8
อีกก้าว...
06.00 P.M.
ผมเคยคิดนะ ว่าการเรียนช่วงปิดเทอมมันคงจะน่าเบื่อ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะน่าเบื่อขนาดนี้ ผมไม่น่าลงเรียนติดกันสามวิชารวดเลย สภาพอากาศช่วงเดือนมีนาคมของประเทศไทยนี่ใช่เรื่องเล่นๆ ซะที่ไหน ห้องเรียนที่ไม่เปิดแอร์ก็ไม่ต่างจากเตาอบขนาดใหญ่ที่อัดคนสามสิบกว่าคนเข้าไปแย่งอากาศหายใจกันนั่นแหละ นี่ผมต้องทนแบบนี้ไปเกือบสองเดือนเลยเหรอเนี่ย ให้ตาย! ผมกลับห้องมาในสภาพเหงื่อท่วมตัว โชคดีที่รถไม่ติด ไม่อย่างนั้นผมคงจะหงุดหงิดมากกว่านี้
ด้วยความที่ลืมไปซะสนิทว่าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ห้องด้วย ทำให้ผมเผลอล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน แต่เมื่อรู้ตัวผมก็เปลี่ยนเป็นเคาะประตูแทน
ก๊อกๆ
“ไม่ได้ล็อก” เสียงจากคนในห้องตอบกลับมา ผมบิดลูกบิดเข้าไป ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อร่างสูงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอยู่ในสภาพที่... ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่
ทำไมไม่บอกก่อนวะว่าแก้ผ้าอยู่ -*-
ผมแสร้งทำเป็นเดินเอาของไปเก็บบนโต๊ะหนังสืออย่างไม่คิดอะไร พยายามไม่มองร่างกายที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันเอวอยู่ผืนเดียวของหมอนั่น แต่ร่างกายสมส่วนที่มีหยดน้ำเกาะพราว และผมที่เปียกไม่เป็นทรงนั่นก็ดึงดูดสายตาผมเกินไปอยู่ดี
ให้ตายๆ ผมต้องบ้าแน่ๆ ที่เห็นว่าผู้ชายด้วยกันฮอตมากขนาดนี้
“จะอาบน้ำหรือเปล่า” ผมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ร่างสูงหันมาถาม
“ฮะ?”
อะ...เออ ยอมรับเลยว่าไม่ได้ฟังเลยสักนิด
เชนขมวดคิ้วก่อนจะถามใหม่อีกรอบ “จะอาบน้ำก่อน หรือว่าจะไปเลย”
“อ่อ” ผมร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะมองนาฬิกา เพิ่งหกโมงนิดๆ เอง ปกติผมไปที่ร้านตอนสองทุ่มนู่น แถมวันนี้อากาศร้อนตับแลบอีกต่างหาก จะไม่อาบก็คงไม่ไหว
“อาบสิ” ผมตอบก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แหละหยิบเสื้อยืดกางเกงยีนตัวโปรดออกมา
ถ้าเป็นปกติผมคงหยิบไปแค่ผ้าเช็ดตัวนั่นแหละ แต่... ตอนนี้มันปกติซะที่ไหนล่ะ!
ผมอาบน้ำด้วยความคิดในหัวที่ว่า ผมต้องคิดผิดแน่ๆ ที่ยอมให้หมอนี่มาอาศัยอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเองก็ดูไม่ได้เดือดร้อนอะไร ออกจะง่ายๆ สบายๆ ด้วยซ้ำ ขนาดผมให้นอนที่พื้นยังไม่บ่นซักคำเลย แต่กลับเป็นผมนี่แหละที่รู้สึกแปลกๆ เวลาที่หมอนั่นทำนู่นทำนี่
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเอาแต่จ้องมองการกระทำของหมอนั่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่าทีหลายๆ อย่างของเขา เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น... แต่ยังไงก็เถอะ ไอ้การที่ผมมานั่งว้าวุ่นใจอยู่แบบนี้มันไม่ใช่ตัวผมเอาซะเลย ปกติแกเป็นคนสุขุมกว่านี้นี่ ไอ้ตรี!
