้เป็นกรณีพิเศษเพราะแทนที่จะเล่าเรื่องเก่าผมกลับบอกพ่อกับแม่ว่าวันหยุดนี้จะพาเขามาที่บ้าน
               
แม่ไม่ว่าอะไร แต่แน่นอนว่าพ่อของผมไม่อนุญาต
               
พ่อพูดว่า ‘ไม่อยากเห็นหน้ามัน’ เป็นถ้อยคำเจ็บแสบตามประสาพ่อที่พยายามทำร้ายจิตใจผมเหมือนเคย แต่ว่าบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ต้องการคำอนุญาต ผมแค่บอกให้รู้ไว้ เพื่อที่ท่านทั้งสองจะได้เตรียมใจไว้เท่านั้นเอง
               
ผมย้ำกับเชนเป็นรอบที่ร้อยว่าเขาแน่ใจจริงๆ หรือเปล่าว่าจะมา ผมเล่าวีรกรรมทั้งหมดของพ่อให้เขาฟังเผื่อว่าเขาจะกลัวและเปลี่ยนใจ แต่อย่างที่รู้ๆ กัน... ไม่มีอะไรขัดความตั้งใจของผู้ชายคนนั้นได้เลย
               
ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยขณะที่เดินลงจากบันไดมายังชั้นล่างเพื่อหาอะไรทำเพราะนอนไม่หลับ แม้จะยังเหลืออีกหลายวัน แต่การคิดล่วงหน้าว่าเชนจะเจออะไรบ้างมันทำให้ผมกระสับกระส่ายจนยากที่จะข่มตาจริงๆ
               
อย่างที่บอกว่าผมรู้จักพ่อของผมดี ท่านไม่ได้ใจดีและเข้าใจเราเหมือนพ่อของเชน... ผมกลัวว่าเขาจะโดนทำร้ายจิตใจเหมือนที่ผมโดนซ้ำๆ มาตั้งแต่จำความได้
               
 “คุณน่าจะลองเปิดใจ” แต่เสียงของแม่ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นก็ทำเอาผมชะงัก มองผ่านแสงสลัวที่มาจากทางโคมไฟข้างโซฟาเข้าไป ก็พบว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด
               
“ยังไงนี่ก็ชีวิตลูกนะ” แม่พูดต่อในขณะที่พ่อนิ่งเงียบ “คุณก็รู้ว่าเราอยู่กับเขาไปตลอดไม่ได้หรอก ปล่อยเขาไปได้แล้ว” ผมยิ้มออกมากับความใจดีของแม่ ที่เข้าใจผมเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือผมจะทำอะไร
               
ผมอยากเดินเข้าไปกอดแม่และช่วยท่านอธิบาย แต่เสียงของพ่อที่ดังขึ้นมาก็ทำเอาฝีเท้าของผมต้องชะงักอีกครั้ง
               
“ก็เพราะอยู่กับมันไปตลอดไม่ได้ไง ถึงได้ไม่ยอม”
               
“...” แม่เงียบลง พอๆ กับผมที่ได้แต่นิ่งงัน
               
“ถ้ามีพี่น้องก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันเป็นลูกคนเดียวนะจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง” น้ำเสียงของพ่อฟังดูกังวลและอ่อนเพลีย ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวด้านข้างของท่านดูแก่ลงซะจนผมตกใจที่ไม่เคยสังเกตเห็น
               
"คุณมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้นั่นจะไม่ทิ้งมันไปตอนที่เราไม่อยู่แล้ว... มันจะทำใจได้เหรอ ถ้าต้องอยู่คนเดียว?”
               
 “...”
               
“ถึงจะอยู่กันรอด แล้วตอนแก่ล่ะ? มีลูกหลานไม่ได้ แก่ตัวไปใครมันจะเลี้ยง เอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นลูกบุญธรรมมันก็เทียบกับสายเลือดเดียวกันไม่ได้อยู่ดี”
               
“...”
               
“คุณคิดว่าผมกีดกันเพราะไม่เข้าใจมัน แต่คุณไม่คิดจะเข้าใจผมบ้างเหรอว่าผมเป็นห่วงมันแค่ไหน” พูดได้เท่านั้นเสียงทุ้มที่เคยดุดันก็หายไป กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้อันสั่นเครือ
               
แม่เข้าไปกอดพ่อเอาไว้ด้วยสีหน้าตกใจ และลำบากใจแบบที่ผมไม่เคยเห็น
               
แต่ที่ผมไม่เคยเห็นเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้ ก็คือน้ำตาของผู้ชายคนนั้น
               
ผู้ชายที่ผมคิดว่าเย็นชาและไร้หัวใจ
               
ผู้ชายที่ผมคิดมาตลอดว่าคงจะไม่รู้สึกอะไรถ้าผมจะทำร้ายจิตใจเขากลับบ้างด้วยความดื้อรั้นของผม
               
แต่ต่อให้เย็นชาหรือปากร้ายกับผมมากแค่ไหน
               
ผมก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ เมื่อได้เห็นน้ำตาของท่านไหลออกมาเพราะผมจริงๆ





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-06-2016 19:12:40
 :hao5:     :z3:     พิสูจน์รักแท้นะเด็กๆแต่อย่านานนักเลยมันใจจะขาด
พ่ออย่าบังคับลูกเลยค่ะ. ฮืออออ  :pig4:   
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 11-06-2016 19:53:35
ถ้าเรามีลูกเราจะให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น แค่เป็นคนดีและมีความสุขก็พอ กับพ่อของตรีถึงเราจะเข้าใจว่ารักและเป็นห่วงลูก แต่แบบนี้ทำเพื่อให้ลูกมีความสุขหรือตัวเองมีกันแน่? ปล่อยให้เป็นอย่างที่เขาต้องการสิ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะลงเอยยังไง เขาก็ได้เลือกมันเอง อย่าคิดแทน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-06-2016 20:38:34
พ่อก็ห่วงเกินไป ลูกก็โตพอที่จะคิดได้แล้ว

นั่นคือคนที่ลูกเลือก ไม่ว่าจะทุกข์จะสุขจากการเลือกครั้งนี้ลูกก็ต้องรับผลของมันได้

ยังไงพ่อแม่ก็อยู่กับลูกไม่ได้ตลอด ทำใจซะคุณพ่อ

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-06-2016 20:54:22
รอพี่เชนเข้ามาพบพ่อ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-06-2016 21:12:14
ยังไงก็พ่อแม่ละนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 11-06-2016 21:31:54
คุณพ่อขา คนที่เหมาะสมถ้าไม่ได้รักก็อยู่กันไปได้ไม่นานหรอกค่ะ
ลองให้โอกาสพี่เชนสักครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 11-06-2016 23:38:51
 :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-06-2016 01:35:24
มุมของคนเป็นพ่อเป็นแม่อะเน้อะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 12-06-2016 17:04:00
สนุกม้ากกกกกกกกกกกกกก รอตอนต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 42 [ 11/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 13-06-2016 23:01:39
43
เหนี่ยวรั้ง
 
               
วันเสาร์ผมตื่นเช้ากว่าปกติ... อันที่จริงผมแทบจะไม่ได้นอนเลยต่างหาก
               
วันนี้เป็นวันที่ผมบอกพ่อกับแม่ไว้ ว่าเชนจะมา
               
ผมไม่ควรตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าเขาขนาดนี้ เพราะเพิ่งเจอหน้ากันไปเมื่อวานนี้เอง... ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่พอคิดภาพว่าเขาจะก้าวเข้าประตูบ้านมา ไม่ใช่แค่ยืนอยู่ริมรั้วเหมือนทุกวัน มันก็... เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
               
ผมทั้งตื่นเต้น กังวล ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด เดาไปต่างๆ นานาอย่างคนจิตตก
ตั้งแต่ที่ได้เห็นน้ำตาของพ่อในคืนนั้น ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับท่านอีกเลย ผมไม่ได้พูดเรื่องของเชนระหว่างมื้ออาหารอีก อันที่จริง... ผมแทบไม่ได้พูดอะไรกับครอบครัวเลยตลอดทั้งวัน
               
ผมหมกตัวอยู่ในห้อง เล่นกีตาร์เพลงเดิมๆ รอเชนมาหาและโทรคุยกันราวกับว่าการได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงเขา คือพลังใจที่ทำให้ผมใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ...ผมรู้ว่าการกระทำของผมมันไร้ความหมาย ผมแทบไม่ได้พยายามอะไรเพื่อเราเลย แต่กลับรู้สึกเหนื่อยและท้อซะยิ่งกว่าตอนที่ทำงานหนักอดหลับอดนอนติดต่อกันเป็นเดือนๆ ซะอีก

มันเป็นช่วงเวลาที่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา... กลัวว่าสุดท้ายเรื่องของเรามันอาจจะต้องจบลง
               
เชนพูดถูก... ผมต้องให้เขายื่นมือเข้ามาช่วยแล้วจริงๆ
               
“อ้าวตรี ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะลูก” แม่ทักขึ้นมาเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในครัว ทั้งที่ปกติจะต้องรอให้แม่ไปเรียก แม้ว่าจะไม่ได้หลับสักวินาทีเลยก็ตาม
               
ผมยิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากด้านหลังแน่นๆ อย่างต้องการกำลังใจ “ผมช่วยนะครับ”
               
แม่หัวเราะ ดึงแขนผมออกแล้วหันกลับมา มองด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่ก็ยังดูใจดี

“เชนจะมากี่โมง” แม่ถาม พร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวผม
               
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนน้ำตามันจะรื้นขึ้นมา ตอนที่ได้ยินแม่เอ่ยชื่อเชนเป็นครั้งแรก
               
มันหมายความว่าแม่ยอมรับเขา
               
“เก้าโมงครับ” ผมยิ้มตอบ เชนบอกผมมาแบบนั้น และเขาบอกว่าจะไม่มีทางมาสาย
               
แม่หันไปมองนาฬิกาบนผนังซึ่งเข็มสั้นกำลังจะชี้ไปที่เลขแปด บ่งบอกว่าเหลือเวลาอีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น ก่อนจะส่งเสียงฮัมในลำคอ

“อืม เหลือเวลาอีกชั่วโมงนึง แม่น่าจะทำกับข้าวทัน... แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกแม่จะแต่งตัวหล่อๆ ทันหรือเปล่า” ดวงตาที่แสนอ่อนโยนมองผมที่อยู่ในสภาพชุดนอนตัวแต่หัวจรดเท้าอย่างหยอกล้อ
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง และเอ่ยอย่างดื้อรั้น “ให้ผมช่วยก่อนแล้วสัญญาว่าจะแต่งตัวหล่อที่สุดในชีวิตไม่ให้แม่ขายหน้าแน่นอนครับ”
               
แม่ยักไหล่และยอมให้ผมช่วยในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าพออยู่ต่อหน้าเชฟมือหนึ่งของบ้าน ผมก็มีหน้าที่เพียงแค่ล้างผัก หั่นเนื้อ เรื่องง่ายๆ ที่แม่ก็ทำเองได้ แต่ผมสบายใจกว่าที่จะช่วยทำ ระหว่างที่ช่วยแม่ทำอาหารเช้า ผมได้ยินเสียงพ่อเดินลงมาจากชั้นสอง เข้าไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมในห้องนั่งเล่น เปิดทีวีรายการข่าวเช้าเพื่อฟังรายงานข่าวปัญหาสังคมซ้ำซากที่อาจจะทำให้พ่อจิตตกมากกว่าปกติ
               
“ตรี” แม่เรียกเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนเหม่อระหว่างมาหยิบของในตู้เย็น
               
“ครับ?” ผมหันกลับไปถาม พลางเดินไปที่อ่างล้างจานเพื่อล้างผัก แม่เดินมาแย่งมันไปจากมือผม ก่อนจะปิดน้ำ และเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเคย
               
“อย่ากังวลเลย” แม่เช็ดมือ และเอื้อมมือมาถูไหล่ผมเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “ไปอาบน้ำแต่งตัวรอแฟนลูกมาเถอะ”
               
ผมนิ่งไปนานเหมือนสมองมันเลิกประมวลผลไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับ “ครับ”
               
               
ผมใช้เวลานานกว่าปกติในการปล่อยให้น้ำผ่านหัวสมองที่ดูเหมือนจะขาวโพลนไปทุกที ก่อนจะออกมาเลือกเสื้อยืดสีอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้มง่ายๆ สวมและนั่งโง่ๆ อยู่บนเตียงพยายามคิดว่าจะช่วยเชนอธิบายกำพ่อยังไงดี แต่ก็ไม่มีคำพูดที่เข้าท่าไหลเข้ามาในสมองเลย
               
เหลืออีกห้านาที...
               
จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้ผมต้องหยิบกีตาร์ตัวเก่าขึ้นมาดีดทำนองเดียวกับที่เล่นซ้ำไปซ้ำมาเมื่อคืน เพลงของเชน ราวกับจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของผมให้สงบลงได้

แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนที่เสียงกริ่งหน้าบ้านจะดังขึ้นมา
               
ผมชะงัก ก่อนจะได้สติ วางกีตาร์และวิ่งลงไปด้านล่างโดยอัตโนมัติ พ่อยังคงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น และมองมาด้วยสายตาเย็นชาเหมือนเคย ผมเห็นแม่เดินออกมาจากห้องครัวตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านไปพอดี ท่านยิ้มเป็นกำลังใจให้ผม และผมก็ยิ้มตอบด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับกำลังจะระเบิดออกมา
               
ให้ตาย ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
               
ผมเดินออกไปหน้าบ้านพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ก็ทำได้ยากเห็นเหลือเกิน แต่แล้วก็ต้องชะงักไป พร้อมกับความคิดมากมายที่หายไปชั่วขณะ

สิ่งแรกที่เด่นสะดุดตาผมไม่ใช่รถสปอร์ตสีดำคันเท่ที่ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้คงอยากได้ แต่เป็นร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวพับแขนขึ้นมาจนถึงข้อศอก กับกางเกงสแลกห้าส่วนและรองเท้าผ้าใบดูมีสไตล์ราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่น ผมที่เริ่มยาวจนสังเกตได้ ถูกเซตไปข้างหลังลวกๆ แต่กลับดูดีซะจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองเป็นผู้หญิง คงจะกรี๊ดออกมาดังๆ ด้วยความคลั่งไคล้คนตรงหน้าอย่างเก็บอาการไม่อยู่
               
เขายิ้มตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมเดินเข้าไปหา และยิ้มกว้างตอบเขาเช่นกัน
               
ผมมองเขาไม่วางตานานนับนาที ไม่ใช่เพราะว่าวันนี้เขาดูดีกว่าทุกวัน แต่เป็นเพราะผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองคิดถึงเขามากแค่ไหน
               
“ควรกลับไปเอาสูทที่บ้านมั้ย?” เชนเลิกคิ้วถามติดตลกเมื่อเห็นยังคงเอาแต่ยืนนิ่งมองเขา
               
ผมหัวเราะ ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม แล้วทำสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำในเวลานี้ อย่างการกอดเขาแน่นๆ ให้สมความคิดถึง

ถ้าพ่อมาเห็นต้องแย่แน่... แต่ขอเถอะ ผมห้ามใจไม่ไหวจริงๆ 
               
“หืม?” ผมส่งเสียงประหลาดใจ “หน้าบ้านเลยเหรอ? ประเจิดประเจ้อไปหน่อยหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
               
ผมอยากจะโกรธเขาจริงๆ ที่ยังหัวเราะได้ในวันที่ผมอยากจะร้องไห้แบบนี้

มันเกิดจากความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่ได้สัมผัสกลิ่นกายอันคุ้นเคย ยิ่งตอนที่เขากอดตอบพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ ก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกเหล่านั้นจนน้ำตามันรื้นขึ้นมาจริงๆ
               
“คิดถึง” น่าสมเพช ที่ความรู้สึกมากมายของผมมันกลั่นกรองออกมาได้แค่เพียงคำพูดเดียวเท่านั้น “คิดถึงมากเลย”
               
เชนหัวเราะเมื่อผมเอ่ยซ้ำอย่างคนโง่ ก่อนจะก้มลงซุกหน้าลงกับไหล่ผมพร้อมกับกดจูบหนักๆ ลงมาที่หลังหูผมและจูบซ้ำอีกครั้งในเวลาไม่กี่วินาที เรากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมกันโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
               
เนิ่นนานกว่าผมจะตระหนักได้ว่าคงถึงเวลาแล้วที่ผมควรพาเขาเข้าบ้านสักที
               
“พร้อมเจอเรื่องน่ากลัวที่สุดในชีวิตหรือยัง” ผมผละออกมา ถามติดตลก แม้ในใจจะไม่ได้ตลกเลยก็ตาม
               
เชนยิ้มขำขยี้หัวผมแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ยัง” เขาแบมือขึ้นมา
               
ไม่ต้องบอกผมรู้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร จึงยกมือขึ้นไปวางไว้บนฝ่ามือหนาของเขาที่ดึงมือผมไปจรดริมฝีปากลงปลายนิ้ว แล้วใช้นิ้วโป้งลูบแหวนที่ผมสวมเอาไว้บนนิ้วนางข้างซ้ายเบาๆ
               
“พร้อมแล้ว” เขายิ้ม กุมมือผมไว้แน่น
               
รอยยิ้ม และฝ่ามือ ที่บอกว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน ต่อให้วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

               
ผมพาเชนเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่พ่อกับแม่นั่งรออยู่แล้ว แม่ผมยิ้มและรับไหว้เมื่อเขาเดินเข้ามาทักทาย ในขณะที่พ่อ...เบือนหน้าหนีไปเหมือนเคย
               
“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะ” แม่บอกพลางผายมือไปทางโซฟา และลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว ผมทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่ท่านก็ห้ามไว้และพยักหน้าให้ผมอยู่กับเชน
               
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มให้แม่ผม และนั่งลง

ผมนั่งลงข้างเขาโดยไม่พูดอะไร ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงยิ้มขำออกมาที่เขากลายเป็นคนสุภาพขัดกับหน้าตาขนาดนี้ แต่เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาถมึงทึง ที่ไม่ยอมแม้แต่จะชายตามองหรือยกมือรับไหว้กลับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรักของลูกชาย ความนิ่งเงียบจึงเป็นสิ่งเดียวที่เลือกทำ
               
เชนบีบมือผมแรงขึ้น ก่อนจะคลายออกแล้ววนนิ้วไปมาตรงตำแหน่งแหวนที่ผมสวมอยู่ พร้อมกับหันมาสบตาด้วยสายตาที่บอกว่าไม่เป็นอะไร และเขาพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
               
“สวัสดีครับ...คุณลุง” เขาใช้สรรพนามเรียกพ่อผมอย่างระมัดระวัง เพราะคงจะอ่านใจออกว่าพ่อคงจะไม่ชอบแน่ถ้าเขาล้ำเส้นใช้สรรพนามอื่นที่ใกล้ชิดมากกว่านี้
               
และเมื่อพ่อไม่ตอบอะไร เชนจึงพูดต่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เอาน้ำมาให้และนั่งลงที่โซฟาอีกตัวพอดี
               
“ผมชื่อเชนครับ... เป็นแฟนตรี” คราวนี้พ่อหันมาขมวดคิ้วมองเชนอย่างไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น
               
แต่คนที่อยู่ข้างตัวผมยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีประหม่าใดๆ ออกมา เขาสบตากับพ่อผมนิ่ง ด้วยสายตาที่จริงใจ
               
ซึ่งผมหวัง ว่าพ่อจะเห็นมันเหมือนที่ผมเห็น
               
“ผมเรียนวิศวะโยธา กำลังจะขึ้นปีสี่ ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวด้านนี้พอดี... ดังนั้นรับรองว่าจบไปผมจะไม่ตกงาน” เขาพูดเข้าประเด็นทันทีราวกับอ่านใจพ่อออกว่ากำลังประเมินหัวนอนปลายเท้าของเขาผ่านสายตา
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน ธุรกิจส่วนตัวเหรอ? ...เป็นนิยามกิจการใหญ่ยักษ์ของครอบครัวเขาที่ฟังดูถ่อมตัวดีจัง
               
“ผมจะตั้งใจเรียน มีฐานะที่มั่นคงในอนาคต... ผมเลี้ยงดูเขาได้แน่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมรู้ว่าเชนเป็นคนไม่ชอบอ้อมค้อม แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาพูดยิงได้ตรงเป้าขนาดนี้
               
ผมรู้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อกังวลจากเรื่องที่ได้ยินในคืนนั้น และสายตาตกใจที่ท่านแสดงให้เห็นแวบหนึ่งหลังจากได้ยิน
               
“ผมเตรียมแผนสำหรับพวกเราไว้หมดแล้ว ผมพาเขาไปที่บ้าน คุยกับพ่อของผมเรียบร้อยแล้ว” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อไปเมื่อเห็นว่าพ่อยังไม่ยอมพูดอะไร เขาบีบมือของผมที่ยังคงยิ้มออกมาบางๆ และไม่ยอมละสายไปไปจากใบหน้าคมที่กำลังสร้างความมั่นใจให้บุพการีที่อยู่ตรงหน้าผม ด้วยหัวใจที่เต้นรัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้นไม้เหี่ยวๆ ที่ถูกเติมปุ๋ยและน้ำจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
               
“ผมรู้ว่าคุณลุงกังวล ว่าผมกับตรีจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไม่ได้” เขาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
               
“...”
               
“แต่เชื่อเถอะครับ ว่าผมจะยอมทำทุกวิถีทางให้เขามีความสุขไปตลอดชีวิต” คำพูดทุกคำของเชน ล้วนตอกย้ำความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจน และแสดงให้เห็น ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของพ่อผมมากแค่ไหน
               
ผิดกับผม ที่ถ้าไม่บังเอิญได้ยินพ่อกับแม่คุยกันวันนั้น ก็คงไม่มีวันรู้เลย ว่าในใจลึกๆ แล้วพ่อกำลังคิดอะไร   
               
“...” พ่อยังคงไม่ยอมพูดหรือตอบอะไร มองตรงมาด้วยสีหน้าที่ผมเดาไม่ออก
               
มันเหมือนกับเหรียญที่กำลังหมุนคว้างอยู่ในอากาศ ไม่รู้เลยว่าพอตกลงมาที่พื้น มันจะออกหัวหรือออกก้อย
               
“คุณคะ” แม่พยายามเตือนให้พ่อเอ่ยอะไรออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กดดันพวกเราด้วยความเงียบงันแบบนี้ ในขณะที่เชนเองก็คงจะจนคำพูดที่จะสาธยายแล้วเหมือนกัน สุดท้ายเขาจึงเอ่ยคำพูดที่คงจะใช้วัดคำตัดสินออกมา
               
“ผมรักเขา... รักตรีมากจริงๆ” เขากันมาสบตาผม ราวกับจะพูดให้ผมฟังมากกว่าชายวัยกลางคนที่เอาแต่ทำหูทวนลมอยู่ตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
               
“หน้าตาผมอาจจะไม่ได้ดูเป็นคนดีเท่าไหร่ แต่ผมรับรองว่าผมจะไม่ทำให้ตรีเสียใจ... ผมสัญญา”
               
ผม...อยากจะกอดเขาแน่นๆ สักที ให้สมกับคำบอกรักจริงใจที่ช่วยให้หัวใจของผมมันกลับมาเต้นได้ด้วยความรู้สึกสุขล้นอีกครั้ง
               
แต่ความสุขนั้นก็แทบจะหายไปทันทีที่น้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้นมาด้วยคำพูดที่ราวกับจะทิ่มแทงหัวใจดวงนี้ให้ซูบลง
               
“ฉันไม่อยากได้ยินคำสัญญาอะไรทั้งนั้น” พ่อพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาไม่ต่างจากเดิม
               
มันทำให้ผมรู้ว่า พ่อของผมเป็นคนดื้อรั้นไม่แพ้ผมเลย
               
“...”
               
“ที่แกต้องทำก็แค่เลือกมา...”
               
“...”
               
“ว่าจะเลิกกับลูกชายฉัน หรือจะยอมไม่เจอหน้ามันอีกตลอดชีวิต”
               
“คุณ!” แม่ร้องเรียกอย่างตกใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่พ่อที่ยื่นคำขาดออกมาก็ไม่ยอมรับฟัง ท่านลุกจากโซฟาทำท่าว่าจะเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ผมทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงลุกขึ้นตะโกนเรียกท่านออกมาในที่สุด
               
“พ่อครับ!”
               
“...” โชคดี ที่พ่อยังฟังเสียงของผมบ้าง แม้จะไม่ยอมหันมาสบตาก็ตาม
               
“ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผม” ผมพูดเสียงดังจนแทบจะตะโกน เพื่อสื่อความรู้สึกที่มีไปให้ถึงท่าน “แต่ผมกับเชน เรารักกันจริงๆนะครับ”
               
ขอแค่สักนิดก็ยังดี
               
“...”
               
“ผมรู้ว่าพ่อดูออกว่าเชนจริงใจแค่ไหน... ผมรู้ว่าอนาคตที่เขาพูดถึง มันการันตีอะไรไม่ได้เลย”
               
“...”
               
“สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปตามคำสัญญาที่ให้กับพ่อวันนี้”
               
“...”
               
“แต่พ่อครับ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิตการเป็นลูกชายที่แสนดื้อรั้นและเอาแต่ใจคนหนึ่ง “ปล่อยให้เราลองดูสักครั้งไม่ได้เหรอ” ผมรู้สึกว่าน้ำตามันกำลังจะรื้นขึ้นมา ตอนที่พูดจบและเห็นความสั่นไหวบนแผ่นหลังที่เครียดเกร็งของพ่อตัวเอง
               
สถานการณ์มันยากเย็นเหลือเกินจนผมรู้สึกท้อขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออก เพราะรู้ว่าการยอมแพ้ของผม จะต้องทำร้ายเจ้าของฝ่ามือที่กุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกแน่
               
“คุณคะ ฟังลูกบ้างเถอะ” แม่พยายามช่วยพูด ท่ามกลางความกดดันและบรรยากาศอันเงียบงัน
               
แต่พ่อผม ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังในความดื้อรั้นของท่านเลย
               
“ลาออกจากมหาวิทยาลัย... แล้วไปอยู่อิตาลีกับพ่อกับแม่ซะ” จบคำนั้น ท่านก็เดินจากไป และไม่หันกลับมาอีกเลย
               
“คุณ!” แม่ตะโกนเรียกและหันมามองพวกเราด้วยความลำบากใจ ก่อนจะเดินตามไปหวังจะเจรจา
               
ผมได้แต่มองภาพแผ่นหลังคุ้นเคยของบุพการีที่ห่างออกไปจนกระทั่งลับตาและได้ยินเสียงประตูห้องด้านบนปิดลงอย่างแรง พร้อมกับเสียงถอนหายใจเบาๆ ของผู้ชายที่กุมมือผมไว้ตลอดเวลา
               
“นี่ฉัน... พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า” เขาว่าพร้อมกับดึงมือผมไปอังหน้าผากของตัวเองเอาไว้ ผมจึงทรุดตัวลงข้างเขาอีกครั้งพร้อมกับอิงศีรษะลงไปพิงไหล่กว้างด้วยความรู้สึกเหนื่อยจับใจ
               
“ไม่หรอก นายไม่ได้พูดอะไรผิดเลย”
               
พ่อผมเองต่างหาก ที่ทำเกินไป
               
               
เวลาผ่านไป
               
ผมไม่เคยโกรธพ่อขนาดนี้มาก่อน
               
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะรู้สึกแบบนั้น แต่การที่ท่านยื่นเงื่อนไขที่แสนจะใจร้ายนั้นออกมา ก็เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้เหมือนกัน เดิมทีท่านก็ไม่อยากให้ผมเรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านจะเอาประเด็นเดิมกลับมาเป็นเงื่อนไขที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างเราอีก
               
มันไม่แฟร์เลย
               
หลังจากที่หายเข้าไปในห้องอยู่พักใหญ่ แม่กลับลงมาด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ก็พยายามเข้ามาให้กำลังใจผมกับเชน แม่บอกว่าที่พ่อพูดแบบนั้น เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นไม่อยากให้ผมกับเชนคิดมากเกินไป
               
ข้อนั้นผมรู้แก่ใจดี... พ่ออยากเอาชนะผม จึงต้องค้านหัวชนฝาไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ
               
แม่อนุญาตให้เชนพาผมออกมาผ่อนคลายข้างนอกได้ แม้ว่าจะทำกับข้าวไว้รอเขาก็ตาม แต่ตอนนั้นพวกเราทุกคน ไม่มีใครอยากอาหารเลยสักคน สุดท้ายผมเลยยอมออกจากบ้านมา
               
เชนพาผมมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลมากนัก เพราะข้างนอกอากาศร้อนเกินไปจนอาจจะทำให้ผมกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ เราไม่ได้ทำอะไรมากกว่ากิจวัตรซ้ำซากของคู่รักอย่างการกินข้าว เดินเล่น และดูหนัง แต่สมาธิของผมไม่ได้โฟกัสกับสิ่งเหล่านั้นเลยตลอดวัน
               
ผมปล่อยให้ความคิดตัวเองจมดิ่งอยู่ในความสับสนวุ่นวายไม่รู้จบ เอาแต่โทษตัวเองที่พาเชนไปเจอกับพ่อเร็วเกินไปทำให้เขาต้องโดนทำร้ายจิตใจแบบนี้ ถ้าผมรออีกสักนิด พูดให้พ่ออคติกับเขาน้อยลง อะไรๆ มันก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
               
ตุบ
               
ผมสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำหนักทิ้งลงมาบนไหล่ ขัดจังหวะความวิตกกังวลที่แล่นไปมาอยู่ในหัว
               
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ดูหนังนอกกระแสที่ใกล้จะออกจากโรงเต็มที ทำให้คนในโรงมีเพียงเราสองคนและคนอื่นอีกสองสามคนที่นั่งกระจายกันอยู่ด้านหน้าเท่านั้น
               
“หลับเหรอ” ผมกระซิบถามเจ้าของเรือนผมนุ่มที่อิงลงมาบนไหล่
               
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะหลับ เพราะเชนเองก็คงจะนอนน้อยไม่แพ้ผมเหมือนกัน แถมยังต้องตื่นเช้ามาเจอเรื่องหนักๆ แล้วต่อด้วยการพาผมตระเวนเที่ยวเพื่อคลายอารมณ์อีก
               
ผมนี่มันแย่จริงๆ
               
“เปล่า” เขาตอบ แย่งเครื่องดื่มในมือผมไปวางไว้อีกฝั่ง พลางสอดนิ้วเย็นเฉียบของตัวเองมาเข้ามาระหว่างนิ้วทั้งห้าของผม “กำลังเรียกร้องความสนใจ” แล้วดึงหลังมือผมไปจูบเบาๆ
               
“ขอโทษที” ผมเอ่ย ทั้งขำและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกันที่เขาพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น
               
อย่างที่บอก ว่าตลอดเวลาผมเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในหัว จนแทบไม่โฟกัสอะไรเลย พูดออกมานับครั้งได้ตอนที่เราเดินเล่น
และกินอาหารกลางวันด้วยกัน มันคงจะทำให้เขาเหงาไม่น้อย
               
จมูกโด่งซุกลงมาที่ซอกคอของผมราวกับจะซึมซับกลิ่นผิวกายที่เย็นเฉียบพร้อมกับใช้ลมหายใจร้อนๆ นั่นช่วยทำให้
กล้ามเนื้อที่เครียดเกร็งของผมรู้สึกเหมือนถูกหลอมละลายได้ในเวลาเดียวกัน
               
“ฉันอยู่ตรงนี้นะ” เขาเอ่ย
               
“...”
               
“จะไม่ไปไหน ถ้านายไม่ไล่ จำได้มั้ย”
               
“...” ผมไม่ตอบอะไร แค่เอียงหน้ากลับไปกดจูบหนักๆ ลงบนผมนุ่มหอมของคนข้างตัว
               
“เหนื่อยหรือยัง?” อยู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
               
“ทำไมถึงถามแบบนั้น” ผมเลิกคิ้วถามกลับไป
               
เชนนิ่งไปก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา “ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ มันก็นึกเรื่องของฟ้าขึ้นมา”
               
“...”
               
“เหมือนเดินวนกลับไปจุดเดิมเลย” เจ้าของเสียงทุ้มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยกมือผมขึ้นมาจรดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน “สงสัยฉันจะไม่มีดวงกับเรื่องพ่อตาเท่าไหร่นะ ว่ามั้ย”
               
ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำตาม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องของฟ้ากับเชน ก็จบลงเพราะถูกพ่อแม่ของฝ่ายหญิงกีดกันเหมือนกัน คงไม่แปลกที่เขาจะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
               
แต่ผมเชื่อ ว่าเรื่องของเรามันจะไม่เป็นแบบนั้น
               
“เชื่อใจฉันสิ” ผมบอก เป็นฝ่ายยกมือของเขาที่กุมเอาไว้ขึ้นมาจูบเบาๆ บ้างอย่างต้องการสร้างความมั่นใจ
               
“...”
               
“เดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี”
               
ผมให้สัญญา
                                                                                                                               
               
00.40 A.M.
               
เชนมาส่งผมที่บ้านหลังจากที่เราดูหนังจบ
               
เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราตกอยู่ในความเงียบงัน ปล่อยให้เพลงจากเครื่องเสียงในรถได้ทำหน้าที่ของมัน แม้ไม่มีใครสนใจฟังก็ตาม 

เชนรับรู้ความรู้สึกกดดันที่อยู่ในใจผมได้ แม้ผมจะพยายามพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นไร แต่ผมจะปกปิดผู้ชายที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเขาก็ยังอ่านใจผมออกได้ยังไง เขารู้แม้กระทั่งว่า เวลานี้ผมต้องการปล่อยให้ความคิดอันสับสนวุ่นวายของตัวเองไหลอยู่ในหัวเงียบๆ จึงไม่ชวนคุยหรือเซ้าซี้อะไรอีก แค่กุมมือผมไว้ ถ่ายทอดกำลังใจผ่านฝ่ามือหนาอันอบอุ่นของเขาเท่านั้น
               
“ขอโทษครับที่ทำให้วันนี้ไม่สนุกเลย” ผมเอ่ยเมื่อเราขับรถมาจนถึงหน้าบ้าน และปลดเข็มขัดนิรภัยออก “แล้วก็ขอโทษด้วยที่เมื่อเช้าพ่อพูดไม่ดี” ผมสบตาเขาด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
               
แต่เชนกลับยิ้มอย่างไม่ถือสา ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงใบหน้าผมเข้าไปเพื่อจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ
               
“ไม่เป็นไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ
               
ผมยิ้มตอบเจ้าของดวงตาคู่สวยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ และไม่ลืมที่จะเตือนเขา
               
“ถึงบ้านแล้วโทรมาด้วยนะ”

ถึงวันนี้เราต่างเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ผมก็ยังอยากได้ยินเสียงของเขา เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ผมฝันดี ในวันที่เจอเรื่องหนักอึ้งแบบนี้
               
“อืม” เขาพยักหน้ารับเบาๆ
               
“บาย”
               
“บาย”
               
เราบอกลากันแค่นั้น แม้ในใจจะมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ย
               
อันที่จริง... ผมไม่อยากจะแยกจากเขาเลย
               
ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากวิ่งกลับไปที่รถ ให้เขาพาผมไปที่ไหนก็ได้ และไม่ต้องกลับมาอีก
               
แต่มันคือความฝันลมๆ แล้งๆ ชัดๆ

“ตรี” ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรั้วทันที เมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากเจ้าของเสียงทุ้มที่ไม่ได้เอ่ยชื่อผมออกมาบ่อยนัก
               
ผมหันกลับไปมอง ร่างสูงที่เปิดประตูลงจากรถมาตอนไหนก็ไม่รู้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นจนแทบจะทนไม่ไหว
               
“ตรี” และเมื่อเขาเรียกชื่อผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแรง พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เจือปนไปด้วยความหวาดกลัวที่ถูกซ่อนเอาไว้ตลอดวัน สมองของผมมันก็สั่งการให้ขาทั้งสองข้างก้าวกลับไปหาเขาอีกครั้งทันที
               
ผมสวมกอดร่างสูงที่กำลังร้องเรียกหาผมไว้แน่น... แน่นกว่าครั้งไหนๆ ขณะที่เชนฝังจูบลงมาบนต้นคอของผม เลื่อนมาที่สันกราม และขมับ จูบหนักๆ ที่ราวกับจะฝังอยู่อย่างนั้นตลอดไป
               
“หัวใจของฉัน มันเหมือนกำลังถูกบีบเลย” เขากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “เจ็บมาก...”
               
“...”
   
“ทำยังไงดี”
               
ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ออกมาผ่านเสียงทุ้มที่แสนอ่อนแรงนั้นได้เป็นอย่างดี กลับเป็นผมเองต่างหาก ที่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างเงียบงัน พยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้เขาได้ยิน
               
แม้ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยก็ตาม
               
ผมผละอ้อมกอดออกมาเพื่อที่จะมองหน้าเขา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยเพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขาเบาๆ และเอ่ยคำสามพยางค์ที่ช่วยเหนี่ยวรั้งเราทั้งสองคนเอาไว้ตลอดมา
               
“ฉันรักนาย”

“...”

จูบซ้ำอีกครั้ง และยืนยันคำพูดที่ดังก้องอยู่ในใจ

“ฉันรักนาย”
               
เพื่อตอกย้ำความเชื่อมันให้ทั้งเขาและตัวเองรู้ว่า ผมจะไม่ยอมแพ้
               
ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 43 [ 13/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-06-2016 23:06:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 43 [ 13/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 13-06-2016 23:28:32
โอย น้ำตาจะไหล
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 43 [ 13/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-06-2016 23:36:38
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 43 [ 13/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 13-06-2016 23:57:29
ว่าที่ลูกเขยดีขนาดนี้แล้วคุณพ่อยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอคะ  o9
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 43 [ 13/06/2559 ] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 15-06-2016 12:13:25
สงสารเชนจัง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-06-2016 09:15:31
44
สลาย
 
               
ช่วงนี้ผมออกจากบ้านบ่อยกว่าปกติเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน
               
บ้านเงียบลงไปถนัดตาหลังจากวันที่เชนมา ผมกับพ่อไม่ได้มีปากเสียง หรือทำเลาะกันรุนแรงอย่างที่ควร... ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
               
มันคือสงครามประสาทที่เกิดขึ้นเป็นประจำมาตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มมีความคิดขัดแย้งกับพ่อ มันอาจเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยที่เกิดขึ้นได้ในหลายๆ ครอบครัว ผมไม่รู้ว่าคนอื่นรับมือกับมันยังไง แต่สำหรับผมกับพ่อ เราต่อกรกันด้วยความเงียบ...ซึ่งดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปทุกที 

ช่วงเวลาที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ในบ้าน ก็คือตอนที่ผมตื่นเช้ามาเข้าครัวกับแม่ และก่อนมื้อเย็นที่ผมได้เจอและโทรคุยกับเชน พ่อเองก็อาจจะไม่ต่างกัน เวลาที่ท่านไม่รู้สึกหงุดหงิดใจเมื่ออยู่ในบ้าน ก็คงเป็นตอนที่ไม่ต้องเห็นหน้าผม
               
ดังนั้นระหว่างวันผมจึงเลือกที่จะออกไปข้างนอก ตระเวนไปทั่วเมืองท่ามกลางแดดร้อนๆ เพื่อสเกตภาพสถาปัตยกรรมสวยๆ และวิเคราะห์มันตามวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา การเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการลากเส้นลงไปในสมุดสเกตเป็นชั่วโมงๆ ช่วยให้ผมลืมเรื่องเครียดๆ ได้บ้าง แต่เมื่อแสงแดดหมดไป มันเหมือนกับการดูภาพยนตร์ที่ต้องมีเวลาฉายจบ และผมต้องกลับไปพบกับความจริงอันน่าเจ็บปวดอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา
               
ผมต้องกลับไปเจอสายตาทิ่มแทงของพ่อ ที่มักจะมีประเด็นใหม่ๆ ยกขึ้นมาประชดประชันผมเสมอ อันที่จริงผมควรจะชินได้แล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่เลย... ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน
               
ยิ่งเราเย็นชาใส่กันเท่าไหร่ ผลร้ายมันไม่ได้เกิดกับผมคนเดียวอีกต่อไป
               
ยังมีเชน ที่ต้องรับผลกระทบจากสงครามประสาทงี่เง่านี่ด้วย... ทั้งๆ ที่เขาไม่มีความผิดอะไรเลย
               
ผมไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไงให้พ่อที่เป็นผู้ใหญ่หัวดื้อยอมฟังคำพูดของผม สักนิดก็ยังดี
               
กริ๊งง~
               
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแผดเสียงลั่นขึ้นมาขณะที่ผมกำลังนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้สระน้ำในสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน ผมหยิบมันออกมาดูเบอร์โทรเข้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
               
[ อยู่บ้านหรือเปล่า ] ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยทักทาย ปลายสายก็ยิงคำถามห้วนๆ มาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแสนคุ้นเคยทันที
               
“เปล่า มีอะไรเหรอ?” ผมถามกลับด้วยความแปลกใจ

ปกติเชนไม่โทรมาเวลานี้ เพราะวันปกติเขาอยู่แต่ในออฟฟิศเพื่อฝึกงาน เลยไม่ค่อยได้สนใจแตะมือถือนัก
               
[ อยู่ไหน เดี๋ยวไปหา ] คำตอบสั้นห้วนจากเขา ทำให้ผมขมวดคิ้วงุนงงมากกว่าเดิม
               
“เลิกงานแล้ว?” ผมมองนาฬิกา มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆ เองนี่นา
               
[ วันนี้ยัยแม่มดใจร้ายให้ออกมาทำงานข้างนอก ] ผมยิ้มขำออกมาทุกทีกับสรรพนามร้ายกาจที่เขาตั้งให้พี่ริบบิ้นอย่างเด็กเอาแต่ใจ
               
“แล้วนี่ทำเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามกลั้วหัวเราะ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมา
               
[ เปล่า กำลังจะไปทำต่างหาก ] ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดนักเลยได้แต่เงียบ จนกระทั่งเชนถามขึ้นมาอีกรอบ [ ตกลงว่าอยู่ไหน ]
               
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน” ผมบอกไป แล้วใช้กระเป๋าต่างหมอนเอนหลังลงไปบนพื้นหญ้ามองท้องฟ้าลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ร่มเงาลงมา
               
[ เดี๋ยวไปหา ] เชนพูดแค่นั้น ก่อนที่สายจะตัดไป
               
ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมาขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม เงาของร่างสูงที่คุ้นเคยก็มายืนค่ำหัวผมซึ่งคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อคมในมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
               
ขนาดมองมุมเสยยังหน้าตาดีขนาดนี้ได้ไง ยังเป็นคนอยู่มั้ยครับ ผู้ชายคนนี้
               
“ทำไมมาเร็วจัง” ผมอดถามไม่ได้เพราะเจ้าตัวเพิ่งวางสายได้แป๊บเดียว แถมที่น่าสงสัยกว่าคือเขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ตรงนี้ทั้งที่ยังไม่ได้บอกพิกัดเลยแท้ๆ
               
“เมื่อกี้อยู่หน้าบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ย พลางยกมือขึ้นมาบังแดดที่ส่องหน้าผมไว้ ทำให้ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนั้นได้ชัดขึ้น
               
เราสบตาอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานราวกับพยายามจะอ่านความในใจของอีกฝ่าย และผมเชื่อว่าเชนคงจะอ่านผมออกจนหมดเปลือกว่าผมกำลังคิดถึงใบหน้าของเขาที่ไม่ได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้มากแค่ไหน เช่นเดียวกับที่ผมเองก็เห็นความรู้สึกโหยหาจากดวงตาคู่สวยเช่นกัน
               
แต่ก็สังเกตเห็นอะไรมากกว่านั้น... ประกายความลึกลับบางอย่างที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร เหมือนกับคำพูดไร้ที่มาที่ไปของเขาที่เอ่ยออกมา
               
“เคยอ่านโรมิโอกับจูเลียตมั้ย” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหลุดหัวเราะกับประโยคคำถามแปลกๆ ของเขา

“ไม่เคย ทำไมเหรอ” ผมตอบ เชนจึงขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
               
“ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน” ทำไมผมไม่แปลกใจเลยนะที่เขาไม่เคยอ่านนิยายรักน้ำเน่าแบบนั้น
               
ถึงเราจะเคยเปรียบเทียบความรักของตัวเองกับวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของเชกสเปียร์ก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าเราจะรู้จักมันมากไปกว่าสิ่งที่ใครๆ ก็รู้กัน... โศกนาฏกรรมความรักที่สังเวยด้วยชีวิต อะไรทำนองนั้น
               
“แต่ก็น่าจะมีฉากประมาณนี้มั้ง”
               
“หืม? ฉากอะไร” ผมเลิกคิ้วงงๆ
               
เชนยิ้มมุมปากก่อนจะนั่งคุกเข่าลงเหนือหัวผม แล้วโน้มหน้าลงมากดริมฝีปากบนริมฝีปากผมเบาๆ ทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ
               
โชคดีที่ผมเลือกนั่งในที่ที่สงบที่สุด แถวนี้ก็เลยไม่มีคน
               
“ฉากหนีตามกันไง” เขาเลื่อนริมฝีปากมากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะแสยะยิ้มเล็กๆ แล้วลุกขึ้นยื่นมือมาตรงหน้าผมที่ยังคงนอนอึ้งกับการกระทำแสนอุกอาจของเขาอยู่

“ว่าไง”

“...”

“พร้อมจะหนีไปด้วยกันหรือยัง?”




-- มีต่อ --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-06-2016 09:16:26
-- ต่อ --

เวลาผ่านไป

ผมไม่คิดว่าคำว่า ‘หนี’ ของเชนจะหมายความว่าเราจะหนีกันจริงๆ จนกระทั่งเขาพาผมขึ้นรถสปอร์ตคันหรูแล่น
ออกมาจากหมู่บ้านออกนอกเมืองออกนอกกรุงเทพฯ มาจนกระทั่งรอบตัวกลายเป็นทิวทัศน์จากต้นไม้เขียวขจีของเขาใหญ่ เขาบอกผมว่าห้ามติดต่อกับใคร หรือบอกว่าผมอยู่ที่ไหนเพื่อที่จะได้เป็นการหนีตามกันที่สมบูรณ์แบบ
           
ผมไม่รู้ว่าควรจะตลกหรือควรจะตกใจดีที่เขาทำเรื่องแบบนี้ด้วยใบหน้าที่แสนจะจริงจังขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่เขาบอกอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ
               
เราขับรถกินลมชมวิวที่ไม่มีให้เห็นในเมืองใหญ่อย่างสบายใจ จนกระทั่งมาถึงบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังเล็กกลางหุบเขาหลังหนึ่ง ซึ่งเชนบอกว่ามันคือบ้านพักตากอากาศของพี่ริบบิ้น
               
ครับ... เอ่ยชื่อขนาดนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วใช่มั้ยว่าเจ้าของแผนการที่แท้จริงเป็นใคร
               
ผมเหวอไปเลยตอนเชนเฉลยว่ามันคือ ‘งาน’ ที่เขาบอกว่าพี่ริบบิ้นให้ออกมาทำก่อนหน้านี้... พาผมหนีออกจากบ้าน จนกว่าพ่อตาจะยอมให้คบกัน (เขาพูดประโยคนี้จริงๆ ครับ สาบาน) และที่เหวอกว่าก็คือการที่เชนบ้าจี้ยอมทำตามคำยุยงของพี่สาวจอมขี้แกล้งของเขาจริงๆ นี่แหละ
               
“หิวหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เราสำรวจบ้านหลังกะทัดรัดนี้รอบหนึ่งเพื่อดูว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่กันได้หรือเปล่า
               
เพราะมากันอย่างฉุกละหุก พี่ริบบิ้นก็เลยไม่ได้ให้แม่บ้านตระเตรียมอะไรไว้ให้พร้อมนัก แต่โชคดีที่ปกติจ้างคนมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องที่นอน จะติดก็ตรงที่ในครัวแทบไม่มีของกินเลยนอกจากน้ำเปล่ากับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่กี่ห่อ แถมนี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าไม่ออกไปหาอะไรกินตอนนี้ มืดค่ำขึ้นมาก็คงจะลำบาก เพราะบ้านตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา
               
“เมื่อกี้เห็นตรงทางเข้ามามีตลาด ออกไปหาอะไรกินกันมั้ย จะได้เดินเล่นด้วย” ผมละสายตาจากวิวสวยๆ ตรงหน้าต่างหันไปยิ้มกว้างตอบเขาด้วยความกระตือรือร้นทันที พลางนึกขึ้นมาว่าถ้าได้ของสดมาทำอะไรกินสักหน่อย คงจะเป็นอะไรที่เข้ากับบรรยากาศดีๆ แบบนี้ไม่น้อย
               
เชนชะงักไปนิดหน่อยกับดวงตาที่คงจะฉายประกายตื่นเต้นออกนอกหน้าขึ้นมาให้เห็น เขาคลี่ยิ้มขำกับตัวเองแล้วเดินมาขยี้หัวผมอย่างมันเขี้ยวก่อนจะกดจูบที่หน้าผากผมเบาๆ
               
 “รับทราบครับ”

               
ไม่นานเชนก็พาผมมาถึงตลาดนัดตามที่ผมต้องการโดยไม่อิดออด แม้ว่าลุคของเขาจะดูไม่เข้ากับตลาดสดบ้านๆ แบบนี้เลยแม้แต่น้อย ตอนไปเดินแผนกของสดด้วยกันในห้างว่าว่าลำบากแล้ว ตอนนี้เหมือนผมเพิ่มความลำบากให้เขาไปอีกสักสิบเท่าได้ ผมเพิ่งค้นพบว่าเชนเป็นคุณชายกว่าที่คิด ไม่ได้หมายถึงคุณชายประเภทเจ้าสำอางเจอของติดดินแล้วร้องยี้ใส่อะไรทำนองนั้นหรอกครับ แต่เป็นคุณชายเย็นชาประเภทที่คงจะไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตพื้นบ้านแบบนี้มาก่อนเลยต่างหาก ทำให้เขาดูเงอะงะไปหมด เมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้
               
“ขอโทษครับ” ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยคำนี้ไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้วทั้งที่เรายังเดินไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของตลาดด้วยซ้ำ ผมเห็นเชนเดินชนคนนู้นคนนี้ทั่วไปหมดด้วยความไม่คุ้นชินกับทางสัญจรที่ไร้ซึ่งความตายตัว คนมากมายเดินสะเปะสะปะกวาดตามองหาสิ่งที่ต้องการ แถมด้วยความที่มีแต่คนคุ้นเคย บางคนนึกจะหยุดทักทายกันก็หยุดซะอย่างนั้น จนทำให้เดินลำบากกว่าในห้างหลายเท่าตัว จึงไม่แปลกที่ร่างสูงผิดสเกลชาวบ้านแบบเขาจะเกิดอาการเฟอะฟะขัดกับหน้าตาที่นิ่งขรึมขึ้นมา
               
ผมยิ้มขำเมื่อเห็นเชนเริ่มหน้าเสียที่เดินชนคนอื่นไม่หยุด และถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดีระดับเทพขนาดนี้ เขาอาจจะโดนด่าเละมาตั้งแต่ต้นทางแล้วก็ได้
               
“มานี่สิ” ผมว่า พลางเอื้อมมือออกไปให้เขาจับ
               
ตอนที่แม่พาผมไปจ่ายตลาดด้วยตอนเด็กๆ ก็ชอบทำแบบนี้ เพราะกลัวผมหลง ตอนนี้คงถึงคราวที่ผมจะเอาวิธีนี้มาใช้กับคนตัวโตแต่ไม่ประสีประสากับการจ่ายตลาดบ้างซะแล้ว
               
“เห็นฉันเป็นเด็กหรือไง” เขาขมวดคิ้วบ่นงุ่นง่าน แต่สุดท้ายก็ยอมเอื้อมมือมาจับมือผมไว้อยู่ดี
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเข้าใจว่าเขาคงจะรู้สึกเฟลไม่น้อยที่ต้องเป็นฝ่ายให้ผมจูงมือ ทั้งๆ ที่ปกติมักจะเป็นฝ่ายลากผมไปไหนมาไหนอย่างเอาแต่ใจ
               
แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถิ่นนี้ผมเหนือกว่านี่นา
               
ทำอิดออดได้ไม่ถึงสิบนาที เจ้าของฝ่ามือหนาก็เริ่มจับมือผมแน่นขึ้นซะอย่างนั้น...
               
ไม่ใช่เพราะกลัวหลง หรือยอมให้ผมจูงแต่โดยดีหรอก แต่เพราะอยากแกล้งเอาคืนที่ผมทำเหมือนเขาเป็นเด็กมากกว่า เพราะการที่เขาไม่ยอมปล่อยมือผมเลยตลอดเวลาการจ่ายตลาด มันทำให้ผมลำบากไม่น้อย ไม่ว่าจะตอนเลือกหมู เลือกผัก หรือแม้กระทั่งตอนรับเงินทอน พอบอกให้เขาปล่อยคนหน้าตายก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้จนผมต้องรบกวนแม่ค้าให้หย่อนเงินลงในถุงผักให้
               
แน่นอนว่าต้องแลกกับประโยคเอ่ยแซวที่ดังซะจนคนแทบจะทั้งตลาดต้องหันมามอง
               
ผมอายจนอยากจะแทรกแผ่นดิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องซื้อของต่อและคนเอาแต่ใจก็ไม่ยอมปล่อย ราวกับเห็นความอายเวลาโดนแซวของผมเป็นเรื่องตลก (ตัวเองก็โดน ทำไมไม่รู้จักสะทกสะท้านเลยวะ) จนกระทั่งเราซื้อของจนเสร็จเขาก็ยังคงจับมือผมแน่นอยู่
               
“เอาผลไม้มั้ย?” ผมหยุดถาม เมื่อเรามาถึงหน้าแผงขายผลไม้ใกล้กับทางออกพอดี มันทำให้ผมนึกออกว่าถ้าหากมีผลไม้กินหลังมื้อเย็นก็คงดี
               
เชนพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายจูงมือผมเดินเข้าไปหาแผงผลไม้ซึ้งป้าแม่ค้ายิ้มกว้างรอต้นรับอยู่แล้ว
               
“ชิมได้นะจ๊ะ ส้มหวานๆ จากสวนปลูกเองเลย” คุณป้าเอ่ยเมื่อเห็นผมทำท่าหยิบส้มในกระบะขึ้นมา แถมยังปอกเปลือกยื่นส้มกลีบหนึ่งมาให้ผมชิมเสร็จสรรพ
               
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับส้มมาชิม และพบว่ามันหวานฉ่ำสมคำโฆษณาจริงๆ “เอาส้มโลนึงครับ” ผมสั่ง
               
แต่พอทำท่าจะหันไปเลือกอย่างอื่นต่อ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สะกิดยิกๆ พอผมหันกลับไปก็พบว่าคนเอาแต่ใจกำลังขมวดคิ้วมองมาก่อนจะอ้าปากพร้อมส่งเสียง
               
“อ้า”
               
ท่าทางที่เหมือนเด็กรอป้อนข้าวนั่นทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร จึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง  ก่อนจะหันไปขอส้มจากป้าแม่ค้าที่ยิ้มขำไม่แพ้กันพร้อมกับยื่นส้มกลีบหนึ่งมาให้ผมป้อนเข้าปากคนที่รออยู่
               
“ปล่อยมือแล้วหยิบกินเองง่ายกว่ามั้ยเนี่ย” ผมแกล้งตำหนิอย่างไม่จริงจัง ขณะที่เชนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เคี้ยวส้มตุ้ยๆ แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าแทน
               
“อร่อยครับ” ป้าแม่ค้าหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางเอ่ยแซวไม่หยุดขณะหยิบส้มใส่ถุงให้เราเกินออร์เดอร์ เพราะถูกใจในความขี้อ้อนหน้าตายของเชน 
               
สุดท้ายเราเลยได้วัตถุดิบทำอาหารเย็นพร้อมสรรพ แถมผลไม้อีกเต็มถุงที่เก็บไว้กินได้อีกเป็นวันๆ ในราคาสบายกระเป๋า
               
ซ่า~!
               
แต่ความชิลในการจ่ายตลาดเป็นอันหมดลงทันทีเมื่อระหว่างทางที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถฝนดันตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว ยังไม่ทันจะมองหาที่หลบฝนก็เปียกโชกไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้
               
“ทางนี้” ผมได้ยินเสียงเชนตะโกนฝ่าฝนมา ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะลากผมวิ่งตรงไปยังเพิงเล็กๆ ที่ใกล้ที่สุดเพื่อหลบฝน
               
ผมได้ยินเสียงคนในตลาดวุ่นวายพอสมควร แต่เพราะแต่ละร้านมีร่มและดูเหมือนจะเตรียมพลาสติกมาคลุมของกันอยู่แล้ว เหตุการณ์ก็เลยไม่ได้ดูเลวร้ายนัก

“เปียกหมดเลยอ่ะ” ผมชูของที่เพิ่งซื้อมาให้เชนดู ถึงส่วนใหญ่จะเป็นผักกับเนื้อที่พอจะเปียกน้ำได้ แต่ก็มีเครื่องปรุงและของบางส่วนที่น่าเป็นห่วงอยู่ดี

“ห่วงตัวเองก่อนเหอะ” เชนบ่นกลั้วหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำออกจากหน้าผมแล้วเลื่อนมาขยี้หัวสลัดเอาน้ำฝนออกจากเรือนผมให้เหลือพอหมาดๆ ผมเบ้หน้าก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา และเป็นฝ่ายเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมเปียกๆ ของเขาบ้าง แน่นอนว่าฝนทำอะไรเชนไม่ได้เลย ต่อให้อยู่ในสภาพเปียกซกสะบักสะบอมแค่ไหนเขาก็ยังคงดูดีอย่างน่าอิจฉาเสมอ

“หนาวมั้ย” เขาถามพลางแย่งของในมือผมไปถือแล้วใช้มืออีกข้างโอบไหล่ผมเบาๆ แม้ว่าผมจะส่ายหน้าตอบก็ตาม
ผมหัวเราะพลางขยับเข้าไปใกล้และโอบเอวเขากลับ เพิงที่พวกเราใช้หลบฝนอยู่ไกลจากตัวตลาดพอสมควร ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะวิ่งมาหลบฝนตรงนี้ ทำให้เหลือแค่เราสองคนเท่านั้น เสียงฝนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามันยิ่งตกหนักขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปนอกชายคาเพื่อสัมผัสเม็ดฝนเย็นๆ แล้วดันนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้

“นี่..." ผมเรียก "ไหนๆ ก็เปียกขนาดนี้แล้ว... เปียกกว่านี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมลดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งกำลังมองมาอย่างรู้ทัน

ผมยิ้มถามตัวเองในใจว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้เล่นน้ำฝนโดยไม่กลัวเปียก ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมาคิดเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาก็คงจะยิ่งลำบาก แต่ว่าอีกใจมันก็แย้งว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร และมันจะมีความสุขแค่ไหนถ้าได้วิ่งเล่นท่ามกลางฝนเย็นฉ่ำโดยที่ยังคงมีฝ่ามือหนาของเขาคอยเกาะกุมคุ้มครองผมอยู่

แค่คิดก็อดยิ้มกว้างไม่ได้แล้ว

“หึ” พอเห็นสีหน้าผม เชนก็ยิ้มมุมปากออกมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร มือที่โอบไหล่ผมอยู่เลื่อนขึ้นไปลูบหัวผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกุมมือผมแน่นพร้อมวิ่งออกไป “เป็นการหนีตามที่มีสีสันดีจริงๆ”
ผมหัวเราะกับประโยคกึ่งประชดประชันนั่น ก่อนจะยอมปล่อยให้ร่างสูงจูงมือผมออกไปจากเพิงเล็กๆ นี้เพื่อสัมผัสกับฝนเย็นฉ่ำโดยไม่สนใจอะไรอีก
 

เราวิ่งฝ่าฝนไปจนถึงรถสปอร์ตคันหรูของเชนเพื่อขับกลับบ้านพัก และเพราะร่างกายเปียกโชกยิ่งกว่าตกลงไปในบ่อน้ำขากลับเชนเลยต้องเปลี่ยนจากแอร์เย็นๆ เป็นเปิดฮีตเตอร์เพื่อให้ร่างกายไม่เย็นเกินไป ไม่นานเราก็กลับมาถึง โยนวัตถุดิบมือเย็นที่เละเทะจนไม่น่าจะทำอะไรได้ไว้ในครัวลวกๆ แล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วที่สุด
ปัญหาก็คือ... เราเพิ่งตระหนักได้ว่าเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนมาเลย... นี่สินะ ความฉิบหายของการหนีตามกันมาแบบไม่คิด

แถมนี่เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของพี่ริบบิ้น ซึ่งเป็นผู้หญิง จึงไม่มีเสื้อผ้าที่พวกเราพอจะใส่ได้เลย ผมภาวนาให้มีเสื้อผ้าของแฟนพี่ริบบิ้นโผล่มาบ้าง แต่ก็ไม่มีสักตัว สุดท้ายพออาบน้ำเสร็จผมก็เลยต้องใช้ชุดคลุมอาบน้ำปิดบังร่างกายของตัวเองไว้ ขณะที่รอเสื้อผ้าตัวเดิมแห้ง เชนเองก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีกรมซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าร่างกายภายใต้ชุดคลุมที่มัดเชือกอย่างลวกๆ นั่น ก็คงจะเปลือยเปล่าไม่แพ้ผม...

อืม ผมว่าผมไม่ควรจะคิดอะไรไปลึกขนาดนั้นนะ ว่ามั้ย

“หึ” ไม่รู้ว่าร่างสูงที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอ่านความคิดบ้าบอของผมออกหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ อยู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายประกายเจ่าเล่ห์อย่างน่ากลัว

“หัวเราะอะไรครับ” ผมพยายามทำน้ำเสียงตำหนิ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าหน้ากำลังร้อนขึ้นมาอย่างรู้สึกได้

“เปล่า” เขาลุกขึ้นมานั่ง วางหนังสือลงข้างตัว “ใส่ชุดนี้แล้วเซ็กซี่ดี” ยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจอีกรอบ

“หุบปากไปเลย” ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง ก็เลยดุเขาแล้วเบือนหน้าหนี พลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมหัวทำทีเป็นเช็ดผมที่เพิ่งสระแต่ความจริงคือกำลังใช้มันปิดบังใบหน้าร้อนๆ ที่คงจะดูตลกของตัวเองต่างหาก

“มานี่สิ เดี๋ยวเช็ดให้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่คนตัวสูงเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิแล้วตบเบาๆ ตรงเตียงว่างๆ ตรงหน้าตัวเอง
ผมเลิกคิ้วมอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะตอนอยู่หอผมก็เช็ดหัวให้เขาเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว คราวนี้จะให้เขาเป็นฝ่ายเช็ดให้บ้างก็คงไม่เป็นไร แล้วเดี๋ยวผมก็คงต้องเป็นฝ่ายเช็ดให้เขากลับ เพราะผมเชนก็ยังไม่แห้งเหมือนกัน

ผมนั่งหันหลังให้เชนและปล่อยมือจากผ้าให้ฝ่ามือหนาทำหน้าที่ขยี้เบาๆ ไปตามเส้นผมเปียกๆ ของตัวเอง

“แล้วทีนี้เราจะกินอะไรกันดี” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ว่าข้าวของที่ซื้อมามันเปียกไปหมด ไม่น่าจะใช้ทำมื้อเย็นได้แล้ว จะให้กินแต่ผลไม้ก็คงไม่พอ เพราะพวกเราก็ผู้ชายทั้งคู่ต่างคนต่างก็กินเยอะแน่นอน

“มาม่าก็ได้” เขาตอบพลางเช็ดหัวให้ผมไปเรื่อยๆ

ผมพยักหน้าเออออ เพราะดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ป่าที่เคยเป็นสีเขียวถูกความมืดกลืนกินจนกลายเป็นผืนป่าสีดำไปแล้ว ไฟรอบบ้านที่ติดตั้งระบบจับแสงอัตโนมัติก็สว่างขึ้นมาทำหน้าที่ของมันแม้ว่าฝนจะยังคงตกหนัก

“หิวหรือยัง” ผมถามต่อ กำลังจะหันไปมองหน้าเชน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อถูกริมฝีปากเย็นๆ ของคนที่อยู่ๆ ก็เงียบไปกดลงบนกระดูกสันหลังที่โผล่พ้นขอบคอเสื้อคลุมออกมาจนเผลอสะดุ้ง

“หิวแล้ว” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ลมหายใจร้อนๆ รินรดลงมาที่ต้นคอทำให้ผมรู้ว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้แค่ไหน “แต่อยากกินของหวานก่อนมากกว่า”
ว่าจบริมฝีปากบางก็กดลงมาที่เดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนไปที่ไหล่ และหลังใบหูของผมที่ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ริมฝีปากเย็นเฉียบนั่นละลาบละล้วงไปบนผิวกายที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อคลุมโดยไม่ขัดขืน

ผ้าขนหนูผืนเล็กที่คลุมหัวผมไว้ตกลงไปข้างตัวแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเชนเอื้อมมือมาโอบเอวผมไว้แน่น ขณะที่ใช้ริมฝีปากพรมจูบหนักๆ ลงบนต้นคอของผมซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะเรียกร้องให้ผมหันกลับไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่คิดที่จะปฏิเสธ ร่างกายของผมขยับเข้าไปใกล้เขาโดยอัติโนมัติ พร้อมกับเบือนหน้ากลับไปรับจูบจากริมฝีปากบางที่ดูเหมือนจะรออยู่แล้ว รสจูบร้อนแรงที่ตัดประสาทสัมผัสต่างๆ ของผมออกจากทุกสิ่งรอบกาย เสียงฝนที่ดังสนั่นอยู่ด้านนอก ไม่อาจเข้ามาในโสตประสาทของผมได้อีกต่อไป เช่นเดียวกับความเย็นของอากาศที่เทียบไม่ได้เลยกับความร้อนของร่างกายเราสองคนที่ดูเหมือนจะเพิ่มทวีขึ้นทุกที

จูบของเขามันหลอมละลายผมซะจนเผลอยกแขนขึ้นไปโอบรอบคอแข็งแกร่งเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองไหลลงไปกองกับพื้นเชนกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นในทุกวินาทีที่จูบของเราเร่งเร้าขึ้นตามความต้องการ ผมไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เชือกเส้นหนาของเสื้อคลุมอาบน้ำของผมถูกปลดออกเปิดโอกาสให้ผ่ามือเย็นเยียบของเขาลูบไล้สะเปะสะปะไปตามร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของผมได้อย่างเอาแต่ใจ

แต่ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลยเถิดไปตามอารมณ์เสียงแหลมเล็กที่ขัดจังหวะทุกการกระทำอันล่อแหลมก็ดังขึ้นมา

กริ๊งง~

ผมเผลอสะดุ้งจนเชนต้องถอนริมฝีปากออกไป แต่หน้าผากของเรายังแตะกัน จมูกโด่งก็ยังคงคลอเคลียอยู่กับจมูกของผมพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นมาล็อกใบหน้าของผมเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

“ช่างมัน” พูดจบริมฝีปากร้อนก็กดลงมาบนริมฝีปากผมอีกรอบ

คราวนี้เขามอบจุมพิตร้อนแรงพร้อมกับดันร่างของผมให้เอนราบลงไปบนเตียง แล้วพลิกตัวขึ้นมาคร่อมเอาไว้ราวกับจะใช้ร่างหนาของตัวเองเป็นพันธนาการไม่ให้ผมหนีไปไหน ริมฝีปากร้อนจัดเริ่มลุกลามไล้จูบหนักๆ ไปตามซอกคอและแผ่นอกเปลือยเปล่าของผมอย่างโหยหา ร่างกายของผมแทบจะบิดเป็นเกลียวกับสัมผัสวาบหวิวที่เขามอบให้ ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง และหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างไร้การควบคุม

กริ๊งงง

แต่ดูเหมือนว่าเสียงโทรศัพท์มือถือที่ทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ช่างได้อย่างปากว่าเลย หลังจากฝืนไม่สนใจมันอยู่สักพัก สุดท้ายเชนก็หมดความอดทน เขาหยุดริมฝีปากตัวเองและพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

“แม่งเอ๊ย!” น้ำเสียงไม่พอใจของเขาทำเอาผมรู้สึกผิดไม่น้อย

“โทษที” ผมบอก ก่อนจะดันแผ่นอกของคนที่คร่อมอยู่ให้หลบออก แล้วลุกขึ้นจัดแจงมัดเชือกเสื้อคลุมลวกๆ และมองหาโทรศัพท์ของตัวเองอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ

ดูเหมือนสติของผมจะถูกจูบของเชนกระชากออกจากร่างไปแล้ว เลยทำให้ผมเบลอจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด หัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะระเบิด และร่างกายมันก็รู้สึกร้อนไปหมดจนไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาเลย

ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่ตอนเข้ามา ตั้งใจว่าจะกดตัดสายและปิดเครื่องซะ เพราะยังไงเจตนาแรกของเราก็คือการหนีออกมาโดยไม่บอกใครอยู่แล้ว แต่พอเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่ เป็นเบอร์โทรส่วนตัวของแม่ ผมก็ถึงกับชะงักไป

“อย่ารับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เหมือนเคย พอหันไปมองก็พบว่าคิ้วเข้มกำลังขมวดเข้าหากันสีหน้ายังคงแฝงแววหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ

“แม่โทรมา” ผมบอกอย่างลังเล เชนดูเหมือนจะไม่อยากให้ผมรับโทรศัพท์สายนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

แต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงอยู่ดี

อย่างน้อยก็ควรบอกหรือเปล่าว่าผมจะไม่กลับ ท่านจะได้สบายใจ

“โทษที” ผมทำหน้าสำนึกผิดใส่เชนที่สบถพึมพำ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ก่อนที่สายมันจะตัดไปได้ทันเวลา “ครับแม่”

[ ตรี อยู่ไหนลูก ] แม่ถามทันทีที่ผมรับสาย เสียงฝนที่ดังเล็ดลอดเข้ามาทำให้ผมเดาได้ว่าที่บ้านเองก็คงจะฝนตกเหมือนกัน

“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง หันไปมองเชนที่หันกลับมาสบตาด้วยสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนเคย

[ อยู่กับเชนเหรอ ] แม่ถามอย่างรู้ทัน สุดท้ายผมเลยต้องตอบตามตรง

“ครับ แม่มีอะไรหรือเปล่า”

แม่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป [ ไม่มีอะไร แม่แค่เป็นห่วง คืนนี้ไม่ต้องกลับก็ได้นะลูก ฝนตกมันอันตราย ]

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าแม่ไม่ได้โทรมาเพื่อจะพูดประโยคนี้

และคำตอบก็ชัดเจนขึ้น เมื่อมีเสียงทุ้มดุดันแทรกเข้ามาในสายอย่างน่ากลัว

[ บอกให้มันกลับมา จะได้เตรียมตัวเดินทางกันสักที ] มันคือเสียงของพ่อผมอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมได้ยินเสียงแม่ปรามขึ้นมาและทั้งสองคนก็เถียงอะไรกันสักพัก แต่แม่คงจะปิดสปีกเกอร์เอาไว้ทำให้ผมได้ยินไม่ถนัด                 แต่แค่รู้ว่าพวกท่านกำลังเถียงกัน หัวใจผมมันก็หล่นลงไปที่ตาตุ่มด้วยความรู้สึกไม่ดีแล้ว

“แม่ครับ” ผมพยายามเรียก แต่ดูเหมือนแม่จะยังไม่ได้ยิน “แม่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” เสียงผมเจือไปด้วยความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาในอกอย่างควบคุมไม่ได้ เชนเองก็คงจะจับความรู้สึกผมได้ จึงมองมาด้วยสีหน้าที่เริ่มเป็นห่วง

[ ตรี แม่ขอโทษ... ] หลังจากปล่อยให้ผมเรียกอยู่สักพัก แม่ก็กลับมาคุยกับผมอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่อาจอธิบาย [ น้าเพิ่งโทรมาบอกว่าที่ร้านมีปัญหา แม่คงต้องกลับไปก่อน ]

แม่พูดแค่นั้น ผมก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

“พ่อไม่ยอมกลับ ถ้าผมไม่ไปด้วยใช่มั้ยครับ” ผมพูดสิ่งที่คิดขึ้นมา ทำเอาปลายสายถึงกับเงียบไปอีกครั้ง

[ ไม่เป็นไรนะตรี แม่กลับไปคนเดียว... ]

“ไม่ครับแม่” ผมขัดขึ้น รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงตัวเองแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยใช้กับแม่มาก่อน “แม่รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับพ่อเอง” ว่าจบผมก็ตัดสายด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกภูเขาลูกใหญ่ๆ หล่นลงมาทับบ่าอย่างไม่ทันตั้งตัว หันไปมองเชนก็พบว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นฉายแววว่าเขาเข้าใจทุกอย่างแล้วโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ เหมือนต้องการเรียกสติ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงมาหาผมและดึงร่างที่ได้แต่ยืนนิ่งราวกับไร้วิญญาณเข้าไปกอดไว้แน่น เพื่อช่วยซึมซับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาผมผ่านร่างกายอันอบอุ่น โดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ อีก





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 17-06-2016 09:47:32
T-T พ่อที่บังคับเกินไป อย่าให้จบแบบโรมิโอกับจูเลียตจริงๆนะ สงสาร
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-06-2016 10:02:55
 :o12:   :ling1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ammair ที่ 25-06-2016 15:28:03
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 06-07-2016 23:59:16
45
พ่ายแพ้
 
เวลาผ่านไป

เราสองคนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ทันทีโดยไม่สนใจเลยว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าเปียกๆ นั่งรถเป็นชั่วโมงๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บรรยากาศในรถเงียบงันอย่างน่าอึดอัดแต่ก็ไม่มีใครคิดจะเปิดเพลงเพื่อคลายบรรยากาศ ในหัวผมมีคำพูดมากมายที่เตรียมเอาไว้ แต่ก็รู้แก่ใจว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำให้พ่อยอมฟัง ผมไร้หนทางจนเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวว่าถ้าพ่อยังดื้ออยู่แบบนี้ ก็ไม่ให้พวกท่านกลับไปทั้งคู่เลยอาจจะดีกว่า

แต่นั่นก็เท่ากับว่าผมเป็นลูกเนรคุณที่ทำลายครอบครัวเพื่อความสุขของตัวเอง
ฝนที่ตกไม่หยุด ทำให้เชนขับรถเร็วมากไม่ได้ เราจึงกลับถึงบ้านช้ากว่าที่ควรเป็นชั่วโมง มันดีตรงที่ผมมีเวลาทำใจได้นานขึ้น... แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะทันทีที่มาถึงและเห็นไฟในบ้านยังสว่างโร่ สมองของผมก็กลับมาขาวโพลนราวกับคนโง่อีกครั้ง

“นาย... กลับไปก่อนนะ” ผมโน้มตัวเข้าไปจูบเชนเบาๆ อย่างต้องการซึมซับความมั่นใจ ก่อนจะบอกเขาแบบนั้น แล้วเปิดประตูรถวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในบ้านทันที

“คุณควรปล่อยลูกไปได้แล้ว! แบบนี้มันไม่ใช่การเป็นห่วงแล้ว คุณแค่อยากเอาชนะต่างหาก!” เสียงตะโกนของแม่ที่ดังขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในตัวบ้าน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะยื่นออกไปจับลูกบิดประตูทันที

“คุณไม่เข้าใจ!” พ่อพยายามจะเถียง

“คุณนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ!” แต่แม่ก็แย้งขึ้นมาอีกครั้ง “ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คุณก็เห็นนี่ว่าเด็กสองคนมันรักกัน ถึงสุดท้ายเขาจะเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่มีสิทธิ์ไปขัดขวาง”

เหตุผลของแม่ทำให้พ่อของผมถึงกับเงียบไป แต่แววตาที่ยังคงแข็งกร้าวก็บ่งบอกว่าท่านไม่ได้กำลังยอมแพ้
พ่อผมยังไงก็เป็นพ่อผมที่หัวดื้ออยู่วันยังค่ำ

“ไอ้ตรีต้องไปกับเรา ยังไงผมก็ไม่ให้มันคบกับผู้ชายหรอก” นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลย

“พ่อครับ พอได้แล้ว!” สุดท้ายผมก็เปิดประตูเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นต่อไปไม่ไหว

“...” พ่อกับแม่ดูจะตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว ทั้งสองคนมองมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้ผมได้เอ่ยในสิ่งที่ใจคิดต่อไป

“ผมกับเชน เราแค่รักกัน ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยสักนิด เมื่อไหร่พ่อจะเลิกขัดขวางเราสักที!”

“ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเหรอ เหอะ! แล้วที่ไปเที่ยวกับมันจนดึกจนดื่นนี่ล่ะ! ถ้าแม่แกไม่โทรตามก็คงจะไม่กลับมาใช่มั้ยฮะ!”

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับพ่อ!” ผมอดไม่ได้ที่จะตะโกนกลับไปเมื่อเริ่มรู้สึกว่าพ่อเริ่มเบี่ยงประเด็น

“เดี๋ยวนี้แกกล้าเถียงเหรอ ไอ้กุ๊ยนั่นมันสอนให้แกมาเถียงฉันแบบนี้เหรอ!” คำพูดของพ่อ สะกิดต่อมความโกรธที่พยายามกักเก็บเอาไว้มาตลอดระเบิดออกมาเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกเผา ผมกำหมัดแน่น มองหน้าพ่อตัวเองด้วยสายตาที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยทำ

“พ่อไม่มีเหตุผลเลย! นี่น่ะเหรอที่บอกว่าเป็นห่วงผม?จริงอย่างที่แม่บอก... พ่อไม่ได้เป็นห่วงผมเลย พ่อก็แค่อยากเอาชนะผมเท่านั้น” จำไม่ได้เลยว่าตัวเองขึ้นเสียงกับพ่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมหมดความอดทนจนเผลอเถียงพ่อแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดมาผมอดทนและเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ในความเงียบตลอด

บรรยากาศจมลงสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดนานนับนาที ผมเห็นใบหน้าของพ่อบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยาย ในขณะที่แม่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน ผมยกมือขึ้นกุมขมับอย่างจนความคิด จนคำพูดที่จะยกขึ้นมาเอ่ย สุดท้ายก็เลยได้แต่เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าอย่างขอร้องอีกครั้ง

“ผมขอโทษที่ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย” อยู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกก็ทำเอาผมต้องเว้นวรรคเพื่อกลืนก้อนความรู้สึกนั้นกลับลงไป “ขอโทษที่เอาแต่ใจ ขอโทษที่เงียบทุกครั้งที่ทะเลาะกัน”

“...”

“ขอโทษครับที่ไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้พ่อเข้าใจ... แล้วก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกพ่อเลย พ่อคงจะลำบากใจมากที่มีลูกหัวดื้ออย่างผม”

“...”

“แต่พ่อครับ...ผมขอร้อง อย่าเอาความผิดทั้งหมดของผมมาลงกับเรื่องนี้ได้มั้ย ฮึก”

แต่สุดท้ายผมก็เก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นต่อไปไม่ไหว จนสุดท้ายมันก็กลั่นกรองกลายเป็นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างน่าสมเพช ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลราวกับทำนบแตก

“ตรี” แม่เข้ามากอดผมไว้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเลยว่าตัวผมจะเปียกแค่ไหน ในขณะที่พ่อยังคงจ้องหน้าผมนิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน

“ถึงพ่อจะพูดยังไง ผมก็ยังยืนยันอีกครั้งว่าผมกับเชนรักกัน... เรารักกันมากจริงๆ” ผมพล่ามทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมแค่ต้องพูดออกไป พูดทุกสิ่งที่ใจคิดเพื่อให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าใจจิตใจของผมบ้าง

“...”

“และต่อให้ไม่มีเรื่องเชน ผมก็จะไม่ไปไหน... ความฝันผมอยู่ที่นี่ ได้ยินมั้ยครับพ่อ” พูดได้เท่านั้นผมก็ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ผมมองใบหน้าที่ขมวดคิ้วเกร็งของพ่อผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ตัวของผมสั่นไปหมด ไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บที่เล่นงานจนร่างกายเย็นเฉียบ แต่เป็นเพราะความรู้สึกมากมายมันถูกปลดปล่อยออกมาจนไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีก ผมไม่รู้ว่าพ่อกำลังคิดอะไร และไม่สนใจอีกแล้ว

ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่น ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองเพราะไม่ต้องการเห็นหน้าใครอีก

ผมอยากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาให้หมด ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานผ่านน้ำตาพวกนี้ เผื่อว่ามันจะทำให้หัวใจที่กำลังหนักอึ้งผ่อนคลายลงบ้าง ผมปิดประตูห้องใส่กลอนเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงประตูและร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กๆ ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรต่อไป ควรหันหน้าไปทางไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ มันทั้งสับสน และเจ็บปวดจนเหมือนหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งที่คิดว่าจะต้องผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้... แต่ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ก็ไม่รู้

กริ๊งง

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงร้องออกมาเพราะมีคนโทรเข้า ผมไม่อยากรับสายใครตอนนี้ แต่เบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอก็ทำให้ผมลังเลจนได้แต่ปล่อยให้โทรศัพท์ส่งเสียงอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังร้องไห้... แต่ผมก็อยากได้ยินเสียงเขาเหลือเกิน

“...” ในที่สุดผมก็รับสาย แต่ไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน
ต้องขอบคุณเสียงฝน ที่ช่วยให้ผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้ง่ายขึ้น

[ ร้องไห้อยู่เหรอ ]

แต่ก็ไม่มีทางที่จะปิดบังผู้ชายที่อ่านความรู้สึกผมออกมาเสมอคนนี้ได้เลย

“ฮึก... ” พอถูกจับได้ เสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตามากมายมันก็พรั่งพรูออกมาจนเกินจะกลั้นได้อีก

ไม่น่าเลย ผมไม่ควรให้เขามารับรู้ความรู้สึกอันน่าสมเพชของผมเลย

[ พ่อไม่ยอมเหรอ ]

“ขอโทษ” คำถามของเขาทำให้ผมซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองด้วยความรู้สึกผิด พยายามจะเช็ดน้ำตา แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมหยุดไหลสักที

[ ถ้าไม่เลิกกัน พ่อจะบังคับให้นายไปอิตาลีด้วย... จริงหรือเปล่า ]

“ฮึก...” ผมไม่ตอบ ได้แต่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นกลับไป เพราะไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้เลยเกี่ยวกับอนาคต ต่อให้ผมอ้อนวอน ก็ยังไม่รู้เลยว่าพ่อจะยอมรับการตัดสินใจของผมหรือเปล่า เรื่องราวมันเหมือนยิ่งดิ่งลงเหวซะจนผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว

[ ออกมาที่ระเบียงหน่อยสิ ] เขาบอก

นั่นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ไปไหน

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า น้ำเสียงขาดห้วง ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมในสภาพนี้ ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเจ็บปวดและท้อใจแค่ไหน ผมกำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งคิดว่าเชนต้องกำลังกังวลใจแค่ไหน มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทุกข์จนแทบจะทนไม่ไหว เขาไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้เลย

ถ้าคนที่เขารักเป็นคนอื่น... เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้

[ เหนื่อยมากสินะ ] เขาเงียบไปนาน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แม้จะเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ผมยิ่งสะอื้นหนักขึ้นจนต้องยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากที่เม้มแน่นของตัวเองเอาไว้ อยากจะปฏิเสธออกไปแต่ก็ยากที่จะโกหกความรู้สึกตัวเอง

[ ท้อแล้วใช่หรือเปล่า ]

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” คำพูดที่ทวีความสิ้นหวังของเชน ยิ่งทำให้ผมสะอื้นหนักกว่าเดิมจนแทบจะเค้นเสียงพูดออกจากลำคอออกมาไม่ไหว เชนเงียบไปอีกครั้ง ความเงียบที่ผมหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เราต่างอยู่ในสภาวะที่หนักหนาเสียจนอยากจะปล่อยมือ แต่ถ้าทำแบบนั้น ความสุขที่เราฝ่าฟันกันมา มันก็จะกลายเป็นแค่ความฝัน

[ ขอโทษนะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย... ทำให้นายต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียว ] ยิ่งเขาพูดแบบนั้น ผมก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ผมส่ายหน้าไปมาแม้จะรู้ว่าเขามองไม่เห็น ผมอยากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ลำคอที่ตีบตันก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

[ ขอโทษ...ที่ก่อนหน้านี้พูดว่าจะไม่มีวันปล่อยมือ ]

“...”

[ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ายื้อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ]

“เชน” ผมเอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวในคำพูดนั้น

แต่เขาไม่ยอมฟังผมเลย

[ ขอโทษจริงๆ ที่วันนี้ต้องผิดสัญญา ]

“เชน!” ผมพยายามเรียกเขา แต่สายก็ถูกตัดไปทันทีที่เขาพูดประโยคก่อนหน้าจบ

ผมนั่งนิ่งด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกไม้เบสบอลตีลงมาที่กลางหัว มันตกใจและมึนงงไปหมด โสตประสาทของผมถูกตัดออกจากเสียงฝน สมองของผมขาวโพลน และดวงตาก็ยังคงพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำตาที่ยังคลออยู่แม้จะไม่สามารถไหลออกมา จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเตือนสติผมให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผมจึงผุดลุกขึ้นวิ่งไปที่ระเบียงทันที รถสปอร์ตสีดำสนิทของเชนยังคงจอดอยู่ข้างรั้ว แต่ในรถกลับว่างเปล่าไร้เงาของร่างสูงที่ผมคิดว่าน่าจะหลบฝนคุยโทรศัพท์กับผมอยู่ในนั้น

อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นรัวขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองไม่รู้สาเหตุว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่... อะไรบางอย่างก็บอกผมว่าผมรู้อยู่แก่ใจ

ผมรู้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร

ผมกลับไปที่ประตูอีกครั้งโดยอัตโนมัติ วิ่งสุดชีวิตลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นที่เพิ่งจากมา ภาวนาให้ตัวเองไปถึงก่อนที่ร่างสูงจะไปถึงและทำเรื่องโง่ๆ ออกไป

แต่มันก็สายเกินไป

เชนอยู่ตรงนั้น ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ตรงหน้าพ่อกับแม่ของผมที่ยืนมองร่างเปียกปอนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เชนเงยหน้าขึ้นสบตาพวกท่านด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว และเอ่ยคำพูดที่เหมือนจะปลิดลมหายใจของผมอย่างโหดร้ายออกมา

“ผมจะเลิกกับตรี”

“...”

“เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ”

“เชน!” ผมตะโกนเรียกเขา แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลย มีแม่คนเดียวที่หันกลับมามองผมอย่างลำบากใจ ในขณะที่พ่อเบือนหน้ากลับมาสบตาผมเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองเชนอีกครั้งพร้อมกับยื่นข้อเสนออันแสนโหดร้าย

“ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน”

“พ่อครับ!” ผมตะโกนเรียก อยากทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ขาของผมมันก็อ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไป น้ำตาของผมหลั่งไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะโกนบอกเชนว่าอย่า บอกให้เขาปฏิเสธไปซะ แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้กระทั่งคำสัญญาที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวจากปากของคนที่ผมรัก

“ครับ ผมสัญญา”

คำสัญญา... ที่บ่งบอกว่าเขาพร้อมแล้ว ที่จะปล่อยมือที่จับแน่นของเรา

พ่อของผมเองก็ดูจะอึ้งไปที่อยู่ๆ เชนก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย ท่านเงียบไปพักใหญ่แต่สุดท้ายก็ไล่เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง

“งั้นก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” เชนไม่ตอบอะไร ร่างสูงเพียงลุกขึ้นยืน และเดินออกไปตามคำสั่ง... เขาไม่หันกลับมามองหน้าผมที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้อย่างน่าสมเพชแม้แต่น้อย

“เชน!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาอีกครั้งอย่างคนโง่ น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาอย่างหนักที่ขาอันอ่อนแรงพยายามวิ่งตามร่างสูงที่เดินออกจากบ้านไปอย่างเย็นชา ผมเห็นแผ่นหลังของเขาเดินห่างออกท่ามกลางสายฝน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ผมจะตะโกนเรียกจนสุดเสียงก็ตาม

“พี่เชน หยุดเดี๋ยวนี้!” คราวนี้ผมเร่งฝีเท้าตัวเองจนทัน รั้งร่างสูงให้หันกลับมาเผชิญหน้าเพื่อคุยกับผมก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในรถได้ทันท่วงที

“ทำแบบนี้ทำไม! พูดกับพ่อไปแบบนั้นทำไม! ไหนบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยมือไง” ผมตะโกนใส่หน้าเขาทั้งน้ำตานองหน้า แต่คนตรงหน้ากลับยืนนิ่ง มองกลับมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

“นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” ผมเว้าวอน

“...”

“บอกแล้วไง ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี บอกแล้วไงว่าฉันจะจัดการทุกอย่างเอง ฮึก...แล้วทำแบบนี้ทำไม” ผมพยายามประคองร่างกายตัวเองไม่ให้ทรุดลงไปร้องไห้อย่างที่ใจอยาก

เรายังคงยืนท่ามกลางสายฝนที่ดูเหมือนจะตกหนักขึ้นอีกระรอกโดยไม่กลัวเลยว่าจะไม่สบาย ผมยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่น้ำตามากมายก็ถูกสายฝนชะล้างจนคงจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา เชนยังคงยืนจ้องหน้าผมนิ่ง มือหนากำหมัดแน่นจนสั่นระริก แล้วในที่สุดเจ้าของใบหน้าคมก็เอ่ยคำถามแสนยากเย็นออกมา

“เมื่อไหร่?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่เคย “ต้องรออีกนานแค่ไหนมันถึงจะผ่านไป” คำถามของเขามันยากเสียจนผมไม่กล้าตอบอะไร ได้แต่มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชาที่ทำให้หัวใจผมหนาวเหน็บซะยิ่งกว่าความเย็นของฝนที่ตกกระทบกับร่างกาย

“รู้มั้ยว่ามันน่ารำคาญแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” มือหนายกขึ้นเสยผมลวกๆ พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกสมเพช

“เชน...” ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของแววตานั้นที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของผมอย่างจัง

“ฉันไม่น่าหลงเชื่อคำพูดของนายตั้งแต่แรกเลย... ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี” เขายังคงเอ่ยคำพูดที่ราวกับจะเฉือนหัวใจผมเป็นชิ้นๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบตึง “อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้นี่ ว่าฉันไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น”

“เชน” ผมได้แต่เรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างคนโง่ มองแววตาที่ไร้ความรู้สึกของคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว

เขากำลังทำร้ายจิตใจผม... ทำร้ายจิตใจผมอย่างจงใจ

“ขอโทษนะที่เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ และสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “แต่ฉันคงทนเจอเรื่องงี่เง่านี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“...”

“ฉันไม่ได้รักนายขนาดนั้น”

“โกหก” ผมเค้นประโยคนั้นออกมาจากลำคอได้ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา คำพูดที่จงใจทำให้ผมเจ็บ ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่จงใจประดิษฐ์ให้มันดูเย็นชาและโหดร้าย

แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่มีกระแสดงออกไหนของคนตรงหน้าตอนนี้ที่บ่งบอกว่ามันออกมาจากใจจริงของเขาเลย

เขากำลังโกหกผม

หลักฐานก็คือพอผมพูดแบบนั้น แทนที่เขาจะตอบโต้หรือปฏิเสธ คิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน มองหน้าผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ความเจ็บปวดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ฉายชัดขึ้นในแววตาอีกครั้งจนเจ้าของใบหน้าคมต้องเบือนหน้าหนีพลางยกฝ่ามือหนาขึ้นมากุมใบหน้าของตัวเองไว้ ปิดซ่อนความเจ็บปวดนั้นให้พ้นสายตาของผม

“โกหกทำไม” ผมเอ่ยถาม ขมวดคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ริมฝีปากกบางแสยะยิ้มราวกับกำลังสมเพชตัวเอง ก่อนที่เขาจะลดมือลงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง

“ถ้าไม่โกหก แล้วจะให้ทำยังไง” ดวงตาคู่สวยที่มักจะฉายแววเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมใคร กลับมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง

“ถ้าไม่ทำแบบนี้...แล้วจะกล้าปล่อยมือได้ยังไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทามาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าผม แต่คงไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาของตัวเอง ก็กำลังไหลออกมาเหมือนกัน

มันเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นเขาร้องไห้

“ขอโทษที่ผิดสัญญา” เขายังคงเอ่ยคำนั้นซ้ำๆ ทั้งที่ผมไม่ต้องการ

“...”

“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้หนักขนาดนี้”

“พี่เชน” คำขอโทษของเขา มันยิ่งทำให้ผมได้แต่สะอึกสะอื้นไม่หยุดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธการตัดสินใจของเขา 

แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่เมื่อคนตรงหน้าตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาก็ไม่คิดจะฟังใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นผมที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าเขาราวกับคนโง่ก็ตาม

“ขอโทษที่ทำอะไรเห็นแก่ตัว”

“...”

“แต่ฉันคงทนไม่ได้จริงๆ... ถ้าไม่สามารถเจอหน้านายได้อีก”

“...”

“ขอโทษ” พูดจบ ฝ่ามือหนาก็แกะมือผมออกจากแขนของเขา และหมุนตัวกลับเข้าไปในรถโดยไม่หันกลับมามองผมอีก

“เชน เดี๋ยวก่อนสิ... ฮึก พี่เชน” ผมอยากจะตะโกนเรียกเขาออกไป แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็แผ่วเบาเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะได้ยิน ผมทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อย่างหมดเรี่ยวแรง และไร้ซึ่งหนทางจะเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้

หัวใจของผมมันทวีความเจ็บปวดขึ้นมาทันที เมื่อรถสปอร์ตคันหรูสตาร์ทเครื่องและแล่นจากไปจนลับตา พร้อมกับความจริงที่ว่า

ความสัมพันธ์ของเรามันกำลังจบลง...ด้วยการตัดสินใจยอมรับความพ่ายแพ้อันแสนเจ็บปวด




------------------------------------------------------
เพิ่งรู้ตัวว่าหายไปนานมากเลย ฮืออ ขอโทษค่ะ
ไม่มีข้อแก่ตัวเลยเพราะเราอู้จริงๆ  :sad4:
แต่ข่าวดีคือตอนนี้เราเขียนเรื่องนี้จบแล้วนะคะ
คิดว่าหลังจากนี้จะอัพแบบรัวๆ เลย อาจจะวันละหลายๆ ตอน อย่าตกใจนะ 555

หวังว่าจะยังมีคนรออ่านอยู่นะคะ
เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า
ขอบคุณค่า

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 00:03:50
46
เลือนราง
 
               
หลังจากวันนั้นผมก็ถูกฤทธิ์ของฝนเล่นงานจนป่วย นอนซมอยู่โรงบาลเกือบอาทิตย์
               
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ป่วยหนักขนาดนี้ แม่เลยเป็นห่วงมากจนต้องเลื่อนไฟล์ทกลับอิตาลีเพื่ออยู่ดูแลผมจนหายดีก่อน ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของแม่ที่คอยดูแลผมอยู่ทั้งวันทั้งคืน แถมยังต้องเป็นห่วงเรื่องที่ร้านที่ต้องปล่อยให้น้าดูแล ผมไม่อยากเป็นภาระท่านนานนั จึงพยายามทำตัวเองให้หายเร็วๆ ถึงแม้ว่าจิตใจมันจะกำลังย่ำแย่มากก็ตาม
               
พ่อยังเอาแต่โทษเชนว่าทำให้ผมป่วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย พ่อบอกว่าเขาทำให้ผมกลายเป็นคนเหลวไหล ซึ่งนั่นทำให้ผมโกรธจนไม่อยากจะคุยกับพ่ออีกเลย ผมเอาแต่คิดว่าท่านไม่ควรปรามาสอะไรเขาแล้ว ในเมื่อเขาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่ออย่างเด็ดขาดขนาดนี้
               
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เจอหน้าเชนอีกเลย แม้สักครั้ง
               
ผมพยายามโทรหาเขา หรือติดต่อทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ถูกเมินเฉยจนหมดความพยายาม ผมคิดไปต่างๆ นานาว่าเขาจะป่วยเหมือนผมหรือเปล่า หรือเขาจะแอบร้องไห้ในทุกๆ วันเหมือนผมมั้ย แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย
               
เขาหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน
               
ตอนที่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีบางครั้งที่ผมเกิดหูแว่วได้ยินเสียงรถของเขาแล่นมาจอดข้างรั้วเหมือนทุกที เห็นเงาของร่างสูงยืนอยู่ที่เดิมในหลายๆ ครั้ง แต่เมื่อผมวิ่งออกไปมองที่ระเบียงด้วยความคาดหวัง หัวใจของผมก็ถูกทำลายซ้ำๆ ด้วยความว่างเปล่าที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องลวงตา

เขาไม่มา... และคงไม่มีวันมาให้ผมเห็นหน้าอีกแล้ว

ผมร้องไห้อย่างหนักจนน่ากลัวว่าไข้มันจะกลับมาเล่นงาน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้จริงๆ สุดท้ายเพื่อไม่ให้แม่เป็นห่วงไปมากกว่านี้ ผมเลยตัดสินใจกลับไปอยู่เชียงใหม่ตลอดปิดเทอมที่เหลือ เพราะอย่างน้อยที่นั่นผมก็มีเพื่อนไว้ชวนคุยชวนเที่ยวแก้เหงาบ้างไม่ปล่อยให้ตัวเองเศร้าจนป่วยขึ้นมา

การที่เชนทำสัญญาแบบนั้นกับพ่อ และเขาก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้จริงๆ ตลอดหลายอาทิตย์ที่เราเลิกกัน พ่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาบังคับให้ผมไปอิตาลีด้วยอีก ท่านยอมปล่อยให้ผมกลับไปเรียนเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่ผมเคยทำ ในขณะที่พ่อกับแม่บินกลับไปดูแลร้านที่อิตาลีได้อย่างสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะไม่ถูกจับตามอง พ่อให้แม่โทรมาเช็กทุกวันว่าผมเป็นยังไง กลับไปคบกับเชนลับหลังท่านหรือเปล่า

แต่พ่อคงไม่รู้ว่าเชนเป็นคนจริงใจแค่ไหน ต่อให้ผมอยากจะกลับไปหาเขาใจจะขาด แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจปล่อยมือแล้ว ก็ยากที่ฝ่ามือหนาจะยื่นกลับมาตรงหน้าผมอีกครั้ง

น่าเจ็บปวดจริงๆ ที่ความซื่อตรงของเขามันไม่มีข้อยกเว้นให้สำหรับผมเลย

“มึงไหวแน่นะไอ้ตรี” เสียงของไอ้เพื่อนตัวดีที่ถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามปลุกผมให้เงยหน้าขึ้นมาจากการฟุบลงไปกับโต๊ะเพราะรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด

“ไหว” น้ำเสียงของผมแหบแห้งซะจนต้องเอื้อมมือออกไปหยิบน้ำเปล่าที่ตั้งไว้ข้างแล็ปท็อปขึ้นมาจิบแก้กระหาย

ไอ้ซันถอนหายใจหนักๆ ออกมา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าเอื้อมมือมาตบไหล่ปลอบใจผมเบาๆ เหมือนทุกที ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไปด้วยความขอบคุณ อันที่จริง แค่มันเรียกผมออกจากห้องมาทุกๆ วันผมก็รู้สึกขอบคุณมันมากพอแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงต้องฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าไปจริงๆ ที่ต้องอยู่ในห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับเชนในทุกๆ ตารางเมตรแบบนั้น

ไอ้ซันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟของพี่โมโดยเปลี่ยนมาทำงานกะกลางวันแทน เพราะมันต้องเตรียมตัวปรับเวลานอนรับเปิดเทอมที่จะมาถึงในอีกไม่กี่อาทิตย์ ดังนั้นจึงทำงานทั้งคืนไม่ไหว ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงไม่ลาออกไปซะ เพราะยังไงมันก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้มากมายจนไม่จำเป็นต้องมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ผมก็ไม่สนหรอกว่าเหตุผลของมันคืออะไร อันที่จริง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละนอกจากเรื่องของตัวเอง
จะว่าผมงี่เง่าก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องงี่เง่าจริงๆ ที่ในหัวผมมีแต่เรื่องของเชนวนไปวนมาในทุกๆ วินาที ความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเหมือนกับจะกระตุ้มต่อมน้ำตาของผมได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

ผมพยายามหาอะไรมาทำให้สมองเลิกฟุ้งซ่าน ตั้งแต่ตื่นลืมตาผมก็รีบออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพื่อที่สายตาจะได้ไม่ต้องกวาดมองสิ่งที่อยู่รอบตัวให้ปวดหัวใจมากนัก ผมมาขลุกอยู่ที่ร้านกาแฟทั้งวันเพื่อหางานประกวดแบบเล็กๆ น้อยๆ ทำพอให้สมองได้คิดเรื่องที่เป็นประโยชน์กับชีวิต พอตกเย็นผมก็ไปเล่นดนตรีที่ร้านของรุ่นพี่ซึ่งรับผมเข้าทำงานอีกครั้งเพราะว่าคนขาดพอดี แม้ว่าพอเปิดเทอมผมอาจจะไม่ได้เล่นประจำเพราะงานเยอะก็ตาม ชีวิตของผมวนลูปอยู่ในความวุ่นวายตลอดทั้งวันเพื่อไม่ให้ความทรงจำที่ทำร้ายจิตใจเข้ามาแทรกแซง

แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลแค่ยามลืมตาเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่ผมหลับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา ก็มักจะย้อนกลับมาหลอกหลอนผมเสมอ จนผมไม่รู้แล้วว่าควรจะต่อสู้กับมันด้วยวิธีไหน

“มึงนอนบ้างเหอะ เดี๋ยวก็ตายขึ้นมาจริงๆ หรอก” ไอ้ซันดุทันทีเมื่อผมยืดตัวขึ้นมาคลิกเม้าส์ทำงานต่อทั้งที่ร่างกายอิดโรยจนแทบจะขยับแขนไม่ไหวแล้ว

ผมหัวเราะขืนๆ ก่อนจะตอบมันอย่างดื้อดึง “มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า อดนอนมากกว่านี้กูก็เคยมาแล้ว”

พอได้ยินคำตอบแบบนั้นไอ้ซันก็ยิ่งทำสีหน้ายุ่งยากใจก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกรอบ “เออๆ แล้วแต่มึง ถ้าน็อกขึ้นมาจริงๆ กูจะสมน้ำหน้าให้”

ผมยิ้มขำกับคำประชดอย่างไม่จริงจังของไอ้เพื่อนตัวดี

“แล้วนี่มึงจะกินอะไรอีกป่าว เดี๋ยวกูให้ไอ้ตี๋ทำให้” มันถามขึ้นมา ผมเลยส่ายหน้า

“ไม่เอาว่ะ” แต่ดูเหมือนจะไปสะกิดต่อมหงุดหงิดของไอ้ซันเข้าอีก

“ไอ้สัส! วันๆ มึงจะประทังชีวิตด้วยเอสเพรสโซ่ร้อนแก้วเดียวไม่ได้นะ แล้วดู มึงแดกไปสักหยดหรือยังเนี่ย สั่งมาดมหรือไงฮะ” มันโวยวายยาวเหยียดในขณะที่ผมได้แต่ชะงักนิ่ง ไม่รู้จะเถียงอะไร

บางทีผมอาจจะสั่งมาดมเฉยๆ อย่างที่มันว่าก็ได้ เพราะผมไม่ชอบกาแฟขมๆ แบบนี้อยู่แล้ว ก็แค่สั่งมา เพราะเห็นว่า ‘เขา’ ชอบ

งี่เง่าชะมัดเลย

“มึงเอาเค้กมะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” มันพูดเองเออเองก่อนจะตะโกนบอกโชที่เฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ แต่ตามองมาที่โต๊ะเราด้วยสีหน้าเป็นห่วงที่ถูกมองข้าม “ตี๋ เอาเค้กมาก้อนนึง อะไรก็ได้ก้อนใหญ่ๆ อ่ะ” ผมอดขำไม่ได้กับความสนิทสนมที่ทวีขึ้นจากวันแรกของไอ้ซันกับโช

หลายวันที่ผ่านมาผมเห็นทั้งสองคนทำงานเข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ยแล้วก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมรู้ว่าที่ผ่านมาไอ้ซันไม่ได้เกลียดโชจริงจัง ที่กวนตีนเขาก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้น แต่ดูเหมือนความกวนประสาทของมันจะเป็นตัวแทนเชื่อมมิตรภาพที่ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นทุกวันไปแล้ว

ไม่นานโชก็เอาเค้กสองก้อนมาเสิร์ฟที่โต๊ะด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ผมดูออกว่าเขายังประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าผม อาจเป็นเพราะยังรู้สึกผิดกับเรื่องในคืนนั้นหรืออะไรก็ตาม ผมไม่อาจมองออกเพราะได้สร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองจากการรับรู้ความรู้สึกผ่านแววตาของเขาไปแล้ว ไม่ใช่เพราะผมเกลียดเขา แต่เพื่อปกป้องเขาจากหัวใจที่ไม่มีวันสั่นคลอนของตัวเองต่างหาก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่คุยกับเขาอีกเลยหรอกนะผมแค่กันตัวเองออกมาในระยะปลอดภัยจากความรู้สึกที่อาจจะทำร้ายจิตใจของใครหลายๆ คนเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดประตูฝั่งมิตรภาพให้เขาเข้ามาได้เต็มหัวใจ โดยไม่คิดจะตั้งแง่ใดๆ

“เอ่อ... ผมเลี้ยงด้วยคน” โชพูดอึกอัก ขณะวางช้อนไว้ตรงหน้า ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้งๆ ให้เป็นการขอบคุณ
นี่สภาพผมมันแย่ขนาดที่ทุกคนต้องร่วมกันบริจาคอาหารประทังชีวิตให้เลยเหรอ

“เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง” ผมทำหน้าแหย รู้นะว่าทุกคนเป็นห่วง แต่อยู่ๆ จะให้สวาปามเค้กหวานๆ สองก้อนเนี่ย มันยากเอาการอยู่นะครับ

“แดกๆ ไป พวกกูจะไม่ทำงานจนกว่ามึงจะแดกหมด จะนั่งจ้องอยู่งี้แหละ” ไอ้ตัวเผด็จการว่าก่อนจะเอื้อมมือออกไปเกี่ยวคอโชลงมานั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างถือวิสาสะ

เงื่อนไขของมันทำเอาผมต้องยืดตัวขึ้นมากินเค้กตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ยังไงซะผมก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครถูกด่าเพราะอู้งานหรอกนะ

พอเห็นผมยอมหาอะไรเข้าปากอย่างว่าง่าย ไอ้เพื่อนตัวดีก็ยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่โชเองก็ยิ้มนิดๆ อย่างให้กำลังใจผม จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางดีใจกับเรื่องเล็กน้อยไม่เข้าเรื่องของทั้งสองคน คำว่ามิตรภาพที่ฉายชัดเข้ามาในหัว ทำให้หัวใจที่เคยจมปลักอยู่ในวังวนความเสียใจของผมเหมือนได้รับแสงแดดอุ่นๆ ที่ถึงแม้จะไม่ช่วยให้ผมหาทางออกจากวังวนนี้ได้

แต่อย่างน้อย ก็ช่วยเติมเต็มหยดน้ำในหัวใจที่แห้งเฉาของผมให้กลับมาชุ่มชื้นขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

               
เวลาผ่านไป
               
คิวเล่นดนตรีของผมอยู่ที่สี่ทุ่มตรง แต่ผมออกจากร้านกาแฟมาตั้งแต่สองทุ่มเพื่อนั่งดื่มแอลกอฮอล์ขวดเดิมที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ปกติผมไม่ดื่มก่อนเล่นเท่าไหร่นัก เพราะไม่ใช่นักดนตรีประเภทที่ต้องใช้แอลกอฮอล์ย้อมใจก่อนขึ้นแสดง แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเครื่องดื่มมึนเมาเพียงไม่กี่แก้วมันช่วยให้อารมณ์ของผมฟุ้งกระจายจนเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ง่ายจริงๆ
               
ผมนั่งดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ พลางคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่สนิทกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกเรียกขึ้นเวที ผมถึงกับเซเล็กน้อยเพราะวันนี้ดื่มไปมากพอตัว แต่ก็แนบเนียนพอที่จะไม่ทำให้ใครดูออกว่าเริ่มเมา
               
“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่อาจจะคิดเองก็ได้ว่าผมยิ้มออกไป ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงที่ถูกขอมาจากลูกค้าโต๊ะประจำก่อนเป็นอันดับแรก โดยที่ไม่ทันรู้เลยว่ามันจะเป็นเพลงเศร้าที่เพียงแค่ไล้นิ้วไปตามสายกีตาร์จนเกิดเสียงดนตรีที่เป็นอินโทรของเพลง มันก็สะกิดรอยแผลในจิตใจของผม ให้อักเสบขึ้นมา
               
               
Well you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missing home
Only know you love her when you let her go
And you let her go
 
ผมแสยะยิ้ม นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเมื่อร้องจบท่อนนี้ มันเหมือนกับถูกมีดแหลมๆ แทงเข้ามาที่กลางใจจังๆ ด้วยความจริงที่ถูกเอ่ยผ่านบทเพลงที่ตัวเองเป็นคนร้องเอง

ผมรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน... ก็ตอนที่ผมเสียเขาไป

มันไม่ใช่สิ่งที่ผมไม่เคยรู้ แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยตระหนักถึงความรุนแรงของมันเลยว่า เมื่อวันหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ข้างผมแล้วจริงๆ มันจะเจ็บเจียนตายขนาดนี้
 
Staring at the bottom of your glass
Hoping one day you'll make a dream last
But dreams come slow and they go so fast
You see her when you close your eyes
Maybe one day you'll understand why
Everything you touch surely dies
 
ผมยังคงร้องเพลงต่อไป ทำทีเป็นไม่สนใจว่าทุกคำร้องที่เปล่งออกมา มันล้วนกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาที่พยายามปิดเอาไว้ดึงดันจะล้นทะลักออกมาอย่างเกินจะห้ามไหว

เสียงของผมขาดห้วงและผิดเพี้ยนไปอย่างคุมไม่อยู่ แต่โชคดีที่เวลาค่ำแบบนี้ทุกคนในร้านต่างก็เริ่มเมามาย จนไม่มีใครคิดจะทักท้วงนักดนตรีที่เล่นเพี้ยนอย่างน่าอับอายอยู่บนเวที

ผมแสยะยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเองอีกครั้ง โทษตัวเองที่คิดผิดเลือกเล่นเพลงนี้ก่อน เพราะลองเป็นแบบนี้แล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะเล่นเพลงต่อๆ ไปได้ยังไง
 
But you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
           
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missing home
Only know you love her when you let her go
               
               
แต่ในที่สุดผมก็ประคับประคองเพลงเศร้าๆ ที่ร้องอย่างกระท่อนกระแท่นนี่ไปได้จนจบอย่างน่าใจหาย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้พี่เจ้าของร้านที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งยิ้มบางๆ กลับมาพลางชูแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นเหนือหัวบ่งบอกว่าไม่เป็นไร
               
ผมยิ้มตอบเล็กๆ สูดหายใจเข้าลึกพยายามตั้งสติ แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน
               
“เพลงต่อไป...” ผมยื่นหน้าเข้าไปพูดกับไมค์แทนความเงียบระหว่างพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา 

แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นใครบางคน ยืนอยู่ตรงมุมที่มืดและห่างไกลที่สุดของร้าน
               
ร่างสูงในชุดสีดำสนิททั้งตัวหวังจะกลืนหายไปกับแสงสลัวภายในร้านที่ผู้คนกำลังวุ่นวาย กำลังยืนจ้องผมอยู่ตรงนั้น โดยมีควันบุหรี่สีขาวขุ่นที่คาบอยู่ในริมฝีปากบาง ช่วยอำพรางใบหน้าหล่อเหลาที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดมา
               
แต่เขาคงไม่รู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมันโดดเด่นเกินไป ต่อให้เหลือเพียงแต่เงา ผมก็ไม่มีทางลืมดวงตาคมกริบแสนร้ายกาจที่มองผมด้วยความรู้สึกหลากหลายตลอดมาได้แน่นอน
               
และทันทีที่สบตากับผม คนใจร้ายก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนีไปทันที
               
“เดี๋ยวก่อน!” ผมเผลอตะโกนเรียกโดยลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่หน้าเวที ไมค์ที่ช่วยขยายเสียงทำให้ทุกคนในร้านหันมามองอย่างงุนงง
               
เว้นแต่เขา ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
               
“ขะ...ขอโทษครับ” ผมพูดใส่ไมค์แค่นั้น ก่อนจะละล่ำละลักลุกขึ้นมา ทิ้งกีตาร์ลงข้างตัวทำให้มันแผดเสียงดังลั่นผ่านลำโพงจนคนส่งเสียงก่นด่าด้วยความรำคาญ แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือต้องตามแผ่นหลังกว้างนั่นให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะหายไปไหนอีก
               
ผมลากร่างกายที่โซซัดโซเซด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ออกมาจนถึงนอกร้าน ตามร่างสูงแสนคุ้นเคยที่เพิ่งคลาดสายตาไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมา
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ พร้อมกับมองไปรอบตัว
               
แต่ท่ามกลางคนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา กลับไม่มีแม้แต่เงาของเขาเลย
               
ผมตาฝาดงั้นเหรอ? นี่ผมเมาจนเผลอสร้างภาพลวงตาขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนแบบนั้นเลยหรือยังไง?
               
นี่มัน...อะไรกัน
               
ในขณะที่ผมได้แต่สับสนอยู่กับตัวเอง หลังจากเดินวนไปวนมาเหมือนคนบ้าจนกระทั่งเหนื่อยหอบ และต้องยืนนิ่งเพื่อหยุดพัก บางอย่างที่ลอยมาตามลมก็ทำให้ผมต้องหยุดชะงักเพื่อพิจารณาว่ากลิ่นหอมฉุนนั้นเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน
               
กลิ่นของบุหรี่นอกยี่ห้อดังซึ่งเป็นเหมือนกลิ่นประจำตัวของเขาถูกทิ้งไว้อย่างเจือจางภายใต้ความเย็นสงบของช่วงเวลาค่ำคืน
               
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เพ้อเจ้อ หรือเมาจนตาฝาด... เขามาหาผมจริงๆ แต่เพราะคำสัญญาอันโหดร้ายนั่น ทำให้เขาไม่อาจเปิดเผยตัว หรือยืนนิ่งให้ผมได้กอดได้อย่างที่ใจปรารถนา
               
“ฮึก...” ความจริงที่ว่าเขากำลังหนีหน้าผม มันทำให้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตลอดวันไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมรู้ว่าการร้องไห้ในที่สาธารณะแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าอาย แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อหัวใจมันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
               
เขาจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ไม่รู้เลยหรือไงว่าผมทรมานจะตายอยู่แล้ว
               
“ฮือออ”
               
ผมทรุดตัวลงนั่งขดตัวร้องไห้กับพื้นถนนเหมือนเด็กๆ โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมองผมด้วยสายตาสมเพชแค่ไหน อย่างมาก ผมก็คงจะถูกจัดอยู่ในคนเมาจำพวกหนึ่งเท่านั้น ผมไม่แคร์และเอาแต่ร้องไห้โฮปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่คิดจะห้ามอีกต่อไป
               
ใจหนึ่งหวังว่าเขาจะสงสารและเดินออกมากอดปลอบผมเหมือนที่เคยทำ
               
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง... ก็คือการที่ผมยังคงร้องไห้อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งน้ำตามันเหือดแห้งไปอย่างเดียวดาย




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2016 03:56:58
ไม่ได้ร้องอยู่คนเดียวหรอกน่ะ อย่างน้อยก็มีฉันที่ร้องไห้อยู่กับเธอตรงนี้   :m15: :m15: :m15: ตี 4 แบบนี้คิดว่าจะหลับลงไหม!!!!!
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-07-2016 05:18:19
ทำไม  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 07-07-2016 07:12:37
ร้องไห้ตามเลย
แต่งแบบ ฮือๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 07-07-2016 07:12:57
Strongไว้น้องตรี เชื่อในรักของพี่เชนนะ

 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

......

.
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 07-07-2016 08:57:10
น้ำตามาจากไหน ฮือออออ ทรมานแทน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-07-2016 09:03:15
 :hao5: 
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 07-07-2016 10:03:36
 :sad4: :o12: :hao5: :3123: :pig4:สงสรน้องตรีสู้ๆๆๆๆ :เฮ้อ: :katai5: :L2:รอๆๆๆอัพๆๆๆ :impress3: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 46 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2016 11:03:23
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 47 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:29:51
47
พร่ามัว
 
               
หลายเดือนผ่านไป
               
ต้องขอบคุณเนื้อหาการเรียนปีสาม ที่หนักหน่วงเสียจนผมแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะพักหายใจ
               
ความเศร้าของผมถูกกักเก็บเอาไว้ภายใต้ความกดดันจากการเรียนอย่างหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน... แต่ผมยอมรับได้ ที่มันเป็นแบบนี้
               
ปวดหัว ย่อมดีกว่าปวดใจ ไม่ใช่เหรอ
               
ผมทุ่มเทให้กับโปรเจ็กต์ในเทอมแรก ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่สตูฯ เรียกได้ว่าย้ายข้าวของมากินอยู่หลับนอนที่นี่เลยก็ว่าได้ จนสุดท้ายก็ผ่านไปอย่างคุ้มค่า มันไม่ถึงกับดีที่สุด แต่งานที่ออกมาก็บรรลุเป้าหมายตามที่ผมต้องการ
               
“แดกเหล้า~!!” เสียงไอ้เวสป้าดังขึ้นทันทีที่ออกมาจากห้องส่งงาน ไม่สนใจเลยว่าอาจารย์จะยืนหัวโด่อยู่ในห้อง ผมเหยียดยิ้ม ตอนที่มันพุ่งเข้ามากอดคอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมคือเป้าหมายแรกของไอ้เพื่อนตัวดี
               
“เช็กสภาพกูด้วยเพื่อน” ผมแกล้งพูดเสียงยานคางใส่ หันหน้ากลับไปให้มันเห็นหน้าโทรมๆ ตาโบ๋ๆ ไม่ต่างจากซอมบี้ที่เกิดจากการอดหลับอดนอนมาทั้งอาทิตย์
               
ไอ้เวสจิ้มหน้าผมสองที ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ไม่เอาน่าไอ้ตรี มึงยังมีเวลาอีกตั้ง...” ว่าพลางก้มลงมองนาฬิกา “สี่ชั่วโมง ในการนอนพักเอาแรง แล้วสองทุ่ม กูจะไปรับมึงถึงหอเลยครับเพื่อนรัก” มันนัดเวลาเสร็จสรรพ ก่อนจะจ้องหน้าผม อย่างรอคอยคำตอบ
               
ซึ่ง ก็เหมือนเคย... ผมปฏิเสธมันได้สักครั้งที่ไหน
               
“เออๆ” ผมพยักหน้าอย่างขอไปที ก่อนจะหลุดขำเมื่อไอ้เวสป้าร้องเยสออกมาดังลั่น ก่อนจะวิ่งไปตื๊อเพื่อนคนอื่นต่อ
               
ผมยิ้มมองไอ้เพื่อนตัวดีที่เต้นเร่าๆ ขอให้คนอื่นๆ ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนด้วยความรู้สึกขบขัน อยากจะแบ่งความร่าเริงของมันเข้ามาในตัวผมบ้าง เผื่อว่าทันทีที่ต้องยืนอยู่คนเดียว รอยยิ้มของผมจะได้ไม่หายไปรวดเร็วขนาดนี้
               
ผมถอนหายใจหนักๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาด
               
ดูเหมือนความรู้สึกมากมายที่ผมพยายามจะเก็บกดเอาไว้ มันจะพยายามทำลายหีบที่ล็อกอย่างแน่นหนาในใจผมออกมาอีกแล้ว
               
และก่อนที่ความรู้สึกเหล่านั้นมันจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตาเหมือนอย่างเคย ผมก็ตัดสินใจรีบเดินไปที่รถ ขับกลับหอให้เร็วที่สุดสะกดจิตตัวเองให้โหยหาแต่เตียงนอนตามที่มันควรจะเป็น และภาวนาให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้ผมหลับเป็นตาย โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีก
               
               
8.45 P.M.
               
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นมาได้ตามเวลานัด แต่สุดท้ายก็ถูกฝันร้ายปลุกขึ้นมาก่อนเวลาอันควรจนได้
               
ไอ้เวสป้ามารับผมตามที่พูดตอนสองทุ่มตรงไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่าทางที่ดูกระตือรือร้นเกินไปของมัน ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันได้เรียนอยู่คณะเดียวกันจริงหรือเปล่า ทำไมถึงได้ดูร่าเริงผิดวิสัยคนที่ทำงานโต้รุ่งทั้งอาทิตย์แบบนั้น
               
ผมนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของไอ้เวสป้าไปในสภาพที่เหมือนคนยังตื่นไม่เต็มตา เพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม จนกระทั่งมาถึงร้านก็ต้องชะงักไป เมื่อพบว่าร้านที่มันนัดมา คือร้านที่ The Quantum เคยเล่นดนตรีอยู่
               
“มีไรวะ” ไอ้เวสกันกลับมาเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าผมหยุดเดินไปดื้อๆ
               
“ฮะ” เหมือนสติที่หายไปโดยไม่รู้ตัวถูกกระชากให้กลับเข้าร่างอีกครั้ง ผมกลืนน้ำลายอย่างอึกอัก ก่อนจะหันไปส่ายหน้าตอบ “เปล่า ไม่มีอะไร”
               
เสียงมันเบาเกินไปจนแม้แต่ผมยังจับได้ว่าตัวเองโกหก แต่ผมจำเป็นต้องเก็บกดความคิดและความรู้สึกบางอย่างของตัวเองเอาไว้ ซ่อนมันภายใต้คำว่าไม่เป็นไร...

ไม่เป็นไร เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
               
ไม่เป็นไร...ยังไงก็คงไม่ได้เจอ
               
เมื่อผมกับไอ้เวสป้าเดินเข้ามาในร้าน ก็เจอกับเพื่อนร่วมรุ่นกลุ่มใหญ่ที่มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า สภาพทุกคนดูสดใสราวกับความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์เป็นเพียงเรื่องโกหก พอเหล้าเข้าปาก อะไรๆ ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องสนุกสนานไปหมด แทบทุกคนในโต๊ะผลัดกันเล่าเรื่องตลกเรียกเสียงหัวเราะปนกับเสียงตะโกนด้วยความคึกคะนองที่ถูกโปรดักชั่นวีคเก็บกดไว้ ในขณะที่ผมเพียงแค่นั่งมองเพื่อนส่งเสียงเฮฮาอยู่ในมุมเงียบๆ อย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่นัก
               
ผมพยายามหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกสนุกอย่างที่ควร แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะลบเหตุผลอื่นๆ ออก เหลือเพียงคำตอบง่ายๆ ว่าผมเพียงกำลังง่วงมากเท่านั้น
               
“กูไปห้องน้ำแป๊บนะ” ผมเอียงตัวไปกระซิบบอกไอ้เวสป้าที่กำลังหัวเราะสนุกสนานกับเรื่องเล่าของคนอื่น มันหันมาพยักหน้ารับรู้ ผมจึงลุกเดินออกมาจากโต๊ะ ตั้งใจจะออกไปสูดอากาศสักพักก่อนกลับมา เพราะในนี้มันรู้สึกอุดอู้และอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็เคยมาบ่อยๆ แท้ๆ
               
แต่ความจริง อาจเป็นเพราะมาบ่อยเกินไปจนคุ้นเคยนี่แหละ ที่ทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออกแบบนี้
               
การพยายามลบทุกภาพความทรงจำที่ดึงดันพยายามจะปรากฏขึ้นมาในสมอง มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
               
กรี๊ดดดดด
               
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป อยู่ๆ เสียงกรีดร้องและเสียงฮือฮาก็ถึงขึ้นมา พร้อมกับผู้คนที่กรูกันไปหน้าเวทีซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางที่ผมกำลังจะเดินไปโดยไม่ได้นัดหมาย ผมเกือบจะไม่สนใจความแตกตื่นนั้นแล้ว ถ้าหากใครสักคนที่กำลังวิ่งสวนไป ไม่ชนไหล่ผมจนเซโดยไม่สนใจ พร้อมกับประโยคหนึ่งที่ดังเข้ามาในหู
               
“เชี่ย The Quantum จริงด้วยว่ะ”
               
และประโยคคล้ายคลึงกันที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
               
“กรี๊ดดด The Quantum”
               
“พี่วินกลับมาแล้ว”
               
"โอ๊ยย พี่เชนนน”
               
สมองของผม กลับกลายเป็นสีขาวโพลนทันทีที่ได้ยินประโยคเหล่านั้น ความคิดที่จะเดินออกไปสูดอากาศหยุดชะงักลงพร้อมกับเท้าทั้งสองข้างที่ไม่ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป
               
ไม่รู้ว่าผมจะต้องพูดคำนี้อีกสักกี่ครั้ง... คำว่าพระเจ้าไม่เคยเข้าข้างคนอย่างผม ไม่เคยทำให้คำขอของผมเป็นจริง แม้จะเป็นเพียงคำของ่ายๆ อย่างการขอให้ไม่ต้องเจอหน้าเขาอีก... แค่เพียงคืนนี้ก็ยังดี
                 
ผมขอแค่ให้คืนนี้ผ่านไป โดยที่หัวใจของผมไม่ต้องรู้สึกเจ็บ เพียงเท่านี้ไม่ได้เลยหรือยังไง ถึงได้แกล้งกันด้วยวิธีนี้
               
“สวัสดี พวกเรา The Quantum” คำแนะนำตัวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ของเตอร์ดังเข้ามาในโสตประสาท เรียกสติที่ลอยไปไกลของผม ให้กลับมาอีกครั้ง
               
และต่อให้ผมพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้หันกลับไปแค่ไหน สุดท้ายร่างกายมันก็ทรยศด้วยการหมุนตัวกลับไปอย่างเชื่องช้า เลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งหนึ่ง ที่รู้ดีว่าเขามักจะอยู่ตรงนั้นเสมอ...
               
เพื่อพบว่า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่แสนจะเดายากคู่นั้น กำลังมองตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่เช่นกัน
               
“ไม่เจอนาน ไม่รู้ว่าลืมพวกเราไปหรือยัง” เสียงของเตอร์ที่พูดคลอกับเสียงเพลงที่เริ่มบรรเลง ราวกับเป็นตัวแทนเอ่ยคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของผมที่ได้แต่ยืนนิ่งพยายามหาคำตอบบางอย่างจากดวงตาคู่สวยที่เอาแต่จ้องมา
               
แต่มองไม่เห็นอะไร นอกจากความเย็นชาอันเสแสร้ง
               
“ถ้าคิดถึงกัน ก็ส่งเสียงหน่อยเร้ว!” 

แน่นอนว่าจบคำพูดนั้น เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับจังหวะของดนตรีที่เร่งเร้าขึ้นราวกับต้องการจะปลุกปั่นผู้คนทั้งหมดในที่นี้ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็ยังไร้ที่ติ
               
แต่เสียงดนตรีอันยอดเยี่ยมนั้น กลับไร้ผลกับคนโง่อย่างผมโดยสิ้นเชิง
               
คนโง่ ที่เอาแต่ยืนอย่างไร้สติอยู่ที่เดิม จับจ้องไปที่ดวงตาคู่เดิม แม้ว่าจะสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกใดๆ
               
คนโง่ ที่ไม่อาจเปล่งเสียงออกไป แม้ว่าในใจจะกำลังร่ำร้องว่า ใช่... ผมคิดถึง

คิดถึงเขามากจนแทบขาดใจ
               
แต่สุดท้าย ผมก็เป็นได้แค่เพียงคนโง่ ที่ห้ามไม่ได้แม้กระทั่งน้ำตาของตัวเองที่ค่อยๆ ไหลลงมาในความเงียบงัน

               
เวลาผ่านไป
               
หลายเดือนที่ผ่านมา ผมเรียนรู้แล้วว่านกอย่างผม ไม่มีวันบินไปถึงดวงจันทร์

...ยิ่งผมพยายามดึงดัน ก็จะยิ่งเหนื่อย และร่วงหล่นลงมาบาดเจ็บสาหัสเสียเอง
               
ผมเรียนรู้ว่าการที่ปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้น ปรากฏและจางหายตามกาลเวลา คือหนทางที่จะเก็บรักษาดวงจันทร์ที่ผมรักเอาไว้ได้ตราบเท่าที่ผมต้องการ
               
ผู้ชายคนนั้นอ่านใจผมออกเสมอ แม้กระทั่งในวันที่เราไม่ได้อยู่ข้างกัน เขารู้แน่ว่าต่อให้ผมพยายามปฏิเสธตัวเองว่าไม่อยากเจอเขามากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วผมรู้ใจตัวเองดี ว่าผมไม่เคยลืมเขาเลยแม้สักวินาทีเดียว และต่อให้ผมอยากลืม ...ผู้ชายที่แสนร้ายกาจคนนั้นก็ไม่มีทางให้ผมสมหวังดั่งใจ

หลักฐานก็คือทุกครั้งที่ผมคิดว่าความทรงจำของเรามันกำลังจะจางหาย เขาก็มักจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำความทรงจำที่ผมพยายามซ่อนไว้ให้เผยตัว แต่ทันทีที่ผมพยายามจะวิ่งตามไปเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ คนใจร้ายก็จะหายไปในเงามืดที่ผมไม่อาจเข้าถึงได้แม้แต่ปลายนิ้ว
               
มันเหมือนกับว่าเขากำลังแกล้งให้ผมทรมาน บนหนทางที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เลือกเลยแม้แต่น้อย
               
“มึงไหวแน่นะไอ้ตรี” เสียงไอ้เวสป้าเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล ทั้งที่ตัวมันยังนั่งอยู่ข้างผม แถมเอียงตัวมากระซิบข้างหูด้วยซ้ำ
               
ผมคิดว่าตัวเองพยักหน้าตอบกลับไป แต่ไม่แน่ใจนักด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปแบบลืมนับปริมาณ
               
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกิน ที่สุดท้ายก็เรียกสติกลับมาและตัดสินใจก้าวออกมาจากตรงนั้นได้ในที่สุด แม้จะใช้เวลานานมากก็ตาม ผมเลือกที่จะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง ในมุมที่เห็นเขาชัดที่สุด และคิดว่าเชนเอง ก็คงเห็นผมชัดที่สุดเช่นกัน ผมคิดว่าเราสบตากันอยู่อย่างนั้น นานจนกระทั่งการแสดงของเขาจบลง และผู้ชายคนนั้นก็หายไปราวกับฝันไปเช่นเคย
               
อย่างที่บอก ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกันในสถานการณ์ที่ผมภาวนาไม่ให้เจอ... แต่ก็เช่นเดียวกัน คำภาวนานั้นเป็นเพียงคำโกหกที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อกันตัวเองออกจากความเจ็บปวดแสนสาหัสเหมือนตอนนี้เท่านั้น
               
ผมอยากเจอเขา... อยากเจอเขายิ่งกว่าสิ่งใด แต่ในขณะเดียวกัน การได้เห็นหน้าเขาโดยที่ไม่อาจสัมผัส ก็ทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ในระยะห่างที่ผมจะเห็นเขาได้ชัดเจน แต่ก็ห่างพอที่จะแน่ใจว่าเขาจะไม่หนีผมไปไหน เป็นวัคซีนกันตายให้ผมอยู่รอดได้แบบวันต่อวัน
               
“เฮ้ย ถ้ามึงไม่ไหว กลับก่อนก็ได้นะเว้ย” คราวนี้ผมได้ยินเสียงไอ้เพื่อนตัวดีชัดขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะมันตะโกนเสียงดังแถมใกล้หูผมมากขึ้นอีกต่างหาก
               
“กูไม่เป็นไร” เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าผมตอบกลับไป แต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า
               
ผมรับรู้ได้ว่าสมองตัวเองกำลังเบลอด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเกินขีดจำกัด แต่ถึงอย่างนั้น มือที่เริ่มสะเปะสะปะอย่างควบคุมไม่อยู่ ก็ยังคงหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นดื่มรวดเดียวและทำท่าจะเติมใหม่
               
“ไอ้เชี่ยตรี มึงกินเกินไปแล้ว เก็บกดมาจากไหนวะ” ไอ้เวสป้าโวยวาย “มึงเมาขนาดนี้กูพากลับไม่ได้นะเว้ย ให้กูไปเรียกพี่เชนให้มั้ย” ว่าจบมันก็ทำท่าจะลุก แต่โชคดีที่ผมยังมีสติพอที่จะคว้ามันไว้ได้ทัน
               
ไอ้เวสป้าไม่รู้เรื่องผมกับเชน...
               
คงเพราะตั้งแต่เปิดเทอม ผมก็เอาแต่หมกตัวอยู่ที่สตูไม่มีโอกาสได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน และการเรียนหนัก ก็ฟังดูเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้คนสองคนไม่ได้เจอหน้ากัน ที่สำคัญผมไม่เคยบอกมัน ถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีใครตั้งตัว
               
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคงเป็นเพราะ... จนถึงวันนี้ สิ่งของแทนใจสองสิ่งที่เขาเคยให้ ยังแขวนอยู่ที่คอผม อย่างไม่มีทีท่าว่าจะถูกถอดออกไป
               
“กูจะกลับ” ผมบอก เดาว่าน้ำเสียงตัวเองตอนนี้คงฟังดูแปลกไปเสียจนไอ้เพื่อนตัวดีทำสีหน้าประหลาดใจ “มึงไปส่งกูที” ผมส่งสายตาเว้าวอน
               
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมกับเชนเลิกกัน โดยเฉพาะด้วยการบอกเล่าผ่านสายตาและคำปฏิเสธอันแสนเย็นชาที่เขาจะมอบให้เมื่อมันไปขอร้องให้เขาช่วยเหลือผมอย่างที่มันว่า
               
ไอ้เวสป้าชั่งใจอยู่สักพัก แต่คงเห็นสีหน้าจริงจังของผม มันจึงยอมพยักหน้าในที่สุด “เออๆ”
               
เมื่อมันยอมตกลงตามใจผม ก็ถึงคราวต้องบอกลาคนอื่นๆ ในโต๊ะพอเป็นมารยาท ก่อนที่ผมจะเดินโซซัดโซเซฝ่าฝูงชนออกมานอกร้านโดยมีไอ้เวสป้าคอยประคองอย่างทนไม่ไหวกับความน่าสมเพช
               
“มึงเกาะดีๆ นะ” ไอ้เพื่อนตัวดีย้ำคำเดิมเป็นรอบที่สาม หลังจากผมขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดของมันอีกครั้ง หลังจากเสียหลักไปในครั้งแรก และเวียนหัวจนต้องวิ่งลงไปอ้วกในครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาด ถึงผมจะเวียนหัวแต่ก็ไม่ถึงกับอยากอ้วก และผมคิดว่าตัวเองนั่งมั่นคงพอที่จะไม่เสียหลักแม้รถจะวิ่งไปตามถนนก็ตาม
               
“รู้งี้น่าจะเอารถมึงมา ปกติเห็นมึงไม่เมาก็คิดว่ามอไซค์คันเดียวคงไหว แล้วนี้เสือกนึกครึ้มอะไรขึ้นมาวะเนี่ยถึงได้แดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่าขนาดนี้ กูล่ะช็อกไปเลย” ไอ้เวสป้าบ่นอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ทัน และไม่คิดจะฟังอีกแล้วเพราะกำลังถูกความรู้สึกเวียนหัวเล่นงานจนแทบจะทนไม่ไหว สิ่งที่ผมต้องการก็คือให้มันหุบปาก และพาผมกลับห้องให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผมจะ...
               
“เชี่ยๆๆ ไอ้ตรี!” ผมได้ยินได้เวสป้าตะโกนสุดเสียง พร้อมกับความรู้สึกโลกเอียงที่เกิดจากร่างกายที่อยู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงของตัวเอง ผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะไหลลงไปกองที่พื้นเป็นรอบที่สอง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ราวกับว่าสมองไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้อีกต่อไป
               
แต่เมื่อผมเตรียมรับการกระแทกที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างหยุดนิ่งลง พร้อมกับตัวผมที่เอียงค้างอยู่กลางอากาศ
               
นี่มัน...ตลกชะมัด
               
ผมกำลังคิดว่าควรจะขำออกมา และเรียกให้ไอ้เวสป้าดูว่านี่มันเรื่องมหัศจรรย์ชัดๆ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงทันที ที่เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นมาที่ข้างหู
               
“ระวังหน่อย” และเป็นคนคนเดียวกับที่คว้าร่างกายอันหนักอึ้งของผมเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะตกจากมอเตอร์ไซค์ลงสู่พื้นได้อย่างพอดิบพอดี
               
“...” น้ำเสียงของเขามีฤทธิ์ทำให้มึนเมาเสียยิ่งกว่าแอลกอฮอล์เสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็เรียกสติของผมให้กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ภาพทุกอย่างที่เคยถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกบางอย่าง ฉายชัดขึ้นมาในสายตา โดยเฉพาะใบหน้าเรียบนิ่งแสนเย็นชาของเขา ที่อยู่ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
               
ผมอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าของเขา แค่สักนิดให้หายคิดถึง แต่กลับต้องห้ามใจไว้สุดกำลัง เพราะกลัวเหลือเกินว่าทันทีที่ยื่นมืออกไป เขาจะหายไปอีกครั้ง เหมือนกับความฝัน
               
“พี่เชนมาพอดีเลย เอามันไปหน่อยดิพี่ ผมพามันซ้อนมอไซค์กลับไม่ไหวจริงๆ” แต่แล้วเสียงไอ้เวสป้าก็ทำลายความคิดทั้งหมดของผมให้หายไป ผมส่ายหน้าสุดกำลังพร้อมกับดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้ง พร้อมกับความหวาดกลัวบางอย่างที่แล่นขึ้นมาจับใจ
               
“มะ...ไม่ กูไม่เป็นไร” ผมละล่ำละลักพูดแทบฟังไม่ได้ศัพท์ พยายามตีไหล่ไอ้เวสป้าให้มันออกรถ เพราะไม่อยากรอฟังคำปฏิเสธที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมาจากเจ้าของฝ่ามือหนาที่เพิ่งจะปล่อยมือออกจากไหล่ผมไป
               
"ไอ้เตอร์ ยืมรถหน่อย” แต่เสียงทุ้มกลับเอ่ยประโยคที่ผมไม่เข้าใจ พลางหันไปมองร่างสูงอีกคนที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเขายืนอยู่ด้านหลัง วินาทีต่อมาผมก็เห็นสิ่งที่เขาต้องการลอยมาในอากาศก่อนที่เขาจะใช้มือข้างหนึ่งรับมันไว้อย่างง่ายดาย

ผมได้แต่นิ่งไปอย่างงุนงงขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะหันกลับมาสบตาผมด้วยสายตาเรียบนิ่งแสนคาดเดายากเหมือนเคย และสติของผมก็ถูกกระชากให้เข้าร่างอีกครั้ง เมื่ออยู่ๆ เจ้าของดวงตาคู่สวยก็เอื้อมมือมาจับแขนผม พร้อมกับกระชากอย่างแรงจนเซร่วงลงไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาอีกครั้ง

นะ...นี่มัน

ผมอยากจะตะโกนโวยวาย หรือทำอะไรสักอย่างให้เขาปล่อยมือ แต่คำพูดในหัวมันก็ตีกันไปหมดจนไม่อาจจะประมวลคำพูดใดออกมาได้ทัน แล้วก็เป็นเขาที่เงยหน้าขึ้นไปหาไอ้เพื่อนตัวดีของผม พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นไปชั่วขณะด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบาย

“เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

 ประโยคแสนเรียบง่ายที่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจว่าเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยทำไม... ในเมื่อเป็นคนทำร้ายผมเองกับมือ




-----------------------------
ลืมไปสนิทเลยว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะเอาคอมไปซ่อมค่ะ
ดังนั้นขออนุญาตอัพรวดเดียวจบแบบร้อนรนนะคะ ว้ากก :katai4:
ขอโทษถ้าตอนท้ายจะไม่ได้บอกลากัน
เอาไว้จะหาโอกาสมาทอล์กยาวๆ สักครั้งนะคะ (รู้สึกไม่ค่อยได้คุยกับนักอ่านเท่าไหร่เลย u_u)

ขอบคุณที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นจนจบนะคะ
ขอบคุณทุกๆ เมนต์ทุกๆ กำลังใจเลย :)

ขอบคุณมากค่ะ
-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 48 [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:34:37
48
ทลาย
 
               
ผมไม่เข้าใจว่าเชนต้องการอะไรถึงลากผมขึ้นรถมา แต่ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือ ทำไมผมถึงยอมตามเขามาโดยไม่แม้แต่จะพยายามขัดขืน
               
อาจเป็นเพราะผมกำลังเมาและมีสติน้อยเกินกว่าจะโต้แย้งอะไร อาจเป็นเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนผมไม่ทันตั้งตัว หรือความจริง มันอาจเป็นเพราะร่างกายมันซื่อตรงกับหัวใจเกินกว่าจะเชื่อสมองที่พยายามส่งเสียงโต้แย้งจอมปลอมว่าผมไม่ต้องการอยู่ใกล้เขาแม้สักวินาที
               
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวโดยที่ผมไม่สามารถคัดกรองอะไรออกมาได้เลย ผมไม่รู้จะพูดอะไรในภาวะที่บรรยากาศในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองเขา ได้เพียงนั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับถูกความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถแช่แข็งไปตลอดทาง

ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวมาจนถึงที่ซุกหัวนอนของผม แต่เราก็ยังคงนั่งนิ่งนานนับนาทีหลังจากที่รถจอดสนิท จนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าควรทำอะไรจึงเปิดประตูเดินออกมาจากรถด้วยความทุลักทุเล สติที่ถูกแอลกอฮอล์พรากไปถูกเรียกกลับมาด้วยความจำเป็น แม้จะไม่เต็มร้อย แต่วินาทีนี้ผมต้องใช้มันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ก็น่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายมันกลับทำให้อะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เพราะทันทีที่เท้าก้าวลงมาโลกก็หมุนคว้างจนทำให้ผมต้องเดินโซซัดโซเซอย่างหมดท่าแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

เวรเอ๊ย!

ผมสบถพึมพำกับตัวเองขณะที่ยกมือขึ้นมานวดขมับ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความรู้สึกที่เหมือนมีพายุหมุนลูกโตอยู่ในกะโหลกอย่างตอนนี้ได้ ใจจริงอยากจะกลั้นใจวิ่งสุดชีวิต ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำอย่างนั้น ผมคงจะหกล้มหน้าแหกทั้งที่ยังวิ่งไม่ทันได้สามก้าวแน่

หมับ!

ผมสะดุ้งสุดตัวทันทีที่แขนข้างหนึ่งถูกฝ่ามือหนาคว้าเอาไว้ตอนที่กำลังจะตั้งหลักเดินให้ตรงอีกครั้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าของฝ่ามือนี้เป็นใคร ผมจึงรีบสะบัดแขนตัวเองออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“อย่ามายุ่ง!” แต่สงสัยว่าจะสะบัดแรงเกินไป แทนที่จะหลุดแค่แขน ตัวผมกลับถูกแรงเหวี่ยงสุดกำลังของตัวเองพาให้เสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า… คราวนี้หมดท่าจริงๆ

ทำไมอะไรๆ มันถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่างเลยวะ!

ผมทั้งรู้สึกอาย โกรธ และสมเพชตัวเองจนไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่นั่งชันเข่าซุกหน้าลงเพื่อซ่อนใบหน้าอันเต็มไปด้วยความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าได้เห็น

“ปล่อยฉันไว้ตรงนี้แหละ” ผมพูดเสียงอู้อี้ แต่รู้ว่ามันดังพอที่คนตรงหน้าจะได้ยิน

“ให้ตายสิ” แต่แทนที่เขาจะปล่อยผมไว้อย่างที่ขอ ร่างสูงกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของเขาดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถพึมพำ

“มานี่” และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นร่างของผมก็ถูกฝ่ามือหนากระชากให้ลุกขึ้นมาจากพื้นอีกครั้งอย่างไม่มีแรงต้านทาน ผมรู้ว่าอารมณ์ของเขากำลังคุกรุ่นจากแรงของฝ่ามือที่จับข้อมือผมไว้แน่น และแรงกระชากจากร่างสูงที่ลากผมไปตามทางที่ผมไม่อาจเดินไปเองได้

ผมเดินโซซัดโซเซตามเขาไปโดยไม่ปริปาก จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องของตัวเอง มือหนาล้วงกุญแจที่ผมไม่คิดว่าเขาจะยังเก็บเอาไว้กับตัวออกมาไขประตูเปิด ก่อนจะเหวี่ยงร่างผมเข้าไปในห้อง และจ้องเข้ามาในตาผมด้วยสายตาเรียบนิ่งที่เจือไปด้วยความหงุดหงิด

“เข้าไปซะ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงรอดไรฟัน “แล้วอย่าทำแบบนี้อีก”

ผมแสยะยิ้ม เงยหน้าสบตาเขา “ทำอะไร”

“...” เขาถึงกับนิ่งไป

อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมกล้าจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาแบบนี้

“ตอบมาสิว่าฉันทำอะไร” แต่ผมอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกไม่ดีเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ในเมื่อผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย

“...” เขาไม่ยอมตอบ แต่ก็ไม่ยอมละสายตาไปจากผมเช่นกัน

“นายต่างหากที่ทำ” น้ำเสียงของผมสั่นระริก แม้ว่าจะยังคงจ้องหน้าเขาอย่างพยายามอวดดี แต่ข้างในมันพ่ายแพ้ย่อยยับไปตั้งแต่สบตากับดวงตาคู่สวยตรงหน้าแล้ว “ทำให้ฉันทรมานซ้ำๆ จนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว” ผมยกมือขึ้นมาทุบหน้าอกตัวเองแรงๆ ราวกับว่ามันจะช่วยทำลายความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรจุกอยู่ตรงนั้นให้หายไปได้

แต่สุดท้ายผมก็ต้องเบือนหน้าหนี เพื่อปกปิดความอึดอัดที่ถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่กำลังไหลออกมาอย่างเกินกลั้น

“...” เชนเอาแต่เงียบ และผมไม่ชอบเลย

เวลาผ่านไปหลายวินาที โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหนเพราะมัวแต่พยายามจัดการความรู้สึกตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของเขาดังขึ้นมา

“อย่าทำแบบนี้” เขาย้ำคำพูดเดิม แม้ว่าจะตอบไม่ได้ว่าผมไปทำอะไรให้ก็ตาม

แต่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปนั่น ก็ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง และก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าแทนที่จะมีแต่ความเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ มันกลับกลายเป็นว่าดวงตาจองเขากำลังฉายความรู้สึกที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น
ใบหน้าหล่อเหลายับย่นด้วยสีหน้าที่ทั้งอ่อนล้าและทรมาน คิ้วเข้มขมวดแน่น ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ฉายแววเจ็บปวดออกมาราวกับไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกต่อไป

“อย่าทำ...” น้ำเสียงของเขาบีบเค้นเสียจนเหมือนกับว่าเขาจะไม่สามารถพูดมันจนจบประโยคได้

“...”

“อย่าทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ทำร้ายนายด้วยความโง่ของตัวเองแบบนี้” เชนยกมือขึ้นมากุมขมับ ขณะเดียวกันก็ใช้ฝ่ามือนั้นปิดบังสายตาผมจากดวงตาที่กำลังสั่นระริกด้วยความรู้สึกมากมายที่เขากำลังปลดปล่อยมันออกมา

“...”

“ทำไม...ถึงไม่ดูแลตัวเอง” เสียงทุ้มยังคงพยายามพูด แม้ว่าน้ำเสียงของเขามันจะขาดห้วงแทบไม่เป็นประโยคก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ทำท่ายอมแพ้ให้กับสมองที่ไม่อาจประมวลผลคำพูดใดออกมาแทนความรู้สึกได้อีก

ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่อธิบายทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร

“ตรี”

สีหน้าที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้กำลังเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว

“ฮึก...” มันเป็นชั่ววินาทีที่ผมยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ก่อนจะก้าวไปหาร่างสูงแล้วกอดเขาไว้แน่นพร้อมกับทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางเพื่อบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก

แค่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง แค่รู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดแค่ไหนจากการกระทำอันโง่เง่าของตัวเอง มันก็ทำให้ผมลืมความทรมานที่ผ่านมาไปจนหมด เชนไม่ได้ผลักผมออกแต่กลับกอดร่างผมไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างรั้งใบหน้าของผมให้ชิดมากขึ้นเพื่อมอบจูบที่แสนลึกซึ้งให้ผมเช่นกัน

มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง โหยหา... ทว่าก็เจ็บปวดเกินบรรยาย

ร่างของเราทั้งคู่เคลื่อนเข้ามาภายในห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำด้วยการผลักดันจากความรู้สึกที่พลุกพล่านยากเกินต้านทาน จูบที่เคยเนิบนาบอ้อยอิ่งจากความคิดถึง กลับกลายเป็นสัมผัสร้อนจัดแห่งความโหยหาภายในเวลาไม่กี่วินาทีราวกับรอเวลานี้มาเนิ่นนาน

“ขอโทษ” เขากระซิบบอกหลังจากผละออกไปเพื่อให้ผมได้พักหายใจ “ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” มือหน้ายกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ราวกับต้องการทะนุถนอม น้ำเสียงที่แหบพร่าของเขา ทำให้รู้ว่าเขาเองก็กำลังทรมานไม่แพ้กัน
               
เพียงแต่เขาเก่งกว่าผม ตรงที่ซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าไร้ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

“...” ผมไม่ตอบอะไร แต่เขาคงมองออกจากดวงตาที่ประสานกัน ว่าผมให้อภัย ริมฝีปากบางจึงยกรอยยิ้มบางขึ้นมาพร้อมกับจรดหน้าผากลงมาบนหน้าผากของผม

“ขอโทษ...” เขาเอ่ยคำเดิมซ้ำๆ ขณะเคลื่อนริมฝีปากเข้ามาชิดกัน “ยอมแพ้แล้ว” ก่อนที่ถ้อยคำแสนอ่อนแอจะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนแผ่วเบา

ผมหลับตาลงรอรับสัมผัสจากริมฝีปากบางที่ทาบทับลงมาอีกครั้งภายในเสี้ยววินาทีด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าเคย อ้อมแขนแกร่งกอดผมไว้แน่นจนร่างกายของเราแนบชิดราวกับไม่อยากให้อณูใดแทรกผ่าน ลมหายใจที่ประสานกันจนไม่อาจแยกออกถูกเร่งอุณหภูมิด้วยจูบอันวาบหวิวที่เร่งเร้าขึ้นตามแรงปราถณาในใจ

ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดมันลงเอยตรงนี้ได้ยังไง มันรวดเร็วซะจนผมเชื่อว่าเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว ทุกอย่างถูกดำเนินด้วยอารมณ์มากกว่าจะถูกกักกั้นด้วยความคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ

แต่ผมก็ไม่เสียใจเลยที่มันเกิดขึ้น...

ไม่เสียใจในการกระทำอุกอาจของร่างสูงที่ทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อบังเกิดเกล้าของผมจนหมดสิ้น และผมก็รับรู้ได้ว่าเชนเองก็ไม่เสียใจในการกระทำของตัวเองเช่นกัน เวลานี้เขาอาจไม่แคร์อะไรเลยด้วยซ้ำขณะที่มอบสัมผัสลึกซึ้งเปี่ยมความหมายให้ผมอย่างโหยหาและเอาแต่ใจ

ริมฝีปากร้อนจัดสาละวนอยู่กับการพรมจูบไปทั่วทั้งร่างที่ไม่รู้ว่าเปลือยเปล่าไปตั้งแต่ตอนไหน ร่างกายกำยำแสนละโมบค่อยๆ กลืนกินตัวผมอย่างช้าๆ ขณะที่ผมเองก็ตอบสนองสัมผัสแสนลึกซึ้งนั้นอย่างโหยหา ใช้การกระทำส่งผ่านความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นในทุกๆ วินาทีแก่กันและกัน

เราต่างสอดประสานร่างกายเข้าด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า บรรเลงเพลงรักนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะใช้มันเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์ที่เพิ่งแตกหักให้กลับคืนมา แม้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป... สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการตักตวงสัมผัสของกันและกันเสมือนว่ามันเป็นวันสุดท้าย

เพราะไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราได้ตลอดไป


วันต่อมา

ผมคิดว่ามันคือความฝันที่ดีที่สุดในรอบหลายเดือน... จนกระทั่งลืมตาขึ้นมาและพบว่าข้างกายนั้นว่างเปล่า

ผมอยากจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาพอๆ กับอยากร้องไห้เพราะคิดว่ามันคงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ...ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าร่องรอยและความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เป็นหลักฐานชั้นดีว่า เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“ตื่นแล้วเหรอ”

และเสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง...ก็เป็นของจริง

ผมพลิกตัวลุกขึ้นแทบจะทันที ลืมนึกถึงร่างที่ปวดระบมแถมความเวียนหัวจากการเมาค้างก็เล่นเอาแทบจะต้องทิ้งตัวลงไปอีกรอบ แต่ความเจ็บเหล่านั้นก็หายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาของร่างสูงในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนบางที่ยืนอยู่ข้างผนังฟากหนึ่งของห้อง... ผนังที่เพิ่งว่างเปล่าจากการที่ผมดึงรูปถ่ายแห่งความทรงจำซึ่งคอยทิ่มแทงหัวใจเก็บไว้ในลิ้นชัก

แต่ตอนนี้ภาพต้องห้ามเหล่านั้นกลับถูกติดกลับลงไปที่เดิม ในตำแหน่งเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 “ทำอะไร” ผมแกล้งถามยิ้มๆ เมื่อเห็นร่างสูงหันกลับไปกอดอกมองผลงานตัวเองอย่างพิจารณา

“กำลังคิดว่า แปะถูกที่หรือเปล่า” ตอบพลางยกมือขึ้นมาลูบคางอย่างใช้ความคิด

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ถูกสิ ถูกหมดเลย”

ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเชนเป็นคนใส่ใจกว่าที่คิด แม้เขาจะไม่ได้กลับมาที่นี่เลยตลอดหลายเดือน แต่การที่เขารู้ตำแหน่งของรูปภาพบนฝาผนัง ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาใส่ใจกับมันมากกว่าที่ผมเคยเห็น บางทีเขาอาจจะใช้เวลายืนมองมันในขณะที่รอผมอาบน้ำในทุกๆ วันก็ได้... เหมือนกับผม

ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขายังคงยืนนิ่งมองภาพถ่ายบนผนังอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะภาพถ่ายตรงกลางซึ่งมีเขา ผมและเจ้าเตพร้อมหน้า

“ฉันเสียใจนะที่กลับมาแล้วเห็นว่าพวกมันหายไป”

ผมยิ้มขืน “มันยากนี่ ที่จะเห็นมันตลอดเวลา” เอนหลังพิงหัวเตียง พลางมองเจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกระหว่างความสุข... และความกลัว

ผมมีความสุขที่เขายืนอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่ความฝัน แต่ในขณะเดียวกันผมก็กลัวเหลือเกิน ว่าอีกไม่กี่วินาที เขาจะหายไป

เชนยิ่งนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดผม ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วหันกลับมาสบตาผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

“ฉันไม่อยากให้มันหายไปอีก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ

“งั้นนายก็อย่าหายไปสิ” ผมไม่ได้ยอกย้อน

...แต่กำลังขอร้อง

 เชนยิ้มบางๆ ก่อนจะเบือนหน้ามองลงพื้น และเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้งพร้อมกับเดินมานั่งข้างผม

“ขอโทษ” เขาพูดคำนั้นอีกครั้ง แม้ว่าผมจะได้ยินมาตลอดคืนแล้วก็ตาม มือหน้าเอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” ผมยิ้มและทาบมือลงบนมือของเขา พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยบนหลังมือหนา

เราสบตากันอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานพอที่ผมจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เขาได้รู้ แต่กลับไม่เพียงพอที่ผมจะอ่านออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไร

มือหนาเปลี่ยนมาจับมือผมและดึงไปจูบเบาๆ ก่อนจะยื่นออกมาแตะสิ่งที่ผมสวมอยู่ที่คอแทน

“ฉันดีใจที่นายยังเก็บมันไว้” มันคือเกียร์และแหวนที่เขาเคยให้ผมไว้

“กำลังคิดจะเอาไปทิ้งอยู่พอดี” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เชนยิ้มขำ ก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆ

เราต่างเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงทุ้มจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ตรี” ทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อผม มันมักจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเรา “ขอโทษที่เห็นแก่ตัว”

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“แต่ถ้าฉันขอให้รออีกครั้ง... จะรอได้หรือเปล่า”

“...” ผมรู้ว่าเขากำลังจริงจัง แต่คำถามของเขายากสำหรับผมจริงๆ

“ตรี” เขาเรียกชื่อผมอีกครั้ง คาดคั้นเอาคำตอบ

“...” แต่ผมก็ยังได้แต่นิ่งงัน ในหัวมันสับสนไปหมด ผมไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเขาจะให้ผมรออะไร ...อาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วผมรู้คำตอบดี

และคำตอบนั้นมันทำให้ผมกลัว

“ไว้ใจฉันมั้ย?” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อสบตากันใกล้ขึ้น และมันทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังตั้งคำถาม แต่กำลังขอร้อง
ซึ่งมันได้ผล ความสับสนของผมพังทลายหายไปทันทีที่เห็นแววตานั้น

“อืม” ผมรับปากในที่สุด “ฉันจะรอ” ไม่เคยต้านทานความเอาแต่ใจของคนตรงหน้าได้เสียที

เชนยิ้มออกมา ก่อนที่จะโน้มตัวลงมาปลดสายสร้อยที่ผมสวมเอาไว้ ดึงแหวนทองคำขาวออกมา สวมสร้อยเข้าที่คอผมเหมือนเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือของผมออกไป สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกครั้ง
พร้อมกับคำสัญญา

“เดือนเดียว” เขาจรดริมฝีปากลงมาที่แหวนเบาๆ “ขอแค่เดือนเดียว”

“...” ผมไม่ตอบอะไร ขณะที่สบตากับดวงตาคู่สวยที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่อยากให้เขาสัญญา แต่ก็ทำได้แค่เชื่อมั่นเท่านั้น
“ถ้าไม่กลับมา อนุญาตให้โยนมันทิ้งได้เลย”

ผมหัวเราะ แม้ว่าคำพูดของเขาจะไม่ตลกก็ตาม “จะกล้าทิ้งได้ยังไง”

มันอาจทำให้ผมเจ็บเสียยิ่งกว่าการดันทุรังเก็บมันเอาไว้เสียอีก

“ฉันพูดจริงนะ” แต่ดูท่าว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมดื้ออีกแล้ว “ถ้าไม่กลับมา ก็ทิ้งมันไปได้เลย”

“...”

เขาอ่านออกว่าผมกำลังกลัว จึงเลื่อนหน้าเข้ามาจูบหน้าผากผมเบาๆ

“แต่ไม่ได้ทิ้งแน่” ร่างสูงกลั้วหัวเราะ

ผมหัวเราะตาม ขณะที่ใบหน้าคมขัยบเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนลมหายใจของเราประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดนั้นจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

“ฉันจะกลับมา”

และกดจูบลงมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นกว่าเดิม ร่างสูงขยับเข้ามากอดผมไว้ จูบที่นำไปสู่สัมผัสแสนลึกซึ้งแทนคำยืนยันว่า เขาจะทำตามคำสัญญา





-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: บทส่งท้าย [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:38:20
บทส่งท้าย
 
               
หนึ่งเดือนผ่านไป
               
ผมไม่อยากพูดว่ามันผ่านมาแล้วเดือนนึง นับตั้งแต่เชนขอให้ผมรอในวันนั้น
               
เพราะในความเป็นจริง มันเพิ่งผ่านมาสามสิบวัน และหนึ่งเดือนสำหรับผม นับถึงวันที่สามสิบเอ็ด
               
...แม้ว่าจะเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็ตาม
               
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และพยายามไม่ก้มมองนาฬิกาให้จิตตกไปมากกว่านี้ เพราะไม่มีวี่แววของร่างสูงที่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย
               
และตามที่ตกลงกันไว้ก็คือ หากเขาผิดสัญญาคราวนี้ ผมต้องปล่อยมือ...
               
แต่มันจะทำง่ายๆ ได้ยังไงวะ ผมไม่ใช่เขานะ ไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น แค่ไม่เจอหน้ากันตลอดทั้งเดือนโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง ผมก็แทบจะคลั่งแล้ว
               
หลังจากคืนนั้นที่เขากลับมา ผมเผลอคิดเอาเองว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไป มันกำลังจะดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด เชนไม่บอกอะไรผม มากกว่าที่เขาบอกก่อนออกจากห้องไปในเย็นวันนั้น... และไม่โผล่หน้ามาอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ไปทำอะไร พยายามถามคนรอบๆ ตัวเขาก็ไม่ได้ความสักอย่าง
               
สิ่งเดียวที่บอกว่าเขาหนีหน้าเพราะต้องการทิ้งผม ก็คือคำขอร้องของเขาที่บอกให้ผมรอ
               
แต่หนึ่งเดือนมันอาจจะเร็วเกินไปหรือเปล่า เขาอาจจะกลับมาไม่ทัน... อาจจะกำลังติดพันกับอะไรสักอย่างที่ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ หรือ...
               
หรือความจริงเขาไม่คิดจะกลับมาตั้งแต่แรก
               
เห็นมั้ย เขาทำผมเป็นบ้าแล้วจริงๆ
               
“ไอ้ตรี” เสียงเรียกจากด้านหลังปลุกผมจากภวังค์ความฟุ้งซ่านก่อนหัวจะระเบิดตายได้อย่างพอดิบพอดี
               
ผมหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับไอ้ซันและโชที่เดินมาพร้อมกัน ในมือของไอ้เพื่อนตัวดีมีเหล้าราคาแพงที่บรรจงผูกโบว์สีชมพูอย่างดี
               
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์เพื่อน”
               
ใช่ วันนี้วันเกิดผม ซึ่งก็ไม่เคยต่างจากวันอื่นๆ ของปี เว้นเสียแต่ว่าปีนี้ มันอาจจะเป็นวันที่แย่ที่สุด... ถ้าใครบางคนเบี้ยวนัด
               
เหมือนผมถูกความบังเอิญกลั่นแกล้งอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวันสุดท้ายตามข้อตกลงมันดันตรงกับวันเกิดของผมพอดี เขาน่าจะเลือกให้ผมรอมากกว่านี้อีกสักหนึ่งวัน ไม่สิ ขออีกสักเดือนหนึ่งเลย อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่จำง่ายเกินไป และผมก็จะได้ไม่ต้องปั้นหน้ายิ้มให้คำอวยพรของคนอื่นทั้งๆ ที่ความจริงข้างในมันกำลังแตกสลาย
               
“หน้ามึงหม่นหมองอมทุกข์มาก นี่วันเกิดนะ ไม่ใช่วันตาย” ไอ้ซันทำหน้าเอือมเมื่อผมดูไม่ยินดียินร้ายกับคำอวยพรของมันแม้แต่น้อย ผมเลยยิ้มขืนๆ ตอบกลับไป
               
ผมไม่ได้บอกมันว่านอกจากวันเกิดผมแล้ว วันนี้มันยังมีความสำคัญอย่างอื่น อันที่จริง ผมไม่ได้บอกใครเลยเรื่องระหว่างผมกับเชน ไอ้ซันไม่รู้ว่าเรากลับมาเจอกันด้วยซ้ำ มันยังคงคิดว่าผมยังอยู่ในระยะทำใจ เหตุผลที่ผมเก็บเอาไว้เป็นความลับ ก็เพื่อใช้มันหลอกตัวเอง
               
เมื่อคืนนี้ผ่านไป ผมจะได้แอบนับหนึ่งใหม่โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าผมกำลังโกหก
               
“บอกแล้วว่าไม่ชอบของขวัญ” โชที่เงียบดูสถานการณ์อยูนานแทรกขึ้นก่อนจะยื่นซองบางอย่างมาให้ผม “อันนี้ของขวัญผม เป็นบัตรส่วนลดครึ่งราคาเครื่องดื่มที่ร้าน” เขาว่ายิ้มๆ
               
“อื้อหือ ของมึงดีมากมั้ง ความลงทุนอยู่ไหนวะตี๋ งกขนาดนี้ขี้เป็นเกลือป่ะเนี่ย” ไอ้ซันถากถางจนโชต้องกันไปค้อนใส่หนึ่งที ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสองคนนี้กัดกัน แม้จะเห็นจนชินตาแล้วก็ตาม
               
“จะอะไรก็ชอบทั้งนั้นแหละ ขอบใจนะ” ผมตัดบทขณะที่ทั้งสองคนกำลังแยกเขี้ยวใส่กัน “พวกมึงไปหาโต๊ะนั่งก่อนไป เดี๋ยวกูต้องขึ้นแสดงแล้ว” ผมว่าไอ้ซันเลยหันมาพยักหน้าเออออก่อนจะเดินนำโชไปหาโต๊ะนั่งไม่วายหาเรื่องทะเลาะกันไปตลอดทาง
               
ผมถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหลังร้านเพื่อหยิบกีตาร์คู่ใจออกมาทำหน้าที่ตามที่ถูกจ้าง
               
ผมพยายามทำให้ทุกวันผ่านไปอย่างปกติที่สุด แม้ว่าข้างในจะไม่ปกติสักเท่าไหร่นัก หัวใจของผมห่อเหี่ยวลงในทุกๆ วินาทีที่เวลาเดินหน้า มันเหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ที่ปากเหวรอเวลาตัดสินใจว่าจะกระโดดลงไปดีมั้ย ทั้งสับสน และหวาดกลัวจนไม่อาจบรรยาย
               
ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนมารั้งผมเอาไว้ ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ
               
“เฮ้ยตรี ขอโทษจริงๆ นะที่ต้องให้มาเล่นทั้งที่เป็นวันเกิด แทนที่จะได้ไปฉลองกับเพื่อนๆ” พี่เจ้าของร้านทักขึ้นขณะที่เดินสวนกับผมมาจากหลังร้านพอดี
               
“ไม่เป็นไรพี่ เล่นก่อนค่อยฉลองก็ได้” ผมตอบยิ้มๆ ให้ใบหน้ารู้สึกผิดคลายความกังวล
               
“ขอบใจนะ ยังไงเดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงโต๊ะเราแล้วกัน บอกเพื่อนจะเอาอะไรก็สั่งเลยนะ ตามสบาย” ว่าพลางตบบ่าผมเบาๆ
               
ผมยิ้มขอบคุณและเดินไปเอากีตาร์ตามที่ตั้งใจ แต่ไม่วายส่งข้อความไปบอกไอ้ซันตามสารที่ได้รับมาเมื่อครู่ ซึ่งรับรองได้ว่ามันต้องลิงโลดมากแน่ๆ ที่ได้กินเหล้าฟรีไม่อั้นแบบนี้ วัดจากข้อความที่ตอบกลับมารัวๆ ก็รู้
               
ผมยิ้มขำ เมื่อไอ้เพื่อนตัวดีส่งสติกเกอร์ซาบซึ้งแบบกวนๆ กลับมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งและกำลังจะเก็บโทรศัพใส่กระเป๋า
               
ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสายเข้ามาเสียก่อน
               
“ครับแม่” ผมรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์บ้านที่อิตาลี
               
[ แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้ะลูก ] แม่อวยพรด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโดยไม่เอ่ยบทนำใดๆ
               
ผมหัวเราะและตอบกลับไป “ขอบคุณครับ” รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้
               
[ ทำอะไรอยู่ลูก จะนอนหรือยัง ] แม่เริ่มถามคำถามทั่วไปตามประสาคนเป็นห่วง
               
“ยังครับ พอดีวันนี้มีคิวเล่นดนตรีดึก” ผมตอบตามตรง
               
แม่รู้ว่าผมทำงานเป็นนักดนตรีกลางคืน แม้จะไม่สนับสนุนนักเพราะเป็นห่วงสุขภาพ แต่ก็ไม่เคยห้าม
               
[ อ๋อ แล้วนี่ใกล้แสดงหรือยัง แม่กวนหรือเปล่า ]
               
“ไม่กวนครับ ไอ้อีกสิบนาที” ผมกะเวลา และรู้สึกใจหายเมื่อก้มดูนาฬิกา
               
เพราะอีกสิบนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้วเหมือนกัน
               
[ เอ้อ อันที่จริงแม่โทรมาเพราะพ่อเขาบอกให้โทร ตรีอยากคุยกับพ่อมั้ย ] คำถามของแม่ทำเอาผมชะงัก กลับมาโฟกัสกับบทสนทนาอีกครั้ง
               
“ไม่ครับ” ผมเว้นช่วงพักหนึ่งก่อนจะตอบ
               
มันอาจฟังดูใจร้าย แต่ผมยังไม่หายโกรธ...
               
ผมรู้ว่าพ่อไม่ผิดที่เป็นห่วง ไม่ผิดที่จะกีดกันเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบ้านเราจริงๆ แต่ท่านก็ต้องยอมรับว่าข้อเสนอของท่านมันไร้เหตุผลเกินรับไหว และไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่สามารถบังคับรสนิยมของผมได้
               
และในเมื่อพ่อเอาแต่ใจ ผมก็จะเอาแต่ใจด้วยการไม่ยอมคุยกับท่านเช่นกัน
               
ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่คุยกับท่านตลอดไป เพราะยังไงท่านก็เป็นพ่อผม แต่ก็อย่างที่เห็น... ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกของเราไม่ได้สนิทชิดเชื้อนัก เจอปัญหาหนักเข้าไปเสริมอีก มันก็คงใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะต่อติด
               
[ ตรี ลูกรู้ใช่มั้ยว่าพ่อเขาเป็นห่วง ] แม่มีน้ำเสียงจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินความดื้อดึงของผม
               
“ครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว
               
[ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อเขารักลูกมาก ]
               
“ครับ” ผมรู้สึกว่าคราวนี้เสียงตัวเองเบากว่าเดิม
               
แน่นอนผมรู้เรื่องนั้นดี แต่เพราะทิฐิที่มีมันบังตาเสียจนผมโกหกตัวเองว่าพ่ออาจไม่ได้ไยดีผมเท่าไหร่นัก
               
ผมมันเด็กเอาแต่ใจ ผมรู้ดี
               
[ พ่อเขาอยากขอโทษนะที่ทำลูกเสียใจ ] ผมชะงักไปอีกครั้ง เมื่อได้ยินแบบนั้น ใจหนึ่งคิดว่าคงเป็นคำพูดของแม่ที่อยากให้เราปรับความเข้าใจกันมากกว่า
               
แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าพ่อจะอยากขอโทษผมจริงหรือเปล่า
               
“ผมขอคุยกับพ่อหน่อยได้มั้ยครับ” ผมถอนหายใจและพูดออกไป ไม่นานปลายสายก็เงียบไป เสียงกุกกักทำให้ผมรู้ว่าแม่กำลังส่งสายโทรศัพท์ให้ใครอีกคน
               
[ … ]
               
“...”
               
แต่ก็ไร้บทสนทนา
               
“พ่อครับ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจว่ามีคนถือสายอยู่
               
[ อืม ] เสียงแหบทุ้มตอบมาแค่นั้น ก่อนจะเงียบไปอีก
               
เราต่างก็เงียบใส่กันนานจนผมคิดว่าพ่ออาจจะวางสายไป และไร้ประโยชน์ที่ผมจะรอฟังคำที่อยากได้ยิน
               
“ถ้าพ่อไม่พูด...” ผมกำลังจะตัดบทเพื่อวางสาย แต่อีกฝ่ายก็ยอมพูดขึ้นมาพอดี
               
[ ฉันเพิ่งส่งของขวัญไปให้ ]
               
“ครับ?”
               
[ ถ้าได้รับแล้วก็โทรกลับมาด้วย ] ผมขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่แสนจะเอาแต่ใจจากพ่อ ก่อนจะตอบกลับไปห้วนๆ
               
 “ครับ”
               
[ แล้วก็... ] ขณะที่ผมกำลังจะตัดสายอีกรอบ ปลายสายก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน [ ขอโทษที่ทำให้แกเสียใจ ]
               
“...”
               
[ สุขสันต์วันเกิด ]
               
คราวนี้ไม่ต้องรอให้ผมเป็นคนขอวางสาย เพราะสายตัดไปทันทีที่พ่อพูดคำนั้นจบ แต่ผมก็ยังถือหูนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คำขอโทษจากคนปากแข็งอย่างพ่อผม เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าจะได้ยิน
               
และคำขอโทษนั้นมันก็ติดหูผมไปจนลืมสงสัยไปสนิทเลยว่าของขวัญที่พ่อส่งให้มันคืออะไร...
 
               
สิบนาที่สุดท้ายของวัน ถูกใช้ไปกับการเล่นดนตรีตามหน้าที่ ใช้มันเป็นข้ออ้างในการเพิกเฉยต่อเวลาที่นับถอยหลัง และกำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว
               
“เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วนะครับสำหรับค่ำนี้” ผมกรอกเสียงตัวเองใส่ไมค์ แม้ไม่มีใครสนใจนอกจากเพื่อนของผมที่นั่งรออยู่โต๊ะล่าสุดก็ตาม
               
วันนี้ผมได้เล่นแค่ไม่กี่เพลงเท่านั้น เพราะถูกจ้างมาเป็นกรณีพิเศษ แทนวงปิดที่มีธุระต่างจังหวัดและต้องกลับก่อน และตามกฎคือเที่ยงคืนบาร์จะปิด รวมถึงดนตรีทุกชนิดก็ต้องหยุดเล่นด้วย แต่ก็ยังอนุญาตให้นั่งดื่มได้ตามอัธยาศัย
               
“อาจเป็นเพลงที่ไม่คุ้นหูนัก เพราะเป็นเพลงที่ยังไม่มีการอัดเสียงใดๆ” ผมยิ้ม เพราะรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะเล่นเพลงอะไร
               
“Just Another Guy ของ The Quantum ครับ” ผมพูดชื่อเพลงและให้เครดิตสั้นๆ ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะไล้ไปตามสายกีตาร์ในท่วงทำนองที่ผมจำได้ขึ้นใจ
               
มันคือเพลงที่เขาแต่งเอาไว้ให้ ‘เรา’
               
และผมหวังว่ามันจะเรียกคำว่า ‘เรา’ ของผมมกับเชนให้กลับคืนมาอีกครั้ง
               
ทุกถ้อยคำที่ผมเปล่งท่วงทำนองเพลงรักนี้ออกไป ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ผมจะไม่นึกถึงหน้าเขา และขอให้เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมจริงๆ
               
ผมหลับตา ภาวนา... และหลับตาลงอีกครั้ง
               
ทำแบบนั้นซ้ำๆ จนกว่าจะได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยแสนคิดถึงปรากฏขึ้นมา แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ 
               
รู้ว่าเวลาหมดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังราวกับคนบ้า
               
ผมแอบทดเวลาในใจ เพิ่มเวลาให้ตัวเองไปเรื่อยๆ

หนึ่งวินาที...

สองวินาที...

จนกระทั่งถึงวินาทีที่สาม...

ผมก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งผมตลอดไป...

อย่างน้อยในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จิตใต้สำนึกของผมจะสั่งให้ตัวเองหยุดทุกอย่างเอาไว้ กระชากแหวนที่อยู่กับนิ้วนางข้างซ้ายทิ้งไปแล้วบอกตัวเองให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ท่านก็ตอบรับคำขอของผมได้ทันการณ์

ในที่สุดเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น... ตรงกับสายตาผมที่ลืมตาขึ้นมาพอดิบพอดีราวกับตั้งใจ

ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงขายาวตัวเก่งที่ทำให้ร่างของเขาเด่นสะดุดตากว่าคนรอบกายเช่นเคย

"..."

มันอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อแต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝัน ยังมีสติครบถ้วนทุกประการ เพราะใบหน้านั้นชัดเจนไม่มีสิ่งใดพร่าเลือน
ใบหน้าอันคุ้นเคยที่ส่งยิ้มมาอย่างสงบ ขณะที่เรียวขายาวก้าวมาข้างหน้า ย่นระยะห่างระหว่างเราจนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งก้าว วินาทีนั้นผมลืมไปหมดทุกอย่าง... ลืมแม้กระทั่งเสียงของตัวเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมหยุดร้องเพลงตอนไหน หยุดไล้มือไปตามสายกีตาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดชะงักและทุกคนกำลังมองมาที่ผมด้วยความประหลาดใจ

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะขำ กับอาการตกใจจนสมองฟั่นเฟือนของผม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบาง พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยคำที่ผมรอคอยมาตลอดทั้งเดือน

“กลับมาแล้วครับ”

“...”

ใช่ เขาคือเชน...

เชนของผม...อยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆ 
             
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำหน้ายังไง ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าควรทำหน้ายังไง ทุกอย่างเหมือนนิ่งสนิท มีเพียงเขาเท่านั้นที่ชัดเจนในสายตา เขาที่ยังคงส่งยิ้มร้ายๆ ขณะที่ยกมือข้างที่ล้วงกระเป๋าอยู่ขึ้นมา เพื่อโชว์ให้ดูว่านอกจากนิ้วนางที่มีแหวนแบบเดียวกับผมสวมอยู่ ยังมีริบบิ้นสีแดงผูกเป็นโบว์อยู่ที่ข้อมือ และมันคงไม่กระตุ้นให้น้ำตาของผมทะลักออกมาได้มากมาย ถ้าหากว่ามืออีกข้างไม่ได้ชูอะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาให้ผมได้เห็น
               
มันกระดาษเอสี่ยับๆ ซึ่งปรากฏข้อความสั้นๆ ที่แม้จะไม่ได้เจอกันนาน ผมก็จำได้แม่นว่ามันถูกเขียนด้วยลายมือของพ่อผม
 
               
‘สุขสันต์วันเกิด
         จากพ่อ’
               
               
 วินาทีนั้นผมปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ ไม่สนใจอะไรอีกเมื่อเข้าใจแล้วว่าของขวัญที่พ่อว่ามันคืออะไร คำถามที่ว่าเชนหายไปไหน และให้ผมรออะไรได้รับคำตอบในเวลาเดียวกัน... และมันเป็นคำตอบที่ดีเสียยิ่งกว่าความฝัน

ผมยิ้มให้เขาทั้งน้้ำตาในขณะที่ร่างสูงก็ส่งยิ้มกว้างตอบกลับมาเช่นกัน มันเหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ๆ ออกจากอกหลังจากแบกมันมานานจนแทบจะทนไม่ไหว... เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้คำพูดอธิบายได้เลยได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา
               
ความหวาดกลัว ความกังวลทุกอย่างถูกลบล้างและทดแทนด้วยคำขอบคุณมากมายที่เอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
               
"ขอบคุณครับ"
 
               
ขอบคุณครับพ่อ... สำหรับของขวัญมีค่าในวันเกิดที่วิเศษที่สุดของผม
               
ขอบคุณเวลาที่ให้ผมรู้ว่า การรอคอยอย่างอดทนให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากแค่ไหน
               
ขอบคุณเขา ที่กลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งตามสัญญา... แม้ว่าจะช้าไปสามวินาทีก็ตาม
               
แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ขอบคุณจริงๆ
   
ขอบคุณครับ ...ที่เข้ามาในชีวิตผม




-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: พิเศษส่งท้าย [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:44:50
ตอนพิเศษ
 
[ Chain’s Part ]
 
               
เหตุผลที่ผมยอมปล่อยมือข้างนั้นอย่างง่ายดาย... เป็นเพราะคืนนั้นเขาร้องไห้
               
ยิ่งเขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ลอดมาตามสายโทรศัพท์ มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังทรมานแค่ไหน
               
ตรีของผมกำลังเจ็บปวด แต่ผมกลับทำอะไรเพื่อเขาไม่ได้เลย
               
ผมพยายามทำใจให้สบาย พยายามคิดเข้าข้างตัวเองซ้ำๆ ว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี แต่ความคิดเหล่านั้นกลับถูกทำลายยับเยินด้วยคำถามมากมายที่ผุดเข้ามาในหัว... หลายวันที่ผ่านมา เขาร้องไห้ลับหลังผมกี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งกันที่เขาต้องเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้โดยที่ผมไม่เคยรู้?
               
ผมอาจไม่เข้าใจความรู้สึกเขา แต่ผมก็พอจะรู้ว่าการต้องเลือกระหว่างครอบครัว กับความรัก และความฝัน มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหน แล้วแบบนี้ผมจะปล่อยให้เขาต่อสู้อยู่คนเดียวได้ยังไง?
                 
คืนนั้น... ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ลงไปโดยไม่ทันได้ใช้สมองไหร่ตรอง หวังว่ามันจะช่วยหยุดน้ำตาของเขา ช่วยยุติความเจ็บปวดนั้นให้หายไป

‘ผมจะเลิกกับตรี… เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ’

ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อเขาขู่จะพาเขาไปอยู่อิตาลีด้วยมันจริงเท็จแค่ไหน แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็เท่ากับว่าผมกำลังทำลายความฝันของตรีด้วยมือของผมเอง

และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น

‘เชน!’

ผมได้ยินเสียงของเขาตะโกนเรียกชื่อผม แต่ถ้าผมหันกลับไป ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็คงทลายลงอย่างง่ายดาย

‘ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน’

ผมคงไม่อาจฝืนใจยอมรับข้อเสนออันโหดร้ายที่พ่อของตรียื่นให้ผมได้ ถ้าเพียงแค่ผมสบตากับเขาเพียงแค่แวบเดียว

‘ครับ ผมสัญญา’

ผมคงไม่อาจให้คำสัญญาโง่ๆ ที่เพิ่งรู้ตัวว่า สุดท้ายมันจะทำร้ายเราทั้งคู่ให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
 

คืนนั้นผมกลับบ้านในสภาพที่ราวกับคนไร้สติ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองขับรถฝ่าฝนกลับมาถึงบ้านได้ยังไง ในหัวมีแต่คำถามมากมายวนเวียนไปมา และไม่ได้รับคำตอบ

สิ่งที่ผมตัดสินใจทำ มันดีกับเราทั้งคู่จริงๆ น่ะเหรอ? การปล่อยมือจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปพร้อมกับตัวผมได้จริงหรือเปล่า?

ผมไม่รู้เลย

‘เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น!?’ เสียงริบบิ้นดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในบ้านในสภาพเปียกปอน

ผมไม่มีอารมณ์จะตอบคำถาม จึงไม่หันกลับไป มุ่งหน้าไปที่บันไดเพื่อไปยังห้องตัวเองที่อยู่ชั้นสอง

‘เชน เป็นอะไรไป ฉันนึกว่าแกอยู่กับ... โอ้...’ คนที่วิ่งมาดักหน้าผมชะงักไปเหมือนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะแสดงสีหน้ารู้สึกผิด ‘ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าเสนอแผนพิเรนทร์ๆ นั่นให้แกเลย’

ริบบิ้นคงคิดว่าที่ผมกลับมาในสภาพนี้เป็นความผิดพลาดของแผนหนีตามของเธอ

‘มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก’ ผมตอบไปแค่นั้นและกำลังจะเดินหนี แต่ยัยพี่สาวตัวดีก็ยังตามมารั้งไว้

‘เชน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย...’

‘ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งนั้นแหละ!’ เพราะถูกเซ้าซี้มากเกินไป ผมเลยเผลอขึ้นเสียงใส่เธอ

และเพราะอยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา มันจึงส่งผลให้ความรู้สึกที่พยายามกลั้นเอาไว้ ทะลักออกมาอย่างไม่อาจห้าม

‘นี่แก... ร้องไห้เหรอ’ ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวตอนที่เห็นสีหน้าตกใจของคนที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ

ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับน้ำตาที่ไหลออกมายังไง เลยได้แต่แสร้งยกมือขึ้นมากุมขมับเพื่อปกปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยอย่างหมดแรง

‘มันจบแล้ว’ แต่ยิ่งพูดคำนั้น ความหมายของมันกลับทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาไม่หยุด จนต้องขอตัวเดินออกมาโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก

ผมไม่ได้ต้องการคำปลอบใจ หรือความช่วยเหลือใดๆ วินาทีนั้นผมแค่อยากใช้เวลากับตัวเองเพื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ทบทวนการตัดสินใจของตัวเองว่ามันให้ผมดีอะไรบ้าง... แต่นอกจากสมองของผมจะพร่าเลือนจนไม่อาจหาคำตอบใดๆ ได้แล้ว ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตรี ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หยุด ความเจ็บปวดที่ถาโถมขึ้นทุกๆ วินาทีทำให้รู้ว่าตอนนี้ผมอาการหนักแค่ไหน

คืนนั้นทั้งคืนผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา ผมเอาแต่ร้องไห้ แบบที่แม้แต่ตัวเองยังไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ผมอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้
 
               
เวลาผ่านไป
               
ตอนให้สัญญา ผมคิดว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ ผมคิดว่าตัวเองจะใจแข็งพอ ปล่อยให้เรื่องของเราจบลงเพียงเท่านั้น และหายไปจากชีวิตของเขาซะ ไม่ต้องทำให้เขาเจ็บปวดอีก
               
แต่มันก็ยากเกินไป
               
ความเห็นแก่ตัวของผม มีมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้เขาลืม... ผมเคยคิดง่ายๆ ว่ามันคงไม่เป็นไร ถ้าหากผมจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ฝ่ายเดียว ในขณะที่ปล่อยให้ตัวตนของผมค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของตรี
               
แต่พอเอาเข้าจริง ยิ่งผมมองเขาอยู่ในที่มืด ผมก็ยิ่งกลัว... หวาดกลัวว่าตัวเองจะไร้ตัวตน
               
ผมไม่อยากให้เขาลืมผม ไม่อยากให้เขาทำใจได้ว่าจะไม่มีเราอีกต่อไป
               
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องปรากฏตัวขึ้นมาให้เขาเห็นเสมอ ตอกย้ำแผลที่ไม่มีวันหายของเขาซ้ำๆ อย่างคนสารเลว ผมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด และรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเขาเจ็บปวด ผมเข้าใจความหมายของคำว่าใจสลาย ก็ตอนที่เห็นเขาร้องไห้ เข้าใจความเจ็บปวดเจียนตายก็ตอนที่เขาเริ่มชินชากับการมีตัวตนของผม

และสุดท้าย ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเอง

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ผมได้เห็นจากเขา มันตอกย้ำให้ผมตาสว่างว่าการตัดสินใจของผมมันช่างโง่เง่า และทำร้ายเราทั้งคู่ ผมทนเล่นเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจกลับไปหาเขา ในวันที่ผมแน่ใจว่าเขายังมีแต่ผมอยู่เต็มหัวใจ
               
‘ถ้าฉันขอให้รออีกครั้ง... จะรอหรือเปล่า’

ผมเอ่ยคำถามแสนยากขึ้นมาหลังจากที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ตักตวงความสุขที่ผมโหยหาแรมเดือนตลอดทั้งคืน และย้ำเตือนตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้ไปอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
มันฟังดูบ้ามากที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในทุกๆ วินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำชัดว่าผมรักเขา ผมมีความรักในแบบที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้สัมผัส... ความรักที่ก่อความสุขจนล้นหัวใจ และสามารถสร้างความทุกข์ที่เกือบจะฆ่าผมได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ

และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้ ไม่ให้อะไรมาทำลายได้อีก

‘ตรี’ ผมเรียกชื่อเขา และสบตากับดวงตาคู่สวย ‘ไว้ใจฉันมั้ย?’

และมันได้ผลเสมอเมื่อผมพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

‘อืม’ คำตอบเพียงคำเดียวสั้นๆ นั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งอย่างมีความหวัง

ผมสวมแหวนวงเดิมกลับสู่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา พร้อมกับให้คำสัญญาที่ผมมั่นใจว่าคราวนี้มันจะไม่ทำร้ายเราทั้งคู่อีกเป็นครั้งที่สอง

‘ฉันจะกลับมา’
 
           
แล้วคำสัญญานั้นพาผมมายังสถานที่ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มา
               
มันฟังดูเสียสติมากที่อยู่ๆ ผมก็ตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมาอิตาลีทันทีที่ออกมาจากห้องของตรีในวันนั้น แน่นอนว่าตัวช่วยผมสำหรับแผนการนี้ หนีไม่พ้นยัยพี่สาวตัวแสบที่สามารถจัดการให้ผมบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาอย่างง่ายดายราวกับเสกได้ ผมกำชับให้ยัยนั่นปิดปากไม่บอกใครเรื่องนี้ แม้กระทั่งกับพ่อ เพราะผมไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย (และพ่อต้องหัวเราะเยาะแน่ ถ้ารู้ว่าผมทำอะไรบ้าๆ แบบนี้)
               
ที่สำคัญ ผมไม่อยากให้ตรีรู้ และเป็นกังวลกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำ 

มันเป็นการตัดสินใจที่ฉุกละหุก และผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะจัดการด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ผมปล่อยให้ตรีเผชิญหน้ากับปัญหานี้โดยลำพัง และมันคงจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะเดินหน้าทำอะไรสักอย่างบ้างเพื่อเขา... เพื่อเรา 
       
โชคดีที่ก่อนมาผมแอบถ่ายรูปที่อยู่ของน้าเขาและที่อยู่ร้านมาจากกระดาษที่เขาแปะเอาไว้บนผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือ จึงไม่ต้องใช้เวลางมหานานนัก ผมเจียดเงินเก็บของตัวเองที่เหลืออยู่น้อยนิดเป็นค่าแท็กซี่ไปจนถึงร้านและพบว่า ผมแทบไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับการมาครั้งนี้เลย
 
ถึงจะทำเป็นอวดดี แต่อันที่จริงผมไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องทำยังไงพอถึงเวลาเผชิญหน้ากับพ่อของตรีอีกครั้ง ผมไม่ได้กลัวท่าน เพราะตอนนี้มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ความรู้สึกที่ว่าถ้าหากพลาดคราวนี้ ผมจะไม่สามารถเจอตรีได้อีกมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้

“สวัสดีค่ะ กี่ท่านคะ” แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดประตูร้านเข้าไปจนได้ พนักงานต้อนรับยกมือไหว้และเอ่ยถามตามธรรมเนียม
               
“ผมมาหาเจ้าของร้านครับ” ผมตอบไปเป็นภาษาไทย และสำรวจไปทั่วร้านอาหารเล็กๆ อย่างต้องการเตรียมใจ พนักงานคนเดิมมองผมที่อยู่ในสภาพแบกกระเป๋าเดินทางใบโตและมือหนึ่งถือกีตาร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะถาม

“มาสมัครงานเหรอ?” แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เธอก็พูดต่อ “เดี๋ยวไปตามเฮียให้” ว่าจบก็เดินกลับเข้าไปหลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนครัวแบบเปิดที่สามารถมองเห็นได้จากด้านนอก

และคนที่ผมกำลังตามหาก็กำลังเตรียมวัตถุดิบอยู่ในนั้น

พนักงานหญิงคนนั้นเดินเข้าไปพูดอะไรสักอย่างกับพ่อแม่ของตรี พร้อมกับชี้มาทางผมทำให้ทั้งสองคนหันมาทางนี้อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่นัก...

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทันทีที่พ่อตรีสาวเท้าออกมาจากครัว

“แกมาทำอะไร” แต่นอกจากจะไม่รับไหว้แล้ว เสียงเข้มยังถามด้วยท่าทางน่ากลัวจนแม่ของตรีต้องเข้ามาปราม

“ใจเย็นๆ ก่อนคุณ” ท่านพยายามลูบแขนคนเป็นสามีให้ใจเย็นลง

แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ช่วยอะไร

“ฉันถามว่าแกมาทำไม” พ่อของตรียังคงถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะเรียกคนทั้งร้านให้หันมามอง

“ผมมาสมัครงานครับ” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น มันเป็นเหตุผลที่ผมเพิ่งคิดออกเมื่อครู่นี้ตามคำชี้แนะของพนักงานหญิงคนนั้น ซึ่งพอคิดดีๆ แล้วมันก็ดูจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ทันทีที่ได้ยิน พ่อของตรีก็ปั้นหน้ายักษ์ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะออกปากไล่

“ฉันไม่รับ ออกไป” ว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัวอย่างไม่คิดจะแยแสผมอีก จนแม่ตรีต้องถอนหายใจอย่างหน่ายก่อนจะเดินเข้ามารับหน้าแทน

“รอแป๊บนึงนะจ๊ะเชน เดี๋ยวแม่คุยให้” ท่านพูดอย่างใจดี ก่อนจะรีบเดินตามสามีเข้าไป

ผมมองตามทั้งสองคนที่เดินไปในครัวด้วยความรู้สึกลุ้นอย่างอดไม่ได้ ยิ่งรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่เมื่อท่านเลือกที่จะเดินหายออกไปหลังร้านในมุมที่ผมไม่สามารถสังเกตบทสนทนา ผมยืนเซ่ออยู่ที่เดิมเกือบห้านาทีก่อนจะมีพนักงานผู้ชายที่เป็นคนไทยเหมือนกันมาพาผมไปนั่งโต๊ะด้านในสุด

“นายทำสองคนนั้นเถียงกันบ้านแทบแตก” เขาว่าด้วยใบหน้าคล้ายจะขำมากกว่าซีเรียส ผมไม่ตอบอะไรและนั่งรอเงียบๆ พยายามทำใจให้สงบโดยการมองไปรอบร้านเล็กๆ ที่ถูกตกแต่งแบบผสมผสานด้วยไสตล์ไทยผสมอิตาเลียนอย่างลงตัว 
มันทำให้ผมอดนึกถึงลูกชายเจ้าของร้านขึ้นมาไม่ได้ และผมว่าเขาคิดผิด ที่บอกว่าพ่อไม่เคยสนับสนุนให้เขาเรียนคณะสถาปัตย์ เพราะทุกอย่างในร้านไม่ต่างจากรูปสเกตของเขาที่ถูกอัดกรอบแขวนไว้บนผนังหลังแคชเชียร์เลยแม้แต่น้อย ผมเผลอยิ้มออกมาคนเดียวเมื่อคิดถึงใบหน้าอดหลับอดนอนจากการตั้งใจทำงานของเขา สภาพซอมบี้ที่แม้แต่น้ำก็ไม่ได้อาบที่เห็นจนชินตายิ่งทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่เคยรังเกียจเขาเลย กลับยิ่งอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเสียอีก

การนึกถึงตรีในอิริยาบถต่างๆ ทำให้หัวใจของผมสงบจนลืมความกังวลที่มีอยู่จนหมดสิ้น มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นเพียงกำลังใจเดียวที่จะผลักดันให้ผมเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าจะถูกผลักไสขนาดไหนก็ตาม

ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่แม่ของตรีจะเดินออกมาจากหลังร้าน ท่านมองผม ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ท่าทางหนักใจ ผมเกือบจะทำใจแล้วว่าคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่ แต่แม่กลับนั่งลงฝั่งตรงข้าม และเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“เริ่มทำงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปนะจ๊ะ” ท่านเอ่ยอย่างใจดี แตกต่างจากคนที่เป็นสามีโดยสิ้นเชิง

ผมยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ” 

แม่ตรียิ้มรับ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลอีกครั้ง และตั้งคำถาม “แม่ไม่แน่ใจว่าเชนมาทำไม แต่ถ้าเป็นเรื่องตรี...”

“ใช่ครับ” ผมตอบเมื่อเห็นท่านเว้นวรรคเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง

แม่ของตรีถอนหายใจเหมือนคิดไว้แล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะสบตาผมอย่างจริงจัง

“ตรีเขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“ไม่ครับ ผมตัดสินใจมาด้วยตัวเอง” ผมตอบตามความจริง ไม่คิดปิดบัง “ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนัก แต่ผมแค่อยากมาบอกคุณลุงว่า ผมทำตามสัญญาไม่ได้” ผมสบตาท่านกลับด้วยสายตาที่จริงจังไม่แพ้กัน

สายตาที่บอกว่าต่อให้ท่านผมไล่ผมตอนนี้ ผมก็จะไม่ไปไหน

“พ่อแม่ของเชนรู้หรือเปล่าว่าเชนมาที่นี่” ท่านเปลี่ยนคำถาม เหมือนรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว

“แม่ผมเสียไปแล้วครับ ส่วนพ่อ... “ ผมพูดแค่นั้นและเปลี่ยนเป็นส่ายหน้า

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่เพิ่งทำผิดขึ้นมาเมื่อต้องสารภาพออกมาแบบนี้

“เขาต้องเป็นห่วงแน่ๆ” ท่านขมวดคิ้วอย่างตำหนิ

ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดติดตลก “ไม่หรอกครับ พ่อชอบให้ผมดิ้นรนด้วยตัวเองน่ะ” ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย ถ้าพ่อผมรู้ว่าผมมาที่นี่ ก็คงทำแค่หัวเราะ และรอสมน้ำหน้าตอนที่ผมซมซานโทรไปขอเงิน

แม่ตรีมองผมอย่างอยากไม่เชื่อ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่เชนพักที่ไหน”

“เอ่อ...” ผมชะงักไปอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง แน่นอนว่าริบบิ้นจัดการเรื่องนี้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็มีเหตุผลที่ผมไม่อยากพักโรงแรมระดับห้าดาวนั่น และเลือกเสี่ยงเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้ 

แม่ตรีเบิกตากว้างทันทีที่เห็นท่าทางของผม

“ตายแล้ว อย่าบอกนะว่ายังไม่มีที่พักน่ะ” น้ำเสียงตกใจและใบหน้าเป็นกังวลนั่นทำให้ผมนึกถึงเจ้าเหมียวมึนของผมขึ้นมา แม้รู้ว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่สมควรเลย

“เชนควรบอกพ่อนะ” ท่านกำชับ ก่อนจะมองไปรอบร้านเหมือนกำลังคิดวิธี “แม่ไม่แน่ใจว่าพนักงานคนไหนอยากได้รูมเมทเพิ่มหรือเปล่า” พูดด้วยสีหน้าหนักใจ

“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร แต่ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย

“แต่ถ้าหาไม่ได้ ยังไงคืนนี้เชนนอนที่ร้านก็ได้นะจ๊ะ”

“ได้เหรอครับ” ผมอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้ยินแบบนั้น

“เดี๋ยวแม่ไปคุยกับพ่อตรีเขาให้เอง ข้างนอกอากาศมันหนาว ถึงจะใจแข็งแค่ไหน แต่เขาไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้เชนนอนข้างนอกหรอก”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม พร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง

“ขอโทษนะจ๊ะที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ เรายังอาศัยบ้านน้องสาวอยู่อยู่เลย” แม่ตรีพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด จนผมต้องรีบส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ผมยิ้ม แม่ของตรีจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับมา ท่านมองผมเหมือนคิดอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง

“แม่ไม่คิดว่าเชนจะทำถึงขนาดนี้” ท่านว่าท่าทางเหมือนทั้งหนักใจ และแปลกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ “ไม่เคยมีใครทำเพื่อตรีแบบนี้มาก่อน”

“...”

“แม่เอาใจช่วยนะจ๊ะ” คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่เหมือนได้รับการยอมรับ

ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เมื่อแม่ของตรีลุกขึ้น แต่ท่านกลับหันหลังกลับมาถามผมอีก

“แล้วนี่หิวหรือยัง”

ผมชะงักไป ก่อนจะตอบเสียงเบา “ผมไม่มีเงิน...” ไม่ต้องนับเงินที่อยู่ในกระเป๋าก็พอรู้ว่าควรจะสำเหนียกตัวเองว่าไม่สามารถอยู่ดีกินดีเหมือนตอนที่อยู่ไทยได้

ถ้าไม่นับบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินที่ถูกยัดเยียดมาจากยัยพี่สาวตัวแสบน่ะนะ

แม่ของตรีหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ อย่างใจดี

“ที่นี่เขาไม่เก็บเงินค่าอาหารคนในครอบครัวหรอกนะ รู้มั้ย” รอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกถึงผู้ชายอีกคน

ที่ความใจดีของเขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจได้เสมอ

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: พิเศษส่งท้าย [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:56:06
(ต่อ)

เมื่อคืนผมนอนหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของร้านหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว
               
ผมรบกวนแม่ของตรีอีกครั้งเมื่อท่านโทรให้น้องสาวที่ต้องมารับทุกเย็นหอบผ้าห่มหนาๆ มาให้ผมใช้ซุกตัวนอนหลบความหนาวยาวค่ำคืนที่อุณหภูมิไม่ใช่เล่นๆ เลย และถึงแม้แม่จะให้ผมเลือกนอนตรงไหนก็ได้ แต่การเลือกนอนหลบมุมไม่ให้ใครเห็นคงจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ไม่กวนสายตาของพ่อตรีที่ต้องมาเปิดร้านแต่เช้าให้โดนโมโห
               
สารภาพตามตรงเลยว่าที่ผมเลือกทำให้ตัวเองลำบาก แทนที่จะอยู่อย่างสบายๆ กับสิ่งที่พี่สาวเตรียมไว้ให้เป็นเพราะผมต้องการเรียกคะแนนความสงสาร... ผมต้องการให้พ่อตรีเห็นว่าผมทุ่มเทแค่ไหน กับการทำให้ท่านยอมรับเรื่องของเรา ซึ่งมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิดกับอีแค่ทนนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ซึ่งผมเองก็เคยมีประสบการณ์การนอนแบบนี้ที่ห้องของตรี
               
ผมว่าวิธีนี้คงจะช่วยได้บ้าง เพราะเวลาที่มีมันน้อยเหลือเกิน หากผมจะทำให้ได้ตามสัญญา
               
ผมหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นจึงตัดสินใจเดินออกไปสูดอากาศข้างนอก ถึงร้านจะไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดีนัก เป็นแค่ตรอกเล็กๆ ในย่านที่ไม่ได้คึกคัก แต่ที่นี่ก็บรรยากาศดีไม่น้อย ผมยืนยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าร้านที่แทบจะไม่มีคน ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบด้วยความเคยชิน
               
ถึงจะเคยเลิกไปแล้วตอนที่คบกับตรี แต่หลังจากที่เราห่างกัน ความเครียดและปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหวนกลับมาสูบอีกครั้ง และคราวนี้ก็ดูจะติดกว่าเดิมเสียอีก ผมยืนอัดควันเข้าปอดอยู่เงียบๆ คนเดียวพลางคิดว่าวันนี้ผมควรจะเริ่มต้นเผชิญหน้ากับพ่อตรียังไงดี แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ก็ต้องชะงัก เมื่อรถแวนคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงฟุตบาทหน้าร้านพอดิบพอดี

และเหมือนพระเจ้าเล่นตลกเมื่อคนที่เดินลงมาคือพ่อกับแม่ของตรี
               
ให้ตาย มาได้จังหวะชะมัด
               
ผมทิ้งก้นบุหรี่ที่คาบไว้ในปากทิ้ง และใช้เท้าบี้อย่างลวกๆ ก่อนจะยกมือไหว้ท่านทั้งสองที่เดินมาตรงที่ผมยืนอยู่
               
“สวัสดีครับ” แน่นอนว่าคนที่รับไหว้มีเพียงคนเดียวคือแม่ของตรี
               
“สวัสดีจ้ะ” ท่านยังคงยิ้มอย่างใจดีในขณะที่พ่อของตรียังคงตีหน้านิ่ง มองผมหัวจรดเท้า ก่อนที่สายตาดุๆ นั่นจะชะงักอยู่ที่เท้าของผมซึ่งเหยียบก้นบุหรี่เอาไว้
               
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมปิดความชั่วของตัวเองไม่มิด
               
ผมจึงเลื่อนเท้าออก และก้มลงหยิบก้นบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาโยนใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ คำพูดของตรีลอยเข้ามาในหัวเหมือนเพิ่งได้ยินเมื่อวาน
           
‘ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองคบกับคนขี้เหล้าขี้ยาหรอกนะ’
               
บ้าชิบ...นี่ผมทำพลาดแล้วใช่มั้ย
               
อย่าว่าแต่คะแนนสงสารเลย ตอนนี้ดูเหมือนผมจะทำให้พ่อตรีเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของเจ้าเหมียวมึนของผมมองมานิ่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในร้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ
               
ด่าผมยังจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้อีก
               
“ไม่เป็นไร แม่เข้าใจ” แต่ยังโชคดีของผมที่มีแม่ตรีเป็นเหมือนน้ำเย็นช่วยปลอบใจได้บ้าง ท่าเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ที่ถูกเมินใส่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดีเหมือนเคย “แต่เชนรู้ใช่มั้ยว่ามีคนที่เขาเป็นห่วงเชนอยู่”
               
“...” เป็นประโยคเตือนที่นิ่มๆ แต่ก็ทำให้ผมชะงัก
               
ตั้งแต่โตมา ยังไม่เคยมีใครห้ามผมเรื่องนี้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง มันทำให้อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็คงเตือนผมเรื่องนี้เหมือนกัน... อย่างที่รู้ว่าพ่อเลี้ยงผมมาแบบที่ให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ไม่มาจ้ำจี้จำไชให้ผมทำอะไรหรือเลิกทำอะไร ให้ผมเรียนรู้ด้วยวิธีของตัวเอง มันเลยทำให้บางครั้งผมก็เผลอลืมไปว่าความรู้สึกของการถูกตักเตือนมันเป็นยังไง
               
คนเดียวที่ทำให้ผมเลิกบุหรี่ได้ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร คือตรี... สีหน้าที่เป็นกังวลทุกครั้งเมื่อเห็นผมทำตัวเป็นสิงห์อมควัน และสีหน้าดีใจที่เห็นผมสูบมันน้อยลงก็ตอกย้ำชัดเจนว่าเขาเป็นห่วงผมแค่ไหน  ผมรู้ว่าที่เขาไม่เคยห้ามผมไม่ให้สูบบุหรี่เป็นเพราะเขาไม่ได้ต้องการให้ผมเปลี่ยน อะไรที่ผมทำแล้วสบายใจ เขาก็ปล่อยให้ผมทำ

แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่ด้วยกันจริงๆ... แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เวลาของเราสั้นลงเพียงเพราะพิษจากนิโคตินที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งตายก่อนวัยอันควรนี่หรอก

               
"ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ แม่ของตรีจึงยิ้ม และพูดเตือนสติผมอีกครั้ง
               
“ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะนะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป” ว่าจบท่านก็เดินตามสามีเข้าไปในร้าน ในขณะที่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม เพื่อจัดการกับตัวเอง ผมควักซองบุหรี่ที่เพิ่งซื้อเมื่อไม่นานนี้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ และโยนมันลงถังขยะใบเดิม พร้อมกับบอกตัวเองว่า

ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งมันเลยสักนิด
 

เวลาผ่านไป
               
ผมยืนยันว่าตัวเองบ้าแน่ๆ ที่ตัดสินใจมาทำอะไรแบบนี้
               
ประเดิมวันแรกผมก็โดนพ่อของตรีเล่นด้วยการส่งมาทำงานล้างจาน...
               
โอเค มันเป็นความผิดผมเองที่ไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองแพ้น้ำยาล้างจาน เพราะมันโคตรจะดูอ่อน และคงทำผมเสียคะแนนต่อหน้าพ่อตรี แต่ผมคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรเพราะที่นี่มีเครื่องล้างจาน อาจมีบ้างที่ต้องใช้พลังในการขัดถูแต่ผมก็สวมถุงมือยางป้องกันไว้แล้ว
               
ที่แย่กว่าคือผมต้องยืนขาแข็งหน้าเครื่องล้างจานทั้งวัน แทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ อย่าว่าแต่พิสูจน์ตัวอะไรเลย แค่จะไปเข้าห้องน้ำยังจะไม่มีเวลาด้วยซ้ำ
               
“นี่ยังไม่สะอาด” เสียงเข้มที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังเงียบๆ ทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อพ่อของตรียกจานกองโตที่ผมเพิ่งล้างเสร็จเมื่อกี้กลับมาวางข้างซิงค์ที่ผมยืนอยู่อีกครั้ง
               
"ครับ?” ผมเลิกคิ้วงงๆ เพราะถึงจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนยกจานไปผึ่งบนชั้น ผมเช็กมันจนดีแล้วทุกใบ
               
“ล้างใหม่” แต่พ่อตรีก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร ออกคำสั่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจัดการหน้าร้านต่อ
               
เฮ้ ใครช่วยบอกทีว่าผมไม่ได้โดนแกล้งอยู่น่ะ
               
และพ่อตรีก็แวะเวียนมาอยู่อย่างนั้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถูกแม่จับได้ว่าจงใจแกล้งผมนั่นแหละถึงยอมหยุด ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเอาเรื่องไปแล้ว แต่นี่ดันเป็นพ่อตรีที่กำลังจะมาเป็นพ่อตา ผมที่อยู่ในโหมดว่าที่ลูกเขยแสนดีเลยได้แต่ก้มก้มตารับกรรม ผมมองในแง่ดีว่านี่อาจเป็นการกระชับความสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง ถ้าผมทำโดยไม่ปริปากบ่นพ่ออาจจะให้คะแนนความอดทนผมบ้างก็ได้
               
สุดท้ายการทำงานวันแรกก็ผ่านไปด้วยดี... อันที่จริง มันก็ไม่ได้ดีนักหรอกถ้านับเรื่องที่ผมต้องยืนจนขาแทบจะเป็นตะคริว กับเรื่องที่ผมต้องต่อสู้กับอาการเจ็ทแล็กจนแทบจะน็อกไประหว่างทำงาน แต่นอกนั้นก็ราบรื่นกว่าที่คิด

ผมล้างจานใบสุดท้ายเสร็จหลังจากที่พนักงานคนอื่นๆ กลับกันไปได้สักพัก ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไงก็ต้องนอนที่ร้าน ก็เลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ผมล้างมือเสร็จก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าพ่อกับแม่ของตรียังนั่งทำบัญชีอยู่ที่หน้าร้าน

“อ้าวเชน เสร็จแล้วเหรอลูก” แม่ถามอย่างใจดี และสรรพนามแทนผมว่าลูกก็ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ครับ”

“หิวหรือยัง แม่เผื่ออาหารไว้ให้ในครัว ถ้าหิวก็กินได้เลยนะ”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ ก่อนจะยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าครัวอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี สายตามองไปยังพ่อตรีที่คร่ำเคร่งกดเครื่องคิดเลขด้วยความรู้สึกประหม่าที่ยังไม่หาย

ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ผมจะชวนท่านคุย แต่ว่าเพิ่งนึกได้ว่าผมไม่ใช่คนอัธยาศัยดีขนาดนั้น ไอ้การนึกประโยคสนทนาเลยยากยิ่งกว่าล้างจานทั้งวันเสียอีก

แต่ดูเหมือนแม่ตรีจะรับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดระหว่างผมกับพ่อ จึงหันมามองหน้าเราสลับกัน ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ส่งซิกซ์ว่าเดี๋ยวท่านช่วยเอง

“แม่ว่าเชนกินข้าวเลยดีกว่า แม่ก็หิวแล้วเหมือนกัน กินพร้อมกันหมดนี่เลยดีมั้ยคุณ” ถึงตอนท้ายจะเป็นประโยคคำถาม แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมจะเอ่ยปากแย้งอะไร แม่ตรีก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวเสียก่อน เมื่อเข้าใจแล้วว่าแม่ต้องการอะไร ผมเดินตามไปยกอาหารออกมาวางยังโต๊ะที่พ่อตรีทำเป็นก้มหน้าก้มตาคิดเลขอยู่

“คุณคะ กินข้าวก่อน” แม่ว่าพลางแย่งสมุดบัญชีมาแล้ววางจานข้าวสวยลงตรงหน้าคนเป็นสามีแทน

ผมลอบยิ้มกับท่าทางอึกอักเหมือนจะแย้งแต่กลับพูดไม่ออก และยอมทำตามใจภรรยาของคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกครั้งและเริ่มทานมื้อเย็นฝีมือแม่ตรี คราวก่อนตอนไปที่บ้านผมพลาดก็เลยไม่ได้กิน แต่หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่ร้านถึงคนเต็มทั้งวัน

ตรีก็คงได้เสน่ห์ปลายจวักนี้มาจากแม่เหมือนกัน

มันทำให้ผมอดนึกถึงชีวิตช่วงที่อยู่หอตรีไม่ได้ มันน่าแปลกใจไม่น้อยที่ผู้ชายอย่างเขาทำกับข้าวกินเองแทบทุกวัน แถมทุกเมนูยังอร่อยยิ่งกว่าร้านอาหารหลายๆ ร้านที่ผมเคยกินซะอีก สารภาพตามตรงเลยว่าช่วงที่ห่างออกมา ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือเขาอยู่ทุกวันจนมันพาลกินอาหารตามร้านไม่ลงซะอย่างนั้น

เรียกได้ว่าอาการหนักจนคนรอบข้างยังตกใจ

“เชนชอบกินแกงเขียวหวานเหรอลูก” แม่ยังเป็นคนเดียวที่สร้างบทสนทนาไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบเกินไปนักเพราะผมกับพ่อเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา (ผมมันอ่อนหัดเรื่องแบบนี้จริงๆ แหละ)

“ครับ” ผมตอบ แม่จึงยิ้มกว้างแล้วเลื่อนชามแกงเขียวหวานมาใกล้ผมกว่าเดิม

“เหมือนตรีเลยนะ”

“ผมชอบเพราะเขาชอบนั่นแหละครับ” ผมตอบออกไปตามตรงพร้อมกับยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้ากระตือรือร้นของตรีตอนที่พยายามอวดว่าแกงเขียวหวานสูตรคุณยายเขาอร่อยยิ่งกว่าใคร

แต่ดูเหมือนว่าจะเผลอแสดงอาการออกนอกหน้าเกินไปโดยลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พ่อตรีมองผมนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาเลื่อนชามแกงเขียวหวานตรงหน้าผมไปตรงหน้าตัวเองแทน

ผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง เลยหุบยิ้มพร้อมกับแสร้งทำเป็นกระแอมเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแทน ให้ตาย อึดอัดชะมัด แต่บรรยากาศเงียบได้ไม่นานเสียงหวานๆ ของแม่ตรีก็ดังขึ้นมาอีก

“เชน มือเป็นอะไรน่ะลูก” คราวนี้น้ำเสียงแม่ฟังดูตกใจ ในขณะที่ผมชะงักมือที่กำลังหยิบช้อนกลางตักกับข้าวและเพิ่งสังเกตว่ามันแดงมาก แถมผิวก็ลอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันมีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าน้ำผสมน้ำยาล้างจานมันไหลเข้าไปในถุงมือ แต่คิดว่านิดเดียวคงไม่เป็นไรเลยปล่อยเอาไว้ แต่ดูท่าว่าผมจะชะล่าใจไปแฮะ

อา แค่เห็นก็รู้สึกคันยิบๆ แล้ว

ผมดึงมือกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ถูกแม่จับได้อยู่ดี “ตายแล้ว อย่าบอกนะว่าเชนแพ้น้ำยาล้างจาน” แม่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะดึงมือผมไปพลิกๆ ดูด้วยสีหน้าเป็นห่วง และก็เป็นอีกครั้งที่สีหน้าแบบเดียวกันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นขึ้นมา
 
‘เฮ้ย! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเล่า!’

สีหน้าแตกตื่นของตรีเมื่อได้ยินผมบอกว่าผมแพ้น้ำยาล้างจานทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ จำได้ว่าตอนนั้นเขาดูตกใจและซีเรียสกส่าคนที่แพ้อย่างผมเสียอีก

‘เวรๆๆ จะเป็นไรมั้ยเนี่ย รู้ว่าตัวเองแพ้แล้วจะสะเหล่อมาล้างจานทำไมวะ’

‘คันหรือเปล่า แสบมือมั้ย มียามั้ยเนี่ย’
 
“คุณคะ ที่ร้านมียาแก้แพ้หรือเปล่า” เสียงแม่ของตรีทำให้ผมหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งชะงักไปและกำลังมองมาที่มือของผมอยู่เหมือนกัน

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมกำลังจะปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน และไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนสำออย แต่พ่อของตรีกลับลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหลังแคชเชียร์ ก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินกลับออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล

ท่านกลับมานั่งตรงหน้าผมอีกครั้งพลางเปิดกล่องหาหลอดยาทาภายนอก แล้วยื่นมาให้ผมด้วยใบหน้าคิ้วขมวดเหมือนเดิม

“แสบหรือเปล่า” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามพร้อมกับสบตาผม

มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแววตาอื่นนอกจากความไม่พอใจจากพ่อของตรี

“นิดหน่อยครับ” ผมตอบและรับหลอดยามาทาอย่างว่าง่าย พ่อตรีเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าไม่หายก็ไปหาหมอ” เป็นคำพูดห้วนๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“ครับ” ผมตอบพลางอมยิ้ม พ่อตรีจึงตีหน้าเข้มกว่าเดิม ก่อนจะมองผมด้วยสายตาตำหนิ

“คราวหลังแพ้อะไรก็บอก” ว่าพลางดึงหลอดยาที่ผมทาเสร็จแล้วกลับเข้ากล่องและปิดกล่องอย่างลวกๆ “แม่เจ้าตรีเขาเป็นห่วง”
               
ผมมองตามพ่อตรีที่เดินปั้นปึ่งเอากล่องยาไปเก็บที่เดิม ก่อนจะหันกลับมามองแม่ตรีที่หัวเราะพลางยักไหล่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้างกว่าเดิมกับความซึนโบ้ยคำว่าความเป็นห่วงให้คนอื่นของว่าที่พอตา
               
“ขอโทษครับ”
               
วินาทีนั้นผมรู้ว่าที่จริงแล้ว พ่อตรีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พยายามแสดงออกเลยสักนิด
 
               
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
               
ถึงจะแสดงความเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ความโหดของว่าที่พ่อตาก็ไม่ได้ลดน้อยลงจากเดิมเลยแม้แต่นิด แถมดูเหมือนจะเพิ่มเลเวลหนักขึ้นอีกต่างหาก
               
หลังจากรู้ว่าผมแพ้น้ำยาล้างจาน ผมก็ถูกเปลี่ยนงานมาอย่างอื่นแทน ปกติแล้วที่ร้านแต่ละคนจะมีหน้าที่ตายตัวเช่นเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน หรือคิดเงิน แต่เพราะผมไม่ใช่พนักงานปกติ ก็เลยได้รับหน้าที่พิเศษเรียกว่าเบ๊ระดับฐานรากพีระมิด ที่ทำทุกอย่างในร้านตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบแล้วแต่พ่อตรีจะออกคำสั่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำสั่งที่แฝงด้วยการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาว่าที่พ่อตาใจแข็ง ผมยังคิดในแง่ดีว่ามันคือการลองใจ เพราะเอาเข้าจริง พักหลังๆ มาพ่อตรีก็ไม่ได้มีทีท่ามึนตังใส่ผมเหมือนกับช่วงแรกๆ แถมระหว่างการทำงาน เราก็มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นด้วย
               
ผมเรียนรู้ว่าการจะเข้าหาคนอย่างพ่อตรีไม่ใช่การแสร้งพูดดีหรือประจบประแจง ผมแค่ต้องแสดงความจริงใจออกไปตรงๆ ตามนิสัยที่ผมเป็น ผมถามเมื่อผมสงสัย และไม่อายที่จะขอโทษเมื่อทำอะไรผิดพลาด ถึงจะทำงานหนัก แต่ผมก็ไม่บ่นเพราะผมรู้ว่าร่างกายตัวเองรับไหว และมันไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลยถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดจะสามารถแลกได้กับความเชื่อใจที่ท่านจะฝากฝังลูกชายไว้กับผม
               
“กินข้าว” เสียงเข้มที่ดังมาจากประตูเรียกให้ผมที่กำลังเก็บของอยู่เงยหน้าขึ้นมามองพ่อตรีที่มองมานิ่งๆ พลางพูดย้ำ “กินข้าว”
               
“ครับ” ผมตอบรับแม้ร่างท้วมจะหมุนตัวเดินออกจากครัวไปก่อนแล้ว ผมลอบยิ้มออกมานิดๆ ขณะที่หันกลับมาล้างมือเพื่อเดินตามคนขี้เก๊กไปที่หน้าร้านซึ่งมีอาหารมื้อเย็นรออยู่
               
มันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ที่แม่ตรีจะเตรียมข้าวเย็นไว้รอผมทำงานเสร็จและมากินพร้อมกัน ต่างกันก็ตรงที่คนที่มาตามผมไม่ใช่แม่ กลับเป็นพ่อตรีที่ถึงแม้จะพยายามปั้นหน้าตึง แต่แค่คำว่า ‘กินข้าว’ สั้นๆ ก็ทำให้ผมดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
               
ถึงบทสนทานาในโต๊ะจะน้อยมากเหมือนเคย แต่ผมก็ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนวันแรกแล้ว เพราะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมเข้าใจนิสัยปากร้ายแต่ใจดีของพ่อตรีมากขึ้นจนทิ้งความประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าออกไปได้ อันที่จริงผมแอบรู้สึกว่าท่านนิสัยเหมือนตรีอยู่เหมือนกัน ตรงที่แอบเป็นคนรั้นๆ แต่ความจริงก็ขี้ใจอ่อน ผมเคยเห็นท่านดุลูกน้องสักคนที่มีปัญหากับลูกค้า แต่สุดท้ายก็เป็นคนแก้ปัญหาให้โดยที่ทำให้สบายใจทั้งสองฝ่ายแทนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
               
“เชนรู้เรื่องการแสดงพรุ่งนี้หรือยังจ๊ะ” แม่ถามพลางตักกับข้าวที่อยู่ไกลใส่จานผม
               
ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะตอบ “ครับ”
               
ปกติวันอาทิตย์จะเป็นเหมือนวันครอบครัวของร้านที่พนักงานสามารถแต่งตัวตามสบายๆ ได้ และจะผลัดเปลี่ยนกันมาทำการแสดงอะไรก็ได้กลางร้านเพื่อสร้างสีสรรค์ มันเป็นการพักผ่อนและเรียกลูกค้าไปในตัว พนักงานคนอื่นดูจะกระตือรือร้นในการคิดการแสดงมาก ในขณะที่ผมซึ่งเป็นน้องใหม่ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่
               
“เอากับเขาด้วยหรือเปล่า” แม่ถามยิ้มๆ ผมเลยส่ายหน้า “ทำไมล่ะ แม่เห็นเชนแบกกีตาร์มา น่าจะลองเล่นสักหน่อยนะ”
               
“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง อันที่จริงผมน่ะ ยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะขึ้นเวทีจนชิน แต่ที่ผมไม่แน่ใจก็คือ...
               
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อเขาไม่ว่าหรอก” แม่ช่วยตอบเหมือนรู้ว่าผมลังเลอะไร
               
ผมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ ก่อนที่ท่านจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำเป็นก้มหน้ากินข้าวในจานต่อ
               
“ครับ” แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมรู้ว่าท่านอนุญาต
 

วันต่อมา
               
งานวันอาทิตย์ดูจะสนุกกว่าที่ผมคิด คงเพราะไม่มีอะไรเป็นทางการและบรรยากาศก็สบายๆ เหมือนมากินอาหารกับครอบครัวหรือคนสนิทมากกว่า ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าประจำที่มาเพราะรู้ดีว่ามีกิจกรรม ผมทำงานไปดูโชว์ของพนักงานคนอื่นไปเพลินๆ จนลืมงานหนักไปเลย
               
วันนี้ผมก็ยังรับหน้าที่เป็นเบ๊ระดับล่างเหมือนเคย แต่เพราะทำจนเคยชินก็เลยไม่จำเป็นต้องรอรับคำสั่ง พ่อตรีก็ดูจะพอใจที่ผมเริ่มรู้งานจนไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไช
               
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อการแสดงรำไทยของพวกพนักงานเสิร์ฟผู้หญิงจบลง ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มวุ่นวายอีกครั้ง เพราะเริ่มมีลูกค้าสั่งออร์เดอร์เพิ่มแล้วหลังจากจดจ่อกับการแสดงอยู่นาน ผมหันกลับมาทำงานของตัวเองที่เพิ่งถูกสั่งนั่นคือการเอาขยะที่เต็มแล้วไปทิ้งที่ถังขยะรวมหลังร้าน ผมกลับเข้ามาในครัวเพื่อเปลี่ยนถุงดำใบใหม่ ก่อนจะล้างมือเพื่อรอว่าจะมีอะไรให้ทำอีก
               
“เชน ต่อไปเป็นตาเชนแล้วนะ” ขณะที่ผมกำลังจะหันไปถามแม่ที่ทำกับข้าวอยู่ว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า พนักงานผู้หญิงที่ยังอยู่ในชุดไทยก็เดินมาบอกพร้อมเสียบออร์เดอร์ไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับไปรับออร์เดอร์อีกรอบ
               
ผมอึกอักก่อนจะหันกลับไปมองแม่ตรีที่หันมายิ้มให้เหมือนจะบอกว่าให้ผมไปหน้าร้านได้เลย ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกไปเพื่อเตรียมการแสดงสำหรับเบรกต่อไป ผมเดินไปหยิบกีตาร์ที่พิงไว้หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองว่าที่พ่อตาที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
               
คงเพราะวันนี้บรรยากาศในร้านคึกคักกว่าปกติ พ่อตรีก็เลยดูจะผ่อนคลายกว่าเดิม ผมแอบเห็นท่านคุยเล่นกับพวกพนักงานผู้ชายสนุกสนานด้วยซ้ำ ทั้งที่ภาพที่เห็นเป็นประจำคือใบหน้าเคร่งขรึมที่ดูดุซะจนพนักงานหลายคนแอบกลัว ผมแอบขำเมื่อเห็นว่าพอสบตากันท่านก็เปลี่ยนกลับมาเก๊กหน้าเข้มเหมือนเดิม
               
ให้ตาย ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับ
               
ผมแบกกีตาร์และลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งลงกลางร้านซึ่งถูกเคลียร์โต๊ะออกสำหรับทำการแสดง ก่อนจะทักทายลูกค้าและเริ่มร้องเพลงที่เตรียมมา แน่นอนว่าผมเลือกเพลงไทยที่ค่อนข้างฮิตพอสมควรเพื่อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ร้องตามได้ ไม่นานจากร้านที่มีเสียงพูดคุยและเสียงทำครัว ก็เปลี่ยนเป็นคอนเสิร์ตขนาดย่อมๆ ที่พนักงานทุกคนพร้อมในกันประสานเสียงร้องเพลงกันอย่างออกรส ผมร้องเมดเลย์ที่มีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็วเผื่อว่าใครจะมีอารมณ์ลุกขึ้นมาเต้น และมันก็ได้ผลทีเดียวเมื่อมีลูกค้าหลายคนลุกจากโต๊ะมายืนเต้นรอบๆ เก้าอี้ที่ผมแสดงอยู่
               
ผมรู้สึกปลื้มเล็กๆ ที่เห็นแบบนั้น เพราะเมื่อเทียบกับการรำไทย หรือการแสดงแบบพื้นบ้านของคนอื่นๆ แล้ว ดนตรีโฟล์คซองของผมมันดูธรรมดาและไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แต่พอเห็นทุกคนให้ความร่วมมือและสนุกสนานไปกับมันผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงจะขึ้นเวทีในผับหรือตามงานประกวดมาหลายครั้ง แต่ที่นี่บรรยากาศมันก็ต่างกันลิบลับ มันทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศปาร์ตี้เล็กๆ ภายในครอบครัวที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
               
ผมทำการแสดงอยู่ประมาณยี่สิบนาที ก่อนจะถึงเพลงสุดท้าย น่าเสียดายที่เพลงนี้ไม่น่าจะมีใครร้องได้ แต่ผมก็ยังอยากใช้มันปิดการแสดงอยู่ดี... เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงของผมออกมา
               
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งเอง...” ผมบอกขณะที่ปรับสายกีตาร์ด้วยความเขินเล็กๆ เพราะไม่เคยต้องพูดเอนเตอร์เทน แน่ล่ะก็นั่นมันหน้าที่ไอ้เตอร์นี่หว่า ผมชะงักไปนานเพราะคิดคำพูดไม่ออกจนถูกโห่แซว สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะไม่พูดหลายๆ คำที่อยู่ในใจออกมาและตัดประโยคจบดื้อๆ เพื่อเข้าเพลง “ครับ”
               
ผมยิ้มเขินๆ เมื่อถูกส่งเสียงแซวอีกรอบขณะที่ไล้มื้อไปตามสายกีตาร์และเปล่งเสียงร้องออกมาตามจังหวะเนิบๆ ของเพลง
               
แน่นอนว่ามันคือเพลงที่ผมแต่งให้ตรี... เพลงของเรา
               
มันจึงไม่แปลกที่ทุกคำร้องที่เอ่ยออกมาจะทำให้ผมนึกถึงเขา เจ้าของใบหน้ามึนๆ ที่ผมสามารถมองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ผมชอบที่เขาพยายามตื่นนอนมาทำกับข้าวทุกเช้า ชอบเวลาที่เขาตั้งใจทำงานจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเมื่อผมเข้าไปในห้อง ใบหน้าง่วงงุนจากการอดหลับอดนอนตลอดทั้งวันนั่นทำให้คนยิ้มยากอย่างผมหลุดผมหัวเราะออกมาได้อย่างน่าประหลาด

ผมชอบวิธีการพูดและน้ำเสียงที่ฟังดูเอาแต่ใจเล็กๆ ของเขา และแม้นิสัยขี้ใจอ่อนของเขามันจะน่าหงุดหงิดในบางครั้ง แต่ผมก็ชอบที่เขาเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากใคร

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขามันทำให้ผมตกหลุมรัก โดยไม่มีข้อแม้สักข้อเดียว

ใบหน้าในอิริยาบถต่างๆ ของตรีไหลเข้ามาในความทรงจำของผมแม้แต่ตอนที่เพลงจบลงภาพของเขาก็ยังไม่หายไป ชั่วขณะหนึ่งผมเผลอลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางคนมากมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นมา ผมยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อเอากีตาร์ไปเก็บและไปทำงานต่อ

แต่วินาทีที่ผมหมุนตัวกลับไปทางเคาน์เตอร์ผมก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมกำลังมองตรงมา แม้จะไม่ได้ยิ้มหรือแสดงสีหน้าที่แตกต่างไปจากวันอื่น แต่เพียงไม่กี่วินาทีที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของคนที่ผมรัก ก็ทำให้ผมรู้ว่า ท่านทราบดีว่าเพลงที่ผมร้องต้องการสื่อถึงใคร
และผมหวังว่าท่านจะเริ่มเข้าใจความรักของเราสองคนในไม่ช้า


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: พิเศษส่งท้าย [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2016 11:57:00
 (ต่อ)

หลายวันผ่านไป

ผมยังคงอาศัยอยู่ที่ร้านแม้ว่าค่าแรงที่ได้จะพอเช่าห้องถูกๆ ได้แล้วก็ตาม การทำงานหนักทั้งวันทำให้ผมหลับสนิทจนลืมอากาศหนาวไปเลย และเพราะแม่ตรีเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้ผมก็เลยนอนได้สบายๆ จนถึงเช้า

ข้อดีของการที่ให้ผมซุกหัวนอนที่นี่คืออย่างน้อยผมก็ช่วยทุ่นแรงในการปิดร้าน แถมยังได้คนเฝ้าร้านฟรีๆ ตลอดคืนอีกด้วย ผมเดินเช็กรอบร้านก่อนนอนเหมือนทุกคืน จนแน่ใจว่าไม่ลืมปิดประตูหรือปิดไฟตรงไหน แล้วค่อยกลับมาปูที่นอนหลังแคชเชียร์

แต่ก่อนที่จะหลับตา ยังมีกิจวัตรที่ผมต้องทำก็คือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กความเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊กของใครบางคนที่ผมคิดถึงจับใจ มันเป็นช่องทางเดียวที่ผมจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้เพราะตอนที่เลิกกันผมตัดสินใจลบแอคเคาท์ไลน์และปิดเฟสบุ๊คของตัวเองเพื่อตัดการติดต่อ โชคดีที่ตรีเปิดเพสบุ๊คเป็นสาธารณะ ผมเลยสามารถเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเขาได้ แต่ก็โชคร้ายที่ตรีของผม ไม่ใช่คนชอบอัพเดตชีวิตส่วนตัวในโลกโซเชียลนัก ผมเลยต้องวนดูรูปเดิมๆ ของเขาซ้ำๆ

ผมใช้เวลาเลื่อนดูไทม์ไลน์ของตรีอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงแล้วรู้สึกง่วงขึ้นมาเลยตัดสินใจจะออกจากเฟสบุ๊คเพื่อนอน แต่ยังไม่ทันจะได้กดอะไร สายตาก็ดันเลื่อนไปเห็นสถานะล่าสุดของเจ้าของแอคเคาท์ที่เพิ่งจะอัพเดตเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว หัวใจของผมมันเต้นโครมครามขึ้นมา พร้อมกับเผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ได้อ่านสถานะสั้นๆ แค่เพียงคำเดียว
 

‘คิดถึง’
           
           
ให้ตาย... นี่ผมไม่ได้เพ้อเจ้อไปเองใช่มั้ย ที่คิดว่าสถานะมันหมายถึงผม
               
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ และมองหน้าจอมือถืออยู่หลายนาที กว่าจะยอมตัดใจนอนเพราะนึกได้ว่าพรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่แต่เช้า
               
ผมรู้ว่าคืนนี้ต้องฝันดีแน่ ถ้าหากว่าตอนที่กำลังเคลิ้มหลับไม่มีอะไรมาขัดจังหวะความฝันของผมเสียก่อน
               
แกรก!
               
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเสียงนั่นไม่ใช่เบาๆ เลย มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระแทกกับประตูหลังร้าน และผมคิดว่าคงมีใครหรืออะไรบังเอิญมาเดินชนถ้าหากว่าเสียงนั่นไม่ดังขึ้นมาอีกซ้ำๆ หลายครั้งพร้อมกับประโยคสนทนาที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจากคนประมาณสองสามคน
               
ผมลุกขึ้นมาอย่างได้สติ เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมควานหาโทรศัพท์ตั้งใจจะโทรแจ้งตำรวจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงกระแทกก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก
               
บ้าชิบ
               
ผมพิงตัวหลบหลังเคาน์เตอร์ทันที และปิดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้แสงจากหน้าจอทำให้พวกมันรู้ตัว เสียงฝีเท้าและเสียงบทสนทนาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับแสงไฟฉายที่สาดไปทั่วเพื่อสำรวจ ผมฟังไม่ออกเพราะพวกมันคุยกันเป็นภาษาอิตาลี แต่จับจากเสียงได้ว่ามีกันอยู่สามคน
               
“&*^@$!!” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นมา พร้อมกับแสงไฟที่สาดมาทางนี้ เดาได้ว่ามันรู้แล้วว่าแคชเชียร์อยู่ตรงไหน

ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาอย่างใจเย็น เพราะไม่แน่ใจว่าพวกมันมีอาวุธหรือเปล่า เลยยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ผมรอจนพวกมันมาวุ่นวายกับเครื่องคิดเงินที่ต้องใช้รหัสในการเปิด และอาศัยจังหวะนั้นย่องออกไปหลบด้านหลังโต๊ะอีกมุมหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ

จากระยะนี้ผมเห็นผู้ชายที่ท่าทางน่าจะเป็นวัยรุ่นในฮู้ดสีดำสามคนกำลังช่วยกันงัดแงะเครื่องคิดเงินด้วยไม้เบสบอล มันทำให้ผมอุ่นใจว่าพวกมันคงเป็นแค่โจรกระจอกเพราะดูแล้วไม่มีการวางแผนอะไรเลย ผมตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกมันจะงัดเงินออกมาได้สำเร็จจึงดึงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ฉุกเฉินอีกครั้งพร้อมกับใช้อีกมือหนึ่งคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวสาวเท้าเข้าไปหาพวกมันใความมืด และทันทีที่ใครบางคนรู้ตัวเพราะแสงจากมือถือและเสียงฝีเท้าของผม ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมฟาดเก้าอี้ใส่มันเต็มแรง

โครม!

ตุบ!

หนึ่งในคนร้ายสลบแทบเท้าผมทันที ในขณะที่อีกสองคนเริ่มโวยวายและหวดไม้เบสบอลสะเปะสะปะใส่ผม ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจว่าพวกมันกำลังพล่ามอะไร ผมทิ้งเก้าอี้ที่พังคามือและเปลี่ยนไปคว้าไม้เบสบอลของไอ้โม่งคนหนึ่งที่เพิ่งฟาดลงมาและดึงเข้าหาตัวสุดแรงพร้อมกับใช้เท้ายันเข้าร่างซึ่งเซตามมาจนกระเด็นกลับไปกระแทกกับโต๊ะด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาจัดการอีกคนที่เหลือทันที มันเงื้ออาวุธในมือกำลังจะฟาดหัวผมพอดี แต่เพราะผมหลบได้ไม้เบสบอลจึงฟาดลงกับเคาน์เตอร์ด้านหลังเต็มแรง เปิดโอกาสให้ผมซัดหมัดเข้าที่หน้ามันจนหงายหลังไป

โครม!

“)(*@&$&!!!”

เหตุการณ์ในร้านเริ่มชุลมุนวุ่นวายขึ้นเมื่อโจรสองคนเริ่มโวยวายด้วยความโมโหและพยายามจะรุมยำผมในความมืดที่มีเพียงแสงไฟฉายสาดไปมาจนน่าเวียนหัว แต่ทักษะการป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ผมมีสติพอที่จะหลบการโจมตีได้ ผมรับหมัดใครสักคนที่ชกมั่วๆ มาก่อนจะซัดกลับไปที่ใบหน้าเต็มแรงทันที โชคร้ายที่มันยังไม่สลบแค่เสียหลักล้มลง แถมอีกคนก็ไม่ปล่อยให้ผมได้ใจนาน รีบโจมตีเข้ามาจนผมเกือบหลบไม่ทัน แต่ผมก็ยังตั้งตัวได้และเล่นงานมันกลับเข้าที่ท้องจนร่างหนาๆ ล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า
               
ผมคิดว่าเรื่องคงจะจบแล้วและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่กดเบอร์ฉุกเฉินทิ้งไว้หวังว่าพอได้ยินเสียงความวุ่นวายแล้วเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สายยังไม่ตัดไป และผมตั้งใจจะกรอกเสียงลงไปเพื่อบอกพิกัด

พลั่ก!

แต่เพราะชล่าใจเกินไป เลยไม่ทันรู้ตัวว่าผู้ชายที่ผมฟาดด้วยเก้าอี้จนสลบไปตอนแรกมันฟื้นขึ้นมาอีกรอบ และเล่นงานผมจากด้านหลัง ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บแต่ก็รีบหันกลับไปหวังจะเอาคืน แต่อีกสองคนที่เหลือก็รีบกุลีกุจอเข้ามาล็อกตัวผมไว้ซะก่อน ทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้ในขณะที่เพื่อนของมันเริ่มพูดภาษาต่างดาวและซัดหมัดลงบนหน้าผมเต็มๆ

เวรเอ๊ย!

ผมเริ่มเสียสติด้วยความโมโหที่ตัวเองเสียเปรียบจนทำให้พวกมันจับตัวผมได้ แต่เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีอยู่ในตัว ทำให้หลังจากโดยชกไปไม่กี่หมัดผมก็ตั้งหลักใหม่ได้ด้วยการใช้เท้ายันไอ้คนที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาชกผม และใช้แรงดีดตัวเองออกจากการล็อกของอีกสองคน

พลั่ก!

ผมคว้าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาและรัวหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง หวังให้มันสลบก่อนจะไปจัดการคนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องโหยหวนของไอ้คนที่อยู่ในกำมือผมจะเงียบดี ทุกอย่างก็หยุดชะงักเพราะเสียงสัญญาณจากรถตำรวจที่ดังขึ้นมาจากนอกร้าน

“(&**$@%&&)*!!” ไอ้พวกโจรเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นรถตำรวจแล่นมาจอดหน้าร้านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตำรวจสี่ห้าคนที่วิ่งลงมา

ผมปล่อยร่างปวกเปียกในมือซึ่งสภาพไม่น่าจะคลานไหว และหันไปคว้าตัวอีกสองคนที่กำลังจะหนี ตั้งใจจะส่งตัวพวกมันให้ตำรวจที่เริ่มพังประตูหน้าร้านเข้ามาพร้อมกับตะโกนคำที่ผมเดาเอาว่าให้ทุกคนหยุดเพราะแม้แต่โจรที่ผมพยายามจับไว้ก็หยุดดิ้นรนและยกมือขึ้นยอมจำนน ผมหยุดตามแต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร ร่างของผมก็ถูกชาร์ตจนล้มลงกับพื้นพร้อมกับถูกใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว

“เฮ้! ผมไม่ใช่คนร้ายนะ!” ผมตะโกนบอกเป็นภาษาอังกฤษแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ตำรวจยังตะโกนกดดันพร้อมกับเข้าไปใส่กุญแจมือคนที่เหลือ

ผมยังตะโกนคำเดิมขณะถูกดึงให้ลุกขึ้นและถูกลากออกจากร้าน แต่นอกจากตำรวจจะไม่ฟังแล้วยังรัวภาษาอิตาลีใส่หน้าผมไม่หยุด ผมคิดว่าตัวเองคงจะโดนลากเข้าคุกแล้วแน่ๆ ถ้าหากว่าไม่กี่วินาทีต่อมารถมินิแวนคันคุ้นตาไม่แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านอย่างรวดเร็วตอนที่ผมกำลังจะถูกยัดเข้าไปในรถตำรวจพอดี

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นครับคุณตำรวจ” พ่อตรีที่วิ่งลงมาจากรถเป็นคนแรกถามด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ผู้ชายพวกนี้พยายามจะปล้นร้านคุณ” และคราวนี้ตำรวจที่ไม่ยอมฟังเสียงผมก็หันไปตอบท่านเป็นภาษาอังกฤษหน้าตาเฉย “มีคนโทรแจ้งและเราก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เลยเช็กพิกัดดู พอมาถึงก็เห็นผู้ชายสี่คนนี้กำลังสู้กันอยู่”

พ่อตรีมองมาที่ผมกับโจรตัวจริงที่ถูกใส่กุญแจมือและถูกกดลงกับรถอยู่ ก่อนจะมองกลับไปในร้านที่สภาพเละเทะไปหมดอย่างประเมินสถานการณ์

“เชน!” ขณะที่ทั้งตำรวจและผมกำลังรอให้พ่อตรีพูดอะไรสักอย่าง เสียงของแม่ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับตัวท่านกับอีกสองคนที่ผมจำได้ว่าเป็นน้าของตรีกับสามีที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน “เกิดอะไรขึ้นลูก” แม่กำลังจะเดินเข้ามาหาผม แต่ก็ถูกตำรวจกันไว้

“คุณรู้จักหมอนี่เหรอ?” ตำรวจเอ่ยถาม ในขณะที่แม่ซึ่งยังสับสนกับสถานการณ์ได้แต่พยักหน้ามึนๆ แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เสียงเข้มของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ช่วยยืนยันอีกแรงว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์

“ใช่ครับ” เสียงเข้มเอ่ยพร้อมกับหันมาสบตา

“...”

“เขาเป็นลูกชายผม”
 

เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีหลังจากที่สามีคุณน้าที่เป็นคนอิตาลีและเป็นเจ้าของร้านตามกฎหมายเข้าไปเจรจากับตำรวจและจัดการเรื่องดำเนินคดีต่อ ในขณะที่ผมถูกปล่อยตัวและถูกพาไปโรงพยาบาลแทน โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปากแตกกับหน้าช้ำนิดหน่อยเพราะถูกต่อย ส่วนหลังที่ถูกฟาดก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เป็นแค่แผลฟกช้ำเท่านั้น ไม่ถึงกับกระดูกหักอะไร

ผมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยความเพลียถึงขีดสุดเพราะมันดึกมากแล้ว แต่คนที่เพลียไม่แพ้กันคงเป็นพ่อกับแม่ของตรีที่นั่งรออยู่หน้าห้องอยู่นาน พ่อตรีหันไปสะกิดแม่ที่เผลอหลับไปตอนที่เห็นผมเดินออกมา ก่อนจะลุกขึ้นมาหาผม

“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามขึ้นมาพร้อมกับลูบแขนผมเบาๆ

“ไม่เป็นอะไรมากครับแค่ฟกช้ำ” ผมตอบ แม่ตรีถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งอก ในขณะที่พ่อยังคงขมวดคิ้วหน้าเครียด ก่อนจะเดินนำพวกเราออกไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไร

ผมคิดว่าท่านคงจะกังวลเรื่องร้าน และคงเป็นห่วงเรื่องคดี เลยไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่ผมก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่ท่านหันมามองผมหลังจากปล่อยให้ในรถเงียบเชียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“คราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีก”

“...”

“พ่อเป็นห่วง”

“ครับ” ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาได้โดยลืมความเจ็บจากแผลที่มุมปากไปเสียสนิทเมื่อรู้ว่าประโยคที่ว่าผมเป็นลูกชายที่ท่านเอ่ยกับตำรวจไม่ใช่แค่คำพูดผ่านๆ เพื่อช่วยให้ผมรอดคุกเท่านั้น
 

หลายวันผ่านไป

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตรีกับผมเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่สำหรับผม มันเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าเลย และที่ทำให้ผมร้อนใจก็คือเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

เหลืออีกสองวันก็จะครบกำหนดหนึ่งเดือนตามสัญญา

ผมทำตัวขี้โกงด้วยการนับเวลาหนึ่งเดือนที่สามสิบเอ็ดวันและหวังว่าเวลาที่เพิ่มมาหนึ่งวันนั้นจะช่วยยืดโอกาสให้ผมได้บ้าง

แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังยากอยู่ดี

หลังจากคืนนั้นผมก็ไม่ได้ยินสรรพนามว่าพ่อออกจากปากพ่อตรีอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ถึงจะกลับมาใช้สรรพนามฉันกับแกเหมือนเดิม แต่การที่ท่านสั่งให้ผมเก็บข้าวของย้ายไปนอนที่บ้านด้วยเพราะที่ร้านไม่ปลอดภัย ก็บ่งบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย

ถึงผมจะได้นอนโซฟาในห้องนั่งเล่นเพราะห้อนนอนในบ้านถูกจับจองหมดแล้ว แต่ก็ถือว่าดีกว่าการต้องนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ที่ร้านมาก และอีกอย่าง การได้เข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็ยังทำให้ผมมีโอกาสคุยกับพ่อตรีได้มากขึ้นด้วย
แต่มันคงเป็นความกระจอกของผมเอง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราวสักที

ถึงครอบครัวตรีจะเอ็นดูและเต็มใจดูแลผม แถมพ่อก็ดูจะเปิดใจมากขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เคยคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเราจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ผมยื้อเอาไว้จนเกือบจะหมดเวลาจนได้ และถ้าผมยังหาโอกาสคุยไม่ได้ภายในสองวัน ผมก็คงไม่สามารถพูดมันได้อีกตลอดชีวิต

ผมนั่งมองตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกหนักใจ เวลาบินกลับคือวันมะรืนนี้ตอนเช้า นั่นยิ่งตอกย้ำว่าผมควรรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะคว้าน้ำเหลว

และผมก็ไม่อยากกลับไปเริ่มใหม่ทั้งที่เดินมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว

“เชนเสร็จหรือยังจ๊ะ” แม่ที่เดินไปเตรียมของขึ้นรถ เดินกลับมาเรียกผมที่ขอตัวกลับมาหยิบของ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมามองตั๋วเครื่องบินอีกครั้งและได้แต่ถอนใจ

ผมพับมันลวกๆ และยัดใส่กระเป๋าสตางค์ก่อนจะลุกเดินออกไปหน้าบ้านซึ่งมีรถมินิแวนจอดรออยู่ พ่อตรีเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่คุณน้าจะขับรถไปส่งพวกเราที่ร้านเหมือนทุกเช้าก่อนไปทำงานต่อ

วันนี้ร้านเปิดแค่ครึ่งวันเพราะตอนเย็นจะมีปาร์ตี้ประจำเดือน ผมไม่รู้รายละเอียดนัก แต่แม่ตรีเล่าคร่าวๆ ว่าทุกคนจะนำวัตถุดิบที่เหลือในร้านมาทำอาหารกินกันแล้วแต่ว่าใครอยากจะครีเอตเมนูอะไร ส่วนเครื่องดื่มหรือของมึนเมาทุกคนจะช่วยกันออกเงินแต่ก็มีงบสนับสนุนจากพ่อตรีและสามีคุณน้าที่มาร่วมสังสรรค์ด้วยเหมือนกัน มีการแสดงเหมือนวันอาทิตย์ด้วยแต่ไม่ได้ซีเรียสนักเพราะไม่ได้แสดงให้ลูกค้าดู บางคนแค่มาเล่าเรื่องตลกๆ สร้างเสียงหัวเราะก็ทำให้งานสนุกได้แล้ว
แน่นอนว่าการแสดงของผมก็หนีไม่พ้นเล่นกีตาร์โปร่งที่แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากบ้าน เพียงแต่คราวนี้ผมไม่ต้องร้องเองแล้ว เพราะมีนักร้องกิตติมศักดิ์หลายคนแวะเวียนมาร้องแทนโดยที่ผมมีหน้าที่แค่เล่นตามเพลงที่ถูกรีเควสต์เท่านั้น

“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็ไปเอาที่ครัวได้เลยนะ” แม่บอกอย่างใจดีหลังจากที่ผมเดินมาที่โต๊ะเพื่อนักพักจากการเป็นนักดนตรีจำเป็นเพราะมีคนเสนอให้เปิดคอมร้องคาราโอเกะแทน

“ครับ” ผมยิ้ม ก่อนจะรับแก้วแอลกอฮอล์ที่สามีคุณน้ารินให้มายกดื่ม

ผมไม่ชินกับการสังสรรค์แบบนี้นัก ก็เลยได้แต่นั่งจิบเหล้ามองคนอื่นๆ สนุกสานไปพลาง บรรยากาศคึกครื้นแต่เจือไปด้วยความอบอุ่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความรู้สึกร่วม มันเหมือนเราทุกคนกำลังนั่งกินนั่งดื่มกันในบ้านของตัวเองจริงๆ ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดและขัดเขินเลย

ผมนั่งดื่มพลางคุยกับคนอื่นๆ ในโต๊ะไปได้สักพัก ก็ต้องชะงัก เมื่ออยู่พ่อตรีที่เพิ่งออกมาจากหลังร้านก็เดินมาหยุดตรงที่ผมนั่งอยู่ ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองท่านอย่างสงสัย

“ไปคุยกันหน่อย”

น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดกับบรรยากาศของท่าน ทำให้ผมต้องวางแก้ว และเดินตามไปอย่างงงๆ
พ่อตรีเดินนำผมมาที่ด้านหลังร้านซึ่งตอนนี้เงียบเชียบไร้ผู้คน ก่อนจะนั่งลงที่บันไดเตี้ยๆ หน้าประตู ผมนั่งลงตาม กำลังจะถามท่านว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ก็ต้องกลืนคำถามกลับลงคอไป เมื่อพ่อตรียื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้า

มันคือกระเป๋าสตางค์ของผมและตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่ไม่ได้อยู่ในซองอีกต่อไป

วินาทีนั้นผมเดาได้ว่าท่านกำลังจะพูดเรื่องอะไร

“แกมาที่นี่ทำไม” พ่อถามหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบอยู่นาน

บรรยากาศอึดอัดที่ไม่ได้สัมผัสมาพักใหญ่ ทำเอาผมพูดไม่ออกเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่คือเวลาที่ผมรอคอยมาตลอด... เวลาที่ผมจะขอโอกาสกับพ่อตรีอีกครั้ง

“ผมสัญญากับตรีเอาไว้ว่าจะกลับไปหาเขา ภายในหนึ่งเดือน” ผมเอ่ยความลับที่ปกปิดเอาไว้ออกมา

ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ครอบครัวก็จะตั้งแง่กับผม  คิดว่าผมมาช่วยเพื่อทำดีเอาหน้า

ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้

“แกสัญญากับฉันว่าจะไม่ยุ่งกับลูกชายฉันอีก” เป็นอย่างที่ผมเตรียมใจไว้เมื่อพ่อของตรีทวงถามสัญญา

ผมก้มหน้าลงอย่างรูสึกผิดแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาท่านอีกครั้งเพื่อแสดงความจริงใจ “ขอโทษครับ ผมทำไม่ได้”

“...”

“ผมไม่สามารถปล่อยมือจากเขาได้ เพราะงั้นผมเลยมาที่นี่” ผมยังคงสบตากับพ่อของตรีอย่างจริงจังและขอร้อง “ผมอยากขอโอกาสอีกครั้ง”

“...” คนตรงหน้าก็ยังคงขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้าที่ผมไม่สามารถเดาได้ว่าคำตอบจะเป็นหัวหรือก้อย
แต่ผมมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว

ผมรู้ว่าท่านโกรธที่ผมผิดคำพูดและกลับไปหาตรีลับหลังท่าน ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะมันคือความผิดของผมเองที่ให้คำสัญญาพล่อยๆ ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าผมสามารถทำอะไรเพื่อทดแทนการผิดคำพูดของตัวเองได้ ผมก็พร้อมจะทำ ขอแค่ท่านไม่ผลักไสผมออกจากชีวิตตรีเหมือนที่ผ่านมาก็พอ

“ตอนที่แกให้สัญญาง่ายๆ มันทำให้ฉันคิดว่าแกไม่ได้รักลูกฉันจริงอย่างที่ฉันคิด”

“...”

“ยิ่งเจ้าตรีร้องไห้ ฉันก็ยิ่งโกรธที่แกยอมแพ้” ท่านเว้นวรรค ก่อนจะกลืนน้ำลายและเอ่ยสิ่งที่ค้างไว้ “แต่ฉันโกรธตัวเองมากกว่าที่บีบให้แกทำแบบนั้น” อยู่ๆ เสียงเข้มก็ขาดห้วงไป พร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตา
มันทำให้ผมรู้ว่าท่านกำลังรู้สึกยังไง ผมเข้าใจแล้วว่าท่านรู้สึกแย่แค่ไหนกับการกระทำของตัวเอง

“แต่อยู่ๆ แกก็โผล่มา” ท่านพูดต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาผม น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังซ่อนอะไรอยู่ “คิดว่าทำแค่นี้แล้วมันจะช่วยอะไรได้หรือไง”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริง

เวลาหนึ่งเดือนอาจจะน้อยไปที่จะพิสูจน์อะไร

 “แกรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นห่วงเจ้าตรีแค่ไหน” อยู่ๆ ท่านก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ผมยังคงสบตาทุกครั้งที่ตอบ “ครับ”

แม้ว่าคำพูดที่ได้ยินและความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาจะทำให้ผมล้าจนอยากจะยอมแพ้ก็ตาม ถ้าเป็นปกติผมคงอดไม่ได้ที่จะหยิบบุหรี่ออกมาสูบหวังให้มันช่วยจัดการความเครียดนี้ แต่เพราะไม่มีผมเลยแต่กำหมัดแน่น หวั่นกลัวกับอนาคตในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ฉันมีลูกชายอยู่คนเดียวที่เป็นความหวังของตระกูล” ท่านยังคงพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนพยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ไหลออกมา

“...” แต่คำพูดนั้นก็กระตุ้นให้น้ำตาของผมเอ่อคลอขึ้นมาเหมือนกัน... ผมเข้าใจความรู้สึกของตรีก็ตอนนี้เอง

ความรู้สึกที่ไม่อยากให้พ่อแม่ของตัวเองเจ็บปวด... เขาต่อสู้กับความรู้สึกนี้มานานขนาดนั้นได้ยังไงนะ

“พูดตรงๆ ว่าฉันไม่อยากให้แกคบกับลูกชายของฉัน”

ถ้าเป็นผม ก็คงยอมแพ้ตั้งแต่เห็นแววตาสั่นระริกพร้อมกับการขัดขวางที่เกิดจากความเป็นห่วงแบบนี้แล้ว ผมก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลืนน้ำลายลงคอเพราะหวังว่ามันจะกลืนก้อนที่จุกอยู่ตรงอกผมให้ลงไปด้วย

ผมรู้สึกปวดใจไปหมด เมื่อคิดได้ว่าถ้าคราวนี้พ่อตรีสั่งห้ามอีก ผมก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว

แต่ขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบอย่างพยายามทำใจ เสียงสั่นๆ ของพ่อตรีก็เอ่ยประโยคที่ตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ออกมา

 “แต่ถ้าแกยืนยันว่ารักลูกชายฉันจริง ฉันก็จะให้โอกาสแกสักครั้ง”

“...” ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าท่านอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

คำพูดเมื่อกี้นี้มัน...

ผมมองพ่อตรีที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พร้อมหันมาตีหน้านิ่งขณะที่พูดยืนยันว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้แค่หูฝาด

“ฉันฝากให้แกทำให้ตรีมีความสุข...”

“...”

“แล้วก็ฝากบอกด้วยว่าฉันไม่ได้เกลียดมันอย่างที่มันคิด” แล้วสุดท้ายพ่อก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ตอนที่เอ่ยคำนั้นออกมา ผมนิ่งไปนานหลายวินาทีอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายเมื่อสมองประมวลผลได้ผมก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว

“ครับ” ผมหัวเราะ ขณะที่พ่อตรีเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับมาโดยปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ปิดบัง

“ขอบคุณครับ... ขอบคุณมากครับพ่อ” ผมพูดย้ำๆ พร้อมกับก้มหัวลงปิดหน้าร้องไห้อย่างเสียสติ พ่อตรีขยับเขามาตบบ่าผมเบาๆ และดึงผมไปกอดไว้ด้วยร่างที่สั่นเทาไม่แพ้กัน

เชื่อเถอะว่ามันคงจะเป็นภาพที่โคตรตลกเลย ถ้าหากมีใครเผลอผ่านมาและดันเห็นผู้ชายขี้เก๊กสองคนนั่งกอดคอกันร้องไห้ไม่หยุด โดยมีเสียงร้องคาราโอเกะเพลงลูกทุ่งดังเป็นแบ็กกราวน์อยู่ด้านหลังแบบนี้
 

เช้าวันเดินทาง
คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนและภาวนาให้เรื่องที่คุยกับพ่อตรีไม่ใช่ความฝัน หรือสิ่งที่ท่านพูดออกมาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น และผมก็ยิ้มไม่หุบเมื่อพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมกังวล

พ่อตรีเลิกมึนตึงใส่ผม แถมยังกำชับว่าเรื่องที่คุยกันเป็นเพียงความลับระหว่างเราสองคน ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ใครๆ ก็เดาได้ว่าทุกอย่างลงเอยด้วยดี ผมได้รับอนุญาตให้ลาได้หนึ่งวัน เพื่อพักผ่อนก่อนกลับบ้านในวันนี้ ผมเลยไปเดินเล่นจนหมดวันก่อนแวะไปที่ร้านตอนเย็น ทุกคนที่รู้เรื่องว่าผมกำลังจะกลับบ้านก็รีบหาของขวัญมาให้ พร้อมกับอวยพรผมยกใหญ่จนผมอดรู้สึกปลื้มไม่ได้ที่ได้รับความอบอุ่นขนาดนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักทุกคนได้เดือนเดียว

“ไปกันหรือยังลูก” แม่ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย แต่ผมไม่ได้พกอะไรมานอกจากกีตาร์และกระเป๋าเป้แค่ใบเดียวก็เลยไม่ต้องใช้เวลานานนัก

ผมหันไปยิ้มตอบก่อนจะยกเป้ขึ้นพาดบ่าและถือกระเป๋ากีตาร์ไปเก็บที่รถแท็กซี่ เพราะไม่อยากรบกวนในวันทำงานผมเลยไม่ยอมให้พ่อแม่ตรีขับรถไปส่ง และขอนั่งแท็กซี่ไปที่สนามบินด้วยตัวเอง อีกใจหนึ่งก็เผื่อเอาไว้ เพราะถ้าหากถึงเวลาจากกันจริงๆ ภาพที่ทั้งสองคนโบกมือลาผมที่สนามบินมันคงทำให้ผมเศร้าเกินไป

ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่เดือนเดียวจะทำให้ผมผูกพันกับที่นี่ได้ขนาดนี้ คงเพราะมันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ให้อะไรกับผมมากทีเดียว

“ไปก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ที่เดินมาส่งถึงรถ และกำลังจะเปิดประตูเข้าไป

“เดี๋ยวเชน” แต่ก็หันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินแม่เรียกเอาไว้ ผมทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นพ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยท่าทางมีเลศนัยก่อนที่พ่อจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า

ผมเห็นแม่หัวเราะ ขณะที่จับมือข้างหนึ่งของผมไป พร้อมกับควักริบบิ้นสีแดงออกมาผูกกับข้อมือของผมเอาไว้เป็นรูปโบว์ที่ดูท่าทางจะแน่นพอสมควร

“วันนี้วันเกิดตรีเขาน่ะ” แม่พูดพลางยิ้มขำ เมื่อเห็นผมมองริบบิ้นที่ข้อมือตัวเองมึนๆ

“ฝากเอาของขวัญไปให้ลูกชายฉันด้วย” คราวนี้เป็นพ่อที่พูดออกมาพร้อมกับยื่นกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งมาให้ ผมรับมาอย่างงงๆ แต่ก็สงสัยได้ไม่นานเมื่อได้อ่านข้อความสั้นๆ ที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือหวัดๆ ของพ่อ

ข้อความที่ทำเอาผมหลุดขำ พร้อมกับเข้าใจแล้วว่าริบบิ้นสีแดงหมายความว่ายังไง

“ครับ” ผมรับปากพลางพยายามกลั้นยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าแดงจัดแต่พยายามเก๊กขรึมของพ่อตรี

ผมบอกลาอีกครั้งและนั่งรถออกมาจากบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัวเมื่อจินตนาการถึงใบหน้าของใครอีกคนตอนที่เห็นว่าผมกลับไปตามสัญญา ผมยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้าไปตลอดทางเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ความอบอุ่นใจที่ผมได้รับจากครอบครัวตรี ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด

ว่าตรีของผมน่ารักและแสนดีขนาดนั้นได้ยังไง
 
-- The end --




ขอบคุณสำหรับการตอบรับที่ดีเสมอมา
นิยายเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนมาก
ดี ไม่ดี ถูกใจหรือไม่ยังไง ก็ติชมได้เสมอเลยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ ^^

-- makok_num --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-07-2016 12:26:01
 :pig4:

ตรีเชนจบลงด้วยดี

ถึงแม้ตอนหลังจะหน่วงปานนั้นก็เถอะ T T

ใจนึงก็อยากคิดนะว่าถ้าตรีทิ้งแหวนแล้วจะเป็นยังไงต่อ ถ้าเชนมาช้ากว่านี้ซัก 2 ชม ตรีจะใจอ่อนคืนดีไหม?

*******

ขอบคุณคุณ makok_num มากๆนะคะ

กอดดดดดดดดดดด  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 07-07-2016 13:01:45


เราไม่รู้ว่าคุณ makok_num จะโกรธเราไหมที่เราเพิ่งเห็นนิยายเรื่องนี้เอาวันนี้เอง
(กดเข้ามาเพราะเห็นล็อกอินคุ้นหน้าบางล็อกอินตามอ่านเรื่องนี้อยู่ เลยอยากรู้ว่านิยายเรื่องนี้เป็นยังไง)
สรุปว่าจากที่ตั้งใจจะทำงาน... กลายเป็นตั้งหน้าตั้งตาอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าจนเพิ่งอ่านจบเมื่อกี๊นีั้

ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าคุ้นเคยกับพล็อตทำนองนี้มาบ้าง แต่กลับวางไม่ลงเสียอย่างนั้น
เรื่องภาษาไม่ต้องชมแล้วค่ะ เพราะภาษาดีมาก ๆ ลื่นไหล อ่านแล้วสบายตาสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องความละมุนนี่ยิ่งต้องปรบมือให้เลย เพราะเวลาพี่เชนยกมือขึ้นปิดหน้าแดง ๆ ทีไร เราเป็นต้องได้อมยิ้มกับความพยายามเก็กของพ่อคุณไปเสียทุกที ส่วนตรีก็น่ารักมาก ๆ เป็นนายเอกที่ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไมพี่เชนถึงอยากจะปกป้อง ประคับประคองความฝันของน้องไปจนถึงที่สุด... เป็นเรา เจอแบบน้องตรีเข้าไป เราก็เทใจให้น้องง่าย ๆ เหมือนกัน (พี่เชนกระโดดขาคู่ใส่)

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารัก ๆ เรื่องนี้นะคะ อ่านแล้วดีกับใจมาก ๆ เลย
ไม่รู้ว่าคุณ makok_num จะเขียนตอนพิเศษออกมาไหม แต่ถ้าไม่ แล้วเปลี่ยนเป็นลงเรื่องถัดไป... เราสัญญาเลยค่ะว่าเราจะมาคอยท่า เป็นอีป้าเฝ้ากระทู้ไม่ห่างสักตอน ^^

เป็นกำลังใจให้นะคะ... อย่าหยุดเขียนน้า!




หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-07-2016 13:26:04
 :3123: :3123: :3123:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 07-07-2016 13:36:03
 :pig4: :L2: :3123: :impress2:มีนิยายเรื่องใหม่เร็วๆๆจะรอติดตาม
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 07-07-2016 13:43:33
 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-07-2016 13:59:41
 :mew1:   :กอด1:     ขอบคุณนะคะคุณลีฟที่จบแฮปปี้ คุณพ่อก็ไว้ใจพี่เชนได้เลยนะคะ
ในที่สุดเชนตรีก็มีความสุข

 :L1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2016 14:03:07
ซึ้งมากๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2016 14:36:38
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
พ่อโอเคแล้วววววว :mc4: :mc4: :mc4:
อยากอ่านตอนตรีแกะของขวัญวันเกิดจากพ่อจัง :mew2: :mew2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-07-2016 14:46:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 07-07-2016 15:05:57
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ลงเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก ซึ่งน้อยนักจะได้เจอ ขอชื่นชมจากใจคนตามอ่านฮะ
ดีใจกับเชน-ตรี ที่เรื่องจบลงอย่างมีความสุข ลุ้นแทบแย่
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคร้าบบบบ  :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 07-07-2016 15:54:08
ฮือออออ น้ำตาร่วงอีกแล้ว ขอบคุณมากค่ะ อยากอ่านตอนพิเศษช่วงที่เขามีความสุขกันจังเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 09-07-2016 22:39:48
ขอบคุณนะคะ สนุกมากจริงๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 10-07-2016 13:40:49
พี่เชนน้องตรีน่ารักมากกกกก :L1: :L1:

ขอบคุณคนแต่งที่แต่งจนจบ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Cupcake ที่ 10-07-2016 22:02:18
 :L2:
จบแล้ว ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อจนจบ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 10-07-2016 23:03:26
คุณพ่อเค้ามองในมุมของตัวเองเกินไปนะ ขอบสำหรับนิยายที่อ่านแล้วอินมากกกก อิอิอิ ยังหงุดหงิดคุณพ่อไม่หายอ่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 11-07-2016 00:21:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ssipra ที่ 11-07-2016 13:13:31
รอรวมเล่มมม
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: sb_ng ที่ 13-07-2016 08:50:03
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ ยาวจุใจมากกกกๆ อ่านรัวๆเลย หลายวันติดๆ
สนุกค่ะ น่ารัก อ่านง่าย แฮปปี้หงุดหงิดดราม่ามาหมด  5555555
ตรีน่ารักมาก แสนดี ใส่ใจ ดูแลเก่ง เชนก็น่ารัก แอบเขิน หลุกเก๊กตลอด
ชอบที่คู่นี้แบบรู้ใจตัวเอง รู้ทันกันไรงี้ 55555555
ครอบครัวพี่เชนน่ารักมาก ส่วนฝั่งตรี แรกๆก็หงุดหงิดคุณพ่อ
แต่พอเจอพาร์ทเชนที่ได้ไปอยู่กับคุณพ่อคือแบบ คุณพ่อมีความน่ารักอยู่นะ
เป็นห่วงแต่ซึนปากแข็ง แต่ในที่สุดเชนก็ชนะใจได้เนอะะ
ส่วนซันโช อยากรู้มากกว่านี้จังเลยค่ะ 555555555
สงสารโช มีปมตั้งแต่สมัยก่อนเลย ซันช่วยทำให้ตี๋แฮปปี้ทีนะ 5555555
และที่สำคัญอีกอย่าง เจ้าเตตตตตต เรื่องเจ้าเตนี่พี่เชนตอนนั้นคือสงบกว่าที่คิดอ่ะ
ดีนะที่พี่เชนเข้าใจตรี คนอ่านนี่น้ำตาไหลพรากค่ะ สะเทือนใจแรง 5555555

ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะคะ
เป็นกำลังใจในเรื่องต่อๆไปค่าาา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 15-07-2016 08:42:26
เพิ่งอ่านถึงตอนสิบสอง แต่สนุกและมีเสน่ห์ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Egonoki ที่ 15-07-2016 14:26:38
 :really2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 15-07-2016 20:25:47
ดีงาม ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 15-07-2016 22:49:38
สนุกมาก ๆ ค่ะ น่ารักมาก ๆ ด้วย   :3123:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-07-2016 22:51:32
เยี่ยมมากค่ะ !! เป็นนิยายที่เขียนได้ดีจริงๆ อ่านไม่สะดุดเลย ไหลลื่นมาก บรรยายภาวะที่ก่อให้เกิดอาการหน่วงและปวดหนึบในอกได้ดีมากๆ เป็นนิยายไม่กี่เรื่องที่อ่านไปน้ำตาไหลไป หลายๆตอนอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ช่วงที่ตรียังต้องนั่งปลอบใจซัน // เจ้าเตไปสวรรค์ (ตอนนี้เราพีคมาก บอกตรง) ตอนท้ายที่ตรีมีปัญหากับพ่อ นี่ก็อ่าต่อแทบไม่ไหว สงสารตรีจริง ฯลฯ ช่วงสวีทหวานก็ละมุนมาก ทำเราอมยิ้มเขินตามทุกครั้งเวลาเชนหงายมือปิดปากหลบตา .. (ดีงามสุดๆเลย โมเม้นท์นั้น)

+1 ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ เห็นช่วงแรกๆบ่นนอยด์ คอมเม้นท์น้อย อย่าเสียใจ อย่าถอดใจนะคะ ฝีมือการเขียนคุณดีมากๆ เม้นท์น้อย มันมีปัจจัยหลายๆอย่าง คนเขียนยังใหม่คนอ่านก็กลัวโดนทิ้งกลางทางมั่ง หรือเวลาลงติดๆถี่เกินไป คนอ่านก็ไม่รุ้จะเม้นจุดไหนก่อน แต่สุดท้ายผลงานดี ถึงจะโพสจบไปแล้ว คนก็กลับมาอ่าน กลับมาชื่นชมต่อได้ค่ะ แถมยังมีนักอ่านใจดีไปแนะนำในกระทู้ยอดฮิตอย่าง แนะนำนิยายน่าอ่านด้วย ไม่ปลื้มตอนนี้ก็ไม่รุ้จะปลื้มตอนไหนแล้ว .. ไม่นอยด์นะคะ สู้ๆค่ะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปแน่นอน เป็นกำลังใจให้ค่ะ   o13 :กอด1:

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: sm37an2j2 ที่ 17-07-2016 02:34:08
เป็นอีกเรื่องที่รู้สึกประทับใจ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 17-07-2016 03:29:23
บทที่ทองกวาวทำให้น้องแมวตาย บีบหัวใจมาก jealousy is ugly จริงๆ  :m15:

เรื่องวงดนตรีสนุกดีค่ะ เสียดายที่มันผลุ่บๆโผล่ๆ เดี๋ยวซ้อมเดี๋ยวไม่ซ้อม

จะมีตอนพิเศษของคู่โชกุน-ซันมั้ยคะ?  :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-07-2016 17:51:20
 :pig4 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 17-07-2016 18:29:36
 o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 17-07-2016 18:54:00
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
พึ่งได้เข้ามาอ่าน >< ตามมาจากห้องแนะนำนิยาย ดีงามสมคำแนะนำค่ะ
ไม่น่าพลาดเลย ดีมาก น้ำตาไหลแลงมากกก ตอนหวานก็เขินตาม
อยสกได้แบบพี่เชนต้องทำยังงายยยยยยย

ขอรบกวนถามหน่อยค่ะ มีตอนพิเศษมั้ยคะ ยังอยากอ่านต่ออยู่เลย
ปล. แอบอยากนู้ว่าพี่เชนจัดการกวาวยังไง ยังแค้นเรื่องเจ้าเตไม่หาย ฮึ่ม
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-07-2016 19:49:47
ชอบมากค่ะ
เชนกะตรีน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 17-07-2016 20:49:15
สนุกจังชอบมากๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ

ครบทุกรสเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 18-07-2016 04:06:27
ทำไหมถึงได้เป็นเรื่องราวที่ดรขนาดนีิพี่เชนโคตรจะเท่เลยอะ มีครบทุกรสเลย อ่านไปอยู่มีน้ำไหลเอง
เป็นเรื่องราวที่ดีมาก เต็มทุกเม็ดไม่มีกักเลยขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 18-07-2016 08:54:45
 :L1:  สนุกมากเลยชอบๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 19-07-2016 07:14:32
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ชอบมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณลีฟนะค่ะที่เขียนเรื่องสนุกให้อ่าน จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 19-07-2016 11:47:18
อ่านยาวต่อเนื่องจนมาจบเกือบตีสาม น้ำตาท่วมจอก็หลายตอนค่ะ
ที่ร้องเยอะสุดคือตอนเจ้าเตตาย ฮือออ บีบหัวใจมาก เตน่ารัก ลูกของพ่อกับแม่
ทองกวาวใจร้ายมาก เราโกรธเธอมาก นอกนั้นตัวละครอื่นในเรื่องค่อนข้างดีหมด
ฟ้าแฟนเก่าพี่เชนนางก็โอเคนะ กว่าจะรักกันไม่ง่าย ขอบความค่อยๆ รักกัน
ไม่ใช่มาถึงก็รักกันเลย แต่พี่เชนแกก็แมนนะ ยอมรับว่าชอบตรีตอนยังคบกับฟ้า
เพราะแกเองก็ดูออกว่าเหมือนชอบ มีอ่อยเป็นระยะๆ เช่น ตอนที่เลิกบุหรี่
ตรีเป็นคนดีมาก ดีเกิ้น ซึนมากด้วย พี่เขาชอบจะแย่แล้วก็ยังนะ คิดมากและสับสน
แต่ความดีขอบตรีนี่นำพาความวุ่นมาหลายครั้ง อย่างตอนคบทองกวาว
แต่เขาก็มีเหตุผลของเขาตามประสาหัวอกคนเคยแอบรัก เข้าใจได้อยู่
ตอนรักกันแล้วหวานมากกกก น่ารักมากกกก พี่เชนความหลงแฟนสูงมาก
อันที่จริงก็หลงกันและกัน ห่างกันนี่ใจจะขาด ชอบตอนน้องเรียกว่าพี่เชน~~
คนพี่นี่ได้ยินทีอ่อนระทวย เรียกว่าไม้ตายเลยล่ะค่ะ
เรื่องพ่อตนีก็ลุ้นกับหอบแดรก น้ำตาไหลริน โดยเฉพาะตอนตรีไม่ดูแลตัวเอง สงสาร
แต่ในที่สุดพ่อแม่ก็เข้าใจ เย่ๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สนุกสนานๆ นะคะ ซึ้งด้วย พระเอกดีงามด้วย ปลื้มค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 19-07-2016 21:42:55
ค้างเม้นเรื่องนี้ไว้สักพัก. เพราะไปวอแวเรื่องอื่นมา5555
ก่อนอื่นเลยก็ตามมาจากห้องแนะนำอ่ะเนาะ. เขาว่ากันว่าหน่วง
ไอ้เราคิดนะหน่วงแบบไหนหว่าาา. (นี่สายดราม่า)
ถ้าหน่วงๆแบบนายเอกมีอะไรกับใคร. หรือมีเสียจูบ. เสียตัวให้ใครเราคง :mew2:
เลยอ่านแบบระวังมาเกือบทั้งเรื่อง5555. สุดท้ายดราม่าพ่อนี่เอง
โธ่ววว ไอ้เราก็นึกกลัว

เราชอบพี่เชน. เราชอบผู้ชายลุคแบบนี้.
ชอบคนเท่ๆ แบบนี้เลยยย. คนร้ายๆแบบนี้
แต่คือคนที่ใจดีมากก. แม้จะอยู่ลึกมากก็ตาม5555
ชอบตอนที่เลิกบุหรี่นะ. คือนางสูบจัดมากกกกกก
แล้วยอมทำเพื่อน้อง มันคือดี
กับตอนที่ตั้งชื่อเจ้าเต. และเลี้ยงดูเจ้าเต. มันมีความตะมุงตะมิ้ง5555
เวลาที่ทั้งคู่รักกันมันหวานนน.  หวานนนน หวานนน
เรื่องนี้แอบโกรธน้องซันน้อยๆ ที่มาจูบน้องตรี. แต่แอบหมันไส้มากกว่า
แต่น้องซันตอนที่มาเฝ้าน้องตรีคือตลกอ่ะ. น่ารักดี

ตอนที่ชอบมากๆอีกตอนคือตอนที่พี่เชนมาสัญญากับพ่อว่าจะเลิกกับตรี
ตอนนั้นนึกภาพตรีน้ำตาอาบแก้ม ยืนมองคนรักทำแบบนั้น.
หัวใจคงสลายน่าดู

สุดท้ายยยยย อย่าลืมตอนพิเศษหวานๆน้าา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 20-07-2016 00:37:07
 :mew1: :กอด1: :L2:  จบเเล้วอย่างหวาน :heaven
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 20-07-2016 08:38:43
 :sad4:  :o12:  :o8:  :-[  :impress2:  :hao5:

ทั้งซึ้ง ทั้งฟิน ยิ้มทั้งน้ำตาคลอเบ้า ฮือออ

ความรักของตรีกับเชน ......

ชอบเรื่องนี้นะ มีครบทุกรส....ยิ่งช่วงท้ายupรัวๆหน่วงรัวๆเสียน้ำตาไปหลายแมะ

จะติดตามผลงานตอนต่อไปน้าาาาา

.....

 :กอด1:  :L2:  :3123:  :L1:  :n1:

 :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:

.....







หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 20-07-2016 17:00:14
ชอบเรื่องนี้มากกก อ่านแล้วมีทุกอารมณ์จริงๆ  o13
นับถึอใจพี่เชนกับตรีมากอ่ะ  :hao5:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 20-07-2016 17:29:08
สนุกมากค่ะ ขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 20-07-2016 17:51:08
สนุกมากเลย ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 21-07-2016 09:40:31
สนุกมาก เขียนดี


หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 21-07-2016 21:11:35
มาจากห้องแนะนำนิยาย อ่านตอนแรกหน่วงแทนตรี แต่เขาบอกกันว่าแฮปปี้เอนดิ้ง ฮึ่บๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mOtAnA ที่ 21-07-2016 22:40:57
ร้องไห้จนตาบวมเลย แง๊
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-07-2016 14:48:22
ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ

ชอบตอนคนขี้เก๊กสองคนคุยกัน บางคนก็แสดงออกไม่เก่ง สื่อสารผิดพลาดกันบ้างอะเนอะ
ชอบความมั่นคง ความจริงใจ ชอบเหมียวมึน ชอบหมดอะ ฮาาาา

ปล. นี่อ่านแบบรวดเดียวยันเช้ากันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 22-07-2016 15:18:30
จากตอนแรกที่อ่าน มาอีกละ นิยายทำนองแอบรักเพื่อนตัวเอง เด๋วสุดท้ายก็หันมารักกันเองแน่ๆๆ แต่อ่านไปๆๆ มันไม่ใช่แฮะ ฮ่าาาา

สนุกมากเลยค่ะ สนุกจริง

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 22-07-2016 17:00:18
ชอบนะ โดยเฉพาะกลางๆเรื่องอ่ะ หวานๆเขินๆ อ่านแล้วต้องอมยิ้มจนปวดแก้ม
ช่วงท้ายนี่ซึ้งน้ำตาซึมไปเหมือนกัน ชอบทั้งเชนทั้งตรีเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า :pig4:
บวกๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-07-2016 20:23:13
มาอัพรัวๆ ทิ้งไว้แล้วหายหน้าไปนาน ไม่ได้กลับมาเม้าท์มอยเลย 

ดีใจที่ยังมีคนมาตามอ่านเรื่อยๆ (ตอนแรกไม่รู้ว่าเค้าย้ายห้องให้ ทำใจคิดว่าถูกถีบหายเข้ากลีบเมฆไปแล้วค่ะ แงงง) ผลตอบรับดีกว่าที่คาดจนแอบกรี๊ดกับตัวเองไปหลายรอบ ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลย เป็นยาชูกำลังที่ดีต่อใจมากๆ

เห็นมีคนถามว่าจะมีตอนพิเศษอีกมั้ย เลยมาแจ้งว่า ไม่มีแล้วนะคะ เรื่องจบแค่นี้แล้ว เราชอบตอนจบแบบบทส่งท้ายที่พี่เชนกับตรีกลับมาเจอกันมาก จนอยากปล่อยให้เหตุการณ์นั้นมันฟุ้งอยู่แบบนั้นน่ะค่ะ เรื่องราวหลังจากนั้นต้องไปจินตนาการกันเองเนอะ 555 
 
แอบเห็นว่านิยายถูกเอาไปแปะในกระทู้แนะนำ ดีใจมาก ขอบคุณจริงๆ ที่ช่วยโปรโมทนิยายแทนเราที่ไม่ประสีประสากับเล้าเท่าไหร่ ฮืออ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ จากตอนแรกที่บ่นๆ ว่าคอมเมนต์น้อย ก็มีคนตามมาอ่านตามมาเมนต์ให้เรื่อยๆ จนตอนนี้มันเยอะเกินความคาดหมาย ปลื้มมากจริงๆ หวังว่าจะติดตามกันต่อๆ ไปนะคะ

เรื่องนี้เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่เราลองแต่ง ผลตอบรับขนาดนี้ก็ปลื้มจนยิ้มไม่หุบเลยค่ะ 555 เราจะพยายามศึกษาแนวทางแล้วเขียนเรื่องใหม่มาอีกนะ ยังไงก็ฝากแนะนำติชมไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ รับรองว่าจะมาอัพให้อ่านแบบไม่มีกั๊กแน่ค่ะ ^^

makok_num
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 22-07-2016 22:09:04
อ่านถึงตอน11แล้วสนุกดีคะ ภาษาใช้ได้เลย  พระเอกนายเอกดูมีเสน่ห์ และอ่านแล้วปวดใจในความอึดอัดที่แอบรักเพื่อนของตรี ไปอ่านต่อก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 22-07-2016 23:14:25
ร้องไห้เลยตอนพี่เชนขนของออก และเจ้าเตะตายทองกวาว ต้องได้รับการเอาคืนอย่าสาสม  ชอบอะไรอินๆ จะมีโอกาสได้รวมเล่มไหมคะ ไปอ่านต่อก่อนนะคะ หยุดอ่านไม่ได้
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 23-07-2016 02:45:24
สุดท้ายก็มีความสุข จะโกรธมากถ้าเชนรักษาสัญญากับพ่อตรี เราไม่อยากอ่านดราม่าขนาดนั้น แค่นี้ก็ร้องไห้ไปเยอะแล้ว

ขอบคุณคนเขียนด้วยค่ะ เขียนได้ดีมาก แต่ยังมีคำผิดอยู่หลายจุดเลย มีโอกาสลองกลับมาแก้ดูนะคะ รอตอนพิเศษด้วย อยากอ่านต่ออีกนะคะ ถึงคนเขียนจะบอกว่าไม่มีแล้วก็เถอะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 23-07-2016 11:18:41
อ่านถึงตอนพี่เชนกะตรีหวาน เรื้องนี้สนุกจริงๆนะฮะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 23-07-2016 22:54:07
ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว  เสียน้ำตาในช่วงดราม่าไปมากนัก ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ นิยายคุณมีเสน่ห์มากภาษาดี เก็บรายละเอียดตลอด. เป็นกำลังใจให้นะคะ รวมเล่มๆ เลยคะ. อยากอ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mascot ที่ 24-07-2016 10:00:49
เข้ามาอ่านตอนจบแล้ว ดีมากเลย บีบหัวใจจริงๆ ยิ่งตอนที่เจ้าเตตายเล่นเอาเสียน้ำตาไปหลายหยอด ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะ ^ ^
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: AdLy ที่ 27-07-2016 13:56:54
ขอตอนพิเศษด้วยนะคะ

พี่เชนนี่น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2016 21:42:18
แอบหวังว่าจะมีตอนพิเศษให้อ่าน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 28-07-2016 08:46:56
สนุกมากกกกกกกกกกกกก จนคิดว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนมา

ทำไมเพิ่งจะมาอ่านเรื่องนี้ ประทับใจทุกคนในเรื่องเลย

มันเป็นความรู้สึกที่เสมือจจริง อ่านไปในหัวนี่ผุดขึ้นมาทุกฉาก

ชอบในความมั่นคงของตรีและเชน จนคิดว่า ในชีวิตจริง เราจะเจอ

คนแบบพวกเขามั้ยนะ ที่ไมว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มั่นคงกับคนๆเดียว

ขอบคุณมากๆที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่าน ประทับใจมากจากใจจริงเลยค่ะ

อาจจะวนลูปอ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ มันมีกลิ้นอายของความอบอุ่น

ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: TAM ที่ 29-07-2016 16:35:49
ตอนหลังๆเอาซะตาแดงเลย :sad4: แต่สนุกมากค่ะขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 30-07-2016 00:02:03
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Lunar_lustre ที่ 30-07-2016 03:34:25
เราอ่านช่วงแรกๆไปด้วยอารมณ์ Feel good แต่ไรท์เขียนดราม่าช่วงหลังจนทำเอาเราต้องกอดทิชชู่ร้องโฮตามเลย :o12:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Dumzila047 ที่ 30-07-2016 17:38:26
แอบน้ำตาซึมไปหลายตอน ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 31-07-2016 14:04:23
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
มีน้ำตาซึม ให้กับความรู้สึกของคุณพ่อ ความจริงใจของเช่น
ของขวัญวันเกิดคุณลูกชาย มันเยี่ยมมากเลยค่ะ  o13
คุณพ่อคิดได้ไง  :hao3:

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: risanana ที่ 04-08-2016 19:41:29
เชนน่ารักอ่าาา ชัดเจนมากก :-[
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 13-08-2016 14:05:59
สุดยอดดดดด  งือออ  น้ำตาปริ่มมมม ตรีเชน ในที่สุดดด อ้าาา อยากรุ้ซันโช โชซันด้วยยยยค่าาา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 14-08-2016 00:12:54
นิยายเรื่องนี้ยอมรับว่าทนอ่านรอบแรกที่เด็กดีไม่จบ มาอ่านจบได้ที่นี่เมื่อกี้นี้เองค่ะ
รอบแรกยอมแพ้เพราะไม่ชอบการถูกปั่นหัวจากวิธีการวางคาแร็กเตอร์ของเชน
เริ่มอ่านด้วยความหลงใหลในการใช้ภาษาที่เปี่ยมสเน่ห์ แนวเรื่องที่แปลกใหม่น่าสนใจ
ช่วงก่อนคบกันก็เริ่มหงุดหงิดเชนเพราะความไม่ชัดเจน
อะไรคือมาชวนคบไปงั้นๆ แต่ไม่พูดอะไรเลยนอกจาก"ถ้าไม่อยากเสียใจให้รีบรั้งไว้"
ป้านี่งงแทนเจ้าตรีเลยค่ะ ทั้งเย็นชาทั้งกวนฝ่าเท้าขนาดนั้นใครมันจะกล้าคิดว่ารักจริงๆ
ทนหงุดหงิดไม่ไหวรอบแรกจึงเลิกอ่านไปค่ะ
วันนี้อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะถึงแม้ความหงุดหงิดยังมีอยู่
แต่เพราะเหมือนได้รับรางวัลเพราะโมเม้นท์คลายปมชวนฟินจนเพลินอ่านต่อเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าปมจะไม่เกิดถ้าให้เชนพูดเพิ่มอีกนิดและให้ตรีรักและเห็นคุณค่าในตัวเองอีกหน่อย
(จุดที่ทำให้เลิกอ่านรอบแรก)แต่ด้วยสเน่ห์ในการให้รางวัลหลังคลายปมนี่แหละค่ะที่ผูกร้อยใจป้าไว้ไม่ให้เลิกอ่านรอบนี้
จนเหมือนกับว่าพอฟินได้ซักพัก ป้าจะเริ่มเกร็งรอว่าปมต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร
เพราะใจมันข้ามไปรออ่านโมเม้นท์หวานๆหลังคลายปมซะแล้วล่ะค่ะ^^
สรุปสุดท้าย สนุกค่ะ ชอบอยากอ่านอีก จะติดตามผลงานต่อๆไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: torfun607 ที่ 20-08-2016 11:29:11
สำหรับเรานิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่น่าอ่านน่าติดตามอีกเรื่องหนึ่งอ่านในช่วงแรกคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะดราม่าหนักแน่แต่ยังอ่านก็เจอทั้งความน่ารักห่าหยิกของคู่พระนายมากขึ้นแม้จะเจอปัญหามากมายแต่ฝ่าฟันกันมาเรื่อยๆ นข แต่งดีมากเลย
 :mew1: :L1: :pig4: :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: zabzebra ที่ 21-08-2016 18:41:00
เป็นนิยายที่เราชอบมากๆเลยค่ะ
ดีทุกอย่าง ทั้งภาษา ฟีลอารมณ์ของเรื่อง
หรือแม้กระทั่งตัวละคร เราชอบมากเลย
ลุ้นตลอดทั้งเรื่องขออย่าให้มีอะไรทำให้เลิกรักกันเลยค่ะ
สุดท้ายก็สำเร็จ ดีใจมาก ถึงแม้จะแอบเศร้าใจกับเจ้าเตก็ตาม
ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน อยากอ่านต่อไปแล้วค่าา
 :3123: :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 27-08-2016 23:04:27
ตามมาจากห้องแนะนำ สารภาพว่าตอนแรกกดปิดไปเพราะไม่ชอบคำว่านายกับฉัน ไอ้คำว่าหมอนั่นอะไรนั่นอีก แปลกน่าดูเมื่อมันมาอยู่ในนิยายวาย ครั้งนี้ตั้งใจมาอ่านให้จบ จบดีมากน้ำตายังไม่หยุดไหลเลย บ้างครั้งก็สงสัยว่าเขารักกันมากขนาดนั้นได้ยังไง ตัวร้ายก็เยอะเหลือเกิน มีจุดพีคตลอดเหมือนวางพล็อตมาดีมากๆ สนุกดีค่ะ ถ้ามีเรื่องอื่นจะตามอ่านอีก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 28-08-2016 15:45:57
ตามมาจากกระทู้แนะนำนิยายอีกคนค่ะ~  o13
ตอนอ่านเรื่องนี้รู้สึกว่า มันจะหน่วงตอนไหนอีกไหมเนี่ย จะได้ทำใจก่อนอ่าน 555555
คือพอหวานๆกันอยู่ สักพักก็ต้องมีเรื่องให้ดราม่าบีบหัวใจไปอีก ทั้งเรื่องผู้หญิง เรื่องเจ้าเต(อันนี้หนักมากจนต้องพักอ่านไปวันนึงเลย สงสารน้องมันมาก) และอีกหลายๆเรื่องมายำๆกัน
พีคสุดนี่เรื่องครอบครัว ยอมรับเลยว่าตอนแรกกลัวมันจะดราม่าจนรับไม่ไหวเลยขออ่านตอนจบก่อน 5555 พออ่านแล้วก็โล่ง พ่อแม่ทั้งฝ่ายพี่เชนกับฝ่ายตรียอมรับก็ดีใจตายแล้ว
เราเชื่อว่าเจ้าเตมันจะต้องดีใจแน่ๆที่พ่อแม่ของมันรักกันได้มากถึงขนาดนี้ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 08-09-2016 07:47:24
เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านค่ะ
จะบอกว่านิยายสนุกมากกกกกกกกกกก
ครบรสครบเครื่องเลยค่ะ ดีงามมากจริงๆ
เราชอบพี่เชนกับตรีมาก โดยเฉพาะพี่เชน
ทำไมเป็นผู้ชายที่กร๊าวใจได้ขนาดนี้ ฮือออ
มาดเท่ห์ กวนๆแบบชวนตีนกระตุก แต่น่ารัก จริงใจขนาด >///<
ตรีก้น่ารัก ถึงจะขี้ใจอ่อนไปนิด แต่พอรู้ตัวว่ารัก ก้รักแบบเต็มที่เลย
ยังไงขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆนะคะ
จะรอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ เราชอบสไตล์การเขียนคนแต่งมากเลย :)

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: อวสาน [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 11-09-2016 09:52:42
เพิ่งอ่านจบนะคะ
ตอนหวานกันนี่น่ารักมากกกกค่า
พอตอนพ่อมานี่ปวดตับสุดๆ แทบร้องไห้ตามตรีเลยค่ะ TT
อยากให้มีตอนพิเศษอีกจัง อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นของทั้งสองคนค่า
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าว [ 11/9/2559 ] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-09-2016 18:13:02
-- แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์นิยาย --

สวัสดีค่า
หายจากเล้าไปนานเลยตั้งแต่นิยายจบ (แต่แอบเข้ามาอ่านคอมเมนต์ทุกวันๆ นะ ^^)

วันนี้จะมาแจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์นิยายเรื่อง Just Another Guy ค่ะ
เพิ่งได้ผลการพิจารณาจากสนพ. ในเครือที่เขียนอยู่มาว่าต้นฉบับไม่ผ่านการพิจารณา
และต้องแก้เยอะพอสมควร แต่เราไม่อยากแก้ขนาดนั้น (เหมือนรื้อพล็อตเลย 5555) ก็เลยตัดใจว่าจะไม่รีไรต์แล้วค่ะ

แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้ สำนักพิมพ์ Hermit ได้ติดต่อมาขอต้นฉบับไปตีพิมพ์
เลยตัดสินใจว่าจะตีพิมพ์ #เชนตรี กับสำนักพิมพ์ Hermit ค่ะ
ตอนนี้ยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดก็เลยบอกอะไรได้ไม่มาก ถ้ามีอะไรอัพเดตเมื่อไหร่ จะมาเล่าให้ฟังนะคะ
หลังจากนี้จะมาทยอยอัพนิยายฉบับรีไรต์ให้อ่านกันค่ะ (แก้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม)

ใครที่อยากให้พี่เชนกับตรีออกมาเป็นรูปเล่ม (รวมถึงเรา) ก็ถือว่าใกล้ความจริงแล้วเนอะ
มาลุ้นกันค่ะว่ารูปเล่มจะเป็นยังไง ^^


ปล. ต่อไปนี้เรื่องไหนที่เป็นแนว Y เราจะใช้นามปากกา Martian นะคะ เพื่อแยกจากแนว JLS ที่เขียนอยู่ จะได้ไม่สับสนเนอะ ^^


รัก
Martian
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 12-09-2016 15:53:23
หยอดหมู่รอค่ะ o18
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ssipra ที่ 13-09-2016 15:12:46
รอจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 14-09-2016 00:03:53
พี่เชนดีมากอ่ะ
อ่านเจอบางที่ก็หงุดหงิดในความไม่รู้อะไรเลยของตรี
คือบางเรื่องรู้ระแคะระคายนิดนึงเถอะ ฮืออ
เรื่องที่ยากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของที่บ้าน
พ่อแม่ก็ทำเพราะรัก แต่ทางนี้ก็รัก
แอบโหรธพี่เชนที่ตัดใจง่าย แต่ก็ดีที่ไหวตัวทัน
ฮอลลลลลล รักกันนานๆนะะะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 16-09-2016 06:00:04
ครบรสจริง ๆ เรื่องนี้ สนุกมาก ๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-09-2016 11:37:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 18-09-2016 23:35:58
รอๆจับจองรูปเล่มอยากได้อยากได้ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 19-09-2016 19:14:49
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกหนึ่งเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 19-09-2016 22:17:15
สนุกมากๆ ค่า


ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆ แบบนี้ให้อ่าน :)
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 20-09-2016 17:40:39
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ ที่แต่งให้อ่าน
มีครบทุกอารมณ์เลย โดยเฉพาะน้ำตา&ความมุ้งมิ้ง
เชนน่ารัก ตรียิ่งน่ารักไปอีกกก~
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ปุยหมาม่วง ที่ 27-09-2016 12:20:11
อ่านจบแล้วววว
ขอคอมเมนต์เลยละกัน

ก่อนอื่นขอเริ่มจะติก่อนนะคะ
เราว่านิยายที่ดี คำบรรยายไม่ควรมีวงเล็บอ่ะค่ะ คือตอนแรกเกือบถอดใจวางไปแล้วเพราะมีวงเล็บหลายจุดเลย คือจะบรรยายก็บรรยายไปเลย ให้มันกลืนเนียนเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ไม่ใช่ต้องมีวงเล็บเพื่อขยายความอีกที

อีกข้อคือ การใช้เครื่องหมายแสดงอารมณ์ เช่น _*_
อะไรพวกนี้ เวลาเจอเราจะขัดตามาก 555 คือมันทำให้จินตนาการในหัวเราที่กำลังอินกับคำบรรยาย มันหลุดไปเลย

ปกติเราเจอแบบนี้จะปิดทันทีค่ะ แต่พอดีว่าเรื่องนี้มีไม่เยอะมาก และข้อดีอื่นๆทำให้เราพอมองผ่านตรงนี้ได้ก็เลยอ่านจนจบ

มาอวยกันบ้าง

สิ่งที่เราชอบมากๆในเรื่องนี้ก็คือ การไม่อวดความรวยของตัวละคร คือพระเอกก็รวยนะ แต่ในเรื่องแทบไม่อวดเรื่องความรวยเลย เรื่องอื่นๆบางเรื่องนี่โอ้โห ทั้งฟุ้งเฟ้อ ทั้งโอเวอร์ กลัวคยอ่านไม่เชื่อว่ารวย 5555 แต่เรื่องนี้ดีค่ะ พระเอกรวยแต่ก็ยังดูเป็นนศ.ธรรมดา มีทำงานแก้ว่างแถมได้ตัง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ต้องขับรถหรูแล้วเปลี่ยนคันไปมาอาทิตย์ละคัน 55555 ซื้อตั๋วไปอิตาลี่ก็ใช้เงินเก็บตัวเอง ฟังดูน่าเอ็นดู

เหตุผลที่พ่อตรีขัดขวางก็เข้าใจได้ ไม่เว่อ มีลำดับขั้นตอนในการเอาชนะใจ ไม่ง่าย

ดราม่าพ่อตรีคือเขียนดีมาก เราเป็นคนร้องไห้ง่าย ก็ตามคาดค่ะ ร้องจนหายใจไม่ออก 555555

ชอบเวลาพี่เชนร้องไห้ ดูแบบว่า ไม่ไหวแล้ว เสียใจมาก รักมาก ดีใจมาก ไรงี้ ดูจริงใจดี

มีเขียนผิดบ้างแต่ไม่เยอะ


จริงๆอยากให้พี่เชนได้แก้ตัวในพาทของตัวเองค่ะ ว่าตอนนั้นที่ยอมปล่อยมือนั่นไม่ใช่เพราะเหนื่อยตัวเอง แต่เป็นเพราะสงสารตรี และไม่ต้องการทำลายความฝันที่ตรีอยากเรียนและทำงานสถาปัตถ์ที่ไทย จึงยอมเลิกเพื่อให้ตรีได้อยู่ไทย และตัยเองก็ได้แอบมองอยู่ห่างๆได้
จริงอยุ่ว่าในเรื่องมีพูดไปบ้างแล้ว แต่มันน้อยเกินไปค่ะ กลัวคนเข้าใจผิด เพราะเราเองก็ยังแอบคิดนิดๆ อยากให้พาทพี่เชนยืนยันตรงนี้อีกนิดนึง 



รวมๆคือชอบค่ะ อยากให้ทบทวนนิดเดียวคือ 2ข้อแรกที่เราบอกไป คือเครื่องหมาย() กับพวก _*_ 

ไม่รุ้คนอื่นจะคิดเหมือนเรามั้ย แต่เราแค่เสนอในความเห็นของเราเนอะ

เราเชื่อว่านิยายทุกเรื่อง พระเอกนายเอกรักกันมากๆหมดทุกคู่แล่ะ
แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ มันอยู่ที่ว่าเรื่องไหนจะเขียนให้ตัวเอกได้มีโอกาสแสดงออกได้มากน้อยกว่ากัน
ซึ่งเรืองนี้ทำได้ดีมาก เราเห็นความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันได้ชัดเจนมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 11-10-2016 00:45:33
เพิ่งอ่านจบค่ะ
สนุกจังเลย ทำยังไงดี555
เวลายิ้มก็ยิ้มแก้มแตก น่ารักอะไรปานนั้น
เวลาหน่วงนี่เสียน้ำตาไปเยอะมากนะ โถ อินจัด555
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ
+1 แทนคำขอบคุณค่ะ จะตามอ่านเรื่องอื่นๆ ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 12-10-2016 21:21:11
สนุกและมีแอบซึ้ง แต่น่าตีตรีจัง ที่มึนอึนอยู่ตั้งนาน
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 11-11-2016 07:55:22
อย่างแรกขอบคุณมากนะค่ะที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่าน
เป็นนิยายที่อ่านได้อย่างลื่นไหลไม่มีเบือ
มีอ่านไปยิ้มไปเคร้ามีบทรวมกับตัวนิยายตรอด
แต่ดีใจที่จบแบบ happy end
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 13-03-2017 19:52:16
เขียนได้ดีจริงๆ ค่ะ ประทับใจมากๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-03-2017 20:33:02
อ่านจบแล้ว ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ชอบมากกกก
เชนตรีเป็นอะไรที่น่ารักที่สุด
ตอนหวานนี่ก็แทบจะจิกหมอนขาด
ตอนหน่วงนี้ก็ต้องเอาหมอนนี่แหล่ะซับน้ำตา

อ่านแล้วอินมากๆ มันไม่ใช่แบบรักแรกพบ แต่ความสัมพันธ์ความผูกพันค่อยๆก่อตัวขึ้นช้าๆ จนสุดท้ายก็รุ้ว่าขาดกันและกันไม่ได้
ชอบนะมันไม่หวือหวา ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

อยากให้มีตินพิเศษอีกเยอะๆเลย
เสียใจแย่ถ้าไม่ได้อ่าน
 :pig4: :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-03-2017 15:15:11
อ่านจบแล้ว
สนุกมาก คนแต่งเขียนได้ดีอ่ะ
ผมชอบตัวละครเรื่องนี้มากทั้งตรีและพี่เชน
ช่วงต้นพี่เชนดูน่าค้นหา ทำให้อยากรู้ว่าตัวละครตัวนี้นิสัยยังไงกันแน่

แล้วเป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วเสียน้ำตา
ตอนที่เจ้าเตตาย สงสารตรีมาก เข้าใจความรู้สีกเลย
ยิ่งมาช่วงดราม่าเรื่องพ่อของตรีนี่ทำเอาร้องไห้เลย มันสะเทือนใจอ่ะ สุดๆจริง

ขอบคุณคนแต่งมากนะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 26-03-2017 23:34:16
อยากบอกว่าชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกก
ทำไมเพิ่งมาเจอเนี่ยยยย
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
คนเขียนเก่งมากๆ ภาษาลื่นไหลอ่านสบายมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ขอติดตามเป็นแฟนคลับคุณคนเขียนนะคะ จะรออ่านเรื่องต่อไปแน่นอนค่ะ  :mew1: o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: chanabang ที่ 28-03-2017 15:28:26
 :katai2-1: เข้ามาอ่านเป็นรอบทีี่ 3 แล้วค่ะ ชอบมากๆ เลย แล้วก็อ่านทุกครั้งมีความสุขทุกครั้ง อบอุ่นใจอะ ชอบมั่ก มาก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 05-04-2017 19:37:00
คือแบบ ดีอ่ะ อ่านไปยิ้มไป  น้ำตานี้ไหลหลาก~~~   o13 o13
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 12-04-2017 16:03:51
เป็นเรื่องที่ครบรสอีกเรื่องหนึ่งเลย
ชอบทั้งพี่เชน ทั้งตรี เข้มข้น
บรรยายเข้าถึงความรุ้สึกค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 14-04-2017 03:26:40
ตอนพิเศษวันสงกรานต์

               
ร้อน...
               
มันจำเป็นต้องร้อนขนาดนี้เลยเหรอครับประเทศไทย
               
“ไอ้เชี่ยยย!” แต่แดดประเทศไทยก็ต้องชิดซ้ายให้กับงานที่กำลังลุกไหม้ไม่แพ้กัน
               
“อะไรวะ” ผมหันไปมองไอ้เวสป้าอย่างตกใจ พอกับที่คนอื่นๆ ก็แตกตื่นกับเสียงร้องของมัน
               
“ไอ้ชิบหาย! Not responding อีกแล้วไอ้สัสส!” พอได้ยินเสียงโหยหวนของเพื่อนรักสิ่งที่ทุกคนทำพร้อมกันคือหันหน้าเข้าคอมและกดเซฟงานที่ทำอยู่
               
“มึงเซฟยัง” พอเซฟของตัวเองเสร็จก็เดินไปดูใจไอ้คนที่ยกมือทึ้งหัวตัวเองจนผมแทบจะหลุดติดมือ
               
“ไอ้ตรี~” แต่พอเห็นสีหน้ากับน้ำเสียงที่เรียกชื่อผมก็พอจะเดาคำตอบได้ ยกมือตบบ่ามันสองทีอย่างให้กำลังใจ
               
“มึงลองดูออโต้เซฟ” พอได้ยินแบบนั้นไอ้เพื่อนตัวดีก็เหมือนตาสว่าง เริ่มเปิดไฟล์ขึ้นมาเช็คทันที
               
“เป็นไง” อยากจะลุ้นกับมันเหมือนกัน แต่สังขารที่ไม่ได้นอนมาวันนึงก็เล่นเอาลุ้นไม่ไหว
               
“มันเซฟไม่ถึงที่ทำล่าสุดว่ะ”

“เยอะมั้ย”

“ก็ไม่เยอะ แต่กูขี้เกียจทำใหม่แล้วไง เชี่ยเอ๊ยยย”

เออเชี่ยของจริง ผมเข้าใจเลย ถึงมันจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ยังไงให้งานมีความคืบหน้าก็ยังดีกว่าถอยหลังลงคลอง

ผมตบบ่าไอ้เวสอีกรอบ บอกให้มันทำใจ หาอย่างอื่นทำไปก่อนก็ได้แล้วค่อยกลับมาทำใหม่

“รู้งี้กูออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ดีกว่าไอ้สัส” มันโวยวาย พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง

จะว่าไป นี่ก็เข้าสงกรานต์วันสุดท้ายแล้ว แต่ดูเหมือนคนในสตูจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ คำว่าเทศกาลแทบไม่มีอยู่ในหัวเลยตราบใดที่เดดไลน์ส่งฟนอลมันใกล้เข้ามาทุกที แค่ก่อนสงกรานต์เราต้องเจียดเวลาไปทำขบวนสงกรานต์ของคณะซึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กปีสามก็แทบอยากจะร้องไห้เพราะมันกินเวลาทำงานของพวกผมไปมากพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการได้ออกไปพักเปิดหูเปิดตาบ้างถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ตาม 

“เออ ไปมะ” ใครบางคนเห็นดีเห็นงาม

“ไปเชี่ยอะไรล่ะ!” ไอ้เวสป้าหันไปโวยวายทั้งที่ตัวเองเป็นคนต้นคิด

“กูเห็นพี่ปีห้าแม่งตั้งวงเล่นสาดน้ำอยู่ลานกลางคณะเนี่ย ว่าจะไปแจม”
               
“จริงป่ะ” แต่ไม่ทันไรก็ตาลุกวาวขึ้นมาทำท่าจเปลี่ยนใจอีก
               
ผมหัวเราะเบาๆ “เออ ก็ดีนะมึง ไปเอาน้ำราดหัวให้หายร้อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน” พอเห็นว่ามีแรงสนับสนุนมันก็ยิ่งได้ใจ ทำท่าระริกระรี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นคนแรก
               
“งั้นกูไปละ ช่างหัวงาน!” ว่าพลางกดปิดโปรแกรมพร้อมชัตดาวน์คอมตัวเองทันที
               
“กูไปด้วย”
               
“เฮ้ยๆ ไปด้วย” พอมีคนนำ คนอื่นๆ ก็เริ่มลุกตาม คงเพราะอยู่แต่หน้าคอมมานานจนอยากหาที่ระบายเต็มทน
               
“มึงไปป่ะไอ้ตรี” ไอ้เวสหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้ากลับไป
               
“ไม่เอาว่ะ กูทำตรงนี้ให้เสร็จก่อนคืนนี้จะกลับไปนอนหอ”
               
“อ่าๆ ตามใจ” ว่าจบมันก็วิ่งนำคนอื่นๆ ออกไปจนหมดสตู ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเรื่องหาอุปกรณ์สาดน้ำกันวุ่นวายไปหมด
               
ปกติผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเทศกาลอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่คณะนี้ สงกรานต์ไม่ต่างอะไรเลยกับวันธรรมดาที่ยังต้องก้มหน้าก้มตาปั่นงานหลังขดหลังแข็งเพราะหลังเทศกาลคือช่วงเวลาแห่งหายนะขนานแท้ ถึงจะยังมีเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์สำหรับส่งไฟนอล แต่ปริมาณงานที่เหลือก็ทำให้ไม่สามารถใจเย็นได้เลย ยังดีที่อาจารย์เผื่อเวลาโปรดักชั่นให้สองอาทิตย์ ต่างจากเทอมก่อนๆ ที่มีเวลาแค่อาทิตย์เดียว เลยไม่ต้องเร่งเท่าไหร่นัก ยังทำงานตามตารางได้ไม่ถึงกับพีคอะไร
               
แต่ที่ไม่ออกไปผ่อนคลายกับคนอื่นเป็นเพราะตั้งใจว่าวันนี้จะทำงานให้ได้ตามเป้าแล้วกลับไปนอนที่หอจริงๆ ด้วยเหตุผลเรื่องความสบายกายที่ไม่ต้องนอนหลังขดหลังแข็งอยู่บนฟูกเตี้ยๆ ที่เตรียมมา

แล้วก็อีกเรื่อง... ที่น่าจะเดาได้ว่าคืออะไร

ไม่ได้กลับไปนอนด้วยตั้งสองวัน ป่านนี้คงเหงาแย่

ว่าไปนั่น... ใครเหงากัน ตอนที่โทรคุยกันไม่เห็นจะมีตรงไหนบ่งบอกถึงความเหงาเลยสักนิด เป็นผมซะอีกที่คิดถึงจนอยากจะรีบทำงานให้เสร็จๆ แล้วรีบกลับไวๆ

จะว่าไป โทรไปบอกก่อนดีมั้ยนะ ยังไงซะผมก็ต้องให้เขามารับอยู่แล้ว

“ไอ้ตรี” ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะกดโทรออก เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ แล้วหันไปมอง

“อะไร... อ้าว” ผมชะงักคำถามตัวเองทันที เมื่อเห็นว่าด้านหลังของไอ้เวสป้ามีใครอีกคนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในสภาพเปียกปอน แถมหน้ายังถูกดินสอพองพอกไว้จนแทบจะเห็นแต่ตา

“กูไม่ได้ทำนะ” ไอ้เวสป้ารีบยกมือสารภาพทันใด “ลงไปก็เจอพวกพี่ผู้หญิงปีห้ากำลังรุมทึ้งอยู่ กูเลยรีบพามาหามึงเนี่ย”
ยังไม่ทันว่าอะไรสักคำไอ้เพื่อนตัวดีก็สารภาพเป็นฉากๆ ก่อนจะเดินเข้ามากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“มึงช่วยบอกให้พี่เขาอย่าเอาไฟมาเผาคณะเรานะไอ้สัส หน้าเหมือนพร้อมจะวางเพลิงมาก กูกลัว”
ผมหลุดหัวเราะเบาๆ หันไปมองหน้าคนที่เดินเข้ามาวางข้าวของที่โต๊ะผมแล้วก็เห็นด้วยกับมัน ทำหน้าถมึงทึงขนาดนั้นใครก็กลัว

“เออๆ ขอบใจมาก” ผมบอกไอ้เวสป้า ก่อนที่มันจะหันไปยิ้มแห้งๆ ใส่อีกคนแล้วรีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไป
ทำให้ตอนนี้ทั้งสตูเหลือผมกับเชนแค่สองคน

“...”

“...” เรายืนมองกันนิ่งๆ พักใหญ่

ผมพยายามกลั้นขำกับหน้าที่เต็มไปด้วยดินสอพองของเขา ในขณะที่อีกคนเสยผมเปียกๆ ของตัวเองไปด้านหลังอย่างปัดรำคาญพลางขมวดคิ้วแน่น

"หน้าขาวเชียว" แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอ่ยแซวออกไปแล้วหลุดยิ้มออกมาจนได้

“หึ...” และพอเห็นผมยิ้มกว้างออกมา คนตรงหน้าก็ทำหน้ายุ่งได้ไม่นาน หลุดยิ้มตามกันก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาปิดปากแล้วเบือนหน้าหนีพยายามรักษาฟอร์ม

แต่หน้าแดงทะลุแป้งขนาดนั้นฟอร์มอะไรก็รักษาไม่ทันแล้วครับ

เราหัวเราะใส่กันเบาๆ ก่อนที่ผมจะหยิบผ้าขนหนูที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้าขึ้นมาคลุมผมเปียกๆ ของเขา พาร่างสูงมานั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองแล้วเช็ดผมให้ “เปียกหมดเลย”

อย่างน้อยก็ไม่ให้มันเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้... ถึงจะดูเซ็กซี่ไม่หยอกก็เถอะ

แถมวันนี้ใส่เสื้อสีขาวมาอีกต่างหาก พอโดนน้ำจนเปียกแบบนี้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนอกจากบนใบหน้าแล้ว ตรงลำตัวของเขาก็มีแป้งดินสอพองฝากไว้เป็นรอยมือมากมาย

อืม... ชักจะหึงขึ้นมานิดๆ แฮะ

ยังดีที่เป็นพี่ในคณะที่ผมคิดว่าพวกเขาคงไม่คิดอะไร แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักนี่... คงจะคุยกันยาวเหมือนกัน

“จะไปเล่นสงกรานต์ที่ไหนต่อหรือเปล่าเนี่ย” ไหนๆ คิดขึ้นมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถาม ถ้าเขาตอบว่าจะไปต่อก็คงต้องซักกันหน่อยว่าจะไปที่ไหนยังไง

แล้วก็คงต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าคงจะเห็นเขาในสภาพที่... ยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า

“ไม่” แต่คำตอบสั้นๆ ได้ใจความก็ทำลายจินตนาการของผมจนหมดสิ้น

ผมหันกลับมาสบตาที่เจือความขยาดของเขาแล้วก็ได้แต่หัวเราะ นึกได้ว่าคนอย่างเชนคงจะไม่อยากเอาตัวเองไปให้ใครปู้ยี่ปู้ยำในเทศกาลแสนวุ่นวายนี่เท่าไหร่หรอก

ยกเว้นว่าจะเป็นเหตุสุดวิสัยแบบครั้งนี้อ่ะนะ

“จะมาทำไมไม่บอกก่อนอ่ะ” ผมถาม ปกตินอกจากจะมารับมาส่งแล้ว เชนจะมาหาผมที่คณะช่วงที่นอนค้างสตูก็เพื่อส่งเสบียงยามดึก เพราะรู้ว่าผมจะหิวหรือต้องหาอะไรเคี้ยวคลายความง่วง

ขุนกันจนน้ำหนักขึ้นตั้งเท่าไหร่แล้วเนี่ย 

“บอกแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มตีหน้ายุ่ง จนผมเลิกคิ้วประหลาดใจ

“หืม?” ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู แล้วพบว่ามีข้อความจากเขาส่งมาจริงๆ
 

‘กำลังจะซื้อข้าวไปให้’

‘อยู่หน้าคณะ’
 

คงจะถูกส่งมาช่วงที่ผมยุ่งๆ กับช่วงที่ไปยืนดูคอมของไอ้เวสป้าสินะถึงได้ไม่ทันเห็น ช่วงทำงานเชนจะส่งข้อความมาทางไลน์ซะส่วนใหญ่เพราะรู้ว่าผมไม่ว่าง และไม่อยากรบกวน ถ้าผมวางมือจากงานเมื่อไหร่ก็จะเป็นฝ่ายโทรไปหาเขาเอง

“ขอโทษครับ” ผมหันมาบอกทั้งที่ปากกำลังยิ้ม เชนเลยขมวดคิ้วใส่ และมันยิ่งดูตลกไปกันใหญ่เมื่อบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยดินสอพอง

“หน้าตอนนี้ตลกอ่ะ” ผมพูดขำๆ “อยากถ่ายรูปเก็บไว้เลย”

พูดไปอย่างนั้นเอง รู้หรอกว่าเขาไม่ยอมให้ถ่ายถึงได้ทำหน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิมให้ผมขำเสียงดังออกมา

“ไม่ต้องมาขำเลย ความผิดใคร”

“ขอโทษครับ” ผมขอโทษอีกรอบ พยายามกลั้นขำแต่เชื่อเถอะว่ามันทำยากจริงๆ

“เห็นไม่ตอบก็เลยลองเดินเข้ามา” เขาบอกสีหน้ามู่ทู่พลางยกมือขึ้นมาปาดแป้งออกจากหน้า “ใครจะไปรู้ว่ามีคนเล่นสงกรานต์อยู่ข้างใน”

“ก็มีงานไง จะออกไปเล่นน้ำที่ไหนมันก็เสียเวลา” ผมว่า ดึงมือเขาออกมาเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร ก่อนจะหยิบทิชชู่เปียกบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดให้แทน

“คนคณะนี้มันยังไง” แต่อีกคนก็ยังบ่นไม่หยุด คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ เห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยล้อเลียน

“โดนสาวๆ ปะแป้งทั้งที ไม่ดีใจเหรอ”

“...” และก็จริงอย่างที่คิด เมื่อเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเก่า จนผมต้องยกมือขึ้นไปจิ้มหว่างคิ้วเบาๆ ก่อนมันจะพันกันขึ้นมาจริงๆ

“ไม่คิดว่าจะยอมให้เขาเล่นขนาดนี้” ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้วเริ่มเช็ดแป้งออกจากใบหน้าให้เชนอีกครั้ง

โชคดีที่มันไม่หนามาก เช็ดไม่กี่ครั้งแป้งก็ติดทิชชู่ออกมาลอกคราบให้ใบหน้าใสกลับมาดูดีได้เหมือนเดิม

“แล้วอาละวาดได้หรือเปล่า” พอผมผละมือออกจากใบหน้า เขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนแยกไม่ออกว่าเล่นหรือจริงจัง

“ห้ามเลย” ถึงตาผมขมวดคิ้วบ้าง อาละวาดของเขานี่ยังไง ไม่ใช่ว่าจะทำร้ายพวกพี่ๆ ที่เข้ามาสาดน้ำปะแป้งหรอกนะ หรือว่าจะอีกอย่าง

“ห้ามเผาคณะด้วย” ยกคำขอของไอ้เวสป้าขึ้นมา เผื่อว่าเขาจะแค้นจนอยากเผาขึ้นมาจริงๆ

“หึ” แต่คนตรงหน้ากลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนจะพิงหน้าผากที่เพิ่งจะถูกเช็ดแป้งออกลงมาบนหน้าผากของผม “ไม่ทำหรอก... เดี๋ยวลูกกลัว”

“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ส่งสายตาถามว่าเขาหมายความว่าอะไร เชนจึงผละออกไป หยิบหนึ่งในสัมภาระที่ถือมาด้วยออกมา

มันคือกระเป๋าใส่แมว ที่พอเปิดออกเจ้าตัวเล็กลายทางก็โผล่หน้าออกมาร้องเหมียวๆ ให้ผมยิ้มกว้างได้อีกครั้ง

“เจ้าเต็ม” ผมเรียกชื่อก่อนจะเอื้อมมือไปจับเจ้าตัวเล็กมาอุ้มไว้ในอุ้มแขนแล้วซุกหน้าลงไปถูกับใบหน้ามันเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

“คิดถึงจัง” เจ้าตัวเล็กส่งเสียร้องเหมียวๆ ออกมาและถูใบหน้ากับแก้มผมบ้าง

“ดีนะวางก่อนเลยไม่เปียก”

เพราะแบบนี้สินะแมวถึงรอด แต่คนไม่รอด เปียกโชกมาทั้งตัวสภาพเละเทะขนาดนี้

ผมหัวเราะแล้วหันไปถามร่างสูงที่นั่งลงเหมือนเดิม “แล้วพามาด้วยทำไมอ่ะ”

“ก็กะว่าจะพามาเจอพี่ชาย” เขาบอก พลางเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของผมอย่างเอ็นดู

นั่นสินะ ตั้งแต่เอาเจ้าเต็มมาเลี้ยงก็ยังไม่มีเวลาพามาหาเจ้าเตเลย

“งั้นรีบเช็ดผมให้แห้งแล้วไปหาเจ้าเตกัน” ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่งเจ้าเต็มให้เขาแล้วเอื้อมมือกลับไปเช็ดผมให้เชนต่อแทน

“วันนี้กลับหอหรือเปล่า” เช็ดได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังทำท่าสบายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วเอ่ยถาม

ผมนิ่งไปสักพัก แล้วขยี้ผ้าในมือลงบนผมเขาต่อแล้วแกล้งเฉไฉ “ไม่แน่ใจ ยังเหลืองานอีกเยอะเลย”

ไม่ได้อยากเล่นตัวหรอก แค่อยากรู้น่ะ ว่าเขาถามเพราะแค่ถาม หรือเพราะอยากให้ผมกลับกันแน่
           
เชนขมวดคิ้ว มองหน้าผมเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ ก่อนจะก้มลงมองเจ้าเต็ม ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วชูเจ้าตัวเล็กขึ้นมา “กลับเถอะ เจ้าเต็มมันอยากให้กลับ”
               
ผมชะงัก แต่ก็กลั้นยิ้มไว้ทำแค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ “อ้อ เหรอ”
               
“มันบอกว่าเหงา” แต่เขาก็ยังไม่ลดละที่จะเอาเจ้าตัวเล็กมาบังหน้า ให้มันมองผมตาแป๋วเหมือนเคยพูดแบบนั้นไว้จริงๆ
               
"..."
               
“แล้วก็คิดถึง”
               
”...”
               
“กลับนะครับ” คราวนี้ถึงขั้นดัดเสียงให้เล็กลง สวมบทเป็นเจ้าตัวเล็กทั้งที่หน้าโหดๆ น้ำเสียงนิ่งๆ นั่นไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด “อยากนอนกอดแม่จะแย่”

แล้วแบบนี้จะให้ทนได้ไง สุดท้ายผมก็หัวเราะพรืดออกมา
               
“พอแล้วครับ” ว่าพลางดันมือที่ชูเจ้าเต็มอยู่ลงเพื่อจะสบตากับเขาได้ถนัด “ไม่ต้องอ้อนขนาดนี้ก็ตั้งใจจะกลับอยู่แล้ว”
               
“...” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววพึงพอใจออกมาเมื่อเห็นว่าผมตอบตกลง
               
 “อยากกลับไปนอนกอดจะแย่เหมือนกัน”
               
“...” และรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนลมหายใจร้อนๆ ประสานกัน
               
แต่ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านั้น ผมก็ก้มหน้าลงไปถูกหน้ากับเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งพร้อมกับพูดเออออกับมันเบาๆ
               
“เนอะเจ้าเต็มเนอะ”
               
วันหยุดแบบนี้ได้กลับไปนอนกอดเจ้าตัวเล็กที่บ่นว่าคิดถึงผมสักคืนสองคืน คงทำให้มีกำลังใจกลับมาทำงานได้ที่เหลือได้สบายๆ เลย :)
                                 

--------------------------------------------------------------------------------------------
กะว่าจะอัพก่อนเที่ยงคืน แต่กว่าจะเขียนเสร็จก็ตีสามแล้วอ่ะ เสียใจ
กลับมาเขียนตอนพิเศษรับเทศกาลด้วยความคิดถึงค่ะ งือออ คิดถึงคู่นี้เนอะ
ตอนพิเศษนี้แยกออกมาจากตอนพิเศษในหนังสือค่ะ
(เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มีตอนพิเศษแล้วด้วยความเด๋อว่าถ้าทำเป็นรูปเล่มแล้วมันต้องมีอ่ะค่ะ ขอโทษด้วยค่า ฮือออ)
จะเห็นว่ามีตัวละครใหม่โผล่มา แฮ่
จริงๆ อยากเก็บเรื่องเจ้าเต็มเป็นความลับให้ไปตกกะใจเล่นในเล่ม
แต่ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าหนังสือจะได้ออกเมื่อไหร่ เลยพามาให้ยลโฉมในตอนพิเศษนี้เลยแล้วกันค่ะ
ส่วนที่มาที่ไปนั้นรออ่านเอาในเล่มเนอะ ^^
ตอนนี้กำลังรอปกอยู่ คิดว่าอีกไม่นานรูปเล่มก็จะออกมาให้ได้สัมผัสกันแล้วค่ะ (ภาวนา)
รอหน่อยนะคะ รอเป็นเพื่อนเรา 55555 รับรองเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน



*เพิ่มเติม :: ตอนนี้เริ่มอัพเรื่อง #ซันโช แล้วนะคะ เรื่องของตี๋กับซันจะเป็นยังไง ลองมาติดตามกันค่ะ
ชื่อเรื่อง :  Just Before Sunrise  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59409.0)
(สนใจคลิกที่ชื่อเรื่องได้เลยค่ะ)
ฝากด้วยนะคะ มีเชนตรีไปโผล่ให้หายคิดถึงกันด้วย ไทม์ไลน์ของเรื่องทับซ้อนกันนิดหน่อย แต่พยายามเขียนให้ไม่งงค่ะ
ดีหรือไม่ดียังไงฝากติชมด้วยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
                                 
รักเสมอ
-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-04-2017 09:42:24
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-04-2017 13:53:18
พอคลายความคิดถึง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 14-04-2017 17:52:49
น่ารัมากกกกกกก


ตอนดราม่านี่น้ำตาไหลพรากๆ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-04-2017 18:24:52
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 15-04-2017 23:58:31
อยากอ่านตอนพิเศษ

อยากเห็นซีนหวาน ๆ  :hao3:

รอหนังสือนะ

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: บารมี ส่งเสริมยิ่ง ที่ 16-04-2017 00:12:05
อ่านจบแล้วววว
ขอคอมเมนต์เลยละกัน

ก่อนอื่นขอเริ่มจะติก่อนนะคะ
เราว่านิยายที่ดี คำบรรยายไม่ควรมีวงเล็บอ่ะค่ะ คือตอนแรกเกือบถอดใจวางไปแล้วเพราะมีวงเล็บหลายจุดเลย คือจะบรรยายก็บรรยายไปเลย ให้มันกลืนเนียนเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ไม่ใช่ต้องมีวงเล็บเพื่อขยายความอีกที

อีกข้อคือ การใช้เครื่องหมายแสดงอารมณ์ เช่น _*_
อะไรพวกนี้ เวลาเจอเราจะขัดตามาก 555 คือมันทำให้จินตนาการในหัวเราที่กำลังอินกับคำบรรยาย มันหลุดไปเลย

ปกติเราเจอแบบนี้จะปิดทันทีค่ะ แต่พอดีว่าเรื่องนี้มีไม่เยอะมาก และข้อดีอื่นๆทำให้เราพอมองผ่านตรงนี้ได้ก็เลยอ่านจนจบ

มาอวยกันบ้าง

สิ่งที่เราชอบมากๆในเรื่องนี้ก็คือ การไม่อวดความรวยของตัวละคร คือพระเอกก็รวยนะ แต่ในเรื่องแทบไม่อวดเรื่องความรวยเลย เรื่องอื่นๆบางเรื่องนี่โอ้โห ทั้งฟุ้งเฟ้อ ทั้งโอเวอร์ กลัวคยอ่านไม่เชื่อว่ารวย 5555 แต่เรื่องนี้ดีค่ะ พระเอกรวยแต่ก็ยังดูเป็นนศ.ธรรมดา มีทำงานแก้ว่างแถมได้ตัง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ต้องขับรถหรูแล้วเปลี่ยนคันไปมาอาทิตย์ละคัน 55555 ซื้อตั๋วไปอิตาลี่ก็ใช้เงินเก็บตัวเอง ฟังดูน่าเอ็นดู

เหตุผลที่พ่อตรีขัดขวางก็เข้าใจได้ ไม่เว่อ มีลำดับขั้นตอนในการเอาชนะใจ ไม่ง่าย

ดราม่าพ่อตรีคือเขียนดีมาก เราเป็นคนร้องไห้ง่าย ก็ตามคาดค่ะ ร้องจนหายใจไม่ออก 555555

ชอบเวลาพี่เชนร้องไห้ ดูแบบว่า ไม่ไหวแล้ว เสียใจมาก รักมาก ดีใจมาก ไรงี้ ดูจริงใจดี

มีเขียนผิดบ้างแต่ไม่เยอะ


จริงๆอยากให้พี่เชนได้แก้ตัวในพาทของตัวเองค่ะ ว่าตอนนั้นที่ยอมปล่อยมือนั่นไม่ใช่เพราะเหนื่อยตัวเอง แต่เป็นเพราะสงสารตรี และไม่ต้องการทำลายความฝันที่ตรีอยากเรียนและทำงานสถาปัตถ์ที่ไทย จึงยอมเลิกเพื่อให้ตรีได้อยู่ไทย และตัยเองก็ได้แอบมองอยู่ห่างๆได้
จริงอยุ่ว่าในเรื่องมีพูดไปบ้างแล้ว แต่มันน้อยเกินไปค่ะ กลัวคนเข้าใจผิด เพราะเราเองก็ยังแอบคิดนิดๆ อยากให้พาทพี่เชนยืนยันตรงนี้อีกนิดนึง 



รวมๆคือชอบค่ะ อยากให้ทบทวนนิดเดียวคือ 2ข้อแรกที่เราบอกไป คือเครื่องหมาย() กับพวก _*_ 

ไม่รุ้คนอื่นจะคิดเหมือนเรามั้ย แต่เราแค่เสนอในความเห็นของเราเนอะ

เราเชื่อว่านิยายทุกเรื่อง พระเอกนายเอกรักกันมากๆหมดทุกคู่แล่ะ
แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ มันอยู่ที่ว่าเรื่องไหนจะเขียนให้ตัวเอกได้มีโอกาสแสดงออกได้มากน้อยกว่ากัน
ซึ่งเรืองนี้ทำได้ดีมาก เราเห็นความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันได้ชัดเจนมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
เห็นด้วยตรงพาทเชนอ่ะ  อยากให้เชนได้แสดงความรู้สึกว่าทำไมถึงยอมปล่อยตรีไปให้ชัดเจนกว่านี้ บางทีอ่านแล้วเหมือนเชนท้อเลยปล่อยตรีไปดีกว่า.      ปล จะรอซื้อนิยายนะครับ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 16-04-2017 21:40:51
จุใจไหมล่ะ อ่านตั้งแต่เช้ายันดึก อย่างกับต้องสะสมแต้มทำอะไร...

สนุกอ่ะ เหมียวมึนน่ารัก เชนก็น่ารักอย่างเหลือเชือ

พาร์ทพ่อตรีบีบใจมาก แต่แอบเข้าใจพ่อนะ ส่วนตัวคิดว่าสมเหตุอยู่ที่พ่อไม่ยอมตอนแรก เป็นใครที่ไหนไม่รู้ ดีแต่ลมปาก พอเชนไปอยู่ด้วยก็เหมือนพิสูจน์ตัวเองน่ะนะ

จะรอซื้อเล่มนะคะ แล้วก็จะรออ่านซันโชด้วย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 16-04-2017 22:13:20
จุใจไหมล่ะ อ่านตั้งแต่เช้ายันดึก อย่างกับต้องสะสมแต้มทำอะไร...

สนุกอ่ะ เหมียวมึนน่ารัก เชนก็น่ารักอย่างเหลือเชือ

พาร์ทพ่อตรีบีบใจมาก แต่แอบเข้าใจพ่อนะ ส่วนตัวคิดว่าสมเหตุอยู่ที่พ่อไม่ยอมตอนแรก เป็นใครที่ไหนไม่รู้ ดีแต่ลมปาก พอเชนไปอยู่ด้วยก็เหมือนพิสูจน์ตัวเองน่ะนะ

จะรอซื้อเล่มนะคะ แล้วก็จะรออ่านซันโชด้วย

ซันโชเริ่มอัพแล้วนะคะ ถ้าสนใจตามอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้เลยค่ะ : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59409.0

ฝากติดตามด้วยนะคะ ไม่สนุกก็ด่าได้ค่ะ 55555  :mew6:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 17-04-2017 14:53:58
ชอบมากเรื่องนี้ ภาษาดี อ่านแล้วติด
นี่อ่านรวดเดียวจบเลยนะนี่
ตอนที่พ่อน้องตรีงี่เง่านี่อยากจะโดดเข้าไปไฝว้กับคุณพ่อแทนสองหนุ่มเลย
รู้แหละว่ารักลูก ว่าห่วง แต่ชีวิตเป็นของเค้ามั้ยอ่ะ
นี่ในฐานะที่มีลูกแล้วนะ ถึงเข้าใจ แต่ก็อดหมั่นไส้หงุดหงิดกับอิตาพ่อหัวรั้นไม่ได้จริงๆ
สงสารน้องตรีพี่เชน อ่านช่วงนั้นแบบบีบคั้น สงสาร น้ำตามากันเลยทีเดียว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะจ๊ะ แต่งได้สนุกมาก ชอบๆ จริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-04-2017 18:16:10
ดีใจ ไรท์ มาลงตอนพิเศษ  :katai2-1:
พี่เชน ตรี  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-04-2017 18:29:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 17-04-2017 21:10:31
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 18-04-2017 11:18:12
คิดถึงคู่นี้ม๊าาากกกมากกกกกก
ขอบคุณที่มาลงตอนพิเศษให้หายคิดถึงนะคะ
จะรอซื้อหนังสือแน่นอนค่ะ
ระหว่างรอก็จะอ่านคู่ซันโซไปก่อน  :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 19-04-2017 17:15:51
 :-[
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 20-04-2017 23:52:58
แอบลืมเลือนคู่นี้ไปบ้าง แต่ก็ยังจำความรู้สึกชอบได้อยู่ดี
ยังน่ารักเสมอ
แวะมาให้กำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-04-2017 07:54:59
น่ารักสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: แจ้งข่าวการตีพิมพ์ [11/9/2559] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: jarqqq ที่ 23-04-2017 12:05:34
แง้งง มาตามอ่าน
สนุกมากกกกกก  :ling1: :ling1:
ไม่รู้พลาดได้ไง อ่านแล้วอิน ร้องไห้ โดยเฉพาะฉากที่เหมียวเตตาย ฮื่อๆ คนรักแมวเศร้ามาก เตไม่ได้ทำไรผิดแต่ต้องตายเพราะทองกวาว  :katai1: คิดแล้วแค้นทองกวาว :m16: แต่พอนางหายไปก็รู้สึกดีขึ้นนิดนึง55
เป็นกำลังให้คนเขียนนะคะ สู้ๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: firnlolo ที่ 05-05-2017 13:01:27
ชอบบบบ :L2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mayachiwit ที่ 03-06-2017 16:45:55
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษให้หายคิดถึงเชนตรีนะคะ มีความสุขจัง รักเรื่องนี้มากอ่ะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: aomsina ที่ 11-06-2017 01:56:52
โฮร มาเจอเรื่องนี้หลังจากเห็นคนแนะนำนิยายในทวิตเตอร์
คิดว่ามาเจอกันช้าไปมากๆๆๆ ฮือ เพราะมันดีมาก
ชอบทุกๆอย่างในเรื่องนี้เลยอ่ะ ทั้งตัวละคร ภาษา การบรรยายตั่งต่างงงงงงง
อ่านได้เรื่อยๆ เลย ฉากสวีทนี่ก็เขินจนตัวแทบบิด
ฉากเศร้าก็ทำเราร้องไห้ตามตัวละครเลย หน่วงมาก TvT
ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
เดี๋ยวเราจะไปตามอ่านซันโชต่อแล้ว อิอิ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 04-07-2017 23:16:01
เราชอบการดำเนินเรื่องมากๆๆเลย ภาษาที่ใช้ก็ดี มันกลมกล่อมไปด้วยทุกข์ สุข หน่วง ยิ้ม ฟิน แฮปปี้แบบพอดีๆในตัวมันอ่ะ เลิศมากจริงๆ
ปล.อยากมีพี่เชนเป็นของตัวเองจัง
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: GRID ที่ 17-08-2017 20:10:02
กลับมาอ่านอีกครั้ง ยังตราตรึงใจเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 20-08-2017 21:01:37
ก่อนอื่นเลยต้องบอกขอบคุณนักเขียนมากจ้า  :mew1: :mew1: :mew1:

มาต่อด้วยอารมณ์เบย

ส่วนแรกช่วงแรกตรีงี่เง่ามาก มีความมโน แล้วก็ไม่น่าคิดผิดไปลองคบชะนีถ้ารู้ว่าไม่ชอบผู้หญิง

ส่วนที่2 คือเชน ที่พูดออกมาตอนเลิกมันดูจริง ดูไร้ความสามารถ ไม่มีความอดทน เป็นเราเราคงไม่เสี่ยงรอ

ส่วนสุดท้าย คือการเลี้ยงลูกในแบบของพ่อตรีเป็นการเลี้ยงที่ผิดมาก ดีที่ตรีเป็นคนคิดดีเลยไม่เสียคน แล้วจะดื้อแค่ไหนยังไงก็ช่างแต่การที่มองลูกเสียใจนานขนาดนั้นโดยไม่พยายามทำความเข้าใจตือแย่มาก

ก็ยังดีที่จบแฮปปี้ ขอบคุณจ้า นี่เป็นเม้นที่ยาวที่สุดของเราเลยนะ 555
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-08-2017 21:15:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 31-08-2017 12:41:35
สนุกอะ..ทำไมเราพึ่งเจอ..ขอบคุณหน้าแนะนำนิยายทำให้เราได้อ่านเรื่องนี้...
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: KAZUMA ที่ 08-09-2017 21:58:35
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้หลังจากที่เห็นมานาน

OMG นี่มันรวมดราม่าแทบทุกแบบไว้ในเรื่องเดียว แต่ก็สนุกจนหยุดอ่านไม่ได้เลยยย

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนพิเศษวันสงกรานต์ [14/4/2560] P.13
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 30-10-2017 17:16:21
มาเอช้าไปเสียดายมากแงงง   :hao5: ชอบสำนวนการเขียนนะคะ แต่มันตงิดใจตรงการเรียกแทนตัวเองว่าฉัน
แบบพอเป็นผู้ชายใช้แล้วดูไ,jเรียลเท่าไหร่ ค.เห็นส่วนตัวของเรานะคะ นอกนั้นคือดีถึงจะอ่านไปแค่3พาร์ท  :mew2:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 31-10-2017 18:20:55
แจ้งข่าวค่า ^^

ตอนนี้หนังสือ Just Another Guy วางแผงแล้วนะคะ สามารถสั่งซื้อได้ทางเว็บของสำนักพิมพ์เฮอร์มิทตามที่อยู่ลิ้งค์ด้านล่างเลยค่า (รายละเอียดการสั่งซื้อสามารถดูได้จากหน้าเว็บเลยน้า)

แบบ Box Set ราคา 800 บาท  (http://www.hermitbookshop.com/product/343/boxset-just-another-guy-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87-martian)

หนังสือธรรมดา (2เล่มจบ) ราคา 600 บาท (http://www.hermitbookshop.com/product/342/just-another-guy-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87-martian)

เริ่มขายตั้งแต่งานหนังสือที่ผ่านมา แต่ว่าไม่ได้มาอัพเดตในนี้ซะงั้น ฮืออ
ถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกคนที่ไปรับพี่เชนกับตรีที่งานหนังสือด้วยนะคะ
อ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบยังไงส่งฟีดแบ็คได้เสมอน้าทางเพจ makok_num (https://www.facebook.com/makoknum.writer/) หรือทวิตเตอร์ makok_num (https://twitter.com/makok_num) ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูและสนับสนุน #เชนตรี นะคะ ^^



หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 13-11-2017 19:47:39
 :sad4: จบแล้ว อ่านรวดเดียวแบบไม่ทำการทำงาน ชอบๆๆๆๆๆ อยากอ่านต่ออีก

 o13 ชอบที่เป็นการพัฒนาการให้ค่อยรักกันไป

สนุกค่ะ สนุก  o13
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 04-12-2017 02:53:33
อ่านจบแล้ว เย้!
ตามเก็บครบวันเดียวเลย ทั้ง เชนตรี ซันโช :katai2-1:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ สำหรับนิยายสนุกๆ
อ่านแล้วชอบมากๆ ทั้งสองเรื่องเลย โดนเฉพาะตอนตรีดราม่าเรื่องพ่อ
ร้องไห้ตามเลยค่ะ :hao5:
รอสนับสนุนหนังสือ และนิยายเรื่องต่อๆไปนะคะ
ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 14-12-2017 15:26:37
สนุกมากเลยค่ะทั้งพล้อต การบรรยาย ชอบคาแนคเตอร์ของทั้งเชนและตรีมาก คนหนึ่งนิ่ง สุขุม แต่พอรักก็แสดงออกชัดเจนมีโมเม้นอ้อน ทำตัวน่ารัก โอ๊ยใจละลาย อีกคนก็แสนดี แต่ก็มีความดื้อ ชัดเจน ยึดมั่นในสิ่งที่ต้องการไม่ตามใจคนอื่นไปซะหมด เป็นอะไรที่พอดีจริงๆ พล้อตเรื่องก็น่าลุ้นว่าจะไปยังไงต่อ เดาทางยากจริงๆ ชอบมากก ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้ขึ้นมาค่ะ อินมากตอนอ่าน บางฉากน้ำตาคลอเลย
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 03-01-2018 05:16:23
                                  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
                     :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: patyypd ที่ 11-01-2018 23:18:32
ไม่อยากให้จบเลยแงง อยากอ่านต่อเรื่อยๆ

เราชอบการดำเนินเรื่องที่แบบค่อยเป็นค่อยไปผ่านระยะเวลาหลายปี ทำให้เห็น progress เห็นพัฒนาการของตัวละคร เห็นความสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้น จากที่เริ่มรู้จักกัน มาสนิท มารัก ผ่านเรื่องครอบครัว จนกลับมาหากันได้ มันทำให้เนื้อเรื่องดูค่อนข้างเรียล และก็ทำให้รู้สึกไปกับเรื่องได้จริงอ่ะ เหมือนเห็นเส้นทางชีวิตของคนๆหนึ่งว่าต้องพบเจออะไรบ้าง อ่านแล้วไม่เบื่ออยากอ่านอีกกกก


ปล. เราขอคอมเม้นคำว่า 'เวลาผ่านไป' บางทีเราก็งงว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนอ่ะ ว่าเป็นชั่วโมง วัน เดือน หรือปีแล้ว
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-01-2018 11:49:34
น่ารักอ่ะ ชอบๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: jomyingg ที่ 14-01-2018 13:11:55
อ่านจบแล้วววว ชอบความเขินของพี่เชนจัง น่าร้ากกกกก
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ เลิฟฟฟ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: whisperz ที่ 15-01-2018 14:52:44
 :hao5: สนุกมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-01-2018 08:15:09
ทั้งน่ารัก ทั้งปวดใจค่ะ กว่าจะลงเอย ลงตัวกันได้ นี่สินะความรัก

เชนคือรักก่อน ตรีคือรักมาก มาบรรจบกันคือรักที่สุด
สงสารตรีมากตอนที่เชนบอกลา เจ็บแทน น้ำตาไหลพรากเลยค่ะ

เข้าใจพ่อตรีนะ เพราะรัก เพราะห่วง แต่แสดงออกไม่เป็น

ในที่สุดก็แฮปปี้ค่ะ ปลื้มมาก อย่างน้อยความเสียใจของตรีก็ไม่สูญ
เชนก็ยังคอยติดตามอยู่เสมอ จนเชนต้องพยายามพิสูจน์เพื่อขอดูแลตรี

พีคสุดตรงพ่อส่งกระดาษให้ และพีคอีกอย่างคือผูกโบว์เป็นของขวัญวันเกิด
พ่อแม่ตรีน่ารักมากค่ะ เพราะรัก เลยอยากให้ดูมีคนที่รักจริง คอยดูแลกัน

อินมาก เชนตรี

ขอบคุณมากนะคะสำหรับการถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ ติดตามเรื่องต่อๆ ไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 30-01-2018 17:20:48
เกือบพลาดนิยายดีๆไปแล้วเชียว
เผลอกดเข้ามาอ่าน
ติดลมบน วางไม่ลงเลยทีเดียว

วางพล็อต และภาษาได้ยอดเยี่ยมไหลลื่น น่าติดตามไปในทุกตอนเลย

จากคนที่อกหักเพราะรักครั้งแรก กลับมีครั้งที่สองได้อย่างไม่รู้ตัว
เสียดายไม่รู้ว่าซันกับโชนี่ยังไง แต่ถ้ารักกันคงแปลกๆที่ตรีจะเห็นภาพนั้น
แม้จะมีคำถามเกิดขึ้นระหว่างการอ่าน เหมือนคนเขียนจะรู้และต่อตอนต่อไป
อย่างมีเหตุมีผลทีเดียว อย่างตอนเชนตัดใจง่ายๆ ไม่ได้รักกันแล้วจริงรึ
นี่เสียวว๊าบเลย 555

ขอบคุณสำหรับนิยายดีครับ

หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-02-2018 23:26:20
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ประทับใจมาก ชอบมาก ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 19-02-2018 10:56:02
Thank you very much :mew1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 27-02-2018 20:27:31
 :pig4: :กอด1:ชอบ อบอุ่น น่ารัก กุกกิ้ก รักเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: iNklaNd ที่ 26-03-2018 19:19:47
ตามมาจากซันโชค่ะ เราชอบคาแรกเตอร์ของซัน
พอมาอ่านเชนแล้วแหมมมมมมม ยาวๆ เลยค่พ
ขี้เก๊ก เย็นชาซะจริ๊งงงพ่อคู๊ณณณณณ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: wifesuju ที่ 24-04-2018 18:54:40
ตามมาจากเรื่องสั้นค่ะ ติดใจภาษาของคนเขียน บอกตามตรงแค่เห็นชื่อเรื่องเราก็ไม่อ่านแล้วอะ ไม่ใช่แนว รวมทั้งพลอตด้วย แต่ที่อ่านเพราะติดใจภาษาจากเรื่องสั้นจริงๆ เลยลองอ่าน แล้วก็ติดงอมแงมเลย ขนาดจบแล้วยังไม่รู้ว่าจบเลย 5555555 อ่านเพลินมากค่ะ แต่ทั้งเรื่องขัดใจอยู่ตอนเดียว คือ เตตาย ตอนนั้นโมโหตรีมาก อยู่ตรงนั้นแท้ๆแต่ยังปล่อยให้แมวตาย เกือบเลิกอ่านแล้ว แต่ความดีงามของพี่เชนดึงกลับมาได้ รักความอบอุ่นและความผัวของพี่เค้า ขอบคุณไรเตอร์มากนะคะ ที่สร้างผัวอีกคนมาให้เรา  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 08-05-2018 17:10:11
สนุกมากกกก อ่านเพลินเลย มีใครร้องไห้ตอนเจ้าเตตายเหมือนเรามั้ยอ่ะ แง้ๆๆๆ เดี๋ยวตามไปอ่านซันโชต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 23-06-2018 01:20:06
รวดเดียวจบจ้าาาาา

เรื่องนี้ดราม่าจัดเต็ม พอจะหวานหน่อยก็ดราม่ามาอี๊กกก

กว่าจะรัก จะคบกันได้ปาไปแล้ว1ใน3ของเนื้อหา

ผ่านด่านพอตาอีก1.5 มีดราม่าเล็กๆไม่เข้าใจกันอีกนิสส

สรุปเหลือหวานกันอยุ่แค่3%

แต่เนื้อเรื่องทำให้วางไม่ลงจริงๆค่ะ :)
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 06-07-2018 14:09:37
สนุกมากเลยค่ะ เสียน้ำตาไปก็หลายปี๊บ
 :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 03-10-2018 05:09:00
เป็นเรื่องที่อ่านได้สนุกมากครับ อ่านรวดเดียวจบ ไม่ต้องมีบทเลิฟซีนที่เร่าร้อนแต่ตรึงผมให้อ่านจนวางไม่ลงเลย
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 19-10-2018 08:10:25
สนุกมากก วางไม่ลงเลย ต้องต่อให้จบ 555 ตัวเอกน่ารักดี ชอบการแบ่งพาร์ทของอต่ละคนดี  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 21-10-2018 12:12:52
 :z13: ดราม่าเกือบตอนจบดีนะที่เชนทำให้พ่อเปลี่ยนใจและยอมรับกับความรักของตรีได้ งื้อรักเชรตรี
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 06-12-2018 12:16:34
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ และน่ารักมาก ๆ เรื่องนี้ค่ะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 24-02-2019 23:50:09
สนุก อ่านเรื่อยๆจนจบเลยค่า

ขอบคุณสำหรับพี่เชน เอ้ย นิยายค่ะ 555
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 06-03-2019 01:05:08
ทีแรกคือกำลังจะอ่าน ซันโช แต่เรื่องพอเลื่อนเห็นสารบัญ เอ้าาา เชนตรี มาก่อนก็เลยมาอ่านค่ะ

พออ่านไปเรื่อยๆเจอโศกนาฏกรรมเจ้าเต โอ้วโหว นี่ร้องไห้พราก ต้องหยุดอ่านแปปนึง ทำร้ายจิตใจมาก :monkeysad:

จากนั้นทำใจได้ก็อ่านต่อ แล้วเราก็ใจเหลวเพราะพี่เชน เค้ารักตรีมากจริงๆ บอกตรงนี่เลย อิจฉาตรีมากๆ :o12:

ปล. เรื่องนี้สนุกมากๆค่ะ ทำเราน้ำตาปริ่มบ่อย เราอินสุด ขอบคุณนะคะ o13
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: tokun ที่ 16-04-2020 10:10:18
ตอนเจ้าเตตาย เป็นตอนที่เสียน้ำตาที่สุด เกลียดยัยทองกวาว  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 20:00:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: 44 [ 17/06/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 04-11-2020 05:44:51

               
ผมต้องกลับไปเจอสายตาทิ่มแทงของพ่อ ที่มักจะมีประเด็นใหม่ๆ ยกขึ้นมาประชดประชันผมเสมอ อันที่จริงผมควรจะชินได้แล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่เลย... ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน
               
 
คุณพ่อน่าจะเกิดปีจอนะ เดาจากปากและการพูดจากับลูก
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: พิเศษส่งท้าย [ 7/07/2559 ] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 04-11-2020 09:46:39

“นี่ยังไม่สะอาด” เสียงเข้มที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังเงียบๆ ทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อพ่อของตรียกจานกองโตที่ผมเพิ่งล้างเสร็จเมื่อกี้กลับมาวางข้างซิงค์ที่ผมยืนอยู่อีกครั้ง
               
"ครับ?” ผมเลิกคิ้วงงๆ เพราะถึงจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนยกจานไปผึ่งบนชั้น ผมเช็กมันจนดีแล้วทุกใบ
               
“ล้างใหม่” แต่พ่อตรีก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร ออกคำสั่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจัดการหน้าร้านต่อ
               
 
คุณพ่อไม่ฉลาดมากๆ เปลืองน้ำยา เปลืองน้ำ เปลืองไฟ วิธีอื่นมีตั้งเยอะแยะที่ไม่ต้องเบียดเบียนตัวเอง ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงโดนไล่ออกจากงาน
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 09-11-2020 11:09:44
สนุกสาเลยค่ะเรื่องนี้
ชอบเชนในความชัดเจน
ชอบตอนพิเษศน่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 09-11-2020 18:25:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง: ตอนที่ 20 [ 6/04/2559 ] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 07-02-2022 12:28:01
“รอรับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ได้เลย”
จัดหนักเลยพี่เชน
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 07-02-2022 19:32:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 19-02-2022 18:19:28
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 21-03-2024 19:44:32
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)

หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 22-04-2024 19:10:04
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 43บ./1วัน กด *777*7721*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 75บ./2วัน กด *777*7724*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 113บ./3วัน กด *777*7719*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7722*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 97บ./2วัน กด *777*7725*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 140บ./3วัน กด *777*7720*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 70บ./1วัน กด *777*7723*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8 (https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)


AIS ระบบเติมเงิน เอไอเอส เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 31 มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k (https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k)
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 26-04-2024 19:55:02
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 43บ./1วัน กด *777*7721*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 75บ./2วัน กด *777*7724*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 113บ./3วัน กด *777*7719*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7722*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 97บ./2วัน กด *777*7725*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 140บ./3วัน กด *777*7720*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 70บ./1วัน กด *777*7723*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8 (https://www.youtube.com/watch?v=ClwQq4AZEb8)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน เมษายน 2567
https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v (https://www.facebook.com/100063871243003/posts/905036281635405/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v)


AIS ระบบเติมเงิน เอไอเอส เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 31 มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k (https://www.youtube.com/watch?v=HEXso1Duo6k)