บทที่ 3 (ต่อ)
ตอนเขามาถึงหน้ารั้วบ้านอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ไม่ได้ยืนรออยู่ตำแหน่งเดิมแล้ว
วสุไม่แปลกใจเลย ในเมื่อเขาหายไปนานขนาดนั้น ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าขอเวลาครู่เดียวแท้ ๆ แต่กลับมัวไปเล่นแมวแล้วยังคุยกับลูกพี่ลูกน้องจนยืดยาว
เด็กหนุ่มชะเง้อเข้าไปผ่านรั้วที่ไม่ได้คล้องกุญแจไว้ แต่ยังไม่กล้าถือวิสาสะเดินดุ่ย ๆ เข้าอาณาเขตบ้านคนอื่นแบบครั้งก่อน จึงตกลงกับตัวเองว่าจะกดออดแล้วยืนรอ ทว่ายังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น เสียงคุ้นเคยก็ลอยมาเข้าหูเสียก่อน
“เข้ามาสิ”
“...”
“รออะไรล่ะ?”หลังนั้น ฟังแล้วคล้ายคนพูดกำลังหัวเราะไปด้วย เขายกมือตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะผลักประตูรั้วสำหรับคนผ่านเข้าออกนิดหน่อยพอมีที่ว่างให้เบียดตัวเข้าไป ไอ้ขาวถือโอกาสตามเข้ามาด้วย เขาทำไม่รู้ไม่ชี้รอจนมันนวยนาดเข้ามาทั้งตัว จากนั้นจึงปิดประตูไว้เรียบร้อยอย่างเดิม เหลียวมองตามต้นเสียงที่เพิ่งเชื้อเชิญเขาอยู่เมื่อครู่
เอกภพโบกมือให้จากข้างบ้าน อีกมือหนึ่งถือสายยางที่ต่อไว้กับหัวฝักบัว ข้างกันนั้น ดุ๊กดิ๊กยืนเล่นน้ำอยู่ในสระเป่าลม คาบลูกบอลยางคาปาก ขนสีทองเปียกลู่แนบไปกับเนื้อตัว ออกท่าทางเริงร่ากลางอากาศร้อนตอนใกล้เที่ยงของกลางเดือนมีนาคม
วสุเดินเข้าไปใกล้ วางสมุดและเครื่องเขียนไว้บนโต๊ะซึ่งพ้นระยะที่อาจเปียกน้ำ ส่วนไอ้ขาวผู้เห็นทั้งหมาเห็นทั้งน้ำกลับเริ่มทิ้งระยะห่าง หันไปปีนป่ายต้นไม้ในสวน เลือกเล่นอะไรที่ถูกใจตัวเองมากกว่าแทน
“ขอโทษที่หายไปนานเลยครับ อุตส่าห์บอกว่าไปเอาของแป๊บเดียว”
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เริ่มละเลงแชมพูสำหรับสุนัขลงบนขนสีทอง ๆ ของดุ๊กดิ๊ก “ไม่ได้รีบไปไหน หาที่นั่งก่อนสิ พี่อาบน้ำไอ้อ้วนหน่อย”
เขาส่ายหน้า ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แล้วย่อตัวลงนั่งมองสัตว์เลี้ยงที่กำลังยืนให้เจ้านายนวดเพลิน ๆ
“ผมไม่เคยอาบน้ำให้หมาเลย”
“ปกติเลี้ยงพันธุ์อะไรหรือ?”
“ไม่เคยเลี้ยงครับ” วสุโคลงศีรษะอีกครั้ง วิธีพูดเขาคงทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเคยเลี้ยงแต่ไม่อาบน้ำให้ “ก่อนนี้เคยอยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ ไม่มีที่ทางเท่าไหร่ ถึงอยากเลี้ยงก็เลี้ยงไม่ได้”
“แล้วทำไมย้ายมาอยู่นี่ล่ะ”
เขาถอนใจเฮือก “ลุงไม่ค่อยสะดวกดูแล ทำงานยุ่งทุกวัน ทีนี้เปลี่ยนงานด้วย ไกลจากที่เดิมพอสมควร ก็เลยย้ายไปบ้านเช่าอื่นแทน ผมเดินทางไปเรียนยิ่งลำบาก ลุงเลยตกลงกับป้าแต๋วที่อยู่นี่กับลูกพี่ลูกน้องสองคน ให้รับดูแลผมอีกคนได้หรือเปล่า ไหน ๆ ตอนเด็กก็เคยสนิทกับพี่แพรวแล้วก็ไอ้ภัทร...หมายถึงลูกพี่ลูกน้องสองคนที่ว่าน่ะครับ”
“อ้อ” ชายหนุ่มตอบรับเบา ๆ เกาหูเกาคางสัตว์เลี้ยงไปด้วย แต่สายตาลอบมองเด็กหนุ่มผู้เอ่ยเรื่องเหล่านั้นออกมาหน้าตาเฉย ทั้งที่อายุเพียงแค่นี้แท้ ๆ “...แล้วพ่อแม่ล่ะ”
“เลิกกันนานแล้วละครับ แม่แต่งงานใหม่แล้ว ตอนนี้คงยังอยู่ต่างประเทศ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเยอรมันมั้ง...ผมลืมไปแล้ว.. ส่วนพ่อก็...อืม...ไม่รู้เหมือนกันครับ จำหน้าไม่ได้ซะด้วยสิ..” ว่าจบก็หัวเราะเจื่อน ๆ
“เหงาเลยสิ”
“...”
“หรือไง?”
วสุเลิกคิ้ว มองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูกเลย หากว่ากันตามจริงแล้ว...เขาไม่เคยรู้สึกเหงา...จนกระทั่งได้ยินเอกภพพูดคำที่ว่านี่เอง
“ไม่หรอกครับ..ฮ่า ๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะตบท้าย หวังกลบเกลื่อนความรู้สึกโหวงเหวงในอก นึกข้องใจกับตัวเองว่าทำไมกันนะ...ทั้งที่ใช้ชีวิตเป็นปกติมาได้ตลอดแท้ ๆ พอถูกเอกภพทักเข้า จึงรู้สึกอย่างกับจะร้องไห้ออกมาตอนนี้ยังได้เลย
เขาสูดลมหายใจลึก เอื้อมมือไปเกาหูให้ดุ๊กดิ๊กบ้าง พึมพำไปด้วยโดยเลี่ยงการสบตาคู่สนทนา
“..ผมว่าพี่ดูเหงากว่าอีก”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่ใหญ่ จนเขากังวลว่าพูดอะไรไม่ควรเข้าแล้วหรือเปล่า ก่อนจะได้รับคำตอบกลับมาแผ่วเบา
“...ดูเป็นอย่างนั้นหรือ..?”
“...แต่ผมไม่ได้หมายความในทางไม่ดีนะ” วสุรีบดักคอ กลัวว่าจะถูกเข้าใจผิดหากปล่อยค้างไว้เช่นนั้น “...ผมแค่หมายถึง...คิดว่าพี่อาจจะร่าเริงได้มากขึ้น...ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงดี..”
เด็กหนุ่มหยุดกลางคัน ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะอีกแล้วจึงหุบปากเสีย ก้มหน้าก้มตาแบมือให้ดุ๊กดิ๊กที่ยกขาหน้าขึ้นเป็นท่าสวัสดี เล่นกับหมาเงียบ ๆ อีกครู่ใหญ่ จนเอกภพล้างฟองสบู่ออกจากขนสีทอง หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวแล้วกึ่งดึงกึ่งลากให้หมาใหญ่เดินออกจากสระเป่าลมขนาดย่อมแล้วตามเข้าไปในตัวบ้าน ไม่ลืมจะหันมาเรียกเขาที่กำลังเงอะงะให้ตามไปด้วยอีกคน คงพอเดาได้แล้วว่าหากไม่เรียกคงยืนบื้ออยู่ที่เดิมอีกเป็นแน่
“ปกติอาบน้ำหมาเอิกเกริกอย่างนี้ตลอดเลยหรือครับ”
เขาถาม นึกถึงสระเป่าลมขนาดสำหรับให้เด็กสองสามคนลงไปนั่งเล่นได้สบาย ขณะสายตาก็กวาดมองเครื่องเรือนและการตกแต่งภายในตัวบ้าน รูปวาดสีน้ำบางส่วนถูกใส่กรอบติดไว้บนผนัง ดูใกล้ ๆ จึงเห็นลายเซ็นเป็นชื่อเอกภพ อดทึ่งไม่ได้เมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านมีฝีมือขนาดนี้เชียว วสุตื่นเต้นนิดหน่อยด้วยเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามา หลังจากแอบมองด้วยความชื่นชมจากข้างนอกตั้งแต่มาอยู่ใหม่
“ไม่หรอก” เอกภพตอบคำถามเมื่อครู่ของเขา ขณะที่เปลี่ยนจากผ้าขนหนูเช็ดขนไอ้ดุ๊กดิ๊กเป็นเอาไดร์เป่าแทน “พอดีว่าวันนี้อากาศร้อนน่ะ”
เด็กหนุ่มเงี่ยหูฟังอีกฝ่าย เสียงพูดสู้กับเสียงลมที่ถูกพ่นออกมาจากไดร์
“เลยตั้งใจปล่อยให้เล่นน้ำนานหน่อย”
“พี่เอกดูรักสัตว์อะ”
“อืม..อาจพิเศษกับตัวนี้ละมั้ง” ชายหนุ่มพึมพำ “เพราะเคยมีคนคนหนึ่งอยากเลี้ยง”
“ใครหรือครับ?”
วสุถามโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายนั้นต่างจากที่เขาคาดไว้ไปไกลทีเดียว
เอกภพหันมาจ้องเขาตรง ๆ สบตานิ่ง...และนาน...จนเกิดรู้สึกขัดเขินขึ้นมา แม้เข้าใจดีว่าปกติแล้วมันไม่ควรเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นนั้นเลย กับแค่มองตาคู่สนทนาซึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคนธรรมดาเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามเขา แต่กลับถามเรื่องอื่นแทน
“ชอบโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ไหม”
วสุรีบพยักหน้า จากนั้นก้มค้างไว้ ตั้งใจรอให้แก้มหายร้อนก่อนค่อยเงยอีกที
“แล้วเคยคิดอยากเลี้ยงบ้างหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มเม้มปาก เขาอาจไม่ได้คิดไปถึงขั้นอยากเลี้ยงจริงจัง เพราะรู้ดีว่าอย่างไรคงทำไม่ได้ แต่หากถามว่าถ้ามีโอกาสได้เลี้ยงจะเอาไหม ก็คงตอบว่าเอา
“...ถ้าเลี้ยงได้น่าจะดีครับ”
“เคยบอกว่าฝันถึงหมาโกลเด้นชื่อโรลล์ด้วยใช่ไหม”
“อ่า...” เขาอ้ำอึ้งไปนิดหน่อย จากนั้นพยักหน้ารับแต่โดยดี สารภาพอย่างเป็นทางการว่าในฝันเขามีหมาขนทองชื่อโรลล์ปรากฏอยู่จริง
“รู้ไหม ตอนช่วงพี่ยังเป็นเด็กประถมถึงมัธยม ก็เคยเลี้ยงโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อโรลล์ วันนั้นเลยค่อนข้างตกใจที่ได้ยินนายเรียกดุ๊กดิ๊กด้วยชื่อนั้น”
ชายหนุ่มว่าพร้อมรอยยิ้มบางเบา ทำเหมือนพูดเรื่องธรรมดาทั่วไปซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน ขณะที่วสุอ้าปากค้าง มองอีกฝ่ายถอดปลั๊กไดร์แล้ววางมันไว้บนโต๊ะ ปล่อยดุ๊กดิ๊กที่ขนแห้งแล้วเดินเตร่ ครู่หนึ่งมันก็ย่อลงนอนแผ่กลางบ้านอย่างสบายใจ เหลือแต่พวกเขาสองคนที่ยังไม่มีใครรู้ว่าบทสนทนานี้จะไปสิ้นสุดตรงไหน
“...บังเอิญจังเลยนะครับ”
แม้ปากว่าอย่างนั้น แต่ใจกลับอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงหรือ ตัวเขาที่ฝันซ้ำ ๆ มาตั้งแต่จำความได้ เป็นไปได้ไหมหากความฝันเหล่านั้นจะมีอะไรอย่างอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อีก
“นั่นสิ”
เอกภพรับคำ สายตามองเลยไปยังประตูห้องด้านในสุดของตัวบ้านที่เขาใช้เก็บรูปวาดและรูปถ่ายของวสันต์ คนรักผู้จากเขาไปตลอดกาล จะสิบห้าปีมาแล้วนับจากที่ได้ยินเสียงเด็กคนนั้นครั้งสุดท้าย แต่คำเรียก ‘พี่เอก’ ซึ่งเคยฟังบ่อย ๆ กลับยังติดหูเขาอยู่เลย
“พี่เอก”
“ไอ้ตี๋..”
“!?”
วสุเบิกตากว้าง เกือบสะดุ้งออกมาแล้ว ชายหนุ่มหันมาเลิกคิ้วใส่เขาด้วยท่าทางประหลาดใจ แต่เขาเองต่างหากที่แปลกใจยิ่งกว่า
“
‘ไอ้ตี๋’ ที่พี่พูดคือใคร”
อีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะโคลงศีรษะช้า ๆ
“สมุดกับดินสอล่ะ เอามาด้วยหรือเปล่า ไหนว่าจะมาวาดรูปไม่ใช่หรือ”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเลี่ยงคำถามเขา
“ไอ้ตี๋คือใครหรือครับ” เด็กหนุ่มยังคาใจ นึกย้อนไปถึงเมื่อคืนที่เอกภพเรียกเขาด้วยชื่อคนอื่น “วสันต์ก็ด้วย..”
“...”
“...ไอ้ตี๋กับวสันต์...พี่หมายถึงคนเดียวกันหรือเปล่า”
เอกภพมองเขาอย่างชั่งใจ ครู่ใหญ่ที่เอาแต่จ้องอยู่เช่นนั้นจนรู้สึกว่าวางตัวลำบาก อีกฝ่ายก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างอ่อนล้า
“..ใช่”
“แล้วเขาเป็นใครหรือครับ...”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเด็กหรอก” ชายหนุ่มตัดบท ใช้ความต่างของวัยเป็นข้ออ้าง และคล้ายจะบอกกลาย ๆ ว่าอย่าสอดรู้สอดเห็นนัก
“...ขอโทษครับ”
วสุยิ้มเจื่อนออกมา พลางคิดว่าตัวเองเซ้าซี้อีกฝ่ายขนาดนี้ไม่ดีเลย คนพูดอาจไม่ได้อยากเล่า และพวกเขาก็เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่นานแท้ ๆ แต่ความรู้สึกลึก ๆ คล้ายจะกระซิบบอกเขา ว่าผู้ชายคนนี้อาจมีคำตอบให้กับเรื่องความฝันประหลาดของตัวเองก็ได้ สิ่งที่เขาคาใจมาทั้งชีวิต...ถ้าเพียงแต่จะได้เข้าใกล้มากขึ้นสักหน่อย
“งั้นพี่เอกรอผมแป๊บเดียว เดี๋ยวผมออกไปเอาสมุดก่อน เมื่อกี้ลืมไว้ข้างบ้าน”
เขาไม่รอให้อีกฝ่ายแม้แต่จะพยักหน้ารับ รีบวิ่งออกไปแล้วคว้าสมุดที่ตัวเองวางทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนมา มองไปไกล ๆ ยังเห็นแมวดำปีนป่ายอยู่บนพุ่มโมกก็โล่งใจเหมือนยังมีเพื่อนอยู่ แม้จะคิดไปเองทั้งนั้น
ครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ย้อนกับมาที่เดิมอีกรอบ แต่คราวนี้มีทั้งจานสี พู่กัน แก้วน้ำ และกล่องสีอะไรสักอย่าง วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นที่ตอนแรกไม่เห็นมีอยู่ตรงนี้
“สี..?”
“สีน้ำน่ะ” เอกภพยิ้มน้อย ๆ “ที่บอกจะให้ยืมไง วันนี้เอาเป็นสีน้ำละกันนะ”
“อะไรก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มหน้าบาน ย่อตัวลงบนเบาะรองนั่ง ขยับหาท่าที่สบายแล้วเริ่มสำรวจของที่เอกภพเอามาเรียง แค่เขาวิ่งออกไปข้างนอกครู่เดียวเท่านั้นเอง
“เคยเล่นสีน้ำมาก่อนไหม”
“ก็แบบ...กล่องละสามสิบกว่าบาท” วสุหัวเราะแหะ ๆ “เอามาละเลงส่งอาจารย์ ฝีมือกับเทคนิคคงที่ตั้งแต่อนุบาลอะครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะตาม จากนั้นเปิดกล่องแล้วหยิบหลอดสีในนั้นออกมาให้เขาถือไว้ ฝาด้านในเปื้อนรอยสีเก่าเป็นดวง สภาพบางหลอดบิดเบี้ยวบ่งบอกว่าถูกใช้งานมาโชกโชนพอดู แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากขึ้น เด็กหนุ่มมองมือใหญ่ ๆ ของเอกภพ พลางนึกไปด้วยว่าสีพวกนี้ได้กลายเป็นรูปวาดแบบไหนด้วยมือของผู้ชายตรงหน้านี้กัน นอกจากภาพวิวหรือดอกไม้ที่แขวนอยู่ตามผนังบ้าน เอกภพจะวาดรูปอะไรอีกบ้างหนอ..
เสียงอธิบายเรื่องธรรมชาติของสีน้ำลอยเข้าหูเขา น่าจะเป็นแบบเดียวกับที่อาจารย์ศิลปะเคยพร่ำ ฟังครั้งก่อน ๆ นั้นเขาไม่ได้สนรายละเอียด แต่ครั้งนี้กลับตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่ามีรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าตั้งแต่เมื่อไร ตระหนักได้ก็ตอนถูกเอกภพทักเข้านั่นละ
“ชอบมากเลยหรือ?”
“..หะ..หา?”
“พี่หมายถึงสีน้ำน่ะ” มืออีกฝ่ายยื่นมาวางบนศีรษะเขา จับโคลงเบา ๆ อย่างเอ็นดู “...ยิ้มไม่หยุดเลย”
มือของคนที่วาดรูปสวย ๆ อย่างที่อยู่ในกรอบบนผนัง...ตอนนี้ลูบอยู่บนเส้นผมเขานี่เอง คิดแค่นั้นก็ต้องยกมือขึ้นกุมอกพร้อมกับหลับตาปี๋ ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรนักหนา
“อ้าว..?” เอกภพเลิกคิ้ว มองหน้าแขกต่างวัยที่ตอนนี้กลายเป็นสีชมพูระเรื่อไปแล้ว
...น่ารัก...แวบหนึ่งที่ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น เด็กคนนี้เหมือนกับวสันต์ตอนที่เคยเล่นสีน้ำกับเขาในชมรมศิลปะ...แต่ทำไมถึงนึกเรื่องเก่าขึ้นมาตอนนี้
เอกภพชักมือตัวเองกลับ อึดใจหนึ่งเด็กหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมอง ร่องรอยอาลัยปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นชั่วขณะ ก่อนเจ้าตัวจะหลบตาเขา หันไปสนใจกับจานสีตรงหน้าแทน
พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมง วสุฝีมือไม่เลวทีเดียวหากเทียบกับมือใหม่ทั่วไป เด็กหนุ่มจรดปลายพู่กันลงไปอย่างใจเย็น หยดสีซับลงบนเนื้อกระดาษเชื่องช้า พวกเขาเฝ้ามองดอกไม้ค่อย ๆ แย้มกลีบแล้วเบ่งบานบนกระดาษสีขาว เมื่อเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแต่ละดอก เด็กหนุ่มก็เงยขึ้นมองหน้าเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มละมุน...แบบที่เห็นแล้วทำเอาอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“สีน้ำดูอ่อนโยนดีนะครับ.."
