“แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน”
บทที่ 1 เมล็ด
นายของดุ๊กดิ๊กนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นานมากแล้ว ปกตินายเหม่อบ้างเวลาอยู่คนเดียว แต่ครั้งนี้ดูจะนานกว่าที่เคยสักหน่อย มันเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวนายมาพักใหญ่จนไม่รู้จะทำอะไร ทรุดตัวลงเอาคางเกยตักรอมือมาลูบ นายวางมือบนหัวมันอย่างเคย แต่ขยับได้พักเดียวก็นิ่งไปแล้วค้างเช่นนั้นเป็นนาน สายตาล่องลอยอยู่แถวรั้วบ้านซึ่งแบ่งอาณาเขตระหว่างบ้านหลังนี้กับบ้านครึ่งอิฐครึ่งไม้อีกฝั่งรั้ว
ดุ๊กดิ๊กอ้าปากหาว นึกถึงชื่อที่เด็กหน้าง่วงเพิ่งเรียกมันตอนเจอกันก่อนหน้านี้
‘โรลล์’โรลล์อะไรกันเล่า? มันชื่อดุ๊กดิ๊กต่างหาก
แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ตรงที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเคยได้ยินชื่อโรลล์ นายเคยบ่นถึงหมาขนทองพันธุ์เดียวกับมันที่เคยเลี้ยงแต่ตายไปแล้ว และยังพึมพำเสมอว่าคิดถึงคนรักที่เคยเล่นกับโรลล์ด้วยกันเมื่อก่อน ทว่าตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
คนรักของนายชื่อวสันต์ คนเดียวกับที่มีรูปอยู่เต็มห้องสีขาวของนาย ทั้งรูปวาดและรูปถ่ายมากมายไปหมด มันไม่เคยได้รับอนุญาติให้เข้าไปในห้องนั้น แต่เคยมองเห็นจากด้านนอกผ่านประตูซึ่งเปิดค้างอยู่ ส่วนหมาตัวก่อนของนายเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อโรลล์ ดุ๊กดิ๊กที่มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนายในภายหลังเข้าใจเรื่องราวอยู่ประมาณนี้
“โรลล์...”
มันได้ยินชื่อนั้นอีกครั้ง คราวนี้ดังแผ่วออกมาจากปากนายที่ยังนั่งเหม่อเช่นเดิม แววตานายหม่นลงเมื่อเอ่ยชื่อที่ว่า แต่อึดใจต่อมากลับมีความสงสัยปรากฏขึ้นแทน
“..เดาเอาหรือ...บังเอิญไปไหม”
มันพยักหน้ากับตัวเอง สนับสนุนความคิดนาย ท่าทางคงหมายถึงเจ้าเด็กหน้าง่วงริมรั้วคนนั้นที่จู่ ๆ ก็โพล่งชื่อในความทรงจำคนอื่นออกมา แล้วช่างให้เหตุผลมาได้ว่าเดาเอา ใครเชื่อก็หมาแล้ว...ขนาดมันเป็นหมายังไม่เชื่อเลย แต่ถ้าเป็นเจ้าแมวดำจอมหยิ่งที่ชอบนวยนาดบนขอบรั้วนั่นก็ไม่แน่
“แกว่าเด็กคนนั้นประหลาดไหม?”
ดุ๊กดิ๊กหูกระดิก แลบลิ้นแหะแสดงอาการเห็นด้วยสุดใจ แถมนายยังพูดกับมันแล้วในที่สุด หลังจากเอาแต่เหม่อจนนึกว่าลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ตรงนี้ด้วย
นายส่ายหน้าเบา ๆ ยิ้มบางให้กับท่าทางของมัน บรรยากาศเศร้าสร้อยยังอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวนายเหมือนที่ผ่านตั้งแต่ดุ๊กดิ๊กจำความได้ แต่ก็นับเป็นความเคยชินอีกรูปแบบหนึ่งของมันไปเสียแล้ว ด้วยเข้าใจว่านายก็เป็นเช่นนี้เสมอนั่นละ ตลอดชีวิตคงไม่เปลี่ยนอีกแล้ว ในเมื่อทุกอย่างยังคงเดิมมาตลอดหลายปี...
แล้วจะมีอะไรหรือใครที่ทำให้เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ เล่า?
-✣-✤-✣-✤-✣-✤-✣-✤-✣-
ผู้ชายคนนั้น...เจ้าของบ้านสีขาวที่วสุคิดเอาเองว่าชื่อเอก เขาออกจากบ้านไปตอนเที่ยงวันเสาร์
เด็กหนุ่มอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ เมื่อเผลอทีไรก็คอยจะเหลือบมองไปยังบ้านหลังนั้นอยู่เรื่อย ตัวบ้านและอาณาเขตในรั้วสวยงามแบบร่วมสมัย สัตว์เลี้ยงมี ต้นไม้ก็มากและจัดแต่งไว้งามตา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าบ้านหลังนั้นช่างดูเงียบเหงาเหลือเกิน ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป และเจ้าของบ้านก็ยังคงมีชีวิตอยู่กับบ้านที่เว้าแหว่งในความรู้สึกอย่างนั้นเรื่อยมา
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วให้กับความคิดตัวเอง นี่มันออกจะพิลึกไม่น้อย ทั้งที่เขายังไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรมาเชื่อว่าเจ้าตัวกำลังเหงา บางทีอาจมีแฟนสาวน่ารัก ๆ สักคนรอให้ไปหาในบ่ายวันเสาร์แบบนี้ก็ได้
เขาย่อตัวลงนั่งบนชิงช้าไม้ใต้ต้นมะม่วง ห่างออกมาจากรั้วสักหน่อย มัวแต่ยื่นหน้าไปมองทุกวัน ใครเห็นคงหาว่าเตรียมยกเค้า
แต่ทั้งที่คิดอย่างนั้นแท้ ๆ สายตายังไม่วายลอบมองอยู่เนือง ๆ พักหนึ่งก็กลับมาเหม่อ ใจลอยไปกับความฝันของตัวเองเมื่อคืน
ครั้งล่าสุดที่เพิ่งเกิด เขายังฝันว่าตัวเองคล้ายกับกำลังใช้ชีวิตเป็นคนอื่นเช่นเคย แต่เนื้อหาออกจะอบอุ่นหัวใจจนยังจำความรู้นั้นได้ถึงตอนนี้ เขาปั่นจักรยานตามหลังใครสักคนในเย็นย่ำวันหนึ่ง ลมหนาวปะทะเนื้อตัวจนต้องห่อไหล่ พอเริ่มจะถูกทิ้งระยะห่าง คนที่ปั่นจักรยานนำอยู่ก็ชะลอความเร็วลงจนมาเคียงข้างกันแล้วหัวเราะเบา ๆ แซวว่าหนาวจนปั่นไม่ออกเลยหรือไอ้ตี๋..
ใครคนนั้นเรียกตัวเขาในฝันว่าไอ้ตี๋...ว่าแต่มันใครกันนะไอ้ตี๋คนนั้น?
พวกเขาจอดรถจักรยานหน้าบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่ง คนในฝันที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าหยิบสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมาแปะไว้ที่อกเสื้อเขา จากนั้นก็หัวเราะอีกแล้ว เสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินชวนให้ใจหวิวจนอึดอัดในอกอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ตัวเขาทั้งในความฝันและที่นั่งเหม่ออยู่ตรงนี้ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอาการแบบนั้นมันคืออะไร
วสุนึกไปถึงคำพูดของชายหนุ่มข้างบ้านเมื่อค่ำวานนี้ คำลาตามมารยาทที่อีกฝ่ายใช้ช่วยเขาจากอาการหน้าแตก หลังเผลอหลุดปากบอกราตรีสวัสดิ์ตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มกับผู้ชายวัยทำงาน
‘ฝันดีครับ’จะเป็นการเพ้อเจ้อมากไปหรือเปล่า หากเขาคิดว่าเสียงผู้ชายคนนั้นช่างคล้ายคลึงกับเสียงคนในความฝันที่เขายังไม่เห็นหน้าสักทีนั่น แล้วอย่างที่เขาเพิ่งฝันเมื่อคืน...จะพอเรียกว่าฝันดีได้ไหมนะ ทั้งที่เนื้อหาก็คล้ายกับอย่างเดิม แต่เหตุใดจึงมีความรู้สึกอุ่นใจหลงเหลืออยู่มากกว่าความโหยหาอย่างที่เคยเป็น
เด็กหนุ่มถอนหายใจ ดอกมะม่วงเล็ก ๆ ร่วงลงบนมือ เขาจ้องมันเรื่อยเปื่อยอีกพักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็สบเข้ากับตาสีเหลืองแวววาวของแมวดำตัวเดิมอีกแล้ว
“...ไอ้ดำ?” เขาร้องเรียกด้วยความชินปาก ช่วงนี้รู้สึกเจอกันบ่อยจนคิดไปเองว่าสนิท “...เมี้ยว..?”
แมวดำเชิดใส่ สะบัดหางไปมาอย่างสงวนท่าที
“หยิ่งจริง เรียกไม่หือไม่อือเลย หรืออยากชื่อขาว?”
เขาเพียงแต่พูดประชดเท่านั้นเอง แต่คู่กรณีกลับร้องเหมียวใส่เสียนี่
“หืม?”
“เมี้ยวว”
วสุเลิกคิ้ว มองเจ้าแมวดำที่ย่องเข้ามาใกล้กว่าเก่า “ขาว?”
“เมี้ยว”
“ไอ้ขาว”
“ม้าวววว~”
เสียงยาวมาเชียว
“หุ...” เขาหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย “ชื่อขาวหรอกหรือ?”
แมวดำดูจะชอบใจชื่อขาว พอเรียกซ้ำ ๆ ก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนแทบเท้า เอาหน้าถูไถอย่างออดอ้อน ฉีกภาพพจน์ไอ้ดำหน้าหยิ่งที่เคยเจอครั้งก่อน ๆ จนสิ้น เขาก้มลงไปเกาคางไอ้ขาวที่คลุกฝุ่นจนขนดำ ๆ เปรอะเปื้อน เออออกับแมวว่าต่อไปนี้จะเรียกขาวก็ได้ แต่ยังไม่ได้ทันเล่นกันมากไปกว่านั้น แมวดำก็เชิดคอขึ้น ชะเง้อมองไปยังรั้วด้านหน้าของบ้านข้างเคียง
วสุมองตามสายตาแมว จึงได้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างขยับอยู่ตรงนั้น
ณ อาณาเขตด้านหน้าของเพื่อนบ้านซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังปีนรั้วเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว
ผู้ชายคนนั้นผิวขาว หน้าตี๋ ผมสีน้ำตาลของเขาเป็นประกายเมื่อถูกแสงแดด หลังหย่อนตัวลงมาอย่างสวยงามด้านในของรั้วบ้าน ก็ก้มลงเก็บเป้บนพื้นที่โยนเข้ามาก่อนหน้านี้
“พี่ทำอะไรน่ะ!?”
วสุตะครุบปากตัวเอง แต่ไม่ทันแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าขาพาร่างมาเสนอหน้าอยู่ริมรั้วตั้งแต่เมื่อไร
อีกฝ่ายไม่ได้มีสีหน้าตกใจนัก ท่าทางสงบจนเขานึกแปลกใจ ไร้อาการลนลานเหมือนพวกหัวขโมยแม้สักนิด แล้วยังยิงคำถามกลับมาใส่เขาอีกต่างหาก
“นายเป็นใคร”
วสุยืนเหวอ เมื่อประสบเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย แล้วเรื่องอะไรคนคนนี้จึงได้มาถามเขาแทนว่าเป็นใคร ทว่าเมื่อเจอสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมาก็ถึงกับพูดตะกุกตะกัก แถมไอ้ขาวที่เล่นกันอยู่ดี ๆ กลับทิ้งเขาไปเสียแล้ว
“ผมเหรอ..?” เขาว่าพลางเอามือชี้ตัวเองเก้ ๆ กัง ๆ “ผม...เอ้อ...เป็นเพื่อนบ้านกับพี่เอก...เอ๊ะ...แต่ผมไม่รู้ว่าเขาชื่อเอกรึเปล่า....อา...ไม่สิ จะไปชื่อนั้นได้ยังไง แบบ..ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ไม่นาน...แล้วคือ....แค่รู้สึกน่ะ....หมายถึงว่า....อ่า.....”
เขาอยากตบปากตัวเองนัก พล่ามอะไรเยอะแยะแต่ไม่เป็นภาษามนุษย์เลย
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ส่งรอยยิ้มกึ่งเวทนากลับมาให้ แล้วยังพยักหน้าราวกับจะให้กำลังใจเขาพูดต่อ
“แบบ...ความจริงผมไม่รู้จักเขาหรอก....เหมือนจะฝัน...อืม ตลกว่ะ” วสุอ้อมแอ้ม หันมาสบถกับตัวเองเบา ๆ “...คือผมคิดไปเองว่าเขาชื่อเอก...แต่ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า....”
“ใช่”
คำเดียวสั้น ๆ แต่ทำเด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง แล้วก็ยิ่งเหวอหนักขึ้นเมื่อฟังอีกฝ่ายพูดต่อ
“พี่เขาชื่อเอกนั่นแหละ รู้จักกันมานานละ”
“...เห...พี่รู้จักพี่เอก...เอก....อ้อ...ตกลงเขาชื่อเอกจริง ๆ ด้วย....”
“อ้าว?”
“คือ...ผมแค่รู้สึกว่าเขาจะชื่อเอก....แบบผมเข้าใจว่าคิดไปเอง...เหมือนฝันเอา...ทำนองนั้น...”
“อะไรของนายเนี่ย”
“...อา..ไม่มีอะไร” เขายิ้มแหย เกาท้ายทอยไปด้วย รู้ตัวแล้วว่าเริ่มพูดอะไรเลอะเทอะ ซึ่งก็นับว่ารู้ตัวช้าพอสมควร เขาเหลือบมองคนตรงหน้า แล้วเกิดตระหนักขึ้นมาได้ว่าคงมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเจ้าของบ้านเป็นแน่ “พี่เป็นญาติเขาเหรอ หรือว่าเป็นคนรู้จัก”
คนฟังยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก สายตาที่มองมา หากเขาเข้าใจไม่ผิดก็คล้ายว่าจะเอ็นดู ส่ายหน้าด้วยท่าทางราวกับมองน้องชายสักคนในบ้านกำลังเพ้อเจ้อเรื่องมนุษย์ต่างดาว
“เป็น..ประมาณว่าน้องชายน่ะ มันซับซ้อนนิดหน่อย” ชายหนุ่มแปลกหน้าอธิบาย หัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าเขายิ่งทำหน้ายุ่ง “แล้วเมื่อกี้ว่าไงนะ รู้จักว่าเขาชื่อเอกจากการฝันเอาหรือ?”
"...."
วสุรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนฉ่าอย่างไรพิกล พอฟังจากปากคนอื่นอย่างนี้แล้วมันน่าอายแทบเอาหน้ามุดกอพลับพลึง
"หืม?"
อีกฝ่ายเรียกร้องเอาคำตอบ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาพึมพำเสียงอ่อย
“..ผมไม่น่าพูดเลย..อย่างกับเป็นคนบ้าแน่ะ...”
“..เฮ้ย ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้ว่างั้นสักคำ”
“แต่พี่ยังขำไม่หยุดเลย”
“ก็นายเล่าออกมาเองนี่”
“ถึงบอกไงว่าผมไม่น่าพูด..”
“อ๊ะ เด็กนี่”
ชายหนุ่มหน้าตี๋โคลงศีรษะ แล้วจู่ ๆ ก็เอื้อมมือข้ามรั้วมาลูบผมเขาแผ่วเบา ยิ้มร่าไปด้วยขณะพูดต่อ ซึ่งไม่รู้ว่าแค่โกหกปลอบใจหรือเป็นเรื่องจริง
“ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย อย่างคนรู้จักพี่ก็มีคนหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่มีเซนส์แปลก ๆ ชอบทักเรื่องหมอกหรือควันสีเทา สีขาว สีชมพูโน่นนี่ฟังดูเพี้ยน ๆ ว่าคนนั้นคนนี้จะซวย ให้ระวังตัวบ้างละ บางทีก็บอกว่าเดี๋ยวจะโชคดีบ้างละ ดูเพ้อเจ้อแต่ก็เป็นจริงตามที่เจ้าเด็กคนนั้นทักเรื่อยเลย..”
วสุเผลอหดคอ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายหวั่น ๆ เกือบจะยิ้มแต่ยังดูแหย ทว่าน่าแปลกที่ไม่รู้สึกแย่กับคนคนนี้ เสี้ยวหนึ่งในใจกลับมีความคิดพิลึกว่าเป็นคนน่ารักดีด้วยซ้ำ
“...พี่ไม่คิดว่าผมบ้าใช่ไหม”
“ไม่นี่” ชายหนุ่มอีกฝั่งรั้วยักไหล่ “แค่คิดว่าเปิดเผยตัวเองมากไปนะ”
“...หือ?”
“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อกี้เอง...อืม...ไม่สิ ยังไม่รู้จักกันเลยต่างหาก แต่นายก็พูดเรื่องตัวเองนั่งทางในรู้ว่าพี่เอกชื่อเอกให้คนอื่นฟังแล้ว”
“ผมพูดว่าฝันต่างหากเล่า” เขาขัด เผลอทำหน้ามุ่ย “ไม่ใช่นั่งทางใน”
“อา..นั่นแหละ ๆ”
“แล้วพี่เป็นใคร ปีนรั้วบ้านพี่เอกทำไม”
อีกฝ่ายพ่นลมหายใจพรืด จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเสียมิได้
“เอางี้นะ ไหน ๆ เพราะว่านายเล่าเรื่องนั่งทางใน..เอ้อ...หมายถึงเรื่องฝัน...เล่าเรื่องฝันให้พี่ฟัง เพราะงั้นแลกกันด้วยข้อมูลนิดหน่อย”
“...เรื่องอะไร”
“พี่เป็นน้องชายของแฟนพี่เอก”
“หา!?”
วสุแทบอ้าปากค้าง แม้เมื่อครู่นี้เขายังนั่งคิดคนเดียวอยู่เลยว่าผู้ชายคนนั้นคงมีแฟนแล้ว แต่พอมาได้ยินคำยืนยันเช่นนี้เข้าก็กลับอึ้งไปเสียได้ แล้วยังไอ้ความรู้สึกใจหายที่โผล่มาแวบหนึ่งแล้วจากไปนี่อีก
ทั้งที่อึ้งออกอยากนั้น แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะเบา ๆ ใส่เขา
“ตกใจอะไรน่ะ”
“..เขา...” วสุอ้าปากพะงาบ กะพริบตาปริบ ๆ แล้วพยายามรวบรวมสติคุยต่อ “...เขามีแฟนแล้วเหรอ..”
“อายุก็ตั้งสามสิบห้าแล้วนี่”
เด็กหนุ่มพยักหน้า จำข้อมูลนั้นไว้ในหัว พี่เอกอายุสามสิบห้าปี จากนั้นก็พึมพำออกมาแผ่วเบา น่าแปลกที่เสียงเขากลับฟังดูเหมือนคนกำลังผิดหวัง
“..แต่ผมไม่เคยเห็นเลย”
“บอกเองว่าเพิ่งย้ายมาอยู่ไม่ใช่เรอะ”
วสุเบิกตากว้าง ด้วยเพิ่งนึกได้ถึงความจริงข้อนั้นดังอีกฝ่ายว่า ผงกศีรษะด้วยหน้าเจื่อนไปนิดหน่อยแล้วเอ่ยรับเสียงอ่อน “นั่นสิ”
“เฮ้ย..ทำไมหน้าจ๋อยล่ะ”
“เปล่า”
อีกฝ่ายหรี่ตา มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายกำลังสำรวจ ท่าทางคนตรงหน้ามีบรรยากาศบางอย่างที่บอกให้รู้ว่าเป็นคนช่างสังเกต และอาจจะจับได้ถึงสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ตระหนัก
ชายหนุ่มเม้มปากอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มเริงร่าอย่างที่คุยกันตอนแรกเปลี่ยนเป็นยิ้มเจือความเศร้า แม้บางเบาแต่ยังพอจะสะกิดความรู้สึก กระทั่งเสียงที่ใช้พูดก็หดหู่กว่าเดิมจนสัมผัสได้
“...แต่แฟนเขาเสียไปนานแล้วละ”
“...เอ๋..?”
คนตรงหน้าถอนหายใจ มองชัด ๆ จึงเห็นความรู้สึกสูญเสียในแววตาคู่นั้น ต่อให้ยังมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก “..เพราะพี่ชอบใจนาย เลยบอกเพิ่มให้อีกอย่าง”
วสุเผลอยกมือขึ้นกุมอกเสื้อ แวบหนึ่งที่เจ็บขึ้นมาในอกจนเหมือนมันกำลังปริแตกออก จู่ ๆ ภาพซ้อนในความฝันซ้ำ ๆ ที่ร่างเขา...ซึ่งกำลังใช้ชีวิตเป็นใครอีกคน...กำลังร่วงดิ่งลงสู่พื้นจากที่สูงก็แวบขึ้นมา ความเจ็บร้าวที่สัมผัสเพียงเสี้ยววินาทีนั้นคงความชัดเจนราวกับไม่ใช่แค่ความฝัน และมันก็ทำขอบตาเขาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
เรื่องที่ได้ยินไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด แฟนของผู้ชายชื่อเอกที่ตายไปแล้วมีรูปร่างหน้าตาแบบไหนเขาก็ไม่รู้จัก แต่กลับรู้สึกคุ้นจนเหมือนเคยมีความเกี่ยวข้องกันทางใดทางหนึ่ง วสุกระซิบออกมาด้วยถ้อยคำซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผุดขึ้นมาจากไหน
“...พี่ชายของพี่...ไม่อยู่แล้วหรือ....”
คนฟังชะงัก หัวคิ้วขมวดแน่น หลังจากนั้นก็เบิกตากว้าง สีหน้าตื่นตกใจจนไม่น่าเชื่อ ถามเขากลับด้วยน้ำเสียงเกือบจะร้อนรน
“...ทำไมถึงคิดว่าเป็นพี่ชายล่ะ?”
วสุกะพริบตาปริบ ๆ งุนงงกับท่าทางนั้นอยู่อึดใจ จากนั้นก็ผงะเสียเอง ยกมือขึ้นปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไม่คิดเหมือนตอนพูดกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านข้างเคียงอีกแล้ว
“...ผะ..ผมไม่รู้....ผม....จริงสิ....ถ้าเป็นแฟนกับพี่เอกก็ต้องเป็นพี่สาวไม่ใช่หรือไง” เขาละล่ำละลัก คราวนี้หนักหนายิ่งกว่าตอนเรียกหมาคนอื่นว่า
‘โรลล์’ หรือบอกราตรีสวัสดิ์เจ้าของหมาตอนยังไม่สองทุ่มเสียอีก “...ผมแค่สับสนนิดหน่อย....อา...ผมขอโทษ”
“อา..ช่างเถอะ" ชายหนุ่มตรงหน้าโบกมือ กลับมาทำท่าทางเป็นปกติได้อย่างว่องไว "ว่าแต่ชื่ออะไรน่ะนาย”
“ผมหรือ?”
“ใช่”
“วสุ”
“ชื่อเล่นล่ะ?”
“..ไม่มี”
“ทำไมไม่มี”
“แม่ไม่ได้ตั้ง”
“หืม?”
อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ท่าทางกึ่งจะคาดคั้นให้พูดต่อ
วสุถอนใจเฮือกเมื่อนึกถึงมารดาที่จำหน้าแทบไม่ได้แล้ว เธอทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก ได้ข่าวว่าไปแต่งงานใหม่อยู่ต่างประเทศ ตัดขาดจากพี่น้องคนอื่น รวมทั้งป้าที่รับเขามาอยู่ด้วยที่นี่ต่อจากลุงอีกคน
“คือ...แม่ตั้งไว้แค่นี้ แล้วก็หอบผ้าผ่อนหนีไปแต่งงานใหม่แล้ว”
“วสุ”
“...อา...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ขานรับแต่โดยดี “..ครับ..?”
“...พี่เพิ่งบอกเองไม่ใช่หรือว่านายเปิดเผยตัวกับคนแปลกหน้ามากไปน่ะ”
“หา..” เขาอ้าปากหวอ
“เกิดพี่ทำหาเรื่องคุย แล้วโปะยาสลบนาย จับไปขายงี้ทำไง”
“...อะ...เอ๋..?”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก หน้าตี๋ ๆ เลยยิ่งดูเจ้าเล่ห์เข้าไปใหญ่ “ไม่กลัวเรอะ”
“...พี่ไม่ทำหรอก..” วสุแก้ต่างให้แทนตะกุกตะกัก ไม่รู้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า แต่กระนั้นก็ยังถอยมาครึ่งก้าวอย่างเป๋อ ๆ
“รู้ได้ไง”
“...ก็...”
“ก็?”
เด็กหนุ่มเม้มปาก “..ก็...พี่เป็นน้องชายของแฟนพี่เอก”
“เหตุผลแค่นี้หรือ?”
“...ใช่”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกจมูก “เด็กจริงเลย”
“...ผมแค่รู้สึกน่ะ”
“แค่ความรู้สึกมันไม่พอหรอก”
เขาทำหน้ายุ่ง อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้นิสัยพิลึกจริง ถึงกับบ่นอุบออกมาอย่างเสียมิได้ “แล้วต้องอะไรอีกล่ะ”
“เอาเถอะ” อีกฝ่ายโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ “แค่จะบอกว่าให้ระวังตัวเท่านั้นเอง”
“พี่ปีนรั้วบ้านคนอื่น ยังจะบอกให้ระวังใครอีกหรือ”
“เด็กนี่”
“อ่า..” เขาจ๋อยนิดหน่อย “ผมขอโทษ”
“...”
“.....ขอโทษไง...?” ว่าพลางเหลือบตามองอีกฝ่ายกล้า ๆ กลัว ๆ แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะยกใหญ่เสียนี่
“ล้อเล่นน่า” ชายหนุ่มส่ายหน้าขำ ๆ “เอางี้ แลกกันนะ พี่ชื่อคิมหันต์ เรียกคิมก็ได้ วันนี้ตั้งใจจะมาหาพี่เอก แต่โทรไปไม่มีคนรับ ส่งข้อความไม่ยอมตอบ รอข้างนอกมันร้อน เมื่อยด้วย เลยปีนเข้ามา ว่าจะขอนั่งตรงชานบ้าน แล้วก็เล่นกับหมาซะหน่อย”
“แค่นั้นหรือ”
“แค่นั้นแหละ”
“ผมควรต้องแจ้งตำรวจไหม”
“จะแจ้งทำไมเล่า แล้วมีอย่างที่ไหนมาถามคนที่ตัวเองสงสัยว่าจะเรียกตำรวจดีไหม”
“....”
“...เอาเถอะ ถ้าไม่ไว้ใจ จะนั่งเฝ้าก็ได้ พี่รออยู่ตรงชานนั่นแหละ แต่ไม่ต้องแจ้งตำรวจหรอก เสียเวลาทำงานเขาเปล่า เดี๋ยวเดือดร้อนพี่เอกด้วย”
คิมหันต์พูดค้างไว้ จากนั้นก็เหลือบมองหน้าเขา คล้ายกับจะประเมินอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง พูดจาชวนให้คิดว่าสังเกตเห็นในสิ่งที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้จริงด้วย
“ไม่อยากให้เขารำคาญใช่ไหมล่ะ”
วสุชะงัก...มองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เกิดระแวงสายตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยก้มหน้าก้มตามองเท้าตัวเองแทน ใคร่ครวญดูแล้ว..บางทีเขาก็คงไม่อยากให้พี่ชายที่ชื่อเอกรำคาญจริง ๆ นั่นละ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“พี่เคยมีประสบการณ์เรียกตำรวจมั่วซั่ว แทบจะโดนตำรวจแทะหัวแหว่ง” อีกฝ่ายพาเปลี่ยนเรื่อง ว่าพลางหัวเราะไปด้วย “ตอนนั้นน่าจะโตกว่านายนิดหนึ่ง ว่าแต่อายุเท่าไรนะนายน่ะ”
“สิบห้า”
“โอ้ ใกล้เคียงกับที่เดาไว้แฮะ”
“เหรอ” วสุพึมพำ ถึงตรงนี้ก็เริ่มคิดว่ามันพิลึกที่ยืนคุยกับคนแปลกหน้าได้เป็นเรื่องเป็นราว หาเหตุผลให้ตัวเองว่าคงเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนช่างพูด
คิมหันต์ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรต่อ แต่เขาอุทานขึ้นก่อนเมื่อมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านหลังคิมหันต์ รถหน้าตาคุ้นเคยที่จอดอยู่ในโรงจอดบ้านหลังนั้นทุกวัน ตอนนี้มาหยุดนิ่งอยู่หน้ารั้ว
“พี่เอกมา!”
คนฟังหันไปตามสายตาเขา พอดีกับที่รถอีกคันขับตามมาจอดข้างหลัง
คิมหันต์พึมพำน้ำเสียงประหลาดใจว่า “เฮียเพี้ยน” จากนั้นก็อุทานด้วยสีหน้าตระหนกเมื่อเห็นรถตามมาเป็นคันที่สาม
“ป๊า!”
ตอนนั้นวสุงงไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกสักนิด ไม่รู้ว่า
‘เฮียเพี้ยน’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงเป็นใคร แล้วป๊าคิมหันต์กับผู้หญิงอีกคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ที่เดินตามมาเกี่ยวอะไรด้วย
คิมหันต์กระโจนไปหลบข้างบ้าน บอกเขาให้ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น สีหน้าเป็นกังวลจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ รอจนกระทั่งคนเหล่านั้นเดินเข้าบ้านไปจนหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงได้หันมาบอกบางสิ่งที่น่าตกใจกับเขา ก่อนจะย่องตามเข้าไปในบ้านอีกคน
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v