-10-
-ซูกัส-
ผมเคยคิดว่าคนป่วยก็ทานอาหารปกติได้มาตลอด แม้อาหารของโรงพยาบาลจะจืดกว่าอาหารที่คนทั่วไปกินกันก็ตาม แต่หลังจากผ่าตัดฝังมดลูกเทียมแล้วผมทานข้าวไม่ได้เลยสองวัน ได้ทานแต่อะไรก็ไม่รู้ที่หมอเรียกว่า “อาหารน้ำ” วันละ5-6 รอบ ถึงได้เข้าใจคำว่า “นอนหยอดน้ำข้าวต้ม” เป็นยังไงเอาตอนนี้แหละ! อยากจะขอบใจหมอที่ช่วยชี้ทางสว่างเสียจริง! แต่ถึงจะบ่นก็เถอะ ถ้าเพื่อลูกของเราแล้วล่ะก็เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ อีกอย่างหมอก็วางแผนไว้อย่างดีเลือกผ่าตัดฝังมดลูกตอนปิดเทอมหนึ่งของปีสี่ ผมเลยมีเวลาพักผ่อนเยอะไม่มีผลกระทบกับการเรียน แต่ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องราวมันจะบานปลายกว่าที่คิด!
“ซูกัสเป็นยังไงมั่งลูก...” เสียงคุณแม่เอ่ยถามทันทีที่ท่านเปิดประตูห้องนอนพิเศษของคลินิกที่ผมกะจะใช้พักฟื้นเงียบๆ เข้ามาด้วยอาการตกใจเกินเหตุ รีบเดินเข้ามายืนข้างเตียงแล้วจับมือผมไปกุมไว้ เหมือนดั่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้รับอุบัติเหตุปางตาย (ถึงอาการตอนนี้เกือบใกล้เคียงก็เถอะ!)
“เอ๊ะ...แม่มาได้ยังไง?” ผมถามอย่างแปลกใจแล้วก็หันไปมองหน้าพี่แคนดี้ที่ตามแม่มาด้วย
“ไม่กลับบ้านเกือบอาทิตย์ โทรมาก็ไม่รับสาย ไม่สบายทำไมไม่บอก!” แม่ดุซะดังลั่น จนผมได้แต่เงียบ ทั้งที่ในใจนึกเถียง ถึงผมจะเป็นอะไรไป ถ้าพี่แคนดี้ไม่บอก กว่าพ่อกับแม่จะรู้คงผ่านไปเป็นเดือนแล้วล่ะมั้ง เพราะที่ผ่านมาคุณพ่อมักจะยุ่งอยู่กับงาน ส่วนคุณแม่มักจะสนใจแต่งานเลี้ยงและการเข้าสังคมไม่เคยใส่ใจผมเลยสักนิด นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ผมสนิทกับพี่แคนดี้มาก
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ” ผมตอบสั้นๆ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว โชคดีนะที่มีแฟนเป็นหมอเก่ง เลยผ่าตัดได้ทันก่อนไส้ติ่งจะแตกไปซะก่อน” คำพูดของคุณแม่ทำเอาผมขมวดคิ้วมุ่น จากผ่าตัดฝังมดลูกไหงมันกลายเป็นผ่าตัดไส้ติ่งอย่างนั้นล่ะ?
“ฮะ อะไรนะ?” ผมทำหน้าเหวอหนัก ไอ้เรื่องที่พูดมานั่น สาบานเลยว่าผมไม่เคยเล่าให้ท่านฟังแน่ๆ แต่พอเห็นหน้ากลั้นหัวเราะของพี่แคนดี้แล้วก็เข้าใจ จับตัวคนร้ายได้โดยไม่ต้องสืบ!
“จะอะไร มีแฟนก็ไม่บอก ป่วยก็ไม่บอก ทำไมทำตัวห่างเหินขนาดนี้นะซูกัส ดีนะที่แคนดี้บอกแม่ ไม่งั้นถ้าลูกชายหนีตามใครไปก็คงยังไม่รู้!!” เฮ้ย! แรง!!! ทำไมคุณแม่พูดตรงและแทงใจดำขนาดนี้
“โธ่แม่...”
