บทที่ 6 บาดแผล
สามวันแล้วที่ผมยังคงถูกล่มด้วยโซ่ตรวน เสียงของมันยามยามลากเสียดสีกระทบไปกับพื้นห้องช่างบาดหู ถึงแม้ว่ามันจะ
ไม่ได้รัดข้อเท้าของผมแน่นมาก แต่ความพยายามที่จะเอามันออกก็ทำให้ข้อเท้าเริ่มเป็นรอยเขียวช้ำดูน่ากลัว
“ตื่นแล้วเหรอ”น้ำเสียงทุ้มหูทักทาย
มันเป็นเสียงที่อ่อนโยน แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันน่าฟังเอาซะเลย พี่คินดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะจูบลงบนหน้าผากของผม
แผ่วเบา
“ไปอาบน้ำได้แล้ว”
พี่เขาดึงผมให้ลุกดึงเอาโซ่ตรวนลากไปกับพื้นร้าวกับเป็นนักโทษให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ
น้ำอุ่นถูกเปิดให้ไหลผ่านร่างกาย ผมไม่ต้องเสียเวลาถอดเสื้อผ้าเพราะเสื้อผ้าทั้งหมดถูกพี่เขาเก็บไปหมด ปล่อยให้ผม
ต้องเปลือยตลอดเวลาเพราะเขากลัวว่าผมจะหนีไปอีกครั้ง
“น้ำร้อนไปไหม”เขาถามเสียงเบาปรับอุณหภูมิน้ำให้เย็นขึ้นเล็กน้อย ผมได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้พี่เขาทำตามที่ใจอยาก
“เจ็บไหม”เขาถามยามที่สอดนิ้วเข้าไปล้วงเอาของที่คั่งข้างข้างในออกมา ทิ้งให้ผมได้แต่สั่นเล็กๆเมื่อนิ้วนั้นกวาดวนไปทั่ว
กัดฟันให้กับความรู้สึกจุกหน่วงที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น
“ใส่เสื้อผ้าสิ”เสื้อผ้าถูกโยนมาตรงหน้าหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ผมเงยหน้ามองพี่คินเล็กน้อย แปลกใจที่พี่เขายอมให้ผม
ใส่เสื้อผ้า
“วันนี้วันหยุด พี่อยากพักผ่อน”พี่คินบอกแค่นั้นแล้วย่อตัวลงเบื้องหน้า จับข้อเท้าของผมข้างที่ถูกล่ามเอาไว้ขึ้นมาด้วย
ความเบามือ แล้วบรรจงลูบรอยช้ำนั่น
“รัมภ์สัญญากับพี่ได้ไหมว่ารัมภ์จะไม่หนีพี่อีกถ้าหากพี่ปลดโซ่นี่ออก”
คำถามที่พี่เขาเองก็น่าจำรู้คำตอบดีว่ายังไงผมก็ต้องยอม อย่างน้อยก็เพื่อให้ผมยังรู้สึกอยู่บ้างว่าผมไม่ใช่นักโทษที่ต้องล่ม
โซ่เอาไว้ตลอดเวลา ผมพยักหน้าเบาๆ
พี่คินปลดโซ่ออก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจูบลงบนรอยช้ำนั่น ผมสะดุ้งชักเท้าหนี แต่ก็ถูกจับเอาไว้ไม่ให้ขืนหนี
“ไปกินข้าวกัน”
พี่คินดึงมือให้ผมลุก ผมได้แต่เงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ เพราะปกติจะมีคนเอาอาหารมาให้ ถึงแม้ว่าสามวันที่ผ่านมา
ผมจะไม่เจอภูผาเลยก็ตาม
