27
แฟนเก่า
ผมน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าเชนเป็นคนพูดจริงทำจริง
ต่อให้เรื่องที่เขาพูด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม...
“อืม...”
จุ๊บ~
“...!” ผมสะดุ้งสุดตัวและเบิกตากว้างทันทีที่มีสัมผัสร้อนๆ แตะลงบนริมฝีปากเบาๆ ขณะที่ผมกำลังงัวเงียโงหัวขึ้นจากหมอน
“บะ...บอกแล้วไงว่าวันหลังรอให้ตั้งตัวก่อน แบบนี้มันตกใจ!” ผมโวย พร้อมยกมือขึ้นมาปิดปาก ขมวดคิ้วตำหนิร่างสูงที่ทำให้ผมแทบจะหัวใจวายแต่เช้า
ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียงแต่ก้มลงมาเท้าแขนคร่อมตัวผมไว้ แสยะยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะยืดตัวกลับไปยืนเต็มความสูงเหมือนเดิม
ไม่ว่ายังไงการได้รับจูบตอนเช้าทั้งที่ยังไม่ทันจะแหกขี้ตาตื่นดีเนี่ย... เป็นอะไรที่ยังรับไม่ทันจริงๆ นะ
“ถ้ารอให้ตั้งตัว ก็ไม่เห็นหน้าตลกๆ ดิ” แต่คนเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกเลย แถมยังยื่นมือมาขยี้หัวผมจนผมที่ฟูเพราะเพิ่งตื่นนอนคงจะดูทุเรศไปกันใหญ่
ผมได้แต่เบ้หน้า เพราะรู้ว่าโวยวายไปเขาก็คงไม่สนใจ ก็มันเป็นความตั้งใจของเขานี่นะ อุตส่าห์ลงทุนตื่นเช้ากว่าเพื่อมาแกล้งผมทุกวี่วันแบบนี้
บอกแล้วไง ว่าหมอนี่เป็นคนพูดจริงทำจริง
เขาเคยบอกว่าจะตื่นก่อนเพื่อสอนวิธีการทักทายยามเช้าให้ผม... แล้วก็ทำจริงๆ
ผมตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกครั้ง เพื่อปรับสีหน้าของตัวเอง ตั้งสติใหม่ ก่อนจะลุกขึ้น เดินไปจัดการธุระของตัวเองในห้องน้ำ เชนตามมาในไม่ช้า
หลังจากคบกัน นี่ถือเป็นกิจวัตรที่เราทำร่วมกันในทุกๆ วัน ตื่นมาตอนเช้า จูบ...
มะ...หมายถึงทักทายยามเช้า
จากนั้นก็มาล้างหน้าแปรงฟันอยู่หน้ากระจกเดียวกัน ก่อนที่ต่างคนจะอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน
มันดูเป็นอะไรง่ายๆ นะ แต่กลับมีความหมายกับผมอย่างบอกไม่ถูก
เชนชอบเล่นหัวผมเวลาแปรงฟัน ทำไมไม่รู้ ช่วงแรกๆ ผมก็รำคาญ และพยายามบิดตัวหนี แต่ก็หนีไม่พ้น เลยยอมทนให้เขาเล่นหัวจนกว่าจะพอใจ แต่ไม่รู้ไปยังไงมายังไง สุดท้ายผมถึงเป็นฝ่ายไม่ชินซะเองถ้าวันไหนไม่โดนฝ่ามือหนานั่นขยี้ลงบนหัว
แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะมีโอกาสได้เอาคืนบ้าง
“เช็ดผมให้มั้ย?” ผมเงยหน้าจากโมเดลสถาปัตย์ที่กำลังเก็บรายละเอียดอยู่ถามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพเปลือยท่อนบน มีหยดน้ำเกาะพราว พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมอยู่บนผมเปียกๆ
เขาไม่พูดอะไร แค่เดินมานั่งข้างผม และหันหลังให้เป็นคำตอบ
หลังจากที่ถูกเขาเล่นหัวอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด ในที่สุด ผมก็พบหนทางเอาคืนในวันหนึ่งที่เห็นเขาสระผมตอนดึก และไม่ยอมนอนสักทีเพราะผมยังไม่แห้ง
เชนไม่ชอบเป่าผม เขามักจะหาอะไรทำและรอให้มันแห้งเอง แต่บางทีมันก็ไม่ทันใจใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นพักหลังมานี่ผมก็เลยอาสาเช็ดให้ทุกครั้ง ถ้าเห็นหมอนี่สระผม กลิ่นแชมพูยี่ห้อเดียวกับที่ผมใช้โชยมาทันทีที่ ผ้าขนหนูขยี้ลงบนผมเปียกๆ เบาๆ
เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่ชอบเล่นหัวผม ว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนเวลาที่ได้ขยำเส้นผมนุ่มๆ หอมๆ ของคนอื่น
“วันนี้เรียนเสร็จกี่โมง” เสียงทุ้มถาม ขณะที่ผมกำลังเล่นหัวเขาเพลินๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้มีตรวจแบบ” ปกติแล้วถ้าวันไหนมีตรวจ ผมมักจะเลิกช้ากว่าปกติ วันนั้นเราจะแยกกันไปเรียน เพราะขากลับจะได้ไม่ต้องรอกัน แต่ถ้าวันไหนไม่มี เชนก็จะขับรถโฟล์คไปส่งผมที่คณะ แล้วค่อยไปเรียน ก่อนจะมารับผมกลับหอพร้อมกันในตอนเย็น
นี่มันเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กประถมที่ต้องมีผู้ปกครองไปรับไปส่งตลอดเวลาเลยแฮะ
“มีอะไรเหรอ” ผมถาม แต่มือยังคงขยี้ผมคนตรงหน้าต่อไป
“ก็ซื้อบัตรละครไว้” เขาตอบสั้นๆ ทำให้ผมนึกขึ้นได้
อา... ลืมไปเลยว่าวันนี้ที่คณะมีละครเวที แถมเป็นการแสดงรอบสุดท้ายแล้ว เชนเพิ่งบอกให้ผมซื้อบัตรให้สองใบเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง แต่บัตรวันสุดท้ายหายากจะตาย เต็มหมดตั้งแต่เปิดขายแรกๆ เลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงคนในคณะ ไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรหรอก เพราะมันเป็นสิทธิพิเศษของพวกเราที่แวะเวียนไปช่วยพี่ปีสี่ซึ่งเป็นเฮดหลักโปรดักชั่น ผมจะพาเชนไปดูฟรีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาไม่ยอม ผมก็เลยต้องลัดคิวจองเก้าอี้เสริมที่มักจะขายหน้างานเท่านั้นไว้ให้เขาได้ที่นั่งสมใจ
“ถึงตรวจเสร็จก็ต้องไปช่วยร้องเพลงอยู่ดี” ผมบอก ปกติก่อนจะปล่อยให้ผู้ชมเข้าไปดูละคร นักศึกษาตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่คณะผม จะทำการตั้งบูธขายของ และจัดกิจกรรมคั่นเวลาเพื่อไม่ให้คนดูเบื่อซะก่อน หนึ่งในนั้นก็คือดนตรีโฟล์คซองซึ่งเกณฑ์ใครก็ตามในคณะที่สามารถเล่นดนตรีได้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างบรรยากาศ
และคืนนี้ก็เป็นเวรผม
ตอนแรกก็ไม่ได้ทำหรอก เพราะถึงไม่มีผม คนที่เล่นดนตรีเก่งในคณะก็มีเยอะแยะ แต่เพราะไอ้เวสป้ามันว้อนท์อยากร้องเพลงโชว์พลังเสียงมาก ก็เลยมาตื๊อให้ผมไปช่วยเล่นกีตาร์ให้มัน
ซึ่งผมก็ไม่เคยปฏิเสธไอ้เพื่อนตัวดีได้เลย
ผมชะงักเมื่ออยู่ดีๆ ใบหน้าคมก็เอนลงมามาสบตาผมที่อยู่ข้างหลังโดยไม่บอกกล่าวจนจมูกโด่งๆ เฉียดกันริมฝีปากผมไปนิดเดียว
“แล้วฉันจะดูกับใคร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มองผมทั้งๆ ที่ใบหน้ายังอยู่ในระนาบแนวนอน
ช่วงหลังมา ถ้าเห็นหมอนี่ขมวดคิ้วใส่ ผมจะอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มระหว่างคิ้วของเขาเบาๆ ให้มันคลายออกด้วยความหมั่นไส้
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อบัตรให้ไง” ยังไงวันนี้ผมก็ยุ่งจะตาย ไปดูด้วยไม่ได้หรอก ซื้อมาก็เปลืองเงิน
แต่เขาก็ไม่เคยฟังผมเลย
เชนกลับไปขมวดคิ้วอีก ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนทำให้นิ้วที่เคยจิ้มอยู่ระหว่างคิ้วไปอยู่ระดับปาก แล้วงับเบาๆ จนผมสะดุ้งรีบชักมือกลับ
“งั้นจะไปดูกับคนอื่น” เขายืดตัวขึ้น หันหน้ามาทำหน้าเอาแต่ใจ
ผมชะงักแวบหนึ่ง อย่างไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง ถ้าว่ากันตามจริง การที่เขาหาเพื่อนไปดูด้วยเพราะบัตรเหลือมันก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงรู้สึกไม่พอใจนิดๆ
“เอาดิ เสียดายตั๋ว” แต่ก็ได้แค่พยักหน้า ไม่มีการโต้แย้ง เชนขมวดคิ้วมองผมเหมือนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก
“แล้วจะเสียใจ” พูดจบเขาก็คว้าผ้าขนหนูในมือผมไปเช็ดผมที่เริ่มหมาดของตัวเอง พลางลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อช็อป สีน้ำเงินเข้มออกมาสวมลวกๆ เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาที่ผมต้องเก็บของ เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว
ถึงวันนี้จะไม่ได้ไปเรียนด้วยกัน แต่แค่ได้ออกจากห้องพร้อมกันก็ยังดี
เวลาผ่านไป
ผมเข้าใจแล้วว่าเมื่อเช้าเชนหมายความว่ายังไง
เขาพาคนอื่นมาดูละครที่คณะผมจริงๆ และมันจะไม่น่าเสียใจอย่างที่เขาบอกเลย ถ้าคนที่เขาพามา ไม่ใช่ฟ้า...
ฟ้าที่เป็นอดีตดาวคณะวิศวะ... และเป็นแฟนเก่าเขานั่นแหละ
หมอนั่นทำผมหน้าชาไปเลย เขาพาเธอมาโดยไม่อธิบายให้ผมฟังเลยสักนิดว่าทำไมถึงมาด้วยกัน
ไม่อธิบายแม้กระทั่งว่าเขากับฟ้า กลับไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมพอเข้าใจนะว่าเขาอยู่คณะเดียวกัน ปีเดียวกัน ก็เลยเจอหน้ากันบ่อย แถมยังเป็นสายรหัสกัน ก็คงสนิทกันเป็นธรรมดา แต่เขาลืมไปแล้วเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเคยทำอะไรไว้ เธอนอกใจเขาไปหมั้นกับคนอื่นนะ ไม่ใช่แค่คบกับคนอื่นธรรมดา แต่ถึงขั้นหมั้นกัน แล้วทำไม...
ให้ตาย ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกำลังยุ่งอยู่ ผมยังคงเล่นดนตรีอยู่ที่ลานกลางแจ้งซึ่งมีฉากหลังเข้าธีมละคร ไอ้เวสป้านั่งร้องเพลงอยู่ข้างๆ เสียงมันเพราะกว่าที่ผมคิดไว้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ตลอดการแสดงสายตาของผมมันเอาแต่จับจ้องไปที่คนสองคนซึ่งกำลังนั่งฟังเพลงอยู่ตรงที่นั่งด้านหลังสุดตรงกับผมพอดี ทั้งที่ไม่ได้อยากมอง
ถึงเชนกับฟ้าจะไม่ได้มีทีท่าสวีทหวานเหมือนตอนเป็นแฟนกัน แค่นั่งฟังเพลงแล้วหันไปคุยกันบ้างเป็นพักๆ แถมรักษาระยะห่างระหว่างกันชัดเจน แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่คนอื่นจะจินตนาการไปไกล ว่าคู่ของเขากำลังจะมีรีเทิร์น
และมันน่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ผมก็เป็นหนึ่งคนที่คิดแบบนั้น... ทั้งๆ ที่แฟนคนปัจจุบันของเชนคือตัวผมเองแท้ๆ
มันเป็นความน่าสมเพชที่ผมเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับฟ้าที่มีดรีกรีเป็นถึงดาวคณะ เธอเพอร์เฟ็กต์ในแทบจะทุกๆ ด้าน ในขณะที่ผมเป็นมนุษย์โนเนมในคณะที่อยู่หลืบสุดของมหาวิทยาลัย
และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
ผมเป็นผู้ชาย…
ตอนขอคบกับเขาผมลืมคิดไปเลยว่าถ้าคนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะน่าอายแค่ไหน ผมไม่อยากทำให้ภาพลักษณ์หนุ่มฮอตของเขาเสียหายโดยการทำให้คนอื่นรู้ว่าเขาทิ้งสาวสวยมาคบกับผู้ชายหน้าบ้านๆ อย่างผม ก็เลยต้องเก็บอาการหึงหวงเอาไว้ในใจคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
“มึงอยู่ดูละครต่อป่ะ” ไอ้เวสป้าหันมาถาม หลังจากที่เราหยุดเล่นดนตรี เพราะใกล้จะได้เวลาแสดงละครแล้ว คนดูที่เคยอออยู่เต็มลานก็หายไปเกือบหมด เหลือเพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นคือเชน... ส่วนฟ้า เธอลุกไปไหนสักที่ก่อนหน้านี้แล้ว
“คิดว่าไม่ว่ะ” ผมตอบอย่างขอไปที ก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมาใส่กีตาร์ตั้งใจจะกลับหอเร็วๆ
แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมีเท้าของใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเจ้าของรองเท้าผ้าใบเก่าๆ นี่ คือเชนจริงๆ
“จะไม่ดูเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามท่าทางข้องใจ
ผมชะงัก มองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าไอ้เวสป้ากับคนอื่นๆ ที่กำลังเก็บบูธหันมามองทางเราเป็นตาเดียวด้วยสายตาสงสัย เชนเคยมาที่คณะกับผมก็จริง แต่ก็แค่สองครั้งเท่านั้น แถมตอนนั้นยังไม่มีใครเห็นอีก แทบไม่มีใครรู้ว่าเรารู้จักกัน แล้วอยู่ๆ ตอนนี้เขาก็มาคุยกับผมอย่างสนิทสนม มันคงจะน่าประหลาดใจไม่น้อย
ผมก้าวถอยหลัง รักษาระยะห่างของเราเอาไว้ ไม่ให้ใครระแคะระคายในความสัมพันธ์
“มะ...ไม่ครับ” ผมไม่กล้าพูดเป็นกันเองกับเขาต่อหน้าคนอื่น ก็เลยตอบกลับไปอย่างสุภาพ
เชนขมวดคิ้วมองท่าทางแปลกๆ ของผมอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปมองรอบตัว แล้วคงรู้ว่าทำไมผมถึงถอยหนี
“อายเหรอ?” เขาแค่นหัวเราะมองผมด้วยสายตาอ่านยาก “งั้นก็ตามใจ” ก่อนจะยัดอะไรบางอย่างมาไว้ในมือผม
มันคือบัตรละครอีกใบที่เขาซื้อเอาไว้ให้ผม
เขาไม่ได้ให้ฟ้า...
ผมกำลังจะถามเขาว่ามันหมายความว่ายังไงแต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นร่างสูงเดินหายเข้าไปในทางเดินเข้าโรงละครที่มืดสนิทซะแล้ว
บ้าชิบ นี่ผมเข้าใจผิดเหรอ?
“เดี๋ยวกูมานะ” ผมวางกีตาร์ หันไปบอกไอ้เวสป้าที่ยังคงทำหน้างงๆ แล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างของเชนไป แต่กลับมีใครบางคนเดินสวนออกมาจากทางเดินมืดๆ และเกือบจะชนกับผม
“อ้าวตรี” เป็นฟ้านั่นเองที่เดินออกมา เธอทำหน้าตกใจอยู่พักหนึ่งที่เห็นผม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ “เล่นกีตาร์เก่งดีนะ” น้ำเสียงและรอยยิ้มหวานที่คงละลายใจชายหนุ่มมานักต่อนัก
แม้แต่ผมยังรู้สึกว่าเธอน่าถะนุถนอมเลย
“...” ผมไม่ตอบ สมองกำลังประมวลผลอยู่ว่าต้องพูดอะไร
ปกติเวลาเจอหน้าแฟนเก่าของแฟนปัจจุบันที่ดีกว่าเราทุกอย่าง ต้องทำหน้ายังไง
“ห้องน้ำไปทางไหนเหรอ?” สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากพวกเรายืนนิ่งใส่กันอยู่สักพัก
“ทางนั้นครับ ตรงไปเลี้ยวซ้าย” ผมอ้ำอึ้งก่อนจะชี้มือไปตามทางเดิน
“อ่อ... ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ผมอีกรอบ ก่อนจะเดินไปตามทางที่บอก แต่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เลยหันกลับมา “เชนบอกแล้วนะ ว่ากำลังคบอยู่กับนาย”
“...” เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอาผมนิ่งไปเลย
“ยินดีด้วยนะ”
ผมไม่รู้ว่าเธอยินดีจากใจ หรือมีอะไรแอบแฝงกันแน่ เธออาจจะแค่ประชดประชันและกำลังเย้ยหยันผมที่อาจเอื้อมไปคบกับเชนก็ได้
แต่ประโยคต่อมาของผู้หญิงตรงหน้า ก็ทำเอาความคลางแคลงใจทั้งหมดของผมหายไปทันที “หมอนั่นมาสารภาพว่าอาจจะชอบนายตั้งแต่ตอนที่คบกับฉันแล้ว” เธอว่า หัวเราะเบาๆ “เพราะแบบนั้นฉันก็เลยรู้สึกผิดเรื่องพี่นิวน้อยลงบ้าง”
“เห็นแบบนั้น แต่เขาเป็นคนดีกว่าที่คิดจริงๆ แฮะ” ฟ้ายกมือขึ้นมาเกาแก้มใสเบาๆ สีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านิสัยที่แท้จริงของเชนเป็นยังไง ขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบ มองท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าอย่างพิจารณา
แต่ทุกการกระทำ และน้ำเสียงของเธอไม่มีตรงไหนที่บอกว่าไม่ได้พูดทุกอย่างมาจากใจเลย
ฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาผมที่ยังคงยืนใบ้กินด้วยความสับสนกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ “ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันที่เขาหันมาคบผู้ชาย”
“...”
“แต่ก็นะ คนอย่างเชน ไม่สนใจหรอกว่าคนที่ตัวเองรักจะเป็นใคร... หมอนั่นเคยแคร์ใครที่ไหนล่ะ จริงมั้ย ฮะๆ” เธอหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส ทุกคำพูดนั้นไม่แฝงความเสียใจจากความสัมพันธ์ครั้งเก่าเลย
มันทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอีกฝ่ายในสถานะเพื่อนที่จริงใจ
ผมอยากจะตบหัวตัวเองแรงๆ จริงๆ ที่มองผู้หญิงคนนี้ผิดไป อยากตีตัวเองที่ทำปล่อยให้ความหึงหวงมาตัดสินไปว่าเธอเป็นคนไม่ดี
“ขอบคุณนะครับ” ในที่สุดผมก็นึกคำที่จะพูดขึ้นมาได้
ฟ้าพูดถูก ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเชนไม่เคยแคร์ว่าใครจะมองความสัมพันธ์ของเรายังไง... มีแต่ผม ที่กลัวไปเอง
“หืม?” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว สีหน้างุนงง
“ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้าใจ” ผมผงกหัวให้ขอบคุณเธอจากใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปยังทางเดินมืดๆ อีกครั้ง เพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ
ที่นั่งเสริมที่ผมหาให้เชนอยู่ที่ชั้นสอง มันเป็นพื้นที่บริเวณทางลาดที่เวียนรอบตึกที่รูปวงกลม จากตรงนี้จะมองเห็นเวทีซึ่งอยู่ตรงลานกว้างกลางตึกได้อย่างชัดเจน ผมวิ่งขึ้นบันไดฝ่าความมืดมาโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายเพราะความเคยชิน ไม่นานก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาได้อย่างชัดเจน แม้ตอนนี้รอบด้านจะมีแต่ความมืดสลัวก็ตาม
เชนนั่งอยู่ที่นั่งตรงกลางพอดี ถูกขนาบข้างด้วยผู้หญิงสองกลุ่มที่หันมามองเขาเป็นระยะๆ และซุบซิบกันเบาๆ ผมยืนมองแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง คิดคำพูดดีๆ ที่จะใช้ง้อ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ด้านซ้ายมือเขาที่ว่างอยู่
“...”
“...” เชนรู้ว่าผมมา แต่ก็ไม่พูดอะไร ไม่เหลือบมองเลยสักนิด
งอนอยู่จริงด้วยแฮะ
ผมอมยิ้ม รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นโมเมนต์นี้ของคนเย็นชา แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
“ปกติเป็นคนขี้งอนแบบนี้เหรอ” ผมเอียงหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขา เพราะไม่อยากรบกวนคนอื่นที่กำลังดูละคร
เชนเหลือบสายตามามองผม แต่ก็ไม่พูดอะไรเหมือนเคย ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปพูดเสียงอ่อน
“ขอโทษ”
"..." แต่เชนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาฟังเลย เขานั่งนิ่ง ทำเป็นมองไปที่เวที ไม่สนใจคำขอโทษของผม
ใจแข็งชะมัด
“เมื่อกี้เข้าใจผิดไป ก็เลยทำตัวแบบนั้น... แต่ตอนนี้รู้แล้ว”
ผมเว้นวรรคไปนาน จนคนขี้งอนต้องหันมาถามด้วยความสงสัย “รู้ว่า?”
เป็นคำถามที่ผมต้องการพอดี
“รู้แล้ว... ว่ามีเงินเป็นแสน... ก็ไม่เท่ามีแฟนเป็นพี่เชน”
“...” คำพูดของผม ทำเอาเขาหยุดชะงักไปอย่างอึ้งๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดจนคนข้างๆ หันมามอง “มุกอะไรเนี่ย” เขาถามกลั้วะหัวเราะเบือนหน้าหนี
เออนั่นสิ มุกอะไรวะ ทำไมผมกล้าเล่น
แต่มันก็ได้ผลอยู่ไม่ใช่หรือไง...
“หายงอนยัง” ผมถาม คนตรงหน้าเลยหยุดหัวเราะ ผมนึกภาพออกเลยว่าเขาคงกำลังขมวดคิ้วอยู่ในความมืด
“ไม่ได้งอน...แค่เสียใจนิดๆ ที่เห็นนายถอยหนี” เขาตอบหันมาสบตาผมด้วย น้ำเสียงจริงจัง “อายเหรอที่คบกับฉัน” คำพูดเจือความน้อยใจนั่นทำเอาผมรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
“ขอโทษ” ผมทำหน้าสลด รู้ตัวว่าผิดจริงๆ “วันหลังจะไม่ทำแบบนี้แล้ว”
“...”
“คราวหลังจะไม่อายด้วย... จะอวด”
ผมพูดจริงๆ การที่คบกับเชนไม่เห็นมีอะไรน่าอาย น่าอวดด้วยซ้ำ... ชาตินี้ผมจะไปหาแฟนที่ดูดีขนาดนี้ได้จากไหนอีก จริงมั้ย
“หืม?” พอได้ยินแบบนั้น เชนก็ครางอย่างประหลาดใจ คงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดออกมา
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะในลำคอ เอียงตัวเข้ามากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“งั้นเดี๋ยวช่วย จะได้อวดได้ง่ายๆ”
“...!!”
ผมน่าจะเรียนรู้ได้แล้ว ว่าถ้าได้ยินน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แบบนั้นแล้วจะโดนอะไร แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน ผมก็เตรียมรับสัมผัสอันกะทันหันของริมฝีปากร้อนจัดที่ชอบทาบทับมาบนริมฝีปากผมแบบไม่ให้ตั้งตัวไม่เคยทันสักที
ผมตกใจและกำลังจะผงะหนีเพราะรู้ดีว่ามีคนอยู่รอบตัวเรามากแค่ไหน แต่คนเจ้าเล่ห์กลับรู้ทัน จึงเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยของผมเอาไว้พร้อมกับกดริมฝีปากลงมาแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ผมหนีได้ดั่งใจ
“กรี๊ดดด อะไรอ่ะ!?” ผมได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ ดังมาจากผู้หญิงที่นั่งข้างเรา
“เขาจูบกันเหรอ!”
“พี่เชนไม่ใช่เหรอ...กับใครอ่ะ??”
“งื้ออออ”
“ฟินนนน~”
และเสียงอีกมากมายที่ถูกสัมผัสร้อนจัดที่ริมฝีปาก ตัดออกจากโสตประสาทราวกับอ่านใจออกว่าตอนนี้ผมอายจนไม่อยากจะได้ยินอะไรทั้งนั้น
ให้ตาย... ถึงจะเป็นคนพูดเองก็เถอะ
แต่ผมไม่ได้หมายความว่าจะอวดตอนนี้สักหน่อยนะเว้ย!
--------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
ฝาก #เชนตรี ด้วยน้า
-- makok_num --