❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤  (อ่าน 124697 ครั้ง)

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 28 คำตอบที่ไม่ชัดเจน

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะเสียงคุยโทรศัพท์ของพี่คินดังแว่วอยู่ไม่ไกล จ้องมองนาฬิกาบนฝาผนังก็พบว่าเป็นเวลาเย็นมาก
แล้วจนบรรยากาศข้างนอกหน้าต่างเริ่มมืดลง นานมากหลังจากที่หลับไปด้วยฤทธิ์ของยา ตาจ้องมองไปยังร่างสูงในชุดทำงาน
หลุดลุ่ยกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “อีกเดี๋ยวฉันจะกลับไปถามจากปากของเขาเอง”

   “ฉันไม่ต้องการรู้ว่าเจออะไรที่ไหน แต่ต้องการรู้ว่าทำไปทำไมและเพราะอะไร”

   “ยังไงก็ดูแลแทนฉันไปก่อน อีกเดี๋ยวฉันจะกลับไปจัดการเอง”

   พี่คินกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยท่าทางไม่พอใจ เสี้ยวหน้าคมคายแสดงถึงความโกรธก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
เล็กๆเมื่อหันมาเห็นว่าผมกำลังจ้องมองอยู่

   “ตื่นแล้วเหรอรัมภ์ หิวข้าวไหม”

   “ผมยังไม่หิว”

   “งั้นกินน้ำก่อน อีกเดี๋ยวภูผาจะมาอยู่เป็นเพื่อนรัมภ์”

   “ทำไม? แล้วพี่ล่ะ ไหนพี่บอกว่าจะอยู่”เค้นเสียงถามออกมาไป

   “พี่จำเป็นต้องไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นให้จบ”

   “เรื่องอะไร ทำไมพี่ต้องเป็นคนไป”

   “นุ่มบอกว่าเจอกล่องนมถั่วเหลืองในถังขยะ เพราะฟางอ้างว่าฟางเป็นคนกินเองไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำ พี่จำเป็นต้องไปคุย
กับพ่อแม่ของฟาง”พี่คินตอบกลับด้วยเสียงอันเนิบนาบ ตาคู่คมจ้องมองมาที่ผมนิ่งไม่ไหวติง

   “ไม่…”

   “…”

   “ผมไม่ให้พี่ไป”ผมเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของพี่คินเอาไว้ มันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าคำสัญญาที่ให้ไว้จะเป็นจริง ไม่อยาก
ที่จะถูกทิ้งเอาไว้โดยที่ไม่รู้เลยว่าถ้าปล่อยให้พี่คินกลับไป เบื้องหลังที่ผมมองไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้น

   “รัมภ์?”

   “ยังไงผมก็ไม่ให้พี่กลับไป ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่จะไล่ฟางออกไปจริงๆ ไม่ใช่แอบกลับไปหาฟางตอนที่ผมไม่อยู่”

   “รัมภ์ ทำไมรัมภ์ถึงคิดแบบนั้นล่ะพี่ไม่เข้าใจ”

   “สำหรับพี่แล้ว…ฟางคืออะไร?”ถามออกไปทั้งที่เสียงยังคงสั่น มือกำแขนเสื้อที่จับเอาไว้แน่น

   “รัมภ์ก็รู้ว่าฟางเป็นแค่พี่เลี้ยงของน้องณิน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น พี่ไม่ชอบนะที่รัมภ์ถามพี่แบบนี้”

   “แล้วทำไม…”ผมทนเก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ไม่ไหวแล้ว อยากจะรู้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมพี่คินถึงได้ออกมาจาก
ห้องของฟาง “ทำไม…คืนนั้นผมถึงเห็นพี่ออกมาจากห้องฟาง”ในที่สุดก็ถามออกไป ทั้งที่กลัวแสนกลัวกับคำตอบที่จะเอ่ยออกมา
จากปากนั้น

   “รัมภ์เห็นด้วยเหรอ?”

   “ไหนพี่บอกว่าไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าที่บอกไง แล้วทำไมคืนนั้นพี่ถึงได้ออกมาจากห้องฟางได้ล่ะ บอกผมมาสิ! ไหนพี่
บอกว่าไม่มีความลับกับผมแล้วไง แล้วสิ่งที่ผมเห็นมันคืออะไร ทำไมพี่ถึงไม่บอกผมล่ะ ทำไมถึงต้องให้ผมถามเอง”มือที่กำแขน
เสื้อเอาไว้กระตุกชายแขนเสื้อและเขย่าไปมาอย่างเหลืออด สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว มันเจ็บปวดจนรู้สึกว่าจะตายให้ได้ ไม่ไหว
อีกแล้วกับความรู้สึกแบบนี้

   “มันไม่ใช่อย่างที่รัมภ์คิดนะรัมภ์”มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่แขนเอาไว้ ทว่าผมกลับปัดมันออก

   “ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมคิดแล้วมันอะไรกัน สิ่งที่ผมเห็นมันคืออะไร”

   “ที่พี่เข้าไปในห้องของฟางเพราะฟางขอร้องให้พี่เข้าไปช่วยดูในห้องเพราะเหมือนจะมีหนูหลุดเข้ามาก็แค่นั้น มันไม่ได้มี
อะไรอย่างที่รัมภ์คิด”

   “ไม่จริง แล้วสิ่งที่ผมเห็นล่ะ สิ่งที่ผมเจอในกระเป๋าเสื้อของพี่ล่ะมันคืออะไร?!!”

   “รัมภ์เจออะไร?”ถามเสียงเรียบในขณะที่มือใหญ่ทั้งสองข้างจับต้นแขนของผมเอาไว้ก่อนจะบังคับให้หันไปเผชิญหน้า จ้อง
ตอบตาคู่คมดุที่มองมาด้วยสายตาที่จริงจัง

   “ผมเจออะไรพี่ก็น่าจะรู้แก่ใจดีไม่ใช่รึไง”

   “พี่ไม่รู้หรอกนะว่ารัมภ์เจออะไรมา แต่จะให้พี่บอกสักกี่ร้อยรอบก็ได้ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้นทั้งนั้น สำหรับฟางแล้ว
ฟางเป็นได้แค่พี่เลี้ยงของน้องณิน  พี่จะไม่กลับไปก็ได้ พี่จะอยู่ที่นี่กับรัมภ์ โอเคไหม ทีนี้รัมภ์ใจเย็นๆแล้วเลิกคิดมาสักที รัมภ์ไม่
สบายอยู่นะต้องพักผ่อนมากๆรู้ไหม”

   “ไม่…”หมดคำพูดแล้วที่จะพูดออกมา สิ่งที่คิดอยู่ในสมองตอนนี้มันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองลึกเข้าไป
นัยน์ตาคู่นั้น หวังที่ว่าจะอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในออก ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีในกับทางแยกที่อยู่ตรงหน้า ระหว่างเชื่อหรือไม่
เชื่อ หรือแท้จริงแล้วจิตใจของผมมันไม่สามารถเปิดรับและเชื่อใครได้อีกแล้วกันแน่ ย่างก้าวที่กำลังจะก้าวออกไปมันถึงได้หนัก
อึ้งและยากเย็นขนาดนี้



   -----------------------------------------------------------------------------

   สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่ามือที่ใหญ่ที่อบอุ่นจะกุมมือผมเอาไว้ตลอดทั้งคืน แต่พอรุ่งเช้าเช้าของมือนั้นกลับหายไป ภายในห้องมี
เพียงความว่างเปล่า หลงเหลือเพียงแค่กลิ่นอายเอาไว้ จ้องมองไปยังนอกหน้าต่างที่ผ้าม่านเปิดทิ้งเอาไว้ มองเห็นแสงแดด
ค่อยๆกลืนกินความมือทีละนิดเมื่อดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นมาเหนือฟากฟ้า สุดท้ายแล้วโซ่ตรวนที่ดึงรั้งเอาไว้มันก็ได้คลายออก
ย่างก้าวแรกที่เดินก้าวออกไปนั้นเป็นทางแยกที่ไม่อาจจะมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้เลย มันช่างดำมืดและเงียบสงัดราวกับ
กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างโดดเดี่ยว

   “ตื่นแล้วเหรอพี่ โทษทีผมมาช้าไปหน่อย พอดีแวะเข้าไปเอาปิ่นโตที่บ้านนายหัวมาด้วย”ภูผาร้องทักเสียงใสหลังจากเปิด
ประตูเข้ามา มือชูปิ่นโตขึ้นอวด

   “แล้วเขาล่ะ”ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เบาโหวงทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

   “ก็เพราะเมื่อวานตอนเย็นนายหัวไม่ได้ไปคุยกับพ่อแม่ของฟางไง นายหัวก็เลยไปคุยให้จบๆก่อนที่พี่จะออกจากโรง
พยาบาล”

   “อืม”

   “เดี๋ยวตอนสายๆนายหัวก็มารับพี่เองนั่นแหละ ไม่ต้องทำหน้าเศร้าหรอก”

   “เขาบอกมาอย่างนั้นเหรอ”

   “อื้อ นายบอกว่าจัดการทางนั้นเสร็จแล้วจะรีบมารับ นายหัวฝากบอกพี่แบบนี้”ภูผาพยักหน้าพลางวางปิ่นโตลงบนโต๊ะแล้ว
นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

   “ว่าแต่ว่าโคตรเหลือเชื่อเลยเนอะที่พี่ตินเป็นพี่ชายพี่อ่ะ พอผมสีน้ำตาลตาสีน้ำตาลแล้วโคตรหล่อเลย”

   “อืม เขาก็บอกพี่แบบนั้นเหมือนกัน”

   “โคตรเจ๋งเลย โดยเฉพาะตอนที่ปลอมตัวอย่างกับในหนังน้ำเน่า สงสัยดูหนังมากไปมั้ง”

      ระหว่างนั้นผมไม่รู้เลยว่าบทสนทนาของผมกับภูผาที่เริ่มขึ้นและจบลงมันเกี่ยวกับอะไร เพราะว่าความคิดของผมมัน
กำลังจมอยู่ในความผิดหวัง มือที่กุมเอาไว้ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวทั้งที่รับปากว่าจะอยู่ด้วยกันและไม่กลับไป ไม่รู้เลยว่าลับหลัง
แล้วพี่คินจะจัดการกับเรื่องที่เกิดจริงอย่างที่ภูผาบอกไหม หรือแท้จริงแล้วต้องการจะไปหาฟางกันแน่



   เสียงปิดประตูฉุดให้ทั้งผมและภูผาหันไปมองพี่กิ่งที่เดินเข้ามา ใบหน้าในแบบฉบับของคนใต้ส่งยิ้มมาให้

   “ทำไมพี่กิ่งมาล่ะพี่ แล้วนายหัวล่ะ”ภูผาถามเป็นภาษาใต้เมื่อเห็นว่าพี่กิ่งมาคนเดียว

   “นายหัวยังจัดการเรื่องไม่เสร็จ บอกให้พี่มารับรัมภ์แทน”พี่กิ่งตอบแต่หันมามองหน้าผม

   “อะไรของเขา เป็นคนบอกกับผมเองว่าจะมารับ ไหงให้พี่กิ่งมารับแทน”ภูผาส่ายหน้าแต่ก็หันไปทยอยเก็บสัมภาระ

   “ทางนั้นยุ่งๆเลยยังไม่เสร็จ ยังไงรัมภ์ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จะได้รีบไปกัน”

   “แต่หมอยังไม่ได้บอกให้ผมกลับได้เลยนี่ครับ”ผมตอบพลางจ้องมองด้วยความแปลกใจกับท่าทีเร่งรีบที่พี่กิ่งแสดงออกมา

   “ไม่เป็นไร พี่คุยกับหมอนทีเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องให้เอง”

   “งั้นเหรอครับ เดี๋ยวผมขออาบน้ำแปบหนึ่งแล้วกัน”ผมตอบกลับไปพลางลุกลงจากเตียง แต่พี่กิ่งก็แย้งให้ผมชะงักเอาไว้
แล้วหันกลับไปมองเมื่อมือของเขาเอื้อมมาจับข้อมือของผมเอาไว้

   “ไม่ต้องหรอก ไว้อาบที่บ้านทีเดียวเลย รีบไปดีกว่าเดี๋ยวแดดจะร้อน เปลี่ยนเสื้อผ้าเอาก็พอ”

   “เอางั้นก็ได้ครับ”




   ผมเดินตามพี่กิ่งมายังรถที่จอดอยู่หลังโรงพยาบาล แปลกใจกับท่าทีเร่งรีบแต่ก็หันมายิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่กิ่ง
เปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งที่เบาะหลังที่มีหมอนกับผ้าห่มเตรียมเอาไว้ พักใหญ่ที่รถขับแล่นออกมาจากโรงพยาบาล สองข้างทาง
ทำให้ผมเริ่มเอะใจที่มันค่อนข้างไม่คุ้นตา

   “นี่ไม่ใช่ทางกลับนี่ครับ”

   “นายหัวสั่งให้พี่พารัมภ์ไปหาอีกที่หนึ่งน่ะ”

   “ไหนบอกว่านายหัวยังจัดการธุระไม่เสร็จไงครับ”

   “เสร็จแล้วล่ะ เมื่อกี้นายหัวโทรมาบอกพี่เอง”

   “โทรตอนไหนครับ ผมไม่เห็นพี่โทร”ผมหรี่ตามองพี่กิ่งผ่านทางกระจกมองหลัง

   “ตอนที่รัมภ์เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไง”

   “งั้นเหรอครับ”ผมรับคำก่อนจะเอนตัวพิงเบาะด้านหลัง

   ยิ่งผ่านไปนานเท่าไรถนนข้างหน้ายิ่งเริ่มแปลกตา กลายเป็นถนนใหญ่หลายเลนส์คล้ายกับถนนเส้นหลักจนรถมาจอดอยู่
หน้าร้านสะดวกซื้อก่อนที่พี่กิ่งจะเดินลงไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ลืมที่จะกำชับบอกให้ผมรออยู่ในรถและ
เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ

   กลับมาที่รถพร้อมกับน้ำเปล่าสองขวด ยื่นขวดหนึ่งมาให้ ผมรับมันเอาไว้ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อน้ำขวดที่รับมานั้นถูกเปิดอยู่
ก่อนแล้ว

   “มันเปิดอยู่แล้วนี่”

   “พี่เป็นคนเปิดเองแหละ รัมภ์จะได้ไม่เสียเวลาเปิด รีบกินสิ จะได้ไปกันต่อ”ผมพยักหน้าตามคำบอกแล้วกระตกน้ำในขวด
กินเข้าไปตามคำคะยั้นคะยอ

   “เราจะไปที่ไหนกัน พี่พอจะบอกผมได้ไหม ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันไกลและเราก็ออกจากโรงพยาบาลมานานแล้ว”

   “ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”

   “ถ้าพี่ไม่บอกผมพี่ก็จอดรถเถอะ ผมคงไม่อยากไปไหนกับใครหรอกถ้าคนคนนั้นไม่บอกผมว่าจะพาผมไปไหน”ลางสังหรณ์
มันเริ่มบอกเตือนเมื่อความง่วงกำลังเข้าโจมตี

   “รัมภ์อย่าถามอะไรพี่มากนักเลย พี่เองก็ไม่รู้ว่าจะบอกเรายังไงดี”พี่กิ่งตอบเสียงห้วน ไม่เพียงแค่นั้น แต่เท้ายังเหยียบคัน
เร่งให้รถแล่นไปข้างหน้าเร็วขึ้น

   “ทำไม…ถึงบอกผมไม่ได้ล่ะ”ถามพลางกระพริบตาถี่ๆ ร่างกายมันโอนเอนไปมาใกล้จะฟุบลงไปบนเบาะเต็มทน ภาพเบื้อง
หน้าค่อยๆดำมืด

   “ระหว่างนายเก่ากับนายใหม่แล้ว พี่จำเป็นต้องเลือกนายเก่าเอาไว้ก่อน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”เสียงนั้นที่แผ่วเบาราวไม่
ต่างอะไรกับเสียงของเครื่องปรับอากาศในรถเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่ร่างของผมจะฟุบลงไปบนเบาะหลังในขณะที่รถยัง
แล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าจะไปสุดที่ไหน พร้อมกับฝันร้ายในอดีตที่พยายามจะลบไปจากใจกำลังฉายขึ้นอีกครั้ง



   ----------------------------------------------------------------------


   กลิ่นหอมของขนมหวานทำให้ผมย่นจมูกและขมวดคิ้วเพราะความไม่คุ้นเคย พยายามหวนนึกถึงความทรงจำครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะหลับลงไปก่อนที่เสียงที่ดูมีอายุของผู้ชายจะเรียกเอาไว้

   “ตื่นแล้วเหรอ มาสิ เดินทางมาไกลคงจะหิวมาก”

   “ทะ…ที่นี่ที่ไหน”เรือนที่ล้อมไปด้วยกระจกประดับด้วยผ้าม่านโปร่งปลิวไสวไปตามลมทะเลที่พัดเข้ามา มองไปยังด้านนอก
ก็พบกับหาดทรายสีขาวกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม มองไปยังต้นเสียงก็พบกับชายวัยกลางคนกำลังนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่
โต๊ะริมระเบียง ใบหน้าที่ยังดูดีถึงแม้จะสูงวัยแล้วกำลังส่งยิ้มมาให้ ใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลากับคนที่ผมรู้จักดี ผมลุกขึ้นจาก
เตียงผ้าใบที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูระเบียง เดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้น

   “มากินขนมด้วยกันสิ ภรรยาของฉันพึ่งจะทำเสร็จใหม่ๆเลยล่ะ”

   “ที่นี่ที่ไหน ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”ถามออกไปอีกครั้ง เพราะรอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นไม่ได้มีวี่แววของความปองร้ายส่งมาให้
เลย

   “ที่นี่เป็นบ้านของฉันเอง”

   “ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วคุณเป็นใคร” จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือตอนที่อยู่กับพี่กิ่งแล้วก็หลับไปหลังจากกินน้ำขวดนั้น

   “จริงสิ ฉันลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อเมฆินทร์เป็นพ่อของภาคินเขาน่ะ”





-------------------------------------------------------------------------------------------

เผลอลบไปเฉยเลย ลงอีกรอบ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2016 17:17:32 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
คุณพ่อจับตัวรัมภ์มาทำไม!?

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ทำไมรัมภ์ พูดไม่หมดอีกละ
ทั้งที่รัมภ์ก็รู้ว่าฟาง  ไม่น่าไว้ใจ จะเขมือบพี่คิน
บอกไปสิ ว่าเจออะไรในกระเป๋าเสื้อพี่คิน
ชอบพูดกั๊กๆ   จะได้ชัดเจน เคลียร์
ที่ผ่านมา พี่คิน ไม่ได้ทำให้รัมภ์ รู้หรือว่ารักรัมภ์คนเดียว
อีกฝ่ายก็ซื่อบื้อ แทนที่จะถาม ไม่ใช่หยุดไปเลย
ขัดใจ ทั้งรัมภ์ ทั้งพี่คิน
พ่อพี่คิน อยู่ๆโผล่มา ต้องการอะไรจากรัมภ์ ? :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
ไม่มีใครชัดเจนซักคน ปากอมอะไรกันอยู่ ยึกๆยักๆตัลหลอดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 29 ฝันร้ายในอดีต

   “จริงสิ ฉันลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อเมฆินทร์เป็นพ่อของภาคินเขาน่ะ”อีกฝ่ายแนะนำตัว สถานะของเขาทำเอาผมรู้สึกราวกับ
ถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชะงักเท้าที่ย่างก้าวเข้าไปหาผู้ชายเบื้องหน้า

   “พาผมมาที่นี่ทำไม”

   “นั่งลงก่อนสิ”ไม่เพียงแค่ไม่ตอบในสิ่งที่ถามออกไป แต่กลับพยักหน้าให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม

   แต่ยังไม่ทันจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เสียงเปิดประตูจากทางด้านหลังเรียกให้ผมเอี้ยวตัวหันไปมองร่างของผู้หญิงวัยกลางคนที่
ยังคงความสวยสง่าเดินเข้ามา ตาคู่สวยปรายตามองมาอย่างแน่นิ่ง ในมือถือถ้วยขนมเอาไว้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามข้างกันกับพ่อ
ของพี่คิน

   “มาพอดี ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่นภาเป็นภรรยาของฉันและก็เป็นแม่ของภาคินเขา”สำหรับคนคนนี้ต่อให้ไม่ต้องแนะนำ
ผมก็รู้จักดีว่าเขาคือใครใบหน้าที่ผมไม่เคยลืมเลือนมันมานับหลายปี

   “ไม่ต้องแนะนำหรอกค่ะเราเคยเจอกันแล้วล่ะ จริงไหม”แม่ของพี่คินเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะวางถ้วยขนมลงตรงบนโต๊ะเบื้อง
หน้าของผม “ทำไมไม่นั่งล่ะ”ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันมายิ้มให้

   “ผม…คิดว่าผมไม่จำเป็นจะต้องนั่ง”ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็น ภาพในอดีตมันเริ่มวนเวียนกลับมาอีกครั้ง



   ย้อนกลับไป



   ‘รัมภ์ลูกมีคนมาหาน่ะ’เสียงของแม่เรียกผ่านบานประตูห้องนอนปลุกให้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนที่กำลังอ่าน

      ‘ใครเหรอแม่’

   ‘เห็นบอกว่าเป็นแม่ของเพื่อนที่มหา’ลัย รีบลงไปล่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานมันไม่ดี’

   ‘ครับ เดี๋ยวรัมภ์ลงไป’ตอบรับก่อนจะเดินตามแม่ลงไปในเวลาใกล้เที่ยงวันที่ลูกค้าเริ่มจะแน่นร้าน มองเห็นหญิงสาวใน
เครื่องแต่งกายดูดีไม่น่าจะเป็นลูกค้าของร้านนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน ใบหน้าที่แม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแต่ก็ยังคงความสระ
สวยแสดงออกถึงความนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใดใดทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจเพราะผมไม่รู้จักเธอ

   ‘สวัสดีครับ เห็นแม่บอกว่าคุณมาหาผม คุณมีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ’   

   ‘เธอเองเหรอที่ชื่อรัมภ์อะไรนั่น เป็นลูกครึ่งด้วยสินะ’น้ำเสียงนิ่งเรียบกับสายตาที่มองผมอย่างสำรวจ

   ‘ครับ’   

   ‘ฉันเป็นแม่ของภาคินเขาน่ะ’การแนะนำตัวทำให้ผมนิ่งอึ้งและประหลาดใจกับการปรากฏตัวของผู้หญิงตรงหน้าไปพักใหญ่

   ‘ครับ แล้วมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ’

   ‘เอาตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็แล้วกัน ฉันต้องการให้เธอเลิกยุ่งกับภาคินลูกชายของเรา’สิ่งที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากได้
รูปมันทำให้หัวใจของผมหล่นวูบไม่ต่างอะไรกับร่างกายกำลังล่วงหล่นลงไปในเหวลึก   

   ‘แล้วเหตุผลล่ะครับ’ผมจ้องหน้าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ถามออกไปพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น จิกเล็บ
เข้ากับอุ้งมือทั้งสองข้างแน่นด้วยความอึดอัดใจ

   ‘เพราะภาคินเป็นลูกชายคนเดียวของเรา วันข้างหน้าเขาต้องสืบทอดกิจการของทางบ้าน จะต้องแต่งงานมีลูกและมี
ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ การที่เขาทำตามใจตัวเองโดยการเอาเธอมาอยู่ข้างๆมันทำให้เส้นทางข้างหน้าของเขาต้องบิดเบือน ฉัน
ไม่ใจกว้างพอที่จะทิ้งอนาคตของลูกชายตัวเองไปได้หรอกนะ แล้วอีกอย่างดูๆแล้วเธอเองก็ไม่ได้เหมาะกับภาคินสักเท่าไร’พูด
ทั้งที่ยังคงปรายตามองผมอย่างสำรวจเช่นเดิม

   ‘จริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นจะต้องมาหาผมถึงที่นี่ก็ได้นะครับ’ผมฝืนกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะกัดฟันพูดออกไปเสียงเบา ลำตัว
เหยียดตรงและจ้องตอบนัยน์ตาคู่สวย

   ‘ฉันได้ยินข่าวลือมาจากเพื่อนของเขาว่าเธอคบกับเขาก็เพราะเงิน’สิ่งที่แม่ของพี่คินพูดออกมามันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผม
เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงตั้งแต่แรกที่ผมได้มองมันข้ามไป ไม่รู้เลยว่าแม่ของพี่คินรู้ได้ยังไง แต่นั่นมันก็ทำให้ผมต้องยอมรับออกไป
อย่างเต็มปาก

   ‘ครับผมเข้าหาเขาเพราะเงิน’

   ‘ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการเงินเท่าไรล่ะ เพื่อที่จะเลิกยุ่งกับลูกของเรา’ราวกับถูกตบหน้าผมจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่
เชื่อหูตัวเอง ความรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมหายไปสักที


   ‘เก็บเงินของคุณไว้เถอะครับ ผมไม่ต้องการ’

   ‘อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้เลยนะ เธอเองก็สมควรมีอนาคตเป็นของตัวเอง รับเงินนี่ไปซะจะถือว่าเป็นของขวัญ
เล็กๆน้อยในการพบกันก็ได้ เส้นทางข้างหน้าของเธอกับภาคินมันต่างกันเกินไป อย่าให้ฉันต้องทำมากกว่านี้เลย’พูดจบซองสี
น้ำตาลหนาก็ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าถือใบแพงแล้ววางลงมาเบื้องหน้า ผมได้แต่มองมันแน่นิ่งด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ใจที่
กำลังแตกร้าวเริ่มปริเป็นรอยแยกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

   มันผิดพลาดตั้งแต่แรกแล้วที่ผมเดินเข้าไปหาพี่คินเพราะเงิน และมันจะเป็นการผิดพลาดอีกครั้งถ้าหากผมยอมรับเงินตรง
หน้าจากแม่ของเขา มือทั้งสองข้างกำแน่นกว่าเก่าจิกปลายเล็บเข้ากับอุ้งมือด้วยความเจ็บใจ ไม่ว่ายังไงทางเลือกข้างหน้ามันก็
เหมาะสมที่สุดแล้ว ทั้งที่ร่างกายมันกำลังสั่นเทา หัวใจจวนเจียนจะแตกร้าวเต็มทน แต่ก็ทำได้แค่กักเก็บความรู้สึกซ่อนเอาไว้จาก
สายตาของแม่ที่มองมาเป็นระยะ

   ‘ ผมต้องขอโทษที่เสียมารยาทกับคุณตั้งแต่แรกเจอ แต่ผมไม่ได้ต้องการเงินพวกนี้ของคุณเลย เก็บเงินของคุณกลับไป
เถอะครับ’บอกก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

   ‘เธอกำลังจะบอกว่าไม่ยอมเลิกยุ่งกับภาคินใช่ไหม’

   ‘ไม่ใช่ครับ’

   ‘งั้นเธอก็สมควรที่จะรับเงินพวกนี้ไป ดูๆแล้วเธอจำเป็นจะต้องใช้มันไม่น้อยเลยนี่’พูดพลางปรายตามองไปรอบๆร้าน

   ‘ผมขอยืนยันคำเดิมครับ ผมจะไม่รับเงินจากคุณแม้แต่บาทเดียว ส่วนเรื่องของพี่คินคุณไม่ต้องเป็นห่วง’บอกออกไปเสียง
เบาพยายามกลืนก้อนน้ำลายที่ฝืดคอลงไปก่อนจะพูดต่อด้วยความยากเย็น ‘ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับเขาอีก ผม
จะยุติความสัมพันธ์ของผมกับเขาตามที่คุณต้องการ หมดธุระของคุณแล้วนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว วันพรุ่งนี้ผมมีสอบ มี
หนังสือที่จะต้องอ่านอีกเยอะ ขอโทษอีกครั้งที่ต้องเสียมารยาทตั้งแต่แรกเจอแบบนี้’มันยากที่จะเก็บความเจ็บปวดที่กำลังเอ่อล้น
มาในรูปแบบของความรู้สึก น้ำตาร้อนผ่าวมันกำลังจะไหลล้นลงมาถ้าหากว่าผมถอยหลังออกมาจากตรงนั้นช้ากว่านี้

   มันเป็นเรื่องจริงที่ผมไม่สามารถหลีกหนีได้เลยว่าวูบหนึ่งผมเคยคิดว่าความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดของเรานั้นไม่จำเป็นจะต้อง
จบลง ผมกับพี่คินเรายังไปด้วยกันต่อได้หากว่าความรู้สึกดีดีที่เรามีต่อกันนั้นยังคงอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดลมลมแล้งๆ
ในเมื่อกฎเหล็กที่กำลังขวางทางของเราอยู่เบื้องหน้ามันกำลังจะขีดเส้นกั้นเราทั้งสองคนเอาไว้และทำให้ สิ่งที่ประครองและ
ยึดถือเอาไว้ได้ร่วงหล่นหายไป แทนที่ด้วยความว่างเปล่าไม่อาจดึงรั้งความฝันที่วาดเอาไว้ให้กลับคืนมา




   “นั่งลงเถอะ ถึงเธอจะไม่อยากอยู่ที่นี่และไม่อยากจะคุย แต่ก็เธอก็ต้องอยู่ เพราะนั่นมันหมายถึงอนาคตของเธอกับลูกของ
เรา อันที่จริงฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะได้มาคุยกับเธอในเรื่องนี้ซ้ำอีกรอบ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ภาคินเขาหัวรั้นกว่าที่คิดเอาไว้”พูด
พร้อมกับดันถ้วยขนมที่ถือติดมือมาวางข้างหน้าผม

   “เดี๋ยวผมคุยเองดีกว่านะนภา”พ่อของพี่คินเอื้อมมือไปแตะที่แขนของแม่พี่คินเบาๆเป็นการปรามก่อนจะหันมายิ้มให้ผมด้วย
รอยยิ้มอันอ่อนโยน

   “แล้วแต่คุณเมฆก็แล้วกัน อย่าใจดีเกินไปนักล่ะ”

   “เอาเป็นว่าค่อยๆคุยกันก็แล้วกันนะ นั่งลงก่อนสิแล้วมากินขนมกัน บัวลอยนั่นแม่ของภาคินเป็นคนทำเองเลยนะ อร่อยอย่า
บอกใครเชียว”บอกก่อนขยิบตาให้พยักหน้าให้ผมนั่งลงในฝั่งตรงข้าม

   “ครับ”ตอบรับคำเชิญอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามของทั้งคู่

   สายลมที่พัดมาจากทะเลเบื้องที่อยู่ด้านข้างหอบเอากลิ่นเค็มเข้ามาเต็มปอด แสงแดดอ่อนๆในยามบ่ายกับบรรยากาศดีดี
มันไม่ได้ช่วยให้ความอึดอัดที่มีลดน้อยลงไปเลย ผมได้แต่กำช้อนในมือแน่น จ้องมองขนมบัวลอยหลายสีในถ้วยใบสวย

   “ลองกินดูสิ ไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆลงไปในนั้นหรอก ต้องขอโทษแทนกิ่งด้วยที่พาเธอมาด้วยวิธีนั้น แต่กิ่งบอกว่าเธอเอาแต่
ถามและระแวงฉันเลยต้องสั่งให้เขาใช้วิธีนั้นอย่างช่วยไม่ได้”บอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและยังคงรอยยิ้มอ่อนโยนเอาไว้ ทำให้ผม
ยอมที่จะตักบัวลอยเข้าปาก เป็นของกินอย่างแรกที่ตกถึงท้องในวันนี้หลังจากที่ผ่านมาครึ่งค่อนวัน

   “เติมหน่อยไหม ฉันเตรียมส่วนของเธอไว้โดยเฉพาะเลยนะพอรู้ว่าเธอจะมา”แม่ของพี่คินไม่รอให้ผมตอบรับแต่ก็คว้าถ้วยที่
ว่างเปล่าของผมแล้วเดินออกจากเรือนกระจกไป

   “อย่าใส่ใจแม่ของภาคินเลย เขาเป็นคนที่ค่อนข้างพูดตรงเพราะต้องดูแลพนักงานหลายร้อยคนที่อยู่ที่นี่น่ะ”

   “ครับ”

   “เฮ้อ ฉันจะเริ่มพูดยังไงดีล่ะ ลำพังแค่ขโมยเธอมาจากลูกชายก็รู้สึกผิดมากพอแรงอยู่แล้ว แต่ถ้าฉันไม่ทำเรื่องมันก็คงจะ
ยุ่งมากไปกว่านี้ล่ะนะ”

   “ครับ”ตอบรับเสียงเบาแม้จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อพี่คินต้องการจะพูดต่อไปคืออะไร

   “ตอนแรกที่ภาคินพาเธอเข้าไปที่สานรักฉันก็รู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ลูกชายฉันเขาก็เปลี่ยนไปมาก
หลังจากที่เธอได้เลิกกับเขาไป เขากล้าที่จะยื่นคำขาดไม่ให้ฉันกับภรรยาเข้าไปยุ่งเรื่องของเขาเด็ดขาด ถ้าพวกเราเข้าไปยุ่งเขา
จะไม่ยอมสืบทอดกิจการของครอบครัวสักอย่างทั้งฟาร์มสานรักและทั้งรีสอร์ทที่พวกเราอยู่ในตอนนี้”

   “…”ผมได้แต่ฟังและพยักหน้ารับเบาๆโดยที่ไม่พูดอะไร

   “ถึงแม้ว่าเขาจะบอกกับคนอื่นๆว่าเธอเป็นคนรักของเขาและกำลังโกรธกันจึงต้องพาเธอมาอยู่สานรัก แต่ฉันก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่
แบบนั้น ข้อเสนอที่เขายื่นมามันทำให้ฉันไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำได้มากนักนอกจากจะคอยดูอยู่ห่างๆ”เขา
บอกด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ผมไม่รู้เลยว่าพี่คินทำถึงนั้นเพื่อจะเอาผมมาอยู่ด้วย

   “ตั้งแต่เด็กแล้วภาคินเป็นคนที่เชื่อฟังพวกเรามาตลอด เขาสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งไหนที่ควรทำและไม่ควรทำ เขา
พยายามตั้งใจเรียนและรีบเรียนให้จบเพื่อที่จะมาดูแลกิจการของครอบครัว มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เขาทำเพื่อพวกเรา แต่มันก็
ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายเอาซะเลยถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำออกมาจากความตั้งใจก็ตาม มันเหมือนกับว่า
เขาเพียงแค่ทำตามหน้าที่ก็เท่านั้น มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเลือกที่จะทำอะไรนอกลู่นอกทางเพื่อที่จะเอาตัวเธอมาอยู่กับเขาอีก
ครั้ง บอกตามตรงว่าฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกชายตัวเองคิดหรอกนะ แต่เขาบอกว่าเขามั่นใจในการกระทำของตัวเองและเชื่อมั่นใน
ความรู้สึกของตัวเองมากพอที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมา”

   “ทำไมคุณถึงยอมให้เขาทำแบบนั้นล่ะ…ทั้งที่พวกคุณห่วงอนาคตของเขามากใช่รึไง”ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมาบอกให้ผมเลิกยุ่ง
กับพี่คินเพราะเป็นห่วงอนาคตของพี่คินและอยากให้พี่คินมีชีวิตในแบบของคนปกติ มีครอบครัวที่สมบูรณ์และดีพร้อม ไม่ใช่กับคนที่ไม่สามารถให้อะไรกับเขาได้เลยนอกจากความรู้สึกที่ไร้ค่า

   “พวกเราคิดว่าเขาเพียงแค่ต้องการจะจัดการความรู้สึกที่ค้างคาระหว่างเธอกับเขา คิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะคิดได้ว่าความ
สัมพันธ์แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยั่งยืนและมั่นคง แต่ฉันก็คิดผิด”

   “…”

   “หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฉันได้ยินจากปากคนอื่นมันทำให้ฉันไม่สบายใจกับการกระทำของเขา ไม่เพียงแค่เขาไม่
สามารถดูแลเธอได้ดีพอ แต่มันเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกับความปลอดภัยของตัวเธอเองจนฉันไม่รู้จะรับผิดชอบยังไงกับ
การกระทำทุกอย่างของภาคินที่ทำกับเธอโดยไร้เหตุผล”พ่อของพี่คินยังคงพูดด้วยประโยคที่ยืดยาว และมันยิ่งทำให้ผมรู้สึก
อึดอัดมากกว่าเดิม

   “สิ่งที่พี่คินทำมันไม่ได้ไร้เหตุผล”อย่างน้อยมันก็คือบทเรียนที่ผมสมควรจะได้รับ “อย่าพูดอ้อมค้อมกับผมเลย”ผมตัดใจ
บอกออกไป เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่พวกเขาจะขอก็คงไม่พ้นอนาคตของลูกชายตัวเอง และนั่นมันก็มากพอและมากเกินไปที่ผมจะ
รับได้เกี่ยวกับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงสามเดือน สภาพของจิตใจของผมมันแบกรับไม่ไหวอีกแล้ว
หากจะต้องเจอกับอะไรที่มากไปกว่านี้ ความรู้สึกค่อยๆถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ

   “พวกเราต้องการจะคืนอิสระให้กับเธอยังไงล่ะ สัญญาที่เธอทำไว้กับลูกชายของฉัน ฉันจะรับผิดชอบเอง หากเธอต้องการ
ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ลูกชายฉันกระทำกับเธอ และเรื่องที่เธอต้องเสี่ยงชีวิตหลายครั้งนับ
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่สานรักฉันก็ยินดี”แม่พี่คินเป็นคนพูดแทรกขึ้นพลางเดินมานั่งลงข้างๆกับพ่อพี่คินดังเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านั้น
ใบหน้าที่ยังคงความสวยเอาไว้ไม่แสดงออกถึงท่าทีใดใด แต่ตอนนี้กลับฉายแววของความรู้สึกผิดออกมาให้เห็น

   “ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่ได้ต้องการเงินของพวกคุณ”อีกแล้วที่เงินมันมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องๆนี้ เรื่องมันจะมาถึงขั้น
นี้หากว่าผมปฏิเสธที่จะเดินเข้าไปทำความรู้จักกับเขาเพราะเงินพวกนี้

   “ฉันไม่ได้ใช้เงินเพื่อจะซื้ออนาคตของลูกชายเหมือนอย่างครั้งก่อนหรอกนะ ฉันต้องการที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกชายทำ
ลงไป ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับเธอมากแค่ไหน แต่ร่องรอยบนตัวของเธอมันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าภาคินเขา
กำลังทำผิด และฉันก็คิดว่านั่นไม่ใช่ความรักที่เขาพยายามหยิบยกมันขึ้นมาอ้างอย่างทุกครั้งที่พยายามยื่นมือเข้าไปแทรกเรื่อง
ของเธอกับเขา”


   “มันเท่าเทียมกันแล้วกับสิ่งที่ผมเคยทำเอาไว้ ต่อจากนี้ผมกับเขาจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลว่าผมจะ
รู้สึกโกรธเคืองพี่คินหรืออะไรยังไง เพราะผมไม่เคยที่จะคิดแบบนั้นเลย…พวกคุณไม่จำเป็นที่จะต้องมารับผิดชอบอะไรผมเลย ทุก
อย่างมันสมควรแล้วจริงๆ”

   ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ทำไมบนผิวแก้มทั้งสองข้างถึงได้รู้สึกร้อนผ่าว น้ำอุ่นร้อนมันไหลออกมาจากกระบอกตาลงไปอาบ
แก้ม มันยากที่ผมจะห้ามมันให้หยุดไหลได้ เพราะผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลลงมาเมื่อไรในขณะที่ผมพูดถ้อยคำพวกนั้นออกไป มือ
ทั้งสองข้างยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างลวกๆ

   ผมพยายามที่จะฝืนยิ้ม ยืดตัวขึ้นตรงก่อนจะจ้องมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาที่พยายามซ่อนความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้

   “ขอบคุณนะครับที่พาผมออกมา ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัว แล้วก็ขอบคุณสำหรับบัวลอยด้วยนะครับ อร่อยมาก”บอก
ออกไปเสียงเบาทั้งที่แทบจะฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว ไม่อยากจะถูกมองด้วยความสมเพชกับน้ำตาที่มันไหลออกมา

   ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากที่ตรงนั้น ย่างก้าวที่ก้าวไปข้างหน้านั้นช่างหนักอึ้ง ถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
ความรู้สึกที่แตกร้าวราวกับแก้วถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี มันกำลังถาโถมลงมาโดยที่ผมไม่สามารถต้านทานมันได้เลย ข้อมือที่สั่น
เทาถูกคว้าและดึงเอาไว้ให้หยุดอยู่กับที่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา เป็นแม่ของพี่คินที่ดึงมือผมเอาไว้ ให้ผมหันกลับไปมอง

   “เอานี่ไป อย่างน้อยก็เป็นค่ารถให้เธอกลับบ้าน ฉันไม่อยากถูกเธอมองว่าเป็นคนใจร้าย ทั้งหมดที่ฉันทำไปเพื่อตัวลูกชาย
ของฉันและเพื่อตัวเธอเอง อย่างน้อยก็ให้ฉันได้สนับสนุนเธอหลังจากที่เธอเรียนจบเพื่อเป็นการไถ่โทษเถอะนะ”

   “ไม่เป็นไรครับผมพอจะมีเงินติดตัว แล้วก็คุณไม่จำเป็นจะต้องไถ่โทษอะไรเลย ผมบอกแล้วไงว่าผมกับพี่คินเราไม่มีอะไร
ติดค้างกันแล้ว ฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับสำหรับสิ่งที่เคยทำให้ผมมาตลอด”ทั้งรอยยิ้ม ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่น ทุกสิ่งทุกอย่าง
สำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและตราตรึงอยู่ในความคิดเสมอ ผมผลักมือที่ยื่นธนบัตรใบสีเทาหลายใบกลับไปเบาๆ

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนไปส่งเธอที่บ้านเอง”

   “ไม่ต้องหรอกครับผมจัดการตัวเองได้ ผมลานะครับ”สุดท้ายแล้วจริงๆกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา


   ผมเดินออกมาจากเรือนกระจกริมทะเลมาตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินแกรนิตสีเทามาจนถึงอาคารที่เป็นล็อบบี้ของรีสอร์ท รู้ดี
ว่าตาทั้งสองข้างของมันแดงก่ำจนคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันมามองแต่ผมกลับไม่ได้สนใจ

   “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ”พนักงานต้อนรับถามด้วยรอยยิ้มทันทีที่ผมเดินมาที่เคาน์เตอร์

   “ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”

   “ได้ค่ะ โทรสายนอกกดตัดเก้าได้เลยค่ะ”เธอยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะผายมือไปที่โทรศัพท์บนเคาน์เตอร์ข้างตัว
เธอ

   “ขอบคุณครับ ขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหมครับ”

   “ได้ค่ะ”

   “ที่นี่ที่ไหนครับ อยู่ส่วนไหนของชุมพร”

   “ที่นี่ไม่ใช่ชุมพรนะคะ ที่นี่หัวหิน อยู่ประจวบฯค่ะ”พนักงานต้องรับยิ้มเหมือนกับกำลังขบขัน แต่สำหรับผมมันใช่ไม่เลยสัก
นิด

   ไม่รู้เลยว่าถูกพามาไกลถึงที่นี่ และไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่คินกำลังตามหาผมอยู่ไหม หรือว่าจะเสียใจที่ผมหายไปรึเปล่า
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่สามารถรู้เลยว่าเรื่องระหว่างพี่คินกับฟางในคืนนั้นอะไรที่คือความจริง เพราะไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไปตาม
ตรงกับสิ่งที่เห็น กลัวกับคำตอบที่ยังไม่ล่วงรู้ ทำเพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเองที่มีเพื่อที่จะไม่ให้มันแตกสลายไปก่อนเวลาอัน
ควร ทั้งที่ทำใจอยู่ก่อนหน้าแล้วว่ายังไงเกมๆนี้จะต้องจบลงด้วยการจากลาของเราทั้งสองคน แต่พอถึงเวลาเข้าจริงความเจ็บปวด
ที่ผมได้รับนั้นมันไม่มากกว่าที่คาดเอาไว้เป็นสิบเท่า เจ็บจนไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น

   “ขอบคุณครับ”

   ผมฝืนยิ้มรับพลางยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่เคยท่องจำจนขึ้นใจ นานนับเกือบนาทีที่เสียงรอสายดัง ผมกำลังลุ้นว่า
เบอร์ที่พยายามท่องจำจนขึ้นใจนั้นจะผิดหรือเปล่า

   ‘ฮัลโหล วินพูด’เสียงห้วนอันคุ้นเคยดังขึ้นเรียกให้ผมใจชื้น กัดริมฝีปากแน่นข่มเสียงสะอื้นเอาไว้

   “วิน นี่กูเอง”

   ‘รัมภ์เหรอวะ ทำไมเบอร์ที่มึงโทรมาขึ้นต้นด้วยศูนย์สามสองไม่ใช่ศูนย์เจ็ดๆล่ะ’

   “มึงว่างไหม”

   ‘ว่างอยู่แล้ว ว่าแต่มึงอยู่ไหนยังไม่ตอบกูเลยว่าทำไมเบอร์ที่มึงโทรมาถึงเป็นเบอร์บ้านของประจวบไม่ใช่ของชุมพรวะ แล้ว
ทำไมเสียงของมึงถึงสั่นๆ ทะเลาะกับพี่คินเหรอวะ’

   “กู…อยู่หัวหิน มึงมารับกูหน่อยได้ไหม ที่รีสอร์ทสิรนภา”ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แต่กลับบอกชื่อรีสอร์ทที่เห็นอยู่ผนังข้าง
หลังของเคาน์เตอร์กับวินแทน

   ‘เออๆ มึงรอกูอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกูจะรีบไป’

   “อืม กูจะรอมึงที่หน้ารีสอร์ท”



   ยังไม่ทันจะวางหูโทรศัพท์คืนที่ เสียงเบรคของรถที่แล่นมาจอดอยู่ด้านหน้าของตัวอาคารด้วยความเร็วเรียกให้ทั้งผมและ
คนแถวนั้นหันไปมอง ทันทีที่เห็นรถคันที่เพิ่งจอดด้านหน้าตัวอาคาร หูโทรศัพท์ที่ถือเอาไว้มันก็ร่วงหล่นจากมือไปกระแทกกับ
เคาน์เตอร์อย่างแรง

   “ผม…ขอโทษ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่น

   ผมควรจะทำยังไงดี ยืนอยู่กับที่เพื่อที่จะรอให้ร่างสูงที่กำลังก้าวลงจากรถมาเจอ หรือว่าจะถอยหลังหนีและปล่อยให้พี่คิน
เดินผ่านไป

   เสี้ยววินาทีนี้มันย่างยืดยาวราวกับเป็นชั่วโมง รู้ตัวอีกทีผมก็เฝ้ามองร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเดินผ่านหน้าไปจากด้านหลังของ
เสาต้นใหญ่กลางโถงล็อบบี้ ความรีบเร่งทำให้พี่คินเดินผ่านหน้าของผมไปโดยไม่ทันได้สังเกต เพียงเอื้อมมือเท่านั้นที่ผมจะ
สามารถดึงรั้งร่างนั้นเอาไว้ให้หยุดเดิน แต่ทว่ามือทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งราวกับถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้

   มันกำลังสั่น ทั้งมือและหัวใจของผม แค่เอื้อมมือเท่านั้นแต่กลับไม่ทำ อยากที่จะตะโกนเรียกให้หยุดชะงักแต่ก็ต้องกัดริม
ฝีปากเอาไว้แน่น กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผะผ่าวราวกับถูกน้ำร้อน

   ในที่สุดพี่คินเดินผ่านโถงล็อบบี้ไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะใส่ใจและตอบรับกับคำทักทายของพนักงาน
หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ผมได้แต่มองแผ่นหลังกว้างของพี่คินเดินหายไปตามทางที่ผมเดินออกมา สัมผัสได้ถึงรสของเลือด
จากริมฝีปากที่ถูกกัดจนจนปริแตก น้ำตาที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ตอนนี้มันก็ได้ไหลกลับลงมาอาบแก้มอีกครั้ง แค่สองทางเลือก
เท่านั้นที่ผมมีตอนนี้ ถอยหลังเดินไปในเส้นทางที่สว่างไสวสำหรับทุกคนกับเดินหน้าไปในเส้นทางที่ดำมืดไม่รู้แม้กระทั่งสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า
   

----------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2016 18:33:59 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ omuya

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2023
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-9

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ต้องเจ็บถึงขนาดไหนกันนะ ถึงสามารถสร้างกำแพงหนาห่อหุ้มได้ขนาดนั้น

ออฟไลน์ awfsp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
มาต่ออีดนะครับรออยู่ เมื่อไหร่จะมาต่อน้า

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 30 เพราะรักจึงทำ

   ผมมาถึงบ้านของวินด้วยสภาพที่เมื่อมองเห็นตัวเองในกระจกแล้วยิ่งทำให้รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเก่า ความรู้สึกในตอน
นี้ไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้งที่รอวันย่อยสลายกลายไปเป็นดินไร้ค่าไม่มีราคา ร่อยรอยที่ถูกกระทำมันยังคงตีตราประทับอยู่บน
ร่างกาย มันกำลังตอกย้ำให้ผมรู้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเป็นหนึ่งเดียวกับคนที่ตัวเองรัก

   ผมไม่รู้เลยว่าร่องรอยบนร่างกายพวกนี้มันจะเลือนหายไปตอนไหน บอกไม่ได้เลยว่าเมื่อรอยพวกนี้มันหายไปแล้วความ
รู้สึกที่หลงเหลือมันจะจางหายไปรึเปล่า แต่สุดท้ายแล้วมีสิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือการเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ
พยายามจ้องมองร่องรอยที่อยู่บนร่างกายผ่านเงาสะท้อนของกระจก แตะปลายนิ้วลงบนรอยกัดตรงต้นคอ ยังรู้สึกได้ถึงความแสบ
เล็กน้อยที่บ่งบอกว่ามันคือของจริงไม่ใช่ภาพลวงตา หากเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากที่จะให้รอยพวกนี้มันลบเลือนไปเหมือนกับร่อง
รอยของบาดแผลที่ถูกเยียวยา ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วร่างกายนี้มันจะลืมเลือนสัมผัสพวกนี้ไปเมื่อไร อีกหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือ
หนึ่งปี

   “รัมภ์…อะ เอ่อ”วินเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาเรียกให้ผมหันไปมอง

   “มีอะไร?”ผมหันไปมองสีหน้าดูอึดอัดใจของเพื่อนสนิท วินดูอึกอักแล้วจ้องมองมายังร่องรอยบนร่างกายของผมด้วยความ
รู้สึกผิด

   “กูแค่จะเอาผ้าเช็ดตัวมาให้มึง กูไม่ได้ตั้งใจ กูเอาวางไว้ตรงนี้นะ”เช็ดตัวถูกวางเอาไว้บนเคาน์เตอร์ริมประตู

   “อืม ขอบใจ”ผมตอบรับก่อนที่ประตูห้องน้ำจะปิดลง



   พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าบรรยากาศข้างนอกหน้าต่างกำลังมืดครึ้ม เมฆที่ก่อตัวเป็นพายุในตอนที่ออกมาจาก
รีสอร์ทกำลังทิ้งตัวลงมาเป็นฝนเม็ดใหญ่และมีที่ท่าว่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

   ความเงียบเข้ามาปรกคลุมภายในห้องนอนของวิน มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังกลบเสียงลมหายใจของ

เราสองจน วินนั่งอยู่ปลายเตียงแล้วจ้องมาที่ผมด้วยสายตารู้สึกผิดไม่ต่างอะไรจากเมื่อครู่ ข้างในนั้นผมสัมผัสและรับรู้ได้ดีว่ามันมี

ความเวทนาซ่อนเอาไว้อยู่

   “รัมภ์…คือกู”

   “มึงอย่าถามอะไรกูเลย กูไม่อยากพูดเรื่องนี้”ผมว่าพลางเดินเลยไปหยิบเสื้อผ้าที่วินเตรียมเอาไว้ให้แล้วใส่โดยไม่สนใจ
สายตาที่มองมา

   “อย่างน้อย…มึงก็ต้องฟังคำขอโทษจากกู กูไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้”

   “กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ต้องการฟังหรือคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วอีกอย่างเรื่องนี้มึงไม่ผิด”เพราะคนผิดมันคือผมเองที่ดัน
เผลอไผลให้กับความรู้สึกอันโง่เขลาของตัวเอง

   “กูผิดที่กูไม่รู้อะไรเลย”

   “มึงไม่ผิดหรอก หากย้อนเวลาไปได้ก็ก็จะทำเหมือนเดิม มึงอย่าโทษตัวเองเพราะเรื่องที่กูทำเลย”ผมว่าเสียงเบา หลุบตา

จ้องมองปลายเท้าของตัวเองพลางทิ้งตัวลงบนปลายเตียงนั่งข้างกันกับวิน

   “มึงนอนเถอะ วันนี้พ่อแม่กูไปทำธุระต่างจังหวัด บ้านนี้มีแค่มึงกับกู อีกเดี๋ยวตื่นมาแล้วกูค่อยหาอะไรให้มึงกิน”

   “อืม กูมารบกวนมึงอีกแล้ว”

   “ยังไงมึงกับกูก็เพื่อนกัน มึงไม่สบายใจเรื่องอะไรมึงก็พูดมา กูพร้อมจะรับฟังมึงเสมอ”

   “อืม”มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะระบายออกไป เพียงแต่ว่าผมไม่รู้เลยว่าจะสามรถทนไม่ให้ความรู้สึกที่พยายามกักเก็บเอาไว้
มันไหลรินลงมาอีกได้ไหมก่อนที่ผมจะเล่าทุกเรื่องจบ



   “เดี๋ยวกูมานะ มึงง่วงก็นอนไปก่อนก็ได้ ใครแม่ง ไม่แดกห่าปลารึไงวะ มาทำห่าอะไรตอนพายุเข้า”วินสบถออกมาก่อนจุก
ขึ้นยืนเมื่อเสียงออดหน้าบ้านดัง

   “วิน”ผมดึงแขนวินเอาไว้ก่อนที่วินจะเดินออกไป

   “ว่าไง”

   “ถ้าเป็นพี่คิน…มึงอย่าบอกเขานะว่ากูอยู่นี่”เพราะถ้าเป็นพี่คินมาตามผมกลับไป เรื่องทุกอย่างมันคงจะจบในรูปแบบเดิม
เดินอยู่ในเวียนที่ไม่มีทางออก ซ้ำไปซ้ำมาไม่มีที่สิ้นสุด

   “อย่าห่วงเลย กูไม่มีวันให้พี่คินแม่งแตะมึงอีกแน่ ถ้ามันมากูจะไล่ไปเอง”วินรับปากก่อนจะเดินออกจากห้องไป



   ความเหนื่อยล้าทำให้ผมทิ้งตัวลงบนที่นอน ไม่อยากจะคิดอีกแล้วกับเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้น มันช่างแตกต่างกันเหลือ
เกิน ตั้งแต่ต้นที่ตัดสินใจเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม จบที่การตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกับน้ำตา

   “รัมภ์”เสียงเรียกของวินดังให้ผมลืมตาหันไปมองวินที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนที่จะสบถ

ออกมาด้วยภาษาหยาบคาย

   “มีอะไรรึเปล่า”

   “มีสิ ก็พวกแม่งไม่ยอมไป”สิ่งที่วินพูดออกมาทำให้ผมตัวชาราวกับถูกไฟช็อต โดยไม่ทันรู้ตัวผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไป
ที่ริมหน้าต่าง

   “อย่าเข้าใกล้หน้าต่าง!!”วินเรียกเอาไว้เสียงดังก่อนที่จะดึงแขนผมเอาไว้ให้ชะงัก “พี่คินจะเห็นมึงถ้ามึงโผล่หน้าออกไป”
วินพูดย้ำ

   ผมไม่รู้ตัวเลยในสิ่งที่ร่างกายมันสั่งการตามที่ใจคิด มือทั้งสองข้างสั่นเทาเมื่อคิดได้ว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น ได้แต่จ้องมอง
บ้านหน้าต่างถูกชโลมด้วยเม็ดฝน ผมเกือบที่จะเดินกลับไปวนอยู่ที่ลูปเดิมๆถ้าหากวินไม่ห้ามเอาไว้
   “กู…ขอโทษ”บอกออกไปเสียงเบา

   “ไม่เป็นไรมึงไม่จำเป็นต้องขอโทษ กูบอกพี่คินไปแล้วว่ามึงไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่พี่มันไม่ยอมไป อีกเดี๋ยวก็คงไปเองล่ะมั้ง ฝนก็
ตกหนักด้วย มึงอย่าใส่ใจเลย”

   “แล้ว…ถ้าเขาไม่ยอมไปล่ะ”ถ้าพี่คินยืนตากฝนนานกว่านี้แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา ผมไม่อยากให้พี่คินมาเดือดร้อนไป
มากกว่านี้กับสิ่งที่ตัวเองเริ่มเอาไว้

   “มึงนอนไปเหอะ ถ้าพี่มันยืนนานกว่านี้เดี๋ยวกูโทรเรียกตำรวจมาไล่เอง”วินเดินไปรูดม่านที่หน้าต่างให้ปิดลง

   “อืม”

   “เดี๋ยวถ้านอนไม่หลับยังไงกูจะลงไปชงอะไรร้อนๆมาให้มึงกินก็แล้วกัน”วินหันมาบอกก่อนจะเดินออกไปอีกครั้ง

   ผมได้แต่จ้องมองหน้าต่างที่บัดนี้ถูกผ้าม่านสีทึบปิดเอาไว้แล้ว ความอยากรู้และความคิดถึงมันกำลังสั่งให้ผมฝืนคำสั่งที่ตัว
เองตั้งเอาไว้แล้วเดินเข้าไปใกล้ริมหน้าต่าง แหวกม่านออกเป็นช่องเล็กๆเพื่อที่จะมองลอดออกไปและเห็นร่างสูงของใครบางคน
ยืนตากฝนอยู่หน้าบ้าน ข้างนอกรั้วนั่น เส้นผมเปียกปอนปรกลู่ลงมาบนใบหน้า ตาทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยน้ำฝน ริมฝีปากได้รูปขบ
เม้มเข้าหากันและกำลังสั่นด้วยความหนาว

   “จริงๆแล้วมึงรักพี่คินใช่ไหม”เสียงของวินจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งแล้วปล่อยมือจากผ้าม่านให้ทิ้งตัวลง

   “ใช่…กูรักพี่คิน”ตอบออกไปเสียงเบา

   “ถ้าวันนั้นกูไม่ขอให้มึงทำ วันนี้มึงก็คงไม่รักพี่เขา”

   “มึงย้อนเวลากลับไปไม่ได้หรอก กูเองก็เหมือนกัน”

   

   ----------------------------------------------------------------------------

   สองวันต่อมาผมติดรถพ่อแม่ขิงวินที่เข้ามาทำธุระที่กรุงเทพมาแล้วต่อรถเมล์สายประจำกลับบ้าน  อดที่จะแปลกใจไม่ได้
เมื่อประตูเหล็กบานใหญ่ปิดอยู่แตกต่างจากทุกวันที่แม่มักจะเปิดร้านรอลูกค้าเข้ามากินข้าว แต่พอเดินเข้าไปใกล้ก็ต้องชะงักเมื่อ
กำลังจะหยิบเอากุญแจที่ซ่อนอยู่ข้างใต้กระถางออกมาไขประตูบ้าน ป้ายเซ้งร้านขนาดใหญ่ที่ติดเอาไว้หน้าบ้านทำเอากุญแจที่ถืออยู่ในมือร่วงจากมือตกลงไปบนพื้น


   “รัมภ์หรอกเหรอ ลืมอะไรเอาไว้ล่ะถึงได้กลับมาน่ะหืม?ลุงก็คิดว่าไปเมืองนอกกับแม่ซะแล้ว”ลุงสินที่อยู่บ้านข้างๆถามไถ่
พร้อมกับรอยยิ้มเศร้า

   “เมืองนอก? แม่ผมไปตอนไหน แล้วไปกับใคร”

   “เป็นเดือนแล้วมั้ง ไปกับฝรั่งหล่อๆหัวทองๆน่ะ ท่าทางรีบร้อนเลยเชียว ลุงก็ไม่ยังทันได้ถามอะไรเลย เห็นอีกทีก็ตอนที่มี
คนเอาป้ายมาติดเอาไว้”

   “ทำไม…ผมถึง…ไม่รู้เรื่องล่ะ”ผมพึมพำเสียงเบา

   “เมื่อวันก่อนก็มีผู้ชายมานั่งตากฝนหน้าบ้านข้ามวันข้ามคืน ลุงก็บอกเขาไปว่าเราไปอยู่เมืองนอกกับแม่ พอบอกไปแบบนั้น
เขาก็ไป ไม่คิดว่ารัมภ์ยังไม่ได้ไป  ไม่รู้ว่าเขามีธุระด่วนอะไรถึงได้มานั่งรอตากฝนข้ามวันข้ามคืนแบบนั้น”

   “ใครเหรอครับ”

   “ลุงก็ไม่รู้หรอก เห็นหน้าตาดีดีหน่อยเหมือนคนใต้น่ะ ถ้าเขามาอีกลุงจะบอกแก้ให้ก็แล้วกัน”

   “ครับ”

   คงจะเป็นพี่คินแน่ๆที่มารอเจอผม เพราะมันเป็นที่เดียวที่ผมจะกลับมาหลังจากที่เขาตัดสินใจเลิกรอผมที่บ้านของวินหลัง
จากที่คิดว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่น

   ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะเงยหน้ามองป้ายเซ้งร้านอีกครั้ง มันคงจะเป็นการเข้าใจผิดกันแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่แม่จะทิ้งที่นี่
ไป และเป็นไปไม่ได้ที่แม่จะทิ้งผมเอาไว้ข้างหลังโดยที่ไม่บอกกล่าว พอคิดได้ดังนั้นผมรีบไขกุญแจแล้วดันประตูขึ้นด้วยความ
ร้อนรนเพื่อที่จะได้เห็นกับตา ชั้นล่างที่ปกติจะเป็นร้านขายอาหารตามสั่งแน่นไปด้วยเก้ากี้และโต๊ะวางเรียงราย ตอนนี้มันกลับว่าง
โล่งไม่หลงเหลือเค้าเดิมอีกต่อไป

   หรือว่าชาวต่างชาติที่ลุงสินพูดถึงคือพี่ติน แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมพี่ตินถึงไม่ยอมบอกผม ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า
แม่ยังปลอดภัยดีอยู่ ในเมื่อผมเองก็ยังเลือกที่จะไว้ใจพี่ตินไม่ได้เลย

   ข้าวของทุกอย่างในบ้านไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ความสิ้นหวังทำให้ผมทิ้งตัวทรุดลงบนพื้นห้องว่างโล่งที่เคยเป็นห้อง
นอนของตัวเอง มีเพียงกลิ่นอายของข้าวของเครื่องใช้เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ความหนาวเย็นของฝนตามฤดูกาลกำลังห่อหุ้ม
ร่างกายของผมและกำลังแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ

   “รัมภ์”

   --------------------------------------------------------------------------------

   “หมายความว่ายังไงที่บอกว่ารัมภ์ไม่อยู่แล้ว!!”เสียงแข็งตวาดก้องไปทั่วห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาล

   ภาคินตวาดใส่เด็กหนุ่มด้วยความโมโห เขากำลังใกล้จะขาดสติเต็มทนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่อุตส่าห์รีบบึ่งหลังจากที่ฟังคำ
สารภาพจากปากพี่เลี้ยงของภาณินทร์ลูกชาย ทุกอย่างเขาเข้าใจผิดเอง เขาผิดทั้งหมดที่ไม่ยอมรับฟังและปล่อยให้รัมภ์คิดมาก
กับการกระทำที่ไม่ชัดเจนของตนอง แต่ทว่าพอมาถึงเขากลับพบเพียงแต่ห้องพิเศษที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่างของคนรักนอนอยู่บน
เตียงคนไข้ สิ่งที่คิดได้ก็คือพี่ชายของรัมภ์เป็นคนพารัมภ์ไป

   “ผม…คือว่า”ภูผาอ้ำอึ้ง ตาคู่คมหลุบหนีตาคู่ดุที่จ้องมองเขม็งด้วยความโกรธ

   “ถ้านายไม่อยากให้คนของนายหายไปทำไมนายไม่เฝ้าเอาเองล่ะ”น่านนทีตอบแทนพลางใช้ตัวเองขวางภาคินเอาไว้เมื่อ
อีกฝ่ายตรงเข้าหาเด็กหนุ่ม
   “นายอย่าเข้าข้างคนของตัวเอง”

   “ฉันไม่ได้เข้าข้าง แต่เป็นนายเองที่ไม่สามารถรักษาคนของตัวเองเอาไว้ได้   

   “ทำเป็นพูดดีทั้งที่นายเองก็ยังคุมคนของตัวเองไม่อยู่”คราวนี้เป็นน่านนทีเองที่เป็นเป้าหมายจากอารมณ์คุกรุ่นของชาย
หนุ่ม ภาคินดึงกระชากคอเสื้อกราวน์ของพี่ชายต่างสายเลือดเอาไว้แน่นก่อนจะกระชากเข้าหาตัว เขารู้มาตลอดว่าภูผาเป็นคนส่ง
ข่าวให้กับพี่ชายของรัมภ์ แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามเพราะความเป็นพี่น้องที่ค้ำคออยู่

   “มันก็จริง กับแค่คนป่วยนายยังไม่สามารถเก็บเอาไว้ข้างตัวปล่อยให้หายไปได้ คิดเหรอว่านายจะปกป้องอะไรเขาไปได้
มากกว่านี้ กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพราะว่านาย”น่านนทีพูดตอกย้ำ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่ว่าเขาไม่สามารถปก
ป้องรัมภ์ได้เลยสักครั้ง แม้กระทั่งครั้งนี้ ทั้งที่รัมภ์นอนอยู่ในห้องนอนของเขา บนเตียงของเขาเอง

   “นั่นมันก็เรื่องของฉัน”

   “เอาเถอะ พูดไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ฉันดูกล้องวงจรปิดให้นายแล้ว นายไปถามหาคนของนายเอากับพ่อแม่ก็แล้วกัน
เพราะพวกท่านเองคงอยู่นิ่งและทนกับการกระทำของนายไม่ไหวอีกต่อไป”ตาคู่คมของคุณหมอหนุ่มหรี่ตามองน้องชายต่างสาย
เลือดด้วยความเยือกเย็นก่อนจะปัดมือที่กำคอเสื้อกราวน์ของตนออก

   “หมายความว่ายังไง?”

   “ก็อย่างที่บอก นายไปถามเอากับพ่อแม่เองเอาเอง อีกอย่าง…”น่านนทีหยุดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้องชาย
แล้วกระซิบออกมาเสียงเย็นเยือก “อย่าได้มายุ่งกับคนของฉันอีก”

   “ฉันจะไม่ยุ่งตราบใดที่รัมภ์ยังปลอดภัย”พูดจบภาคินก็เดินออกมาด้วยความเจ็บใจ

   จริงอยู่ที่เขาโล่งใจที่รัมภ์ไม่ได้ไปกับพี่ชายอย่างที่คิด หากแต่สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าคือมือที่พยายามจะปัดออก
ตั้งแต่แรกเริ่ม มือของพ่อแม่ที่พยายามจะยื่นเข้ามายุ่งกับเรื่องที่เขาตัดสินใจทำตั้งแต่ต้น



   รถคันใหญ่แล่นไปบนท้องถนนด้วยความรวดเร็ว โชคดีที่ท้องถนนในต่างจังหวัดเช่นนี้ว่างโล่ง ไม่อย่างนั้นคงมีนับสิบคันที่
เขาขับไปเฉี่ยวชนจนเกิดอุบัติเหตุ ภาคินกัดฟันกรอดพยายามระงับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเอง

   เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าเจตนาของพ่อแม่ที่เอาตัวรัมภ์ไปคืออะไร แต่ถ้ามันทำให้คนรักของเขาต้องเจ็บแม้เพียงเศษเสี้ยวของ
ปลายเล็บ ข้อตกลงทุกอย่างจะเป็นอันต้องจบลง ข้อตกลงที่แลกกับหน้าที่ที่เขาต้องแบกรับเอาไว้

   เสียงเบรกของรถกับเสียงของล้อรถดังเสียดพื้นดังสนั่น ด้านหน้าอาคารต้องรับของรีสอร์ทสิรนภาจนคนที่อยู่ในบริเวณนั้น
หันมามองด้วยความตกใจ แต่นั่นภาคินกลับไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ร่างสูงเดินย่ำไปตามทางเดินเบื้องหน้า ไม่ใส่ใจกับคำ
ทักทายของพนักงานในรีสอร์ทที่อยู่หน้าล็อบบี้ ภาคินไม่แม้แต่ใส่ใจกับสิ่งรอบกาย จนทำให้เขามองข้ามสิ่งที่ตามหามันมาตลอด

   ประตูของเรือนกระจกถูกเปิดออกออย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของว่าที่เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ก้าวเข้ามาภายในพร้อมกับอารมณ์ที่
กำลังจะระเบิดออกมาเต็มทน ใบหน้าคมคายแสดงออกถึงความไม่พอใจ ตาคู่ดุกวาดมองไปรอบๆด้วยความร้อนรน หากแต่ไร้ซึ่ง
คนที่กำลังตามหา มีแต่พ่อกับแม่ของเขาเท่านั้นที่อยู่ในนี้

   “ไม่คิดจะทักทายพ่อแม่ตัวเองหน่อยรึไง”เป็นนภาที่เอ่ยทักลูกชายด้วยความใจเย็น มือสวยหยิบยกแก้วชาขึ้นมาจิบพลาง
มองลูกชายที่อยู่ในสภาพเหงื่อโทรมจนดูไม่ได้

   “รัมภ์อยู่ที่ไหน”


   “มาถึงก็ถามหากันเลยรึไง”

   “ผมถามว่ารัมภ์อยู่ที่ไหน!!”คราวนี้ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้นภาสะดุ้งเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของ
ลูกชายก่อนจะตอบออกไป

   “ไม่อยู่แล้วล่ะ เขาไปแล้ว

   “แม่หมายความว่ายังไงที่บอกว่ารัมภ์ไปแล้ว”

   “อย่างที่พูด เด็กคนนั้นเขาไปแล้ว เขาเลือกที่จะไปแทนที่จะอยู่กับลูกไง”

   “ผมไม่เชื่อ บอกผมมาดีกว่าว่าพ่อกับแม่เอารัมภ์ไปซ่อนไว้ที่ไหน”

   “ใจเย็นๆพ่อว่านั่งลง แล้วค่อยๆคุยกันดีกว่าภาคิน”เป็นเมฆินทร์ที่ปรามลูกชายให้ใจเย็น

   “ผมคิดว่าเราตกลงกันแล้วว่าพ่อกับแม่จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของผม”

   “จะให้แม่ไม่ยุ่งกับเรื่องของลูกได้ไงในเมื่อลูกกำลังทำผิด”

   “นั่นผมตัดสินใจเองได้ว่าผมผิดหรือไม่ แค่แม่เอารัมภ์คืนผมมาก็พอ”

   “แม่ก็บอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นเขาไปแล้ว”

   “ไม่มีทางที่รัมภ์จะไปจากผม ถ้าแม่ไม่บังคับเขา”ในเมื่อเขาได้ยินคำว่ารักออกจากปากนั้นเอง มันไม่มีเหตุผลที่รัมภ์จะไป
จากเขา

   “บังคับงั้นเหรอ หึ ยอมรับเถอะว่าเขาไปจากลูกแล้ว แม่บอกแล้วไงว่าความรักแบบนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะ แล้วจะ
มั่นใจได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นรักลูกจริงๆ ไม่ใช่แค่เงินทองที่ลูกมี”

   “แม่ไม่รู้อะไร และผมไม่ได้ขอให้แม่รับรู้เหมือนกับครั้งที่แล้วที่แม่แอบไปพบรัมภ์”

   “ลูกรู้?หึ รู้ดีตั้งแต่แรกแล้วสินะ แล้วรู้รึเปล่าล่ะว่าเขาเข้าหาลูกก็เพราะเงิน”

   “เรื่องนั้นผมรู้ดี ผมรู้ดีตั้งแต่แรก แต่นั่นมันไม่มีความหมายในเมื่อความรู้สึกที่ผมกับรัมภ์มีต่อกันมันไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน”

   “ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนะภาคิน ลูกเองก็รู้ตัวดีว่าทำให้เด็กคนนั้นต้องเจอกับอะไรบ้าง”ผู้เป็นพ่อพูด
แทรกขึ้นมาเมื่อลูกชายยังอารมณ์ไม่เย็นพอที่จะคุยด้วยเหตุผล

   “ผมรู้ดี”

   “แล้วมั่นใจได้ยังไงว่าวันข้างหน้าเด็กคนนั้นจะปลอดภัยเหมือนกับครั้งที่แล้วๆมา”

   “…”เป็นครั้งที่สองของวันที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้ มันทำให้ภาคินหยุดคิดและหาคำตอบมาหักล้างไม่ได้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่าน
มาเขาไม่สามารถปกป้องรัมภ์ได้เลย

   “ทำใจซะเถอะ ปล่อยให้เขาไปตามทางของตัวเอง”

   “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้…ผม”จะให้ยอมปล่อยความรักที่ยึดมั่นมาตลอดได้อย่างไร หัวใจของเรามั่นเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
ที่พร้อมจะทำทุกอย่าง แม้กระทั่งยอมผิดใจกับพ่อแม่ ยอมที่จะดึงรั้งคนรักด้วยโซ่ตรวนที่ถักทอขึ้นจากความเจ็บปวด



   “เด็กคนนั้น ยอมรับเงินแล้วก็ไปแล้ว เขาเป็นคนเสนอจำนวนเงินมาเอง และแม่ก็ยินยอมจ่ายชดใช้ให้กับสิ่งที่ลูกทำลงไป”

   “นภา!!”

   “คุณเงียบไปเถอะค่ะ ถ้าไม่บอกความจริงออกไปลูกเราคงไม่ตาสว่างสักที”ถึงแม้นั่นจะเป็นคำโกหก แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็
คงจะเห็นลูกเดินทางผิดไปกว่านี้ไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อตัวของลูกเอง ต่อให้จะต้องทำร้ายจิตใจกันก็ตาม

   “ไม่จริง ผมไม่เชื่อ”

   “งั้นก็ตามไปสิ ลองดูว่าเขาจะกลับมากับลูกไหม”

   “ก็ได้ ผมจะไปตามรัมภ์กลับมา เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นแม่ก็ห้ามแตะต้องรัมภ์อีกเด็ดขาด”พูดจบชายหนุ่มก็เดินออกไป



   “ทำไมถึงพูดไปอย่างนั้นล่ะนภา”

   “ฉันไม่มีทางเลือกแล้วคุณเมฆก็น่าจะรู้”เธอหมดสิ้นทางเลือกแล้วในเมื่อเธอรู้ดีว่าหัวใจของลูกชายกำลังจะแตกสลาย เธอ
เห็นมันผ่ายนัยน์ตาที่แข็งกร้าวคู่นั้น

   “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้จักลูกเราดี ยังไงเขาก็ต้องเอาเด็กคนนั้นกลับมาจนได้”

   “แต่ฉันเชื่อใจเด็กคนนั้นมากพอ เชื่อว่าเขารักลูกเรามากพอที่จะไม่เห็นแก่ตัว”

   “หากท้ายที่สุดแล้วเด็กคนนั้นยอมกลับมากับภาคิน คุณจะทำยังไงต่อไป”

   “จะทำยังไงได้ล่ะคะ ก็ต้องยอมเลยตามเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเราสองคนก็คงจะแทรกกลางระหว่างความรักของพวกเขา
ไม่ได้หรอกค่ะ เราทำเท่าที่เราทำได้แล้ว ทุกอย่างหลังจากนี้จะเป็นตัวพิสูจน์พวกเขาเองว่าจะคิดอะไรระหว่างช่วงเวลาที่ห่าง
กัน”นภาบอกสามีเสียงเบา ริมฝีปากสวยได้รูปยิ้มออกมาด้วยความตัดใจ มั่นใจแล้วว่าระหว่างลูกชายกับอีกฝ่ายเป็นความรัก
ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความหลงผิดอย่างที่คิดมาตลอด





---------------------------------------------------------------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2016 18:34:28 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จะมีสักกี่ราย ที่พ่อแม่จะยอมรับความต้องการของลูก
ส่วนใหญ่จะเอาแต่ความต้องการของพ่อแม่
ไม่ฟังลูก อ้างว่าผิดธรรมชาติ ลูกคิดผิด
ไม่มองว่าจริงๆ ความสุขของลูกอยู่ที่ไหน
พ่อแม่จะอยู่กับลูก ไปได้ตลอดชีวิตลูกหรือเปล่า
โกหกลูกก็ยอม เพื่อความต้องการของตัวเอง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ omuya

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2023
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-9
จะจบแล้วเหรอออ แล้วรัมภ์จะทำไงละทีนี้

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
กลับซิ.  รัมภ์ต้องกลับมาหาพี่คิน.

เพราะเราชอบทุ่งลาเวนเดอร์. มากกว่ามาม่าต้มยำที่กินไปน้ำตาซึมไป

 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:

......

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอามาม่าให้เจ็บกันไปทุกฝ่ายเลย หึหึ แอบซาดิสซ์ ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ภาคินแยกกับรัมมากขนาดนั้นล่ะก็
จะได้รู้ว่าถ้ารัมหายไปจากชีวิตภาคินจริงๆ ลูกตัวเองนั่นแหล่ะที่จะโดนลงโทษ กรรมตามสนองในสิ่งที่พ่อแม่กะเกณฑ์
ชีวิตลูก แอบงง ที่ประโยคสุดท้ายก่อนจบ ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าทั้งสองคนรักกันรัมรักภาคินจึงไม่ยอมกลับมา ส่วนภาคินรักรัมก็ต้องไปตามตื้อกลับมา แล้วยังไงคะคุณแม่รู้อย่างนี้แล้วยังจะโกหกลูกชายอีก นี่คือรักลูกหรอ? โกหกไปแบบนั้นถ้าภาคินตามรัมกลับมาไม่ได้นี่ภาคินปางตายเลยนะขอบอก แต่ก็สะใจไปอีกแบบ เพราะลูกเจ็บคุณแม่คงยิ้มปลื้มเนอะ ดีมั้ยคะ ทำดีแล้วเนอะ
โทษทีพอดีอินจัด! ส่วนน้องรัมหนีไปหาแม่ที่อิตาลีเลยจ้า ขอให้ชีวิตรัมดีขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไปนะหลังจากกำจัดราหูออกไปจากชีวิต
ตัวเองแล้ว เหอๆ ใจจริงเราก็ไม่ได้เกลียดภาคินนะรู้แหล่ะที่ทำไปทั้งหมดเพราะรัก แต่ที่เกลียดคือการกระทำของคุณแม่นภา
เพราะงั้นจึงอยากให้คุณแม่ถูกลงโทษโดยผ่านภาคิน คงมันส์ดี อีกอย่างอย่าได้มาบอกว่าการกระทำของคุณแม่นภาเรียกว่ารักลูก เข้าใจค่ะรักลูกแต่ไม่ถูกทางเอาสะเลย เพลียกับคุณแม่พระเอก รักลูกก็ต้องรักคนที่ลูกรักด้วยถึงจะถูก พิสูจน์หาความจริงสิคะ
ถึงจะถูกพิสูจน์สิว่ารัมเหมาะสมที่จะอยู่ข้างภาคินมั้ย พิสูจน์ว่ารัมเข้าหาภาคินเพราะเงินอย่างที่คุณแม่คิดเองเออเองหรือเปล่าจริงอยู่ที่อดีตรัมเคยหลงผิดแต่ตอนนั้นเพราะรัมยังไม่ได้รักภาคินนี่เนอะ มาจับแยกกันเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างคิดทบทวนก็ดีอยู่หรอกนะแต่ทำให้เข้าใจผิดด้วยนี่มัน?? อย่างนี้ยุให้น้องรัมคิดนานๆ ไปคิดไกลๆ คิดไปตลอดชีวิตเลยยิ่งดี บอกเลยโกรธ คุณ แม่ นภา มากค่ะ เลยพาลไปถึงลูกชายอย่างภาคิน :fire: รออ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ จัดมามาม่า เอาให้ภาคินน่วมคุณพ่อคุณแม่สำนึกได้ในการกระทำของตัวเอง :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เฮ้อ น้องรัมภ์ ชีวิตแสนเศร้า

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2016 13:48:08 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
โอะโอ 1 ปีแล้วคุณแม่ก็ยังไม่รู้สึกอะไร ตวัดเสียงใส่ด้วยละ หึหึ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ก็ปล่อยให้จมปลักอยู่ตั้งปีนะคุณแม่

ออฟไลน์ Achew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เสียใจแทนผู้หญิงผมบลอนด์เหลือเกิน
แต่รัมภ์จะตัดใจแต่งงานได้จริงๆหรอ ฮึ้มๅๆๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รัมภ์ ส่งมาจริงหรือ?
เพื่อกระตุ้นพี่คิน ว่ายังรักกันอยู่ใช่ไหม?
ถ้าไม่รักไม่ต้องมา สินะ
น้องณิน น่ารัก น่าฟัด ยังคิดถึงน้ารัมภ์
น้ารัมภ์ ก็คิดถึว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 31 จดหมาย


ตาคู่คมกริบจ้องมองประตูรั้วบ้านเบื้องหน้าด้วยความหวังอันริบหรี่ เขาขับรถออกมาจากรีสอร์ทแล้วตรงมาที่นี่ทันทีที่ที่ถามกับ
พนักงาน เขาทำได้แค่เพียงคาดเดาว่าคนคนนั้นคือวินที่มารับรัมภ์ไปจากรีสอร์ท ร่างสูงของภาคินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ริมฝีปาก
สั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บจากฝนที่พรำลงมา เส้นผมสีดำสนิทเปียกน้ำลู่ลงมาปิดใบหน้าหล่อเหลา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทน
ที่จะยืนต่อไป ผ่านมาแล้วหลายชั่วโมงที่พายุฝนยังคงกระหน่ำ มันไม่มีอะไรที่จะยืนยันได้เลยว่ารัมภ์อยู่ที่นี่ ในเมื่อเขาไม่ได้เห็น
กับตา ไม่รู้เลยว่าคำจากปากของวินนั้นจะจริงอย่างที่ว่าเขามาสายเกินไป

   “รัมภ์”ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว เมื่อประตูรั้วค่อยๆเปิดออก นัยน์ตาคู่แดงก่ำจ้องมองหวังว่าคนที่เขารอคอยจะเดินออกมา
จากประตูรั้วนั่น แต่เปล่าเลย กลับเป็นร่างของเพื่อนสนิทอย่างวินแทนที่เดินออกมาพร้อมกับร่มในมือยื่นมาให้

   “พี่กลับไปเถอะ ผมบอกแล้วไงว่ารัมภ์มันไม่ได้อยู่นี่แล้ว ผมพามันไปส่งที่ท่ารถตั้งนานแล้ว ดึกป่านนี้มันคงถึงบ้านแล้ว
มั้ง”วินบอกเสียงดังแข่งกับฝน

   เขาทำได้เพียงแค่เงยหน้าแล้วจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาของรุ่นน้องอย่างวิน ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเชื่อวินดีไหม ในเมื่อตอนนี้เขา
กำลังมืดแปดด้าน

   “พี่จะเชื่อผมหรือไม่มันก็แล้วแต่พี่ แต่ผมบอกไว้เลยว่าการที่พี่มายืนตากฝนแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย ดีไม่ดี
ถ้าพี่ไม่สบายรัมภ์มันจะยิ่งทุกข์ใจ แค่นี้มันก็เจ็บมามากพอแล้ว ผมแม่งอยากต่อยหน้าพี่เลยพอรู้ว่าพี่ทำกับเพื่อนผมแบบนั้น แต่
ผมก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรพี่น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ทางที่ดีผมว่าพี่กลับไปดีกว่า อย่าดึงผมให้ลำบากใจไปด้วยอีกคนเลย รัมภ์มันกลับ
บ้านไปแล้ว พี่ไปตามหามันที่บ้านเอาเองก็แล้วกัน ที่นั่นเป็นที่เดียวที่มันเหลืออยู่”

   


   สุดท้ายภาคินเลือกที่จะเชื่อรุ่นน้องอย่างวิน เพราะท้ายที่สุดแล้วที่เดียวที่รัมภ์สามารถกลับไปได้ก็คือบ้าน รถยนต์คันใหญ่
จอดเทียบหน้าตึกแถวหลังเก่า เป็นเวลาล่วงเข้าช่วงบ่ายของอีกวันกว่าเขาจะมาถึงที่นี่ เพราะตากฝนมาทั้งคืนอีกทั้งยังไม่ได้พัก
ผ่อนตอนนี้สภาพร่างกายของเขาเริ่มที่จะไม่ไหวเต็มทน แต่ถึงเขาก็ฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองเอาไว้แล้วเดินไปหยุดอยู่
หน้าประตูห้องแถวหวังว่าใครอีกคนจะรอเขาอยู่หลังประตูบานนั้น

   แต่สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าก็ทำเอาหน้าชาราวกับถูกหมัดกระแทกลงมาเต็มแรง ป้ายเซ้งร้านถูกติดอยู่เด่นหราหน้าประตูร้าน
เรี่ยวแรงที่มีพลันหายวับไปกับตา ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นเบื้องล่าง แผ่นหลังเอนพิงประตูร้านด้วยความอ่อนแรง เปลือก
ตาทั้งสองข้างเขาผืนมันอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ที่เดียวที่คิดว่าจะตามหารัมภ์ได้ก็คือที่นี่ แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขามา
ช้าเกินไป มันสายไปแล้วที่จะได้อีกฝ่ายกลับคืนไป


   “มาหาใครล่ะพ่อหนุ่ม เห็นนั่งมาตั้งแต่เย็นวานแล้ว”แรงแตะเบาๆที่ต้นแขนปลุกให้ภาคินสะดุ้งตื่น แสงอาทิตย์ในยามเช้า
ของอีกวันแยงตาปลุกให้ชายหนุ่มหรี่ตาลง ยกมือขึ้นมาป้องที่แยงตา จ้องมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้าของตัวเอง

   “ผมมาหารัมภ์”ภาคินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

   “จะมาหาอะไรเอาตอนนี้ล่ะ บ้านนี้ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่เมืองนอกแล้ว ไม่มีใครอยู่แล้วล่ะ”

   “ย้ายไปต่างประเทศเหรอครับ”

   “อืม เขาย้ายไปกันหมดแล้วล่ะ ของในบ้านก็เอาไปบริจาคหมดแล้ว คงจะไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ ทั้งแม่ทั้งลูก”

   “พอจะรู้ไหมครับ…ว่าเขาไปที่ไหน แล้วกับใคร”ภาคินหันไปถามเสียงเบา นัยน์ตาคู่คมกริบจ้องมองชายเบื้องหน้าอย่าง
อ่อนแรง

   “กับใครน่ะเหรอ ก็ฝรั่งหล่อๆ ไม่ค่อยเห็นหน้าชัดหรอกนะ แต่ก็คงจะเป็นญาติพี่น้องทางฝั่งพ่อรัมภ์เขานั่นแหละ”

   “งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากครับ”ภาคินตอบรับ

   ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ในเมื่อตอนนี้ยังมีอีกคนที่เขาพอจะฝากความหวังเอาไว้ได้ คนเดียวที่ไม่คิดว่าจะได้เผชิญ
หน้ากันอีกครั้ง



   รถคันใหญ่จอดหน้าร้านอาหารอิตาลีชานเมืองของตัวจังหวัดด้วยความรีบร้อน เจ้าของรถไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าล้อของรถ
เกยขึ้นไปบนทางเดิน

   “รัมภ์อยู่ที่ไหน”ถามด้วยเสียงแข็งกร้าวปนเหนื่อยอ่อนก่อนจะปรี่เข้าไปหาหนุ่มชาวต่างชาตินัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน

   “คุณกำลังหมายถึงอะไรอยู่ครับ”เดสติโน่ไหวไหล่ก่อนยะยกยิ้มเย้ยออกมาเล็กน้อย “ผมว่าเรานั่งคุยกันดีดี จะดีกว่าไหม”
พูดพลางปรายตามองไปยังลูกค้าในร้านที่กำลังมองมาด้วยความตกใจ

   “นายเอารัมภ์ไปซ่อนไว้ที่ไหน”

   “อยู่ๆมากล่าวหากันอย่างนี้มันเกินไปหน่อยรึไง”ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เจ้าของนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลสวยก็อดแปลกใจไม่น้อยกับ
คำถามนั้น
   “รัมภ์หายไป”

   “หมายความว่ายังไงที่ว่ารัมภ์หายไป รัมภ์อยู่กับคุณไม่ใช่รึไง”คราวนี้เดสตินเริ่มขึ้นเสียง

   “นายอย่ามาทำไขสือ บอกมาว่ารัมภ์อยู่ไหน”ภาคินกระชากขอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาหาตัวเองด้วยความไม่พอใจกับท่าทีของ
อีกฝ่ายที่ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว

   “แทนที่จะมากล่าวหาคนอื่น คุณถามตัวเองก่อนไหมว่าทำไมรัมภ์ถึงได้หายไป แล้วปล่อยให้รัมภ์หายไปได้ยังไงทั้งที่รัมภ์
อยู่กับตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองไร้ความสามารถที่จะดูแลน้องชายของผมรึไง”คราวนี้หนุ่มชาวต่างชาติปัดมือที่กำคอเสื้อตัวเองออก

   “มีคนบอกว่ารัมภ์ไปต่างประเทศแล้ว คนเดียวที่จะพารัมภ์ไปได้ก็คือนาย”


   “ต่างประเทศ?”เดสตินเลิกคิ้วก่อนจะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรได้บางอย่างแล้วเหยียดยิ้มออกมาอย่างคนที่ถือไพ่
เหนือกว่า “ก็ในเมื่อคุณดูแลรัมภ์ไม่ได้แล้ว มันไม่ดีกว่ารึไงที่จะปล่อยให้รัมภ์เป็นอิสระและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…และ
ปลอดภัย”

   “ไม่…”

   เขาทำได้เพียงแค่ปฏิเสธออกไปไม่เต็มเสียง เป็นอีกครั้งที่เขาถูกพูดแทงใจดำ ชายหนุ่มได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความ
เจ็บใจ เขาทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมรับ

   “ปล่อยให้รัมภ์ได้ไปใช้ชีวิตของตัวเองสักที คุณน่าจะรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรไว้กับรัมภ์ ที่ผ่านมามันก็แค่เกม แล้วอีกอย่าง มัน
มากพอแล้วที่น้องชายของผมจะต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้าย ผมยอมต่อแต้มให้คุณมามากพอแล้วนายหัวภาคิน น้องชายของผม
ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป ไม่ใช่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”

   จริงอย่างที่เดสติโน่พูด ตั้งแต่แรกแล้วที่รัมภ์ไม่ใช่ของเขา ต่อให้เขาพยายามที่จะกักขังรัมภ์เอาไว้ ใช้ทั้งโซ่ตรวนหรือแม้
กระทั่งความรู้สึกที่มีมันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย กลับกันมันยิ่งทำให้รัมภ์เจ็บปวด ไม่เพียงแค่รัมภ์เท่านั้นที่เจ็บปวด เขาเองก็
เจ็บปวดไม่แพ้กัน

   ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มซีดเผือด กระบอกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว สัมผัสได้ถึงความชื้นที่กำลังเอ่อล้นของตาของตัว
เอง มันสมควรแล้วกับอิสระที่รัมภ์ควรจะได้รับมาตลอด เขาผิดเองที่กดดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันจบในรูปแบบนี้

   ทั้งที่คิดว่าความรักที่มีมันสามารถยึดเหนี่ยวให้อีกฝ่ายอยู่กับเขาได้ หวังที่จะถักทอความรู้สึกให้มันมั่นคง แต่สิ่งที่เขาทำมา
ตลอดมันผิดไปจากที่วาดเอาไว้ทั้งหมด ไม่หลงเหลือแม้แต่เค้าโครงที่ร่างเอาไว้ ความฝันที่จะได้อยู่ด้วยกันแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ราวกับภาพวาดที่ถูกฉีกกระจายไม่มีชิ้นดี มันถึงเวลาแล้วที่เขาก็ต้องปล่อยมือจากนกตัวที่เขาจับขังเอาไว้ในกรงทอง ปล่อยให้มัน
ได้โบยบินพร้อมกับอิสระอย่างที่ต้องการ



   ภาคินทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหลังใหญ่ เขาฟุบหน้าลงบนที่นอนในคืนสุดท้ายที่เขาได้กกกอดร่างกายอุ่น จมูกโด่งฝังลงไป
บนฟูกนุ่ม ดึงเอาผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ก่อนจะสูดเอากลิ่นกายที่หลงเหลือเข้าไปในปอดด้วยความโหยหา เหลือเอาไว้เพียงเท่านี้
กับสิ่งที่รัมภ์ทิ้งเอาไว้

   ชายหนุ่มลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินกลับไปยังอีกห้องที่อยู่ข้างกันด้วยความเหม่อลอย กรงทองที่เขาเอาไว้กักขังความรัก
ของตัวเอง เขาเปิดประตูเข้าไปข้างในก่อนจะพบกับแม่บ้านที่กำลังจะเก็บเอาเสื้อผ้าในตะกร้าไปซัก

   “อย่า…ไม่ต้องเก็บไปซัก ต่อไปนี้ห้ามใครเข้ามาในห้องนี้อีก”ชายหนุ่มบอกก่อนจะดึงเอาเสื้อผ้าที่รัมภ์เคยใส่ออกจากมือ
ของนุ่ม
   มือข้างหนึ่งถือเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นกายของอีกฝ่ายเอาไว้แนบอก อีกมือเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะดึงเอาของที่อยู่ในลิ้นชัก
ออกมา เสียงของโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วห้อง โซ่ตรวนเส้นที่เขาเคยใช้ล่ามข้อเท้าบอบบางของอีกฝ่ายเอาไว้

   ไม่ฟังแม้กระทั่งเสียงร้องขอ คำห้าม หรือคำตัดพ้อ เขาตัดสินด้วยความรู้สึกของตัวเองเพียงฝ่ายเดียวแล้วยึดเอารัมภ์ไว้ที่นี่
ทำราวกับว่าเป็นเจ้าของของอีกฝ่ายง กลิ่นของโลหะเย็นเฉียบลอยกระทบจมูก มือที่ถือโซ่ตรวนกำลังสั่นเทา ก่อนที่มันจะถูก
ปล่อยให้ร่วงลงบนพื้นเสียงดังก้อง น้ำตาอุ่นหยดลงบนเสื้อผ้าที่อยู่ในอ้อมกอด

   เขาได้สูญเสียไปแล้ว…หัวใจของตัวเขาเอง

   ----------------------------------------------------------------------

   ‘พี่ ผมชื่อรัมภ์ รัมภ์ที่มาจากรัมภ์ภาหมายถึงนางฟ้า’เสียงสดใสทักพร้อมกับร้อยยิ้ม ตอนนั้นเขาทำได้เพียงแต่เงยหน้าจาก
หนังสือนแล้วมองหน้าของอีกฝ่าย จ้องมองรอยยิ้มที่ส่งมาให้เขา



   “เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว”น้ำเสียงดูเป็นกังวลถามไถ่ นานนับอาทิตย์ที่ได้รับข่าวของลูกชายหลังจากวันนั้นที่เขา
ออกปากโกหกไป

   “หลายวันแล้วค่ะ แต่นายหัวไม่ยอมไปหาหมอลูกเดียวเลย ให้หมอนทีมาตรวจก็ไม่ยอม เอาแต่บอกว่าห้ามให้ใครเข้ามาใน
ห้องนี้”นุ่มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

   “นี่มันอะไรกันภาคิน จะมานอนหมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างนี้ไม่ได้นะ แล้วนี่อะไร ไม่สบายตัวร้อนอย่างนี้มากี่วันแล้ว นุ่มเอา
ผ้าขนหนูกับน้ำอุ่นมาให้ฉันที”นภาพูดออกมาด้วยตื่นตระหนกที่มาเห็นลูกชายด้วยตาตัวเองแล้วเจอกับสภาพที่ลูกชายเอาแต่คลุก
ตัวอยู่ในห้องมืดๆไม่ยอมเปิดประตูหน้าต่าง เครื่องปรับอากาศที่ไม่รู้ว่าเปิดทิ้งเอาไว้นานแค่ไหนจนอากาศภายในห้องเย็นเยือก
ชวนให้ขนลุก

   “อย่ามายุ่งกับของผม!!”เสียงแหบห้าวตวาดพลางยื้อแย่งเสื้อผ้าที่ในอ้อมกอดเอาไว้อย่างหวงแหน

   “นั่นมันไม่สะอาดแล้วนะภาคิน”

   “ผมไม่สน”

   “จะไม่ให้แม่สนลูกตัวเองได้ยังไงในเมื่อลูกตัวเองอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้”ตาคู่สวยจับจ้องมองลูกชายในสภาพโทรม
เอาแต่กอดเสื้อผ้าที่อยู่ในอกแน่นไม่ยอมปล่อย

   “อย่ามายุ่งกับผม ออกไปจากห้องนี้กันให้หมด”เพราะไม่อยากที่จะให้กลิ่นของคนอื่นมาปะปนกับกลิ่นของรัมภ์ที่กำลังจะ
จางหายไป

   อยากจะเก็บกลิ่นอายนี้เอาไว้ให้นานที่สุด จมูกโด่งซุกลงบนเสื้อผ้าที่กอดเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างสั่นเทา

   “ทำไมถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้นะ”นภาตัดพ้อก่อนจะหันไปหาลูกบุญธรรมของตัวเอง “นทีจัดการภาคินให้แม่ที”

   “ครับ”น่านนทีพยักหน้าก่อนเดินเข้าไปใกล้ร่างของน้องชายที่นอนซมอยู่บนเตียง

   มือกดแขนอันไร้เรี่ยวแรงของภาคินเอาไว้ ถึงไม้ว่าจะขัดขืนอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่สบายและไม่ได้กินข้าวมาหลายวันอย่างภาคิ
นไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย ได้แต่ปล่อยให้เข็มฉีดยาปลายแหลมลงไปบนต้นแขนก่อนสติอันลางเลือนจะถูกฉุดดึงให้จมสู่
ห้วงนิทรา

   

   ---------------------------------------------------------------



   หนึ่งปีต่อมา…

   “ลุกขึ้นมากินข้าวได้แล้วภาคิน ลูกไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วนะ”นภาปลุกลูกชายที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียง เสี้ยว
หน้าคมคายถูกปรกคลุมไปด้วยไรหนวดขึ้นครึ้มจนเหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป

   ยิ่งเห็นเธอก็ยิ่งเป็นทุกข์ใจ นับตั้งแต่วันนั้นลูกชายของเธอก็ไม่ได้ก้าวออกจากห้องๆนี้อีกเลย เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องมืด
ทึบนี้แล้วกอดเสื้อผ้าของรัมภ์ที่ทิ้งเอาไว้ราวกับเป็นสิ่งที่หวงแหนไม่ยอมปล่อย ข้อมือซูบผอมมีนาฬิกาเรือนสวยที่บัดนี้สายของ
มันได้หลวมเพราะคนที่ใส่ผอมลงไปมาก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านาฬิกาที่ลูกชายเธอมักจะมองด้วยความเหม่อลอยนั้นมาจากใคร เธอ
ทำผิดไปมาก เธอคิดว่าเธอเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับลูกชาย แต่กลับตรงกันข้ามเลย หนทางที่เธอคิดว่าสว่างไสวกลับดำมืด

สำหรับลูกชายของเธอ

   ตั้งแต่นั้นภาคินก็ไม่ยอมออกไปทำงานเพราะข้อตกลงที่เธอกับสามีตั้งเอาไว้มันได้ขาดสะบั้นลง กลับกลายเป็นว่าสามีของ
เธอต้องกลับมาดูแลฟาร์มสานรักแทน และเธอต้องไปกลับระหว่างรีสอร์ทสิรนภากับที่นี่เพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายที่
นับวันแย่ลงเรื่อยๆ

   เธอจ้องมองใบหน้าซีดเผือดของลูกชายจ้องมองนาฬิกาเรือนที่ยังเดินอยู่ ก่อนจะเบือนหน้าจ้องมองถ้วยข้าวต้มในถาดที่
เธอวางเอาไว้ที่ปลายเตียงและเบือนหน้าหนี

   “แม่ออกไปได้แล้ว”ภาคินบอกเสียงแข็ง เพราะไม่อยากให้กลิ่นของคนอื่นลบกลิ่นอายของรัมภ์ที่กำลังจางหายไป อยากที่
จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ให้คงเดิม ให้เหมือนกับว่ารัมภ์ยังอยู่ไม่ได้หนีเขาไปอีกครั้ง


   “อย่างน้อยก็สนใจลูกบ้างก็ยังดีนะภาคิน”สิ่งที่นภาพูดทำให้ชายหนุ่มหันไปมองแม่ของตัวเอง ก่อนจะลดสายตาลงจ้องมอง
ร่างจ้ำม่ำของเด็กวัยหกขวบหลบอยู่ด้านหลัง

   นภาดันร่างของภาณินให้ปีนขึ้นไปบนเตียง เด็กชายตัวเล็กนั่งลงข้างๆพ่อก่อนจะกระตุกชายเสื้อของพ่อเบาๆ

   “พ่อคิน”

   “ว่าไง”ภาคินตอบรับเสียงเบา ก้มลงมองใบหน้ากลมของลูกชาย คิ้วเล็กๆขมวดมุ่นเข้าหากัน เขารู้ดีว่าลูกชายกำลังจะขอ
อะไร

   “น้องณินคิดถึงน้ารัมภ์”

   “อืม”พ่อก็คิดถึง เขาอยากจะบอกออกไปอย่างนั้น แต่ถ้าพูดออกไปมันจะยิ่งทำให้เขาเจ็บใจกับสิ่งที่ตัวเองทำจนต้องปล่อย
ให้รัมภ์หลุดมือไป เขาทำได้เพียงแค่เอื้อมมือของตัวเองแล้วลูบลงบนหัวของลูกชายเบาๆ

   “น้องณินคิดถึงน้ารัมภ์ น้องณินอยากไปหาน้ารัมภ์พ่อคินพาน้องณินไปหาน้ารัมภ์ได้ไหม”

   สิ่งที่ลูกชายเฝ้าขอเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถให้ได้เลย เขารู้ดีว่าลูกชายพยายามอดกลั้นมากแค่ไหนที่เลิกขอของเล่นอย่างที่
เคยแล้วหันมาขอให้เขาพาไปหารัมภ์แทน

   “พ่อ…ขอโทษ”เขาตอบเสียงเครือ

   เขาคิดถึงรัมภ์จนรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกมันแทบจะแตกสลายเต็มกลืน เขาอยากที่จะไปหารัมภ์ อยากที่จะไปตามรัมภ์กลับมา
หากแต่เขาไม่อยากจะให้รัมภ์ได้เจ็บปวดกับการกระทำที่เห็นแก่ตัวของตัวเองอีกต่อไป บอกไม่ได้เลยว่าเขาจะห้ามไม่ให้ตัวเอง
ทำเหมือนเดิมได้อีกไหม กักขังอีกฝ่ายเพื่อที่จะให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

   “พอกันที!!แม่ทนเห็นลูกตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แม่ผิดเองภาคิน แม่ผิดเองทุกอย่าง แม่โกหกที่ว่าเด็กคนนั้น
เรียกร้องเงินแล้วจากลูกไป”เป็นนภาเองที่ทนเห็นสภาพของลูกชายไม่ไหว เธอทนที่จะทำร้ายหัวใจตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

   “แม่พูดอะไร”

   “แม่เป็นคนขอให้เด็กคนนั้นไปจากชีวิตลูกเพื่อตัวลูกเอง เขาไม่ได้เรียกเงินจากแม้สักบาท เป็นแม่เองที่ยัดเยียดเงินให้กับ
เขาทั้งที่เขาไม่ต้องการ”

   “ทำไมแม่….”ภาคินถามเสียงเบาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

   “แม่ยอมแพ้แล้วภาคิน ทีนี้ลูกจะไปตามเด็กคนนั้นกลับมาหรือว่าจะไปหาเด็กคนนั้นแม่ก็จะไม่ว่าอะไร แม่ตามใจทุกอย่าง
ขอแค่ลูกกลับมาเป็นลูกชายของแม่คนเดิม เป็นพ่อที่ดีเหมือนเดิม แม่ทนเห็นลูกหลานตัวเองเจ็บอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”นภา
บอกเสียงเครือ ริมฝีปากสวยเม้มเข้าหากันแน่น กำในสิ่งที่เธอเพิ่งจะได้รับจากบุรุษไปรษณีย์เมื่อเช้านี้เอาไว้แน่น

   “แม่โกหก”

   “แม่โกหกก็เพื่อลูกนะภาคิน แต่ตอนนี้แม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ทำมันทำร้ายลูกมากแค่ไหน ทำร้ายพวกเรามากแค่ไหน ลูกไปตามคน
รักของลูกกลับมาเถอะ เพื่อตัวของลูกเอง”

   “ผม…ทำอย่างนั้นไม่ได้”เพราะรัมภ์นั้นอยู่ในที่นี่แสนไกล แล้วเขาก็ไม่รู้ว่ารัมภ์อยู่ที่ไหน สำคัญที่สุดก็คืออิสระที่รัมภ์ได้รับ
เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะมีความสุขไปกับมัน เขาเองก็พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้ทำลายมันอีกครั้ง

   “มีจดหมายส่งมาถึงลูก มันถูกส่งมาจากต่างประเทศ”นภายื่นจดหมายให้กับลูกชาย

   “รัมภ์”ภาคินหลุดเรียกออกไปเสียงเบาก่อนจะคว้าเอาซองจดหมายจ่าหน้าซองถึงตัวเองด้วยความกระตือรือร้น ไม่รีรอที่จะ
เปิดมันออกด้วยความตื่นเต้น

   มันหมายถึงว่าเขาไม่ได้ถูกลืม ชายหนุ่มดึงสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาด้วยความดีใจ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าหลังจากที่มัน
จางหายไปนาน ทว่ายิ้มนั้นก็เลือนหายเมื่อสิ่งที่อยู่ด้านในได้ปรากฏ

   แต่การ์ดสีชมพูลายดอกกุหลาบที่ดึงออกมาก็ทำเอาชายหนุ่มตัวชาวูบ รูปที่ปรากฏอยู่บนการ์ดเป็นรูปของรัมภ์ในชุดทักสิโด้
สีดำตัดกับสีผิว ข้างกายมีหญิงสาวผมบลอนในชุดเจ้าสาวกำลังคล้องแขนของรัมภ์และยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข วันที่ที่ระบุใน
การ์ดคืออีกสองวันที่ที่กำลังจะมาถึง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!

   ไม่มีทางที่รัมภ์จะแต่งงาน มันเป็นแค่ภาพลวงตา มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ภาคินตะโกนก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ
การ์ดในมือล่วงหล่นลงบนที่นอนราวกับว่ามือของเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาอยากจะให้นี่เป็นแค่เพียงความฝัน เสียงทุ้มพึมพำออก
มาราวกับคนไม่ได้สติ

   “ไม่…จริง”



   ------------------------------------------------------------------------------------

   



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2016 17:18:42 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เจ้จจจจจจจจจจ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้านะคะ ตอนจบไม่เอามาม่านะ ซดมาจนเต็มท้องแล้ว ถ้ามาอีกรับรองกระอักเลือดตายแน่ๆ :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด