[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 186995 ครั้ง)

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
โชรักตรีหรือรักตัวเอง ถ้าตรีโดนโชข่มขืนเราจะเลิกอ่านจริงๆ ด้วย  :mew4:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
39
สัมพันธ์
 
                 
“เดี๋ยว...อึก โช!” ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบและส่งเสียงเรียกให้เขาหยุดแต่การโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อครู่ก็ยังทำเอาผมจุกจนได้แต่พูดอึกอัก แถมร่างกายร้อนจัดที่คร่อมอยู่ก็ยังทิ้งน้ำหนักลงมาจนผมไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่างหาก
               
เวรเอ๊ย!
               
“โชกุน!” ผมฝืนตะโกนอีกรอบเพื่อเรียกสติ แต่โชก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังเลย เจ้าของริมฝีปากร้อนจัดที่พยายามจะจูบผมกำลังเลื่อนริมฝีปากลงมาที่ซอกคอและเริ่มระดมจูบสะเปะสะปะเหมือนคนไม่ได้สติ
               
“ผมรักตรีจริงๆ นะ ฮึก...” เสียงสะอื้นเจือปนไปกับเสียงอ้อนวอนที่มาพร้อมกับการกระทำอันอุกอาจแบบที่ผมไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะกล้าทำ ฝ่ามือข้างหนึ่งของโชเริ่มลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว ขณะที่อีกข้างก็พยายามปลดกระดุมเสื้อออกอย่างถือวิสาสะ
               
บ้าชิบ หมอนี่มันป่วยจริงหรือเปล่าวะ ทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้
               
ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่จะหมดท่าเพียงเพราะโดนชกแค่ครั้งเดียว แต่สถานการณ์มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนผมไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงจริงๆ ในหัวมันขาวโพลนไปหมดจนได้แต่พยายามดิ้นพล่านเพื่อออกจากพันธนาการของคนตรงหน้าอย่างสติแตก

“โช! หยุดก่อน โช!” ผมตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้เขาหยุด แต่ดูเหมือนโชจะไม่มีสติเลย เขายังคงเอาแต่ระดมจูบไปบนร่างกายท่อนบนของผมที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกฉีกกระชากจนกระดุมหลุดหมดแผงอย่างน่าอนาถ
               
“ตรีรู้ได้ยังไงว่าพี่เชนเขารักตรีจริง” แล้วอยู่ๆ โชก็หยุดริมฝีปากตัวเอง เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาอาบแก้ม “รู้ได้ไงว่าเขาจะรักตรีมากกว่าผม!”
               
“...”
               
“คนอย่างพี่เชน มีผู้หญิงตั้งมากมายพร้อมเสนอตัวมาให้เลือก ฮึก... แล้วตรีจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่เผลอใจไปหาผู้หญิงพวกนั้น!” โชเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารอีกครั้ง เขามองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวดแบบที่สัมผัสได้ ก่อนจะกลบเกลื่อนความเจ็บปวดนั้นด้วยการฝังใบหน้าลงกับซอกคอของผมอีกครั้งกดเม้มริมฝีปากลงมาบนผิวกายของผมอย่างอ่อนแรง
               
และคราวนี้ผมไม่คิดจะดิ้นขัดขืนแล้ว
               
เพราะผมรู้ว่าโชไม่ได้อยากทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่เลย
               
“เรารู้ว่าพี่เชนจะไม่เปลี่ยนใจ” ผมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดังพอที่จะทำให้คนที่พยายามจาบจ้วงลุกล้ำเข้ามาแทรกกลางความสัมพันธ์ของผมด้วยวิธีผิดๆ ต้องหยุดชะงักลง
               
"..." โชไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่ผมก็รู้ว่าเขาฟังผมอยู่
               
“ต่อให้วันข้างหน้ามีผู้หญิงเข้ามามากมายขนาดไหน เราก็เชื่อว่าเขาจะยังรักเรา”
               
มันไม่มีอะไรมายืนยันได้เลยว่าสิ่งที่ผมพูดมันจะเป็นจริง... ผมก็แค่เชื่อ เชื่อในความสัมพันธ์ของเรา
               
“ขอโทษที่เราไม่รู้ว่าโชรักเราแค่ไหน หรือโชรักเรามากกว่าพี่เชนหรือเปล่า”
               
“...”
               
“แต่คนที่เรารัก... ก็คือพี่เชน... ไม่มีวันเป็นคนอื่นอีกแล้ว”
               
“...”
               
“ขอโทษครับ ที่ยอมรับความรู้สึกของโชไม่ได้” ผมเอ่ยคำนั้นออกมาจากใจจริง
               
ผมไม่โกรธที่โชพลาดพลั้งทำเรื่องแย่ๆ ลงไปเพราะผมรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และต่อให้สุดท้ายเขาทำสำเร็จ คืนนี้ร่างกายของผมกลายเป็นของเขาไปจริงๆ ...มันก็ไม่มีความหมาย เพราะหัวใจของผมจะยังคงเป็นเหมือนเดิม
               
ผมรักเชน... นั่นคือความสัตย์จริง
               
“ฮึก...ฮือ...” โชนิ่งไปพักใหญ่หลังจากได้ยินคำพูดอันมั่นคงของผม ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บกดความรู้สึกไว้อีก ร่างกายของคนตัวเล็กกว่ายังคงคร่อมอยู่เหนือร่างผม แต่ไม่คิดจะทำอะไรน่ารังเกียจแบบก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาเพียงแค่ซุกหน้าลงมาร้องไห้กับไหล่ผมอย่างต้องการที่พักพิงเท่านั้น
               
พลั่ก!
               
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงตามอารมณ์คุกรุ่นของร่างสูงที่เป็นคนเปิดมันออก
               
วินาทีต่อมา ก่อนที่สมองของผมจะประมวลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของโชก็ลอยหวือออกจากร่างผมไป กระแทกกับกำแพงด้านหลังอย่างแรง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่โชก็ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ ขณะที่ผมเองก็ได้แต่นอนนิ่งเบิกตากว้างมองร่างสูงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ
               
มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวคมที่ปรายตากลับมาสบตาผมด้วยความเย็นชา ก่อนจะเดินตามไปกระชากร่างของโชขึ้นมาปล่อยหมัดลุ่นๆ ลงกับใบหน้าใสโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ
               
เชน...
               
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้??
               
“เฮ้ยพี่! ใจเย็นๆ ก่อน!” เสียงไอ้ซันที่พุ่งตามเข้ามาปลุกผมขึ้นจากคำถามในหัว ได้สติว่าตอนนี้เชนกำลังทำร้ายโชที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกอยู่ในกำมือของเขาอย่างไร้ทางสู้
               
“พี่เชน! หยุดก่อน เดี๋ยวมันก็ตายหรอก โอ๊ย!” เสียงร้องห้ามขาดห้วงไปเมื่อไอ้ซันพยายามจะเข้าไปขวางแต่ดันถูกกำปั้นของเชนซัดเข้าที่มุมปากเต็มแรงจนหน้าหัน
               
“มึงถอยไป” น้ำเสียงเยือกเย็นของเชนดังขึ้นมา พร้อมกับที่ฝ่ามือหนาที่เอื้อมไปกำคอเสื้อน้องรหัสตัวเองไว้ทำท่าจะโยนออกไปให้พ้นทาง
               
"ใจเย็นๆ ก่อนดิพี่!" แต่ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ไม่ยอม พยายามยื้อตัวเองไว้และร้องให้เชนหยุด แม้ว่าริมฝีปากมันจะมีเลือดอาบแล้วก็ตาม
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกเมื่อได้สติว่าควรทำอะไรสักอย่าง ผมลุกจากเตียงวิ่งไปคว้าแขนแข็งที่เงื้อขึ้น เตรียมจะชกหน้าไอ้ซันอีกรอบเพราะมันไม่ยอมถอย
               
ร่างสูงหยุดชะงัก ก่อนจะตวัดสายตาน่ากลัวกลับมามองผม ขณะที่กำหมัดแน่นเหมือนกำลังพยายามห้ามตัวเองให้หยุด
               
“นายกำลังเข้าใจผิดนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย” ผมพยายามอธิบายแม้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองตอนนี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่พูดก็ตาม
               
เชนนิ่งไปมองสภาพของผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาคมกริบ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตท่หลุดลุ่ยเผยให้เห็นร่องรอยที่โชทิ้งไว้บนร่างกายของผม ถึงแม้ดวงตาคมกริบจะยังมองมาอย่างน่ากลัว แต่สุดท้ายเขาก็ยอมลดหมัดลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นคว้าแขนผมแทน
               
“มานี่!” ฝ่ามือหนาบีบแขนผมแน่นก่อนจะลากออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก
               
แต่ก่อนที่จะพ้นประตู สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นว่าโชที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเต็มทีมองผมด้วยสายตาเจ็บปวดและอ่อนล้า ก่อนที่ร่างเล็กที่กำลังสั่นเทิ้มจากการร้องไห้อย่างหนักจะหมดสติไป ซบกับหลังของไอ้ซันที่ยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
               
ผมตกใจแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะลำพังตัวเองก็ยังเอาชนะแรงของร่างสูงของคนตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เชนลากผมออกมาจนถึงชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ตรงประตูทางเข้ามีรถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งจอดขวางอยู่ ผมไม่คิดว่าเป็นของเชนจนกระทั่งเขาเดินมาเปิดประตูและจับผมโยนเข้าไปในรถโดยไม่พูดไม่จา
               
ตลอดทางผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรสักคำ ไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำตอนที่เขาเหยียบคันเร่งต่อเนื่องด้วยอารมณ์คุกรุ่นจนเรามาถึงหอภายในไม่กี่นาที
               
“นี่ ฟังก่อน...” ผมพยายามคิดหาคำพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาทำลายบรรยากาศ แต่ทันทีที่จอดรถสนิท เชนก็เปิดประตูลงไปโดยไม่ทันให้ผมได้พูดอะไรจบ
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกเมื่อเห็นร่างสูงสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในหอพักและทิ้งผมไว้ในรถอย่างไม่ไยดี แต่เขาก็ไม่หันกลับมา ผมจึงเลิกนั่งเซ่อแล้วเปิดประตูวิ่งตามเขาลงไปแทน
               
"เชน! พี่เชน!" กว่าจะตามทัน ก็ตอนที่เขาเดินขึ้นมาถึงห้อง ไขประตูเข้าไปและปิดประตูใส่หน้าผมอย่างแรง
               
ผมรีบเปิดประตูตามเข้าไปเพื่อจะอธิบาย แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าร่างสูงที่เดินนำเข้ามาก่อนหยุดยืนหันหลังอยู่ตรงหน้านี่เอง แผ่นหลังกว้างที่เครียดเกร็งกับฝ่ามือที่กำหมัดแน่น บ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังโกรธจัดแค่ไหน
               
“โง่ชิบ” เสียงทุ้มเอ่ยรอดไรฟันขณะที่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเหมือนกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่น่ามาวันนี้เลย”
               
“ขะ...ขอโทษ” ผมอึกอัก กำลังจะเดินเข้าไปหาเขา ทำอะไรก็ได้ให้รู้ว่าเขากำลังเข้าใจผิด
               
แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ตวัดกลับมาสบตาผมด้วยสายตาอ่านยาก ก่อนที่ร่างสูงจะเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้ามา ดันร่างผมกลับไปชิดประตูอย่างแรงพร้อมกับทาบริมฝีปากลงมาทันทีโดยไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัว
               
“มันแตะตรงไหน” เสียงทุ้มถามรอดไรฟันอีกครั้งหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก มองผมด้วยสายตาเย็นชา “ถามว่ามันแตะตรงไหน!” เขาขึ้นเสียงเมื่อผมไม่ตอบในทันที
               
“เชน...” ผมกลัวสายตาและท่าทางโกรธจัดของเขา จนทำได้แค่เอ่ยชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
               
ผมรู้ว่าเขาโกรธ... แต่แบบนี้มันน่ากลัวเกินไป
               
“ถ้าไม่บอก ฉันจะหาเอง” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนน่ากลัว ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะทาบลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งล็อกใบหน้าผมไว้ไม่ยอมให้ขัดขืน ขณะที่มืออีกข้างก็ฉีกกระชากเศษเสื้อเชิ้ตที่อยู่บนตัวของผมออกไปให้พ้นทาง เหลือเพียงร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเพื่อให้ร่องรอยที่โชได้ทิ้งไว้เผยออกมาได้ชัดเจน
               
“เชน ฟังก่อน” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น และพยายามดันร่างของเขาออก แต่เจ้าของริมฝีปากร้อนจัดกลับเลื่อนจูบหนักๆ ลงไปที่ซอกคอและไหปลาร้าเปลือยเปล่าของผม กัดเม้มอย่างรุนแรงราวกับต้องการจะใช้รสจูบของเขาลบล้างทุกสัมผัสของโชให้หายไป
               
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...อึก!” คำพูดของผมถูกกลืนหายไปทันทีที่ริมฝีปากของเขาเลื่อนลงมาที่แผ่นอกของผม มอบสัมผัสแปลกประหลาดที่ทำเอาผมผงะ หยุดคำพูดและความคิดทุกอย่างที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในหัว
               
“หุบปาก” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ พร้อมกับใช้มือหนาข้างหนึ่งล็อกแขนทั้งสองข้างของผมไว้กับกำแพง ไม่ให้ผลักร่างของเขาได้อีก
               
นี่มัน... ไม่ใช่แล้ว 
               
มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิวะ 
               
“ดะ...เดี๋ยว...เชน” ผมพยายามร้องห้ามเมื่อร่างสูงเริ่มระดมจูบสะเปะสะปะไปทั่วผิว ในขณะที่มือซุกซนเริ่มเลื่อนไปในที่ที่ไม่ควรสัมผัสอย่างน่ากลัว
               
“พี่เชน! หยุด!” และก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะปลดกระดุมกางเกงผมสำเร็จ ผมก็รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายตะโกนเตือนสติเขาพร้อมกับผลักร่างสูงออกไป
               
“เวรเอ๊ย!” เสียงทุ้มสบถออกมาเสียงดังด้วยความโกรธจัด เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาเจ็บปวดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วหมุนตัวกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เท้าแขนลงกับเข่าและซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือราวกับกำลังพยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
               
“ทำแบบนั้นทำไม” นานหลายวินาทีกว่าเขาจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วงราวกับกำลังสับสน “พอฉันไม่อยู่ ก็ไปหาผู้ชายคนอื่นงั้นเหรอ” เขาหันกลับมามองผมอีกครั้งสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ
               
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ผมยังคงพูดคำเดิมซ้ำๆ และหวังว่าเขาจะฟัง "ฉันกับโชไม่ได้มีอะไรกัน" แต่แววตาของเชนกลับฉายแววหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับตวาดกลับมา
               
“เข้าใจผิดห่าเหวอะไรก็เหอะ! แต่ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วจะให้เชื่อใจได้ยังไง!”
               
"..."
               
"จะปล่อยให้ห่างกันได้ยังไง ถ้าต้องมานั่งหวาดระแวงกลัวใครจะเข้ามา"
               
“...” ช่างโง่เง่าที่คำอธิบายมากมายที่อยู่ในหัวผม มันไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดดีๆ ได้เลยแม้แต่คำเดียว
               
“ที่ฉันทำให้ มันยังไม่พอ?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าเจ็บปวด พร้อมกับเอ่ยถาม “แล้วจะให้ทำยังไงวะ ถึงจะไม่ไปไหนอีก”
               
คำถามทิ่มแทงที่ทำให้ผมเจ็บปวดไม่แพ้กัน
               
“อย่ามาทำให้ฉันกลายเป็นคนโง่ เหมือนตอนยัยทองกวาวนั่น... ขอแค่นั้นไม่ได้หรือไง”

คำพูดของเชนในทุกๆ ประโยคมันบ่งบอกชัดเจนว่าความโลเลที่ผ่านมาของผม มันส่งผลแย่แค่ไหน
มันทำให้เขาไม่เชื่อใจผม...
               
เป็นความผิดของผมเอง อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
               
“อย่ามาแตะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยห้ามไว้ เมื่อผมเอื้อมมือออกไปกำลังจะแตะไหล่กว้างที่เครียดเกร็งของเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบตาผมด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง สายตาที่เหมือนกับจะสื่อว่าให้ผมไปให้พ้น
               
แต่ถ้าผมยอมแพ้สายตานั่น... ทุกอย่างก็จะพัง
               
ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้พิสูจน์เลยว่า ผมรักเขามากแค่ไหน
               
“ขอโทษ ที่ดูแลตัวเองไม่ดี” ผมเอ่ยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงและคุกเข่าลงเพื่อให้เงยหน้าสบตาเขาได้ถนัด
               
“...” เชนยังคงมองมาด้วยสายตาเย็นชา แต่คราวนี้ไม่มีความไม่ผลักไส
               
“ขอโทษครับ ที่ไม่เคยทำอะไรให้เชื่อใจได้เลย”
               
“...”
               
“พี่เชน” ผมเรียกชื่อเขา แล้วดึงฝ่ามือหนาของเขามาแนบกับแก้มทั้งสองข้างของตัวเอง และมองเขาด้วยสายตาที่ต้องการสื่อถึงความจริงใจ “ถ้าผมบอกว่าต่อไปนี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจแล้ว จะเชื่อผมมั้ย?”
               
“...”
               
“ถ้าพูดว่าจะไม่ทำให้พี่เชนเจ็บเพราะความโลเลของผมอีก จะเชื่อหรือเปล่า?”
               
“...”
               
“สัญญาได้มั้ย... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... พี่เชนจะยังอยู่ข้างๆ ผม ไม่ไปไหน”
               
“...”
               
“แล้วผมจะเป็นคนพิสูจน์เอง...ว่าผมรักพี่เชนยิ่งกว่าใครๆ... และจะไม่ยอมให้ใครมแทรกกางระหว่างเราอีก” ผมยิ้ม มองใบหน้าที่อ่อนลงของเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นออกมา
               
เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการตัดสินใจทำบางอย่างในหัว... 
               
และผมภาวนาว่ามันจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอีก
               
ดูเหมือนความโกรธจะมลายหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยหมดแล้ว โดยที่ผมไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาวในเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เขารู้ดีว่าผมไม่ได้โกหก และผมเชื่อว่าสายตาของผมที่แสดงความรู้สึกทั้งหมดที่มีออกไป คงจะทำให้เขาเชื่อใจผมขึ้นมาบ้าง แม้นิดเดียวก็ยังดี
             
“จะทำอะไร” เขาถาม พลางเกลี่ยนิ้วโป้งวนไปมาบนใบหน้าของผมเบาๆ

ผมยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน แล้วเอ่ยคำถามใหม่ขึ้นมา “จำได้มั้ยที่พี่เชนเคย
ถาม ว่าจะยอมอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือเปล่า... ตอนนั้นพูดเล่นหรือจริงจัง”

“จริงจัง” เขาตอบทันที ไม่ทิ้งเวลาให้ผมรอเลย

ผมหัวเราะอย่างพอใจในคำตอบนั้น ขณะที่แตะหน้าผากลงกับหน้าผากของเขาเบาๆ สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวย และเอ่ยในสิ่งตัวเองตัดสินใจแล้วออกมาให้เขาได้ยิน

“ถ้างั้น... ก็ช่วยดูแลผม ไปตลอดชีวิตที่เหลือเลยได้มั้ย?” ผมเว้าวอน ในขณะที่เชนนิ่งไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงระเหี่ยใจอย่างไม่จริงจัง

"แล้วฉันจะปฏิเสธได้ยังไง" เขาว่า ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากของผม เลื่อนลงมาที่จมูก และทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

รสจูบที่เร่งเร้าขึ้นตามการตอบสนองของผมที่ขยับเข้าไปใกล้เพื่อตอบรับสัมผัสของเขาโดยไม่คิดจะขัดขืน เราต่างมอบจูบลึกซึ้งให้กันและกันด้วยความรู้สึกมากมายที่เปี่ยมล้นออกมาเกินต้านทาน อ้อมแขนแข็งแกร่ง ดึงร่างของผมขึ้นไปนั่งบนตักเขาและจูบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะพลิกตัวดันร่างผมให้เอนหลังลงบนเตียงโดยมีร่างเขาตามขึ้นมาคร่อมไว้ ขณะที่ริมฝีปากของเรายังไม่แยกจากกันแม้สักวินาที

จูบที่ลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ ส่งผลถึงร่างกายที่กำลังร้อนจัดของเราทั้งคู่ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นจนเกือบจะเลยเถิดไปตามจินตนาการ... แล้วไม่นานเชนก็ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ขมวดคิ้วสบตาผมด้วยสายตาที่ดูสับสนและงุ่นง่านในเวลาเดียวกัน

ผมเดาออกได้ไม่ยากเย็นเลยว่าเขากำลังคิดอะไร

ผมจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายรั้งท้ายทอยของเขาลงมาเพื่อทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขาอีกครั้ง เป็นการให้คำตอบในสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ

ว่าผมอนุญาต...

เชนส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างเข้าใจ ร่างหนาขยับเข้ามาชิดกันมากกว่าเคยเพื่อมอบจูบอันดูดดื่มที่ลุกล้ำไปยังผิวกายทุกๆ ส่วนของผมด้วยความรู้สึกโหยหา เราต่างกอดกันแน่นขึ้นในทุกๆ วินาทีราวกับไม่อยากให้มีแม้แต่ธุลีของอากาศเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราได้อีก

เขามอบสัมผัสแห่งความสุขลึกซึ้งในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนในชีวิต ด้วยความรักที่ไม่อาจแสดงออกผ่านเพียงคำพูดได้อีกต่อไป

สัมผัสแห่งรักที่ช่วยยืนยันว่าคราวนี้ผมตัดสินใจไม่ผิด

มันถึงเวลาแล้ว ที่ผม จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างของผมให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า

ผู้ชายเพียงคนเดียว ที่ผมรักหมดหัวใจ




-- makok_num --

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีนะที่พี่เชนมาทัน
พี่เชนตรีไม่ผิดนะตรีโดนต่อยท้องน่ะรู้เปล่า

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เห้ออออ.  :เฮ้อ:
เขาจะได้กันใช่ไหม เขียนncสักหน่อยดีไหมคะ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
เรียบร้อย  :กอด1:


ดีที่ยังหยุดฟัง อย่าลืมอธิบายด้วยนะ





ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
พี่เชนหึงแรง ณ จุดๆนั้นคงรู้สึกแบบผิดหวังเหมือนตรีหักหลังอีกครั้งสินะงืออออ
แต่ก็ดีแล้ว ขอบคุณที่ยังฟังกันงืออออ
รักเชนตรี

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใชคดีที่ไม่มีอะไรมาก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ตอนพิเศษ
 
               
Sun’s Part
 
               
ในบรรดากาแฟทั้งหมด ผมชอบกินลาเต้มากที่สุด
               
กาแฟใส่นมรสชาติละมุนลิ้นที่ต้องสั่งทุกครั้งไม่ว่าจะไปร้านกาแฟที่ไหนก็ตาม

แต่นานๆ ทีจะเจอบาริสต้าที่ชงลาเต้ได้รสชาติถูกใจ
               
…และไอ้ตี๋โชก็เป็นหนึ่งในนั้น
               
“กินได้ยัง” ผมชะโงกหน้าข้ามไหล่คนตัวเตี้ยมองกาแฟในมือมันที่เทฟองนมเป็นรูปต้นอะไรสักอย่างที่เขาชอบทำกันอย่างสวยงาม
               
ไอ้ตี๋เลยหันหน้ากลับมาตีสีหน้าเอือมใส่ผมพลางวางลาเต้ร้อนลงในถาดข้างตัว
               
“อันนี้ของลูกค้า” ย้ำคำพูดเดิมเป็นรอบที่ล้าน ทั้งที่รู้ว่าผมไม่อยากได้ยิน
               
“ไอ้สัส แล้วของกูเมื่อไหร่จะได้” ผมโวย
               
หลังจากมาทำงานที่นี่และได้สวัสดิการเป็นเครื่องดื่มฟรีไม่อั้น ผมก็สั่งให้ไอ้ตี๋ทำลาเต้ร้อนให้ผมทุกวันวันละแก้ว แต่ก็อย่างที่เห็น แม่งเล่นตัวชิบ กว่าผมจะได้กินลาเต้ฝีมือคุณบาริสต้าค่าตัวแพงนี่ก็ต้องทนได้ยินคำว่าของลูกค้าๆ ประมาณสามร้อยรอบจนเอียน
               
“มานี่ กูเอาไปเสิร์ฟเอง มึงทำของกูไป” ผมว่า พลางแย่งถาดกาแฟมาจากมัน แล้วชี้หน้าออกคำสั่ง ไอ้ตี๋โชเลยยักไหล่หันกลับไปชงกาแฟแก้วต่อไปซึ่งผมภาวนาให้เป็นของผมสักที
               
ผมประคองถาดลาเต้ร้อนไปเสิร์ฟให้ถึงมือลูกค้าโดยสวัสดิภาพจนได้ และยืนคุยกับลูกค้าที่มาประจำจนคุ้นเคยกันต่อนิดหน่อย ก่อนจะเดินกลับมาและพบว่ามีลาเต้ร้อนแก้วใหม่วางอยู่บนเคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว
               
“อันนี้ของกูป่ะ?” ผมเลิกคิ้ว ถ้ามันพูดว่าของลูกค้าอีกที สาบานเลยว่าผมเอาถาดฟาดหน้ามันแน่
               
“อือ” ไอ้ตี๋ตอบสั้นๆ แล้วหันไปทำนู่นทำนี่ตามประสา
               
ผมยักไหล่ วางถาดเปล่าลงและกำลังจะหยิบลาเต้ร้อนขึ้นมาดื่ม ถ้าไม่สังเกตว่าลายลาเต้อาร์ตที่อยู่บนแก้วมันเป็นรูปที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
               
พิจารณาดีๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นรูปลิงหน้าเบี้ยวๆ ดูกะโหลกกะลาอย่างน่าขำ
               
“เหี้ยไรวะเนี่ยตี๋” ผมเลิกคิ้วถามอย่างข้องใจ
               
“ไม่ใช่เหี้ย ลิง” มันว่า ไม่หันกลับมามองหน้าผมสักนิด
               
“ด่าไรกูป่ะเนี่ย” 

ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นมันทำลาเต้อาร์ตเป็นรูปลิงเลย ไหงมาทำให้ผมแดกซะงั้น
               
“...” จะไม่เจ็บใจเลยถ้าไอ้ตี๋ตาขีดเดียวไม่ปรายตากลับมามองผมนิ่งๆ ไม่ตอบอะไรสักคำ
               
“สัส ด่ากูเป็นลิงจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย” ผมโวย เดินเข้าไปผลักหัวทุยๆ ของไอ้คนกวนประสาทหน้าตาย
               
“ครับ”
               
อ้าว เสือกยอมรับอีก
               
“ไอ้ตี๋!” ผมทำเสียงเคืองๆ

พอเห็นผมเล่นด้วยหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะครับ
               
ยิ่งช่วงนี้ไอ้ตรีลงกรุงเทพฯ ไปหาพี่เชน ก็เหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้มันไม่จำเป็นต้องคีพลุคตี๋นุ่มผู้แสนดีอีกต่อไป พออยู่ต่อหน้าผมก็เลยกวนตีนเอาๆ จนน่าหมั่นไส้ (ถึงส่วนมากจะเป็นผมที่ไปกวนมันก่อนก็เหอะ)
               
ผมอดไม่ได้ที่จะผลักหัวมันแรงๆ อีกรอบ จนหน้าใสๆ แทบคว่ำลงไปในอ่างล้างจาน สงสัยจะเล่นแรงไป ไอ้ตี๋เลยหันกลับมามองตาขวางใส่
               
“จะกินไม่กิน” แน่ะ มีการเอากาแฟมาต่อรองด้วย “ไม่กินผมจะเททิ้ง”
               
“กิน” ผมยักไหล่ ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำขู่ของมันเท่าไหร่ แต่ก็ยอมหยุดเล่นหัวไอ้ตัวเล็ก และยกกาแฟขึ้นดื่มแทน ไอ้ตี๋มองผมตาขวางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปล้างแก้วต่อ เปิดโอกาสให้ผมผลักหัวทุยๆ ของมันอีกรอบ
               
“ไอ้ซัน!” และคราวนี้มันก็ปรี๊ดแตกหันกลับมาเรียกผมด้วยสรรพนามหยาบๆ ที่หลุดเรียกทุกครั้งที่ผมกวนตีนจนมันทนไม่ไหว
               
ผมหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจก่อนจะตีมึนเดินกลับมาอยู่หน้าแคชเชียร์จิบกาแฟโดยไม่สนใจว่ามันจะด่าอะไรผมตามหลัง ก็นะ การได้เห็นไอ้จอมเสแสร้งนี่หลุดเก๊ก ถือเป็นความบันเทิงอย่างเดียวที่ผมจะหาได้จากการทำงานร้านกาแฟกะดึกนี่หว่า
 
               
บางทีการที่ผมให้ไอ้ตี๋ชงกาแฟให้กินทุกวัน และการที่มันยอมขึ้นไอ้ขึ้นอีกับผม อาจทำให้ไอ้ตรีเข้าใจผิดว่าผมกับไอ้ตี๋โชสนิทกัน ดังนั้นตอนที่ผมไปถามหาไอ้ตี๋กับมันตอนที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็กกว่าในที่ทำงาน มันเลยพูดอะไรแปลกๆ ออกมา
               
“ถ้ามึงเป็นห่วง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาล่ะวะ” มันว่าพร้อมกับหันมาทำสายตาแปลกๆ ใส่ผม ผมก็เลยต้องรีบแย้งออกไปทันที
               
“ฮะ! ใคร ใครบอกมึงว่ากูเป็นห่วงไอ้ตี๋ กูเนี่ยนะ!? เกลียดขี้หน้ากันจะตายมึงก็รู้”
               
มันกำลังเข้าใจผิดครับ ไอ้ตรีแม่งคิดถึงพี่เชนจนเข้าใจผิดไปเรื่อยเปื่อยแล้ว
               
“มึงเพ้อหนักแล้วว่ะกูว่า เพ้อเรื่องพี่เชนลามมาเรื่องกูละ เป็นเอามากนะมึงอ่ะ” ผมชี้หน้ามัน ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาประเด็นอื่นขึ้นมาคุย แต่ก็โง่เกินกว่าจะคิดอะไรทัน เลยชิ่งหนีหน้าด้านๆ แทน
               
“กะ...กูไปห้องน้ำดีกว่า” ว่าจบก็ฟาดผ้าเช็ดโต๊ะลงกับเคาน์เตอร์ แล้วเดินหนีมาหลังร้าน โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะโมโหทำไม
               
และยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ เมื่อส่องกระจกในห้องน้ำและพบว่าหน้าผมกำลังแดกเถือกเหมือนมีใครเอาเลือดมาสาด
               
เป็นเชี่ยไรวะเนี่ย
               
ผมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะจัดการกับอารมณ์บ้าบอที่แล่นเข้ามาในอกให้สงบลง และทำให้ไอ้ใบหน้าแดงๆ นี่กลับมาขาวใสแบบปกติได้
               
แต่พอเดินกลับไปหน้าร้านอีกครั้งก็พบว่าไอ้ตรีไม่อยู่แล้ว เหลือแต่พี่โมที่ยืนเฝ้าเคาน์เตอร์ให้อยู่ 
               
“อ้าว ไอ้ตรีไปไหนอ่ะพี่” ผมถามอย่างแปลกใจ มันไม่ได้อยู่หลังร้านแน่ เพราะผมเพิ่งออกมา
               
“พี่ให้ไปดูโชที่หอ มีอะไรเหรอ” พี่โมเลิกคิ้วถามกลับ ผมชะงักไปนิดหน่อยด้วยความตกใจ เพราะหน้าที่ของผมคือเฝ้าไอ้ตรีไม่ให้ละสายตา และห้ามให้เข้าใกล้ไอ้ตี๋เด็ดขาด แล้วนี่เล่นไปหากันถึงหอเลย...
               
 แต่คิดอีกทีคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่ไปเยี่ยมไข้เอง
               
“เออ เมื่อกี้ก็มีลูกค้ามาถามหาตรีเหมือนกัน พอพี่บอกว่าไม่อยู่เขาก็ถามหาซัน พี่เลยให้นั่งรอก่อน... อ๊ะนั่นไงเดินมาแล้ว” คำพูดของพี่โมทำเอาอยู่ๆ ผมก็เสียวสันหลังวูบ ทั้งที่ยังไม่ทันจะหันไปมองเลยว่าลูกค้าที่ว่าเป็นใคร
               
แต่ก็ไม่น่าจะเดายากเท่าไหร่
               
“ไอ้ซัน” เสียงทุ้มของคนที่ผมรู้ดีว่าเป็นใครเรียกชื่อผมนิ่งๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ขนผมลุกซู่ไปทั้งตัว
               
“สะ...สวัสดีครับพี่เชน” ผมหันไปยกมือไหว้พลางยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่รหัสที่ตีหน้าเครียดอยู่ ก่อนจะหันกลับมาหาพี่โม ถามคำถามที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เกินจะควบคุม “เอ่อ...พี่โมครับ รู้มั้ยครับว่าหอไอ้โชไปทางไหน”
               
“หือ?”

“พอดีพวกเราจะไปเยี่ยมไข้มันน่ะครับ แหะๆ” ผมอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อน หน้าคงซีดยิ่งกว่าไข่ต้มไปแล้ว
               
เชื่อเถอะว่างานนี้คงได้มีใครสักคนลงโลงแน่ๆ ไม่ไอ้ตี๋...ก็ผมนี่แหละ
 
               
พอได้ที่อยู่ไอ้ตี๋มา พี่เชนก็ลากผมขึ้นรถสปอร์ตคันงามของพี่แกทันทีอยากจะตื่นเต้นกับรถสวยๆ เหมือนกัน แต่สถานการณ์โคตรจะไม่อำนวย เลยได้แต่นั่งหุบปากสวดภาวนานึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วอยู่ในใจ 
               
ใช้เวลาเหยียบคันเร่งแค่พริบตาเดียวรถก็มาจอดอยู่หน้าประตูเข้าหอแล้ว และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่หอเวรตะไลนี่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ นอกจากยามเฝ้าประตูที่หนีไปเฝ้าพระอินทร์แทน ทำให้พวกเราเข้ามาด้านในได้อย่างง่ายดาย
               
พี่เชนสาวเท้ายาวๆ ตามหาหมายเลขห้องที่ได้ยินมาจากพี่โมโดยไม่พูดไม่จาขณะที่ผมพยายามอธิบายว่าไอ้ตรีมันมาที่นี่ก็เพราะพี่โมวานให้มันมาเยี่ยมไข้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย
               
แต่มีหรือที่พี่รหัสจอมโหดของผมจะฟัง
               
แค่มองหน้าผมสักวิยังไม่มีเลย เอาแต่เดินไปข้างหน้าอย่าเร่งรีบ ด้วยใบหน้าถมึงทึงเหมือนพายุเทอร์นาโดที่พร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
               
น่ากลัวสัสๆ
               
ผมชักจะรู้สึกผิดแล้วล่ะ ที่ถามที่อยู่ไอ้ตี๋ให้พี่เขา (แต่ถึงผมไม่ถาม พี่เชนก็คงจะเค้นเอาจากปากพี่โมมาได้อยู่ดี แบบนั้นหนักกว่าอีก!)
               
“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะพี่ โชมันไม่กล้าทำอะไรไอ้ตรีหรอก” ผมพร่ำพูดคำเดิมๆ ซ้ำๆ ไปตลอดทาง จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงหน้าห้องที่ผมจำได้ว่าเป็นหมายเลขห้องที่พี่โมเพิ่งบอก
               
ไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่เชนเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของ แถมยังสาวเท้าพรวดๆ เข้าไปยันห้องนอนอย่างรวดเร็ว 
               
ซึ่ง...
               
ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออกไปเลยเช่นกัน
               
ไอ้สัสตี๋! เล่นเชี่ยอะไรวะเนี่ย!
               
โครม!
               
เหมือนหนังที่ปรับโหมดเป็นสโลวโมชั่น เมื่อผมเห็นพี่เชนพุ่งเข้าไปคว้าร่างไอ้ตี๋ที่กำลังคร่อมอยู่บนตัวของไอ้ตรีโยนไปที่กำแพงโครมใหญ่ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตั้งตัว จนกระทั่งพี่เชนตามไปคว้าคอเสื้อของคนตัวเล็กขึ้นมาอีกครั้ง และรัวหมัดใส่ไม่ยั้งโดยไม่มีการเจรจาใดๆ นั่นแหละผมถึงได้สติว่าอะไรเป็นอะไร
               
“เฮ้ยพี่! ใจเย็นๆ ก่อน!” ผมพร้อมกับพุ่งเข้าไปห้ามเป็นคนแรก ขณะที่ไอ้ตรียังนอนมึนตามสถานการณ์ไม่ทันอยู่บนเตียง
               
“พี่เชน! หยุดก่อน เดี๋ยวมันก็ตายหรอก โอ๊ย!” แต่ดูเหมือนจะเข้ามาผิดจังหวะไปหน่อย ก็เลยกลายเป็นว่าผมเสือกเอาหน้ามารับหมัดหนักๆ ของพี่เชนแทนซะงั้น
               
เจ็บชิบ!
               
“มึงถอยไป” น้ำเสียงเยือกเย็นของพี่เชนดังขึ้นมา ก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้อไอ้ตี๋เปลี่ยนมาคว้าคอเสื้อผมทำท่าจะโยนออกไปให้พ้นทาง 

แต่ผมไม่ยอมหรอก ไม่งั้นไอ้ตี๋ได้ตายคาตีนพี่เชนแน่
               
“ใจเย็นๆ ก่อนดิพี่” ผมพยายามตะโกนห้าม แต่พี่เชนกลับเงื้อมือขึ้นทำท่าจะชกผมอีกรอบ ผมรับตาปี๋เตรียมรับหมัดนั่นโดยไม่คิดจะหลบ เพราะรู้ดีว่าถ้าหลบหมัดนี้ก็คงไม่พ้นกระทบลงบนหน้าใสๆ ของไอ้ตี๋ที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง
               
“เชน!”
               
“...” แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะไอ้ตรีได้สติขึ้นมาร้องห้ามเสียก่อน
               
“นายกำลังเข้าใจผิดนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น” ไอ้เพื่อนตัวดีของผมพยายามอธิบายด้วยถ้อยคำที่โคตรจะขัดแย้งกับสภาพร่างกายตัวเอง
               
ผมมองเสื้อเชิ้ตขาดรุ่งริ่ง และรอยจูบที่ชัดเจนบนตัวไอ้ตรีแล้วได้แต่กุมขมับ
               
ไอ้ตี๋เอ๊ย อยากตายหรือไงวะ
               
 “มานี่!” ผมได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดของพี่เชนดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะปล่อยผมเป็นอิสระแล้วหันไปคว้าแขนไอ้ตรีลากออกจากห้องไปแทน
               
ผมยังยืนขวางอยู่ที่เดิม มองพายุเทอร์นาโดที่กำลังจะพัดผ่านไป เกือบจะโล่งอกแล้ว ถ้าหากว่าคนที่ยืนส่งเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ด้านหลังไม่เงียบไปพร้อมกับทิ้งน้ำหนักตัวลงมาใส่ผมเพราะหมดสติ
               
“เฮ้ย!” ผมร้องและหันกลับไปรับร่างของคนตัวเล็กไว้ ก่อนที่มันจะไหลลงไปหน้าฟาดพื้น “ไอ้ตี๋! ไอ้ตี๋!” ผมพยายามร้องเรียก แต่ร่างกายที่ร้อนจัดเพราะพิษไข้ กับสภาพสะบักสะบอมจากการโดนต่อยก็บ่งบอกว่าไอ้ตี๋มันหมดสติไปจริงๆ
               
เชี่ยเอ๊ย! อะไรกันนักหนาวะ!
 
               
ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง จะพามันไปโรงพยาบาลก็กลัวว่าพี่เชนจะเดือดร้อน สุดท้ายก็เลยพามันกลับไปนอนบนเตียง เช็ดเนื้อเช็ดตัวป้อนยาให้มัน พยายามทำทุกวิถีทางจนไข้มันลด 

ผมทำแผลบนใบหน้าให้คนที่หมดสติเท่าที่จะมีปัญญา และนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ภาวนาให้มันไม่ตาย ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดไม่น้อยที่พาพี่เชนมายำมันถึงที่ทั้งที่รู้ว่ามันป่วย
               
แต่ขนาดป่วยอยู่ยังมีปัญญาปล้ำแฟนชาวบ้านเขาแบบนั้นก็สมควรโดนยำแหละวะ
               
เหอะ! ผมไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ามันดีที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
               
ระหว่างที่รอให้ไอ้ตี๋ฟื้นผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ เพราะเห็นรูปถ่ายที่แปะไว้บนผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือของไอ้ตี๋ 
มันเป็นรูปถ่ายของผมกับไอ้ตรีในวันปัจฉิม และในรูปนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองไอ้ตรีและยิ้มด้วยสายตาที่ผมเดาออกว่ามันคิดอะไร
               
มองแวบแรกผมก็แค่คุ้นๆ กับใบหน้าของเจ้าของร่างท้วมสวมแว่นหนานั่น
               
แต่พอนึกถึงวันที่ไอ้ตี๋ทำคอนแท็กเลนส์หายจนต้องใส่แว่นแบบเดียวกัน ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าแม่งเป็นคนคนเดียวกัน
               
มิน่า... ผมถึงรู้สึกคุ้นหน้ามันนัก
               
ไปทำอะไรมาวะ ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
               
ผมไม่ได้รู้จักมันเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ที่โรงเรียนเก่า ใครๆ ก็เคยได้ยินเรื่องของไอ้แว่นอ้วนดำชื่อโชกุนที่เป็นเกย์ทั้งนั้น ตอนนั้นผมยังแอบสงสารมันเลยที่โดนล้อโดนดูถูกทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำห่าเหวอะไรเลย ออกจะเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครด้วยซ้ำ ผมเห็นไอ้ตรีทักมันบ้างเวลาเดินผ่าน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่จะจินตนาการออกว่าอีกฝ่ายจะมาหลงรักไอ้เพื่อนตัวดีของผมเป็นตุเป็นตะขนาดนี้
               
แม่งเหลือเชื่อสัสๆ
               
“ตรี... ตรี...” เสียงคร่ำครวญของไอ้คนที่นอนอยู่บนเตียงปลุกผมออกจากภวังค์ความคิด ผมละสายตาจากรูปถ่ายที่อยู่ในมือหันไปมองคนที่หลับตาเพ้อเพราะพิษไข้แล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
               
“ไอ้ตรีมันไปกับแฟนมันแล้วโว้ย! เพ้อเหี้ยอะไรนักหนา” แต่สงสัยว่าผมจะโวยวายดังไป ไอ้ตาขีดเดียวเลยขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมด้วยมึนๆ
               
“โอ๊ย” แล้วพออวดดีจะขยับตัว ก็ต้องร้องออกมาเพราะเจ็บแผล
               
“อยู่นิ่งๆ ไปเหอะมึงอ่ะ” ผมบอก และกดหัวที่พยายามจะโงขึ้นมาให้ล้มลงไปกับหมอนอีกครั้ง
               
 “เกิดอะไรขึ้น” มันขมวดคิ้วมองผมหน้ามึนไม่หาย
               
สงสัยจะโดนอัดจนความจำเสื่อมไปแล้ว
               
“มึงไปเจอยมทูตมา” ผมตอบนิ่งๆ 

ถึงจะไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละครับ การยั่วโมโหพี่เชนนี่เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ผมจะทำเลยนะ ชื่อเสียงพี่แกเป็นที่เลื่องลือจะตายไอ้เรื่องความน่ากลัวเนี่ย แล้วไอ้ตี๋หน้าล่ะอ่อนนี่กล้าดียังไง ถึงไปยุ่งกับของรักของหวงของพี่เขาขนาดนั้น

“ไม่ตายก็บุญแล้วนะมึงอ่ะ ผีเข้าหรือไงถึงได้ทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนั้น”
               
ผมล่ะอยากจะชกหน้ามันซ้ำให้สมกับความโง่ของแม่งจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าบนใบหน้าใสๆ นั่นไม่มีพื้นที่เหลือให้รอยช้ำจากหมัดของผมแล้วล่ะก็นะ
               
ไอ้ตี๋เงียบไปพักใหญ่ขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วพอนึกได้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยฉายแววสงสัยก็หม่นแสงวูบลงทันที
               
“ผมขอโทษ”
               
“...” ผมไม่รู้ว่ามันขอโทษใคร ขอโทษเรื่องอะไร เลยไม่ได้ตอบ

บางทีมันอาจจะขอโทษไอ้ตรีก็ได้ที่ทำระยำแบบนั้นลงไป แต่เพราะไอ้ตรีไม่อยู่แล้ว ก็เลยขอโทษกับลมแทน

“ขอบคุณนะที่ช่วย”

แต่คราวนี้ผมรู้ว่ามันขอบคุณผม

“เออ ช่างเหอะ” ผมตอบอย่างขอไปที ถึงแม้ว่าปากที่ยังมีเลือดซิบของตัวเองจะไม่ใช่เรื่องที่น่าช่างเลย

ผมควรด่ามันนะที่ทำให้ผมโดนลูกหลงโดนต่อยปากแตกแบบนี้

เกิดเสียโฉมขึ้นมาทำไง ใบหน้าหล่อๆ ของผมมันมีค่านะเว้ย

“ฮึก...” แต่ยังไม่ทันจะได้ด่า ไอ้คนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงก็เบ้หน้าก่อนจะเริ่มส่งเสียงสะอื้นร้องไห้ออกมาเฉยเลย

“เฮ้ย อย่าร้อง” ความคิดที่จะด่ามลายหายไปทันทีที่เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของคนตรงหน้า

“ผมขอโทษ” คนตัวเล็กเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นมากัดไว้พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง

บ้าชิบ! อย่ามาทำตัวน่าสงสารใส่ผมนะโว้ย

“เออๆ มึงร้องออกมาเหอะ อย่ากลั้นเลย” ผมว่าพลางดึงมือเรียวออกจากริมฝีปาก เปิดโอกาสให้มันได้ร้องไห้อย่างเต็มที่

“ฮือ...” คนตัวเล็กเลยปล่อยโฮออกมาขนานใหญ่

ใบหน้าตอนร้องไห้ของมันดูน่าสงสารซะจนผมเกือบจะร้องไห้ตาม เลยต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“กูปลอบคนไม่เป็นหรอกนะ ทำได้แค่นั่งเป็นเพื่อนนี่แหละ” ผมว่า พลางเอนหลังพิงโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ข้างเตียง

“ฮึก... ฮืออ...” แต่เสียงสะอื้นของไอ้ตี๋ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเป็นระยะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

รู้แต่ว่าโคตรไม่ชอบหน้ามันตอนร้องไห้เลย

ให้ทำหน้าโมโหตะโกนด่าผมว่าไอ้เหี้ยซันยังจะดีซะกว่า

ผมไม่ชอบใบหน้านี้ซะจนหยิบหมอนที่ตกอยู่ข้างๆ โยนไปปิดหน้ามันไว้เพราะทนดูไม่ไหว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวแม่งหายใจไม่ออกตาย ก็เลยดึงกลับมากอดไว้แทน

ผมเบือนหน้าหนีอีกรอบห้ามตัวเองไม่ให้หันกลับไปมองภาพที่ไม่อยากเห็นอีก แล้วเท้าคางลงกับหมอนใบโตฟังเสียงร้องไห้เหมือนจะขาดใจของไอ้ตี๋ด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูด้วย
ความสงสัยว่าทำไมมันจะต้องเสียใจขนาดนั้น

แต่พอเห็นรอยยิ้มและแววตาของมันที่ฉายชัดอยู่ในรูปถ่าย ผมก็เข้าใจว่าทำไม

ใครๆ ก็ต้องเสียใจกับความรักที่ผิดหวังกันทั้งนั้น

ยิ่งเป็นความรักที่ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัส... ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะทำให้เจ็บปวดมากแค่ไหน

“ตัดใจเหอะ” ผมบอก โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่รูปถ่ายใบเดิม “ยังไงมึงไม่มีวันเข้าไปแทรกกลางระหว่างเขาสองคนได้หรอก” ผมพูดในสิ่งที่อาจจะทำร้ายจิตใจมันยิ่งกว่าเดิม

แต่นี่คือความจริง... และมันก็ควรจะยอมรับ

“ฮึก...” คนตัวเล็กตอบกลับมาด้วยเสียงสะอื้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง

ผมไม่ได้ว่าอะไรที่มันจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ เพราะเข้าใจความรู้สึกมันดี ยิ่งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของมันที่อยู่ในรูปถ่ายในมือก็ยิ่งเข้าใจ และอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่ามันต้องพยายามแค่ไหน ถึงได้มายืนอยู่จุดนี้ จุดที่มันเพียบพร้อมพอที่จะยืนเคียงข้างกับคนที่มันรัก

มันอาจจะสมหวังก็ได้ ถ้าก้าวออกมาจากมุมมืดเร็วกว่านี้สักนิด แสดงความรักที่มีอย่างจริงใจให้ไอ้ตรีได้รู้ก่อนที่มันจะมีพี่เชน

แต่เพราะพ่ายแพ้ให้กับเวลา สุดท้ายความพยายามของมันก็เลยไม่มีความหมาย

แควก~
 
“มึงมาช้าไปจริงๆ ว่ะตี๋” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอ่ยคำนั้นออกมา พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างฉีกรูปถ่ายที่อยู่ในมือตรงตำแหน่งระหว่างไอ้ตี๋โชกับไอ้ตรีจนขาดเป็นสองส่วนพอดิบพอดี

บางทีผมอาจจะกำลังหวังว่ารูปถ่ายที่ขาดสะบั้น จะช่วยให้มันตัดความรู้สึกที่มีต่อไอ้ตรีได้บ้าง

แม้อีกใจจะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายดายขนาดนั้นก็ตาม




-- makok_num --

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ซันนนนนน


ตรีอ่อนแอ ต้องดูแลนะ เข้าใจไหม?

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
“มึงไปเจอยมทูตมา”


เห็นภาพเลย  :sad3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
  โช กดใครไม่ลงหรอก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
โชต้องเข้าใจนะว่าเรามาทีหลังแล้วถึงจะมาก่อนก็ใช่ว่าตรีจะรักโช และที่สำคัญตรีรักพี่เชน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใช่ ถ้าโชออกจากมุมมืดเร็วกว่านี้ แล้วพยายามทำแสดงความจริงใจให้ตรีได้เห็น ความสัมพันธ์อาจจะพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ได้  :L2: ปลอบใจ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
โช ต้องตัดใจ ดึงดันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ออฟไลน์ ssipra

  • นักอ่านมืออาชีพ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อ่านรวดเดียว ชอบเรื่องนี้มากกกก

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
40
สัญญา
 
               
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการปวดระบมจนไม่อยากจะขยับตัว
               
อยากจะโกรธเจ้าของอ้อมแขนที่กำลังกอดผมอยู่เหมือนกันที่ทำรุนแรงกับร่างกายของผมขนาดนี้
               
แต่แน่นอนว่าไม่มีทางโกรธลง เพราะอีกนัยหนึ่งความเจ็บปวดที่ค้างอยู่ ก็ช่วยย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า ความรู้สึกสุขล้นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน... มันไม่ใช่ความฝัน
               
เป็นอีกวันที่เชนตื่นขึ้นมาก่อนผม เพื่อมอบจุมพิตทักทายยามเช้าให้กันโดยไม่รอให้ผมทันได้ตั้งตัว แต่คราวนี้ผมไม่คิดจะดุเขาแล้ว เพราะรู้ว่าโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงคนเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีทางเลิกทำแบบนี้แน่ๆ ตราบใดที่เรายังนอนเตียงเดียวกันอยู่
               
ผมลืมตาขึ้นมองเขานิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเพราะกำลังตั้งสติ แต่รอยยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ของคนตรงหน้า ก็ทำเอาผมหลุดขำออกมาทั้งๆ ที่ยังงัวเงียตื่นไม่เต็มตา
               
“ยิ้มอะไรนักหนา” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ
               
“เปล่า” เขาโกหก
               
“เปล่าอะไรก็เห็นอยู่” คราวนี้เชนเอื้อมมือมาดึงมือผมให้เลิกขยี้ตาตัวเอง ก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบเบาๆ อีกหน

“ก็มีความสุข” เขาว่า ยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาคมๆ นั่นแทบจะหยีเป็นสระอิ

บอกตามตรงว่าผมอดชะงักไม่ได้กับรอยยิ้มกว้างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักของเขา ซึ่งมันดูน่ารักซะจนผมเผลอยิ้มตามพลางยกมือขึ้นมาขยี้ผมยุ่งๆ ของเขาเบาๆ 

“...” เชนเหมือนจะตกใจที่ผมทำแบบนั้น เลยมองหน้าผมนิ่งนานหลายวินาที ก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งตัวซุกหน้าลงกับหมอนใบโตของตัวเองเฉยเลย “โอ๊ยย จะน่ารักอะไรขนาดนี้วะ”
               
เสียงของเขามันอู้อี้จนแทบไม่ได้ยิน แต่ผมก็ฟังออกว่าเขาพูดอะไร จึงหลุดหัวเราะออกมาอีกรอบพลางยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความอาย
               
ทำมาเป็นชมคนอื่น ตัวเองนั่นแหละที่น่ารัก
               
ไม่กี่วินาทีต่อมาเชนก็เอียงหน้ากลับมามองผมอีกครั้ง มุมปากบางยังคงยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขณะที่มือหนาเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ
               
“ทำไงดี” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง “หลงจะแย่แล้ว”
               
ผมชะงักไปอีกรอบเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลั้นยิ้มสุดกำลัง
               
บ้าชะมัด มาพูดแบบนี้ต่อหน้ากันแล้วจะให้ผมทำตัวยังไง
               
พอเห็นว่าผมเอาแต่ก้มหน้าพยายามเก็บอาการเขิน เชนก็เอื้อมมือมาดึงร่างผมไปกอดไว้แน่นก่อนจะฝังเขี้ยวลงมาบนไหล่ผมเบาๆ อย่างหมั่นไส้
               
“มันเจ็บนะ!” ผมโวยพร้อมกับผลักเขาออก แต่อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยังกอดผมไว้หลวมๆ อยู่ดี
               
“เจ็บเท่าเมื่อคืนหรือเปล่า” แววตาหมาป่าเจ่าเล่ห์กลับมาอีกครั้งทันทีที่พูดถึงเรื่องเมื่อคืน และพอเห็นว่าผมไม่ตอบเขาก็ยิ่งเอาใหญ่ “ได้ยินว่า ถ้าเป็นครั้งแรกจะเจ็บมาก...” และก่อนที่เขาจะพูดอะไรละลาบละล้วงไปกว่านี้ ผมก็หยุดเขาเอาไว้ด้วยการยกมือขึ้นไปปิดริมฝีปากบางแน่นๆ ไม่ให้คำพูดใดเล็ดลอดออกมาอีก
               
“หุบปากไปเลยครับ” ผมตีหน้าคาดโทษ แต่คนเจ้าเล่ห์กลับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจที่กวนผมได้ ก่อนจะกดจูบลงมาบนฝ่ามือของผมที่ปิดปากเขาอยู่โดยไม่เกรงกลัวสีหน้าบึ้งตึงของผมเลย   

“แล้วนี่ยังไม่ได้บอกเลยนะ ว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ ไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย” ผมชักมือกลับมาและถามอย่างนึกขึ้นได้
อันที่จริงว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เพราะมีแต่เรื่องยุ่งๆ ก็เลยไม่มีโอกาส ก็อย่างที่บอก วันนี้เป็นวันศุกร์ ถึงจะปลายสัปดาห์ แต่มันก็ยังไม่ใช่วันหยุดสักหน่อย นักขัตฤกษ์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แล้วทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงหนีงานกลับมาได้ แถมมาได้ตรงจังหวะซะจนเกิดเรื่องวุ่นวายไปหมด

ว่าแล้วผมก็เพิ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้ลาพี่โมเลย ยังไม่ได้ถามไอ้ซันด้วยว่าหลังจากที่ผมกับเชนออกมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
               
“ขอลามา บอกว่าคิดถึงแฟน”
               
เหตุผลของเขาทำเอาผมขมวดคิ้ว เกือบจะโกรธแล้วถ้าคนตรงหน้าไม่หัวเราะ แล้วบอกความจริง
               
“เมื่อวานช่วยงานใหญ่ยัยแม่มดได้ ก็เลยได้รางวัลมา” เขาว่าพลางขยับใบหน้าเข้ามาใกล้คลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกผมอย่างหยอกล้อ
               
ผมยิ้มขำกับสรรพนามที่เขาใช้เรียกพี่สาวคนสวยของตัวเอง
               
“ใช้งานหนักเป็นบ้า เห็นฉันเป็นซินเดอเรลล่าหรือไง”
               
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าเปรียบตัวเองกับเจ้าหญิงดิสนีย์แสนอาภัพนั่นเห็นตัวเองเป็นสาวน้อยบอบบางหรือยังไงกัน
               
 “ก็ได้พักแล้วนี่ไง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ยกนิ้วขึ้นจิ้มหว่างคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันเพื่อให้มันคลายออก แต่คนเจ้าเล่ห์กลับจับนิ้วผมไว้ ดึงลงมาจรดริมฝีปากก่อนจะแสยะยิ้มร้ายกาจเหมือนเคย
               
“ใครบอก” เขาว่า “ยังไม่ได้พักเลย” จรดริมฝีปากลงมาบนนิ้วทั้งห้าของผมอีกครั้ง
               
“...”
               
“คืนนี้ก็คงจะไม่ได้พักอีก” สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาทำให้ผมที่มึนๆ อยู่เข้าใจแล้วว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เลยรีบยกมือขึ้นไปปิดปากของเขาอีกครั้งทันที
               
“ทะลึ่ง!” ผมโวย
               
“หรือไม่จริง?” เขาปัดมือผมออกแล้วเลิกคิ้วกวนประสาท
               
“ไม่จริง” ผมทำหน้าซีเรียสแล้วพูดซ้ำ “ไม่จริงสักนิด”
               
พอเห็นผมจริงจังเขาก็ยิ่งยิ้มขำก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวผมแรงๆ อย่างพึงพอใจที่แกล้งผมได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนผมก็ได้แต่เบ้หน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
               
ให้ตาย ใครจะไปคิดว่าคนที่เอาแต่แสดงท่าทางเย็นชาต่อหน้าคนอื่นอย่างเขา จะพูดเรื่องล่อแหลมออกมาได้หน้าตาเฉยไม่มีความกระดากอายแบบนี้
               
ที่ผ่านมาหมอนี่ซ่อนใบหน้าตาเฒ่าหื่นกามเอาไว้ภายใต้หน้ากากมนุษย์น้ำแข็งมาตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย ฮะ?
               
“วันนี้อยู่ด้วยกันทั้งวันเลยได้มั้ย” ฝ่ามือหนาเปลี่ยนเป็นลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการออกคำสั่งมากกว่าจะขอร้อง
               
ผมขมวดคิ้ว “ไม่ได้หรอก วันนี้มีนัดกับเพื่อนแล้ว”
ถึงคืนนี้ผมจะไม่มีเวรที่ร้านกาแฟก็เถอะ แต่ตอนบ่ายผมก็มีนัดไปซื้อของมาทำพร็อพรับน้องกับไอ้เวสป้าอยู่ดี เป็นหน้าที่ที่ขาดไม่ได้เพราะผมเป็นสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่เหลือในรุ่นที่มีรถและไม่มีธุระอะไร

หมายถึงก่อนที่เขาจะมาน่ะนะ
               
“ก็ให้เพื่อนไปซื้อเองดิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ ผมหัวเราะ และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ารั้นๆ ของคนตรงหน้าอย่างขบขัน
               
“งั้นไปด้วยกันมั้ย” ผมถาม หาทางออกที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งได้อยู่ด้วยกัน และผมก็ไม่ต้องละเลยหน้าที่ของตัวเองด้วย
               
เชนชั่งใจไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
               
ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
               
“งั้นก็ลุก ไปอาบน้ำครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลานัดแล้ว” ผมบอกพลางควานหากางเกงที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมปกปิดส่วนล่างของตัวเองเอาไว้และชิงลุกขึ้นก่อน แต่ยังไม่ทันพ้นขอบเตียง ฝ่ามือหนาก็เอื้อมมาคว้าแขนผมไว้ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
               
“ต้องตามไปช่วยอาบให้หรือเปล่า” รอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมา จนผมต้องขมวดคิ้วตีสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอีกรอบ
               
ได้คืบจะเอาศอกนะครับ
               
พอเห็นว่าผมไม่เล่นด้วย เชนก็ยักไหล่ ยอมปล่อยมือให้ผมได้ไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปถึงไหน เสียงโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
               
มันเป็นโทรศัพท์ของผม ผมจึงเดินกลับไปดูว่าใครโทรมา แต่พอเห็นเบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ ผมก็ชะงักไป พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจมันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
               
“ใคร?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนนิ่ง มองโทรศัพท์มือถือในมือ ไม่ยอมกดรับ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” และถามย้ำ เมื่อผมหันหน้ากลับไปมองเขาโดยไม่ยอมตอบอะไร
               
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง มองหน้าเชนที่ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงด้วยความรู้สึกกังวลที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยย้ำคำถามที่ผมอยากจะใช้เรียกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมา
               
“เมื่อคืน นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
               
“คำถามอะไร?”
               
ผมขยับเข้าไปใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างคาดคั้น “สัญญาได้มั้ย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังอยู่ข้างๆ กัน”
               
 “หมายความว่ายังไง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะสื่ออะไร
               
“ฉันกำลังจะพิสูจน์ ว่าจะไม่มีวันไปไหนอีกแล้ว”
               
“...” เชนยังคงมองหน้าผมนิ่ง ต้องการคำอธิบาย
               
แต่ผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เพราะมือถือที่สั่นอยู่ในมือกำลังเร่งเร้าให้ผมต้องได้คำตอบจากเขาก่อนที่มันจะหยุดไปเสียก่อน
               
ก่อนที่จะได้พูดสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
               
“สัญญา” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับปลายจมูกของเขาเป็นเชิงบังคับ “ได้มั้ยครับ?”
               
“อืม” สุดท้าย เขาก็ยอมตอบคำถามผมจนได้
               
ผมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน และให้รางวัลเขาด้วยจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากบาง “ขอบคุณ”
               
ก่อนจะเอนตัวกลับมา กดรับโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดเพื่อรับมือกับผลของสิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไป เมื่อไม่นานมานี้
               
“สวัสดีครับ”
               
[ … ] แต่พอผมรับ ปลายสายกลับไม่ตอบอะไร จนผมต้องยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูว่าสายยังไม่ถูกตัดไป
               
และพบว่าปลายสายยังฟังผมอยู่ แต่ไม่ยอมตอบกลับมา
               
“พ่อ” ผมเรียก หลังจากเห็นเลขวินาทียังเดินไปข้างหน้า แม้จะมีแต่ความเงียบก็ตาม
               
พอได้ยินสิ่งที่ผมเอ่ยฝ่ามือหนาของเชนก็เอื้อมมากุมมือผมไว้ทันทีราวกับรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไร ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายในที่สุด ก่อนที่เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยจะตอบกลับมา
               
[ รูปที่แกส่งมา มันหมายความว่ายังไง ]
               
พ่อเข้าเรื่องทันที โดยที่ผมไม่ต้องเกริ่นนำ
               
ผมหลับตา กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะรู้ดีว่าปลายสายพูดเรื่องอะไร
               
หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านเชน ผมก็ส่งโปสการ์ดไปให้พ่อกับแม่ที่ทำงานเลี้ยงครอบครัวอยู่ต่างประเทศ หนึ่งในโปสการ์ดเพียงไม่กี่ใบที่ผมส่งไปเพื่อบ่งบอกสารทุกข์สุขดิบให้พวกท่านได้รู้ว่าผมสบายดี
               
เพียงแต่ครั้งนี้... มันเป็นโปสการ์ดที่ผมต้องการบอกข่าวสารอย่างอื่นนอกจากเรื่องทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำซากอีกแล้ว
               
โปสการ์ดที่มีรูปถ่ายของผม เชน และเจ้าเตอยู่กันพร้อมหน้า ใบเดียวกับที่ติดอยู่หลังกีตาร์ของเชน
               
โปสการ์ดที่ผมส่งไปโดยไม่ได้เขียนตัวอักษรใดๆ เอาไว้ เพราะต้องการเอ่ยมันด้วยเสียงของผมเอง
               
“พ่อครับ” ผมเรียกท่านอีกครั้ง ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยสิ่งที่อยากจะพูดออกไป “ผมชอบผู้ชาย” ผมบีบมือของเชนไว้แน่น พร้อมกับหันกลับไปสบตากับดวงตาคู่สวยของเขาอย่างต้องการความกล้า
               
ต้องการแววตาที่จะบอกว่าผมไม่ได้ตัดสินใจทำสิ่งนี้เร็วเกินไป
               
[ ทำไม ]
               
“...”
               
[ ฉันไม่ได้ปล่อยให้แกเป็นอิสระ เพื่อให้แกกลายเป็นคนวิปริตผิดเพศแบบนี้ ]
               
“...”
               
[ เลิกไปซะ ]
               
ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้ว... เราก็ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนี้อยู่ดี




-- makok_num --

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
งานช้างแน่ๆพ่อตรีคงคัดค้านน่าดู :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ม่ายยยยยยยยยยยย


พี่เชนบินไปหาว่าที่พ่อตา สู่ขอลูกชายเลยค่ะ แมนๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มันไม่ง่ายเลย

ออฟไลน์ ssipra

  • นักอ่านมืออาชีพ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ต้องผ่านมันไปให้ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :z3:   ไม่นะ คุณพ่อ
พาหนีเลยไหม โรมิโอเชนช่วยด้วย

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
โอ้ววว ดราม่าไหม

ออฟไลน์ BeautifulGirl

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ร้องไหหหหห้ ทำไมพ่อตรีใจร้าย ฮืออออออออ :hao5:

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ Ma Lullaby

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ตามมาเป็นกำลังใจจากเด็กดีค่ะ :katai5:

ฟังเพลง Lets her go ตามไป

ช่วงนี้ชอบนิยายหน่วงๆค่ะ :hao7:

>< 555+ :กอด1:

ไรเตอร์สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
งืออนั่นไงว่าแล้ววว่าอุปสรรคมันยังไม่หมด
ตอนแรกนึกว่าโชโทรมา

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
เอาใจช่วยตรีกับเชนนะ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
มันต้องผ่านไปได้ค่ะ จับมือกันเดินไปนะจ๊ะ

ออฟไลน์ wargroup

  • Twitter/IG : @inaSSusani
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ เก็บรายละเอียดอารมณ์อย่างเนียน ดึงดูดไปหมดทั้งตัวละคร พล็อต และบทพูด
ตอนเจ้าเตตาย น้ำตาไหลจริงจังมาก T^T ...รออ่านต่ออยู่นะคะ บวกเป็ดรัวๆ (+1)

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ไม่น้าาาาา   ตามมาอ่านจนถึงปัจจุบันเลย

แบบ อ่านตอนแรกๆก็ไม่คิดว่าจะติดขนาดนี้   แบบ มันออกแนวนอมอลมาก แต่อ่านได้เรื่อยๆ ตัวละคร เป็นแบบ ช ปกติทั่วไปแล้ว มาชอบ ช ด้วยกันทีหลังเนี่ย พีคเลย แถมหวานมุ้งมิ้งมาก ถถถถถถ

ปล  ซัน โช แหงมๆ 55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด