❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤  (อ่าน 124736 ครั้ง)

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 20 ขี้โกง

   รายกการทีวีที่ดูอยู่นั้นมันไม่ได้เข้าหัวของผมเลยสักนิดในเมื่อเวลานี้มันมีสิ่งสำคัญที่ผมจะต้องคิดและมันค้างคาใจมา
ตลอดวันจนแทบไม่มีสมาธิจะทำอะไร ภาพของแหวนสลักลายนกฟินิกส์นั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดของผม พยายามเฝ้าบอก
ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ทั้งลวดลายของแหวะและตัวอักษรที่สลักอยู่ด้านในนั้นจะเหมือนกัน จะว่าไป
แหวนทองคำขาววงที่ผมมีมันก็หายไปตั้งแต่ผมมาที่ฟาร์มนี้เพราะปกติแล้วแม่ต้องการให้ผมใส่มันติดตัวไว้ตลอดเวลาถึงแม้ผมจะ
ไม่อยากที่จะใส่มันก็ตาม

   “รัมภ์เห็นฟางมันบ้างไหม ไม่รู้หายหัวไปไหนของมันเรียกหาตั้งนานไม่โผล่หัวมาสักที”

   “ทำไมเหรอครับ ผมไม่เห็นฟางสักพักแล้ว”ผมละสายตาจากจอทีวีหันไปตอบ

   “ก็ทางโรงเรียนโทรมาบอกว่าน้องณินไปทะเลาะกับเพื่อนในห้อง แล้วตอนนี้นายหัวก็กำลังงานยุ่งพี่ก็กำลังเตรียมกับข้าว
เดี๋ยวเสร็จงานแล้วก็รีบไปเก็บค่าหวยอีก อุตส่าห์บอกแล้วเชียวว่าให้อยู่เฝ้าบ้าน คงจะแอบไปนั่งฟังหวยที่ไหนล่ะสิ กลับมาแม่จะ
ด่าซะให้เข็ด”

   “งั้นให้ผมไปแทนดีไหมครับ ผมเองก็ว่างอยู่”ผมเสนอ

   “เอางั้นเหรอ งั้นดีเลยพี่รบกวนหน่อยนะ เดี๋ยวพี่หาคนขับรถให้”

   พี่นุ่มหันมายิ้มด้วยความโล่งใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้นมาพอดีเรียกให้ทั้งผมและพี่นุ่มหันไป
มองร่างสูงใหญ่เจ้าของรอยยิ้มทะเล้นชูปิ่นโตข้าวขึ้นมาอวด

   “พี่ล้างเอามาคืนน่ะ”

   “ว่าแต่หายดีแล้วรึไงถึงได้เดินเอามาคืนแบบนี้”พี่นุ่มตอบรับหลังจากที่รีบปรี่เข้าหาพี่ตินพร้อมกับรอยยิ้มทันทีที่เห็น

   “ถ้าได้กินกับข้าวอร่อยๆแบบนี้อีกสักมื้อสองมื้อคนจะหายดี”

   “ทำเป็นพูดเข้ารอยช้ำที่เบ้าตายังไม่ทันหายดีเลยเชียว เกือบจะหมดหล่อแล้วไหมล่ะ”

   “ว่าแต่ถือกุญแจรถจะไปไหนกันเหรอครับ”พี่ตินถามปรายตามองมองกุญแจรถในมือพี่นุ่ม

   “จะให้น้องรัมภ์ไปรับน้องณินที่โรงเรียนน่ะ เห็นที่โรงเรียนทีมาบอกว่าไปทะเลาะกับเพื่อน เลยจะหาคนขับรถให้”พี่นุ่ม
สาธยาย

   “แล้วได้คนขับรถรึยังครับถ้ายังไม่ได้ผมขับให้ก็ได้นะไม่คิดค่าเสียเวลา ช่วงนี้ยิ่งว่างจนเบื่อด้วยสิ”

   “จะเอางั้นเหรอยังไม่หายดีไม่ใช่รึไง”

   “แค่ขับรถเองสบายมาก”พูดจบก็คว้ากุญแจรถในมือพี่นุ่มไปถือซะเองก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับพี่นุ่มได้ม้วนไปมาทำท่าทำ
ทางเขินอายเอื้อมมือไปตีแขนพี่ตินเบาๆ

   “งั้นก็ฝากด้วยนะ อย่าลืมเอากุญแจรถมาคืนล่ะ”

   “ได้เลย ไปเตรียมตัวเลยครับหนุ่มน้อยเดี๋ยวพี่เป็นคนขับรถให้เอง”พี่ตินหันมายิ้มให้ ผมเข้าใจไปเองรึเปล่าว่าพี่ตินดูเหมือ
พยายามที่จะเข้าใกล้ผมมากกว่าเดิม หรือว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้สังเกตกัน



   รถมาจอดอยู่หน้าโรงเรียนอนุบาลในตัวเมืองพอผมเดินเข้าไปคุณครูส้มก็เดินเข้ามาดึงแขนผมทันทีที่รถยังไม่ทันจอดด้วย
ซ้ำ ใบหน้าของครูส้มแสดงออกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

   “มาแล้วเหรอคะน้องรัมภ์ ผู้ปกครองฝั่งนู้นเค้าโวยวายไม่ยอมใหญ่เลย”ครูส้มพูดด้วยความกังวล ผมรู้ทีหลังว่าคุณครูส้ม
เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมทำให้พี่คินกับคุณครูส้มรู้จักกันพอสมควรและเป็นที่ไว้ใจพอที่พี่คินจะฝากน้องณินให้ดูแลเวลาอยู่ที่
โรงเรียน

   “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”ผมถามเมื่อน้องณินกำลังนั่งกอดน้องมินอยู่บนโซฟาในห้องพักครูส่วนโซฟาอีกฝั่งก็เป็นเด็กผู้หญิง
ตัวเล็กๆกับผู้ปกครองที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่ของเด็กคนนั้น

   “ก็เด็กบ้าคนนี้มากัดลูกของฉันน่ะสิ แล้วเธอเป็นใครทำไมนายหัวภาคินถึงไม่เป็นคนมาเอง”

   “นายหัวภาคินไม่ว่างครับผมเลยมาแทน”ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจกับสายตาไม่พอใจของแม่เด็กคนนั้นก่อนจะเดินเข้าไปหา
น้องณินกับน้องมินที่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามา

   “น้ารัมภ์น้องณินไม่ผิดนะคับ”

   “เอะ จะไม่ผิดได้ยังไงในเมื่อมากัดลูกฉันจนเลือดซิบอย่างนี้”

   “อย่าพึ่งขัดได้ไหมครับ ผมต้องการจะรู้สาเหตุก่อนว่าทำไมน้องณินถึงได้ทำอย่างนั้น ผมคิดว่าน้องณินไม่น่าจะทำอะไรที่
ไม่มีเหตุผล”

    “ใจเย็นๆนะคะคุณแม่ของน้องแยม ค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่านะคะ”คุณครูใหญ่แทรกขึ้น

   “เด็กมันจะมีเหตุผลได้ยังไงล่ะคะ ยิ่งเด็กเกเรไม่มีพ่อแม่อย่างนี้ด้วยไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้ หึ”พูดจบเธอก็
ยิ้มดูแคลนมองมาทางน้องณินอย่างดูถูก

   “คุณรู้ตัวรึเปล่าครับว่าสิ่งที่คุณกล่าวหาเด็กมันทำให้อายุของคุณไม่สัมพันธ์กับความคิดเอาซะเลย แล้วอีกอย่าง การที่คุณ
พูดว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่ บางทีคุณอาจจะลืมว่านายหัวภาคินเป็นพ่อของน้องณินและอีกอย่างที่ผมจะบอกก็คือน้องณินไม่ได้
ไม่มีแม่แต่ผมต่างหากที่เป็นแม่ให้กับน้องณิน”

   “หึ ที่แท้ก็พวกเกย์อย่างที่ชาวบ้านพูดกันจริงๆ”

   “สิ่งที่คุณพูดถึงมันไม่ได้เป็นตัวกำหนดนิสัยของเด็กนี่ครับ การสั่งสอนและการกระทำของผู้ใหญ่ต่างหากที่เป็นตัวสร้าง
นิสัยของเด็กขึ้นมา”ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยิ้มเหยียดออกไปอย่างไม่พอใจ เพราะว่าไม่ชอบรอยยิ้มที่เหยียด
หยามและคำพูดพวกนั้นที่เธอพูดมา คำพูดที่ชอบพูดว่าเด็กไม่มีพ่อแม่มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้

   “ทำเป็นพูดดีไป ยังไงซะเด็กนั่นก็กัดลูกของฉันอยู่ดี”

   “ช่างเถอะครับ ผมอยากรู้เรื่องราวจากเด็กๆมากกว่า”ผมตัดบทหันหน้าหนีเธออย่างไม่ใส่ใจ

   “น้ารัมภ์น้องณินกับน้องมินไม่ผิดนะคับแยมนิสัยไม่ดีก่อน”

   “แล้วทำไมน้องณินถึงไปกัดแยมล่ะครับ ไหนบอกซิ”

   “ก็แยมแย่งของเล่นของน้องมิน น้องมินไม่ให้แยมก็จะตีน้องมินแต่น้องณินไม่ชอบน้องณินเลยไม่ให้ตี แยมเลยผลักน้องณิ
นกับน้องมินล้มแล้วแย่งของเล่นไปน้องณินก็เลยกัดแยมเพราะว่าแยมทำนิสัยไม่ดี”น้องณินเล่าให้ฟัง พอน้องณินเล่าจบผมก็ลูบ
หัวทุยๆของน้องณินกับน้องมินเบาๆเป็นการปลอบใจก่อนจะหันไปจ้องมองใบหน้าที่เริ่มซีดหลังจากฟังสิ่งที่น้องณินพูดจบ

   “ไม่จริง เด็กคนนั้นมันโกหก ใช่ไหมลูกแยม”เธอหันไปถามลูกสาวตัวเอง

   “ก็แยมอยากเล่นอันนั้น ฮึกๆ มินกับณินไม่ให้แยมก็เลยผลักแล้วแย่งมาแต่ณินก็กัดแยมเลือดออกฮือออออ”เด็กหญิงคนนั้น

สะอื้นอีกรอบ

   “แล้วของเล่นมีเยอะแยะทำไมต้องไปแย่งเขาด้วยล่ะมันใช่เรื่องไหมที่จะต้องไปอยากได้กะอีแค่ของเล่นแค่นั้น”

   “ก็แยมอยากเล่นเหมือนมิน ฮึกๆ แยมอยากให้ณินมาเล่นด้วย”พูดพลางใช้มือเล็กๆปาดน้ำตา

   “จะให้เรื่องนี้จบโดยที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายผิด หรือว่าจะให้จบโดยที่ลูกของคุณเป็นคนมาทำร้ายน้องณินกับน้องมินก่อน ผม
เข้าใจนะครับว่าคุณรักลูกตัวเองมาก แต่การที่คุณให้ท้ายลูกโดยที่ไม่สนความถูกผิดมันจะทำให้ลูกของคุณติดเป็นนิสัยเอา”

   “เป็นแค่เด็กอย่ามาทำเป็นพูดอวดดีไปหน่อยเลยน่า”

   “ผมแค่พูดตามที่ผมเห็นสมควร”ผมไหวไหล่ดึงเอาน้องมินมาอุ้มเมื่อน้องมินทำท่าว่าจะร้องอีกคน เหลือบมองไปทางน้อง
ณินที่กลับนั่งทำน่ามุ่ยไม่มีทีท่าว่าจะเสียใจหรือกำลังกลัวเลยสักนิด

   “ผมขอรับน้องณินกับน้องมินกลับไปเลยนะครับ”



   “เป็นไงบ้าง ว่าแต่ทำไมรัมภ์ถึงเอาเด็กคนนั้นมาด้วยล่ะ”พี่ตินถามเมื่อผมอุ้มน้องมินวางลงบนเบาะหลังก่อนจะก้มลงอุ้มน้อง
ณินขึ้นไปนั่งข้างๆ

   “ลูกของหมอนทีน่ะครับ ส่วนเรื่องนั้นเคลียกันเรียบร้อยแล้ว”ผมตอบเสียงเรียบ

   “งั้นก็ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้รัมภ์ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้มาก”พูดเหมือนไม่อยากให้ผมยุ่งเกี่ยวกับพี่คินและน้องณินไป
มากกว่านี้ จู่ๆมือใหญ่ก็เอื้อมมาจากฝั่งคนขับก่อนที่จะวางลงบนหัวผมเบาๆคล้ายกับกำลังปลอบใจอะไรบางอย่าง จริงอยู่ที่มือนี้
มันอุ่นมากจนทำให้ผมรู้สึกถึงความอ่อนโยน แต่ความลับบางอย่างเกี่ยวกับตัวของพี่ตินมันค่อยๆเพิ่มมากขึ้นทำให้ผมเริ่มไม่ไว้ใจ
ในตัวของพี่เขาเลย

   “งั่ม!!!”

   “โอ้ยยยย เป็นลูกหมาบ้ารึไงไอ้เปี๊ยกนี่”พี่ตินร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะชักมือกลับไปดูรอยเขี้ยวเล็กๆที่ทิ้งอยู่บน
ฝ่ามือ

   “อย่ามาแตะน้ารัมภ์นะ น้ารัมภ์ของพ่อคินกับน้องณินคนอื่นห้ามแตะ แง่งๆ”พูดจบน้องณินก็ชะโงกหน้ามาแยกเขี้ยวใส่

   “คนพ่อไม่อยู่ก็ให้คนลูกเฝ้าแทนสินะ”พี่ตินส่ายหน้าก่อนจะออกรถ “เฝ้าให้ดีๆเถอะ สักวันจะขโมยไปให้ได้เลยคอยดู”

   “จะฟ้องพ่อ!!ว่าลุงตินจะขโมยน้ารัมภ์”

   “ไปฟ้องเลยชิ่วๆ ต่อให้เอาไปซ่อนเอาไว้ก็ขโมยกลับไปจนได้ล่ะคอยดูสิ”

   ผมพยายามคิดว่าพี่ตินพูดหยอกน้องณินแต่สิ่งที่แสดงออกมาบนใบหน้านั้นกลับไม่ใช่ใบหน้าหล่อเหลาแสดงถึงความ

จริงจัง ผมได้แต่ลูบหัวน้องณินแล้วดันให้กลับไปนั่งคุยกับน้องมินที่เบาะหลังดังเดิมถึงแม้ว่าคนที่คุยอยู่คนเดียวจะเป็นน้องณินก็
ตาม



   รถขับเข้ามาในเขตฟาร์มก่อนจะจอดลงที่หน้าบ้านริมหาด เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่คินเดินออกมาจากบ้านเพราะได้ยินเสียง
รถ ร่างสูงใหญ่เดินมารับน้องณินไปอุ้มก่อนจะหันมามองผมแล้วปรายตามองพี่ติน ดวงตาคู่คมกริบจ้องมองพี่ตินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ

หันกลับมาจับต้นแขนผมที่อุ้มน้องมินอยู่ให้เดินตามเข้ามาในบ้าน

   “ไหนว่างานยุ่งไงล่ะครับ ทำไมถึงรีบกลับ”

   “พี่ไม่มีสมาธิทำงานพอรู้ว่าน้องณินไปก่อเรื่องยุ่งพี่ก็เลยรีบกลับ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นน้องณินกับน้องมินไม่เป็นอะไรใช่
ไหม”

   ในบทของความเป็นพ่อแล้วพี่คินดูเป็นกังวลและเป็นห่วงน้องณินมากจนผมรู้สึกดีแทนน้องณินที่โชคดีได้พี่คินเป็นพ่อแบบ
นี้ ผมได้แต่ยิ้มเล็กๆก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

   “ไม่มีอะไรแล้วครับ แค่เรื่องเข้าใจผิด”

   “งั้นเหรอ ฟางเอาน้องณินกับน้องมินไปอาบน้ำที”พูดก่อนจะปล่อยให้น้องมินลงเดิน

   พอสังเกตดีดีแล้วผมไม่รู้ตัวเลยว่าฟางแอบมายืนอยู่ใกล้ๆพี่คินตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมกับพี่นุ่มตามหาตัวไม่เจอ
แท้ๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเหยียดยิ้มเล็กๆให้กับเธอในจังหวะที่พี่คินเผลอ และฟางก็ยังคงปั้นยิ้มถึงแม้ว่าผมจะแสดง
ท่าทีแบบนั้น

   “ไปกันเถอะ ตอนนี้พี่อยากอาบน้ำแล้ว”

   เสียงทุ้มหัวดังพร้อมๆกับเอวถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะเฉียดลงมาบนผิวแก้มเบาๆ แอบสังเกตเห็นใคร
อีกคนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าถ้าเทียบกับฟางแล้วไม่มีทางที่ผมจะเป็นฝ่ายแพ้



   “รัมภ์”พี่คินเรียกเสียงเบาในขณะที่ผมกำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อของพี่เขาทีละเม็ดเผยให้เห็นแผ่นอกสีเข้มแน่นไปด้วยมัด
กล้ามตึง บนลาดไหล่หนามีรอยเล็บจางๆสลักอยู่บนอกราวกับตราประทับที่ผมต้องการจะตีตราเอาไว้

   “ว่าไงครับ”ผมตอบรับเสียงเบา เกลี่ยปลายนิ้วลงบนรอยจางๆนั่น

   “พี่ไม่ค่อยชอบเวลาที่รัมภ์อยู่ใกล้ๆติน”แขนแข็งแรงค่อยๆโอบเอวของผมก่อนที่จะกระชับแน่นจนเซเข้าไปหา ใบหน้าแนบ
ลงบนแผ่นอกแข็งแรงจนได้ยินเสียงก้อนเนื้อที่มันเต้นอยู่ด้านใน

   “ทำไมล่ะ ผมก็แค่ไปรับน้องณิน”ผมเงยหน้าตอบแต่ก็ต้องเบี่ยงหลบเมื่อริมฝีปากหยักฉกวูบลงมาไม่ทันได้ตั้งตัว สีหน้า
ของพี่คินนั้นดูไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของผมสักเท่าไร


   “แต่พี่ไม่ชอบ ถึงเขาจะเป็นคนช่วยรัมภ์เอาไว้ก็ตาม”

   “ผมก็แค่ อื้อ”

   ยังพูดไม่ทันจบริมฝีปากก็ถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากอันร้อนผ่าว สัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แผ่นซ่านผ่านเข้ามาภายใน ปลาย
ลิ้นร้อนชื้นตวัดลงมาบนกลีบปากให้ได้เปิดรับความหอมหวานที่สอดแทรกด้วยความร้อนรุ่มทั้งถูกตักตวงและถูกป้อนจนรู้สึกว่า
ความคิดอ่านทั้งหมดกำลังถูกขโมยไปจนสมองนั้นขาวโพลน

   รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังเปลือยก็แนบชิดกับผ้าปูที่นอน ถูกทาบทับด้วยร่ากายอันสูงใหญ่ ริมฝีปากร้อนชื้นนั้นยังคงป้อนจูบอัน
จาบจ้วงไม่ยอมห่าง ผิวกายทั่วทั้งร่างถูกมือที่เป็นราวกับเปลวเผลิงลูบไล้ไปทั่วจนร่างแทบหลอมละลายไม่ต่างอะไรจากขี้ผึ้งที่
ถูกไฟลน

   “ผม…ยังไม่ได้อาบน้ำ”บอกออกไปเสียงเบาพยายามที่จะดันอกแข็งแรงนั้นให้ออกห่าง

   “ไม่เป็นไร พี่คิดว่ามันหอมสำหรับพี่”เสียงกระซิบอันแหบพร่าตอบกลับพร้อมกับฟันคมที่ขบกัดลงมาบนผิวคอ

   แรงกัดไม่เบานักทำให้ผมสะดุ้งยกมือขึ้นเกาะบนลากไหล่หนาเพื่อหาที่ยึด ความเป็นชายอันร้อนเร่ากำลังผงาดถูกไถท่อน
กายของผมไปมาราวกับต้องการหยอกกล้อ

   “ทะ ทะลึ่งนะครับ”

   “แต่พี่เห็นว่ารัมภ์ชอบ”

   ผมตีเข้าที่ไหล่หนาแรงๆเมื่อรอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นมาที่ริมฝีปากได้รูป บั้นเอวสอบยังคงขยับสั่งให้มันถูกไถจนเริ่มรู้สึกแน่น
ขัด ไม่นานความรู้สึกทั้งหมดก็คลายออกเมื่อท่อนกายแข็งกร้าวนั้นแทรกเข้ามาภายใน ผมได้แต่จิกปลายเท้าทั้งสองข้างลงบน
ผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่เมื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเริ่มที่จะเอ่อล้นจนแทบทนไม่ไหว

   “บะ เบาๆครับ”พูดพร้อมกับจิกเล็บลงบนลาดไหล่ ริมฝีปากถูกฟันคมขบจนมันเป็นรอยเพราะแรงกระทั้นที่มากจนทำให้ตัว
คลอน

   ถึงแม้ว่าผมจะร้องขอแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นกลับตรงกันข้ามสำหรับเวลาที่ใช้ร่วมกันสำหรับบทรัก ความรุนแรง ความร้อน
รุ่ม และอ่อนโยน ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะถาโถมเข้ามาใส่

   “พร้อมกันนะครับคนเก่ง”เสียงหอบประสานกับเสียงกระซิบที่แหบพร่าดังขึ้นข้างหู จูบร้อนจูบซับลงมาบนขมับ กลิ่นเหงื่อ
และกลิ่นกายไหลรวมกันจนแทบแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร ผมปูที่นอนที่ถูกปูใหม่จนเรียบตึงบัดนี้มันทั้งหลุดลุ่ยและยับ
ยู่ยี่จนไม่เหลือสภาพเดิม และในที่สุดความขาวของมันก็ถูกป้ายจนเปรอะเปื้อนด้วยคราบคาวที่ถูกปลดปล่อยออกมา หลงเหลือ
เพียงเสียงหอบหายใจที่ดังก้องไปทั่วกับอ้อมกอดอุ่นที่เป็นตัวตอกย้ำว่าผมยังคงอยู่ในที่แห่งนี้

   

   ----------------------------------------------------------------------------------

   “ทำไมกระต่ายถึงแพ้กระต่ายวิ่งเร็วกว่าตั้งเยอะ”น้องณินมุ่ยหน้ากอดอกทั้งที่นอนอยู่บนที่นอน จ้องมองมาทางผมด้วย

ความสงสัยและไม่พอใจ

   “ก็กระต่ายแอบนอนหลับก่อนถึงเส้นชัยไงครับเต่าเลยชนะ”

   “แล้วทำไมกระต่ายถึงต้องนอนล่ะคับ น้องณินไม่เข้าใจ”หน้าเล็กๆกลมๆยิ่งมุ่ยกว้าเก้าแถมแก้มป่องๆนั้นยังพองลมเหมือน
ไม่พอใจที่แพ้พนันให้กับผม เพราะว่าเราพนันกันก่อนที่จะอ่านนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ

   “กระต่ายคิดว่าตัวเองเก่งกว่าถึงได้ชะล่าใจแอบนอนหลับทำให้เต่าชนะแล้วเข้าเส้นชัยไปก่อน”ผมหัวเราะออกมาเล็กๆเมื่อ
น้องณินยังคงหน้ามุ่ย แอบได้ยินเสียถอนหายใจของใครบางคนที่นอนซ้อนอยู่ข้างหลังน้องณินที่หน้ามุ่ยไม่แพ้กันและสาเหตุก็คง
หนีไม่พ้นที่น้องณินมานอนด้วยในวันนี้

   “แต่น้องณินไม่ชอบเรื่องนี้เลยน้ารัมภ์ ถ้าน้องณินเป็นกระต่ายน้องณินจะไม่นอนหรอก”

   “แต่ว่าตอนนี้ได้เวลานอนแล้ว นอนสักทีไอ้ตัวแสบ”มือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวลูกชายเบาๆด้วยท่าทางหมั่นไส้ แต่รอยยิ้ม
เล็กๆก็ผุดขึ้นบนรัมฝีปากได้รูป

   “แต่น้องณินยังไม่อยากนอน อยากให้น้ารัมภ์อ่านนิทานให้ฟังอีก”   

   “ไอ้ตัวยุ่งนี่ มานอนแทรกกลางแล้วยังเรื่องมากอีก นอนได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อพาไปเที่ยว”

