บทที่ 11 ภาณินหัวขโมยตัวน้อย
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกุกักจากปลายเตียงจึงได้หรี่ตาขึ้นมอง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจไม่ใช่ร่างคุ้นตาของพี่คิน แต่เป็นร่างปุ๊กลุกของเด็กตัวเล็กผิวเข้มใบหน้ากลมเเป้นแล้นแก้มใส
ป่องจนเกือบจะปิดเวลาที่ยิ้มจนตาหยี
น้องณินเข้ามาในห้องน้ำไม? แล้วเข้ามาได้ยังไง? ผมขมวดคิ้วจ้องมองร่างของเด็กตัวเล็กเดินต้วมเตี้ยมไปที่โต๊ะริมหน้า
ต่างค่อยๆตะกายปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ ส่งเสียงฟึดฟัดขัดใจเล็กน้อยเมื่อเก้าอี้มันสูงจนเกือบจะปีนไม่ถึง
จนสุดท้ายก็ปีนขึ้นไปจนได้ ดูท่าน้องณินจะยังไม่รู้ว่าผมนอนมองลุ้นอยู่บนเตียงว่าจะล่วงหรือจะรอด พอปีนขึ้นไปได้น้องนิ
นก็ยืนบนเก้าอี้ ปากเล็กยิ้มแป้นโชว์ฟันน้ำนมกับเหงือกสีสดออกมาเมื่อมองไปยังถาดอาหารกลางวันของผม
หมดทันทีสงสัยว่าทำไมน้องณินถึงมาทีนี่ ช็อกโกแลตที่วางอยู่ในถาดข้าวถูกหยิบขึ้นมา ได้ยินเสียงพึมพำเหมือนร้องเพลง
ที่ไม่รู้ว่าเพลงอะไรอย่างอารมณ์ดีแว่วๆ
หัวขโมยตัวเล็กย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้แกะห่อช็อกโกแลตส่งมันเข้าปาก หารู้ไม่ว่าเจ้าของช็อกโกแลตแท่งนั้นกำลังนอนมอง
อยู่ แต่แล้วทันทีที่ได้ลิ้มรสช็อกโกแลตหัวขโมยน้อยก็คายออกมาแทบจะทันที
“แค่กๆ แหวะ ขมปี๋ ไม่เห็นอร่อยเลย”สำเนียงแปร่งๆพูดออกมา ยกมือป้อมๆเช็ดปากตัวเอง จะไม่ให้ขมได้ยังไงในเมื่อมัน
เปนดาร์กช็อกโกแลต
“ไม่มีใครบอกเหรอครับว่ากินของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเขาเรียกว่าขโมย”
พอบอกแบบนั้นดวงตากลมเล็กก็เบิกกว้างหันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจแล้วก็เปลี่ยนเป็นหน้ามุ่ยใส่ผมทันที
“น้องณินไม่ใช่ขโมย พี่ฟางบอกว่าน้องณินกินได้ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านนี้ ไม่ต้องขอใคร”เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้
เชื่อเลยว่าเด็กๆมักจะติดนิสัยมาจากพี่เลี้ยง
“กินของอื่นโดยไม่ขอยังไงก็เป็นขโมยอยู่ดี”
“แต่น้องณินไม่ใช่ขโมยนะ”น้องนินเถียงแต่หน้าเริ่มเสีย “อันนี้ของน้ารัมภ์เหรอ”ถามเสียงอ่อย
“ใช่”
พอเห็นหน้ากลมๆมุ่ยหน้า แต่ก็หน้าเสียทำให้รู้สึกว่าอยากจะแกล้งขึ้นมา แต่ลึกๆแล้วอยากจะสอนเด็กให้ถูกต้องมากกว่า
ไม่รู้ว่าพี่เลี้ยงของน้องณินเป็นพี่เลี้ยงประเภทไหนกันแน่ถึงได้เลี้ยงให้เอาแต่ใจแบบนี้
“แต่มันอยู่ในบ้านของพ่อคิน”
“แต่มันเป็นของน้า ถ้ากินโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของยังไงก็ต้องเป็นขโมย”
“แต่น้องณินไม่อยากเป็นขโมย”น้องณินทำท่าจะร้องไห้ ปีนขึ้นมาบนเตียงนั่งจุมปุ๊กลงข้างๆผม ตากลมโตนัยน์ตาสีดำสนิท
ช้อนขึ้นมามอง
“ถ้าไม่อยากเป็นขโมยก็ต้องขอกันก่อน”
“ทำไมต้องขอด้วย”
“ถ้าไม่ขอก็เป็นขโมย ตกลงจะขอไม่ขอ”
“งั้นน้องณินขอได้ไหม แต่ช็อกแลตอันนั้นมันไม่อร่อยเลย”
“เห็นไหม คราวหลังจำเอาไว้ด้วยล่ะว่ากินอะไรต้องขอผู้ใหญ่ก่อน บางอย่างมันไม่ใช่ของที่จะกินได้ เหมือนช็อกโกแลตอัน
นี้ เข้าใจไหม”
“อื้อ น้องณินเข้าใจ”ผงกหัวหงึกๆ “น้องณินไม่เป็นขโมยแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ไม่เป็นแล้ว”ผมพยักหน้า ดูๆไปแล้วน้องณินเป็นเด็กที่สอนง่าย แต่การสอนง่ายมันก็ส่งผลเสียตรงที่เชื่อคนสอนง่ายๆ
โดยไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ถ้าน้องณินไม่ได้เป็นลูกของผู้หญิงคนอื่นของพี่คิน บางทีผมอาจจะเอ็นดูน้องณินมากกว่านี้
“น้ารัมภ์เป็นแฟนกับพ่อคินเหรอ”เงยหน้าขึ้นมาถาม
ผมไม่ตอบแต่ส่ายหน้าแทน ไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ที่ส่ายหน้าเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะแทนสถานะอะไรให้ตัวเองใน
เมื่อพี่เขามีคนอื่นอยู่แล้ว
“แต่น่าฟางบอกว่าน้ารัมภ์จะมาแย่งพ่อ น้ารัมภ์เป็นแฟนพ่อ น้ารัมภ์จะมาเอาพ่อไป”
“น้าไม่เอาพ่อของน้องณินไปหรอก วางใจได้”เพราะเมื่อครบสามเดือนผมก็จะไปตามทางของผมสักที
“จริงเหรอ”
“อืม แล้วเข้ามาได้ไง ประตูมันล็อกไม่ใช่รึไง”
“น้องณินเอากุญแจไขเข้ามา”น้องณินยิ้มเหมือนจะภูมิใจรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบกุญแจขึ้นมาอวด “ห้องนี้เป็นห้องของ
น้องณิน แต่พ่อให้น้องณินย้ายไปอยู่ข้างล่างเพราะน้องณินเคยตกบันได เจ็บขาตรงนี้”มือป้อมชี้ตรงข้อเท้าตัวเอง
“แล้วแม่น้องณินไปไหนล่ะ”ไม่รู้จะถามอะไร แต่พอถามออกไปก็พึ่งจะรู้ตัวว่าไม่ควรถาม
น้องณินชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มแป้น
“พ่อบอกว่าแม่กับพ่อของน้องณินอยู่บนนั้น”น้องณินชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้านอกหน้าต่าง
แต่ถ้าผมหูไม่เพี้ยนหรือว่าน้องณินพูดผิดทำไมน้องณินถึงได้บอกว่าพ่อกับแม่อยู่บนนั้นทั้งที่น่าจะเป็นแค่แม่อย่างเดียว จู่ๆก็
รู้สึกมีหวังขึ้นมาทั้งที่มันไม่เป็นจะจำเป็นอะไรเลยสักนิด
“ทำไม…ถึงบอกว่าพ่อกับแม่ล่ะ พ่อก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่รึไง”
“หื้อ ไม่ใช่ พ่อคินเอาน้องณินมาเลี้ยง น้องณินรักพ่อ”
น้องณินส่ายหน้า คำตอบของน้องณินทำให้หัวใจผมมันอุ่นวาบขึ้นมาทันที ถ้าน้องณินไม่ใช่ลูกของพี่คิน ก็แสดงว่าพี่คินไม่
ได้โกหกผม ไม่ได้นอกใจผม
ทั้งที่ไม่มีสิทธิที่ไม่ควรจะโกรธไม่ควรจะไม่พอใจที่พี่เขามีคนอื่น เพราะผมทิ้งพี่เขาและหลอกพี่เขา แต่ผมก็ทำ ความรู้สึก
ผิดในเวลานี้มันเข้ามาแทนที่ความดีใจเสียแล้ว
ผมก้มมองน้องณินที่ตอนนี้นอนเกลือกกลิ้งไปมาบนที่นอนข้างๆผม แต่ก็ยังมีอีกอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ ในเมื่อพี่คินรับน้อง
ณินมาเลี้ยงได้สองปีแล้วก็แสดงว่าพี่เขารับน้องณินมาเป็นลูกตั้งแต่ยังไม่เลิกกับผม
แล้วประตูห้องก็เปิดออกแต่ไม่ใช่พี่คินที่ผมอยากเจอในตอนนี้ กลับเป็นภูผาที่ยืนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าน้องณินนอนกลิ้งอยู่
บนที่นอน
“กะแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่ มานี่เลยไอ้แสบ”พูดเป็นภาษาใต้ก่อนจะตรงเข้ามาดึงขาน้องณิน
แต่หัวขโมยตัวเล็กก็คลานหนีหัวเราะคิกคัก หนำซ้ำปีนขึ้นมาหลบอยู่ข้างหลังของผม
“ไม่เอาๆ น้องณินอยู่นี่”
“น้องณินมากวนพี่รึเปล่า เผลอแปบเดียวแอบตามช็อกโกแลตมาจนได้”ภูผาส่ายหน้า
“ไม่กวน แค่พูดมากไปหน่อย”ผมยิ้มบาง ตอนนี้เรื่องที่หนักใจมันคลายออกไป ตอนนี้ก็เหลือแค่…ขอโทษพี่คินที่ผมต่อยพี่
เขา
“น้ารัมภ์เล่านิทานเป็นไหม”
“ไม่”
“จริงเหรอ ทำไมบนนั้นมีนิทานด้วย”ชี้ไปที่หนังสือบนโต๊ะ
“นั่นเรียกว่านิยาย ไม่ใช่นิทาน”
“ไม่เหมือนกันเหรอ”เอียงคอถาม
“ไม่”ขืนตอบว่าเหมือนคงจะต้องโดนถามอีกเยอะแน่ ผมส่ายหน้ามองไปทางภูผา เห็นว่าเจ้าเด็กหัวเกรียนขยิบตาให้แล้ว
พูดภาษาปากชี้ไปที่หัวขโมยช่างจ้อ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไร
ผมคว้าตัวน้องณินช่างจ้อเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะซนไปหยิบหนังสือนิยายมาถามมากความส่งให้ภูผารับตัวไป
“ไปกินข้าวได้แล้ว ไม่งั้นจะฟ้องนายหัว”
“ไม่เอา น้องณินดูนิยายได้ไหม น้ารัมภ์เล่านิยายให้ฟังได้เปล่า ไม่เหมือนกันเหรอ”
สุดท้ายก็ได้ยินแค่เสียงแว่วๆหลังจากที่ประตูปิดลง ผมถอนหายใจ อะไรหลายอย่างมันเริ่มเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง จนผมนึก
กลัวใจตัวเอง
------------------------------------------------------------------------------------
ผมเฝ้ามองนาฬิกาบนฝาผนังที่บอกเวลาเลิกงานของนายหัวของฟาร์ม แต่พี่เขาก็ไม่มาสักที หนังสือนิยายเล่มใหม่ที่พี่คิน
หามาให้ปิดลงเป็นรอบที่เท่าไรผมเองก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าคอยสลับหันไปมองประตู รอว่าเมื่อไรมันจะเปิดออก จนในที่สุดสิ่งที่ผมรอ
คอยมันก็สิ้นสุดลง
“กินข้าวได้แล้วรัมภ์”พี่คินเดินเข้ามาบอกเสียงเรียบ
“อืม”ผมพยักหน้าตอบรับ หลุบตาเมื่อมองเห็นรอยช้ำบริเวณมุมปากของพี่เขา
“ภูผาบอกว่าน้องณินเข้ามาในนี้ เขากวนรัมภ์รึเปล่า”
“ไม่ครับ”ผมส่ายหน้า มองร่างสูงยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางปลดกระดุม
ตอนนี้เริ่มกระดากใจแล้วว่าจะขอโทษยังไงเพราะผมเป็นคนผิดที่ไม่ยอมฟังอะไรจากพี่เขา
ผมเดินเข้าไปใกล้ได้กลิ่นกายประจำตัวของพี่เขาลอยเข้ามาในจมูก เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าแล้วช่วยปลดกระดุมให้ที
ละเม็ด
“ผมช่วย”
“หิวแล้วเหรอ?”
ผมส่ายกับคำถาม คำขอโทษมันติดอยู่ที่ปาก แต่ก็พูดไม่ออกเพราะมันกระดากใจกับรอยช้ำที่มุมปากนั้น
แต่แล้วริมฝีปากนุ่มโน้มลงมากดจูบลงบนหน้าผากทำให้เงงยหน้าขึ้นไปมองพี่เขา ดวงคู่ดุจ้องมองลงมา
“น้องณินเป็นเด็กที่พี่รับมาเลี้ยง น้องณินเป็นลูกบุญธรรม”
“อืม ผมรู้แล้ว”
ผมตอบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดส่งให้
“พ่อแม่น้องณินเสียได้สองปีแล้ว พี่รับน้องณินมาเลี้ยงตอนที่เรายังคบกัน ตอนนั้นน้องณินอายุสองขวบเกือบจะสามขวบ ที่
พี่ไม่ได้บอกกเพราะว่าพี่กลัวว่ารัมภ์จะไม่พอใจเพราะพี่ไม่ได้ถามความสมัครใจจากรัมภ์”
“พี่ไม่จำเป็นจะต้องถามผมถ้าพี่อยากจะทำ”
“ต้องถาม เพราะถ้าพี่ถ้าน้องณินเป็นลูกของพี่ น้องณินก็ต้องเป็นลูกของรัมภ์เหมือนกัน”คำพูดของพี่เขามันทำให้หัวใจของ
ผมสั่นรัว มันเหมือนกับพี่เขากำลังบอกผมว่าเขาแคร์ความรู้สึกของผมทุกเวลาในตอนที่เราคบกัน
“ผม…หลังจากกินข้าวเสร็จผมไปเดินเล่นที่หาดได้รึเปล่า”ผมเบือนหน้าหนีฝ่ามือที่แตะลงมาบนแก้ม
ผมผิดทั้งหมด ทั้งที่หลอกพี่เขา ทิ้งพี่เขา อีกทั้งยังไม่ฟังพี่เขา แล้วทำไมพี่คินถึงยังรั้งผมเอาไว้ ถ้าจะแก้แค้นก็ทำร้ายผม
กลับสิ ไม่ใช่มาเล่นกับหัวใจของผมอย่างนี้ มันสั่นจนผมแทบบ้าอยู่แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------
“พ่อกับน้ารัมภ์จะไปไหน ณินไปด้วยได้ไหม”
“ไปไม่ได้ เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”พี่คินอุ้มน้องณินส่งให้ฟางก่อนเจ้าตัวที่สุดแสนจะพูดมากจะตามออกมา
“มืดแล้วจะไปไหนกันเหรอคะ”
พี่เลี้ยงของน้องณินถามทันที ซึ่งนั่นทำให้ผมมองหน้าเธอ ยังไงพี่คินก็เป็นเจ้านาย ไม่ใช่เรื่องที่เจ้านายจะต้องคอยรายงาน
ลูกน้องว่าจะไปไหนมาไหน ผมดึงแขนพี่คินออกมาก่อนที่จะตอบ ได้ยินเสียงน้องณินเรียกไล่หลังตามมาแว่วๆ
เราเดินมาที่ชายหาดหลังบ้าน ท้องทะเลยามค่ำคืนเงียบสงัดแต่มันก็ไม่ได้สงบ คลื่นน้ำยังคงซัดสาดเข้าหาฝั่ง สายลมพัด
ผ่านพาให้เส้นผมบนหัวปลิวมาปรกหน้า เรสองคนเดินย่ำหากทรายสีขาวด้วยเท้าเปลือยเปล่าวไปเรื่อยๆ
“อย่าใส่ใจเลย น้องณินอาจจะพูดมากไปหน่อย แต่น้องณินเป็นเด็กฉลาด”พี่คินบอกเสียงเบาพลางเกลี่ยปอยผมออกจาก
หน้าของผม ดวงตาคู่ดุในความมืดจ้องลึกลงมาราวกับว่าต้องการจะอ่านใจผม
“พี่…เจ็บไหม”ถามพลางแตะนิ้วลงตรงรอยช้ำบนมุมปาก พี่คินส่ายหน้าเบาๆ
“พี่ผิดเองที่ไม่บอกรัมภ์ก่อน”
“พี่ไม่ผิด ผมต่างหากที่เป็นคนผิด ผมไม่ยอมฟังพี่เอง” ผมหลุบตามองฝืนทราบ มองดูปลายเท้าเปลือยเปล่าของเรากำลัง
แตะกัน “ตอนนั้นผมไม่พอใจมาก แต่ผมไม่ตั้งใจจะทำพี่เจ็บ ผมขอโทษ”
“เวลาขอโทษใครอย่าหลบตาสิ”พี่คินบอกเสียงเบา ช้อนใบหน้าของผมขึ้นมาบังคับให้จ้องตอบนัยน์ตาคู่ดุนั่น ใบหน้า
คมคายเบื้องหน้าค่อยๆโน้มลงมาใกล้ขึ้นจนผมนึกหวั่นกับสิ่งที่พี่เขากำลังจะทำ
“จะทำอะไร”
“พี่จะคิดค่าขอโทษเป็นจูบจากรัมภ์ก็แล้วกัน”รอยยิ้มเล็กๆจุดอยู่ที่มุมปากของพี่เขา แต่ผมก็ผละออกเพราะกลัวว่าคนอื่นจะ
มาเห็น
“ที่นี่ไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ตอนกลางคืนไม่มีใครมาที่นี่”
“กลับไปทำที่ห้องได้ไหม”ผมดันตัวออกจากวงแขนแข็งแรงที่โอบรัด แต่พี่คินเองก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆรั้งผมเข้าไปจนชิด
ถึงแม้ว่าจะผิดและต้องชดใช้ แต่ผมคิดว่ามันมากเกินไปที่จะบังคับให้ผมทำอะไรในที่โล่งแจ้งแบบนี้
ผมพยายามขืนตัวเอาไว้เบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่ฉกจูบลงมาจนมันเบียดเข้าที่แก้ม ผมรู้ว่ายังไงมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะ
ต้องชดใช้ แต่อย่างเดียวที่ผมจะยอมรับไม่ได้ก็คือการที่ผมจะต้องอับอายกับการต้องทำอะไรในที่โล่งๆแบบนี้
ผมไม่รู้ว่าสวรรค์หรือนรก อะไรที่เข้าข้างผมกันแน่ในเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาขณะที่พี่คินกำลังจะจูบผมให้ได้
“บังเอิญจังเลยนะครับ ไม่รู้ว่านายหัวกับน้องรัมภ์ก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกัน”พูดแทรกขึ้นมา เดินออกมาจากมุมมืด
“ไม่มีใครบอกรึไงว่าห้ามคนงานมาเพ่นพ่านที่หาดเวลากลางคืน”พี่คินพูดในเชิงดุ ดวงตาคมปรายตามองไปทางคนงาน
ใหม่ของฟาร์ม
“อา จริงเหรอครับ ผมต้องขอโทษด้วย ไม่มีใครบอกผมเลย ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีกฎแบบนี้ ยังไงก็ขอโทษที่มารบกวนนะ
ครับ”ผงกหัวขอโทษพลางยิ้มแห้ง
“คราวหลังก็จำเอาไว้แล้วกัน”
พี่คินพูดจบก็ดึงผมเดินออกมาจากหาด แต่มันจะบังเอิญหรือว่าอะไรที่ผมหันกลับไปมองพี่ตินเวลาที่พี่คินเผลอด้วยความ
มึนงงว่าพี่เขาโผล่มาได้ยังไง แต่แล้วพี่เขาขยิบตาให้พลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาสองนิ้วเหมือนกับส่งซิกอะไร หรือว่าผมคิดไปเองกัน
แน่ว่าพี่เขาจงใจจะมาขัดพี่คินเอาไว้ แต่ผมก็ยิ้มตอบให้ทั้งที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ครอบครัว 3 ภา จะบอกว่าพี่คินนอกจากจะขี้หวงแล้วขี้งกมาก คิดค่าขอโทษเป็นจูบเลยล่ะ
Numb Girl เด็กหญิงเย็นชา