“แล้วมรึงพร้อมจะเริ่มใหม่แล้วจริงๆ เหรอ”เป็นคำถามจากไอ้แชมป์หลังจากฟังผมเล่าทั้งเรื่องของโอเล่และเรื่องของน้องอ้วน
“อ้าวก็ไหนมรึงเชียร์น้องอ้วนให้กรูอยู่ไม่ใช่รึไง”
“มันก็ใช่ แต่ก็ถามดูให้แน่ใจ ว่ามรึงคิดดีแล้วจริงๆ เห็นเด็กมันจริงจังก็อยากให้มันสมหวัง”นี่ตกลงมันห่วงน้องอ้วนมากกว่าเพื่อนอย่างผมแล้วใช่ไหมเนี่ย
“อายุอานามกรูก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย จะคิดนานทำไม อีกอย่างนี่คือการเรียนรู้ศึกษาดูใจกัน ถ้าเกิดวันนึงมันไม่น่าจะไปกันได้จริงๆ ก็คงต้องแยกย้ายกันไป เรื่องนี้กรูตกลงกับน้องอ้วนแล้ว”ใช่แล้วครับวันข้างหน้ามันไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ผมก็อยากจะลองเปิดใจดูสักครั้ง ว่าระหว่างผมกับนายน้องอ้วนเนี่ยมันจะเป็นไปได้หรือเปล่า
ไอ้แชมป์วางสายไปแล้วแต่ผมก็ยังคงทบทวนกับตัวเอง ว่าผมตัดสินใจถูกหรือเปล่ากับเรื่องของนายน้องอ้วน ผมไม่แน่ใจว่าวันนึงผมจะรักเค้าได้ไหม และผมก็ไม่ปฏิเสธว่าในใจยังตัดอีกคนได้ไม่หมด แต่ในเมื่อผมไม่คิดจะกลับไปคบกับเค้าอีกแล้วผมก็ควรจะเริ่มใหม่
“พี่แฟ้มคร๊าบบบบบ”ตายยากเหลือเกินพ่อคุณ เพิ่งพูดถึงหยกๆ ก็โผล่มาเลย
“ว่ายังไงคร๊าบบบบ น้องอ้วนนนนน”ผมแกล้งทำเสียงล้อเลียนเค้าด้วยความหมั่นไส้
“มาชวนไปทานข้าวคร๊าบบบบบ”นายน้องอ้วนก็ยังเป็นนายน้องอ้วนเหมือนเดิม จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ ไม่ควรให้น้องมันมาเสียเวลากับผม เพราะบางทีคนอย่างผมอาจจะเหมาะที่ต้องอยู่คนเดียวเสียมากกว่า ในเมื่อเราเองยังมีคนอื่นติดค้างอยู่ในใจ มันก็อาจจะดูไม่แฟร์กับอีกคนที่เข้ามาหาเรา ผมเองก็คิดเรื่องนี้วกไปวนมาหลายรอบอยู่เหมือนกัน
“ใกล้จะเปิดเทอมอยู่แล้ว เพื่อนๆ ยังไม่กลับมากันเหรอ ถึงยังต้องมาชวนพี่กินข้าวด้วยนิ”จริงๆ นี่ก็ใกล้วันเปิดเทอมแล้ว คิดว่าน้องๆ นักศึกษาคงเริ่มทยอยกันกลับมาอยู่หอกันแล้ว แต่ยกเว้นแม่น้องสาวผมนะครับ รายนั้นคงมาแบบเปิดเรียนวันไหนมาวันนั้น
“ก็มีเพื่อนมาบ้างแล้วครับ แต่อยากทานพี่แฟ้ม เอ๊ย อยากทานกับพี่แฟ้มมากกว่า”ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ ให้กับเค้า นี่ผมว่าถ้าเค้าไปจีบคนอื่น เค้าอาจจะมีความสุขสมหวังไปแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลากับผมแบบนี้
“แล้วอยากกินอะไร”ผมถามกลับอย่างไม่ได้จริงจังนัก
“อะไรก็ได้ ให้พี่แฟ้มเลือกเลย ผมรู้ว่าพี่ทานแต่ของอร่อยๆ แต่จริงๆ ตัวผมก็อร่อยนะ พี่แฟ้มจะลองกินไหมครับ”โอ๊ยไอ้เด็กลามก นี่ทุกประโยคมันต้องวนมาเรื่องนี้ให้ได้เลยรึไง
“ทะลึ่ง เดี๋ยวไม่ไปกินด้วยเลยนิ”ต้องปรามๆ ไว้บ้างครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ พูดจามาแต่ละอย่างดูเอาเถอะครับ
ก็เป็นอันว่าเราเลือกทานอะไรง่ายๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เจ้าอร่อยของผมเลยแหละ แต่อยู่ค่อนข้างไกลจากร้านผม ช่วงนี้เลยไม่ค่อยได้กิน วันนี้เลยกะมากินให้หายอยากเสียหน่อย
“ทำไมพี่แฟ้มชอบกินเส้นหมี่ครับ”พอถึงร้านพ่อยอดชายนายน้องอ้วนก็มีคำถามอีกจนได้ครับ การแค่เลือกเส้นก๋วยเตี๋ยวนี่มันต้องมีเหตุผลอะไรมากมายด้วยเหรอ
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ”ผมตอบอย่างขอไปที
“แต่เท่าที่ผมจำได้ เวลาสั่งก๋วยเตี๋ยวพี่สั่งเส้นหมี่ตลอดเลย”นี่ทำวิจัยชีวิตผมมารึไงเนี่ย รู้ลึกรู้จริงเกินไปแล้วพ่อคุณ
“ก็พี่เป็นคนกินช้า ถ้าเป็นเส้นเล็กมันจะอืด ไม่อร่อย แต่เส้นหมี่มันไม่อืดนิ กินช้าก็ไม่เป็นไร”จริงๆ ผมก็กินได้หมดทุกเส้นทุกแบบแหละครับ แต่ถ้าจะหาเหตุผลให้ตัวเองก็คงเป็นเหตุผลนี้
“แค่นี้เองเหรอครับ”นายน้องอ้วนทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ
“ก็แล้วจะให้มีอะไรอีก แล้วอ้วนล่ะทำไมสั่งเส้นใหญ่”ไหนขอฟังเหตุผลของเค้าหน่อยสิว่ามันจะมีอะไรพิเศษขนาดไหนเชียว
“ก็เส้นใหญ่มันให้ความรู้สึก แข็งแกร่ง เป็นผู้นำ ดูแลคนอื่นได้ไงครับ”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมแทบจะอดหัวเราะกับเหตุผลของเค้าไม่ได้ มันจะมีใครมาสนใจวิเคราะห์คนจากการกินก๋วยเตี๋ยวเนี่ย
“ใช่แล้วพี่ อย่างเส้นหมี่ของพี่นะ มันก็จะให้อารมณ์แบบ คนที่น่าดูแลทนุถนอม อะไรแบบนี้ไง”
“ใครบอกมาเนี่ย”ชักจะไปกันใหญ่ครับ เพราะเวลากินก๋วยเตี๋ยวบางคนก็สั่งสลับกันทั้งนั้นแหละบางที เส้นเล็ก เส็นหมี่ เส้นใหญ่ มันจะไปมีตำราไหนมาทายบุคลิกจากการทานก๋วยเตี๋ยวเนี่ย
“ผมคิดขึ้นมาเองแหละพี่”นั่นไง ดูเจ้าตัวจะภูมิใจเสียด้วย ยิ้มใหญ่เชียว แต่ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเลยครับ
“นี่ก็เทอมสุดท้ายแล้ว หลังจากเรียนจบวางแผนไว้ยังไงบ้างล่ะหือ”ผมเปลี่ยนเรื่องชวนคุย เพราะถ้าปล่อยให้เค้าเป็นคนเลือกบทสนทนา ผมคงต้องกุมขมับ แถมคงต้องได้ฟังเรื่องราววกวนไปเกี่ยวกับเรื่องใต้สะดืออีกแน่ๆ
“ยังไม่ได้คิดเลยพี่”เค้าตอบกลับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“คิดได้แล้ว”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียง เชิงตำหนินิดหน่อย เพราะเทอมสุดท้าย มันก็เหลืออีกไม่กี่เดือนของชีวิตมหาวิทยาลัยแล้ว อาจจะไม่ต้องถึงขนาดว่าจะให้วางแผนอะไรที่จริงจัง แต่ควรจะคิดๆ ไว้บ้างว่าอยากจะทำอะไรต่อ ไม่ว่าจะเรียนต่อ หรือทำงานให้ตรงตามที่ร่ำเรียนมา คือก็อยากให้เค้าลองๆ คิดไว้หน่อย เพราะอย่างเฟิร์นน้องสาวผมเอง ก็เคยคุยๆ แล้วผมว่าอยากให้น้องเรียนต่อ แต่เจ้าตัวอยากลองทำงานก่อน
“จริงๆ ผมก็อยากทำงานเลยแหละครับ จะได้เก็บตังค์สร้างเนื้อสร้างตัว รีบมาขอพี่แฟ้ม”นั่นไง ยังไม่วายวนมาเรื่องนี้อีกจนได้
“แล้วคิดจะเรียนต่อด้วยไหม”จริงๆ ที่ถามเพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้ถ้าเรายังสามารถที่จะเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปอีก มันน่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของตัวเอง อันนี้ในมุมมองของผมนะ แต่แม่น้องสาวผมบอกว่า ทำงานไปสักพักแต่งงานก็คงต้องออกมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก ไม่เรียนดีกว่า ดูความคิดน้องผม
“จริงๆ ที่บ้านผมก็อยากให้เรียนต่อเลยแหละครับ แต่ผมอยากทำงานหาเงินเรียนเองมากกว่า จะได้ให้พี่แฟ้มเห็นด้วยว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากให้พี่มองผมเป็นเด็กที่ยังขอตังค์พ่อแม่ใช้”โห แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชีวิตเค้าละเนี่ย
“พี่จะไปคิดแบบนั้นทำไม จริงๆ พี่ว่าเรียนต่อเลยก็ดี มันจะได้ต่อเนื่อง บางทีถ้าเว้นช่วงไป กว่าจะปรับโหมดมาเรียนมันจะต่อลำบาก แต่ก็แล้วแต่อ้วนแหละ ยังพอมีเวลาคิด ตัดสินใจอีกหลายเดือนอยู่”ผมก็แค่เกริ่นๆ มาไม่ได้คิดว่าจะให้น้องมันเอาผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในชีวิตน้องเค้า
“พี่แฟ้มครับ ถ้าผมเรียนจบ ผมขอคำตอบจากพี่ได้ไหมครับ”อยู่ๆ ก็ปรับโหมดมาเสียจริงจังจนผมแทบจะปรับตามไม่ทันกันเลยทีเดียว
“คำตอบ???”แม้จะพอรู้ว่าเค้าหมายถึงเรื่องอะไร แต่ก็ไม่อยากจะเข้าใจผิดเลยต้องย้ำให้มันชัดเจน
“พอเรียนจบ พี่ช่วยบอกผมด้วยนะครับว่า ผมควรหยุดหรือเดินหน้าต่อไปในเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน”
แวะมาต่อและขอบคุณทุกคนอีกครั้งคร๊าบ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมา เห็นคนอ่านอิน คนเขียนก็ฟิน