"อา"
"..เวลามันละลาย..แล้วก็จางลงไปกับน้ำ...ซึมลงบนกระดาษช้า ๆ”
“ใช่” เขามองใบหน้าแต้มรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม “...เป็นสีที่อ่อนโยน...และต้องรอคอย ถึงจะแห้งไว แต่ถ้าใจร้อน เราก็จะเสียภาพนั้นไปได้ง่าย ๆ”
“....เป็นสีที่เหมาะกับพี่เอก”
“ยังไงหรือ?”
“...อ่อนโยน..” วสุพึมพำ “...และรอคอย”
“....”
เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ ดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ “...คือ...ผมหมายถึง พี่ดูเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง..หรือบางคน...ไม่รู้เหมือนกัน ผมอาจคิดมากไปเอง อา...ขอโทษครับ”
เอกภพพยักหน้า แต่ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่เขาตระหนักขึ้นได้ว่าตัวเองใช้คำขอโทษสิ้นเปลืองเหลือเกิน ไม่รู้อีกฝ่ายจะรำคาญหรือเปล่า
เด็กหนุ่มเหลือบมองบนโต๊ะ หาว่ามีอะไรพอเปลี่ยนทิศทางบทสนทนาได้บ้าง ก็สังเกตเห็นว่าแก้วน้ำที่ใช้ล้างพู่กันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขมุกขมัวไม่น่าใช้
“น้ำในแก้วกลายเป็นสีเน่าไปแล้ว” เขาทัก
“อา..ลืมดูเลย”
“เดี๋ยวผมเอาไปเปลี่ยนนะ”
“ที่อ่างล้างมือด้านหลังก็ได้” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปอีกฝั่ง "เดินเลยห้องนั้นไป”
เด็กหนุ่มรับคำ ลุกขึ้นหยิบแก้วใหญ่สองใบไว้ในมือ ดุ๊กดิ๊กเห็นการเคลื่อนไหวของคนเช่นนั้นก็ลุกขึ้นด้วย เดินมาโฉบใกล้ ๆ ก่อนจะคาบเอารูปวาดที่เอกภพทำเป็นตัวอย่างให้ดูแผ่นแรกขึ้นมาไว้ในปาก
“ดุ๊กดิ๊ก อย่ากินนะ” ชายหนุ่มปรามทีเล่นทีจริง ไม่ได้แย่งกลับคืนมา ถึงแม้เมื่อสักครู่ก่อนวสุจะขอเขาไว้ว่าอยากเอาไปติดผนังห้องตัวเองที่บ้านได้หรือเปล่า พอพยักหน้ารับก็ดีใจใหญ่ แต่เอกภพคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้จริงจังนัก หากชอบจริง ๆ เอาไว้เขาจะวาดให้ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก
เขานั่งมองเจ้าหมาขนทองคาบกระดาษเดินตามวสุไปถึงอีกฝั่งของตัวบ้าน เมื่อหนึ่งคนกับหนึ่งตัวพ้นสายตาจึงเอนหลังพิงโซฟาจากบนพื้น หลับตาแล้วผ่อนลมหายใจยาว นึกถึงเด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกออกไป
วสุ...วสันต์...ทั้งสองคนชื่อคล้ายกันเหลือเกิน ทว่าบรรยากาศรอบตัวกลับคล้ายกันยิ่งกว่า ทำไมนะ
ระหว่างที่นั่งวาดรูปอยู่ด้วยกัน วสุเล่าความฝันออกมาบ้าง แม้ไม่ได้ตั้งใจพูดเป็นเรื่องเป็นราวนัก ดูเหมือนหลุดปากตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยตามประสาเจ้าตัวมากกว่า แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเล่าเรื่องของเขากับวสันต์ออกมา มันเหมือนกันไม่มีผิด ทั้งจักรยาน หมาขนทองชื่อโรลล์ ถ่านชาร์โคลที่เปรอะเปื้อนทั้งมือและใบหน้ากับกระดานวาดรูป หรือแม้กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่เขาเคยแปะไว้บนอกเสื้อนักเรียนของวสันต์ วสุก็เอ่ยมันออกมาราวกับเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาตัวเอง แต่เป็นในความฝันของเจ้าตัว...ความฝันซ้ำ ๆ ที่เด็กหนุ่มบอกว่าตัวเองใช้ชีวิตเป็นอีกคน เรื่องบังเอิญเช่นนี้มีด้วยหรือ
วสุที่อายุย่างเข้าสิบห้าปี กับวสันต์ที่จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อราวสิบห้าปีก่อน..
ชายหนุ่มยกมือนวดบนขมับ สับสนกับความรู้สึกตัวเองที่อัดแน่นอยู่ในอก เขาไม่เคยคิดสนใจเรื่องการระลึกชาติ เกิดใหม่ หรืออะไรเทือกนั้นมาก่อนเลย บอกไม่ถูกว่าเชื่อหรือเปล่า เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว และไม่เคยเจอประสบการณ์ตรง แต่พอพบเรื่องแบบนี้เข้าก็อดคิดไม่ได้ ใจหนึ่งบอกว่างมงาย ทว่าอีกใจกลับเถียงว่าแล้วหากเป็นเรื่องจริงเล่า?
เสียงกุกกักจากอีกฝั่งหยุดความคิดเขาไว้ เรียกให้เอกภพเงยหน้าขึ้น เหลียวไปทางต้นเสียง
วสุก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงนั้นกับดุ๊กดิ๊ก ที่หน้าประตูห้องซึ่งเขาเก็บรูปวาดและรูปถ่ายมากมายของวสันต์เอาไว้ ห้องที่เขารักและหวงแหนยิ่งกว่าส่วนอื่นในบ้าน แม้แต่ดุ๊กดิ๊กที่อยู่ด้วยกันมานานก็ยังไม่เคยให้เข้าไปสักครั้ง
เด็กหนุ่มก้มลงเอาหน้าแนบพื้น สอดสายตาผ่านใต้ประตู และเหมือนพยายามจะหยิบอะไรออกมาจากช่องเล็ก ๆ นั้น เป็นการกระทำที่เขาไม่เข้าใจ แต่ก็หวงห้องที่ว่าเกินกว่าจะคิดหาเหตุผลว่าวสุกำลังทำอะไรอยู่ คำพูดหลุดออกจากปากไปแล้ว
“อย่ายุ่งกับห้องนั้น!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ศอกชนเข้ากับแก้วที่วางไว้ใกล้ ๆ จนน้ำหกนองพื้น หันกลับมามองเอกภพอย่างตื่นตระหนกด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง
“..พี่เอก ผะ...ผมขอโทษครับ...มะ...ไม่ได้ตั้งใจจะ...”
วสุลนลานจนน่าสงสาร ละล่ำละลักเสียจับใจความแทบไม่ได้ คงตกใจที่เขาร้องเสียงดังเมื่อครู่ พอยิ่งพูดจึงยิ่งตะกุกตะกัก
“..คือ...กระดาษที่ดุ๊กดิ๊กคาบ...แล้ว....ผมขอโทษ เดี๋ยวผมจะเช็ดน้ำที่หกให้”
“..อา..” ชายหนุ่มยกมือกุมหน้าผาก ปัดมือไปมาตรงหน้าตัวเอง “...ไม่..ไม่เป็นไร อย่าใส่ใจ พี่แค่ตกใจนิดหน่อย ไม่ได้ว่าอะไร เดี๋ยวพี่เช็ดเอง”
วสุชะงัก จากนั้นก็ก้มหน้ามองน้ำซึ่งเจิ่งนองอยู่รอบเท้า รู้สึกเหมือนเพิ่งทำความผิดมหันต์ ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ว่าอะไร แต่จากท่าทางนั้นบอกชัดเจนว่าเขาได้ไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรแตะเสียแล้ว
“..ห้องนี้...สำคัญสินะครับ”
“....”
ชายหนุ่มมองเด็กผู้เป็นแขกของเขา ขณะที่ตัวเองก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ แววตาอีกฝ่ายช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนนึกหวาดกลัว ทั้งที่รูปลักษณ์ไม่คล้ายกันสักหน่อย แต่เหตุใดทุกครั้งที่เห็นวสุ เขากลับนึกไปถึงวสันต์โดยไม่สามารถบอกจุดเชื่อมโยงให้ชัดเจนได้
“ผมขอโทษจริง ๆ”
“ไม่เป็นไร” เอกภพย้ำคำเดิมอีกครั้งแล้วถอนใจยาว เขาอาจแค่เหนื่อยค้างคาจากงานซึ่งขนกลับมาทำที่บ้าน เจออะไรแบบนี้เข้าเลยฟุ้งซ่าน อาจต้องให้เวลากับตัวเองมากขึ้น บ่ายนี้งีบสักหน่อยก็ดี “...นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ”
“พี่เอก..”
“วาดรูปค้างอยู่ใช่ไหม สีน้ำนั่นพี่ให้ยืมกลับไปเล่นที่บ้านได้ เอาไปเลยก็ได้ ถือว่าพี่ให้”
“...ผมไม่—”
“กลับก่อนเถอะนะ” น้ำเสียงเขาเกือบจะเป็นอ้อนวอน ไม่รู้เลยว่าหากยังอยู่ใกล้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาบ้าง ทั้งยังที่วสุพยายามจะทำอะไรสักอย่างกับห้องนั้นโดยเขาไม่ได้อนุญาตอีก เขาอาจโกรธ...สับสน...ติดใจสงสัย..หวาดกลัว...หรืออะไรสักอย่าง...แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่ควรเกิดกับเด็กซึ่งอายุต่างกันถึงยี่สิบปีแน่ ๆ
“....”
“วสุ..”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเขากล้า ๆ กลัว ๆ อ้าปากคล้ายอยากพูดบางสิ่ง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา อึดใจหนึ่งก็ทำคอตก เอ่ยรับเสียงแผ่วทั้งตาแดง ๆ
“...ครับ...”
ก่อนจะค้อมตัวเดินผ่านเขา ได้ยินคำขอโทษแผ่วเบาระหว่างที่สวนกัน ไม่เงยขึ้นมองหน้าอีกเลย ทำเพียงแต่กลับไปนั่งเก็บข้าวของตัวเองเงียบ ๆ จากโต๊ะญี่ปุ่นข้างโซฟา
ดุ๊กดิ๊กส่งเสียงร้องหงิงอยู่ข้างเขา มองไปทางวสุตาละห้อย จากนั้นหันกลับมายังตำแหน่งเดียวกับที่เด็กหนุ่มเพิ่งก้มลงมองเมื่อครู่ มุมกระดาษแผ่นหนึ่งโผล่ออกมาจากช่องว่างใต้ประตูนั้น
เอกภพเลิกคิ้ว ก้มตัวลงไปเอานิ้วเขี่ยมันออกมา ใช้ความพยายามอยู่ครู่หนึ่งจึงดึงติดมือหลุดมาได้ เพื่อจะพบว่ามันคือรูปวาดตัวอย่างของเขา ใบเดียวกับที่วสุขอเอาไปติดที่ผนังห้องตัวเอง และใบเดียวกับที่ดุ๊กดิ๊กคาบตามเด็กหนุ่มตอนเดินไปเปลี่ยนน้ำล้างพู่กัน
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เมื่อครู่วสุพยายามบอกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับดุ๊กดิ๊ก...หรือกระดาษที่ดุ๊กดิ๊กคาบ...อะไรเทือกนั้น เจ้าตัวคงหมายถึงสิ่งนี้ กระดาษอาจหล่นแล้วปลิวลอดเข้าไปใต้ประตู จึงได้พยายามเอามันกลับคืนมา แต่ด้วยความที่ตอนอธิบายนั้นลิ้นพันกันไปหมดจนเขาจับใจความลำบาก กว่าจะนึกถึงเหตุผลได้ก็ตอนที่อีกฝ่ายเก็บของเสร็จแล้ว
“ดุ๊กดิ๊ก...” ชายหนุ่มพึมพำ ก้มลงไปมองสัตว์เลี้ยงเพื่อนยากของตัวเอง “แกทำหรือ?”
เจ้าหมาแก่ร้องหงิงอีกครั้ง ทำหน้าจ๋อยใส่พื้นบ้าน ออกอาการยอมรับเหมือนตอนรู้ตัวว่าทำความผิด
เอกภพรู้สึกอยากต่อยหน้าตัวเองสักที
“...งั้นผมไปก่อน...ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
วสุพึมพำเสียงแผ่ว ตัวเหมือนจะยิ่งหดลงเหลือนิดเดียว นึกเสียใจว่าเข้ามาเล่นในบ้านอีกฝ่ายวันแรกก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ท่าทางคงไม่มีโอกาสได้รับเชิญอีกเป็นครั้งที่สอง รูปวาดที่ขอเอกภพไว้ก็ถูกเจ้าหมาขนทองทำร่วงผลุบหายเข้าไปใต้ประตูห้องนั้น เขาไม่กล้าเอาสีน้ำอีกฝ่ายกลับไปด้วย คงจะเหลือแค่ดอกแก้วและดอกโมกเหี่ยวเฉาที่ได้ไปเมื่อวานนี้ไว้เก็บเป็นที่ระลึก
เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลัง เตรียมเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน แต่ก็ได้เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น...
ข้อมือเขาถูกรั้งไว้ ตามด้วยแรงดึงซึ่งมากพอจะทำให้เสียการทรงตัว เซไปด้านหลัง เท้าที่เปียกน้ำเมื่อครู่ยังไม่ทันแห้งดี จึงยิ่งลื่นกว่าปกติจนล้มลงไปเกือบหมดท่า โชคดีอยู่สองอย่าง ข้อแรกคือมีเบาะรองนั่งอยู่ข้างหลังรออยู่ และอีกอย่างคือเอกภพช่วยพยุงแขนเขาไว้ทันช่วงก่อนลงพื้นนิดหน่อย จึงหย่อนตัวลงนั่งได้อย่างปลอดภัย ก่อนเจ้าตัวจะย่อเข่าตามลงมาอีกคน
“เป็นอะไรไหม?”
เขาก้มหน้างุด พึมพำเสียงสั่น
“...ผมไม่เป็นไร”
“ขอโทษด้วย" ชายหนุ่มเหลือบมองกระดาษที่ยังมีรอยฟันสัตว์เลี้ยงตัวเอง "ไม่รู้ว่าดุ๊กดิ๊กปล่อยกระดาษนั่นหลุดเข้าห้อง แล้วก็ไม่รู้ว่านายอยากได้มันขนาดนั้น”
เด็กหนุ่มช้อนตาขึ้นมองเขากล้า ๆ กลัว ๆ ทำท่าเหมือนตั้งสติอยู่อึดใจ สุดท้ายจึงยอมพูดต่อ
“...พี่เอกอุตส่าห์ให้ผมแล้ว...เป็นรูปแรกที่เคยมีคนวาดให้..ผมเลยอยากเก็บไว้ดี ๆ”
เอกภพเม้มปาก ก็ไหนวสุบอกว่าเขาอ่อนโยน...แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกตัวเองจิตใจแข็งกระด้างเหลือเกิน มัวแต่หวงห้องนั้นเกินเหตุ น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กซื่อ ๆ แบบนี้คงไม่สามารถคิดร้ายต่อใครได้
“ถ้าอยากได้ เอาไว้จะวาดให้อีก”
“จริงหรือ?” วสุสีหน้าดีขึ้นมาทันควัน “...แต่รูปแรกผมก็อยากได้อยู่ดี แล้ว...แล้วผมจะมาที่นี่ได้อีกไหม จะไม่เดินเพ่นพ่านอีกแล้ว”
“ได้สิ เดินเพ่นพ่านก็ได้”
อีกฝ่ายมีทีท่าลังเลเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“...พี่ไม่โกรธผมหรือ?”
“ไม่หรอก...โกรธตัวเองมากกว่า ขอโทษนะ”
“...”
“นี่...วสุ”
เด็กหนุ่มอ้าปาก ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่มือของชายหนุ่มกลับเอื้อมมาวางทาบอยู่บนแก้มเขา..มือของผู้ใหญ่ที่ฝ่ามือไม่ได้นิ่มนัก แต่ก็เป็นมือซึ่งเปลี่ยนหลอดสีบู้บี้ให้กลายเป็นภาพสวย ๆ และอ่อนโยนเหล่านั้นขึ้นมา
สัมผัสที่ได้รับนุ่มนวลจนชวนให้ใจสั่น แม้ทุกครั้งที่สบตาจะใจเต้นแรง แต่คราวนี้เขากลับไม่อาจเบือนหน้าไปทางอื่นได้ ราวกับถูกตรึงการมองเห็นไว้แค่กับดวงตาที่ฉายแววเศร้าสร้อยต่อหน้า
ระยะห่างระหว่างปลายจมูกพวกเขาหดสั้นลง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนเข้าหา...หรือเป็นเขาเองที่ขยับเข้าไป...
“..เคยจูบไหม?”
เสียงทุ้มต่ำของเอกภพลอยมาเข้าหู แค่กระซิบเท่านั้นเอง แต่ในระยะใกล้แค่นี้ก็ได้ยินชัดเจน ชัดพอกับที่รู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายบนริมฝีปากเขา
เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ
“...พี่ล่ะ?”
คำถามตอบที่พวกเขาแลกกันนั้นช่างคุ้นเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินและได้พูดอย่างนี้มาก่อน...ในความทรงจำอันเลือนราง...สักครั้งหนึ่ง ณ ห้วงเวลาเนิ่นนานมาแล้ว...หรือไม่ก็ในความฝันของเขา...
...ใช่...ในความฝันของเขา...วสุหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อมากมายบินอยู่ในท้อง เสียงที่เคยได้ยินในฝันกำลังดังซ้อนกับเสียงจริง ถ้อยคำและบรรยากาศอันคล้ายคลึง...เขาจำได้ เขาเพิ่งฝันถึงมันเมื่อไม่กี่คืนก่อนเท่านั้นเอง...
‘นี่..ไอ้ตี๋’
‘…’
‘เคยจูบไหม?’ตัวเขาในฝันส่ายหน้า ตอบกลับใครสักคนไปแบบเดียวกับที่เพิ่งเอ่ยกับเอกภพ
‘พี่ล่ะ?’ใครกัน...เขากำลังพูดอยู่กลับใคร ตัวเองในความฝันตอนนั้นคือใคร และคนที่เอกภพกำลังพูดด้วยอยู่ตรงนี้คือใคร?
“...วสุ?”
“ไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้ตี๋ของพี่!”เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นเสียงดัง เผลอยันตัวเองถอยออกจากเอกภพจนหงายหลังลงไปกับพื้น หัวใจเต้นระรัวราวกับเสียงกลอง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนขมับ มองเอกภพซึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง
“...พี่เอก..”
เสียงเขาแหบพร่า มันสั่นพอกับร่างกายที่กำลังไหวระริก ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่ามีหยดน้ำอุ่น ๆ ร่วงผล็อยลงมาจากขอบตาตัวเอง
“...แต่คนในฝันผมคือพี่เอกใช่ไหม?”โปรดติดตามตอนต่อไป
ยาวเหยียดเลยค่ะตอนนี้ ความยาวเกือบจะแบ่งเป็นสองตอนได้เลย ตอนแรกก็ว่าจะแบ่ง แต่กลัวค้างค่ะ
(แต่ดูเหมือนไม่แบ่งก็ยังค้างอยู่ดีรึเปล่า Orz)
เที่ยวนี้มาต่อช้า แต่มาต่อยาว ๆ หวังว่าจะพอชดเชยกันได้นะคะ ฮรืออ ขอโทษคนอ่านด้วยค่ะ ขอบคุณที่ยังรอกันค่ะ *กอดดดด*

แปะรูปส่งท้ายนะคะ วสุ กับ วสันต์ ค่ะ

พบกันตอนหน้าค่า ^o^