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมใช้เวลาในการอาบน้ำนานเกินครึ่งชั่วโมง ถึงจะสระผมด้วยก็เถอะ แต่ปกติผู้ชายอาบน้ำแค่สิบนาทีก็เสร็จ เพราะผมเอาแต่คิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่นั่นแหละ ทำให้ไม่ได้ดูเลยว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมเดินออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพที่เสื้อผ้าครบชุดจนคนที่นั่งเล่นกับแมวอยู่บนเตียงถึงกับขมวดคิ้ว
หมอนั่นยังไม่ใส่เสื้ออีกเรอะ รู้หรอกน่าว่าหุ่นดี แต่ไม่ต้องขยันโชว์มากก็ได้มั้ง
“ทำไมไม่ใส่เสื้อ” เร็วเท่าความคิด ปากผมโพล่งถามออกไปก่อนที่ผมจะรู้ตัวซะอีก ร่างสูงเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะตอบ
“ผมยังไม่แห้ง” ว่าแล้วมือหนาก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่ที่คอเช็ดผมที่ยังเปียกอยู่ของตัวเอง เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“นายนั่นแหละ ใส่เสื้อทั้งอย่างนั้นเดี๋ยวเสื้อก็เปียกหมด” หมอนั่นยอกย้อน
จริงๆ ก็ไม่เดี๋ยวหรอก ตอนนี้หยดน้ำที่อยู่บนเส้นผมที่เพิ่งสระใหม่ๆ มันหยดลงมาเปียกเสื้อผมไปหมดแล้ว แต่ช่างมันเถอะ เปียกได้เดี๋ยวมันก็แห้งได้เองนั่นแหละ ผมบ่นในใจก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเองคลุมหัวที่เปียกไว้ พลางเดินไปหาขนมขบเคี้ยวที่มักซื้อมาตุนไว้กิน เพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ แล้ว ปกติวันไหนถ้าผมต้องไปเล่นดนตรีที่ร้าน ผมก็จะไม่ทำมื้อเย็น เพราะว่าพี่เจ้าของร้านใจดีให้ผมกินข้าวฟรีที่ร้านได้ มันเป็นการทุ่นค่าใช้จ่ายของผมได้มากทีเดียว
“เอาขนมปังมั้ย” ผมถามร่างสูงที่นั่งเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียง
หมอนั่นเลิกเล่นกับเจ้าเตแล้ว ปล่อยให้มันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ในขณะที่มือหนาเอื้อมไปหยิบกีตาร์ของตัวเองขึ้นมาดีดเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้าตอบ ก่อนจะก้มลงดีดกีตาร์อีกรอบ
ผมเลิกสนใจหมอนั่น คาบขนมปังถั่วแดงไว้ในปาก แล้วเดินไปเก็บกีตาร์ของตัวเองใส่กระเป๋าเตรียมออกไป
“นายต้องไปที่ผับกี่โมง” ผมถามทั้งที่กำลังเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ ชิ้นมันเล็กไปเปล่าวะ กินไม่ถึงสามคำก็หมดแล้วมั้งเนี่ย
“วงฉันขึ้นเล่นตอนสี่ทุ่ม” เขาตอบโดยที่ยังคงก้มหน้าดีดกีตาร์อยู่
“โห อีกนานเลยแฮะ หรือนายจะไปเองดี” ผมถามพลางเช็ดผมไปด้วย ถ้าไปตอนนี้ ก็ต้องรออีกเกือบสามชั่วโมงเลยนะ
“ไม่เป็นไร ไปก่อนก็ดี” ว่าพลางวางกีตาร์ไว้ข้างเตียง เขาเดินไปค้นกระเป๋าเป้ของตัวเองที่ยังคงวางอยู่ที่พื้น ก่อนจะหยิบเสื้อยืดคอวีสีเทาออกมาใส่ แล้วผึ่งผ้าเช็ดผมไว้บนกระเป๋าอย่างลวกๆ
มันเป็นเสื้อที่โชคดีมากเลยนะที่ได้มาอยู่บนตัวของหมอนี่ จะมีสักกี่คนกัน ที่จะใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ แล้วดูดีระดับห้าดาวได้ขนาดนี้
เออ แล้วทำไมผมต้องมานั่งชมหมอนี่ตลอดเวลาด้วยวะ ให้ตาย สมองผมต้องมีปัญหาแน่ๆ ช่วงนี้ถึงได้เอาแต่คิดอะไรแปลกๆ
“จริงๆ นายใช้ตู้เสื้อผ้าก็ได้นะ ยังไงเสื้อผ้าฉันมันก็ไม่เต็มอยู่แล้ว” ผมบอก จริงๆ เสื้อผ้าผมมีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไม่รู้จะมีตู้ใหญ่มหึมาเอาไว้ให้เปลืองพื้นที่ทำไม
“อือ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมาถามผมเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ไปยัง”
“อือ” ผมตอบ พร้อมยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากและผึ่งผ้าเช็ดผมไว้กับเก้าอี้ ความจริงก็อยากรอให้ผมแห้งกว่านี้อยู่เหมือนกันนะ แต่เอาเถอะตากลมไปเดี๋ยวมันก็แห้งเหมือนกันนั่นแหละ
ผมยกกระเป๋ากีตาร์ขึ้นพาดบ่า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเดินออกจากห้อง
“แล้วไม่เอากีตาร์ไปเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นร่างสูงเดินตัวปลิวตามมา
แต่แทนที่จะตอบคำถามผม หมอนี่กลับนั่งลงไปลูบหัวเจ้าเตที่วิ่งตามมาทำตาละห้อย “เดี๋ยวกลับมา” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นและปิดประตู ได้ยินเสียงเจ้าเตร้องเหมียวๆ ลอดออกมา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกผมต้องไปทำมาหากินนี่หว่า
“ฉันเล่นกีตาร์ไฟฟ้า” อยู่ๆ ร่างสูงก็หันกลับมาพูดพร้อมกับยื่นกุญแจห้องที่ผมฝากไว้เมื่อเช้ามาให้
จนผมลืมคำถามตัวเองไปแล้วมั้ง
“พอโดนไล่ออกจากห้อง ยังไม่รู้จะไปอยู่ไหน ฉันก็เลยเอากีตาร์ไปฝากไว้ที่ร้านก่อน แบกไปแบกมาสองตัวมันเกะกะ” ว่าพลางเดินนำหน้าไป ผมเลยเดินบ้าง
ผมพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเหตุผลที่หมอนี่มาอยู่ห้องผมเพราะอะไร “แล้ว...ตอนนี้นายกับฟ้าได้คุยกันบ้างหรือยัง”
“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ ขณะเดินลงบันได
“แล้วฟ้าว่ายังไงบ้าง พ่อแม่เขายังโกรธนายอยู่หรือเปล่า” ผมถามต่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกแย่แทนหมอนี่ขึ้นมา
ถ้าเป็นผมโดนพ่อแม่แฟนกีดกันแบบนี้ ผมก็คงแย่ไปเลยเหมือนกัน ผมเคยลองคิดเล่นๆ นะ ว่าถ้าผมกับไอ้ซัน... ได้คบกันจริงๆ... ผู้ใหญ่ของพวกเราจะยอมหรือเปล่า... แต่มันก็เป็นได้แค่การคิดเล่นๆ นั่นแหละ เพราะไม่ว่ายังไง เรื่องแบบนั้นก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก
“ก็คงโกรธ” เขาเว้นวรรคนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ยัยนั่นบอกว่าพ่อแม่บังคับให้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดตั้งแต่พรุ่งนี้เลย”
อ่า... ฟังดูเลวร้ายอยู่นะ
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ” ผมถามพลางกดปลดล็อกรถ ห้องพักผมอยู่แค่ชั้นสอง ทำให้ใช้เวลาเดินไม่นานเท่าไหร่
“ไม่รู้สิ” ร่างสูงตอบพร้อมกับเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ผมเลยชะงักนิดหน่อย
“เฮ้ เดี๋ยวฉันขับเอง” ผมแย้ง แต่คนตรงหน้ากลับแบมือออกมา
“ฉันเป็นรุ่นพี่” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพูดเสียงเรียบในประโยคที่ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย
แต่นี่มันรถผมนะเว้ย
ผมอยากจะเถียงออกไปอยู่หรอกนะ แต่สีหน้านิ่งๆ ดูจริงจังของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมรู้ว่า เถียงไปก็เท่านั้น ผมเลยจำยอมส่งกุญแจรถไปให้ร่างสูงที่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ
เอาเหอะ บางทีให้คนอื่นขับรถให้บ้างก็คงสบายดีเหมือนกัน
รถโฟล์คสีน้ำเงินแล่นไปตามถนนที่มีรถไม่มากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ทำให้คนแถวนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา พากันกลับภูมิลำเนาของตัวเองกันไปหมด จริงๆ ผมเองก็อยากกลับบ้านนะ แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากลับไปก็ไม่เจอใครอยู่ดี ก็เลยไม่กลับดีกว่า
พ่อแม่ของผมเขาไปทำงานที่ต่างประเทศกันหมดน่ะ นานๆ ทีถึงจะกลับบ้านที ทำให้ผมต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนม.5 แต่การที่ครอบครัวไปทำงานต่างประเทศไม่ได้หมายความว่าบ้านของเรารวยหรอกนะ เพราะธุรกิจของครอบครัวผมก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ทำให้ผมต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผมควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกท่าน ทุกวันนี้อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดเพื่อจะได้ไม่รบกวนเงินจากทางบ้านมากนัก เพราะลำพังค่าเทอมของคณะเรา มันก็มากกว่าคณะอื่นๆ เป็นเท่าตัวแล้ว
“แป๊บนะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่จอดรถเทียบฟุตบาท แล้วเปิดประตูรถลงไปเฉยเลย
ผมมองตามร่างสูงที่วิ่งออกจากรถ ก่อนจะเห็นว่าเขาหายเข้าไปในร้านที่ดูเหมือนจะขายของสำหรับสัตว์เลี้ยง ไม่นานหมอนั่นก็กลับออกมาอีกรอบ พร้อมอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ
“อะไรน่ะ” ผมถามทันทีที่เขากลับเข้ามาในรถ เชนสตาร์ทรถอีกรอบ ก่อนจะส่งไอ้ของที่อยู่ในมือมาให้ผม
“ปลอกคอ?” ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มันคือปลอกคอเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลที่มีกระดิ่งติดอยู่ด้วย
“ของไอ้เตมัน” ไม่ต้องรอให้ผมได้ถาม คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตอบขึ้นมาโดยที่ตายังคงมองไปที่ถนนข้างหน้าอยู่ มุมปากหมอนี่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมาด้วยล่ะ
“มันยังเล็กอยู่เลย ใส่ปลอกคอได้เหรอ?”
“อ้าว ใส่ไม่ได้เหรอ” คราวนี้หมอนี่หันมาเลิกคิ้วถามท่าทางเหมือนตกใจ
“ไม่รู้” ผมได้แต่ยักไหล่ ก็ไม่เคยเลี้ยงสัตว์เหมือนกันล่ะนะ คงตอบอะไรไม่ได้หรอก
“แล้วนึกยังไง อยู่ๆ ถึงอยากซื้อปลอกคอให้มันเนี่ย” ผมถามต่อ รู้สึกแปลกใจนิดๆ ขนาดผมเป็นคนเก็บมาเลี้ยง ยังไม่คิดจะซื้อปลอกคอให้มันเลย
เชนเบือนหน้ากลับไปที่ถนนอีกรอบ ก่อนจะตอบเสียงเบากว่าทุกที “ก็... กลัวมันหาย” น้ำเสียงอ้อมแอ้มที่เจือไปด้วยความเขินอายทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา
“ดูท่าทางนายจะรักมันมากเลยนะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ
ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าเต หมอนี่ดูอารมณ์ดีมากจริงๆ นะ ถึงจะไม่ได้หัวเราะ หรือคุยกับมันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนรักสัตว์คนอื่นๆ ที่ผมเคยเห็นก็เถอะ แต่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขา แววตาที่มองที่เจ้าเตนี่ มีแต่ความเอ็นดูแฝงอยู่ล้วนๆ
“ก็ฉันเป็นพ่อมันนี่” เจ้าของเสียงเรียบตอบขึ้นมา
“ไหนตอนแรกบอกว่าฉันเป็นพ่อมันไง” ผมหันไปแย้ง
“มีพ่อสองคนก็ได้ ไม่เห็นจะแปลก”
“แปลกสิ มีใครที่ไหนมีพ่อทีเดียวสองคนมั่งล่ะ” ผมเถียงต่อ จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะแย่งไอ้ตำแหน่งคุณพ่อนี่สักเท่าไหร่หรอกนะ แต่เห็นท่าทางเห่อเจ้าเตของหมอนี่แล้วอดหมั่นไส้จนอยากจะเอาชนะให้ได้ขึ้นมาซะงั้น แต่คนอยากเอาชนะอย่างผมก็ต้องชะงักไป เมื่อเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยหันมาสบตานิ่งๆ
“ก็เจ้าเตไง” ว่าพลางแสยะยิ้มมุมปากดูร้ายกาจเหมือนอย่างเคย “หรือจะให้ฉันเป็นพ่อ แล้วนายเป็นแม่ล่ะ?”
“...!!”
อะ...ไอ้...
พอๆๆ ไม่เถียงแล้วก็ได้วะ!
08.45 P.M.
Staring at the ceiling in the dark
Same old empty feeling in your heart
'Cause love comes slow and it goes so fast
นิ้วเรียวไล้ไปตามสายกีตาร์ตัวโปรด พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยเป็นทำนองเพลงติดหูซึ่งถูกขอมาจากลูกค้าเจ้าประจำของร้าน ด้วยความที่เล่นมาหลายรอบทำให้ผมเกาคอร์ดได้อย่างชำนานโดยไม่ต้องดูโน้ตเพลงเลย
เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วสำหรับคืนนี้ ปกติผมจะเล่นดนตรีแค่คืนละชั่วโมงเท่านั้นเพราะช่วงหัวค่ำยังเป็นบรรยากาศชิลๆ เหมาะกับดนตรีโฟล์คซองฟังสบายๆ หลังจากนี้ที่ร้านจะมีวงดนตรีหลากหลายแนวที่จ้างมาเล่นเป็นคืนๆ ไป
Well you see her when you fall asleep
But never to touch and never to keep
'Cause you loved her too much
And you dived too deep
ขณะที่ไล้นิ้วไปตามสายกีตาร์ สายตาของผมก็เผลอเหลือบมองไปยังโต๊ะที่อยู่ในสุดด้านขวามือโดยไม่ได้ตั้งใจ...
หรืออาจจะตั้งใจโดยไม่รู้ตัวก็ได้... แต่ที่แน่ๆ สายตาของผม ดันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่กำลังจ้องมาทางนี้เหมือนกัน ด้วยสายตานิ่งๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ในแบบของเขา
นี่หมอนั่นยังนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย ผมคิดว่าไปที่ร้านแล้วเสียอีก ผมอุตส่าห์ให้กุญแจรถไปแล้วนี่นา
จริงอยู่ว่าหมอนี่มารถผม และถ้าเขาเอารถไปผมก็คงเดินทางลำบาก แต่ยังไงร้านที่หมอนี่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากเท่าไหร่ ผมเดินตามไปทีหลังก็ได้
Well you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missin' home
Only know you love her when you let her go
ไม่รู้ว่าผมจ้องนานเกินไปหรือยังไง เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นั่งตีหน้านิ่งมาตลอดจึงกระตุกยิ้มมุมปากออกมา ผมได้ยินเสียงหัวเราะร้ายกาจของเขาในจินตนาการเลยด้วยซ้ำ ผมเบ้หน้ากลับไป เพราะไม่รู้ว่าอยู่ๆ หมอนั่นขำอะไร หน้าผมมีอะไรให้ขำงั้นเหรอ มองทีไรก็หัวเราะอยู่ได้ ผมไม่ใช่ตัวตลกสักหน่อย
“หึ” แต่อยู่ๆ ผมก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับเบือนหน้านีจากดวงตาคมกริบคู่นั้น
จริงๆ การมีคนมานั่งจ้องตรงๆ แบบนี้มันก็รู้สึกเขินแปลกๆ เหมือนกันแฮะ ถึงแม้ผมจะทำงานแบบนี้ แต่นักดนตรีในร้านอาหาร ใช่ว่าจะมีคนให้ความสนใจนี่นา ทุกคนล้วนมาพบปะกัน เฮฮากัน กินเหล้ากัน ดนตรีโฟล์คซองเบาๆ อย่างผม มันก็เป็นแค่ส่วนประกอบที่ทำให้คนเจริญอาหารขึ้นก็เท่านั้น
ผมกล่าวขอบคุณแขกในร้านที่ดูเหมือนจะไม่ได้มีใครสนใจฟังเท่าไหร่ ก่อนจะเก็บกีตาร์และเดินลงจากฟลอร์เล็กๆ มา ก่อนจะเดินไปลาพี่เจ้าของร้านและรับค่าจ้างรายวันมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนสีเข้มเก็บเงินค่าอาหารบนโต๊ะเสร็จและเดินมาทางนี้เช่นกัน ผมหันไปมองหน้าหมอนั่นที่ยังคงยกมุมปากเป็นรอยยิ้มร้ายกาจค้างอยู่
“ยิ้มอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม แต่คนตรงหน้ากลับยักไหล่น้อยๆ
“เปล่า” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าผมออกไปนอกร้านเฉยเลย ผมเดินตามไปด้วยอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดกับความกวนประสาทของหมอนี่ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ฉันให้กุญแจนายไปตั้งนานแล้วนะ ทำไมนายยังอยู่อีกล่ะ” จริงอยู่ว่ามันเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาทำงานของหมอนี่ แต่ไปก่อนก็ได้นี่นา อย่างน้อยไปที่ร้านเขาก็อาจจะมีเพื่อนคุยบ้าง ไม่ใช่มานั่งแกร่วกินเหล้าอยู่คนเดียวแบบนี้ เพราะดูแล้วบาร์ชิลๆ แบบนี้ดูจะไม่ใช่แนวเขาเท่าไหร่
“ขี้เกียจ” เขาว่าพลางปลดล็อกรถโฟล์คสีน้ำเงินของผม ผมเบ้หน้านิดหน่อยและเดินไปเปิดประตู
“แล้วก็...” แต่หมอนั่นก็พูดอะไรต่อ ขณะที่เปิดประตูฝั่งคนขับเช่นกัน “ถ้าฉันเอารถไป แม่เจ้าเตก็ต้องเดินขาลากน่ะสิ” คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแสนกวนประสาทนั่นทำต่อมโมโหผมปะทุขึ้นมาอีกรอบ ผมชูนิ้วกลางใส่หมอนั่นก่อนจะเข้ามานั่งเบ้หน้าบ่นอุบอิบในรถ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะโมโหผมกลับได้ยินเสียงหัวเราะของหมอนั่น ก่อนที่เขาจะเข้ามานั่งประจำหลังพวกมาลัยและออกรถด้วยใบหน้าอารมณ์ดีที่แกล้งยั่วโมโหผมได้
เออ กวนประสาทเข้าไปเหอะ ถ้าไม่เห็นว่าอายุมากกว่าผมต่อยหมอนี่น่าแหกไปแล้ว คนบ้าอะไร ปากหมาได้หน้าตายสุดๆ!
01.23 A.M.
หลังจากนั้นไม่นานเราก็มาถึงผับที่เชนทำงานอยู่ ผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้ไกลเลย อยู่ถัดไปอีกแค่สามซอยเท่านั้น ผมนั่งจิบเบียร์ดูวงหมอนั่นเล่นซึ่งมันก็สุดยอดเหมือนเคย ดูท่าทาง The Quantum จะเป็นวงเรียกลูกค้าประจำร้านเลยทีเดียว ด้วยหน้าตาของสมาชิกวงที่หล่อเริดยิ่งกว่าบอยแบนด์เกาหลี แถมยังฝีมือการเล่นดนตรีที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างจากหน้าตาเลย ลูกค้า โดยเฉพาะสาวๆ ก็เลยติดกันงอมแงม
หลังจากที่พวกนั้นเล่นจบแล้วผมก็ได้นั่งกินเหล้าอยู่กับพวกเขาอยู่พักใหญ่ ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้หยิ่งอย่างที่คิด ผมเคยบอกใช่มั้ยล่ะว่าบุคลิกของคนในวงนี้ดูจะนิ่งๆ โหดๆ เหมือนกันหมด แต่จริงๆ พวกนั้นก็มีมุมอื่นที่ไม่ใช่แค่นั่งเก๊กไปวันๆ ล่ะนะ เหมือนเชนไง ตอนแรกผมก็เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นคนนิ่งๆ โหดๆ ติดจะเย็นชา แต่พอได้รู้จักจริงๆ ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะมีมุมอ่อนโยน รักสัตว์อย่างคนอื่นเขาด้วย ถ้าไม่เจอกับตาผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละ
จากที่ได้คุยกับคนพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าที่พวกเขาฟอร์มวงขึ้นมาได้เพราะพวกเขาเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์เหมือนกัน แล้ว เตอร์ ที่เป็นนักร้องนำและเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของเชน ก็เป็นตัวตั้งตัวตีชวนคนอื่นๆ มาร่วมวง แล้วสุดท้ายก็ได้ วิน กับ ต้า มาเล่นเบสและกลองให้ ตอนแรกพวกเขาตั้งใจฟอร์มวงขึ้นมาประกวดในงานของคณะเท่านั้น แต่ด้วยฝีมือที่เตะตารุ่นพี่ ทำให้พวกเขาถูกขอร้องให้ขึ้นแสดงในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยบ่อยๆ
แน่นอนว่าผมไม่เคยไปดูเลยสักครั้ง ก็แหงล่ะ ผมมีเวลาว่างไปเข้าร่วมกิจกรรมอะไรซะที่ไหน
ทุกคนยังจำเรื่องที่เชนมาชวนผมเข้าวงได้มั้ย ผมเพิ่งรู้ว่าหมอนั่นไม่ได้ชวนผมเล่นๆ อย่างที่คิด แต่เป็นเพราะ วิน ที่เป็นมือเบสจะไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศในเร็วๆ นี้ พวกเขาก็เลยอยากหาคนมาเล่นแทนชั่วคราว ตอนแรกพวกเขาก็อยากจะหามือเบสหรอกนะ แต่ก็ยังไม่เจอคนที่เคมีเข้ากันได้สักที เป็นจังหวะเดียวกับที่เชนไปเห็นผมเล่นดนตรีที่บาร์ (ตอนไหนก็ไม่รู้) แล้วไปบอกกับเพื่อนเขา ทุกคนเลยลงมติกันว่าจะลองชวนผมไปเล่นกีตาร์ให้วงและใช้เชนไปเล่นเบสแทน (เพื่อนเขาบอกว่าหมอนี่เล่นได้หมดทุกอย่างแหละ กีตาร์ เบส กลอง เหอะ! ความสามารถทางดนตรีจะล้นทะลักไปมั้ย -*-) แถมจากที่คุยกันวันนี้ พวกเขาก็ดูจะถูกชะตากับผมไม่น้อย ก็เลยลองให้ผมทบทวนดูอีกรอบ
พอพวกเขาบอกว่าถ้าผมปฏิเสธก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนแล้ว ผมก็เริ่มใจอ่อนนิดๆ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงไปหรอกนะ
แต่เอาจริงๆ ถึงผมจะเล่นกีตาร์มาตั้งแต่สมัยประถม และเล่นเพลงได้ทุกแนวก็เถอะ แต่ให้ร่วมวงกับคนอื่นนี่ไม่ชัวร์จริงๆ ว่ะ ผมเคยคิดจะฟร์อมวงกับเพื่อนเหมือนกันตอนม.ปลาย แต่เพราะแต่ละคนต่างก็เอาตัวเองเข้าว่า ไม่มีทีมเวิร์คเลยสักนิด นัดซ้อมก็มาไม่ค่อยครบ สุดท้ายมันเลยล่มไม่เป็นท่า ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าจะเข้ากับพวกนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า ยังไงพวกเราก็เพิ่งคุยกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมในวงเหล้าอีก ใครจะไปรู้ ที่คุยกันง่ายๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ได้
“เฮ้อ” ผมถอนใจออกมาเบาๆ และเลิกคิดเรื่องวงดนตรี ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองที่วางเอาไว้บนหัวเตียงออกมากดเข้าเฟสบุ๊คซึ่งถูกเปิดค้างไว้ที่หน้าเฟสของไอ้ซัน...
อาจจะดูโรคจิตนิดๆ นะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมทำเป็นประจำก่อนนอน หลังจากที่มันตามวีไปอเมริกา และดูเหมือนจะอยู่ที่นั่นตลอดปิดเทอม ผมเลื่อนไทม์ไลน์ที่มีรูปของมันกับวีพร้อมกับญาติของวีที่ทั้งสองคนไปอาศัยอยู่ด้วยไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ สีหน้ามีความสุขของมันทำให้ผมยิ้มออกมาได้ทุกครั้ง แม้จะรู้ว่าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขนั้นเลยก็ตาม ผมได้แต่ดูรูปภาพแต่ละรูปของคนที่ผมแอบรัก และลอบยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด
เชนคงจะหลับไปแล้ว หมอนั่นอาบน้ำและนอนก่อนผมซะอีก อาจเพราะคืนนี้เขาดื่มไปไม่น้อยเลย (ถึงผมจะไม่เห็นแววความเมาของเขาเลยอ่ะนะ) กลับห้องมาก็เลยไม่อยากทำอะไร ผมดูรูปในไทม์ไลน์ของไอ้ซันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น นานหลายนาที จนกระทั่งเริ่มง่วงแล้ว จึงปิดเฟสและวางโทศรศัพท์ลงที่เดิมเตรียมนอน แต่เสียงเจ้าเตที่ร้องเหมียวๆ ขึ้นมาก็ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกรอบ
เมี้ยวว
ถึงในห้องจะมืดสนิท แต่ความเงียบก็ทำให้ผมพอจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อดูว่ามันร้องทำไมแต่เสียงของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“เต มานี่มา” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน เสียงร้องพร้อมกับเสียงกระดิ่งจากปลอกคอที่หมอนั่นสวมให้มันดังขึ้นมาบ่งบอกว่ามันกำลังวิ่งเข้ามาหาเจ้าของเสียงอย่างว่าง่าย
ผมพลิกตัวกลับไปยังฝั่งที่หมอนั่นนอนอยู่ ก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ “ยังไม่หลับเหรอ”
“อืม” เจ้าของเสียงทุ้มตอบสั้นๆ พร้อมกับร่างที่ขยับตัว ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไรแต่เสียงครางด้วยความพอใจจากเจ้าเตก็ทำให้พอจะเดาออกว่าหมอนี่คงจะลูบหัว หรือไม่ก็เกาคางให้มันอยู่ล่ะมั้ง
ไม่นานเสียงเจ้าเตก็เงียบไป ในห้องเหลือแต่เสียงของพัดลมที่กำลังทำงานอยู่ ผมพลิกตัวกลับมานอนหงายอีกรอบ ก่อนจะหาเรื่องคุย “มันหลับไปแล้วเหรอ เจ้าเตน่ะ” ผมถาม
“น่าจะ” เขายังคงตอบสั้นๆ กลับมา ผมลืมตามองเพดานห้องในความมืดปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพักใหญ่
“ปวดหลังหรือเปล่า” อยู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ผมเองก็เคยนอนพื้นนะ ตอนรับน้องหรือตอนทำงานที่สตูดึกๆ มันไม่มีฟูกนิ่มๆ ให้เรานอนเหมือนตอนนี้หรอก นอกซะจากจะมีใครพกไปทำงานด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่ผมแน่นอน และทุกครั้งที่ต้องนอนพื้นสตูดิโอแข็งๆ พอตื่นเช้ามาหลังของผมก็จะระบมไปหมดทุกที
“นิดหน่อย” เขาตอบ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงพลิกตัวอีกรอบ “ถามทำไม จะให้ฉันขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยหรือไง”
“ฝันเหอะ” ผมตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ก็แค่ถามดู ถ้านายปวดหลัง ไปซื้อฟูกเล็กๆ มาปูก็ได้นะ หรือไม่ก็ลองเอาผ้าห่มอีกผืนที่อยู่ในตู้มาปูอีกชั้น เผื่อจะช่วยได้” ผมบอก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมมีผ้านวมอีกผืนที่เอาไว้ห่มตอนหน้าหนาว (อากาศหนาวที่เชียงใหม่ไม่ใช่เล่นๆ เลย) แต่ตอนนี้อากาศมันร้อนตับแลบ ผมเลยเก็บมันไว้ในตู้ ไม่ได้เอาออกมาใช้
“ช่างเถอะ นอนพื้นก็เย็นดี” ตอบอย่างไม่ยี่หระ
“แน่ใจ? ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกขึ้นมา อย่ามาโทษฉันทีหลังนะ” ผมบอกก่อนจะพลิกตัวกลับไปอีกด้าน รู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะ
“นายจะเอายังไงเรื่องที่ฉันชวนเข้าวง” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหลับ เสียงทุ้มก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
“ไม่รู้สิ” ผมตอบพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ “ขอคิดดูก่อนละกัน” ว่าพร้อมกับตาที่ปิดลงอย่างช้าๆ
“...”
หมอนั่นเงียบไปนานจนผมคิดว่าเขาอาจจะหลับไปแล้ว หรือจริงๆ ผมเองนี่แหละที่กำลังจะหลับ สติสัมปชัญญะของผมค่อยๆ หายไปทีละนิด พร้อมกับห้วงนิทราที่เข้ามาครอบคลุม
“ฉันอยากได้นายมาร่วมวงจริงๆ นะ” เสียงทุ้มดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่มันเลื่อนลอยมาจนผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันหรือเปล่า
“...”
“แล้วก็ ฉันยังไม่ได้บอกนายเลยสินะ... เรื่องที่ให้มาอยู่ห้องด้วยน่ะ”
“...” หูของผมยังคงได้ยินเสียงนั้นอยู่ แต่ดูเหมือนจะจะเบาลงเรื่อยๆ พร้อมกับสติของผมที่กำลังดับลงอย่างช้าๆ และไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็หลับไป โดยไม่ทันได้ฟังคำพูดหลังจากนั้นของเจ้าของเสียงทุ้มนั่นเลย
“ขอบคุณ”
“...”
“...”
“zzZ...”
“เฮ้ หลับแล้วเหรอ?”
“zzZZ...”
“บ้าชะมัด หลับหนีกันเฉยเลย”
“zzzZZ...”
“หึ... ฝันดีครับ”
-- makok_num --