-4-
-ซูกัส- “หมายเลข 1432”
ผมลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มเมื่อสิ้นสุดการรอคอย โปรดอย่าเข้าใจว่านั่นเป็นการใบ้หวยงวดต่อไปอย่างเด็ดขาด เพราะมันก็แค่หมายเลขคิวเท่านั้นเอง...
ผมผลักประตูห้องที่ติดป้ายด้านหน้าว่า นายแพทย์บทกวี ........... เข้าไปเพื่อพบแพทย์ประจำตัวด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แต่อีกฝ่ายกลับเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือแล้วขมวดคิ้วใส่
อะไร จะดุอะไรกันอีกล่ะ!!
“ทำไมมาหาที่โรงพยาบาล?” คำถามนิ่งเรียบนั่นทำให้อดเบะปากอย่างงอนๆ ไม่ได้ ยังไม่ทันพูดอะไรก็ทำท่าเหมือนจะไล่กันท่าเดียว
“ทำไมล่ะ? หมอเบื่อขี้หน้าผมขนาดนั้นเลย?”
“เปล่า... แค่ช่วงนี้ผู้ป่วยนอกเยอะน่ะ”
“อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ลัดคิวใครนะ นั่งรอตั้งนานจนแทบจะหลับไปสองสามรอบแล้วเนี่ย” ผมบอกด้วยใบหน้าที่ตั้งใจให้รู้ว่ากำลังน้อยใจอยู่นะ
“เพราะรู้ไง ถึงไม่ค่อยอยากให้มา” หมอตอบกลับด้วยเสียงอ่อนๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้ทำให้แทบจะละลายกลายเป็นฝุ่น ทำไมบุคลิกหมอถึงนุ่มนวลอ่อนโยนขนาดนี้นะ ผิวก็ขาว นิ้วเรียวยาว แล้วยังเป็นคนตาสวยมากๆ อีกด้วย แค่นั่งมองเฉยๆ ก็เพลินแล้วอ่ะ
“ถึงบอกจะมาหาตอนเลิกงาน หมอก็บอกว่าเลิกตอนไหนก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ”
“เอ่อ...” แล้วหมอว่านก็เกาคอทำท่าลำบากใจทำให้ใจอ่อนซะทุกที!
เลิกนอกเรื่องแล้วเข้าสู่ธุระสำคัญดีกว่าก่อนที่หมอจะตบะแตกร่ายยาวเอาอีก...
“นี่ครับ” ผมเปิดกระเป๋าเป้ที่เตรียมมาแล้วล้วงหยิบภาชนะใสมีของเหลวบางอย่างบรรจุอยู่ด้านในวางลงบนโต๊ะ
“อะไรเหรอ” หมอถามกลับด้วยใบหน้างงๆ
“ยังจะถามอีก เมื่อวานหมอจะเอาอะไรล่ะ?” ผมตอบมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย กับตัวอย่าง...ที่นำมา
“ฮะ?” หมอว่านทำตาโต อ้าปากค้างก่อนจะกระพริบตาปริบๆ เหมือนกำลังคิดทบทวนบางอย่าง จากนั้นก็ร้องออกมา “อ๋อ.....”
รอยยิ้มที่คลี่แค่มุมปากแต่ไม่เห็นฟันสักซี่กับแววตาที่พราวระยับมองมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นอีกประมาณสามเท่าตัวด้วยความอับอายแต่ก็ต้องพยายามอดทนไว้
อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาไม่มีบุตร #หมอก็เช่นกัน
อายหมอก็จะไม่มีบุตร! ท่องไว้นะซูกัส
“ทำตั้งแต่เมื่อไร?”
“เมื่อเช้า”
“แล้วเอามาให้ป่านนี้?” หมอถามพลางยกข้อมือดูนาฬิกาซึ่งน่าจะบอกเวลาประมาณเกือบหกโมงเย็นแล้ว จากนั้นก็เหลือบตาคู่สวยขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่แก้มไม่สร่างเหมือนขบขันอะไรบางอย่าง
“ก็กัสต้องไปเรียน ไหนจะนั่งรอคิวอีก” ผมแก้ตัวแก้มป่อง
“ใช้ไม่ได้นะ คือมันต้องตรวจภายในหนึ่งชั่วโมง”
“หา!! แล้วทำไมหมอไม่บอกล่ะ?” อะไรกัน...งั้นก็เหนื่อยฟรีดิงี้
“กัสก็ไม่ได้ถามหมอป่ะ?” หมอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยยี่หระทำให้ดูกวนๆ ไม่พอยังมีหัวเราะแนบท้ายอีกต่างหาก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโคตรพลาดเลยอ่ะ
“แล้วไง? บ้านกัสอยู่ตั้งไกล แล้วหมอก็ยุ่ง งี้ก็ทำที่บ้านไม่ได้ใช่ป่ะ?”
“ก็คงงั้นมั้ง”
“แต่ที่คลินิกคนมันเยอะนี่ ใครจะไปมีอารมณ์ทำเรื่องแบบนั้น”
“อืม... จะว่าไปก็มีอีกที่นึงนะที่เป็นส่วนตัวแล้วก็ไม่ไกลด้วย” ผมเบิกตากว้างส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างดีใจก่อนจะได้ยินประโยคถัดมา “แต่ไม่รู้ว่ากัสจะกล้าไปหรือเปล่านะ”
หมอยิ้ม... ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว...
ฉีกริมฝีกปากออกแต่ไม่เห็นฟัน ส่งสายตาวาวหวานชวนมอง มันทั้งมีเสน่ห์และน่าขนลุกไปในคราวเดียว เพราะไม่รู้เลยว่าในคำพูดนั้นหมอกำลังคิดอะไรอยู่
“ที่ไหนเหรอครับ” ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย จินตนาการไว้ว่าคงเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและอันตราย จำพวกตึกพาณิชย์ร้างมีผีสิง หรือห้องทดลองแสนลึกลับในคลินิกอาจจะมีซากทารกหรือหลักฐานการก่อคดีอาชญากรรม บรึ๋ยส์!!
แล้วความคิดอันเพ้อเจ้อก็แตกกระจายไปทันทีที่หมอตอบกลับมาว่า
“บ้านหมอ...” อาฮ้า... ใครก็ได้ช่วยที นี่แทบจะหุบยิ้มไม่ได้อยู่แล้ว...
“สตรอเบอรี่ซันเดได้แล้วครับ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นแล้ววางไอศกรีมรสโปรดของผมลงตรงหน้า
เฮ้อ... เสียดายจังที่ต้องมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ถ้าหมอมาด้วยได้ก็คงดี เหลือบมองพนักงานร้านด้วยสายตาอ้อนๆ
“เลิกงานกี่โมง...”
“ใกล้แล้วล่ะ คงพอๆ กับแกกินอิ่ม” พนักงานร้านสเวนเซ่นตอบกลับ ผมพยักหน้าเออออแล้วก้มหน้าลงตักของโปรดใส่ปากด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“จะชวนไปไหน?” เสียงเพื่อนรักเอ่ยถามระหว่างผมดึงมือเขาเดินเล่นไปตามทางเดินของห้างสรรพสินค้า
“ไปซื้อกกน.”
“ที่มีไม่พอใช้?” เพื่อนถามหน้างงๆ
“แม็ก... หมอชวนกูไปบ้าน” ผมเฉลยแล้วหันไปยิ้มจนตาปิด
“แล้วเกี่ยวอะไรกับ.....อ๋อ..... มึงกะเตรียมไปเสียตัวเต็มที่เลยว่างั้น?”
“บ้า!! ไม่ใช่ซะหน่อย” ผมตอบปฏิเสธ ทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ มองยังไงก็รู้ว่าตอแหล!
“แรด....” เพื่อนด่าตรงๆ ทำให้ผมหุบยิ้ม จิกตาเบาๆ
“ทำเป็นด่า กูรู้มึงอิจฉากู ใช่มะ?”
“ใครจะคิดอย่างงั้นกับเพื่อน มีแต่จะดีใจด้วย จะได้สมหวังสักที” พอมันตอบเรียบๆ เลิกจิกกัดก็พลอยทำให้อารมณ์ดีขึ้นหน่อย “หมอของมึงหน้าตาเป็นยังไง บอกจะถ่ายรูปมาให้ดู ป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายผม”
“เออลืมทุกทีเลย แต่หมอเป็นยังไงเหรอ? สั้นๆ ก็คงหล่อล่ะมั้ง”
“นั่นล่ะของแน่ ไม่งั้นคงไม่เพ้อได้ขนาดนี้...” แม็กม่าพึมพำเสียงไม่เบาเลย
“เขาก็เหมือนหมอทั่วๆ ไปนั่นแหละ ขี้เก๊กนิดๆ ดูสุภาพนุ่มนวล ผิวขาว แต่ไม่ค่อยสูงมากนะ หน้านิ่งๆ แต่ตาหวาน เวลายิ้มทีนึงนะ ฮึ่ม... เอาใจกูไปเลย”
“แหม่งๆ ว่ะ ทำไมฟังดูเคะจัง”
“งี้แหละเกย์สายสุขภาพ จะให้มาหุ่นล่ำ กล้ามโต สายเถื่อนเหมือนรุ่นพี่วิศวที่มอก็คงไม่ใช่ มาจีบกันแต่ละที กูนึกว่าเค้าจะมาขู่กรรโชกทรัพย์”
“อุ๊บ..พูดแล้วเห็นภาพเลยว่ะ ฮ่าฮ่า” แม็กม่าหัวเราะลั่น “เออ... แต่จะว่าไป นี่แกก็เทียวไล้เทียวขื่อตามจีบหมอมาเดือนกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่...”
“แล้วก็บอกว่า หมอไม่เคยแม้แต่จะจับมือแกไม่ใช่เหรอ?”
“อือ...”
“ไม่ใช่ว่าพี่แกไม่ชอบเป็นฝ่ายรุกหรอกเหรอ?”
“ฮื้อ... บ้า ไม่มั้ง” ก็เหมือนจะโดนรุกอยู่นะ ทางสายตาน่ะ!
“ก็แบบ คนชอบๆ กันมันต้องมีถึงเนื้อถึงตัวกันบ้างไม่ใช่เหรอ?”
จะว่าไปผมก็เคยคิด หมอเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด แล้วก็ไม่รุ่มร่าม ไม่....
ไม่เคยจับมือ ไม่เคยหอมแก้ม ไม่เคยอะไรเลย...
“หรือเค้าอาจจะไม่ได้ชอบเด็กแอ๊บแบ๊วอย่างแกก็ได้”
จะว่าไปแล้ว... แม้แต่บอกรัก หรือขอเป็นแฟน ก็ไม่เคยสักอย่างนึงเลยด้วย ถึงจะมีพูดจาให้คิดลึกบ้างก็เถอะ แต่ก็อาจจะแค่หยอกเล่นแค่นั้น แล้วเราก็เก็บไปคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายมีใจ
“อ๊ากกกก ไม่จริง!! เลิกไซโคได้แล้ว ที่หมอเค้าไม่ทำอะไรก็เพราะว่า...หมอเค้าเป็นสุภาพบุรุษไง มึงไม่เคยเจอ ไม่รู้จักหมอจะไปรู้อะไร” ผมโวยวาย เถียงออกมา เพื่อปิดบังความฟุ้งซ่านที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“อ้อเหรอ? อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหมอเค้าเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ อย่างที่ว่า นั่นแสดงว่ากกน.ตัวใหม่หรือตัวเก่าก็ไม่สำคัญ เพราะต่อให้มึงแก้ผ้าต่อหน้าเค้า หมอเค้าก็จะไม่ทำอะไร จริงไหม?”
จะว่าไป ก็คงจริง!!
“เออ!! งั้นกลับบ้าน ไม่ต้องซื้อและ!!”
ผมกลับมาบ้านด้วยใบหน้างอง้ำ นึกเคืองไอ้เพื่อนรัก ที่พูดจาอะไรออกมาแต่ละอย่างล้วนทำลายความมั่นใจและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตรักของผมให้พังระเนระนาด
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณกัส” เสียงป้าน้อม แม่บ้านถามขึ้นอย่างดีใจเมื่อผมเปิดประตูรถออก
“ครับป้า”
“ทานอะไรมาหรือยังคะ?”
“ทานแล้วครับ ขอบคุณนะ” ผมตอบแล้วเดินเข้าตัวบ้านหลังใหญ่ ที่ค่อนข้างเงียบ หลงเหลือเพียงไฟสลัวๆ
“แล้วคุณพ่อ คุณแม่ล่ะ?”
“คุณนายขึ้นไปนอนแล้วค่ะ ส่วนคุณผู้ชายยังไม่กลับ”
ผมพยักหน้ารับ
“ป้าน้อมก็ไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมแวะไปดูพี่ดี้เสร็จ ก็จะนอนแล้ว”
“ค่ะ” ป้าน้อมรับคำ แล้วเดินกลับไป
ผมเดินขึ้นบันไดบ้านแบบวน แล้วเปิดเข้าไปในห้องนอนที่ไม่ได้ล็อก ค่อยแง้มประตูเบาๆ พอมีแสงจากด้านนอกลอดผ่านเข้าไปพบว่าภายในห้องมืดสนิท และมองเห็นเงารางของสตรีคนหนึ่งนอนกอดตุ๊กผ้ารูปเด็กไว้ในอ้อมกอด ขณะที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ผมค่อยๆ ปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนพี่สาว
พี่แคนดี้เพิ่งสูญเสียทั้งสามีและลูกสาวไปเมื่อสามเดือนที่แล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์ และพี่ไม่สามารถยอมรับมันได้ จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ทุกๆ วันพี่จะนั่งเหม่อลอยอุ้มตุ๊กตาและพูดคุยกับมันราวกับนั่นคือลูกสาวที่ยังมีชีวิตอยู่
ลองปรึกษาจิตแพทย์แล้ว พี่ก็อาการดีขึ้นบ้างเพราะยา แต่ก็ยังไม่หายขาด
ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร แต่เคยลองพาไปตามสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน พี่เหมือนจะอาการดีขึ้นบ้างเมื่อเห็นเด็ก แต่ลงท้ายก็โวยวายว่านั่นไม่ใช่ “น้องด้า” ผมเดาเอาว่าคงเพราะเด็กที่อุ้มไม่มีส่วนคล้ายตัวเอง จนผมมีความคิดงี่เง่าว่าอยากมีลูกเสียเอง เพราะไม่แน่ ถ้าเป็นลูกของผม อาจจะช่วยทำให้พี่ดีขึ้นได้...
“สี่โมงครึ่งว่างไหม ไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะกัส” หมอโทรมาบอกตอนบ่าย ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเพราะร้อยวันพันปี เพิ่งเห็นหมอเลิกงานเย็นได้
“ที่บ้านเหรอครับ?” เอิ่ม... บางทีก็งงตัวเองว่าพูดอะไรออกไป!
“ยังก่อนดีกว่า หมอเพิ่งpost เวร ไม่มีแรงทำอย่างอื่นตอนนี้แน่ๆ”
“ครับ?” ศัพท์อะไรของหมออีกล่ะ
“ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าของเมื่อวานจนตอนนี้หมอยังไม่ได้นอนเลย...” บอกทีเถิด นี่มนุษย์จริงๆ ใช่ไหม?
“เอ่อ... ถ้างั้นหมอกลับไปนอนเลยก็ได้นะครับ” ผมรีบบอกอย่างสงสาร
“มาหน่อยเถอะ วันนี้หมออยากเจอกัส”
เหมือนถ้อยคำธรรมดาแต่เจือลูกอ้อนเล็กน้อย ทำให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญ
หลังเลิกเรียน ผมก็เดินตัวลอย เข้าโรงพยาบาลอย่างมีสุข ปรายตามองจุดลงทะเบียนอย่างเชิดๆ หมอเลิกงานแล้วก็ไม่ต้องรอคิวใช่ไหมล่ะ? แจ่ม!
นี่ไงห้องหมอ นายแพทย์บทกวี ที่รัก...
ขอเสียมารยาทไม่เคาะประตูนะครับ...
กึ่ก! หมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปกะจะเซอร์ไพร้ส์เต็มที่
ผ่าง!!!! ผมยืนนิ่ง ตะลึงตาค้างกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า
หมอนั่งที่เก้าอี้ทำงานตามปกติ แต่มีใครบางคนยืนข้างๆ คล้องแขนโอบรอบคอหมอเอาไว้ โน้มตัวลงเหมือนกำลังกระซิบกระซาบบางอย่างแก่กัน ใบหน้าคมเข้มที่แหงนเงยขึ้นมองผมอย่างสนใจนั่นลอยอยู่เกือบชิดใบรูปหน้าเรียวของหมอ มันให้ความสนิทชิดเชื้อจนเกินความพอดี และถ้าวัดความแมนจากใบหน้าและขนาดตัวแล้วล่ะก็ คุณหมอช่างบอบบางน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน
พระเจ้า. . .
นี่ผมคงเข้าใจรสนิยมหมอผิดมาโดยตลอดเลยสินะ!!
โหดร้าย... เกินรับได้จริงๆ ณ จุดนี้!!
++++++++++