21
มิตรภาพ
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เห็นทองกวาวอีกเลย…
ผมตกใจมากที่อยู่ๆ เธอก็หายไป และคิดว่าเพราะผมเป็นต้นเหตุ จึงร้อนใจจนเผลอลืมสิ่งที่เธอทำและพยายามโทรหาด้วยความเป็นห่วง แต่กลับติดต่อไม่ได้เลย เพื่อนๆ ของเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทองกวาวหายไปไหน แต่น่าแลกที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่นัก
ผมแวะไปหาที่หอก็ไม่มีคนอยู่ ผมเป็นห่วงจนเกือบจะไปขอที่อยู่จากฝ่ายบุคคลเพื่อไปหาเธอที่บ้านแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากพี่ชบาไม่มาบอกก่อนว่าทองกวาวมีปัญหาทางบ้าน จนต้องดร็อปเรียนไป
แต่ว่า ทองกวาวมีปัญหาทางบ้านจริงๆ น่ะเหรอ...
มันประจวบเหมาะกันเกินไปหรือเปล่า?
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมเอาแต่คิดมากเรื่องนี้ จนเชนคงจะรำคาญและเตือนสติว่า ผมควรคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เธอทำ แล้วเลิกเห็นอกเห็นใจเธอสักที
ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ นี่หว่า
“อะไรเนี่ย” เสียงทุ้มดังขึ้นมาข้างหูขณะที่ผมกำลังยืนมองรูปถ่ายคอลเลคชั่นใหม่ของตัวเองที่เพิ่งจะปริ๊นมาแปะไว้บนผนัง มันเป็นรูปของเจ้าเตที่ผมถ่ายไว้ รวมถึงรูปจากโทรศัพท์มือถือเชนที่เขาเคยเอามาให้ดูด้วย
“คอลเลคชั่นเจ้าเต...!” ผมหันไปยิ้มตอบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าใบหน้าของร่างสูงที่กำลังชะโงกผ่านไหล่ผมไปดูรูปบนผนังมันอยู่ใกล้มากซะจนปลายจมูกผมเฉียดแก้มเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เห่อชะมัด” เขายิ้มมุมปาก พลางยืดตัวขึ้นเต็มความสูงขณะที่ผมเขยิบตัวหนีออกมาก้าวใหญ่พร้อมกับยกมือเกาคางแก้เก้อ
ทำไมพักนี้หมอนี่ชอบเข้ามาใกล้ผิดปกติแบบนี้ตลอดเลย
“ไม่เห็นรู้เลยว่าถ่ายรูปสวยขนาดนี้” เขาว่าพลางพิจารณารูปที่แปะอยู่บนผนังไปเรื่อยๆ ท่าทางจะไม่ทันสังเกตว่าผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนใส่
...ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนทำให้ใบหน้าของผมร้อนขนาดนี้แท้ๆ
“ขะ...ขอบคุณ” ผมอึกอักและทำเป็นหันไปสนใจรูปที่ถูกแปะไว้บนผนังบ้าง
ปกติผมเป็นคนชอบถ่ายภาพอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นธรรมดาของเด็กสถาปัตย์ก็ได้ ที่ชอบเก็บภาพสถานที่หรือเหตุการณ์ประทับใจต่างๆ เอาไว้ทั้งรูปถ่ายหรือรูปสเก็ต แต่ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปสวยหรือเข้าขั้นโปรเฟสชั่นนอลอะไรหรอกนะ ก็แค่ถ่ายไว้เป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น
“ขอรูปนี้ได้มะ” อยู่ๆ คนตรงหน้าก็หันมาถาม ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองกำลังลอบมองเขาอยู่
ผมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนั่นทำผมชะงัก ก่อนจะอึกอักและหันไปมองภาพที่เขาชี้มึนๆ มันเป็นรูปถ่ายเซลฟี่ที่รวมผม เชน และเจ้าเตไว้พร้อมหน้า เป็นรูปเดียวในบรรดารูปทั้งหมดที่มีพวกเราสามคนครบ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้เพราะตอนถ่ายผมดันลืมปิดแฟลช ทำให้ทันทีที่กดชัตเตอร์แสงแฟลชที่สว่างวาบขึ้นมาทำเอาพวกเราหน้าเหวอด้วยความตกใจทั้งคนทั้งแมว โดยเฉพาะผมที่ต้องหลับตาปี๋เพราะอยู่ด้านหน้าสุด ถึงมันจะเป็นภาพที่หน้าทุกคนดูตลกมากก็ตาม แต่ผมก็ชอบรูปนี้ที่สุดเหมือนกัน
“เอาสิ” ผมตอบยิ้มๆ ยังไงผมก็มีไฟล์ต้นฉบับเก็บไว้อยู่แล้ว ไปปริ๊นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้
ผมเลิกคิ้วมองมือหนาที่ดึงรูปออกจากผนัง แล้วเดินไปหยิบกีตาร์ของตัวเองขึ้นมาอย่างงงๆ เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรสักอย่างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยิบกรรไกรกับเทปที่ผมใช้แปะรูปเมื่อกี้ออกมา เพื่อแปะรูปถ่ายใบนั้นลงกับหลังกีตาร์โปร่งของตัวเองด้วยท่าทางเงอะงะจนผมอดยิ้มขำออกมาไม่ได้
“มา เดี๋ยวช่วย” ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ร่างสูงที่ถูกเทปกาวพันนิ้วเป็นรอบที่สอง และแย่งมันมาสั่งให้เขาจับรูปไว้และผมเป็นฝ่ายแปะให้แทน
“แปลกๆ แฮะ” ผมขมวดคิ้วมองด้านหลังกีตาร์ใบโตที่มีรูปถ่ายซึ่งมีใบหน้าแสนน่าเกลียดของตัวเองอยู่ในนั้นด้วย “เอาออกเหอะ” ผมหันไปนิ่วหน้า แต่ฝ่ามือหนาก็แย่งกีตาร์ออกจากมือผมไปเสียก่อน
เขามองรูปถ่ายที่แปะอยู่ด้วยสีหน้าพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะตีหน้ามึนทำเป็นดีดกีตาร์เล่น ไม่สนใจท่าทางไม่พอใจของผมที่เพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรช่วยเขาแปะเลย มันประหลาดจริงๆ นะ พอเห็นหน้าตัวเองแปะอยู่บนกีตาร์คนอื่นเนี่ย อย่างน้อยตัดหน้าผมออกเหลือแค่เขากับเจ้าเตก็ได้เอ้า
ยิ่งพอเห็นเขาทำเป็นดีดกีตาร์อารมณ์ดีแบบนั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะเบ้หน้าใส่อย่างหมั่นไส้ ดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจกวนประสาทผมชัดๆ แต่กวนได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของร่างสูงก็ดังขึ้นมา เขาหยิบมากดรับโดยไม่พูดอะไร เพียงไม่กี่วิก็กดตัดสายด้วยใบหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ
อะไรวะ
“คอลเซนเตอร์เหรอ?” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม
มันจะมีสักกี่กรณีกันที่คนเราจะกดรับโทรศัพท์แล้วตัดสายในเวลาอันรวดเร็วด้วยใบหน้าเรียบเฉยขนาดนั้น
เชนขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจคำถามผม ก่อนจะตอบ “เปล่า ไอ้เตอร์ มันโทรมานัดไปซ้อมดนตรี”
“...” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ความรู้สึกผิดซ้ำๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
หลังจากวันที่ผมเบี้ยวไม่ยอมไปแข่ง ผมก็ไม่ได้เจอพวกเขาอีกเลย เชนบอกว่าวันนั้น The Quantum ไม่ได้ขึ้นเวทีด้วยสาเหตุสมาชิกไม่พร้อม... ไม่ใช่แค่ผม แต่เชนเองก็หายตัวออกมาตามหาผมทันทีที่ผมขาดการติดต่อไปทั้งที่เหลือเวลาเตรียมตัวไม่ถึงชั่วโมง พอเหลือสมาชิกแค่สองคน พวกเขาก็ไม่สามารถขึ้นแสดงได้ จะหาใครมาแทนก็ไม่ทันแล้ว
มันเป็นความผิดของผมเองที่มัวแต่เป็นห่วงเจ้าเต จึงรีบพามันไปโรงพยาบาลจนลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วย แถมยังมีความคิดเห็นแก่ตัวว่าดีแล้วที่ไม่เอาไป ผมจะได้หนีหน้าได้โดยไม่รู้สึกผิดนัก แต่เมื่อเห็นมิสคอลเป็นร้อยๆ จากเชนและเตอร์ มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า ถึงเชนจะบอกว่าเตอร์เข้าใจเหตุผลของผม แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดี พวกเขาซ้อมหนักขนาดนั้นมาเป็นเดือนๆ ก่อนผมจะเข้าวงเสียอีก
แต่เป็นเพราะผมคนเดียว...ทุกอย่างมันเลยพังหมด
“ไปด้วยกันมั้ย?” เสียงทุ้มถามขึ้นมาขณะที่ผมเอาแต่คิดเรื่องซ้ำซากอยู่คนเดียว
“ไปไหน” ผมเงยหน้าถามงงๆ
“ซ้อมไง” เขาตอบนิ่งๆ “ไอ้เตอร์มันถามหาอยู่พอดี”
“ถามหาฉันเหรอ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองอย่างประหลาดใจ
“อืม มันบอกว่า ‘ลากไอ้ตรีมาด้วย!’ ” ประโยคหลังเขาดัดเสียงเป็นเสียงโหดๆ ของเตอร์ได้เหมือนเป๊ะ จนผมชะงักไป
“จริงเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่แปลกใจกับตัวเอง
ที่เตอร์อยากเจอผม คงมีไม่กี่เหตุผล คือเรียกไปด่า หรือชกหน้าสักที
แต่เป็นแบบนั้นก็อาจจะดีเหมือนกัน...
“ไปมั้ย?” เชนย้ำคำถามอีกรอบ ผมลังเลสักพัก ก่อนจะพยักหน้า
“อืม”
ผมชอบพวกเขามาก ดังนั้นถ้าการอัดผมมันจะทำให้พวกเขาหายโกรธ ผมก็เต็มใจ เพราะไม่อยากสู้หน้าพวกเขาไม่ติดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้ว
“เมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที” ไม่ว่าเปล่า ฝ่ามือหนายังเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ เหมือนทุกครั้งที่ผมกำลังคิดโทษตัวเองไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
คราวนี้ผมอดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวหนีพร้อมกับโวยวาย “แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเล่นหัวสักทีฮะ”
ช่วงนี้เขาถึงเนื้อถึงตัวผมบ่อยเกินไปจริงๆ นะ โดยเฉพาะขยี้ผมเนี่ย เล่นมากๆ เดี๋ยวก็หัวล้านกันพอดีหรอก!
“คิดถึงเจ้าเต” พอถูกผมปัดมือออก อยู่ๆ ร่างสูงก็นิ่งไป แล้วพูดออกมาด้วยใบหน้า (แกล้ง) เศร้า
“...”
ไหงทำหน้างั้น
“ขอลูบหัวหน่อย”
“...”
“ไม่ได้เหรอ?”
“ครับ”
แล้วทำไมสุดท้ายผมถึงเป็นฝ่ายยื่นหัวไปให้เขาเล่นซะเองล่ะวะเนี่ย!?
10.00 P.M.
ผมกับเชนมาถึงผับตอนสี่ทุ่มพอดี มันออกจะแปลกสักหน่อยที่นัดเวลานี้ เพราะปกติพวกเราจะซ้อมกันช่วงเย็นก่อนผับเปิดเพราะถ้าวันไหน The Quantum มีแสดง พวกเขาจะได้มีเวลาพักก่อนโชว์ แต่ดูเหมือนตั้งแต่ที่วินไปเรียนแลกเปลี่ยน The Quantum ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีอีกเลย ผมเกือบจะโทษตัวเองว่าเป็นเพราะผมหายหัวไป จึงทำให้คนไม่พอแสดงแล้ว แต่เชนก็ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าวินที่อยู่เมืองนอกจะน้อยใจที่ไม่ได้เล่นด้วยกันต่างหาก และที่นัดซ้อมทั้งๆ ที่ไม่มีแสดง เป็นเพราะพวกเขายังไม่อยากแยกย้ายและลืมเรื่องวงไปก่อน เพราะถ้าทำแบบนั้น สุดท้ายทุกคนก็จะลืมมันไปจริงๆ
ผมเดินตามเชนเข้ามในร้านที่คนยังคงพลุกพล่านเหมือนเคย ก่อนจะชะงักไป เมื่อพบว่าคนที่เล่นดนตรีอยู่บนเวทีคือเตอร์กับต้าที่มีเครื่องดนตรีในมือเป็นกีตาร์โปร่ง และกลองคาฮอน พวกเขาเปลี่ยนมาเล่นเพลงโฟล์คซองฟังสบายๆ ขัดกับลุคนิ่งๆ โหดๆ ของตัวเองแต่กลับฟังลื่นหูจนทำเอาผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขามาจากวงดนตรีร็อก
“ไหนบอกว่าจะไม่แสดงไง” ผมหันไปถามเชนที่ยืนล้วงกระเป๋ามองอยู่ข้างๆ
“บอกว่า The Quantum ไม่แสดง ไม่ใช่ไอ้สองคนนั่นสักหน่อย” เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
กวนประสาทจริงๆ -_-
“แล้วนายไม่ต้องไปเล่นด้วยเหรอ” ผมถามต่อ
“ไม่ล่ะ” ว่าพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหน้าตาเฉย “ฉันไม่ได้เป็นตัวเรียกลูกค้าแบบพวกมัน”
“อ่อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ
ที่ผ่านมา The Quantum เป็นวงหลักเรียกลูกค้ามาโดยตลอด ด้วยฝีมือระดับเทพของสมาชิกในวงและเสียงร้องอันมีเอกลักษณ์ของเตอร์ที่ติดหูคนฟังได้อย่างไม่ยากเย็นทำให้ช่วงแรกๆ ที่ร้านเปิด คนพูดถึงวงดนตรีมากกว่าตัวผับเองซะอีก ถึงปัจจุบันที่นี่จะมีชื่อเสียงและยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่การที่อยู่ๆ The Quantum เลิกเล่นไป ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ก็คงส่งผลกระทบอยู่บ้าง อย่างน้อยการให้สองคนนั้นมาเล่นดนตรี ก็คงจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดึงลูกค้าเอาไว้ อีกอย่าง เตอร์เป็นหุ้นส่วนของร้าน การให้เขามาเล่นเองยังไงก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการไปจ้างวงดนตรีใหม่อยู่แล้ว
วู้วว~
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่การแสดงจบลง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขนาดมีแค่สองคนยังเรียกเสียงฮือฮาได้ขนาดนี้ พวกเขานี่มันสุดยอดจริงๆ
“ได้เวลาแล้วมั้ง” ผมได้ยินเสียงแว่วๆ ของคนข้างๆ จึงหันไปมอง แต่เพราะว่าในนี้มันเสียงดังเกินไปจึงได้ยินไม่ชัดนัก แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาพูดอะไร เชนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงบอกคนบนเวทีว่าเขามาแล้ว ผมเห็นเตอร์ตอบรับ สายตามองมาที่ผมพลางแสยะยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นวางกีตาร์โปร่งลงข้างตัวแล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดใส่ไมค์
“มาจนได้นะมึง”
“!?” พะ...พูดกับผมเหรอ?
“หึ” สายตาของเตอร์และเสียงหัวเราะของคนข้างตัวยิ่งตอกย้ำว่าคนที่เตอร์พูดถึงคือผมจริงๆ และเพราะเขาพูดใส่ไมค์ จึงทำให้ตอนนี้คนรอบตัวเริ่มมองมาเป็นสายตาเดียวจนผมเกร็งไปหมด
อะไรเนี่ย??
“วันนี้พวกเรามีการแสดงพิเศษ สำหรับคนที่คิดถึง The Quantum โดยเฉพาะ” เสียงกรี๊ดและโห่ร้องดังขึ้นมาอย่างถูกใจทันทีที่เตอร์ประกาศไปแบบนั้น
ส่วนผมก็ยังคงยืนงงอยู่เหมือนเดิม
“ไปเหอะ” และยิ่งงงหนักเมื่ออยู่ๆ คนข้างตัวโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นทำท่าจะเดินไปที่เวที
ดะ...เดี๋ยวสิ! ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้กันฟังเลยหรือไง??
“จะไม่ไปเหรอ?” พอเห็นว่าผมยังยืนนิ่ง ร่างสูงจึงหันกลับมาเลิกคิ้วถาม
“...” ผมอ้ำอึ้ง
“หรือต้องให้พี่จูงมือไปครับ?” มุมปากบางแสยะยิ้มร้ายกาจพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าผม
คะ...ใครจะไปต้องการแบบนั้นวะ
ผมยืนมองหน้าเชนสลับกับเตอร์บนเวทีด้วยความลังเล พวกเขาตกลงอะไรกันไว้ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ ผมโดนเล่นแล้ว
ไม่รอให้ผมได้ตัดสินใจนาน เตอร์ที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนก็ยกมือขึ้นกวักมือเรียกช้าๆ ด้วยสายตาจริงจัง ก่อนที่นิ้วทั้งห้าจะลดเหลือแค่สาม... สอง...
และก่อนที่มันจะเหลือหนึ่งผมก็ตัดสินใจสาวเท้ายาวๆ ไปบนเวทีทันที ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอขณะที่เดินผ่านร่างสูงของเชนและได้แต่หันไปทำหน้าคาดโทษใส่เขา หัวใจผมเต้นแรงมากตอนขึ้นที่ขึ้นเวทีและเตอร์ก็ส่งกีตาร์มาให้ เชนยืนประจำตำแหน่งมือเบสแทนวินเหมือนทุกครั้ง เขาหันมามองอย่างขบขันเมือเห็นว่าผมยังเหวออยู่
และยิ่งเหวอหนักเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเตอร์
“ต้องขอบคุณไอ้วิน ที่เสือกไปเมืองนอก ทำให้เราได้สมาชิกใหม่หน้าใสกว่ามาแทน” ว่าพลางหันมายิ้มมุมปากให้ผม คนในร้านจึงยิ่งหันมามองกันใหญ่จนผมต้องก้มหน้าหนีแสร้งทำเป็นจูนสายกีตาร์ทั้งที่สมาธิหลุดกระเจิง
ให้ตาย มือผมสั่นไปหมด ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้สักหน่อย
“ถ้าใครสนิทกับมือเบสคนเก่าของเรา ฝากบอกแม่งด้วยนะครับว่าถ้าขืนกลับมาช้า ก็เตรียมตัวเสียน้ำตาได้เลย เพราะผมกำลังจะนอกใจมาหาน้องเขาจริงจัง” คราวนี้เตอร์เดินเข้ามากอดคอแถมยังขยี้หัวผมแรงๆ อีกต่างหาก
และขณะที่ผมได้แต่ยืนหน้าเหวอทำตัวไม่ถูก เสียงแปะเบาๆ ก็ดังขึ้นจากการที่ฝ่ามือหนาของใครอีกคนกระทบลงมาบนหัวนักร้องนำที่ยังคงเล่นสนุกไม่เลิก เป็นเชนนั่นเองที่เดินมาตบหัวเพื่อนด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก เขามองผมสลับกับเตอร์ ก่อนจะยิ้มมุมปากพลางชี้นิ้วมาที่ผมก่อนจะหมุนเข้าหาตัว
“คนนี้ของกู”
ถึงเขาจะไม่ได้พูดดัง แต่เพราะยืนอยู่ตรงไมค์ เสียงทุ้มต่ำจึงถูกขยายเข้าลำโพงจนได้ยินกันทั้งผับ เสียงโห่ร้องพร้อมกับเสียงหัวเราะถูกใจดังขึ้นทันทีที่ได้เห็นโมเมนต์หยอกล้อกันของสมาชิกวงที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก เพราะ The Quantum ไม่ใช่วงดนตรีสายเอนเตอร์เทน พวกเขาแทบจะไม่พูดด้วยซ้ำ เวลาทำการแสดง
คงมีแต่ผมแหละที่ขำไม่ออกเพราะอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
เล่นบ้าอะไรกันเนี่ย...
เตอร์หัวเราะอย่างพอใจ ก่อนจะผละออกจากผมกลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิมอีกครั้งเขาเสียบไมค์ลงกับขาตั้ง เงียบลงสักพักเพื่อรวบรวมสมาธิ ก่อนจะหันมามองผมนิ่งๆ แล้วยิ้ม
“มามันให้ตายกันไปข้าง”
คำพูดนั้นแม้ไม่ใช่การตะโกนปลุกระดม แต่มันก็เรียกอะดรีนาลีนในร่างกายผมให้สูบฉีดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และทันทีที่เสียงกลองของต้าดังขึ้น นิ้วเรียวก็ละเลงไปตามสายทั้งหกทันทีโดยที่พวกเขาไม่ต้องบอกเลยว่ากำลังจะเล่นเพลงอะไร ผมเห็นเตอร์ยิ้มอย่างพอใจและเริ่มเปล่งเสียงร้องทรงพลังของเขาออกมาสะกดผู้คนมากมายที่ยืนมองให้เริ่มขยับตัวไปตามจังหวะเพลงร็อกแสนหนักแน่นที่ถูกส่งไป
ผมเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่คู่ควรจะมาเป็นส่วนหนึ่งในเสียงดนตรีของพวกเขา แต่ตอนนี้...ช่างหัวความเหมาะสมมันปะไร แค่ได้มีโอกาสได้เล่นดนตรีอย่างสนุกแบบนี้สักครั้งในชีวิต ก็ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเล่นดนตรีกับพวกเขา แต่คราวนี้มันต่างกันลิบลับ หลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด การได้มายืนอยู่ตรงนี้ราวกับการได้รับการเยียวยาจากเสียงดนตรีที่ทรงพลังพอที่จะกระชากความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นออกไปจากใจ ผมเพิ่งรู้ตัววันนี้เองว่าพวกเราซ้อมกันมาหนักมาก ผ่านนิ้วมือที่ขยับไปตามสัญชาตญาณโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับอะไร
ถ้าไม่ได้เล่น คงเสียดาย
พวกเขาคงรู้ความรู้สึกนี้ จึงให้เชนพาผมมา...
ดนตรีที่กำลังเล่นอยู่ ไม่ได้เกิดจากการต้องการแกล้งให้ผมเสียหน้าจึงเรียกมาเล่นโดยไม่บอกกล่าว ท่าทางของพวกเขาไม่ได้แสดงถึงความโกรธหรือกล่าวโทษในความผิดของผมเลยสักนิด แต่กลับให้อภัยผมผ่านเสียงดนตรีที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สิ่งที่พวกเราทุ่มเทมา มันงดงามคุ้มค่ามากแค่ไหน
ผมหันกลับไปมองเชนซึ่งยื่นอยู่อีกฝั่งของเวทีและพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน เราสบตากันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ นิ้วเรียวสวยยังคงไล้ไปตามสายเบสขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสื่อความหมายบางอย่างออกมา
สายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า เห็นมั้ย...ไม่มีใครโกรธนาย
ผมหัวเราะ เบือนหน้าหนีด้วยความอายแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสบตากับร่างสูงอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ดังก้องอยู่ในใจ
“ขอบคุณครับ”
ขอบคุณจริงๆ... ที่เข้ามาในชีวิตผม
---------------------------------------------
เราจะไม่บอกว่าพี่เชนทำอะไรกับทองกวาว ฝากไปจินตนาการกันเอาเองนะคะ 55555
ส่วนตัวชอบตอนนี้มาก เขียนเกี่ยวกับวงดนตรีทีไรรู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก
คงเพราะชอบผู้ชายเล่ยดนตรีเป็นการส่วนตัว 5555
ตรีเหมือนจะเริ่มรู้หัวใจตัวเองนิดๆแล้ว
อยากให้คบกันเร็วๆ เนอะ
-- makok_num --