“ไม่ต้องมาโธ่หรอก เอาไว้พ่อเรากลับจากสิงคโปร์ก่อนเถอะ!”
อะไร? นี่แม่มาคนเดียวยังไม่พอ จะพาคุณพ่อมาอีกเหรอ?
“แล้วนี่... ไหนคุณหมอที่ว่า... ชื่ออะไรนะดี้”
“ว่านค่ะ พี่หมอว่าน..” พี่แคนดี้ตอบแม่ออกไปด้วยรอยยิ้ม พี่แคนดี้เพิ่งจะอายุ 27 ปีนี้ และเธอก็เรียกหมอว่านว่า “พี่หมอ” แบบที่ผมไม่เคยเรียกเลยสักครั้ง
“หมอไปเรียนครับ เดี๋ยวก็คงมา” ผมตอบ
“อ้าวยังเรียนไม่จบอีกเหรอ? ไหนว่า 30 กว่าแล้วไง” แม่หันไปไล่บี้เอากับพี่แคนดี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนตอบไมได้ เลยหันมาทางผมต่อ ผมเลยต้องตอบเสียเอง
“เรียนเฉพาะทางต่อยอดน่ะครับ จบไปก็เป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว”
“ตกลงหมอเค้า... เป็นหมอผู้ชายจริงๆ ใช่ไหม?” คราวนี้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง...
“ครับ...”
“กัส....” แม่เรียกแล้วมองหน้าผมนิ่งนานเหมือนมีบางอย่างจะพูด ผมเดาออกว่าแม่จะพูดอะไร เลยยั้งท่านไว้เสียก่อน
“ผมรู้ว่าพ่อกับแม่อาจจะไม่ชอบ... แต่ผมกับหมอรักกันจริงๆ เราไม่ใช่เด็กที่คิดอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เราคิดไปไกลมากกว่านั้น คิดไปถึงการสร้างครอบครัวแล้วด้วยซ้ำ ผมอยากให้แม่เข้าใจนะ...”
“แม่เข้าใจ แม่รู้จักกัสดี ลองปักใจอะไรไปแล้วก็วิ่งหัวชนฝาจนกว่าจะได้นั่นแหละ แต่แม่ไม่ยังไม่รู้จักหมอ... ไว้พ่อกลับมาก่อน แล้วหมอพร้อม พาไปพบคุณพ่อด้วย”
“ครับ...” ผมรับคำ อย่างจำใจ พลางคิดต่อ.. ทำไมมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นล่ะ!
แม่กับพี่แคนดี้กลับไปแล้ว ปล่อยผมอยู่กับนางพยาบาลที่หมอจ้างมาดูแล เกือบสามทุ่มแล้ว ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สั้นและเอกสารบางอย่างในมือเหมือนกับทุกๆ วัน ผมหันไปมอง พบว่าเป็นหมอจึงลดแทบเลตที่แอบขอให้พี่แคนดี้เอามาให้เล่นแก้เซ็งลงยัดไว้ใต้ผ่าห่มอย่างเร่งร้อน…. กลัวหมอด่า! แต่เห็นสายตาที่ส่งมาทิ่มแทงก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าไม่ทัน...
“บอกให้พักผ่อน... ยังจะเล่นอีก!” หมอเดินเข้ามายืนข้างเตียงแล้วดุผม ทำไมฟังแล้วน่ารักมากกว่าน่ากลัวกันนะ
“เพิ่งจะเล่นก่อนหมอมาไม่ถึงห้านาทีเอง” ผมตอบ แอบไขว้นิ้วใต้ผ้าห่มเพราะโกหก
“ทานข้าวได้แล้วใช่ไหม” หมอถามระหว่างที่อ่านเอกสารในมือต่อไปอีกบ่นพึมพำ “ไม่มีไข้ ความดันปกติ....”
“ครับ แต่อยากกินอย่างอื่นมากกว่าข้าวต้มแล้วอ่ะหมอ”
“อาหารอ่อนมันย่อยง่ายดี...”
“กัสเบื่อ...” ผมบ่นงุ้งงิ้งส่งสายตาออดอ้อน ที่หมอเห็นแล้วก็ยิ้มขำ
“อยากกลับบ้านหรือยังครับคนไข้...”
“อือ...ใจนึงก็อยาก อีกใจนึงก็ไม่”
“ทำไมล่ะ...”
“หมอหล่อ เลยอยากอยู่กับหมอมากกว่า” ผมบอกแล้วส่งสายตาหวานเชื่อม หมอเหล่ตามามองแล้วก็ยิ้ม...ยิ้มแบบหมอ... ซึ่งผมโคตรชอบเลย ยิ้มแบบคิดอะไรบางอย่างในใจ
“จนป่านนี้แล้วนะกัส” คุณหมอเอ่ยลอยๆ ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่จากแก้มผม ค่อยๆ โน้มตัวลงมาหา “ยังไม่เลิกอ่อยหมออีก”
อะฮ้า... นี่ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ชมหมอนิดเดียวเอง ทำไมหมอหาว่าอ่อยไปได้
แต่ถึงหมอจะว่ายังไงผมก็ไม่สนหรอก ถ้าผลของมันคือการที่หมอก้มลงแตะปากสวยนั่นลงบนปากซีดๆ ของคนไข้อย่างผม หัวใจของผมเต้นรัว ยิ่งจูบนั่นลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไรยิ่งชุ่มชื่นและมีความสุข จนตามมาด้วยเจ็บแปล๊บแถวหน้าท้อง
“อื๊อ..ซื้ด...” ผมเผลอร้องขึ้นเมื่อหมอผละริมฝีปากนั่นออกไป
“เป็นอะไร?” คำถามดูแปลกใจในอาการของผม
“เจ็บแผล...”
“จูบที่ปากทำไมเจ็บแผล อ๋อ... สงสัยกัสคงเกร็งหน้าท้องล่ะมั้ง” แล้วหมอก็หลุดหัวเราะ “ขอโทษนะ ไม่จูบละก็ได้”
ไม่เอาสิหมอ อย่าเอาความสุขเล็กๆ ของคนไข้ไปเลย คราวหลังกัสจะไม่โอดครวญอีกแล้ว... ฮือ....
แล้วหมอก็หันไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง แสดงว่าเลิกราวด์วอร์ดแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนตัวเองเป็นญาติคนไข้แทน
“หมอ...วันนี้แม่มาด้วยล่ะ” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ
“แล้วท่านว่ายังไงบ้างล่ะ?” ถามกลับเรียบๆ ไม่มีทีท่าตกใจอะไรสักนิด
“ก็ถามว่าทำไมไม่บอกว่าผ่าตัดไส้ติ่ง เฮ้อ... ถึงจะโกหกก็เถอะแต่ความจริงพี่แคนดี้ไม่น่าบอกแม่เลย”
“หมอเป็นคนให้แคนดี้บอกคุณแม่เองแหละ”
“อ้าว...ทำไมล่ะหมอ?”
“ก็ท่านถามว่าซูกัสหายไปไหนตั้งหลายวัน จะให้โกหกว่าไปเรียน อยู่มหาวิทยาลัยนี่ก็ช่วงปิดเทอม แล้วอีกอย่างกัสก็ไม่สบายอยู่ หมอก็ไม่ค่อยอยู่ เลยคิดว่าบางทีถ้ามีแม่มาเยี่ยมกัสอาจจะรู้สึกดีก็ได้”
“ซะที่ไหนล่ะหมอ ผมล่ะโคตรอึดอัดเลย ยิ่งแม่รู้เรื่องหมอแล้วด้วย ไหนจะพ่ออีก ยังบอกอีกนะให้หมอไปหา ผมคิดทั้งวันจนหัวจะระเบิดอยู่แล้วว่าจะอธิบายยังไงดีท่านถึงจะเข้าใจกันน่ะ”
“ไม่เอา...ไม่เครียดนะครับ ความเครียดน่ะไม่ดีต่อร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดโรคตั้งหลายอย่าง กัสน่ะอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว ที่เหลือหมอจะจัดการเอง ถึงหมอจะเป็นสายวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่กัสเชื่อใจหมอได้...” ผมกระพริบตาปริบๆ มองหน้าหมอ ทำไมนะรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นยังฉาบไว้ตลอดเวลา ราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ร้อน นี่หมอมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าพ่อกับแม่ผมจะไม่คัดค้านเรื่องของเราน่ะ...
“ร่างกายปกติ ฟื้นตัวดี ไม่มีอาการแทรกซ้อน อาทิตย์หน้า หมอจะให้กลับบ้านแล้วนะ”
“ครับหมอ”
“แล้วถ้าคนไข้ออกจากคลินิกแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนครับ?”
“จะที่ไหนล่ะถ้าไม่ใช่ที่บ้าน?”
“หมอหมายถึง... จะไปอยู่บ้านตัวเอง หรืออยู่บ้านสามีครับ?” ฮื้อ...หมอ...

++++++++++
ม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะบริหารธุรกิจตอนช่วงสายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ผมนั่งฟังกลุ่มเพื่อนสามสี่คนเม้าท์นั่นนี่ไปเรื่อยๆ ระหว่างรอเวลาเข้าเรียนวิชาต่อไป
กึ่ก… แก้วกาแฟสตาร์บัคส์วางลงตรงหน้า ผมค่อยๆ ขยับศีรษะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของนักศึกษาชายคนหนึ่งซึ่งจัดว่าหน้าตาหล่อพอใช้ ผู้ซึ่งอาจหาญจะจีบหนึ่งใน “คู่เบี้ยน” ประจำคณะได้ลง
“พี่กัส... ผมซื้อมาฝากครับ” เอ...ถ้าเรียกว่าพี่แสดงว่าเป็นรุ่นน้อง ทำไมหน้ายังกะเรียนปี 5 ก็ไม่รู้
“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับพร้อมรอยยิ้มหวาน ไสแก้วไปให้คนข้างกาย “รู้ได้ยังไงนะว่าเพื่อนพี่ชอบสตาร์บัคส์มาก วันหลังซื้อมาอีกนะครับ รสไหนก็ได้หมด”
“เอ่อ...” ชายผู้โชคร้ายหน้าเจื่อน... รีบถอยทัพโดยไว
“ตายแล้วซูกัส... รู้ไหมว่านั่นใคร? อดีตเดือนคณะนิเทศเลยนะยะ” เสียงกุล เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“แล้วยังไง... กัสมีแม็กอยู่แล้วทั้งคน...เนอะ...” ผมเอ่ย เอียงคอซบแม็กม่าที่นั่งดูดน้ำฟรีอย่างสบายใจ
“พอเถอะกัส ขนลุก ใครมาเห็นเค้าจะเข้าใจเป็นเบี้ยน” แม็กม่าห้ามด้วยเสียงเฉยชา เป็นเชิงว่ารำคาญการเกาะติดเป็นตังเมของผมเต็มทน
“ช่างปะไร.. ดีซะอีกจะได้เลิกมายุ่ง รำคาญ” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ยังคงกอดแขนซบไหล่อีกฝ่ายตามเดิม
“ใช่สิ! ตัวเองมีแฟนลอยลำไปคนเดียวแล้วนี่ เลยไม่สน แต่ไม่คิดจะใจบุญปล่อยเพื่อนให้มีคนมาจีบมั่งเลยหรือไง?” แม็กม่าเอ่ยประชดตามแบบของเขา ทำให้ผมเบี่ยงตัวออกจากห่างแล้วส่งสายตาแปลกใจ
“แม็กอยากมีแฟนกับเค้าด้วยเหรอ? เห็นวันๆ ทำหน้าบอกบุญไม่รับตลอด ใครเค้าจะกล้ามาจีบ” ผมแซวแล้วหัวเราะ
“หึ! ก็เพราะมีเคะสายแบ๊วอย่างแกอยู่ด้วยตลอดไงล่ะถึงไม่มีใครมาจีบซะที ไม่รู้เลยสินะว่ามีแต่คนเค้าด่าทั้งนั้นแหละ ว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับซูกัสเลยสักนิด จนก็จนกว่าแถมยังหน้าธรรมดา การที่ซูกัสชอบเนี่ยช่างเป็นมหาโชคของแม็กม่าเสียเหลือเกิน!! หารู้ไม่ นี่ไม่ได้ภูมิใจเลยสักนิดเดียว! การที่มีคนอย่างแกอยู่ใกล้ๆ เนี่ย มันเป็นอะไรที่ซวยสุดๆ” แม็กม่าเบะปากใส่แล้วด่าตรงๆ ทำให้ผมชะงักอ้าปากค้างแล้วค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกจากแขนเขาและลุกขึ้นยืน...
“ใจร้ายยยยย เราเลิกกัน!!!” ผมพูดใส่หน้าแม็กม่าซะเสียงดัง เบะหน้าเหมือนจะร้องไห้
เสียใจ... ทำไมต้องบ่นยาวขนาดนี้ด้วย ที่จริงผมไม่เคยอยากให้คนอื่นเข้าใจผิดสักหน่อย แต่เพราะแม็กเป็นเพื่อนสนิทที่รักมากและอยู่ด้วยกันตลอดเท่านั้นเอง ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะรำคาญขนาดนี้! ฮือ...
ผมป้ายน้ำตาที่ซึมๆ เพราะความน้อยใจ ขยับขาก้าวออกจากโต๊ะ
“จะไปไหนซูกัส จะถึงคาบเรียนแล้วนะ” เสียงกุลเรียกในขณะที่แม็กยังคงเงียบอยู่ ทำให้ความรู้สึกน้อยใจที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มจนล้นขึ้นมาอีก รีบเดินออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ระหว่างที่เดินออกมา ผมดึงมือถือขึ้นต่อสายหาคนที่คิดว่าพึ่งพาได้มากที่สุด
“หมอ....”
“โทษนะกัส หมอติด ER” หมอหมายถึงเคสฉุกเฉิน ทำให้รู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องไร้สาระมารบกวน
“ไม่มีอะไรครับ...ฮึก... แค่นี้นะหมอ” ผมบอกแล้วกดวางสายทันที...
ผมโดดเรียนคาบนั้น นั่งหลบร้องไห้อยู่ในมุมแคบๆ ของห้องสมุดจนเที่ยง
หิว... แสบตา… แต่ยังคงน้อยใจอยู่จึงไม่อยากออกไปไหนจนกระทั่งหมอโทรมา
“ซูกัส เรียนอยู่หรือเปล่า หมอว่างแล้วนะ”
“ผมอยู่ห้องสมุดน่ะ“
“แล้วทานข้าวหรือยัง”
“ยังเลยครับ กัสอยากกินข้าวกับหมอน่ะ” ผมรีบอ้อนทั้งๆ ที่รู้ว่าหมอมาไม่ได้
“ได้สิ อีกสิบนาทีจะถึงม.แล้ว เจอกันหน้าคณะ...”
เฮ้ยเดี๋ยว!!! จะมาจริงดิ!
“เมื่อเช้าแกได้อยู่ไหม ตอนซูกัสบอกเลิกแม็กม่าน่ะ”
“อะไรนะ? จบตำนานรักคู่เบี้ยนแล้วเหรอ?”
“คราวนี้แหละ คณะเราหัวบันไดไม่แห้งแน่นอน” ฮึ้ย...นินทาอะไรกัน! น่ารำคาญ!
ผมไม่สนใจ เสียงนินทาเซ็งแซ่ที่เกิดขึ้นเมื่อผมเดินมายังจุดนัดหมาย เอาแต่ชะเง้อชะแง้ไปยังถนนเพื่อมองหาหมอ
“แม็ก...นั่นไงซูกัส... กัส!!!” ผมปรายตาไปมองคนเรียก เห็นกุลลากแม็กให้เดินเข้ามาหา
“หายไปไหนมาเนี่ย รู้ไหมว่าเป็นห่วง” เสียงแม็กม่าเหมือนดุมากกว่าจะง้อ
“ชิ! เลิกกันแล้ว...ให้มันจบๆ ไป” ผมพูดใส่หน้าแม็กด้วยโทสะ ความน้อยใจยังคงอยู่
“แค่พูดความจริงเข้าหน่อย ถึงกับจะเลิกคบกันเลยหรือไง?” อีกฝ่ายถามแล้วส่งสายตาเชือดเฉือน...
“ก็ใครล่ะอยากเลิกก่อน...” ผมเถียงกลับ
“ไม่เอาน่ากัส... แม็กอุตส่าห์มาง้อ หายงอนได้แล้ว” เสียงกุลไกล่เกลี่ย
“ก็แม็กเกลียดกัสนี่ ไม่รักกัส แล้วจะต้องมาง้อทำไม? ” ผมเบะหน้างอนต่อ ทำไมรู้สึกอยากร้องไห้อีกแล้ว
“เฮ้อ... กัสครับ แม็กขอโทษนะ กลับมาเหมือนเดิมนะครับ” แม็กพยายามดึงมือผมไปจับไว้แล้วง้อด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเกินพอดีจนผมแปลกใจ
“ไหนบอกไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วทำแบบนี้ทำไมวะแม็ก” ผมถามเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจ ปกติมันไม่ชอบให้ผมทำตัวงุ้งงิ้งออดอ้อนให้คนอื่นเข้าใจผิดมาตลอด แต่นี่กลับมาทำซะเองหน้าคณะเนี่ยนะ มันผิดวิสัยแม็กม่า!
“ช่างเถอะ ปลง... จะยอมทนอีกครึ่งปี เพราะถ้าไม่มีกันชนอย่างฉันล่ะก็ คงมีไอ้หนุ่มมามาตามวอแวแกไม่จบไม่สิ้น” คำอธิบายนั้นทำให้ผมถึงบางอ้อ...
โธ่แม็ก นี่รำคาญแต่ยังจะใจบุญ
แต่มันคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ... วันนี้กัสจะปลดปล่อยแม็กไปซะที พอกันทีตำนานรักคู่เบี้ยน...
“ขอโทษนะแม็ก... เราคงไปกันไม่ได้แล้วล่ะ” ผมบอกเขาด้วยโทนเศร้าที่เร่งโวลลุ่มให้ดังขึ้นกว่าปกติ เหมือนอยากให้คนอื่นๆ ได้ยิน แล้วรูดมือเขาออกจากแขนตัวเอง แม็กม่ากับกุลทำหน้าเหวอ
“กัสมีคนใหม่แล้ว”
เสียงซุบซิบที่เบาลงเพื่อพยายามแอบฟังว่าพวกเราคุยอะไรกันตอนแรกค่อยๆ ดังขึ้นอีกเหมือนผึ้งแตกรัง ในระหว่างที่เราสามคนยืนเงียบมองหน้ากัน ไม่ถึงชั่วนกกระจอกกินน้ำก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นมาจอดเบื้องหลัง เพื่อนทั้งสองและแทบจะทั้งหมดที่อยู่หน้าคณะหันไปมองด้วยสายตาที่สนใจปนทึ่ง
ผมพลิกกายไปทางถนน เห็นคุณหมอสุดหล่อคนเดิมออกจากรถ mercedes benz คันงามที่ถึงจะติดป้ายขาว แต่ยังใหม่กิ๊ง หมอว่านในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ออร่าความเท่สามารถทำให้คนแถวนั้นเงียบปากเหมือนไม่มีตัวตนได้เป็นครู่ทีเดียว
“รอนานไหม? กัส” คุณหมอเดินมาหา เอามือแตะข้อศอกผมไว้แล้วกระซิบถาม
“ไม่หรอกครับ” ผมรีบปฏิเสธ สังเกตเห็นหมอหันไปมองเพื่อนสองคนที่ยืนด้วยกัน “เอ่อ..นี่เพื่อนกัสนะ ชื่อ แม็กม่าแล้วก็กุล”
“สวัสดีครับ” หมอเป็นฝ่ายทักทายก่อนแล้วยิ้มละลายโลก... ช็อตนี้พากันตายหมู่ทั้งคณะ!
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ” แม็กม่ากับกุลทักกลับด้วยเสียงลอยๆ แบบยังไม่เลิกตะลึง
“หมอมารับซูกัสไปทานข้าวน่ะ ไปด้วยกันไหม?” หมอบอกแล้วชวนอย่างอัธยาศัยดี แม็กกับกุลหันมามองหน้าผมเหมือนขอความคิดเห็น แล้วผมก็เค้นสายตาใส่และส่ายคอนิดๆ เป็นเชิงห้ามแบบไม่ให้หมอรู้สึก...
ร้อยวันพันปี หมอจะว่างมาหาที่คณะ พวกแกห้ามไปขัดฟินฉันนะเฟ้ย!
“เชิญหมอกับกัสตามสบายเลยค่ะ พวกเรามีงานต้องทำต่อพอดี” เยี่ยมมากเพื่อน...
“ครับ งั้นขอตัวก่อนนะครับ..” หมอบอกพร้อมรอยยิ้มเทพเจ้าที่แทบจะฆ่าเพื่อนซูกัสตายอีกรอบ..
แล้วร่างของผมก็หมุนตามแรงแขนที่หมอเอื้อมมาโอบรั้งพาเดินไปที่รถ ผมมองนิ้วเรียวที่พาดอยู่บนไหล่ตัวเองแล้วทำให้อุณหภูมิร่างกายเหมือนจะสูงขึ้นนิดหน่อย..
“แล้วนี่เด็กขี้แย เลิกร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไร” หมอถาม ยกมือแตะจมูกผมเบาๆ เหมือนหยอกล้อ
“หมอรู้เหรอ?” ผมถามกลับอย่างแปลกใจ
“เสียงร้องไห้ของกัสน่ะ หมอฟังบ่อยจนร้องตามได้เป็นทำนองเลยล่ะ” ให้ตายเถอะ ผมเป็นเด็กงี้แยขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เพราะผมร้องไห้... หมอก็เลยมาปลอบกัสเหรอ?” เพราะวันปกติหมอจะไม่ว่างก็เลยไม่เคยมาหาผมที่มหาวิทยาลัยเลยสักครั้งเดียว
“ใช่.. สำหรับคนอื่น หมอจะรักษาร่างกายของเค้าให้หาย แต่สำหรับซูกัส... หมอจะดูแลทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ”
++++++++++
พักเรื่องท้องมาหวานๆ กันมั่ง
สำหรับเรื่องนี้มี 15 ตอนจบนะคะ ถือว่าเป็นนิยายที่สั้นมากๆ เลย มาเร็วเคลมเร็ว 555+
อาจจะเป็นนิยายท้องได้ที่ไม่ค่อยเห็นความน่ารักของเด็กเท่าไร เพราะนิไม่ค่อยถนัด (แปว)
ยังไงก็ทักทายพูดคุยกันได้ที่เพจนะคะ
ช่วงนี้มีเปิดพรีนิยายด้วยเรื่องนึง เผื่อใครตังค์เหลือจะได้ไปช่วยอุดหนุน 555+แฟนเพจ