“แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน”
อาจดูเงอะงะ...แต่ก็ใสซื่อ
..เรียบง่าย ทว่าดึงดูด...
เหมือนกับ...
ดอกไม้สีขาว...?
...ใช่...เป็นเด็กที่เหมาะกับดอกไม้สีขาว..
บทที่ 2 ต้นกล้า
เอกภพเหยียดร่างบนโซฟายาว มองเพดานว่างเปล่าครู่หนึ่ง จากนั้นหลับตาลง ปล่อยความคิดแหวกว่ายอยู่ในสีดำสนิทหลังเปลือกตา จมจ่อมในความมืด...เงียบงัน...แต่ยังห่างไกลจากความสงบ คราวนี้เขาฟุ้งซ่านไปไกลยิ่งกว่าทุกที
เด็กคนนั้นชื่อวสุ..“...วสุ..”
ชายหนุ่มกระซิบกับตัวเอง รู้ก่อนหน้านั้นแล้วเพราะคิมหันต์บอกตอนที่เจอกันเมื่อบ่าย แม้จะเพิ่งได้ถามซ้ำอีกครั้งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แล้วยังรู้อีกด้วยว่าอายุสิบห้าปี น้องชายคนรักของเขาบอกเพื่ออะไรก็น่าสงสัย แต่ดูคล้ายเจ้าตัวจะให้ความสนใจเด็กผู้ชายชื่อวสุที่ว่าไม่น้อย ขนาดตัวเองร้องไห้ตาแฉะเพราะเรื่องพ่อแม่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างคนรักที่เป็นผู้ชาย กว่าจะคลี่คลายลงได้ก็ทำเอาเปลือกตาบวมช้ำ แต่คิมหันต์ยังมีแก่ใจหันมาบอกเขาในเรื่องที่ไม่น่าเกี่ยวกับตัวเองสักนิด
เมื่อนึกถึงคิมหันต์ ก็ชวนให้คิดเลยไปไกลถึงพี่ชายของเจ้าตัวขึ้นมา
พี่ชายคนโตของคิมหันต์ที่ชื่อ
‘วสันต์’ เจ้าของชื่อเคยบอกว่าคำแปลคือฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเขาคิดว่าเหมาะเหลือเกิน..
วสันต์...คนที่เป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิของเขา เด็กคนนั้นก็ไม่มีชื่อเล่น เป็นรุ่นน้องเขาสองปี พวกเขาเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน อยู่บ้านใกล้กัน ปั่นจักรยานกลับด้วยกันทุกเย็น ไม่ว่าอากาศจะหนาว ร้อน หรือฝนตกก็ยังมีแต่เสียงหัวเราะ
ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่ผูกพันเนิ่นนานนับสิบปี พวกเขาเป็นพี่น้อง..เป็นเพื่อน...เป็นคนรัก....เป็นมากกว่านั้น พวกเขาสัญญาว่าจะมีบ้านสีขาว เลี้ยงหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อดุ๊กดิ๊ก มีขาตั้งวาดรูปไว้ในสวนหย่อม และจะอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย
..จะอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย..คำมั่นที่ว่านั้นหวานซึ้ง..หากแต่เจ็บปวดไปพร้อมกัน ตัวเขาไม่เคยเอะใจสักนิด ว่าความหมายในคำพูดของวสันต์คืออะไร สัญญาอันแสดงถึงรักนิรันดร...หรือว่าเป็นถ้อยคำบอกลา?
จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่เคยรู้เลย เหตุใดร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นจึงร่วงลงจากชั้นดาดฟ้าลงไปต่อหน้าต่อตาเขา ต่อหน้าต่อตาพ่อแม่และน้อง ๆ ของตัวเอง ในรุ่งสางสุดท้าย...ก่อนแสงไฟแห่งชีวิตจะดับลงเมื่อสิบห้าปีก่อน กะทันหันจนไม่มีใครตั้งตัวติด
เขาเห็นทั้งหมด อยู่ใกล้วสันต์ที่สุดในตอนนั้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง คว้ามือไว้ไม่ทัน ได้แต่มองร่างอีกฝ่ายร่วงหล่นลงไป ใบหน้าเด็กหนุ่มเลอะคราบน้ำตา..ทว่ารอยยิ้มยังปรากฏขึ้นบนนั้น...รอยยิ้มที่ทำคนมองเจ็บปวดจนแทบใจสลายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ก่อนทุกอย่างจะสิ้นสุดลง..
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจของเจ้าตัว และไม่เคยมีใครถกเถียงเพื่อหาเหตุผลในเรื่องนั้น
เอกภพรู้เพียงแต่วสันต์จากไปแล้ว..
ฤดูใบไม้ผลิของเขาจากไปตลอดกาลตอนนั้นชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบปี ช่วงชีวิตซึ่งมีแต่รอยยิ้มเหมือนอย่างที่เคยใช้มันร่วมกับวสันต์สิ้นสุดลง
เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเอกภพที่เพื่อน ๆ ติดภาพว่าเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น อบอุ่น กลับกลายเป็นซึมเศร้า เก็บเนื้อเก็บตัว ผลการเรียนตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ยังพอประคับประคองไปได้เป็นปี จมอยู่กับความทุกโศกจนคนรอบตัวเป็นห่วง...กระทั่งคนเหล่านั้นเหนื่อยจะห่วงและเลิกสนใจในที่สุด เหลือเพียงเพื่อนไม่กี่คนที่ค่อยช่วยเข็นช่วยดันหลังอยู่เสมอ
ราวหนึ่งปีหลังจากนั้นจึงพยายามเปลี่ยนตัวเอง คิดว่าหากมีใครใหม่คงจะลืมวสันต์และคำสัญญาเรื่องบ้าน...เรื่องหมา...เรื่องสวนหย่อม และทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งยังไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
ชายหนุ่มมองหาคนรัก..หวังว่าจะมีใครสักคนที่เข้ามามีอิทธิพลพอจะเปลี่ยนชีวิตเขา หากเจอเข้าละก็ คงไม่ต้องฟูมฟายอย่างโง่เง่าเช่นนี้ต่อไป
เอกภพคบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย..ใครก็ได้...ใครสักคน... เขากิน ดื่ม เที่ยว เปลี่ยนคู่ไปเรื่อย ทุกคนที่เลือกมักมีจุดร่วมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งคล้ายวสันต์ อาจเป็นหน้าตา นิสัย รูปร่าง กระทั่งเสียงพูด แต่สุดท้ายแล้ว คนเหล่านั้นก็เป็นแค่คู่ควงหรือคู่นอน ไม่เคยได้เป็นคนรัก...ไม่แม้สักคนเดียว...
ไม่มีใครแทนที่วสันต์ได้เลย เขาเลิกทำอย่างนั้นในช่วงปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย แม้การเรียนแทบล้มเหลวจนเกือบไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ประคับประคองมาได้และมีเพื่อนแท้คอยช่วย กลับมาเป็นเอกภพที่คล้ายจะเหมือนคนเก่า ใคร ๆ อาจคิดเช่นนั้นและพากันโล่งอก
แต่ชายหนุ่มรู้ดีที่สุด...ทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ห้าปีของการเรียนในมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่เขาก็คว้าปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตมาจนได้ ทุกคนเฉลิมฉลองและร่วมแสดงความยินดี พ่อแม่โล่งใจอย่างที่สุดเพราะคิดว่าจะไม่รอดแล้ว ขนาดน้องชายยังถอนหายใจเฮือก ขณะที่เขาเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะดีแค่ไหนกัน หากวสันต์ได้มาฉลองด้วยกันข้างกายในเวลาแบบนี้
หากวสันต์ยังอยู่...เพราะความคิดเช่นนั้น เอกภพจึงกลับมาวาดรูปคนรักผู้จากไปแล้วอีกครั้ง เหมือนอย่างสมัยเจ้าตัวยังมีชีวิต วาดเก็บไว้มากมายจนมันเพิ่มพูน เริ่มคิดถึงสัญญาซึ่งเคยให้กันไว้ และค่อย ๆ ทำตามไปทีละอย่าง ราวกับจะชดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่มีโอกาสได้ทำตอนอยู่ด้วยกัน
สองปีถัดมา เจ้าหมาขนทองชื่อดุ๊กดิ๊กก็เข้ามาเป็นสมาชิกอีกหนึ่งในบ้านเช่าอันเงียบเหงาของเขา หลังจากไม่ได้เลี้ยงมานานตั้งแต่เจ้าโรลล์ที่วสันต์เคยมาเล่นด้วยบ่อย ๆ ตายจากไป
หลังจากทำงานเป็นลูกน้องคนอื่นอยู่ได้ราวสี่ปี ชายหนุ่มก็ลาออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนที่เคยสนิทเมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย บรรดาเพื่อนส่วนน้อยที่ไว้ใจได้ และไม่เคยหน่ายกับความเหลวแหลกของเขาสมัยเรียน คอยฉุดกระชากลากถูกระทั่งเรียนจบพร้อมกันจนได้นั่นเอง
พวกเขาลงทุนเปิดบริษัทเอกชนด้วยกัน เริ่มจากเล็ก ๆ และค่อยขยับขยายขึ้นมา จนตอนนี้ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ รับออกแบบบ้านและสิ่งก่อสร้าง ไปจนถึงจัดหาวิศวกรและผู้รับเหมา เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ดูแลอยู่ ส่วนเขาขอดูแลสาขาย่อยอีกแห่งที่ราชบุรี ตอนปรึกษากันว่าจะแตกสาขาย่อยก็ยืนยันเองว่าขอเป็นที่ราชบุรี อย่างไรก็อยากกลับมาที่นี่ให้ได้ รู้สึกเหมือนจะได้อยู่ใกล้วสันต์อีกนิดหากเป็นสถานที่เดิม ๆ
นอกจากเพื่อนจะเข้าใจในเรื่องนั้นดี จึงไม่คิดซักไซ้ให้มากความแล้ว ยังไม่ว่าอีกที่เขาขอปฏิเสธงานบริหาร ไม่อยากนั่งเฝ้าห้องทำงาน แต่ขอเป็นเข้าออฟฟิศจันทร์ถึงพุธหรือพฤหัสบดี แล้วรับงานมาทำต่อที่บ้านเสียส่วนใหญ่ เด็ก ๆ ในออฟฟิศจึงไม่ค่อยเห็นหน้านัก เคยมีเด็กใหม่บางคนยังเข้าใจว่าเป็นฟรีแลนซ์ที่มาติดต่องานด้วยซ้ำไป เป็นเรื่องเล่าให้ขำกันจนทุกวันนี้ ส่วนงานบริหารนั้นยกให้เพื่อนอีกคนที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ราชบุรีในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นผู้ดูแลแทน
เขาใช้เงินซึ่งเก็บหอมรอมริบไว้ตั้งแต่เริ่มทำงาน ซื้อที่ดินและสร้างบ้านในจังหวัดราชบุรี ไม่ไกลนักจากโรงเรียนเก่าที่เคยเรียนสมัยมัธยม สถานที่อันเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายระหว่างเขากับวสันต์ และดาดฟ้าของที่นั่นซึ่งอีกฝ่ายจบชีวิตลงเมื่อสิบห้าปีก่อน
รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งอยู่ใกล้คงยิ่งเจ็บปวด แต่ก็ยังนึกอยากย้อนกลับมาจุดเดิม ในกลิ่นอายเก่า ๆ ที่ยังหลงเหลือ ภาพเหล่านั้นไหวระริกสอดคล้องไปกับภาพในความทรงจำ และยังคงซ้อนทับกันเลือนรางแม้เวลาผันเปลี่ยน
เสียงครางหงิงดังขึ้นจากข้างโซฟา เขาผงกศีรษะขึ้นมอง ดุ๊กดิ๊กนั่งจ๋องอยู่ตรงนั้น เอาจมูกดุนขาเขาเบา ๆ จากหางตาเห็นนาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง จึงได้รู้ตัวว่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปนานถึงขนาดนี้ นานจนหมารักที่เหมือนว่าหลับไปแล้วรอบหนึ่งตื่นขึ้นมาเรียกเขา ทั้งที่ตอนบอกราตรีสวัสดิ์กึ่งจะล้อเลียนเรื่องวันก่อนใส่เจ้าเด็กเป๋อคนนั้นที่ริมรั้ว ยังเพิ่งราว ๆ หกโมงเย็นเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มยกมือลูบคาง..ว่าแต่เขาจะไปติดใจล้อเลียนอะไรกับเด็กตัวแค่นั้นกันนะ ดูไม่ใช่นิสัยตัวเองอย่างที่เป็นช่วงหลังมานี้เลย ทำอย่างกับกลับไปเป็นสมัยมัธยมไปได้
“งี้ดด..”คราวนี้หมารักเอาหัวดัน จากนั้นวางคางพาดไว้บนขา
เอกภพส่ายหน้าน้อย ๆ เกาหูให้มันเบา ๆ
“เข้าที่ซะไปดุ๊กดิ๊ก”
เขาว่าพลางหมุนนิ้วเป็นวง ปลายนิ้วชี้ไปทางที่นอนประจำตรงมุมหนึ่งของห้อง ขณะที่ตัวเองลุกขึ้นเหยียดแขน สูดลมหายใจลึกแล้วถอนใจยาวออกมาเฮือกใหญ่ อยู่เงียบ ๆ คนเดียวอย่างนี้ก็อดคิดถึงเรื่องเก่าไม่ได้สักที แถมคราวนี้ยังมีฟุ้งซ่านเรื่องเด็กข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมานั่นอีก นึกสงสัยว่าหรือจะกลายเป็นคนแก่ไปแล้วจริง ๆ
เอกภพมองสัตว์เลี้ยงเดินดุ่ม ๆ ไปนอนบนเบาะของตัวเอง จากนั้นก็เงยขึ้นมองตอบเขา แลบลิ้นพร้อมกับทำตาใส เมื่อตามไปลูบหัวเบา ๆ ก็หมอบลงแล้วทำท่าเคลิ้มหลับ
“พรุ่งนี้อาบน้ำดีกว่าไหมเรา”
หมาขนทองนอนนิ่ง แม้เนื้อตัวไม่ได้มอมแมมนัก แต่เห็นไล่จับแมวบ้านข้าง ๆ ทุกวันคงคลุกฝุ่นไม่ใช่น้อย เขาอดคิดไม่ได้ว่าน่าแปลกที่เขาอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งสี่ปี กลับไม่ค่อยเห็นแมวมาป้วนเปี้ยนนัก แต่พอเด็กชื่อวสุย้ายมาอยู่บ้านข้าง ก็มีเจ้าแมวดำที่รู้สึกจะชื่อขาวมาเดินเฉิดฉายอยู่ริมรั้วบ่อยเหลือเกิน พอเจ้าดุ๊กดิ๊กเห็นเข้าเป็นต้องปรี่เข้าไปร่วมด้วยอีกตัว เด็กคนนั้นเป็นพวกดึงดูดสิ่งมีชีวิตพวกหมาแมวหรืออย่างไรกัน
เขาเดินเหม่อไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง เอียงตัวให้อยู่ในมุมอับหากถูกมองเข้ามาจากด้านนอก ทอดสายตาไปยังบ้านหลังข้างเคียง
ไม่เห็นมีอะไรต่างออกไปไม่ใช่หรือ?
ต้นไม้ยังขึ้นครึ้มเหมือนเดิม แม้ดูร่มรื่น แต่ก็ออกจะรกไปหน่อยในความเห็นเขา บ้านหลังนั้นไม่เคยมีอะไรน่าดึงดูดสายตาชายหนุ่มมาก่อน เพื่อนบ้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน กับลูกสาวลูกชายวัยรุ่นอย่างละคนนั้น นานครั้งจะได้คุยกันสักที อาจถูกนินทาว่าเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์แย่ไปแล้วก็เป็นได้
แต่ช่วงหลัง เขามักเผลอลอบมองออกไปบ่อย ๆ ทั้งจากหน้าต่างห้องนี้ และห้องนอนตัวเองซึ่งมีหน้าต่างหันไปทิศเดียวกัน และทุกครั้งก็จะคอยระวังตนว่าอยู่ในตำแหน่งที่มองจากข้างนอกไม่เห็น กลายเป็นพฤติกรรมประหลาดซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจไม่น้อย
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เขาเห็นเพียงใบไม้ไหวอยู่ในบริเวณรั้วบ้านหลังนั้น แวบหนึ่งที่เหมือนมีแมวดำย่องอยู่บนแนวขอบรั้ว แต่เพ่งมองอีกทีก็คล้ายเป็นแค่เงาของพุ่มไม้ต้องลม และเอกภพเพิ่งนึกคลางแคลงตัวเองขึ้นมาว่าดึกป่านนี้แล้ว เขามัวมายืนมองบ้านคนอื่นไปเพื่ออะไร
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ผละออกไปจากบานหน้าต่าง ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จแล้วจะเข้านอนเลย
ทั้งที่คิดอย่างนั้นแท้ ๆ...แม้จะอาบน้ำเสร็จแล้ว เวลาก็ปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืนกว่า แต่แทนที่จะนอน ก็ยังยืนพิงหน้าต่าง ลอบมองออกไปยังบ้านหลังเดิม
ชั่วขณะที่นึกได้ขึ้นมาอีกครั้ง กำลังจะผละออกมา สายตากลับเหลือบเห็นการเคลื่อนไหวที่ริมรั้วอีกฝั่ง หลังเพ่งดูจนแน่ใจว่าคราวนี้ไม่ใช่เงาไม้อย่างครั้งก่อน ก็ถึงกับต้องเลิกคิ้ว
“..วสุ?”
กับสมุด..หรือไม่ก็กระดาษสักปึกในมือของเจ้าตัว และอะไรที่น่าจะเป็นเครื่องเขียน แต่ความมืดและระยะห่างทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็มองตรงมาทางนี้ เพ่งอยู่นานจนเอกภพเริ่มสงสัยแล้วว่าเด็กคนนั้นเห็นเขาหรืออย่างไรจึงได้จ้องมานัก
ชายหนุ่มขยับตัวเยื้องออกจากบานหน้าต่างอีกหน่อย โดยไม่ละสายตาจากร่างที่ยืนชะเง้ออยู่ริมรั้วสักนิด
วสุเดินย้อนกลับไป ครู่หนึ่งไฟข้างบ้านหลังนั้นสว่างขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะกลับมายืนที่เก่า คราวนี้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ค่อนข้างชัดทีเดียวจากแสงไฟนั้น รวมทั้งของในมือที่แน่ใจแล้วว่าเป็นสมุดวาดเขียนกับพวกปากกาดินสอ
เด็กหนุ่มชะเง้อมาทางบ้านของเขาอีกครั้ง แม้ดูออกจะมีพิรุธ แต่ก็ยังห่างไกลจากอาการของพวกหัวขโมยไปโข ติดจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นนั้นตลกจนชายหนุ่มถึงกับเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ
วสุกางสมุดออก วางมันไว้บนขอบคอนกรีตสูงระดับอก จากนั้นก็ก้มลงไปขีดเขียนอะไรหยุกหยิกทั้งที่ยังยืนอยู่ริมรั้ว เป็นอย่างนั้นครู่หนึ่ง เจ้าแมวดำก็เดินเยื้องย่างเข้ามาใกล้
ท่าจะดึงดูดเจ้าพวกนี้จริงด้วยสิ
อีกฝ่ายคล้ายจะหัวเราะน้อย ๆ หันไปเล่นกับแมว จากนั้นก็อ้าปากหาวออกมาหวอดใหญ่ ทั้งอย่างนั้นแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเดินเข้าบ้าน ครู่หนึ่งก็ก้มลงขีดเขียนอะไรลงบนสมุดต่อ สลับกับเงยหน้าขึ้นมองบ้านเขาเป็นพัก ๆ
วาดรูปหรือ?แมวดำชื่อขาวเดินวนไปมาอย่างเรียกร้องความสนใจ หลังวสุเกาคางให้อีกครู่หนึ่ง เจ้าเหมียวก็ทิ้งตัวลงบนสมุดซึ่งวางพาดไว้บนรั้วอีกที ผลจากความซุ่มซ่ามซึ่งไม่รู้ว่าของแมวหรือคน สมุดและเครื่องเขียนจึงได้ร่วงโครมเข้ามาในรั้วฝั่งนี้เกือบหมด ตอนนั้นเอกภพถึงกับอุทานออกไปเบา ๆ ด้วยเห็นเหตุการณ์อยู่ตลอด โคลงศีรษะไปมากับท่าทางตื่น ๆ ของเด็กหนุ่มบ้านข้าง อย่างนี้จะโทษคนหรือแมวดีละนี่
วสุก้ม ๆ เงย ๆ หันไปทำท่าเหมือนบ่นกับแมวหงุงหงิง จากนั้นก็เดินย้อนกลับไป มีไม้ยาว ๆ ติดมือมาหนึ่งท่อน คงเป็นหนึ่งในซากต้นไม้จากสวนรก ๆ ของบ้านตัวเอง จากนั้นก็พยายามเขี่ยสมุดซึ่งร่วงมาอยู่ในอาณาเขตบ้านเขาขึ้นมา
พอทำท่าคล้ายว่าจะเกี่ยวสำเร็จจนอดลุ้นไปด้วยไม่ได้ สมุดเจ้ากรรมก็ทิ้งตัวลงบนพื้นอีกครั้ง..ในตำแหน่งที่ไกลกว่าเก่า เด็กเป๋อถึงกับยกมือกุมขมับ
“..ฮึ ๆ”เอกภพหลุดหัวเราะอีกแล้ว คราวนี้เสียงค่อนข้างดังทีเดียว ในห้องเงียบที่อยู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น อีกทั้งเขาก็ไม่ได้หลุดขำเช่นนี้มานาน ทำเอาแปลกใจตัวเองไม่น้อยจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก กระนั้นก็ยังอดลุ้นไม่ได้ ว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะทำอย่างไร ปล่อยสมุดทิ้งไว้อย่างนั้นรอเขามาเจอตอนเช้า หรือว่าหาทางเอามันกลับด้วยวิธีอื่น
วสุเหลือบมองซ้ายขวากล้า ๆ กลัว ๆ จากนั้นชะเง้อมาทางบ้านเขาอีกครั้ง ท่าทางคล้ายเด็กกำลังจะข้ามถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ หลังหมดเวลาไปครู่ใหญ่กับอาการลังเล สุดท้ายก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ในที่สุด
เด็กหนุ่มก้มมองรั้ว เอามือวางไว้ตรงขอบ โคลงศีรษะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ จากนั้นออกแรงโหนตัวเอง ดึงร่างแล้วตวัดขาขึ้นมานั่งคร่อมบนขอบรั้ว
น่าแปลกที่เอกภพไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับการกระทำนั้นแต่อย่างใด ทั้งที่หากจะว่ากันตามตรงก็ดูเป็นการบุกรุกยามวิกาลที่เจ้าของบ้าน(เสมือนหนึ่ง)ไม่รู้เห็น ตรงกันข้าม เขากลับช่วยลุ้นให้เด็กหนุ่มทำได้สำเร็จเสียอีก อาจเพราะมัวแต่ตลกกับท่าทางเงอะงะของเจ้าตัว งุ่มง่ามขนาดนั้นบอกชัดว่าคงไม่ใช่พวกชอบปีนป่ายเป็นแน่ ดูหย่อนความชำนาญจนหวาดเสียวจะพลาดร่วงลงมาได้ง่าย ๆ
วสุยกขาอีกข้างตามเข้ามา จากนั้นหย่อนตัวลงบนพื้นฝั่งบ้านเขา ยกมือตบอกตัวเองเบา ๆ แล้วถอนใจเฮือก ก่อนจะก้มลงเก็บสมุดและเครื่องเขียนของตัวเองขึ้นมาจนครบ จากนั้นหันหลังกลับ
ทว่าแทนที่จะรีบออกไป พอมือแตะขอบรั้ว เจ้าตัวก็ชะงัก เหลียวกลับมามองทางหน้าต่างที่เขายืนอยู่ เอกภพมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาในมุมอับแน่ แต่สายตาที่จ้องเขม็งก็อดทำให้รู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้
เด็กหนุ่มหันหลังกลับมาเต็มตัว ปล่อยมือจากรั้ว ยืนครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยย่องเข้ามาใกล้ตัวบ้าน ถึงตรงนี้เขาเริ่มแปลกใจจริง ๆ แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่เพียงแค่ปีนมาเก็บของของตัวเองหรอกหรือ
ร่างของวสุซึ่งฉาบด้วยแสงไฟเลือนรางจากอีกฝั่งรั้ว ตอนนี้ยืนอยู่ห่างจากตัวบ้านเขาราวหกหรือเจ็ดเมตร การเข้ามาใกล้ขนาดนี้โดยไม่ได้รับเชิญนับว่าสุ่มเสี่ยงมากทีเดียว
เอกภพอยากรอดูอีกหน่อยว่าเด็กหนุ่มต้องการทำอะไร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าน่าจะสนุกพอแล้ว จึงได้เดินออกจากห้องไปยังแผงสวิตช์ที่ควบคุมหลอดไฟนอกบ้าน จากนั้นเปิดไฟดวงที่อยู่ข้างบ้านฝั่งเดียวกับที่วสุยืนอยู่ อย่างน้อยจะได้เป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบกลับ ก่อนจะสร้างความสงสัยมากไปกว่านี้
เขาสาวเท้าเร็ว ๆ กลับมาที่หน้าต่าง ดูผลจากคำเตือนเมื่อครู่ ซึ่งเรียกว่าใช้ได้ทีเดียว วสุทำหน้าเหรอหรา แทบปล่อยสมุดร่วงหลุดมือ ยืนค้างอย่างที่เขาคิดว่าถ้าเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดีก็ไม่ควรเสียเวลาตรงส่วนนี้เลย ก่อนจะหันหลังแล้วรีบจ้ำไปยังริมรั้ว
ตอนนั้นเอง...ที่อะไรสักอย่างดลใจเขา อาจเป็นเพราะความค้างคาใจจากพฤติกรรมประหลาดของอีกฝ่าย จึงได้รุดไปยังประตูบ้าน กระนั้นก็ยังระวังฝีเท้าไม่ให้ส่งเสียงดัง รีบเปิดประตู จากนั้นมองหาก่อนเลยว่าเจ้าเด็กน้อยซุ่มซ่ามคนนั้นไปถึงไหนแล้ว
นั่น..ที่ขอบรั้วนั้น วสุกำลังโหนตัวขึ้นไปนั่งคร่อม แบบเดียวกับตอนที่ปีนเข้ามา แต่คราวนี้ดูลนลานหนักกว่าเก่า
อีกฝ่ายพอได้ยินเสียงเปิดประตูเข้าก็หันมาทางนี้ ทำหน้าตาตื่นเมื่อเห็นว่าเป็นเขา แม้อาจรู้อยู่แล้วว่าถูกเห็นตอนที่หลอดไฟข้างบ้านสว่างโร่ขึ้นมา แต่ท่าทางจะจะเตรียมตัวไม่พร้อมสำหรับการหนีเท่าไรนัก อาการลังเลเหมือนไม่รู้จะรีบโยนตัวเองลงอีกฝั่ง หรือจะยกมือไหว้ขอโทษเขาก่อนดี ทำเอาเจ้าตัวซวนเซอยู่บนขอบรั้ว
ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปใกล้ ไม่ชอบความรู้สึกตอนเห็นใครกำลังจะหล่นจากที่สูงเลย ต่อให้เพียงแค่ระดับอกก็เถอะ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้น..ก็คอยจะคิดไปถึงตอนเห็นวสันต์ผู้เป็นคนรักของตัวเองร่วงลงไปจากขอบเตี้ย ๆ ของชั้นดาดฟ้าเสมอ ที่กั้นตรงนั้นก็สูงแค่ระดับอกเหมือนกัน
“ระวัง!”เขาร้องเตือน เมื่อเห็นอีกฝ่ายซึ่งเอาแต่ลนจนเหวี่ยงขาไม่พ้นขอบรั้ว สมุดร่วงลงมาฝั่งบ้านเขา และดินสอหล่นไปฝั่งบ้านวสุ ขณะที่เจ้าตัวหงายหลังลงไปต่อหน้าต่อตา
“วสันต์!”
“เหวอ!”
หมับ!“....”
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v