อดไม่ได้ที่ผมจะเป็นห่วงภูผา ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน สีหน้าของภาดูเหมือนกำลังหวาดกลัวและรู้สึกผิด ยามที่ตาคู่นั้นจ้อง
มองผมในตอนที่พี่คินกำลังกอดผมอย่างป่าเถื่อน
“แล้วภูผาล่ะ”ผมถามถึงภูผาเมื่ออดเป็นห่วงไม่ได้
“โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ภูผาต้องไปเรียน”ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภูผาถึงไว้ผมทรงสกินเฮด
“ไม่ได้ทำอะไรภูผาใช่ไหม”
“พี่ไม่มีสิทธิทำอะไรภูผา ภูผาไม่ใช่คนของพี่ ถ้ารัมภ์เป็นห่วงภูผานักก็จำไว้ว่าอย่าดึงใครเข้ามาเดือดร้อน”
“ภูผาไม่ผิด”
“เรื่องนั้นรัมภ์ไม่จำเป็นต้องบอกพี่ เพราะพี่ไม่ใช่คนตัดสิน”พี่คินเสียงแข็งมากขึ้นเมื่อผมพูดถึงภูผาบ่อยครั้ง “วันนี้วันเสาร์
บางทีรัมภ์อาจจะได้เจอภูผา”
“ผมจะโทรหาแม่ได้อีกไหม”ผมถามเมื่อพี่คินเคยขู่เอาไว้เรื่องโทรศัพท์
“รัมภ์สามารถโทรหาแม่ได้ แต่ก่อนอื่นรัมภ์จะต้องลงไปกินข้าวกับพี่ก่อน”
ผมพยักหน้ารับทันทีแล้วเดินตามพี่คินลงมายังชั้นล่าง จนถึงในครัว พี่คินดันให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าเป็นโต๊ะกินข้าว
แล้วก็ตามที่พี่คินได้บอกเอาไว้ ผมเหลือบมองภูผาที่ทยอยยกกับข้าวมาวางลงบนโต๊ะทีละอย่าง ข้อมือทั้งสองข้างพันผ้า
พันแผลเอาไว้ รวมถึงที่คอเองก็มีผ้าพันแผล
ผมได้แต่มองตามจนรู้สึกว่าพี่คินเริ่มไม่พอใจ ถึงได้ละสายตาลงมามองจานข้าวของตัวเอง ปล่อยให้ภูผาและผู้หญิงอีกคน
ที่ดูเหมือนจะเป็นแม่บ้านยกข้าวมาให้
น่าแปลกใจที่กับข้าวตรงหน้าเป็นกับข้าวที่ผมชอบทั้งหมดทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าพี่เขา
“กินสิ รัมภ์น่าจะชอบ พี่สั่งทำให้รัมภ์โดยเฉพาะเลยนะ”พี่คินยังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่สายตาที่จ้องมาเหมือนกับ
เป็นการบังคับซะมากกว่า
เผลอแปบเดียวภูผากับผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความอึดอัดสองต่อสองกับพี่เขา กับข้าวที่ถึงแม้จะ
เป็นของชอบ แต่ก็ดูฝืดคอจนรู้สึกว่ามันไม่อร่อย
ในที่สุดผมก็คว่ำช้อนลองเพราะกินต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ผมลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับไปที่ห้อง ทว่าข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้ ดึง
ให้ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม
“พี่ยังกินไม่เสร็จ!!”
สั้นๆแต่ได้ใจความ และผมก็ต้องฟังคำสั่งของพี่เขา เพื่อที่จะได้ใช้โทรศัพท์ตามที่ต้องการ
รอจนพี่คินกินเสร็จ ผมถึงได้ลุกจากเก้าอี้อีกครั้งแล้วเดินตรงไปที่บันไดเพื่อกลับไปที่ห้องตัวเอง ถึงแม้จะแปลกใจที่พี่คิน
ยอมให้ผมออกมาจากห้อง พาผมลงมากินข้าวในครัว แต่ยังไงผมก็รู้ดีว่าผมก็ต้องกลับไปอุดอู้อยู่ในห้องนั่นอีก
“จะไปไหน”
แทนคำตอบผมเหลือบมองชั้นบนของตัวบ้าน แต่พี่คินส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา ดึงให้ผมเข้าไปในห้องรับแขก ก่อน
จะหยิบรีโมทกดเปิดทีวี เป็นรายการที่ผมคุ้นตาดี เพราะชอบดูกับแม่ในวันหยุดตอนที่ช่วยแม่รับลูกค้าที่มาสั่งอาหาร
“รัมภ์รู้ใช่ไหมว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด”โทรศัพ?ถูกหยิบออกมาโชว์อยู่เบื้องหน้า
ผมพยักหน้าแล้วรับมันมาไว้ในมือ รีกดเบอร์ที่จำได้ต่อหาปลายสายทันที
“ฮะ ฮัลโหลแม่”ผมกรอกเสียงลงไป พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
‘รัมภ์เหรอลูก เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม รัมภ์ไม่เห็นบอกแม่เลยว่าเจ้านายรัมภ์ที่เขาให้รัมภ์ไปฝึกงานเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย’แม่
พูดในสิ่งที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว เกร็งตัวเล็กน้อยเมื่อถูกดึงให้ขึ้นไปนั่งเกยตักในแบบที่ผมไม่ชอบ
“ระ รัมภ์ยังไม่ได้บอกแม่เหรอ”
‘ขี้ลืมจริงๆลูกคนนี้ แม่เองก็เพิ่งจะรู้เอาตอนที่พี่เขามาหาแม่เมื่อสี่ห้าวันก่อน แถมเอารังนกมาให้แม่ต้มกินอีก’
“เขาไปหาแม่เหรอ”ผมหันหน้าไปมองพี่คินด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที
แค่ผมเขายังไม่พอใจอีกรึไง ถึงได้ไปยุ่งกับครอบครัวผมแบบนั้น
‘ใช่จ๊ะ เขามาหาแม่ บอกว่ารัมภ์สบายดี แล้วก็เอาเงินเดือนที่รัมภ์ฝากเขามาให้แม่แล้วนะ’
“งะ เงินเดือนอะไร”
‘อ่าว เจ้าลูกคนนี้ จำไม่ได้รึไงว่าตัวเองเอาเงินเดือนฝากพี่เขามาให้แม่’
“อื้อ รัมภ์ลืมน่ะแม่ แล้วแม่ไปหาหมอวันนั้นหมอว่าไงบ้าง”
‘แม่ไม่เป็นไร หมอแค่บอกว่าแม่พักผ่อนน้อย เพราะแม่เปิดร้านดึก แต่เดี๋ยวนี้แม่ปิดร้านเร็วแล้วนะ สี่โมงเย็นแม่ก็ปิดแล้วล่ะ
บังเอิญมีบริษัทอะไรสักอย่างเนี่ยแหละมาผูกปิ่นโตข้าวกล่องแม่ทุกวันวันละหลายสิบกล่องให้แม่ทำไว้แล้วเขาก็มารับเอาไปตอน
สิบโมงไปให้พนักงาน แม่เลยมีเวลาพักผ่อนเยอะกว่าเดิม รัมภ์ไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะ เงินเดือนๆหน้าก็เก็บเอาไว้ใช้ เอาไว้ซื้อ
ของที่อยากได้’
“อื้อ แม่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”ผมบอกเสียงสั่น ผมไม่คิดว่าร้านขายออาหารตามสั่งเล็กๆจะมีคนมาสั่งข้าวกล่องอะไรทุก
วันขนาดนั้น มันเป็นการบังเอิญที่จงใจเกินไป
‘เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ แม่ต้องทำข้าวกล่องอีก เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันตอนเขามารับ’
“อืม แม่อย่าลืมดูแลตัวเองนะ”
‘รัมภ์เองก็ดูแลตัวเอง อย่าลืมห่มผ้าล่ะ แม่คิดถึงรัมภ์นะ’
“รัมภ์ก็คิดถึงแม่”ผมตอบเสียงพร่าก่อนปลายสายจะตัดไป กระบอกตารู้สึกร้อนผ่าวราวกับน้ำตาที่พยายามกักเก็บเอาไว้
กำลังจะเอ่อล้น
“พี่ทำบ้าอะไร พี่ไปหาแม่ผมทำไม”ผมสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนที่กอดรัด ลุกขึ้นมาจ้องหน้าพี่เขาด้วยความไม่พอใจที่เขา
ล้ำเส้นจนเกินไป “แล้วข้าวกล่องอะไรนั่นฝีมือพี่ใช่ไหม ถ้าพี่คิดจะเล่นอะไรล้ำเส้นอยู่ล่ะก็ หยุดเดี๋ยวนี้ อย่ามายุ่งกับครอบครัวผม”
เพราะผมมีแม่เหลือแค่คนเดียวในโลกนี้
“พี่กำลังช่วยรัมภ์ไง ไม่ดีรึไงที่แม่รัมภ์จะได้พักผ่อน”
“ถ้าพี่อยากจะช่วยผมพี่ก็ปล่อยผมไปสักที”
“รัมภ์ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่ไม่ยอมปล่อยรัมภ์ไปเด็ดขาด”น้ำเสียงแข็งกร้าวตวาดดังก้องก่อนจะดึงผมให้กลับไปนั่งบนตัก
กว้าง
“ผมบอกว่าผมไม่ชอบ!!”ผมขืนตัวเอาไว้
“วันนี้วันหยุด พี่อยากพักผ่อน รัมภ์อย่าดื้อได้ไหม”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่พี่คินก็ยอมปล่อยมือให้ผมนั่งลงข้างๆแทนที่จะนั่งบนตักของเขา
“ครบสามเดือนผมจะคืนเงินที่พี่เสียไปทั้งหมด”
“พี่ไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่พี่ต้องการอย่างอื่นคืน”
นั่นคือคือคำตอบของพี่เขา และมันก็เป็นเหมือนเดิม เหมือนเดิมที่ผมไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการอะไรจากผม
-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8
“ชอบไหม”เสียงกระซิบถามแข่งกับเสียงของลมทะเลที่พัดเข้าฝั่งจนผมที่เริ่มยาวปลิวมาปกหน้า
“อืม”ผมพยักหน้าตอบรับย่ำฝ่าเท้าลงไปบนฝืนทรายขาวเม็ดละเอียด
“ถ้ารัมภ์ชอบพี่จะพารัมภ์มาบ่อยเท่าที่รัมภ์ต้องการ”พี่คินบอกก่อนจะเดินมาชิดด้านหลังจมูกโด่งเฉียดแก้มผมไปแค่นิด
เดียวทำให้ผมสะดุ้งหันไปมองรอบๆเพราะยังมีคนงานหลายคนเดินอยู่แถวนี้
“อย่า”
“กลัวคนอื่นเห็น?”
พี่คินถามแต่ผมไม่ตอบหลุบตามองพื้นทรายเบื้องล่างเมื่อเห็นคนงานสองคนกำลังมองอยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะรู้กัน
หมดแล้วว่าผมเป็นใคร และที่ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกกลับไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวได้แต่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ
“คนที่นี่เขารู้ว่ารัมภ์เป็นอะไรสำหรับพี่”พี่คินกระซิบดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะจูบลงบนแก้มเบาๆ
ทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาที่ต้องคอยทำตามที่พี่เขาสั่ง
“กลับกันเถอะ วันนี้ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย ไว้วันอื่นพี่จะพารัมภ์มาเล่นน้ำ”
ผมเหลือบมองประโยคสุดท้ายด้วยความสนใจทำให้พี่คินยิ้มออกมาเล็กๆ เขารู้ว่าอะไรที่ทำให้ผมสนใจ อะไรที่ทำให้ผมไม่
พอใจ สามเดือนที่เราเคยคบกันทำให้เราต่างก็ศึกษาซึ่งกันและกันมากพอ
หลังจากวันนั้นที่โซ่ถูกปลดออกไป พี่คินยอมให้ผมออกมาจากห้องเวลาที่เขาอยู่โดยที่มีเขาคุมอยู่ใกล้ๆ ผมถูกอนุญาตให้
เดินไปมาภายในบ้าน แต่ห้ามออกกไปข้างนอกหากไม่ได้รับอนุญาต ผมจะเจอกับภูผาแค่วันเสาร์กับอาทิตย์ แต่ถึงอย่างนั้นพี่คิ
นก็มักจะจับจ้องเอาไว้ด้วยสายคาดุดัน บังคับไม่ให้ผมเข้าใกล้ภูผาเกินเหตุ
สองอาทิตย์แล้วที่พี่คินปล่อยให้ผมเดินไปมาในบ้านเวลาที่เขาอยู่ ยอมให้ผมคุยกับพี่นุ่มซึ่งเป็นคอยดูและเรื่องอาหารและ
เรื่องความสะอาดในบ้านหลังนี้เวลากลางวันและจะเลิกงานกลับบ้านในเวลาห้าโมงเย็นของทุกวัน ทำให้ผมรู้ว่าในเวลากลางคืน
ผมจะถูกทิ้งให้อยู่ในบ้านหลังนี้กับพี่คินสองคนเท่านั้น
แล้ววันนี้พี่คินก็ทำให้ผมแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมถูกพานอกฟาร์มสานรัก มาหยุดอยู่ที่ตลาดนัดของหมู่บ้านซึ่งมีทุกเย็น
ของวัน
“พาผมมาที่นี่ทำไม”ผมถาม
“ต่อไปนี้รัมภ์จะต้องเป็นคนทำกับข้าวเอง”
“พี่นุ่นเป็นคนทำอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”ผมเบือนหน้าหนี
ไม่รู้ว่าพี่เขาจะเอายังไงกันแน่ แค่ขังริบอิสระของผมไปมันก็พอแรงอยู่แล้ว แล้วนี่ยังจะบังคับให้ผมทำกับข้าวอีก
“พี่อยากกินกับข้าวฝีมือรัมภ์”พี่คิดตัดบทพาดึงมือผมให้เดินตามไปยังแผงขายผัก ซึ่งป้าคนขายก็ยิ้มทักพี่คินด้วยภาษาใต้
อย่างสนิทสนม
ผมเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาดูกร้านขึ้นเล็กน้อยจากสีผิวที่เข้มขึ้นและหนวดเคราที่เริ่มขึ้นครึ้ม อาจจะเป็นเพราะพี่คิน
ดูคมผิวเข้มเป็นทันเดิมเหมือนคนใต้อยู่แล้วจึงทำให้ยิ่งดูเถื่อนเข้าไปอีกเมื่อไม่ได้ใส่ใจกับไรเคราดกบนใบหน้า
“เลือกสิ”คำสั่งที่ผมขัดไม่ได้ จำใจเลือกผักหลายอย่างใส่ตะกร้าส่งให้ป้าคนขาย
แล้วก็ต้องยิ้มตอบเมื่อป้าเขายิ้มให้ผมเหมือนกับคุ้นเคย แล้วรับถุงผักมาถือไว้
“พ่อหนุ่มนี่หน้าตาดีเนอะ มิน่านายหัวถึงหวงนักหวงหนา”สำเนียงออกแปร่งๆชวนคุย
“ครับ”ตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีโอกาสและไม่คิดที่จะอธิบายอะไร
ถุงผักถูกดึงไปถือแทนส่วนมือของพี่เขาอีกข้างก็ยังคงจับจูงให้ผมเดินตามไปยังเขียงหมู
เหมือนเดิม พี่คินยังคงทักลุงคนขายหมูด้วยภาษาใต้ ซึ่งผมไม่คิดจะสนใจฟังบทสนทนาเพราะคิดว่าคงฟังไม่ออกอยู่แล้ว
“เอาแบบไหนดี”พี่คินถามดันให้ผมเลือกเนื้อหมูส่วนต่างๆวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้า”
“เอาสันในชิ้นนี้ก็ได้ครับ แล้วก็สามชั้นชิ้นนี้”ผมจิ้มนิ้วไปที่ชิ้นเนื้อที่คิดว่าสวยที่สุดในแผง ได้วิชาเลือกของสดมาจากแม่
เพราะไปช่วยแม่ถือของจ่ายตลาดตอนเช้ามืดบ่อย
“นอกจากจะตาน้ำข้าวแล้วยังตาถึงอีก มิน่านายหัวถึงไม่ปล่อยไปไหน”อีกแล้วที่ทั้งถูกชมและเหมือนถูกมองในแบบที่
ทำให้รู้สึกละอายใจในคราวเดียวกัน
ผมรับถุงหมูมาถือไว้ และเหมือนเดิมพี่คินแย่งมันไปถือเอง ตลอดเวลาที่เดินอยู่ในตลาดนัดตอนเย็น รู้สึกเหมือนมีสาย
หลายคู่จ้องมองเหมือนตัวประหลาด พยายามคิดว่าที่เขามองผมเป็นเพราะผิวที่ขาวจัดกับสีตาและสีผมที่ได้มากพ่อ ไม่ใช่ใน
ฐานะอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่คิน
สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนทำกับข้าวแทนพี่นุ่มไปโดยปริยาย พี่คินจะออกไปทำงานในเวลาสิบโมงเช้าของทุกวันและจะ
กลับมากินข้าวกลางวันในเวลาบ่ายโมงเลิกงานห้าโมงเย็นซึ่งผมจะต้องคอยเตรียมสำรับข้าวรอพี่เขาสามมื้อต่อวัน ทำเหมือนผม
เป็นแม่บ้านของพี่เขาที่ต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินภายในบ้าน
“พี่กลับก่อนนะรัมภ์”พี่นุ่มบอกลาเมื่อถึงเวลาเลิกงาน
น่าแปลกที่พี่คินยังไม่กลับทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าที่จะหนีอีกแล้ว จำนวนเงินที่ระบุในสัญญา
มันมากเกินไป อีกอย่าง ผมกลัวว่าพี่คินจะพาลไปลงกับแม่ที่อยู่คนตัวเดียว
ในระหว่างที่กำลังเปิดตู้เย็นเพื่อดูของสดในตู้เตรียมทำมื้อเย็น เสียงกุกกักที่หน้าประตูหลังบ้านเรียกให้ผมหันไปมองด้วย
ความสงสัยคิดว่าเป็นพี่คิน แต่กลับไม่ใช่
“อะ เอ่อ ผมลืมของเอาไว้เมื่อวันก่อน”ภูผาบอกเสียงขาดหาย ใบหน้าคมดูลำบากใจเมื่อผมจ้องอยู่
“เดี๋ยวสิ อย่าพึ่งไป”ผมรั้งแขนภูผาเอาไว้
“พี่ มีอะไรรึเปล่า”
“พี่คิน เอ่อ พี่หมายถึงนายหัวของภูผา เขาไม่ได้ทำอะไรเราใช่ไหม”ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะภูผาดูเกรงกลัวขึ้น
เยอะเวลาที่เข้าใกล้ผม
“ไม่ นายหัวไม่ได้ทำอะไรผม พี่ไม่ต้องห่วง นายหัวภาคินไม่ใช่คนเลว”ภูผาส่ายหน้า “แล้ว เอ่อ พี่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม นาย
หัวภาคินเป็นคนใจดี ถ้าพี่เชื่อฟังนายหัวจะดีกับพี่”
“เรื่องนั้นพี่รู้”ผมพยักหน้า หลายวันที่ผ่านมาผมเรียนรู้แล้วว่าหากผมเชื่อฟังเขาเขาจะให้ในสิ่งที่ผมต้องการและเขาให้ได้
“ผม ไม่ได้ตั้งใจมองพี่วันนั้น”ภูผาบอกเสียงแผ่ว เรื่องราวในคืนนั้นวนเวียนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง
“ช่างมันเถอะ ภูผาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พี่ไม่อยากดึงภูผามาเดือดร้อน”
“ผมเข้าใจดีว่าการถูกขังเอาไว้มันเป็นยังไง ที่ผมช่วยพี่ผมเต็มใจ พี่ไม่ต้องห่วง ผมต้องกลับแล้ว ไว้วันเสาร์ผมจะมาใหม่”
“อืม”ผมพยักหน้ารับเมื่อภูผาดูกังวลกับเรื่องเวลา
“คุยอะไรกัน”ทันทีที่ภูผาเดินออกไปทาประตูหลัง เสียงไถ่ถามก็ดังขึ้นมา หันไปมองนัยน์ตาคู่คมกริบจ้องมองมาเหมือน
กำลังจับผิด
วันนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากทุกทีเมื่อพี่คินดูเหมือนจะหงุดหงิดกับอะไรมาก่อนหน้านี้
“ภูผามาเอาของที่ลืมไว้”ผมรีบตอบไปตามความจริงเพราะกลัวว่าภูผาจะซวยเดือดร้อน
“แค่นั้น?”
“อืม”ผมพยักหน้า
“พี่มีอะไรจะถามรัมภ์”พี่คินดึงแขนให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนจะเปิดรายการข่าวช่วงเย็นทิ้งเอาไว้
“รัมภ์รู้จักคนในรูปนี้ไหม”กระดาษเอสี่หลายแผ่นถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า แต่ละแผ่นปริ้นรูปที่เหมือนจะตัดมาจากกล้อง
วงจรปิดในนั้นมีรูปของผู้ชายร่างสูงอายุประมานสามสิบกว่าๆท่าทางเหมือนกำลังติดต่อกับพนักงานที่เค้าน์เตอร์ของฟาร์มสานรัก
“ไม่”ผมส่ายหน้ายื่นรูปพวกนั้นคืน
“รัมภ์แน่ใจนะว่ารัมภ์ไม่รู้จัก”พี่คินคาดคั้น
ผมได้แต่พยักหน้า จ้องตอบดวงตาคู่ดุที่มองมาเหมือนกับกำลังจับผิด ก็แล้วทำไมผมถึงจะต้องรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยในเมื่อ
ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้น
“ผู้ชายคนนี้มาถามหารัมภ์ที่ออฟฟิต พี่อยากรู้ว่าเขารู้ได้ยังไงว่ารัมภ์อยู่ที่ฟาร์มสานรัก”
“ผมไม่รู้”ผมตอบเสียงแข็งเมื่อถูกคาดคั้น ในเมื่อผมยืนยันไปแล้วว่าผมไม่รู้จักกับผู้ชายในรูป ทำไมพี่เขาจะต้องทำเหมือน
กับกำลังจับผิดทั้งที่ผมไม่ผิด
“ถ้ารัมภ์ยืนยันแบบนั้นพี่ก็จะเชื่อรัมภ์”พูดจบพี่คินก็ถึงผมเข้าไปใกล้เหมือนทุกครั้งที่ทำเวลาที่กลับมาจากทำงาน ดึงผม
เข้าไปกอดแล้วก็จูบลงมา
แต่ครั้งนี้กลิ่นสาบแปลกๆปะปนกับกลิ่นดินที่ติดมากับตัวของพี่เขาทำให้ผมขืนตัวออก
“รัมภ์เหม็น?”
ผมพยักหน้ามองดูพี่เขาก้มลงดมเสื้อของตัวเอง วันนี้พี่คินอยู่ในชุดทำงานที่รัดกุมเหมือนชุดของคนงานคนอื่นๆไม่เหมือน
ทุกวันที่อยู่ในชุดสุภาพดูสุขุม
“พี่เข้าไปดูนกในถ้ำมา เห็นคนงานบอกว่าช่วงนี้นกหายไปเยอะผิดปกติ”
“อืม”ผมพยักหน้าเตรียมลุกขึ้นเพื่อจะไปทำกับข้าว
“จะไปไหน รัมภ์ยังไม่ได้ทักทายพี่”
ถูกดึงมือเอาไว้ให้หันกลับไปแล้วตอบรับจูบทั้งที่กลิ่นดินยังปะปนติดอยู่บนร่างกายของพี่เขา
นานนับหลายนาทีจนพี่เขายอมปล่อยผม แล้วเดินขึ้นชั้นบนเพื่ออาบน้ำ ทิ้งเวลาให้ผมได้ทำกับข้าวเตรียมเอาไว้สำหรับมื้อ
เย็น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆนายหัวของเราเค้าเป็นคนอ่อนโยนนะ ส่วนน้องรัมภ์เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำยังไง