-6-
ทันทีที่เดินเข้าบ้าน หมอก็เดินไปที่ครัวแล้วเปิดตู้เย็น
“กัสจะดื่มอะไรสักหน่อยไหม?” ถามแก้เก้อทั้งที่ตัวหมอนี่แหละที่อยากหาอะไรดื่ม
ทว่า.... เรือหาย!! ในตู้เย็นไม่เหลืออะไรที่คิดว่าใช้แก้ง่วงได้เลยสักอย่าง...
“ไม่อ่ะครับ กัสยังอิ่มอยู่เลย”
หมอปิดประตูตู้เย็นอย่างสุดเซ็งแล้วเดินกลับไปหาเขาที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่แถวๆ มุมที่จัดไว้เพื่อรับแขก แต่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมีใครมาสักคน พอหมอเดินใกล้ถึงตัวเขาก็นั่งลงตรงชุดรับแขกหันมองนั่นมองนี่เพื่อลดความประหม่า เห็นแล้วน่ารักดี หมอเดินกลับไปข้างๆ เขา ตั้งใจเบียดจนชิดทั้งที่โซฟากว้างขวางเหลือที่มากมายซ้ำยังเนียนจับมือนิ่มนั่นไว้อีกต่างหาก
ซูกัสหันมามองโดยไม่พูดอะไร ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ แล้วก้มหน้าหนี หมอบังคับเชยคางเขาขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้าหาทันที... แต่...
“หมอ...” อีกฝ่ายขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ครับ?”
“ผมอยากอาบน้ำ”
เยี่ยมมากซูกัส.. หมอมองข้ามความอนามัยไปได้ยังไงเนี่ย!!
“อืม... ข้างนอกก็มีห้องน้ำ หรือจะอาบในห้องหมอก็ได้” หมอบอกแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนที่โอบเอวเขาไว้
“หมอก็ปล่อยก่อนสิครับ” เขายิ้มอ่อน นี่กำลังหาทางรอดหรือยิ่งยั่วยวนหนักขึ้น หือ... เด็กน้อย
ปล่อยก็ได้....
หมอค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก ซูกัสขยับตัวออกจากอ้อมกอดหมออย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ราวกับกลัวว่าถ้าหากทำอะไรผลุนผลันแล้วจะทำให้หมอเปลี่ยนใจ
“เอ่อ... แล้วห้องหมออยู่ไหนล่ะ?”
“ทางนี้ครับ” หมอลุกขึ้นจับมือเด็กอนามัยพาเข้าไปในห้องนอนตัวเอง พอเห็นจุดที่น่าจะเป็นห้องน้ำเขาก็พลิกมือออก หมอนั่งลงบนเตียงมองตามเขาไปจนร่างเล็กนั่นค่อยๆ หายลับเข้าไปในห้องน้ำ
ตามสบายเลยกัส... ถ้าคิดว่าหลังจากถ่างตาครบ 37 ชั่วโมงแล้วหมอจะรอกัสไม่ไหวล่ะก็
บอกเลย กัสคิดผิด... ทำไมหมอจะทนรอไม่ได้
ฮ้าว... เหมือนพลังงานกำลังจะหมดเลย
แล้วเปลือกตาทำไมถึงหนักได้ขนาดนี้หนอ...
ยิ่งพอเอนตัวลงบนฟูก ทำไมหมอนมันช่างนุ่มนวลชวนหนุนอย่างนี้...
อย่าเพิ่งหลับดิหมอ แล้วซูกัสล่ะ?
ก็บอกว่าห้ามหลับไง!!!
แต่ทำไมเปลือกตาไม่ยอมฟัง?

กริ๊งงงงง
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือบอกเวลา 7.20 น. ปลุกหมอให้สะดุ้งตื่นจากนิทราแสนสุขเหมือนเช่นทุกๆ วัน หมอลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วใช้หลังมือขยี้ตาอย่างงัวเงียลุกขึ้นจากที่นอนกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำ ก็พอดีประตูห้องนอนถูกเปิดออกเสียก่อนจึงหันไปมองอย่างตกใจ แต่พอเห็นหน้าผู้บุกรุกเท่านั้นแหละ ตกใจยิ่งกว่าเดิมอีก!!
“หมอตื่นแล้วเหรอ ผมว่าจะเข้ามาปลุกพอดี” คำถามที่หลุดออกจากปากเล็กนั่นฟังดูสดใสร่าเริงจนหมอได้แต่ยิ้มเจื่อน รู้สึกเสียเซลฟ์ขึ้นมาทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้...
ชวนเค้าค้างที่บ้านแล้วดันหลับไปซะเฉยๆ ทำไมอ่อนงี้วะ!
“ครับ กัสตื่นนานแล้วเหรอ” หมอถามระหว่างขยับตัวเดินไปหาเขาที่หน้าห้อง
“สักพักแล้วครับ เลยเดินออกไปข้างนอกกะจะทำอะไรให้หมอกินซะหน่อย แต่ในตู้เย็นมีแต่ผลไม้”
“ดีแล้วแหละ อย่าวางเพลิงบ้านหมอเลยครับ ขอร้อง”
“โธ่หมอ ทำไมมองกัสในแง่ร้ายอย่างนั้นล่ะ?” เขาถามกลับพร้อมหัวเราะอย่างน่ารัก
“หน้าตากัสไม่ค่อยเหมือนพ่อครัวเท่าไรนะ หรือหมอเข้าใจผิด”
“ที่จริงก็ไม่ผิดเท่าไร แต่อยากให้เป็นไหมล่ะ ผมจะไปได้ไปเรียน” เขาถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องหรอกครับ ลำบากเปล่าๆ” หมอว่าแล้วลดสายตาจากใบหน้าแสนน่ารักนั่นลงมองชุดที่เขาใส่อยู่ตอนนี้เป็นเชิ้ตขาวซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเสื้อหมอเอง
“ขอโทษที่ยืมมาใส่โดยไม่ขออนุญาตนะครับ”ดูท่าเขาคงจะพออ่านสายตาหมอออก “เมื่อวานพอผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นหมอสลบไปแล้ว ก็เลย...” เงิบ!!
“หมอต่างหากต้องขอโทษ...” เผลอหลับไปได้ยังไง!!!
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” คำถามและใบหน้าแสดงความสงสัยได้ไร้เดียงสาจนหมอจะพูดก็อายปาก
“ช่างเถอะ หมอก็ลืมไปแล้วล่ะ”
“ผมว่าหมอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เมื่อวานก็ไม่ได้อาบ” เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วดมเสื้อหมอฟุดฟิด “หือ....ก็ว่าอยู่ว่าเหม็นอะไร ที่แท้ก็กลิ่นหมอนี่เอง” หมอไม่อาบน้ำนี่บางทีก็เรื่องปกตินะ!
หมอตีมึนไม่สนใจเนียนคว้าเอวอีกฝ่ายไว้แล้วจงใจฝังจมูกลงที่ซอกแก้ม
“ทำไมหมอไม่เห็นได้กลิ่นเหม็นอะไรเลย มีแต่กลิ่นหอมๆ”
“มัวแต่ลีลา เดี๋ยวหมอก็ไปทำงานสายหรอก” เขาเตือนเบาๆ เบนหน้าเรื่อสีน่าจูบนั่นออกห่าง
“กัสทำให้หมอไม่อยากไปโรงพยาบาลมากที่สุดในรอบ 6 ปีเลยนะรู้ไหม?” หมอบอกเขาด้วยเสียงอ้อนๆ
“อย่างอแงสิครับ ทำเหมือนกัสจะหายไปไหนงั้นแหละ”
“ก็ไม่รู้จะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไรนี่นา...”
“หมอไม่ต้องห่วงหรอก มีอีกแน่ๆ” เขาหันมายิ้มใส่ตาจนอยากจะ...ซะตอนนี้เลยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันลางานกันไม่ได้ง่ายๆ น่ะนะ
“แต่คราวหน้าอย่าหลับไปก่อนก็แล้วกัน”
ไม่เอาดิหมอ... สักวันมันต้องมาถึงอีกนั่นแหละ
ทำไมหมอต้องกระวนกระวายใจอยากรู้ด้วยล่ะว่า “คราวหน้า” น่ะมันเมื่อไร
สงบจิตสงบใจตรวจคนไข้ต่อไปได้แล้ว!!!
“เป็นไงมั่งหมอ? หลินเป็นยังไงบ้าง...” เสียงพิวัฒน์เพื่อนที่เพิ่งแต่งงานไปหมาดๆ สองเดือนก่อนถามด้วยใบหน้าแสดงความกังวล หมอเงยหน้าจากผลแลปแล้วตอบเสียงเรียบ
“ยินดีด้วยครับ ภรรยาของคุณตั้งครรภ์” หมอตอบอย่างสุภาพเพราะหลินภรรยาของเขานั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วย
“จริงเหรอ?” อีกฝ่ายถามอย่างดีใจแล้วรีบเดินมากอดหมออย่างแนบแน่น
โธ่! ต่อหน้าเมียตัวเองแท้ๆ อย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อหน่อยเลย!
“ใจเย็นก่อนได้ไหม? จะดีใจอะไรกันนักหนา” หมอถามและว่าที่คุณพ่อก็ค่อยๆ ลดความตื่นเต้นลงในที่สุด
“โธ่! หมอไม่เคยเป็นพ่อคนน่ะจะไปเข้าใจอะไร?” อีกฝ่ายสวนกลับจนหมอหน้าหงาย
“เบื่อพวกแทงใจดำ...” หมอพึมพำ
“แล้วยังไงต่อ ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษไหม”
“อย่างแรกเลยก็ฝากครรภ์ซะนะ จะได้ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด อัลตร้าซาวนด์ต่างๆ เดี๋ยวหมอเค้าจะแนะนำอีกทีนึง”
“ฝากที่ไหนดี คลินิกหมอได้ไหม?”
“ที่นั่นก็ดี หมออ้อก็เก่ง เดี๋ยวหมอจะฝากเค้าดูให้”
“อ้าว... แล้วหมอล่ะ?”
“เอาจริงๆ หมอเข้าคลินิกแค่อาทิตย์ละสองสามชั่วโมงเองนะ ไปดูเอกสารหรือช่วยเคสบ้างแล้วแต่ว่าง ส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ที่โรงพยาบาล ซึ่งถ้าอยากมาฝากที่นี่ก็แล้วแต่นายแหละ แต่จะว่าไป น่าจะฝากใกล้ๆ บ้านมากกว่าหรือเปล่า?”
“เออ สงสัยมานานละ ทำไมหมอเปิดคลินิกแต่ไม่อยู่คลินิก จะมาทำงานที่โรงพยาบาลทำไม? ถ้าทำงานที่คลินิกเต็มเวลาน่าจะรวยกว่าที่นี่เยอะไม่ใช่เหรอ?” ถือว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆ เลย
“ก็เพราะคิดอย่างนี้กันน่ะสิ แพทย์ไทยถึงขาดแคลน ถึงคลินิกจะเงินเยอะกว่า แต่มันไม่ภูมิใจเท่าที่นี่นะ”
“แหม... อุดมการณ์มันกินไม่ได้หรอกหมอ” มันว่าพลางหัวเราะ
“ก็จริง แต่ทำไงได้ล่ะ ตัดสินใจไปแล้ว ตอนเข้ามาตอนแรกก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไรนะ เพราะเป็นแพทย์เฉพาะทาง พอมีหมอลาออกไปสองคนเท่านั้นแหละงานหนักขึ้นจม จะลาออกอีกคนก็สงสารคนที่อยู่ต่ออีก”
“เข้าใจหมอนะ แต่บอกอะไรหมอไว้อย่าง เอ็นดูเขา เอ็นเราขาดนะหมอ”
++++++++++
และแล้วก็ถึงวันหยุดของหมอคือออกเวร 9 โมงเช้า หลับยาวยัน 5 โมงเย็นแล้วอาบน้ำแต่งตัวมาคลินิกตามปกติ
หมอนั่งง่วงอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ในขณะที่ซูกัสนั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ
“หมอ... กัสอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น” แล้วจู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา
“ก็ไปสิครับ” จะให้หมอตอบยังไงได้ใช่มะ
“หมอว่างเมื่อไรล่ะ? ไปกัน...” ทั้งน้ำเสียงและสายตามันช่างอ้อนจนหมอล่ะอ่อนใจ
“เอ่อ... หมอยังทำงานที่นี่ไม่ครบปีเลย สงสัยจะไม่มีพักร้อน”
“เฮ้อ... แล้วหมอจะพูดขึ้นมาทำไม ให้ไปคนเดียวกัสไม่ไปหรอก”
แล้วกัสจะให้หมอทำยังไง? พูดงี้หมอเศร้านะครับ...
เราทั้งสองเงียบกันต่อไปอีกจนกระทั่งสักพักซูกัสก็เริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาใหม่
“หมอ... วันนี้กัสไปเที่ยวบ้านหมอนะ” หันขวับคอแทบหัก! กะจะมองหน้าคนรักแต่ซูกัสก็ยังก้มหน้าลงที่มือถือตามเดิม
“ก็ไปสิครับ” หมอตอบแล้วยิ้มกริ่ม จนเขาเงยหน้าขึ้นมา
“หมอยิ้มอะไรอ่ะ คิดอะไรทะลึ่งอยู่แน่เลย” เอ๊ะ! ทำไมรู้....
“เปล่าสักหน่อย แค่ดีใจเฉยๆ รับรองคราวนี้หมอจะไม่หลับ!”
“นั่นไง คิดอยู่ชัดๆ ผมไม่ได้จะชวนหมอไปทำอย่างว่าซะหน่อย แค่อยากทำเรื่องที่ค้างคาไว้ให้เสร็จเฉยๆ”
“หือ...ค้างคา? เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องที่หมอจะตรวจอสุจิไง ลืมไปแล้วเหรอ?”
เออ.... เอาจริงนะ ลืมเรื่องนั้นไปเลย
“เอ่อ... กัส หมอว่าไม่ต้องทำแล้วล่ะมั้ง” หมอค่อยๆ ตอบอ้อมแอ้ม...
“อ้าว ทำไมอ่ะ”
“ก็... ตรวจไปก็เท่านั้น ถึงยังไงเรื่องอุ้มบุญมันก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
“เอ้า! ทำไมไม่ได้อ่ะ” คราวนี้ซูกัสถามซะดัง แถมยังทำหน้าไม่พอใจมากอีกด้วย
ใจเย็นสิครับ หมอกลัว...
“ก็มันผิดกฎหมายน่ะสิกัส” หมอพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“แล้วทำไมหมอไม่บอกกัสตั้งแต่ทีแรกล่ะ?” ในคำถามมันทั้งไม่พอใจระคนผิดหวังจนหมอได้แต่ติดอ่าง...
“ก็....เอ่อ...หมอขอโทษ แต่กัสก็น่าจะรู้นะว่ามันเป็นไปได้ยาก”
“กัสไม่รู้หรอก” เขาสวนกลับมาทันควัน “เพราะว่ากัสไม่รู้ กัสก็เลยเชื่อหมอไง แต่ถ้าหมอทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำหมอก็น่าจะจะบอกกัสตั้งแต่แรก จะมาให้ความหวังกัสทำไมอ่ะ?” แล้วซูกัสก็สะอื้นฮักปล่อยน้ำตาไหลพรากลงมา
“เรื่องแค่นี้ทำไมต้องจริงจังด้วย เราก็ยังเด็กอยู่ต่อให้มีลูกได้จริง แต่จะรีบมีไปทำไม ลูกคนน่ะมันไม่เหมือนลูกหมา ลูกแมว อยากเลี้ยงก็เลี้ยง อยากทิ้งก็ทิ้งได้ตามใจหรอกนะ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่หน่อยสิ”
“ช่างเถอะ... กัสไม่ดีเองแหละ ถ้าหมอคิดว่ากัสบ้า งี่เง่า ก็ตามใจหมอแล้วกัน กัสกลับล่ะ ถ้าหมอไม่อยากช่วย กัสหาทางเองก็ได้!!” แล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมตัวจะกลับ
“เดี๋ยวสิกัส คุยให้รู้เรื่องก่อน...” คว้ามือเขา แต่ข้อมือเล็กนั่นสะบัดออกอย่างแรง
หมอพยายามแล้วนะที่จะรั้งเขาไว้... แต่ไม่สำเร็จ
++++++++++