   “จริงๆนะ!! พ่อคินจะพาน้องณินกับน้ารัมภ์ไปเที่ยวแน่นะ ห้ามโกหกน้องณินด้วยเย้ๆๆ ไปเที่ยวกับน้ารัมภ์กับพ่อ”น้องณินชู
มือขึ้นโบกไปมาอย่างดีใจ ยิ้มจนเห็นเหงือกสีสด

   “นอนได้แล้วไม่งั้นจะไล่ให้ไปนอนข้างล่างเหมือนเดิม”

   “ไม่เอาน้องณินอยากนอนกับพ่อคินกับน้ารัมภ์”พูดจบก็ทำท่าหลับตาปี๋

   ไม่นานน้องณินก็หลับไปจริงๆในที่สุด พี่คินถอนหายใจอีกครั้งกับความแสบของลูกชาย ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้


จนปลายจมูกของเขาแตะกัน

   “พี่คิน อื้อ น้องณินอยู่ด้วยนะครับ เมื่อเย็นพี่ก็เพิ่งทำไปเอง”ผมปรามเมื่อมือใหญ่แตะลงมาที่บั้นเอวแล้วลูบไปมา พี่คินได้
แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ

   “แค่จูบก็ได้”

   ยังไงซะอย่างน้อยทำการค้าก็ย่อมต้องได้ทุนคืน พี่คินไม่ยอมถอนตัวกลับไปง่ายๆแน่นอน ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกเล็ก
น้อย ขบฟันลงบนริมฝีปากหนาเบาๆ ก่อนแตะปลายลิ้นเลียขอบปากนั้นเบาๆ ได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์พี่เขาก็
อดที่จะยิ้มไม่ได้ แนบริมลงบนกลีบปากนุ่มเปิดรับลิ้นร้อนที่สอดเข้ามา ฝ่ามือใหญ่แตะลงมาบนพวงแก้มอย่างแผ่วเบา

   “อือ น้ารัมภ์”เสียงพึมพำของร่างเล็กข้างใต้ทำให้ทั้งผมและพี่คินผละจูบออกจากกันแล้วก้มลงไปมองที่เจ้าตัวแสบด้วย
ความตกใจกลัวว่าน้องณินจะเห็น แต่น้องณินก็เพียงแค่ละเมอก่อนจะเบียดตัวเข้ามากอดผมเอาไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหนี พอ
เห็นดังนั้นผมกับพี่คนได้แต่พากันหัวเราะเบาๆ

   “นอนได้แล้วครับคนเก่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพารัมภ์กับลูกไปเที่ยวกัน”ริมฝีปากอุ่นจูบลงมาบนขมับก่อนที่แขนแข็งแรงจะพาด
ลงมาดึงเอาตัวผมและน้องณินไปกอดเอาไว้ทั้งคู่



ขอบคุณทุกคำชมจ้าาาาา ถ้าไม่ดีหรือผิดพลาดตรงไหนก็บอกกันได้นะคะ

ออฟไลน์ nekozaa

  • I want to you read me
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :a5: สนุกดีค่ะ ตามอ่านทั้งวันจนทัน แล้วก็ว้าวเพราะชื่อของนายเอกและหมอคล้ายๆกับนิยายที่เราซุ้มแต่งไว้แต่ยังไม่ลง  :katai1:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ทำไมฉันพึ่งมาเจอเรื่องเน้!!! อ้ากกก :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2016 17:33:26 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ผู้ชายต่างชาติคนนั้นพ่อรัมภ์หรือเปล่า

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 21 ความลับที่เก็บซ่อน
   
ลมทะเลยามเย็นเริ่มพัดแรงส่งให้เกลียวคลื่นประดับผืนน้ำเคลื่อนไหวเป็นระรอกดูสวยงาม ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ค่อยๆคล้อยต่ำ
ใกล้กับเส้นขอบฟ้า แสงของมันกลายเป็นสีเหลืองทองดูน่ามองไม่แพ้กับแสงแรกของยามเช้า

   “ว้าววววว สูงจังเลย”เสียงของน้องณินตัวแสบร้องบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อกำลังนั่งขี่อยู่บนคอของพี่ติน มือป้อมๆเล็กๆโบก
ไปมาให้กับพระอาทิตย์เมื่อมันกำลังจะลับขอบฟ้าในขณะที่พวกเราได้แต่ยืนมองมันที่ชุดชมวิวบนยอดเขามัทรี

   “เหนื่อยไหม”เสียงนุ่มทุ้มถามพลางขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่พลางเอื้อมเข้ามาใช้นิ้วเกลี่ยเอาปอยผมที่ถูกลมพัดมาปรก
หน้าออกให้อย่างเบามือ

   ผมหันไปยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กๆเป็นคำตอบ ลมที่พัดผ่านร่างกายมันแรงจนทั้งเส้นผมและเสื้อผ้าไสวราวกับกำลังโบยบิน
เหมือนนกอยู่บนท้องฟ้า ความรู้สึกต่างๆมันช่างเบาโหวงอยู่ในใจเมื่อรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยเครื่อง
หน้าสมบูรณ์แบบยิ้มส่งมาให้อย่างอ่อนโยน สายตาของผมราวกับถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่คมให้หยุดนิ่งและมองมันพยายามจะอ่าน
บางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในตาคู่นั้น

   แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นปลุกให้เราทั้งคู่ผละสายตาออกจากกัน พี่คินยกเครื่องมือสื่อสารที่ยังคงแผดเสียงร้อนขึ้นมาดู
หน้าจอก่อนจะกดตัดสายราวกับว่าไม่ใยดีกับปลายสายที่โทรมา

   “ทำไมไม่รับล่ะครับ”

   “พี่ไม่อยากรับโทรศัพท์เวลาอยู่กับครอบครัว”คำว่าครอบครัวทำให้ใจของผมเต้นแรง แรงจนรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับกำลังจะ
เป็นบ้า ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรพี่คินถึงยกเอาคำคำนี้มาใช้ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยทำอะไรที่บ่งบอกสถานะของผมเลย แต่วันนี้สิ่งที่ถูก
เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากนั้นมันกลับมากจนมือทั้งสองข้างมันสั่นไหว

   “รับเถอะครับ เผื่อเป็นสายสำคัญ”ผมพูดย้ำเมื่อปลายสายนั้นโทรมาอีกครั้ง พี่คินพยักหน้าเล็กๆก่อนจะอุ้มเจ้าตัวแสบพูด
มากลงจากคอแล้วส่งมาให้ผม

   “งั้นพี่ฝากน้องณินด้วยล่ะ”พี่คินยิ้มและยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

   ผมไม่เข้าใจเลยว่าภายใต้สีหน้าที่อ่อนโยนนั้น ทำไมมันถึงซ่อนความหวั่นวิตกเมื่อเห็นชื่อของปลายสายที่โทรมา และยิ่ง
ไม่เข้าใจมากขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่กำลังเดินห่างออกไปยังอีกฟากของจุดชมวิวเพื่อคุยโทรศัพท์ราวกับว่าสิ่งที่จะคุยนั้นเป็นความลับ
ที่ห้ามให้ใครล่วงรู้



   “น้ารัมภ์ดูนู่น พระอาทิตย์จะหายไปแล้วคับ”เสียงเล็กๆของเด็กชายวัยห้าขวบเรียกให้ผมหันไปมองตามที่นิ้วเล็กๆชี้ ผมละ
สายตาจากแผ่นหลังที่เดินหายลับไปก่อนจะจ้องมองไปยังดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตค่อยๆถูกท้องทะเลกลืนกิน ท้องฟ้าค่อยๆ
เปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มอ่อนเจือด้วยสีฟ้าเข้ม

   “น้ารัมภ์ชอบไหมคับ”

   “ชอบสิ แล้วน้องณินล่ะ ชอบไหม?”

   “ชอบ แต่น้องณินชอบน้ารัมภ์มากกว่า”เสียงเล็กๆของน้องณินรีบพูดประจบก่อนที่แขนอวบๆจะพาดลงมาที่คอกอดให้ผม
โน้มหน้าเข้าไปใกล้ก่อนที่หน้าเล็กๆจะยื่นเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมได้แต่ยิ้มแล้วถามออกไปด้วยความหมั่นเขี้ยวกับท่าที
น่ารักประจบประแจงที่ไม่รู้ว่าใครสอนมา

   “ ใครอนุญาตให้หอม ฮึ? หอมแก้มคนอื่นแล้วต้องทำไง”

   “ต้องให้คนอื่นหอมคืน ฮ่าๆๆๆ น้ารัมภ์ไม่เอา น้องณินจั๊กจี้ ไม่เอา ฮ่า”ผมก้มลงใช้จมูกซุกลงแบแก้มนุ่มๆอย่างหมั่นเขี้ยว
น้องณินส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากพลางดิ้นไปมาในอ้อมกอดเมื่อจมูกซุกลงที่คอทำให้ให้จั๊กจี้

   “คราวหลังต้องบอกก่อนรู้ไหม”

   “ฮ่าๆ รู้แล้วๆ น้องณินไม่บอกหรอก คิกๆๆ ทีพ่อคินยังไม่บอกเลย น้องณินจั๊กจี้ น้ารัมภ์พอแล้ว คิกๆๆ น้องณินจั๊กจี้”

   “จะบอกไม่บอกฮึ”

   “ม่ายบอก คิกๆๆ น้องณินไม่เอาแล้ว น้องณินยอมแล้ว น้ารัมภ์ปล่อย คิกๆๆ”น้องณินดิ้นไปมาไม่ยอมหยุด ทำให้ผมได้แต่
หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ได้เด็กตัวแสบพูดมากให้ดิ้นเหมือนลูกแมวถูกแกล้ง



   “ไงไอ้ตัวแสบ พ่อไม่เคยสอนรึไงว่าห้ามยุ่งกับของคนอื่นหืม? ไม่อยู่แค่แปบเดียวมาหอมของพ่อได้ไง”ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียง
เข้ามาใกล้ตัวตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีร่างสูงก็ยืนซ้อนอยู่ด้านในระยะประชิดจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นและกลิ่นกายที่ลอยมาตามลม
ใบหน้าคมเข้มประดับด้วยไรหนวดขึ้นครึ้มยื่นเข้ามาใกล้รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดลงมาบนใบหน้า ก่อนที่จมูกโด่งจะยื่น
เฉียดผิวแก้มของผมไปนิดเดียวแล้วซุกลงบนแก้มของน้องณินข้างที่ผมพึ่งจะซุกจมูกลงไป

   “คิกๆจั๊กจี้ ไม่เอาแล้วน้ารัมภ์แม่ของน้องณินน้องณินจะหอม คิกๆ น้องณินจั๊กจี้ พ่อคินพอแล้ว”

   “หอมไม่ได้ ห้ามหอม พ่อหวง ต้องโดนลงโทษ”ว่าแล้วก็หอมน้องณินไปอีกฟอดใหญ่

   “ทำไมน้องณินจะหอมไม่ได้ ก็น้ารัมภ์เป็นแม่น้องณินแล้ว น้องณินจะหอม”น้องณินมุ่ยหน้ากอดอกทำท่าทำทางไม่พอใจใส่
เพราะถูกพ่อห้ามและไม่ได้ดั่งใจ เจ้าตัวยื่นหน้ามาหอมใส่แก้มผมคราวนี้แทบจะฝังจมูกเล็กๆลงบนแก้มผมจนผมเริ่มคิดแล้วว่ามัน
คงจะช้ำหากว่าน้องณินไม่ยอมหยุดประชดพ่อตัวเอง

   “แต่น้ารัมภ์เป็นเมียพ่อ ห้ามคนอื่นหอมอกจากพ่อ”ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าของประโยคกลับอมยิ้มปลายตามองตรงมา

   “โหย พ่อคินขี้งก ไม่เอา น้องณินจะหอม นี่ไง หอมๆๆๆเลย”เจ้าตัวแสบกดจมูกเล็กๆลงมาหอมแก้มผมอีกรอบซ้ำแล้วซ้ำ
เล่าอย่างไม่ยอมแพ้ผมได้แต่อุ้มน้องณินเอาไว้ไม่ให้ตกไปเสียก่อน

   “ถ้าน้องณินหอมพ่อก็หอมบ้าง”

   ไม่ทันตั้งตัวแก้มอีกข้างก็ถูกฉกฉวยด้วยปลายจมูกโด่งซุกลงมาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เรียกให้นักท่อง
เที่ยวที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนหันมามอง

   “คนอื่นมองอยู่นะครับ”

   ผมผละถอยหลังออกมาทันทีที่ตั้งสติได้ พอหันไปมองรอบๆตัวก็เห็นว่ากำลังถูกมองด้วยความสนใจ จึงเดินอุ้มน้องณินหนี
ออกมาจากตรงนั้นและตรงไปยังที่จอดรถโดยไม่หันกลับไปมอง ได้ยินเพียงฝีเท้าของพี่เขาเดินตามมา ใบหน้าของผมมันร้อนวูบ
น้องณินก็เอาแต่ตัดพ้อใส่พ่อตัวเองไม่หยุด

   “ถึงจะกับน้องณินพี่ก็หวงนะรู้ไหม”เสียงทุ้มกระซิบข้างหูเมื่อเดินเข้ามาขนาบข้าง ผมไม่รู้ว่าน้องณินจะได้ยินไหม รู้แค่ว่า
ตอนนี้ความสุขมันกำลังเอ่อล้นออกมาโดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะจดจำมันได้ดีแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ รู้
แค่ว่าอยากให้เวลามันหยุดลงที่ตรงนี้และไม่ต้องเดินไปข้างหน้าอีกเลย

   

   “โตขึ้นห้ามขี้หวงเหมือนพ่อ รู้ไหมไอ้ตัวแสบ”ผมได้แต่บอกน้องณินแล้วขยี้มือลงบนหัวทุยๆอย่างหมั่นเขี้ยวกับความแสบ
สันของทั้งพ่อทั้งลูก

   “ถ้าน้องณินโตขึ้นน้องณินไม่ยอมแบ่งน้องมินให้พ่อคินหรอก คอยดู”และผมกับน้องณินก็หัวเราะออกมากับความเจ้าคิดเจ้า
แค้นที่ไร้เดียงสา



   --------------------------------------------------------------------------------------

   กว่าเราจะกลับมาถึงบ้านเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสองทุ่มเพราะแวะกินมื้อเย็นกันนอกบ้าน ระหว่างมื้อน้องณินก็ไม่วายหน้า
มุ่ยใส่พี่คินเพราะยังคงงอนที่พี่คินห้ามหอมแก้มผมไม่หาย และตอนนี้เจ้าตัวก็ได้แต่อ้าปากหาววอดเพราะหมดแรงไปกับการเที่ยว
ตลอดทั้งวัน

   “กลับมาแล้วเหรอคะ สนุกกันไหม”ฟางเดินออกมารับนายหัวของตัวเองพลางพูดถามอย่างประจบประแจง พี่คินแค่พยัก
หน้ารับแล้วส่งน้องณินให้

   “ถ้าน้องณินง่วงก็ให้เข้านอนก่อนเลยก็ได้”

   “ได้ค่ะ แล้วก็อันนี้พี่นุ่มบอกว่าเอกสารด่วนส่งมาให้นายหัวแต่ไม่ได้บอกว่ามาจากไหน”ฟางยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลเหมือน
กับวันนั้นที่ผมเจอให้กับพี่คิน

   ผมได้แต่มองตามและเห็นสีหน้านั้นเริ่มดูเคร่งเครียดต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นที่อยู่ในซองมันคืออะไร และมัน
จะเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่อยู่ในรูปคนนั้นไหมม รู้แค่ว่าความสงสัยมันยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อพี่คินหันมา
มองผมราวกับว่าไม่ต้องการให้ผมรับรู้อะไร

   “รัมภ์จะขึ้นไปอาบน้ำเลยไหม หรือว่าจะดูทีวีอยู่ข้างล่าง”

   “ผมอยากกินขนมที่เพิ่งจะซื้อมา แล้วก็วันนี้ละครที่ดูฉายเป็นตอนจบ”บางอย่างสั่งให้ผมตอบปฏิเสธออกไป

   “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ แล้วก็อย่ากินอะไรที่มีถั่วล่ะรู้ไหมคนเก่ง”ริมฝีปากหยักกดจูบลงมาบนขมับก่อนที่จะเดินหายขึ้น
ไปยังชั้นบนพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลที่น่าสงสัย

   ------------------------------------------------------------------------------

   เพราะความเพลียจากการเที่ยวตลอดทั้งวันทำให้ผมรู้สึกล้าและเริ่มง่วงทั้งที่ละครยังไม่จบ ความจริงแล้ววันนี้ยังไม่ใช่ตอน
จบของละครที่ผมดู แต่ผมก็เลือกที่จะโกหกออกไป ความง่วงที่เริ่มมากขึ้นทำให้ตัดสินใจปิดทีวีเพื่อที่จะไปอาบน้ำนอน ระหว่างที่
เท้ากำลังก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้าย เสียงคุยโทรศัพท์ของพี่คินก็เล็ดลอดออกมาจากห้อง น้ำเสียงนั้นทั้งแข็งกร้าวและเต็มไปด้วย
ความไม่พอใจ และเมื่อปลายเท้าของผมเหยียบย่ำลงไปยังชั้นบนของตัวบ้าน แสงไฟที่ลอดออกมาจากบานประตูที่เปิดแง้มเอา
ไว้ทำให้หัวใจของผมเต้นโครมครามเมื่อมองผ่านเข้าไปข้างใน

   ห้องที่อยู่คนละฝั่งกับห้องนอนที่ใช้อยู่ ห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องนอนที่ใหญ่กว่าและข้างในเพรียมพร้อมไปด้วย
เฟอร์นิเจอร์และข้าวของแตกต่างจากห้องที่ผมใช้อย่างสิ้นเชิง

   “มันจะไม่มีปัญหาถ้าหากเวลาหลายอาทิตย์แลกกับข้อมูลที่ครบถ้วน”

   “ผมไม่เข้าใจว่าแค่คนคนเดียวทำไมคุณถึงหาข้อมูลให้ผมไม่ได้”

   “ผมให้เวลาคุณอีกแค่อาทิตย์เดียว ผมอยากได้ข้อมูลที่มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่รูปถ่ายที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มาของมันคืออะไร”

   น้ำเสียงนั้นขุ่นเคืองและกระดาษที่ดูเหมือนรูปถ่ายหลายไบนั้นจะถูกโยนลงบนโต๊ะทำงานที่อยู่มุมห้อง บทสนทนาพวกนั้น
ผมได้ยินมันอย่างชัดเจนแต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันหมายถึงอะไร ร่างสูงที่ยืนตระหง่านอยู่กลางห้องราวกับไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมรู้จัก
มันเหมือนกับวันแรกๆที่ผมถูกจับมาที่นี่ เพราะมันแข็งกระด้างและเต็มไปด้วยความดุดัน ผมค่อยเดินถอยหลังออกห่างจากบ้าน
ประตูนั้น ตัดสินใจที่จะเดินย้อนกลับไปยังที่เดิม กลับมายังชั้นล่างและเปิดทีวีทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   

   “ละครที่รัมภ์ดูจบแล้วไม่ใช่รึไงหืม? แล้วทำไมถึงยังไม่ขึ้นไปอาบน้ำล่ะ”

   “ผม…ยังไม่ง่วงน่ะ”รู้ตัวอีกทีละครที่ดูอยู่มันก็จบไปได้สักพักแล้ว แทนที่ด้วยรายการรอบดึกที่กำลังจะเริ่มขึ้น

   “นอนได้แล้ววันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”ร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดเดิมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆกัน

   “แล้วทำไมพี่ถึงยังไม่อาบน้ำล่ะครับ”ผมถามกลับ อยากจะรู้ว่าคำตอบของพี่เขาคืออะไร อยากจะรู้ว่าคำตอบนั้นจะเกี่ยวกับ
ห้องเดียวในบ้านหลังนี้ที่ถูกล็อกเอาไว้ตลอดเวลาไหม

   “พี่อยากอาบน้ำพร้อมรัมภ์ อาบคนเดียวมันน่าเบื่อ”ตอบกลับมาเสียงเบาก่อนจะเกี่ยวเอาเอวของผมไปกอดแล้วดึงเข้าไป
ใกล้จนเกยขึ้นไปบนหน้าขาแข็งแรง

   “อย่าครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็น”

   “ทำไมพี่ต้องกลัวคนอื่นมาเห็นในบ้านของตัวเองล่ะ”ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ช่างแตกต่างกับเมื่อครู่โดยสิ้น
เชิง

   “ผมขี้เกียจเถียงกับพี่แล้ว ผมจะไปนอน”ผมว่าพลางลุกออกมาจากอ้อมแขนที่กอดเอาไว้

   “เดี๋ยวสิ”พี่คินเรียกเอาไว้ก่อนจะดึงให้ผมกลับไปนั่งที่เดิม กายที่สูงกว่าเคลื่อนเข้ามาประชิดก่อนที่ใบหน้านั้นจะโน้มเข้ามา
ใกล้ “รัมภ์ไม่อยากลองทำที่โซฟาบ้างรึไง”เสียงฟังดูลามกกระซิบข้างหู ฟันคมขบลงมาที่ติ่งหูแล้วใช้ลิ้นเปียกชื้นตวัดเลียเบาๆ
ให้ผมได้ขนลุก

   “ไม่ครับ ไม่อยากทำ”ผมเบือนหน้าหนี แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าก็ร้อนวูบเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่พี่คินพูดถึง

   “เอาน่าพี่ล้อเล่น ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”มือใหญ่ขยี้ลงมาบนหัวเบาๆก่อนจะดึงให้ผมเดินตามขึ้นไปยัง
ชั้นบน

   ทำไมกันนะผมถึงได้รู้สึกว่าที่ตัวเองคิดว่ารู้จักพี่คินดีพอมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวที่ผมรู้จักพี่เขาเท่านั้น ผมได้แต่เดินตาม
เจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นไปโดยที่ใจยังคงว้าวุ่นกับสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน




(แก้) ขอบคุณทุกคอมเม้นติชมจ้าาาาา หึหึ ฟิ้วววววววว (เสียงลมพัด) บรู๊วววววว (เสียงหมาหอน)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่คิน สืบเรื่องเกี่ยวกับรัมภ์
พ่อรัมภ์ หรือเปล่า  :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
มาอย่างสั้นๆและค้างคา :katai1: :mew4:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เหมือนหย่อนระเบิดทิ้งไว้ ค้างงง :katai1:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 22 จัดการนางฟ้า

   ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับตาข้างหนึ่งได้ถูกปิดเอาไว้ให้มองไม่เห็น หูข้างหนึ่งถูกปิดเอาไว้ไม่ให้ได้ยินไม่ให้รับรู้ในสิ่งที่ต้องการ
ราวกับการนั่งดูละครเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังของมันเป็นมาอย่างไร

   “พี่ไปทำงานก่อนนะ อย่าดื้อล่ะแล้วก็กินยาด้วย”น้ำเสียงนุ่มหูสั่งทิ้งท้ายเอาไว้

   “ครับ”ผมพยักหน้ารับ ฝืนยิ้มออกไปทั้งที่ความจริงแล้วการยิ้มให้ใครสักคนมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็น

   “น้ารัมภ์ ทำไมน้ารัมภ์ไม่ไปส่งน้องณินล่ะ ไหนน้ารัมภ์สัญญาว่าจะไปส่งน้องณินไงคับ”น้องณินหน้ามุ่ย มือเล็กๆจับมือของ
พี่คินเอาไว้แน่น

   “ไม่อยากให้น้องณินไม่สบายน่ะ ถ้าอยู่ใกล้กันจะไม่สบายไปด้วยนะรู้ไหม”ยื่นมือไปลูบหัวน้องณินเบาๆ

   “ไปได้แล้วไอ้ตัวแสบ”พี่คินดึงมือน้อรินให้เดินตามไปที่รถ

   ผมได้แต่ทอดมองรถคันใหญ่เคลื่อนตัวห่างออกไปอย่างช้าๆจนลับตา ถอนหายใจให้กับคำโกหกของตัวเองเพื่อแลกกับ
บางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ พักใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น คิดในเรื่องที่มันยังคงค้างคาใจ พยายามตอกย้ำตัวเองว่าทำไมต้องคิด
แต่ยิ่งพยายามสลัดมันให้หลุดเท่าไรมันเหมือนจะยิ่งตามมารุมเร้าให้ผมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเป็นเท่าตัว

   “รัมภ์เห็นนายหัวบอกว่ารัมภ์ปวดหัวไม่สบาย กลางวันนี้พี่ทำข้าวต้มกุ้งให้กินเอาไหม”พี่นุ่มถามพลางยื่นยาแก้ปวดหัวมาให้

   “ไม่เป็นไรครับ แค่ปวดหัวเดี๋ยวกินยาก็หาย”ผมแสร้งยิ้มออกไปพลางทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาโดยมีสายตาพี่เลี้ยงของน้องณิ
นมองอยู่ไม่ไกล

   รายการทีวีก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆนำเสนอแต่เรื่องเดิมๆซ้ำๆ และไม่นานหลังจากที่พี่คินออกไปทำงานฟางก็จะแอบ
หลบไปอู้งานเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่นั่นก็เป็นการดีที่ตัดตัวปัญหาไปได้หนึ่งเหลืออีกหนึ่งคือพี่นุ่มที่ยังล้างจานอยู่ใน
ครัว

   “พี่นุ่มครับ พอจะมียาลดกรดรึเปล่า”ถามพลางเดินเข้าไปใกล้พี่นุ่มที่ยืนเช็ดจานเก็บใส่ตู้

   “เอามาทำอะไรเหรอ พี่คิดว่าไม่มีนะเหมือนจะหมด ปกติก็ไม่มีใครใช้อยู่แล้ว”

   “งั้นเหรอครับ พอดีผมรู้สึกแน่นท้องนิดหน่อย”แสร้งพูดออกไปเพราะสำรวจดูดีแล้วว่าในตู้ยาไม่มียาลดกรดที่ว่าอยู่เลย
   “อืมเอาไงดี งั้นเดี๋ยวพี่ใช้ให้ใครไปซื้อให้ดีกว่านะ รัมภ์แน่นท้องมากไหม หรือจะให้พี่โทรเรียกหมอนทีมาดูให้”

   “ไม่เป็นไรครับ แค่พี่นุ่มไปซื้อยาลดกรดให้ผมก็พอ ผมไม่อยากให้คนอื่นไปเพราะกลัวว่าจะซื้อมาผิดยี่ห้อที่ผมกินประจำ
น่ะ”

   “เอางั้นเหรอ งั้นพี่ฝากดูบ้านหน่อยนะ เดี๋ยวพี่รีบไปแล้วรีบมา”พี่นุ่มพยักหน้าเมื่อผมบอกยี่ห้อยาลดกรดไป

   ไม่นานหลังจากพี่นุ่มออกไปซื้อยาลดกรดให้ บ้านหลังนี้ก็ตกเข้าอยู่ความเงียบงัน เหลือเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่
หน้าประตูของห้องครัว จ้องมองตู้เก็บกุญแจสำรองของบ้าน ผมไม่รู้ว่ากุญแจดอกไหนเป็นดอกที่ผมต้องการ รู้แค่ว่าไม่ว่ายังไงก็
จะต้องรู้เรื่องทุกอย่างให้ได้ ลางสังหรณ์มันกำลังจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนรอบตัวพยายามปิดบังเอาไว้นั้นมันเกี่ยวข้องกับตัว
ผม

   กุญแจทุกดอกในตู้ถูกหยิบออกมาหมด ผมภาวนาว่าขอให้หนึ่งในนี้สามารถไขห้องเพียงห้องเดียวในบ้านหลังนี้ที่ถูกล็อก
เอาไว้ตลอดเวลาได้ กุญแจที่เสียบเข้าไปในรูกุญแจนั้นกำลังสั่นไม่แพ้กับก้อนเนื้อที่อยู่ในอกของผม และเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อกุญแจแรกที่ซุ่มเลือกขึ้นมาสามารถปลดล็อกบานได้

   บานประตูค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆสิ่งแรกที่เห็นคือเตียงนอนขนาดใหญ่เด่นหราอยู่กลางห้อง เพียงก้าวแรกที่เดินเข้าไป
ผมก็รับรู้ได้ถึงขนาดของห้องที่ใหญ่จนห้องที่ผมใช้อยู่นั้นเทียบไม่ติด ด้านนอกมีระเบียงไม่ทอดยาวออกไปให้เห็นชายหาดซึ่ง
ห้องที่ผมใช้อยู่นั้นไม่มี ข้าวของทุกอย่างและทุกชิ้นถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบบ่งบอกให้รู้ถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของห้อง
และที่สำคัญกรอบรูปที่ตั้งอยู่หัวเตียงบ่งบอกให้รู้ถึงสถานะความเป็นเจ้าของห้องที่แท้จริง ตอนนี้ราวกับเรี่ยวแรงของผมมันค่อยๆ
ถูกสูบออกไปจนแทบไม่เหลือ แต่ละย่างก้าวที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้มันช่างยากเย็น ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งมองก็
ยิ่งรู้สึกถึงความห่างเหินที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ

   ผมหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานตรงมุมห้อง จ้องมองซองเอกสารที่ถูกวางระเกะระกะมากมายบนนั้นราวกับว่ามันถูกใช้จนนับครั้ง
ไม่ถ้วน ผมตัดสินใจเลือกหยิบซองเอกสารที่อยู่ด้านบนสุดความรู้สึกมันบอกว่าซองนี้เป็นซองเดียวกับซองเมื่อวานที่พี่คินพึ่งจะได้
รับ ข้างในเป็นรูปถ่ายหลายใบที่ถูกแอบถ่ายในระยะไกลๆพอให้เห็นแค่ว่าคนในรูปนั้นเป็นใคร แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้
ว่าคนในรูปนั้นคือพี่ตินกับชาวต่างชาติที่ไม่เคยเห็นหน้า เวลาที่ปรากฏอยู่มุมบนขวาของรูปบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ารูปนี่ถูกถ่าย
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำไมพี่คินจะต้องสืบเรื่องของพี่ตินและเกี่ยวข้องอะไรกับชาวต่างชาตินัยน์ตาสีน้ำตาลคนนั้นไหม ผมไม่
เข้าใจเลยสักนิด ยิ่งพยายามปะติดเรื่องราวต่างๆมากเท่าไรมันยิ่งเหมือนกับว่าทุกอย่างมันพันกันเป็นปมเหมือนเส้นด้ายถูกจับมัด
เอาไว้ให้แกะไม่ออก

   มือของผมมันกำลังสั่นและพยายามที่จะเก็บรูปมากมายพวกนั้นกลับเข้าซองดังเดิม ในเวลานี้ผมอยากจะถอยหลังหนีกับ
เรื่องราวที่เป็นเหมือนกับต่อจิ๊กซอที่บางชิ้นขาดหาย แต่มือที่ยื่นออกไปนั้นมันไม่ยอมฟังเลยสักนิด ซองเอกสารอีกซองถูกเปิด
ออกมา มันแทบจะร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นเมื่อข้อมูลมากมายที่ปรากฏอยู่ในนั้นเป็นข้อมูลของคนใกล้ตัว คนที่อยู่ด้วยกันกับผม
มาทั้งชีวิต และเนื้อหาทั้งหมดทุกอย่างที่ถูกระบุอยู่บนแผ่นกระดาษพวกนี้ทำให้ผมหน้าชาราวกับถูกตบนับพันครั้ง ข้อมูลของแม่
ที่ผมไม่เคยรู้ มันบอกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานของแม่ตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่เกิด จนถึงสถานะทางการเงิน ประวัติการรักษา
พยาบาล

   ผมไม่น่าเลย ไม่น่าเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่แรก ถ้าผมไม่เข้ามาผมก็ไม่ต้องมารับรู้เรื่องอะไรแบบนี้ ไม่ต้องมารับรู้ว่าเอกสารที่
มีเกือบทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเองและทุกคนที่อยู่รอบข้างไม่เว้นแม้แต่ของเพื่อสนิทอย่างวิน ตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด
ว่าทำไมพี่คินถึงได้กล้าลักพาตัวผมมา กล้าที่จะกักขังผมเอาไว้แบบนี้ เพราะทุกอย่างเป็นเพราะว่าพี่เขารู้ทุกออย่างที่เกี่ยวกับตัว
ผม มีทุกอย่างที่ผมไม่คิดว่าจะมี แม้กระทั่งรูปถ่ายของแม่กับผู้ชายชาวต่างชาติที่ผมไม่มีวันจะลบภาพของเขาออกไปจากสมอง
ของผมได้เลย

   ทุกอย่างมันคงเป็นเพียงแค่เกม ผมพยายามย้ำคิดย้ำทำตอกย้ำในสิ่งที่ตัวเองคิดทันทีที่บานประตูนั้นปิดลงแทนที่ด้วย
ความเจ็บปวดที่ไม่ต่างอะไรกับการเอาเข็มเป็นร้อยเป็นพันเล่มมาปักเอาไว้ในอก

   ---------------------------------------------------------------------------

   ผมเอากุญแจทุกดอกไปคืนไว้ในตู้กุญแจเหมือนเดิมก่อนจะเดินกลับขึ้นมาที่ห้องของตัวเอง ทิ้งตัวลงไปบนเตียงนอนที่เต็ม
ไปด้วยความทรงจำในช่วงระยะเวลาสั้นๆ น้ำตาที่เหือดแห้งนานจนไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่มันไหลออกมานั้นเมื่อไหร่เวลานี้มันได้
ไหลลงมาอีกครั้ง ภาพที่มองเห็นค่อยๆพร่าเบลอ ความรู้สึกหนาวเย็นจนเข้ากระดูกทำให้ผมต้องขดตัวเองเข้าหากัน ยกมือขึ้น
กอดเข่าตัวเองเอาไว้ ผมเกลียดความลับ เกลียดความลับที่คนรอบตัวพยายามปกปิดเอาไว้ ทั้งแม่ ทั้งพี่คิน หรือแม้กระทั่งพี่ติน

   ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนหลังจากที่เผลอหลับไปทั้งน้ำตา รู้ตัวอีกทีก็ถูกมือที่ทั้งร้อนทั้งสากลูบลงมาบนใบหน้า
ความรู้สึกมันช่างแผ่วเบาผมควรรู้สึกอย่างนั้นแต่มันกลับตรงกันข้าม

   “ให้พี่พาไปหาหมอไหม”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามทันทีที่ลืมตาขึ้นมา

   รอยยิ้มบางเบาทำไมผมถึงได้คิดว่ามันเป็นเพียงแค่การสวมหน้ากากเพื่อให้เกมได้ดำเนินต่อไป ทำเหมือนคนโง่ที่ไม่ต่าง
อะไรกับตุ๊กตาไขลาน ถูกบังคับให้เดินไปข้างหน้าทั้งที่อยากจะถอยหลัง ผมส่ายหน้าพลางเบือนหน้าหนีมือที่ทาบลงมาบนหน้า
ผาก

   “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

   “แต่พี่ไม่คิดว่าอย่างนั้น”ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้ก่อนจะจูบซับลงมาบนเปลือกตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้

   “ไม่เป็นไรผมกินยาแล้ว เดี๋ยวก็หายเอง”

   “อย่าพูดอย่างนั้นสิรัมภ์ พี่เป็นห่วงรัมภ์นะรู้ไหม”

   “ผมรู้”รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่เกมที่มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่สนุกไปกับมัน สนุกที่ได้รู้ทุกอย่างที่ผมไม่เคยรู้

   “ไปกินข้าวกันดีกว่าจะได้กินยา”พี่คินดึงมือให้ผมเดินตามลงมายังชั้นล่าง และผมก็ยอมตามเกมอย่างว่าง่ายและสุดท้ายก็
คงจะต้องยอมพ่ายแพ้สมกับผลกรรมที่ทำเอาไว้

   คำพูดที่บอกว่ายกโทษให้มันช่างโป้ปดสิ้นดีในเมื่อการแก้แค้นคืนนั้นมันมากกว่านับสิบเท่า

   ผมเฝ้ามองรถคันเดิมขับห่างออกไปเรื่อยๆจนลับตาเช่นเดิม หากแต่ว่าความรู้สึกที่มีอยู่ในใจนั้นมันช่างแตกต่างจากการกระ
ทำโดยสินเชิง



   ------------------------------------------------------------------

   “พี่นุ่มครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”ผมถามในขณะที่กำลังล้างผักใส่ตะกร้าเตรียมทำมื้อเย็นกับพี่นุ่มอยู่ในครัวเมื่อนึก
บางอย่างขึ้นมาได้

   “หืม ได้สิว่าแต่ถามอะไรเหรอ”

   “ผมอยากรู้ว่าห้องพักของคนงานมีกุญแจสำรองไหมน่ะครับ”

   “ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ แต่ถามไปทำไมเหรอ”

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่สงสัยว่าถ้าคนงานทำกุญแจหายจะทำยังไง”

   “ก็ต้องมาเบิกกุญแจสำรองไปน่ะแหละ”

   “งั้นเหรอครับ”ผมพยักหน้าตอบรับ “ผมล้างผักตรงนี้เสร็จแล้ว ผมขอไปที่โรงเรือนแปบหนึ่งนะครับ เห็นลุงเมฆบอกว่าพรุ่ง
จะเอานกที่เหลืออยู่ไปปล่อย ผมอยากจะไปดูสักหน่อย”

   “ได้สิ แต่รีบไปรีบมาล่ะ สักพักนายหัวก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ”

   “ครับ”ผมพยักหน้าตอบรับ


   อาศัยในช่วงที่พี่นุ่มเผลอเดินไปยังห้องเก็บของ ค่อยๆเปิดประตูออกอย่างช้าๆมองเห็นตู้เก็บกุญแจสำรองอยู่ข้างประตู ผม
หยิบกุญแจห้องเบอร์ที่ต้องการใส่กระเป๋าก่อนจะปิดประตูลงอย่างเบามือแล้วเดินออกมาแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ผมมั่นใจว่ามันมีอะไรที่ผมอยากจะรู้เกี่ยวกับตัวพี่ตินมากกว่าแหวนที่เหมือนกันกับของผม ถึงแม้ว่าหัวใจที่อยู่ในอกมันกำลัง
สั่นให้กับอนาคตที่ไม่อาจจะล่วงรู้และต้องพ่ายแพ้ให้กับเกมที่ไม่ได้เต็มใจจะเล่น แต่ยังไงผมก็ยังอยากที่จะรู้อยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมด
นี้มันเกี่ยวโยงกันยังไง

   อีกแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเลิกงาน ผมเดินขึ้นตึกที่พักคนงานมายังชั้นสามชั้นบนสุดโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นอาจ
จะเพราะเป็นเวลาทำงานจึงทำให้แทบไม่มีคนอยู่ในตึกนี้ ผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องในสุดก่อนหยิบกุญแจที่แอบหยิบมา

   สภาพภายในห้องนั้นไม่ต่างจากครั้งที่แล้วที่ผมเข้ามาสักเท่าไร ต่างกันแค่ว่าเวลานี้มันทั้งเงียบทั้งวังเวงราวกับว่ากำลังอยู่
ในป่าช้า ผมปิดประตูลงและล็อกเหมือนเดิมเพื่อที่จะได้ไม่ผิดสังเกตจากคนข้างนอก ไม่รู้ว่าควรจะต้องเริ่มหาอะไรหรือว่าตรง
ไหนก่อนดี มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือต้องการรู้ความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ทั้งตัวแหวนและเจ้าของแหวน

   ผมเปิดลิ้นชักตู้เก็บของชั้นบนสุดออก ข้างในมีเพียงของใช้เล็กๆน้อยๆ แต่ที่สะดุดตาก็คงไม่พ้นคอนแท็คเลนส์สีดำนับสิบคู่
ที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างในกับแชมพูย้อมปิดผมขาวสำหรับผู้สูงอายุ ผมไม่คิดว่าพี่ตินจะสายตาสั้น และไม่คิดว่าจะมีผมหงอกทั้งที่อายุ
ยังไม่เยอะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ผมสามารถคิดได้ ทว่า

   เสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นจากด้านในสุดของลิ้นชักที่ผมเปิดค้างเอาไว้ มือถือรุ่นใหม่ยี่ห้อดังไม่ต้องพูดถึงราคาที่
แพงลิบ ไม่มีทางที่คนงานในธรรมดาจะมีทั้งมือถือราคาแพงกับแหวนทองคำขาวได้แน่ๆ ยิ่งพยายามค้นมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเห็นถึง
พิรุธมากมาย  ผมหยิบโทรศัพท์ที่ถูกตั้งสั่นเอาไว้ขึ้นมาดู หน้าจอเบอร์ของต่างประเทศ ไม่ทันที่จะแย้งกับความอยากรู้ของตัวเอง
มือก็กดรับแล้วยกมันขึ้นมาแนบหู มืออีกข้างยกขึ้นมาแนบเข้าที่แผ่นอกด้านซ้ายของตัวเอง

   “กว่าจะรับได้นะ ตั้งแต่พูดภาษาไทยคล่องก็ไม่ติดต่อกันมาเลยนะ”

   “…”

   “ที่นั้นเป็นยังไงบ้างร้อนใช่ไหมล่ะ รีบจัดการน้องชายของนายแล้วรีบกลับมาที่โรมได้แล้ว นายทิ้งที่นี่นานเกินไปแล้วนะ ว่า
แต่ไม่สะดวกคุยรึไง ทำไมวันนี้นายและเงียบๆล่ะ”

   “อะ อืม”ผมตอบกลับเสียงเบาที่สุดท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกกำลังบอกว่าไม่อยากที่จะวางสายนี้ไปในตอนนี้

   “ไม่สะดวกคุยสินะ ยังไงก็จัดการซะให้เรียบร้อยก่อนที่น้องนายสุดที่รักของนายจะมาฮุบกิจการร้อยล้านของพ่อนายก่อน 
จัดการนางฟ้าของนายซะอย่าปล่อยให้นางฟ้าของนายรอดไปได้ล่ะ ฮ่าๆ แค่นี้ล่ะ ฉันแค่จะโทรมาบอกว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะบินกลับ
ไทย แล้วเจอกัน”ในที่สุดปลายสายก็ตัดไป สมองของผมในเวลานี้มันขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง ทว่า

   แกร๊ก!!!!

   เสียงปลดล็อกประตูกับเสียงคนคุยกันจากด้านนอกทำให้ผมสะดุ้ง เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังล่วงเลยเวลาเลิกงานไปได้
สักพักแล้ว ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปนานโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด รู้ตัวอีกทีก็ดันลิ้นชักกลับเข้าที่อย่างลวกๆ จ้องมองไปยังบ้าน
ประตูที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ ‘จัดการนางฟ้า’ คำคำนี้มันทำให้ร่างกายของผมสั่นกลัวขึ้นมา

   รู้ตัวอีกทีผมก็เฝ้ามองทุกอย่างจากช่องระบายลมของตู้เสื้อผ้า จ้องมองร่างสูงใหญ่เดินไปหยุดอยู่หน้าตู้กระจกก่อนจะถอด
เสื้อออกเผยให้เห็นแผงอกกำยำและผิวที่ขาวจัดภายใส่เสื้อที่ปิดเอาไว้ ผิวที่ขาวแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง ผมไม่แปลกใจ
เลยว่าทำไมพี่ตินถึงเอาแต่ใส่เสื้อแขนยาว เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มกายเบื้องหน้านั้นถูกปลดออกไปจนเกือบหมดเหลือเพียงแค่กางเกงชั้น
ในตัวเดียว

   ผมเริ่มเหงื่อตกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวและเริ่มอึดอัดเพราะอากาศที่มีให้หายใจเริ่มน้อยลงไปทุกทีและภาพตรงหน้าก็
ทำให้ผมชะงัก ดวงตาเบิกกว้างกับสิ่งที่พี่ตินกำลังทำ ใบหน้าหล่อโน้มเข้าไปใกล้กระจกก่อนที่นิ้วแข็งแรงจะง้างเปิดเปลือกตา
เอาไว้แล้วหยิบเอาคอนแท็คเลนส์สีดำสนิทออกมาจากนัยน์ตาแล้วเดินมายังตู้เสื้อผ้า

   หัวใจของผมเต้นโครมคราวตนแทบจะหลุดออกมาจากอกเมื่อมือใหญ่นั้นกำลังจับที่ประตูตู้เสื้อผ้าเตรียมจะเปิดออกทว่า
ความใกล้ชิดที่มีเพียงแค่บานประตูตู้เสื้อผ้ากั้นอยู่เท่านั้นทำให้ผมเห็นนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเป็นประกายได้อย่างชัดเจน ประตูตู้เสื้อ
ผ้าค่อยๆถูกแง้มออก ร่างกายของผมมันชาวูบ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้ากับฝ่ามือจนรับรู้ถึงความเจ็บ แต่
ความเจ็บนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ใจของผมกำลังรู้สึก แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรียกให้ร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเดิน
ห่างออกไป ได้ยินเสียงพี่นุ่มกับเสียงพี่ตินคุยกันอยู่สักพักก่อนที่ประตูห้องจะปิดลงอีกครั้ง เห็นพี่ตินเดินถือปิ่นโตกับข้าวไปวางลง
หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะได้ยินเสียงประตูห้องน้ำ

   ผมรอจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกลงกระทบพื้น ค่อยๆเปิดบานประตูตู้ออก จ้องมองไปยังประตูห้องน้ำ มันไม่ต่างอะไรเลย
กับการถูกหักหลังจากคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้

   ผมเดินออกมาจากห้องนั้น เดินออกมาจากตึกที่พักคนงานจากที่เดินอย่างช้าๆก็ค่อยๆเร่งฝีเท้า ถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากที่
จะเดินออกไปยังฝั่งตรงกันข้าม เดินออกไปจากที่นี่จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไรอีกเลย หากแต่ว่าโซ่ตรวนเส้นใหญ่มันยังคงดึงรั้งเอา
ไว้ไม่ให้หนีจากเส้นทางที่เลือกไม่ได้

   ภาพตรงหน้าค่อยๆพล่าเบลอเพราะม่านน้ำตาที่ไหลลงมาบดบัง ผมก้มหน้าลงมองเพียงแต่ปลายเท้าที่ก้าวออกไปข้างหน้า
ทั้งที่รู้ว่ามันจะไปสุดอยู่ที่ตรงไหน แต่ก็เลือกที่จะก้าวเดินไป รู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดแข็งแรงที่คุ้นเคย

   ถูกกอดเอาไว้แน่นจนเหมือนจะจมเข้าไปในอ้อมกอดนั้น มือใหญ่ดึงหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของผมให้เงยขึ้นจ้องตอบกับ
ตาคู่คมกริบ ตอนนี้ผมอ่านไม่ออกเลยว่าภายใต้ความอ่อนโยนนั้นกำลังซ่อนอะไรอยู่อีกนอกจากสิ่งที่ผมรู้ อยากจะผลักไสร่างสูง
ใหญ่นี้ออกไปให้ห่างแต่ร่างกายมันก็ไร้เรี่ยวแรงเกินจะต่อต่าน

   “รัมภ์ไปไหนมา เป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้”

   “ผม…ไปห้องพักฟื้นมา”โกหกออกไปไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไร เงยหน้าตอบรับปลายนิ้วที่เช็ดน้ำตาให้ทั้งที่อยากจะเบือนหนี

   “พี่ไปตามแล้วทำไมไม่เจอ ตอบพี่สิว่าทำไมถึงร้องไห้”

   “ผม…ผมแค่ฝุ่นเข้าตา”ต้องโกหกอีกกสักกี่ร้อยกี่พันรอบผมก็รู้ รู้แค่ว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้วกับความจอมปลอม
ทั้งหมดที่ทุกคนรอบตัวสร้างขึ้นมา รวมถึงอ้อมกอดนี้ด้วย

   “กลับกันเถอะน้องณินรอกินข้าว”ผมรู้ว่าพี่คินไม่เชื่อที่ผมพูด แต่พี่เขาก็เลือกที่จะเงียบแล้วจับมือผมดึงให้เดินตามไป ไม่ว่า
ยังไงผมก็เลือกแล้ว ผมเลือกที่จะเดินตามเกมนี้ต่อไป จนกว่าทุกอย่างมันจะจบลง ถึงแม้ว่าจะต้องเป็นฝ่ายแพ้ก็ตาม





------------------------------------------------------------------------------------------------


อีพี่ติน นางจะมาจัดการนางฟ้าของช้าาานเร้อออออ สองหนุ่มนี่หาเรื่องปวดหัวอีกแล้ว

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คือบางทีถ้าพี่ทินรู้อะไรก็ควรจะบอกรัมภ์หรือเปล่า

แล้วพี่ตินนี่ยังไงเนี่ย? เฮ้อออออ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่ติน ดูแล้วไม่ใช่ต้องการกำจัดรัมภ์นะ
พี่คิน รักรัมภ์
สืบเรื่องรัมภ์ ก็คงไม่ใช่เพื่อคิดร้าย
หรือเอาชนะรัมภ์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขี้น #ทีมคิน เสมอนะตัว :o8:

ออฟไลน์ nekozaa

  • I want to you read me
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่ตินไม่น่าจะทำร้ายน้องตัวเองนาเพราะช่วยชีวิตแทนที่จะปล่อยให้ตาย รึเปล่า  :hao4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
...เบื่อผู้ใหญ่แล้ว ทีมน้องณินแล้วกันค่ะ :z2:

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 o13  จะสั่นไปหนายยยยยน  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
o13  จะสั่นไปหนายยยยยน  :katai1:
สั่นนี่หมายถึงตัวสั่น หรือเนื้อเรื่องสั้น ฮ่าๆ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ปวดตับ น้องณินน้องมินทร์ปลอบอิป้าที

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อ่านทันแล้ว กำลังดราม่าเลย~

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 23 ไม่ไว้ใจ

   น้ำจากฝักบัวไหลผ่านร่างกายตกกระทบบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วห้องน้ำ มันไม่ได้ทำให้หัวของ
ผมเย็นลงบ้างเลยในเมื่อความคิดของผมมันยังคงตีกันวุ่นวาย ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำที่กำลังเชี่ยวกราดจนไม่อาจนำสิ่งใดไปขวาง
ให้มันหยุดลง

   “ยังปวดหัวอยู่เหรอ ไม่พูดไม่จาบ้างเลย”เสียงกระซิบถามข้างหูพร้อมร่างกายอันร้อนผ่าวและเปลือยเปล่าเคลื่อนเข้ามา
แนบชิดจากทางด้านหลัง ความร้อนเสมือนกับเอาไฟร้อนๆมาลนทำให้ผมขบริมฝีปากเอาไว้แน่น

   “อืม”ผมพยักหน้ารับ

   “แล้วเมื่อเย็นได้กินยารึยัง”

   เสียงนั้นยังคงกระซิบถามและจูบลงมาบนแก้มชื้นเต็มไปด้วยหยดน้ำ มือใหญ่สอดเข้ามาทางด้านหลังแล้วกอดเอวผมดึง
เอาไว้แนบชิดกับหน้าท้องแข็งแรง ผมได้แต่พยักหน้าเบาๆกับคำถามแบบขอไปที

   ความคิดทุกอย่างมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ผู้ชายชาวต่างชาติในรูปที่ดูสนิทสนมกับแม่จะใช่พ่อของผมไหม ผมไม่กล้าที่
จะตัดสินใจได้เลย ผมไม่กล้าที่จะตัดสินใจว่าพี่ตินต้องการอะไรจากผม น้องชายของพี่ตินคือใครนางฟ้าที่ได้ยินจากปลายสายนั้น
จะใช่ผมอย่างที่คิดเอาไว้ไหม ถ้าหากใช่ผมควรจะทำอย่างไรในเมื่อมันหมายถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาจากคนใกล้ตัวที่
เรียกได้ว่าเคยไว้ใจ คนที่ทำให้ผมยอมที่จะยิ้มออกมาจากใจจริงหลังจากผ่านเรื่องราวที่เลวร้าย ทำให้ผมไม่กล้าที่จะไว้ใจใครอีก
เลย



   “ผมขอถามอะไรพี่อย่างหนึ่งจะได้ไหม”

   “ถามอะไรล่ะ หืม?”ถามกลับมาเสียงเบาทั้งที่มือยังใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ซับผมที่เปียกชื้นให้ผม

   “พี่เคยบอกว่าพี่มีสิ่งที่ต้องการจากผม”ผม พยายามกลืนก้อนน้ำลายที่เหนียวหนืด “ตอนนี้พี่ได้มันแล้วหรือยัง”

   และเหมือนกับคำถามของผมทำให้พี่คินชะงักมือเอาไว้ ผมไม่อาจจะรู้ได้ว่าสีหน้าของเขาเป็นอย่างไรในเมื่อตอนนี้ผมกำลัง
หันหลังให้กับพี่เขา ความเงียบค่อยๆคืบคลานเข้ามาขวางกั้นระหว่างเราสอง

   “สิ่งที่พี่ต้องการ พี่ได้มันมาแล้ว”

   เสียงทุ้มที่เกือบเบาตอบกลับมา มันยิ่งทำให้ผมกัดริมฝีปากแน่นกับคำตอบ สัมผัสได้ถึงฝ่ามือร้อนที่ทาบทับลงมาบนแผ่น
หลังด้านซ้าย ทั้งที่คำตอบที่ได้รับมันน่าจะทำให้ผมดีใจที่ในที่สุดพี่คินก็ได้สิ่งที่ต้องการ แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มัน
กำลังหมายถึงผมไม่จำเป็นสำหรับพี่เขาอีกต่อไปแล้วในเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ

   “ถ้าอย่างนั้น…จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะกลับบ้าน”

   “มันไม่สำคัญว่าพี่จะได้มันมาแล้วหรือยัง ยังไงซะตอนนี้รัมภ์จะต้องอยู่กับพี่ที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้นรู้ไหม”

   “สามเดือนใช่ไหมครับ”

   “ตอนนี้เวลามันไม่สำคัญแล้ว สำคัญก็แค่รัมภ์เท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับพี่”พูดจบแขนแข็งแรงก็สวมกอดเข้ามาจากทาง
ด้านหลัง

   ผมถูกดึงให้เข้าไปในอ้อมกอดนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน จมูกโด่งก้มลงมาคอเคลียที่ซอกคอก่อนจะฝัง
ลงมาแล้วสูดหายใจ ก่อนจะเกยคางลงมาบนลาดไหล่

   “ครับ”

   ผมได้เพียงแค่ตอบรับเพียงเท่านั้นกับคำโป้ปดที่ออกมาจากริมฝีปากที่เฝ้าจูบผมครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากว่าผมสำคัญอย่าง
ที่พูดออกมาจริง ทำไมพี่เขาถึงได้เก็บความลับทั้งหมดเอาไว้โดยที่ไม่บอกผม ทำไมถึงไม่ยอมบอกแม้กระทั่งเรื่องของพ่อผมที่
พยายามสืบอยู่ ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่าคนที่อยู่ในรูปนั้นจะไม่ใช่พ่อ อย่างน้อยการที่ไม่รู้ว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไงยังดีกว่าการที่
ต้องมีภาพของพ่อติดตาอยู่ตลอดเวลาแบบนี้

   -------------------------------------------------------------------------------------

   “พี่นุ่มเดี๋ยวผมจะไปโรงเรือนนะครับ”

   “หืม ทำไมล่ะ ผ่านนี้แล้วแดดก็ร้อน อีกอย่างลุงเมฆก็เอานกไปปล่อยหมดแล้วนี่”พี่นุ่มหันมาถามขณะเรากำลังนั่งดูละคร
ตอนบ่ายกันอยู่

   “พอดีผมลืมของเอาไว้”

   “หึ มัวแต่คิดถึงผู้ชายออยู่ล่ะสิ ถึงได้ลืมนู่นลืมนี่”

   “เอะแกนี่ปากนะปาก”พี่นุ่มหันไปต่อว่าฟางที่พูดแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจแทนทันทีก่อนจะปาหมอนอิงใส่สาวเจ้าที่นั่ง
เบ้ปากมองมาที่ผม

   “ก็มันจริงไหมล่ะ ไม่รู้ว่าจะไปเอาของหรือไปหาผู้ชายกันแน่ จงใจลืมรึเปล่าก็ไม่รู้ พี่ตินก็ยิ่งหล่อๆอยู่ด้วย”

   “แล้วถ้าบอกว่าจงใจล่ะ จะทำไม”ผมถามกลับด้วยสีหน้าอันเฉยชา เบื่อเต็มทีกับท่าทีของฟางที่แสดงต่อพี่คิน

   “ใครจะไปกล้าทำไมกับคนโปรดของนายหัว”

   “ปากมากเกินไปแล้วนังฟาง หุบปากแล้วดูละครไปเถอะน่า”

   “ระวังเถอะจับปลาสองมือตัวที่จับได้ก่อนหน้ามันจะหลุดเข้าให้สักวัน”พูดจบฟางก็เชิดหน้าใส่

   “แล้วถ้าปลาที่ปล่อยไปมันว่ายกลับมาหาเองล่ะ จะต้องทำยังไง พอจะบอกได้ไหม”คำถามของผมทำให้ทั้งฟางและพี่นุ่ม
หันกลับมามองผมอีกครั้ง

   “คนที่รอจะจับอยู่มันไม่รอให้ปลาตัวนั้นว่ายกลับไปหรอกนะจะบอกให้”

   “งั้นก็ดี จับให้อยู่ล่ะถ้ามีโอกาสได้จับ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่จ้องจะจับปลาของคนอื่นมันจะจมน้ำตายเอา”

   ผมยอมรับว่าที่พูดออกไปนั้นเกิดจากความรู้สึกหึงหวงและไม่พอใจ ไม่พอใจที่ฟางจ้องจะเข้าใกล้พี่คิน ไม่พอใจที่ฟาง
พยายามพูดราวกับว่าผมนอกใจไปหาคน สีหน้าหน้าของพี่นุ่มนั้นซีดเผือดจนเห็นได้อย่างชัดเจนก่อนที่ผมจะเดินออกมา



   แดดข้างนอกร้อนจัดจนทำให้ผมเหงื่อตก ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ผุดซึมออกมา ถ้าหากเจอแดดแบบนี้หลายวันติดกันผิวที่
ขาวจัดคงจะขึ้นกระเหมือนอย่างเคย ในที่สุดผมก็เดินมาถึงโรงเรือนทั้งที่สภาพเหงื่อโทรมกาย เสื้อยืดที่ใส่อยู่นั้นเปียกชื้นจนแทบ
จะบิดให้เหงื่อไหลหยดออกมาได้

   ผมผลักประตูห้องพักฟื้นเข้าไป เป็นอย่างที่คิดว่าข้างในไม่มีใครอยู่สักคนเพราะนกที่ฟักตัวออกมาจากไข่ถูกปล่อยคืนหมด
แล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนเฝ้าห้องนี้ตลอดเวลาเหมือนอย่างเคย  ผมเดินเข้าไปด้านในสุดที่โต๊ะทำงานของลุงเมฆ จ้องมอง
เครื่องมือสื่อสารสีขาวที่ผมมักจะมองมันตลอดแต่ไม่มีโอกาสจะได้ใช้เพราะถูกเฝ้ามองตลอดเวลา

   ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดหมายเลขที่คุ้นเคยลงไปบนแป้น ได้ยินเสียงสัญญาณรอสายดังขึ้น หัวใจของผมมันเต้น
แรงจนแทบหลุดออกมาจากอกเมื่อปลายสายนั้นตอบรับ

   ‘ฮัลโหล’

   “แม่…นี่รัมภ์เอง”ผมควบคุมไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นได้เลยเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาร่วมเดือนทั้งที่
เกิดเหตุการณ์ร้ายๆกับตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน

   ‘รัมภ์เองเหรอ ว่าไงลูกงานที่นั่นยุ่งมากไหม’

   “ยุ่งนิดหน่อย รัมภ์ขอโทษที่ไม่ได้โทรหาแม่บ้างเลย”

   ‘ไม่เป็นไร แค่แม่ได้ยินเสียงรัมภ์แม่ก็สบายใจแล้ว ว่าแต่นี่เอาเบอร์ที่ทำงานโทรมาเหรอ ยังไม่ได้ซื้อโทรศัพท์ใหม่อีกรึไง
แม่บอกแล้วไงว่าเงินเดือนไม่ต้องโอนมาให้แม่แล้ว แม่ไปเช็คเงินในบัญชีเห็นรัมภ์โอนเงินเดือนเข้ามาให้แม่ ทำไมรัมภ์ถึงไม่เก็บ
เอาไว้ใช้เองล่ะ’

   “รัมภ์…ไม่อยากให้แม่ลำบากไง แม่จะได้ไม่ต้องปิดร้านดึกๆ”ตอบโกหกออกไปทั้งที่เงินพวกนั้นผมไม่ได้รู้เรื่องกับมันเลย
สักนิด

   ‘ตั้งแต่มีคนมาสั่งทำข้างกล่องกับแม่ทุกวันแม่ก็ไม่ค่อยได้เปิดร้านถึงดึกแล้วล่ะ’

   “ดีแล้ว”

   ‘ว่าแต่โทรมามีอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงรัมภ์ของแม่ถึงได้เนือยๆล่ะ’

   “ไม่มีอะไรหรอกรัมภ์ก็แค่…”ผมเงียบเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดในสิ่งที่ต้องการออกไป “แม่”

   ‘ว่าไง หืม? วันนี้มาแปลกนะเรา’

   “รัมภ์ขอถามอะไรแม่อย่างหนึ่งได้ไหม”


   ‘ได้สิถามมาเลย ทำไมต้องขอแม่ด้วยล่ะ’

   “แม่บอกรัมภ์หน่อยได้ไหมว่าพ่อเป็นใคร”ในที่สุดก็ถามออกไปจนได้ มือข้างซ้ายยกขึ้นมาแนบอก สัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่
เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ทว่าปลายสายนั้นตกสู่ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ดังลอดออกมา

   ‘รัมภ์ไม่เคยถามแม่ ทำไมจู่ๆถึงได้ถามล่ะ’จู่ๆเสียงของแม่ก็แข็งขึ้นมาทันที

   “แม่บอกรัมภ์ได้ไหม ตลอดเวลารัมภ์ไม่เคยถามแม่เรื่องพ่อเลย รัมภ์ขอถามแม่แค่ครั้งเดียว รัมภ์แค่อยากรู้ว่าพ่อเป็นใคร…
แค่นั้น”

   ‘รัมภ์ แม่ไม่รู้นะว่าทำไมจู่ๆรัมภ์ถึงได้อยากรู้ขึ้นมา แต่ว่า…’

   “นะแม่ รัมภ์ขอร้อง…รัมภ์ขอแค่ได้รู้ชื่อของพ่อ”ในเวลานี้เสียงของผมมันสั่นจนเกือบสะอื้นออกมา ปลายนิ้วจิกลงบนเสื้อ
แน่นจนมันยับยู่ยี่ รอคอยคำตอบท่ามกลางความเงียบงันของแม่

   ‘พ่อของลูกชื่อ อัลเบอร์โต้ บาร์โธโลมิว ’

   สิ้นเสียงของแม่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการถูกฟ้าผ่าลงมาจนร่างกายมันชาไปทั้งตัว ผมปล่อยให้หูโทรศัพท์ร่วงหลุดลงไป
จากมือกระทบกับแป้นวางหูจนสายสัญญาณขาดหาย ชื่อของผู้ชายคนนั้นที่วนเวียนอยู่ในหัวของผมมันดังก้องในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชื่อของผู้ชายในรูปที่เจอในห้องของพี่คิน

   

   “คราวหลังถ้าจะแอบใช้โทรศัพท์ก็ล็อคประตูให้เรียบร้อยก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นจะถูกจับได้เอานะ…รู้ไหม”



   น้ำเสียงอันเย็นเยือกทำให้ผมสะดุ้งเฮือก รู้ตัวอีกทีเอวก็ถูกรวบเอาไว้ให้หยุดนิ่ง ได้ยินเสียงลมหายใจเป่ารดลงมาที่หู ก่อน
ที่มืออีกข้างของเขาจะเอื้อมมือหยิบหูโทรศัพท์ที่ตกไปวางลงบนแป้นดังเดิม   แขนที่โอบกอดรอบเอวนั้นทำให้ผมไม่กล้าขยับ ลม
หายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่กล้าแม้แต่เอ่ยปากพูดอะไรออกไปเมื่อสิ่งที่ได้ยินจากโทรศัพท์ทางไกล
ในวันนั้นทำให้ผมนึกกลัวเขา

    “ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ”น้ำเสียงนั้นมันทั้งเยาะเย้ยและหยอกล้อไปในเวลาเดียวกัน

   แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งกับสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อริมฝีปากร้อนนั้นกดลงมาบนต้นคอ ทาบลงมาเบาๆก่อนจะเน้นย้ำ ความตกใจ
ทำให้ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนนั้น จ้องมองใบหน้าของพี่ตินด้วยความตระหนก

   “จะ จะทำอะไรน่ะ”

   “ก็แค่จะบอกว่าคราวหลังให้รัมภ์หัดระวังตัวมากกว่านี้”พี่ตินไหวไหล่พูดด้วยสีหน้าที่ต่างออกไปจากเดิม ทั้งเฉยชาและ
เยือกเย็น

   ผมถอยหลังหนีเมื่อร่างสูงเบื้องหน้ายืนกันประตูเอาไว้ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ถอยจนหลังไปชิดเข้ากับชั้นเก็บของที่อยู่ริม
ห้อง และมันยิ่งทำให้ตกใจเมื่อในมือของพี่ตินถือมีดคัดเตอร์เอาไว้

   “พี่…คิดจะทำอะไรกันแน่”

   “ทำไมถึงถามพี่อย่างนั้นล่ะ”

   “อย่าเข้ามานะ…ถ้าไม่อย่างนั้น”

   “ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำไม หืม?”รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนริมฝีปากหยัก

   อ่านไม่ออกเลยมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่ดูน่ากลัวนั่น รู้แค่สะดุ้งอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่แตะลงมาบนอกก่อนที่พี่คินจะ
โน้มตัวเข้ามาใกล้ดันให้ผมชิดกับชั้นเก็บข้องด้านหลัง มือที่ถือคัตเตอร์อยู่ยื่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดกลัวทำให้ร่างกาย
ของผมแข็งทื่อจ้องมมองของมีคมนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่มันจะเลื่อนผ่านหน้าผมไปแล้วถูกวางลงในกล่องที่อยู่ด้านหลัง

   “ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง ตอนนี้แดดมันร้อน”พูดจบข้อมือก็ถูกดึงให้เดินตามออกไปจากห้อง เร็วจนตั้งตัวไม่ทัน

   “ไม่เป็นไรผมกลับเองได้”ผมบอกไปด้วยความระแวง พยายามที่จะดึงมือกลับ แต่มือของพี่ตินกลับกำเอาไว้แน่น

   “แต่พี่อยากไปส่ง ไปเถอะไม่ต้องเกรงใจ แดดตอนบ่ายมันร้อน รู้ไหมว่าผิวของชาวต่างชาติแบบนี้มันจะเสียเอาง่ายๆเลยนะ
เดี๋ยวพี่กางร่มไปส่งเอง”

   “ผม…ไม่เป็นไร”

   “อย่าดื้อสิ โตแล้วไม่ใช่รึไง”ฝ่ามือใหญ่ลูบลงมาบนหัวของผมแรงๆก่อนจะเอื้อมไปหยิบร่มที่วางอยู่ข้างประตูโรงเรือน

   ทำไมกันนะทุกคนถึงได้ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เบื้องหลังกำลังซ่อนความลับมากมายเอาไว้อยู่ ผมเดินตาม
แรงดึงที่ข้อมืออย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามดึงมันเท่าไรก็ไม่ยอมหลุด พอเพ่งมองไปยังเรือนผมสีดำสนิทในระยะใกล้ ไม่
แปลกใจเลยว่าโคนผมจะมีสีน้ำตาลอ่อนขึ้นใหม่ออกมา จริงๆแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่

   ผมจ้องมองร่มที่กางให้เงามาทางผมเพียงคนเดียวมาจนถึงหน้าบ้าน แต่แล้วสายตาก็ต้องสะดุดเข้ากับร่างสูงที่ยืนรออยู่
หน้าบ้าน ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมเดินมากับพี่ติน

   พี่คินเดินเข้ามาหาผมกับพี่ตินโดยไม่พูดไม่จา ตาคู่คมจ้องมองมือของพี่ตินที่กำข้อมือของผมเอาไว้แน่น ก่อนที่ผมจะถูก
ดึงให้เดินตามเข้าไปในบ้าน ทว่ามือของพี่ตินนั้นกลับไม่ยอมปล่อยในขณะที่แขนอีกข้างของผมกำลังถูกพี่คินดึงเอาไว้ให้เดิน
ตาม ทั้งผมและพี่คินชะงักจ้องมองไปทางพี่ติน

   “ปล่อยมือจากรัมภ์”พี่ตินเค้นเสียงบอก แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งนั้นจะไม่ได้ผลเมื่อพี่ตินยังคงจับข้อมือของผมเอาไว้แน่นและ
ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มนั้นกำลังจ้องตอบพี่คินอย่างไม่สะทกสะท้าน

   “จะไม่ชมกันหน่อยเหรอครับ อุตส่าห์เอามาคืนให้แบบไม่มีร่องรอย”พูดจบพี่ตินก็ไหวไหล่จ้องมองไปทางร่มที่ถือค้างเอา
ไว้

   “คงไม่ต้องขอบใจกันหรอก ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ของคนงานทุกคนในฟาร์มที่ต้องคอยดูแลรัมภ์ไม่ต่างอะไรกับการให้ความ
เคารพกับฉัน หวังว่านายคงจะเข้าใจ”

   “นั่นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวไปทำงานต่อแล้วล่ะ ขอตัวนะครับนายหัว”พี่ตินยอมปล่อยมือจากข้อมือผมก่อนจะ
ก้มหัวให้พี่คินเล็กน้อยแล้วเดินจากไป



   “ไปไหนมา”เสียงที่ดูแข็งเล็กน้อยถามเมื่อมาถึงห้องนอน

   “ผมไปเอาของที่ลืมเอาไว้”

   “แล้วไหนล่ะของ”

   “คือ…ผมหามันไม่เจอ”ผมโกหกออกไป

   “พี่เคยบอกรัมภ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วใช่ไหม พี่ไม่ชอบให้รัมภ์อยู่ใกล้กับติน”

   “มีเหตุผลอะไรที่พี่ไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้กับพี่เขาล่ะ”เอาแต่บอกว่าไม่ชอบให้ผมอยู่ใกล้ แต่ไม่เคยบอกผมเลยสักครั้งว่า
เพราะอะไร ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะต้องกลัวใครก่อนดีระหว่างพี่ตินกับพี่คิน

   “พี่บอกก็ฟังบ้างสิ”

   “จะให้ผมฟังทั้งที่มีไม่มีเหตุผลมันไม่ดูเอาแต่ใจไปหน่อยรึไง”ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด อึดอัดจนแทบบ้าเมื่อเรื่องทุก
อย่างมันพันกันยุ่งเหยิงแต่พี่คินก็ไม่เคยที่จะบอกอะไรกับผมเลยสักคำ


   “พี่ไม่ไว้ใจเขา”

   “แล้วสำหรับพี่ล่ะ ผมไว้ใจได้ไหม ผมไว้ใจพี่ได้รึเปล่า”

   “รัมภ์จะต้องไว้ใจพี่”

   “จะให้ผมไว้ใจพี่ได้ยังไง”ในเมื่อตัวพี่เองก็มีความลับกับผมมากขนาดนี้ ทั้งที่รู้เรื่องพ่อของผม รู้ว่าใครเป็นพ่อของผมแต่พี่
กลับไม่บอกผมสักคำ กลับปล่อยให้ผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่แบบนี้

   “พี่ขอแค่ให้รัมภ์ไว้ใจพี่”

   “ผม…จะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

   “แล้วพี่ล่ะ…ไว้ใจรัมภ์ได้รึเปล่า…ไว้ใจในสิ่งที่รัมภ์ให้พี่มาได้รึเปล่า”พูดจบฝ่ามือร้อนก็แตะลงมาที่ต้นคอ ปลายนิ้วเกลี่ยลง
มาบนคอของผมแล้วกดเน้นย้ำลงมาเบาๆ มันจะไม่อะไรหากว่าตรงนั้นไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกับที่พี่ตินจูบลงมา

   “ผมปวดหัว ผมอยากนอนพัก”ผมผละตัวออกมาก่อนจะเดินเข้ามาในห้องน้ำ ทิ้งให้สายตาที่ดูตัดพ้อจ้องมองตามจนประตู
ห้องน้ำปิดลง





ไม่รู้ว่ามันสั้นรึเปล่าเนอะ แต่ละตอนของนิยายเรื่องนี้มีควมยาวประมาณ 10 หน้า A4
ถ้ายังไงก็บอกซินได้นะจะได้ลงให้ยาวกว่านี้เนอะ ยังไงก็ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจนะคะ
อย่าพึ่งเบื่ออรัมภ์กันนะ คนเขียนผิดไปแล้วเจงๆ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เฮ้ออออ อึดอัดแทนรัมภ์อะ คนรอบตัวไม่น่าไว้ใจสักคนเดียว

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ยาวๆๆๆ กว่านี้น้า มันไม่สาแก่ใจเลย :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด