30
ห่างไกล
ผมนึกไว้แล้ว ว่าการที่เชนปฏิเสธน้องผู้หญิงคนนั้นไปอย่างเย็นชาที่ร้านกาแฟวันนั้น จะต้องส่งผลกับชื่อเสียงของเขาแน่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ... เมื่อหลังจากนั้นไม่นานผมได้เห็นหน้าตัวเองกับเชน ถูกแอบถ่ายจากมุมที่จำได้ว่าเป็นโต๊ะของน้องคนนั้น พร้อมกับแคปชั่นที่ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
‘#เชนตรี หยิ่งมากกกก ขอถ่ายรูปนิดเดียวทำเป็นมองแรง คิดว่าหล่อนักเหรอคะ? เหอะ! #เบ้ปากรัว’
ผมดูรูปแล้วไล่อ่านคอมเมนต์ลงไปเรื่อยๆ และก็พบว่าส่วนใหญ่มีแต่คอมเมนต์ไปในเชิงเห็นด้วยทั้งนั้น เชนโดนด่าเยอะมากซะจนผมคิดว่าถ้าเป็นผมคงเครียดจนไม่กล้าเข้าเฟสบุ๊คอีก
‘จริง หยิ่งมาก เคยเจอที่คณะหน้าตาไม่เป็นมิตรสุด คงคิดว่าหล่อมาก #เชน #เชนตรี’
‘โคตรไม่ชอบ คนกรี๊ดไปได้ไง นิสัยโคตรแย่ #เชนตรี’
‘เคยคบเพื่อนเรา (เป็นผู้หญิง) แล้วทิ้งไป ที่แท้เป็นเก้งเหรอ เหอะ! สันดาน #เชนตรี’
‘เราเคยเจอ หล่อมากกกกกกจริง แต่นิสัยก็น่ากลัวมากกกกเหมือนกัน ชอบมองนิ่งๆ หยิ่งๆ กรี๊ดแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อ่ะ #เชนตรี’
‘กรี๊ดคู่นี้มากกกก แต่ได้แต่จิ้นไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ออร่าโลกส่วนตัวสูงมาก #เชนตรี’
‘คู่รักอันตรายเหรอครับ 5555555 #เชนตรี’
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
“ทำไร” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นข้างหูพร้อมกับใบหน้าคมที่ชะโงกข้ามไหล่มาจากด้านหลังจนแผ่นอกที่เปลือยเปล่าเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จแนบลงมากับหลังผมเบาๆ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมือถือในมือผมที่ยังคงค้างอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดด้วยสีหน้าสงสัย
ผมเลยยื่นให้เขาดู “บอกแล้วว่าไม่น่าปฏิเสธ” ผมตำหนิ มันคงไม่กลายเป็นเรื่องแบบนี้ถ้าวันนั้นเรายอมให้น้องถ่ายรูปไปซะ เพราะสุดท้ายเธอก็แอบถ่ายอยู่ดี แถมยังเขียนถึงพวกเราไปในทางที่ไม่ดีซะอีก
เชนเอื้อมนิ้วมาเลื่อนดูคอมเมนต์ทั้งหมดผ่านๆ ก่อนจะชะงักอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดเหมือนผม คิ้วเข้มขมวดขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางไม่พอใจเห็นได้ชัด
“ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ก็เหอะ แต่โดนด่าขนาดนี้...”
“เอามานี่ดิ๊” ยังไม่ทันจะพูดจบมือหนาก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมเฉยเลย
“เฮ้ย! ทำอะไร” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปในโทรศัพท์
ถึงจะโกรธก็เหอะ แต่ผมนึกว่าเขาไม่คิดจะตอบโต้กับอะไรพวกนี้ซะอีก แล้วอีกอย่าง นั่นมันล็อกอินเฟสบุ๊คผมอยู่นะเว้ย!
“อ่ะ” แต่ดูเหมือนว่าผมจะห้ามอะไรไม่ทัน เมื่อไม่กี่วินาทีต่อมามือหนาก็ส่งมือถือกลับมาให้ ผมกระวนกระวายรีบหาดูว่าเขาพิมพ์อะไรลงไป แต่ก็ไม่พบคอมเมนต์เพิ่มเติม
นอกจาก...คอมเมนต์ที่ตอบกลับคอมเมนต์ล่าสุดอีกที
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
‘มีแฟนแล้ว’
ผมคิดว่าเขาจะเมนต์ตอบโต้พวกที่ด่าเขาเสียอีก แต่นี่มัน...
เปาะ!
“คราวหลังอย่าทำตัวน่ารักให้มาก” เอื้อมมือมาดีดหน้าผากผมพร้อมกับทำเสียงเข้ม
เดี๋ยวนะครับ...
“มันใช่เวลามาสนใจคอมเมนต์ไร้สาระนี่มั้ยเนี่ย ไม่คิดจะทำอะไรกับพวกที่ด่าเลย?” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดผิดประเด็น
“ชินแล้ว” ร่างสูงตอบแค่นั้น พลางเดินไปที่ระเบียงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนอยู่บนราวมาคลุมผมเปียกๆ ของตัวเองไว้ แล้วเดินกลับมานั่งลงข้างผมพร้อมกับหันหลังให้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมต้องทำหน้าที่เช็ดผมให้เขาทุกครั้งหลังอาบน้ำ ซึ่งมันก็ถือเป็นกำไรของผมนะ ที่ได้เล่นผมนุ่มๆ หอมๆ ของหมอนี่ ซึ่งคงไม่มีใครได้จับบ่อยนัก
เอ๊ะ... หรืออาจจะมีวะ
“ปกติแฟนคนก่อนๆ นายทำแบบนี้ให้ด้วยหรือเปล่า” ผมเผลอหลุดปากถามออกไปทันทีที่ใจคิด
“หือ?” เขาส่งเสียงประหลาดใจ แต่ก็ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ไม่นะ ไม่ค่อยชอบให้ใครเล่นหัว”
“แต่ตัวเองชอบเล่นหัวคนอื่นเนี่ยนะ?” ผมแย้งกลั้วหัวเราะ เมื่อคิดได้ว่าหมอนี่ชอบขยี้หัวผมเป็นกิจวัตร
อืม... แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าคำตอบของเขาทำให้ผมพอใจอยู่ไม่น้อย
“แล้วตอนนี้เลิกไม่ชอบแล้วเหรอ” ผมถามต่อ ขณะที่ลงน้ำหนักมือมากกว่าเดิม ด้วยความหมั่นไส้
“ยัง” เสียงทุ้มเอ่ย “แต่เห็นใครบางคนชอบ ก็เลยยอม” ว่าพลางหันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผม ก่อนจะดึงผ้าขนหนูออก แล้วจับมือผมสัมผัสกับผมที่ยังคงเปียกหมาดๆ ของเขาโดยตรงแล้วบังคับให้ลูบไปมา
พอได้จับจริงๆ ก็พบว่าผมของเขานุ่มกว่าที่คิดไว้ แถมยังหนามากอีกต่างหาก เวลาผมแห้งมันคงจะให้สัมผัสที่ดีกว่านี้น่าดู เหมือนขนหมานุ่มๆ ฟูๆ น่าขยี้อะไรแบบนั้น
“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมชอบเล่นหัวคนอื่น” เขาแสยะยิ้มเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่ จนผมอดไม่ได้ที่จะทำในสิ่งที่ใจคิดอย่างการขยี้ผมเขาแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้
เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปัดมือผมออกแล้วยัดผ้าขนหนูกลับมาให้แทน ผมไม่ว่าอะไรและกลับมาเช็ดผมให้เขาต่อ แม้ว่ามันจะหมาดมากแล้วก็ตาม แต่ผมชอบกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเราแบบนี้นี่... ดังนั้นขอต่อเวลาอีกสักหน่อยเถอะ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์เชนก็ต้องไปฝึกงานแล้ว และผมคงไม่มีโอกาสได้เล่นหัวเขาแบบนี้อีกสักพัก
อา...ไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้นเลยแฮะ
“ไม่ไปแล้วดีมั้ย” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ราวกับอ่านใจผมออกอีกแล้ว “ย้ายมาฝึกบริษัทที่เชียงใหม่ดีกว่า” เขาว่า น้ำเสียงเอาแต่ใจ
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วผลักหัวเขาเบาๆ “มันจะไปทันได้ไง”
ป่านนี้ทุกบริษัทคงมีนักศึกษาฝึกงานเต็มอัตราไปแล้ว อีกอย่างการที่จะได้ฝึกงานบริษัทใหญ่ๆ แบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา จะมาทิ้งโอกาสเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ไง
“แล้วเตรียมของครบยัง” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ถึงจะยังเหลือเวลาอีกพอสมควร แต่เขาต้องลงไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายเดือน จะให้เตรียมตัวกะทันหันก็คงไม่ดี
“หึ” แต่เชนกลับหัวเราะในลำคอ หันมามองผมหน่ายๆ ปนขำกับนิสัยเหมือนแม่ที่แก้ไม่ได้ของผม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือผมลงจากหัวเขาอีกรอบแล้วจรดริมฝีปากลงกับฝ่ามือผมเบาๆ พร้อมยิ้มมุมปาก
“เหลือคนนี้อ่ะ เอายัดใส่กระเป๋าไปด้วยได้มะ?”
เก่งนักนะ ไอ้เรื่องแกล้งให้ผมเขินแบบไม่ทันตั้งตัวเนี่ย
“พอเลย” ผม (แสร้ง) ทำเสียงดุ ลุกขึ้น และจะชักมือกลับมา แต่ฝ่ามือหนาก็ยังจับไม่ยอมปล่อยแถมยังออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนั่งตรงระหว่างขาเขาอีก
“ไม่พอ ยิ่งเวลาเหลือน้อยก็ยิ่งต้องตักตวง” มือหนายื่นออกมาโอบไหล่ผมจากด้านหลัง พร้อมกับยกคางขึ้นมาเกยหัวไว้ “คิดถึง”
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประหลาดใจกับน้ำเสียงที่ฟังดูอ้อนแปลกๆ นั่น “ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเลย” ว่าพลางซุกหน้าลงกับแขนแข็งๆ ที่ยังคงเจือด้วยกลิ่นสบู่อ่อนๆ อย่างต้องการซึมซับกลิ่นนี้ไว้ให้นานที่สุด ก่อนเราจะต้องจากกัน
แค่คิดก็ใจหายแล้ว
“ทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ” เขาถามขึ้นมาหลังจากที่เราต่างเงียบกันไปสักพักน้ำเสียงจริงจังจนผมหลุดขำอีกรอบ
“ก็บอกแล้วว่าปิดเทอมไม่ว่าง” อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวกลับไปใช้นิ้วจิ้มหน้าผากย่นๆ นั่นให้คลายออกอย่างรู้ทัน
แต่เชนก็กลับมาขมวดคิ้วอีก เขายกมือขึ้นมาจับมือผมออกจากหน้าผากเขา ท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจจนหงุดหงิด
“งั้นคงต้องทำอะไรสักอย่าง”
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันถามว่าหมายความว่ายังไง มือหนาก็ปล่อยจากนิ้วผมแล้วเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมไว้แทน ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาบนริมฝีปากผมโดยไม่ให้ตั้งตัว
เอาอีกแล้ว... เล่นทีเผลออีกแล้ว
“ถ้ายังดื้อก็จะจูบแบบนี้” พูดเอาแต่ใจพลางกดจูบหนักๆ ลงมาอีกรอบ
“...”
“จะจูบทุกวัน...จนขาดไม่ได้ แล้วยอมตามฉันไปแต่โดยดีเลย” เชนจรดริมฝีปากร้อนจัดลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่จูบสั้นๆ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นจูบลึกซึ้งที่ตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจ
จูบที่กินเวลาเนิ่นนานราวกับต้องการจะให้ผมค่อยๆ ซึบซับสารเสพติดชนิดนี้ที่เขาป้อนให้ตามที่พูดไว้
“หึ” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างนึกตลกในความเอาแต่ใจ พลางขยับเข้าไปใกล้และจูบตอบเขาเช่นกัน
ให้ตายเถอะ... ผมคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าหากเกิดเสพติดจูบนี้ขึ้นมาจริงๆ...
หลายวันผ่านไป
สุดท้ายวันที่พวกเราไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ ถึงผมจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ยังไงมันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี
ผมมาส่งเชนที่สนามบินในเช้าวันศุกร์ซึ่งเขาจองตั๋วไว้ มันไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่ไปฝึกงาน อีกไม่กี่เดือนก็กลับแล้ว
แต่มันคงเป็นอีกไม่กี่เดือนที่ยาวนานน่าดู...
“หึ ดูทำหน้าเข้า” คนตัวสูงกว่าเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนเคย
ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่การที่เขายังยิ้มได้แบบนี้มันทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งคิดจุกจิกกับเรื่องแบบนี้เหมือนผมก็เหอะ แต่ไอ้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนไปแค่ไม่กี่วันเนี่ย มันอะไรกันวะ มีแต่ผมคนเดียวหรือไงที่กลัวความเหงาเวลาที่เขาไม่อยู่น่ะ
“ขอให้เหงาจนตาย” ผมสาป แต่จริงๆ อาจจะเป็นการสาปตัวเองก็ได้ เพราะคนที่มีแนวโน้มเป็นแบบนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผมมากกว่า เชนหัวเราะเบาๆ แล้วขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบแต่กลับไม่ปฏิเสธ
“ก็คงงั้น” อยู่ๆ เขาก็หยุดแกล้ง และมองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม “ทั้งเหงา แล้วก็คิดถึงจนตาย”
คราวนี้กลับเป็นผมบ้างที่อยากจะหัวเราะให้กับสีหน้าอธิบายยากของคนตรงหน้า ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทั้งดูหงุดหงิด เสียใจ กังวล และสับสนในเวลาเดียวกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาไม่ได้ เลยได้แต่ขมวดคิ้วแน่น
ความจริงหมอนี่ไม่ได้เป็นปกติอย่างที่เสดงออกก่อนหน้านี้สินะ
“ไม่ต้องมายิ้มเลย” เชนดุเสียงเข้ม เพราะผมเผลอยิ้มมุมปากอย่างที่เขาทำ
ฮะๆ เข้าใจความรู้สึกเวลาเห็นสีหน้าเป็นกังวลจนดูตลกของอีกฝ่ายแล้วล่ะ
ให้ตาย น่ารักชะมัด
“เฮ้อ” แล้วอยู่ๆ เขาก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาพลางก้มหน้าล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ผม “แบมือ” ออกคำสั่งนิ่งๆ
ผมแบมือตามที่บอก เชนวางวัตถุเย็นๆ ไว้บนมือผม และพอเขาปล่อยมือออกผมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เขาให้คือสร้อยสีดำเส้นหนึ่งที่มีจี้สีทองเป็นรูปฟันเฟืองห้อยอยู่
นี่มัน... เกียร์?
“เก็บไว้ดีๆ ล่ะ กว่าจะหาเจอ” เขาพูดขณะที่เบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย ผมคงไม่คิดอะไร ถ้าหากว่าใบหน้าคมเข้มนั่นไม่กลายเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา
ผมหัวเราะ กำสิ่งที่เขาให้ไว้แน่น ก่อนจะแกล้งถามติดตลก
“คิดว่าให้ผู้หญิงคนก่อนๆ ไปแล้วซะอีก”
ที่ผมได้ยินมา มันเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของเด็กวิศวะน่ะ ที่จะมอบเกียร์ที่ได้มาจากการรับน้องอย่างยากลำบาก ให้แฟนตัวเองเป็นของแทนใจอะไรแบบนั้น
“ตอนแรกคิดว่ามันไม่สำคัญ ก็เลยไม่ได้ให้ใคร แต่คนนี้ต้องให้แล้วล่ะ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอย่างจริงจังอีกครั้งแม้ว่าใบหูจะยังไม่หายแดงก็ตาม “จะได้รู้ว่าหวง”
“หึ” ผมถึงกับยกหลังมือขึ้นมาปิดปากเพราะรู้ตัวว่าผมคงกำลังยิ้มกว้างมาก พลางเบือนหน้าหนีซ่อนใบหน้าที่คงจะกำลังแดงไม่แพ้กัน เชนขมวดคิ้วท่าทางไม่พอใจเล็กๆ ที่เห็นผมยิ้มในขณะที่เขากำลังจริงจัง มือหนาเลยเอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆ อีกครั้ง
ป่านนี้หัวผมคงจะฟูยิ่งกว่ารังนกแล้ว
แต่ช่างเถอะ... ถ้าสามารถยื้อเวลาได้ ต่อให้เขาขยี้จนผมร่วงหมดหัว ผมก็ยอม
ต่างคนต่างเงียบได้ไม่นานก็มีประกาศเรียกไฟล์ทของเชนดังขึ้นมา ผมหยุดยิ้มแล้วเงยหน้ามองเขาที่เริ่มขมวดคิ้วทำหน้างุ่นง่านอีกครั้งด้วยความรู้สึกโหวงๆ ในใจแปลกๆ
ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครจะสามารถยื้อเวลาได้จริงๆ หรอก
“ไม่ไปแล้วดีมะ” แต่ประโยคเอาแต่ใจนั่นก็ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปขยี้ผมเขาบ้าง “เป็นเด็กหรือไง”
ผมล่ะอยากให้คนที่เคยคิดว่าเชนหยิ่ง แข็งกระด้าง หรือเย็นชาจนไม่น่าเข้าใกล้มาเห็นมุมนี้ของเขาจริงๆ จะได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้น่ารักกว่าที่คนพวกนั้นคิดมากแค่ไหน
แต่คิดอีกที... อย่าดีกว่า ผมขอเก็บมุมนี้ไว้ดูคนเดียวเถอะ
“ให้ตาย” แล้วพอผมหยุดเล่นหัว เขาก็สบถออกมาเบาๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาผมด้วยสีหน้างุ่นง่านกว่าเดิม “รู้งี้น่าจะจูบมาตั้งแต่ที่หอ” เขาว่า สีหน้าเสียดาย
“...” เขารู้ว่าผมคงไม่ยอมให้เขาทำอะไรแบบนั้นในที่สาธารณะแบบนี้ ถึงตอนนี้ในสนามบินจะมีคนอยู่ไม่เยอะเพราะมันเช้ามากก็เถอะ
“น่าจะกอดให้มากกว่านี้..."
"..."
"จูบให้มากกว่านี้... ตุนให้พอสำหรับสามเดือน”
ผมควรจะโกรธหมอนี่ดีมั้ยนะ ที่ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่ควรจะเศร้าที่ต้องจากกันแท้ๆ
หลายวันที่ผ่านมาพอรู้ว่าเหลือเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกไม่มาก ประจวบเหมาะกับตอนนี้ปิดเทอมพอดี ทำให้พวกเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆ นั้น ใช้เวลาแทบจะทุกวินาทีร่วมกัน ราวกับต้องการจะใช้มันทดแทนเวลาที่มันกำลังจะหายไป
เรานอนกอดกันทุกคืน เล่นหัว จับมือ ทำทุกย่างที่จะแสดงออกถึงความรักในเวลาที่เหมาะสม เขาจูบทักทายผมในทุกๆ เช้าและทุกครั้งที่ใจต้องการ จูบลึกซึ้งที่ราวกับจะซึมซาบเข้าสู่ใจผมอย่างช้าๆ จนเหมือนจะขาดไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ
แต่คงไม่ได้มีแค่ผมที่เสพติดสัมผัสของกันและกัน เพราะเชนเองก็ดูเหมือนใกล้ลงแดงเต็มทีเมื่อคิดว่าจะต้องห่างเหินจากสัมผัสเหล่านั้นนับเดือนๆ
“สวมนี่ให้หน่อย” ผมว่าพลางยื่นสร้อยห้อยเกียร์ที่เขาเพิ่งให้ไปตรงหน้าร่างสูง
เชนไม่ตอบอะไร แค่เอื้อมมือมาหยิบมันไป แล้วขยับเข้ามาใกล้เพื่อสวมคอให้ผม
ใกล้พอ...ที่ผมจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ตอบแทนสำหรับของแทนใจที่เขามอบให้
“...!”
คนตรงหน้าเบิกตากว้างทันทีที่ผมเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้ และทาบริมฝีปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากของเขาเบาๆ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว มอบจูบที่แสนอ่อนหัดให้เขาด้วยความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในใจ ทั้งความเป็นห่วง กังวล คิดถึง และความรักทั้งหมดของผม ถูกถ่ายทอดออกไปผ่านรสจูบที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อนในชีวิต
“หึ เอาคืนกันหรือไง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากบางทันทีที่ผมถอนริมฝีปากออก หน้าผากของเขายังคงแตะอยู่ที่หน้าผากของผม ลมหายใจร้อนๆ ยังคงรินรดลงมาบนปลายจมูกอย่างไม่อยากจะจากกัน
“...” ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มมุมปากกลับไป รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้งเขาแบบที่เขาชอบทำบ้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าวินาทีต่อมา ผมจะถูกเขาเอาคืนจนได้
“ถ้าตกเครื่องขึ้นมา ฉันจะโทษนาย” ว่าจบริมฝีปากร้อนจัดก็ทาบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง
สอนให้ผมรู้ว่า ‘จูบ’ ที่แท้จริง มันเป็นยังไง
-------------------------------------------------
พี่เชนดูหลงน้องมากอ่ะ 5555555
ยังไงฝากคู่ #เชนตรี ด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
-- makok_num --