“แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน”
“...แต่คนในฝันของผมคือพี่เอกใช่ไหม?”
บทที่ 4 ได้ยินหรือไม่ เสียงครวญของใบไม้ยามต้องสายลม
เอกภพเบิกตากว้าง หัวใจราวกับถูกกระชากออกจากอกด้วยคำถามเมื่อครู่ ขณะที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามองเขาด้วยนัยน์ตาไหวระริก เนื้อตัวสั่นเทิ้ม หยดน้ำเอ่อขึ้นมาจากขอบตาแล้วร่วงลงหยดแล้วหยดเล่าบนแก้ม มือขยำอกเสื้อเขาไว้แน่นจนมันยับไปหมด
“วสุ”
เจ้าของชื่อคล้ายจะพูดอะไรออกมาอีก ทว่ากลับมีเพียงเสียงสะอื้นหลุดออกจากปาก ลมหายใจเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นจนผิดปกติ แผ่นอกกระเพื่อมหนักหน่วงทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอด ทว่ายิ่งผ่านไปแต่ละครั้งที่หายใจ ก็ราวกับอาการอีกฝ่ายจะยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ
หอบ?“วสุ! เป็นหอบหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า ปล่อยมือจากเอกภพแล้วยกขึ้นกุมอกเสื้อตัวเอง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนขมับแล้วไหลลงปนกับหยดน้ำตาบนแก้ม ทรุดลงไปนอนตัวงอกับพื้น
“แล้วปกติเคยแพ้อะไรไหม?” เขาโพล่งขึ้นรัวเร็วจนแทบจะเป็นตะโกน สุ้มเสียงเป็นกังวลยิ่งกว่าที่ตัวเองคิด “มีโรคประจำตัวรึเปล่า?”
วสุโคลงศีรษะอีกครั้ง ยากเย็นกว่าเก่าเมื่อยังไม่สามารถควบคุมการหายใจของตัวเองได้ ดูทรมานราวกับคนกำลังจมน้ำทั้งที่ยังมีอากาศห้อมล้อม ชายหนุ่มหันไปเห็นนิ้วมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเริ่มงอจนจีบเกร็ง
ไฮเปอร์เวนติเลชัน? (Hyperventilation)เขาผุดขึ้นจากที่เดิม รีบวิ่งไปควานหาถุงกระดาษที่มักเก็บรวม ๆ กันไว้ในลิ้นชัก แล้วเอากลับมาครอบปากและจมูกเด็กหนุ่มไว้ ประคองร่างอีกฝ่ายขึ้นมากอดแนบอก
“..วสุ...ใจเย็น ๆ หายใจช้า ๆ...”
แม้จะบอกอย่างนั้น แต่กลับเป็นเขาเองที่ลนลานไปหมดไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ วสุไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย ทั้งที่ก็ทำสิ่งที่ควรทำไปแล้ว
ในอกเขาอัดแน่นไปด้วยความกังวล เด็กคนนี้จะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า พอคิดอย่างนั้นก็เหมือนจะขาดใจขึ้นมา เขารู้จักกับความสูญเสียดีและไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเด็กข้างบ้านซึ่งเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่านั้นเอง แต่ความหวาดกลัวของเอกภพกลับขึ้นมาแล่นพล่าน ราวกับคนในอ้อมแขนนี้เป็นใครสักคนที่ผูกพันกันมาช้านาน
“ไม่เป็นไร..ไม่เป็นไรนะ...พี่อยู่นี่แล้ว...”
เอกภพช้อนร่างอีกฝ่ายขึ้นมา คว้ากุญแจรถแล้วถลันออกจากบ้าน เปิดประตูรถแล้วจัดแจงให้อีกฝ่ายนอนบนเบาะซึ่งปรับเอนลงจนสุด ก่อนจะวิ่งไปนั่งหลังพวงมาลัยอีกฝั่งแล้วบึ่งไปยังโรงพยาบาลอำเภอซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ไม่สนใจว่าจะปิดประตูบ้านหรือประตูรั้วเรียบร้อยหรือยังสักนิด กังวลอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นเอง
ขอร้องละ...อย่าเป็นอะไรไปอีกคนเลยห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลอำเภอในวันนี้ไม่วุ่นวายนัก แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินนั่งบันทึกการตรวจร่างกายและพิมพ์ใบสั่งยาที่โต๊ะ พยาบาลอีกฝั่งกำลังเย็บแผลที่หลังมือให้ผู้ป่วย ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นคุณลุงแก่ ๆ ซึ่งนั่งครอบหน้ากากสำหรับพ่นยาขยายหลอดลม นอกนั้นคงเป็นญาติ ถือว่าค่อนข้างสงบหากเทียบกับที่เอกภพเคยเดินผ่านตอนมาตรวจฟันครั้งก่อน
วสุหลับไปแล้ว มือซึ่งจีบเกร็งเมื่อราวสิบห้านาทีก่อนคลายลง ลมหายใจเนิบช้า สม่ำเสมอ ใบหน้าสงบนิ่ง เหลือเพียงเปลือกตาแดงช้ำและคราบน้ำตาบนแก้มที่บอกให้รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นจริง และคนผิดคงเป็นเขาเอง
เอกภพยังจับมือเด็กหนุ่มไว้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนที่เข็มฉีดยาแทงผ่านเส้นเลือดบนแขนอีกข้าง กระทั่งเจ้าตัวค่อย ๆ สงบลง ลมหายใจผ่อนจนเชื่องช้ากว่าเก่าแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด จมดิ่งกับความฝันที่อีกฝ่ายเคยหวาดหวั่นนักหนา ปล่อยเขายังตื่นอยู่กับความกลัวอีกอย่างซึ่งตกค้างอยู่ไม่จางหาย
...เขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าจะต้องสูญเสียบางอย่างที่สำคัญไป...ชายหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นกุมอกตัวเอง หัวใจเขายังเต้นหนัก ๆ จนแน่นไปหมดอยู่เลย ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มานานเท่าไรแล้วนะ
“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องกังวล”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินเดินกลับมาดูอาการเด็กหนุ่มอีกครั้ง อธิบายกับเขาซ้ำพร้อมรอยยิ้มอ่อนใจ คงเพราะเห็นว่ายังแสดงท่าทางวิตกไม่เลิก
“ตรวจร่างกายแล้วไม่มีภาวะรุนแรงอะไร เป็นการหายใจที่มากเกินไปจนก๊าซและความเป็นกรดในเลือดผิดปกติเลยเกิดอาการแบบนี้ อาจถูกกระตุ้นให้เกิดอาการจากความเครียด กังวล หรือกลัว แต่ครอบถุงแล้วไม่ดีขึ้นหมอเลยให้ฉีดยาด้วย คงจะหลับไปอีกสักพักใหญ่ ๆ”
“ครับ” เขาผงกศีรษะรับ หันไปพิศมองดวงหน้าสงบนิ่งของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ค่อย ๆ เกลี่ยปอยผมที่ติดแก้มจากคราบน้ำตาออกเบามือ “..ผมพาเขากลับได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ” เธอพยักหน้า จากนั้นทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “มารถอะไรหรือคะ ถ้าเอามอเตอร์ไซค์มาอยากให้รอคนไข้ฟื้นสักหน่อย ยังไม่ตื่นดีเดี๋ยวจะหล่น”
“รถยนต์ครับ”
หมอสาวพยักหน้าอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “อ้อ งั้นจะกลับเลยก็ได้ค่ะ ถ้ามีอาการผิดปกติอะไรรีบพามาตรวจซ้ำนะคะ เดี๋ยวหมอสั่งยาให้กลับไปทานต่อที่บ้าน แต่ถ้าไม่มีอาการอะไรแล้วจะไม่ทานก็ได้”
เอกภพปล่อยมือจากอีกฝ่ายเพื่อไปจัดการเรื่องยาและเอกสาร จะได้รีบพาเด็กน้อยที่ยังหลับปุ๋ยกลับเสียที ครุ่นคิดไปเรื่อยว่าหากตื่นมาตอนที่เขาไม่อยู่ แล้วพบว่าตัวเองยังนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินคนเดียวจะตกใจหรือเปล่า ยิ่งนึกก็ยิ่งกังวลจนอยากกลับไปหาเร็ว ๆ ระหว่างมัวแต่วุ่นวายใจขณะที่นั่งรอหน้าห้องยา ก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นใกล้ ๆ
“อ้าว...พี่เอก”
เอกภพหันไปตามเสียงเรียก ชายหนุ่มหน้าดุเดินเข้ามาใกล้ ทันตแพทย์ที่เพิ่งมาอยู่ได้จะครบปีและเป็นคนรักของคิมหันต์ เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองที่บ้านเขา ชายหนุ่มนึกขึ้นได้พอดีว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่โรงพยาบาลนี้
“ภพ?”
“มาโรงพยาบาลวันหยุด ไม่สบายหรือครับ” อีกฝ่ายถามไถ่เป็นกันเอง อยู่ในชุดลำลองค่อนข้างสุภาพ ถือเอกสารปึกใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง เดินตรงเข้ามาหาจากหน้าห้องทันตกรรม
“ไม่ใช่พี่หรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ตั้งใจจะอธิบายต่อ...แต่เขาควรนับญาติกับวสุว่าอย่างไรดี สุดท้ายก็เพียงเอ่ยกลาง ๆ ไว้ก่อน “..พอดีว่า...เด็กข้างบ้านไม่สบายนิดหน่อย”
“เด็กข้างบ้าน?” อีกฝ่ายทำสีหน้าครุ่นคิด ทรุดตัวลงนั่งข้างกันกับเขา “..พี่หมายถึงวสุ?”
เขาเลิกคิ้ว “รู้จักกันหรือ?”
“ไม่หรอกครับ” สามภพยิ้มน้อย ๆ ฟันเขี้ยวเห็นชัดขึ้นเมื่อเจ้าตัวแย้มริมฝีปาก ดูมีความสุขเมื่อพูดประโยคต่อมา คงเป็นเพราะคนที่อยู่ในบทสนทนานั้น “ได้ยินบ่อยเลยจำชื่อได้ คิมเล่าให้ฟังว่าเจอกันแล้วคุยถูกคอ ไอ้ตี๋เกรียนนี่ก็เที่ยวถูกคอกับคนอื่นไปทั่ว”
“อ้อ..” เขายิ้มรับ “แล้วคิมเป็นไงบ้างล่ะ”
“ดีครับ ต้องขอบคุณพี่มาก หลังจากเมื่อวานก็น่าจะดีกับป๊าแล้ว..ต่อให้ป๊าเขาจะยังดูตึง ๆ กับผมบ้าง แต่ไม่ตีกับคิมก็โอเค ไอ้ลูกชายเขานี่สิกลับมาร้องไห้เป็นลูกหมาเลย แต่พอโอ๋เสร็จก็คุยเรื่องวสุใหญ่ ไม่รู้ติดใจอะไรเด็กคนนั้น บอกว่าไว้จะมาหาอีก เชื่อเขาเลย”
“งั้นหรือ..”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ ดูท่าทั้งสองคนจะผ่านพ้นอุปสรรคใหญ่ในที่สุด อดยินดีกับความรักของคนทั้งคู่ไปด้วยไม่ได้ สามภพกับคิมหันต์คบกันคล้ายตอนที่เขาลอบคบกับวสันต์เมื่อสมัยก่อน โชคร้ายเหลือเกินที่วสันต์เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจีน แบกรับความคาดหวังจากทางบ้านไว้มากมาย เมื่อโดนพ่อแม่รู้เข้าจึงทั้งถูกบังคับและกดดันมากกว่าคิมหันต์ซึ่งเป็นน้องชายมากนัก สุดท้ายเรื่องก็จบด้วยความสูญเสียซึ่งไม่สามารถเรียกร้องอะไรกลับคืนได้อีกแล้ว เหลือแค่ความทรงจำให้ระลึกถึง กับสัญญาซึ่งผูกตรึงตัวเขาตลอดมาในบ้านสีขาวอันเงียบเหงาหลังนั้น
“...ดีแล้ว...” เขาพึมพำราวพูดกับตัวเอง ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วจ้องมองกลับมา
“คุณวสุ นวสุธา ค่ะ”
เสียงเรียกจากห้องจ่ายยาดังขึ้นในที่สุด เอกภพถือโอกาสขอตัวจากอีกฝ่ายแล้วเดินไปรับยาแทนวสุ โบกมือลาสามภพที่ตรงนั้น ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องฉุกเฉิน
ทันตแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับ มองจนแผ่นหลังอีกฝ่ายหายลับเข้าไปหลังบานประตู
เขาขยับตัวไปหยุดยังมุมอับ วางเอกสารของตัวเองไว้บนโต๊ะ ลอบสังเกตอยู่ที่เดิมเงียบเชียบ จนกระทั่งเห็นเอกภพเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับรถเข็นซึ่งมีร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนไม่ได้สติอยู่บนนั้น
เมื่อเตียงรถเข็นมาจอดอยู่ด้านหน้ามุขของโรงพยาบาล เจ้าตัวก็อุ้มร่างเด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้สึกตัวไว้ในอ้อมแขน ท่าทางทะนุถนอมอีกฝ่ายราวกับเป็นคนรัก ค่อย ๆ วางร่างนั้นบนเบาะนั่งโดยสารของรถตัวเอง จากนั้นอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ก่อนพาหนะนั้นจะพาพวกเขาออกไป ทิ้งเพียงความสงสัยไว้ให้ผู้เห็นเหตุการณ์
สามภพหรี่ตา นึกถึงคำพูดของคิมหันต์ เจ้าเด็กแสบผู้เป็นคนรักของเขาที่มีนิสัยช่างสังเกต (และบางครั้งก็ค่อนข้างสอดรู้สอดเห็น) มาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้เจ้าตัวให้ความสนใจกับเด็กที่ชื่อวสุอย่างชัดเจน บอกเขาหลายครั้งว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ทั้งที่เพิ่งเคยคุยกับเด็กคนนั้นแค่หนเดียว
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าคิมหันต์หมายถึงอะไร แต่ถ้าแค่เรื่องที่รู้สึกประหลาดต่อความสัมพันธ์ข้ามรั้วระหว่างสองคนซึ่งเพิ่งขึ้นรถไปนี้ สามภพก็รู้สึกได้เช่นกันว่ามีอะไรสักอย่างที่มากกว่าเพื่อนบ้านทั่วไปพึงกระทำต่อกัน ท่าทีเหล่านั้นอาจไม่ได้แปลกต่อสายตา..แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแปลกต่อความรู้สึกผู้มองอย่างไม่สามารถอธิบายเหตุผล..
เขารอกระทั่งรถคันนั้นแล่นออกไปพ้นเขตโรงพยาบาล จึงหยิบเอกสารที่วางไว้ขึ้นมาถือ จากนั้นเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ทำเหมือนแค่บังเอิญเดินผ่านมาเฉย ๆ
“อ้าว พี่ผิง” ชายหนุ่มเอ่ยทักแพทย์หญิงประจำห้องฉุกเฉินวันนี้อย่างเป็นธรรมชาติ “เวรยุ่งไหมครับ”
“ไม่หรอก” เธอโบกมือพร้อมรอยยิ้ม แกว่งสเต็ทโตสโคปเล่นพลางเดินตรงเข้ามาหา พูดตอบติดตลก “ชิล ๆ เมื่อกี้เพิ่งเจอคุณเจ้าของหมาโกลเด้นซอยโน้น อิ่มตาละวันนี้”
เขายิ้มน้อย ๆ “หมายถึงพี่เอกน่ะหรือครับ”
“อ้าว รู้จักเขาหรือ?”
สามภพพยักหน้า “เพื่อนของเพื่อนน่ะครับ เห็นเขาบอกว่าเพื่อนบ้านไม่สบาย”
“ใช่ ๆ เด็กคนนั้น” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “น่ารักดีนะ”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ เด็กคนนั้นก็เป็นคนรู้จักกับแฟนผม” เขาพยายามโยงความสัมพันธ์ไม่ให้ดูเจาะจงถามเกินไปนัก “..เลยเป็นห่วงหน่อย ๆ ซะแล้วสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอยิ้มร่า ตอบกลับมายาวเหยียดอย่างไม่นึกสงสัย “ไฮเปอร์เวนน่ะ สงสัยเครียดอะไรสักอย่าง อุ้มเข้าอีอาร์มาน้ำตาไหลพราก ๆ เลย น่าสงสาร ครอบถุงก็ไม่หายเลยฉีดยาช่วย วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นบ่อยเหมือนกันนะ โลกมันอยู่ยากขึ้นหรือไงไม่รู้”
“อ้อ..” สามภพเออออไปด้วย “ถ้าไม่เป็นอะไรมาก ผมได้สบายใจ”
“แล้วหมอภพนี่ยังไงเนี่ย” เธอกระเซ้า “ตอนมาใหม่เอาแต่ทำตาขวาง อยู่ไปอยู่มารู้จักเขาไปทั่วเหมือนกันนะ”
“ไม่ใช่หมานะครับ" เขาแหย่กลับ ทำเป็นหัวเราะไปกับเธอด้วย "ทำตาขวางอะไรกัน”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าเสียหน่อยนี่”
“เด็กคนนั้นไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ” เขาว่าพลางชี้เอกสารปึกใหญ่ในมือ ถือโอกาสตัดบทที่ตรงนั้นแล้วเดินกลับบ้านพักตัวเอง ครุ่นคิดว่าเมื่อไปเจอคิมหันต์ที่ยังขลุกอยู่นี่ไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ สักที ไอ้ตัวแสบที่ปกติรู้มากนักหนาจะให้ความเห็นเรื่องนี้ว่าอย่างไรกัน?
เอกภพจอดรถในโรงจอดแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ เลื่อนกระจกลงไว้นิดหน่อย แล้วเดินไปทางประตูบ้าน ตั้งใจจะเปิดมันไว้ก่อน เพื่อจะพบว่าตัวเองรีบร้อนออกไปจนลืมล็อคประตู โชคดีที่ไม่โดนยกเค้าหมดหลัง เห็นดุ๊กดิ๊กออกมาสะบัดหางทักทายจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาขังสัตว์เลี้ยงตัวเองไว้ข้างในอีกด้วย
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมพลางถอนใจยาว นี่เขาเป็นผู้ใหญ่จริงหรือเปล่า แค่เรื่องของเด็กคนเดียวก็ทำเอากลายเป็นคนสะเพร่าขนาดนี้
เขาเปิดเครื่องปรับอากาศ ระหว่างรอให้อุณหภูมิค่อย ๆ ลดลงจนเย็นสบายก็จัดหาที่ว่างและหมอนไว้บนโซฟายาว ดึงโต๊ะญี่ปุ่นที่พวกเขาเล่นสีน้ำกันก่อนหน้านี้ไปไว้มุมอื่น จัดที่ทางเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง
วสุยังไม่ได้สติ แต่มีขยับตัวบ้างนิดหน่อยเมื่อเขาช้อนร่างเด็กหนุ่มขึ้นมา พอไม่ดิ้นรนเหมือนตอนขาไปส่งโรงพยาบาล ก็ดูราวกับว่าจะตัวเบาลงจนน่าใจหาย ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นให้ใบหน้าอีกฝ่ายซบลงแนบอกตัวเอง ก้มลงไปกดจมูกลงกลางกระหม่อมคนหลับเบา ๆ โดยไม่ทันหยุดคิดถึงเหตุผลของการกระทำนั้น
แมวดำที่มักอยู่กับวสุบ่อย ๆ โผล่จากไหนไม่รู้มายืนใกล้ ๆ มันเงยหน้าร้องเหมียวราวกับจะถาม ทิ้งระยะห่างจากดุ๊กดิ๊กนิดหน่อยแต่ไม่ขู่ฟ่อ แมวหมาที่เหมือนจะทะเลาะกันเรื่อยหยุดตีกันตอนนี้เอง
“เจ้านายแกไม่เป็นไรหรอก”
เขากระซิบบอกมัน แต่อีกนัยหนึ่งก็บอกตัวเองไปด้วย
วสุไม่เป็นอะไร แค่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาเท่านั้นเอง อาการไฮเปอร์เวนติเลชันตามที่แพทย์หญิงคนนั้นอธิบายให้ฟังไม่ใช่ภาวะร้ายแรง เดี๋ยวตื่นมาก็จะหาย เหมือนกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัวนั่นละ แค่ลืมตาตื่นเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
..แต่สิ่งที่เอกภพไม่เข้าใจเลย คือเหตุใดเขาจึงกังวลเรื่องเด็กคนนี้นักหนา
เมื่อเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น อากาศภายในนั้นก็กำลังสบายพอดี เอกภพแปลกใจที่นาฬิกาลายเถาวัลย์บนผนังบอกเวลาบ่ายโมงยี่สิบนาทีเท่านั้น ทั้งที่เขารู้สึกว่าช่วงเวลาตั้งแต่วสุมีอาการหอบขึ้นมาจนถึงตอนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
ชายหนุ่มย่อตัวลง ค่อย ๆ วางร่างอีกฝ่ายลงบนโซฟาเบามือ ครุ่นคิดว่าวสุจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร และถ้าตื่นแล้ว...เขาควรพูดอะไรกับเจ้าตัวเป็นอย่างแรก มีเรื่องที่สงสัยและอยากถามเต็มไปหมด และเขาคิดว่าวสุเองก็คงไม่ต่างกัน แต่หากถามอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับความฝันลึกลับเหล่านั้นแล้ว เขาจะทำให้เด็กที่ดูช่างเปราะบางคนนี้ต้องร้องไห้อีกหรือเปล่า
เขานั่งเฝ้าอยู่เงียบ ๆ ที่เดิม ดุ๊กดิ๊กตามมาย่อตัวลงแล้วหมอบอยู่ใกล้ ๆ ส่วนแมวดำเพียงเมียงมองอยู่ข้างนอกแต่ไม่กล้าเข้าบ้าน
ใบไม้ส่งเสียงหวีดหวิวยามต้องลมหอบกลิ่นฝน แต่ถึงมันจะกรีดร้องอย่างไรก็ยังดังมาไม่ถึงคนข้างใน การเปลี่ยนแปลงเดียวในนี้อาจเป็นเข็มวินาทีซึ่งยังคงขยับไปเรื่อย ขณะที่เวลาหมุนผ่านและจะดำเนินต่อไป ชั่วขณะที่นั่งรออยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ เอกภพตระหนักได้ว่าเวลาไม่เคยลบสิ่งใดได้โดยแท้จริง
มันก็แค่หมุนของมันต่อไปเท่านั้น...ไม่ได้มีหน้าที่ลบล้างสิ่งอื่น..
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว มองแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงช้า ๆ ของวสุ กุมมืออีกฝ่ายไปด้วย พลางนึกสงสัยว่าภายใต้ฤทธิ์ยาเช่นนี้ เด็กหนุ่มจะยังมีชีวิตเป็นอีกคนอยู่ในความฝันหรือเปล่า
..แล้วถ้าใช่...อีกตัวตนในความฝันนั้นคือใครกัน?
“...ผมรักพี่...”คำรักแผ่วเบา...ถูกกระซิบผ่านริมฝีปากแห้งผากของคนที่ยังหลับใหล
“...?”
เอกภพก้มลงไปมองให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดคำนั้นออกมาในความฝันหรือความจริงกันแน่ แพขนตายังทาบอยู่บนแก้มเช่นเดิม เปลือกตาปิดสนิท หากแต่คิ้วเจ้าตัวกลับขมวดน้อย ๆ
“..วสุ?”
ไร้เสียงตอบรับ..หลังเปลือกตาคู่นั้น วสุยังคงตัดขาดจากความเป็นจริงภายนอก เหยียบย่างอยู่ในความฝันซ้ำ ๆ ดังเช่นที่เป็นมาทั้งชีวิต
“...รัก....รัก.....รักมาก....”หัวใจเขาเต้นระรัวจนปวดหนึบ ก้มตัวลงไปใกล้เพื่อฟังถ้อยคำกระท่อนกระแท่นที่เหลือ
“.....อยากอยู่ด้วยกัน...จนวันสุดท้าย....”"...."
เอกภพเคยได้ยินคำเหล่านั้นมาก่อน แม้เนิ่นนานมาแล้วแต่เขาไม่เคยลืม...เขาจะลืมได้อย่างไร
รัก...รัก...รักมาก...อยากอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย..มีคนเคยบอกไว้อย่างนั้น ก่อนเจ้าของคำพูดจะจากเขาไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง ทิ้งร่างร่วงดิ่งลงจากชั้นดาดฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา...อยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย....และสบตากันจนวินาทีสุดท้าย...ราวกับจะตอกย้ำคำสัญญาอันเป็นดั่งคำล่ำลา
มือเขาสั่นไปหมด ขอบตาร้อนผ่าวและนัยน์ตาพร่ามัวจากหยดน้ำที่เอ่อคลอ เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรได้อีก เวลาไม่เคยลบเลือนอะไรเลยจริง ๆ ที่ผ่านมาเขาบอกตัวเองและคนอื่นว่าไม่เป็นไร แค่คิดถึงก็พอ...ไม่ได้คร่ำครวญอีกแล้ว แต่ภาพวินาทีสุดท้ายนั้นยังติดตาและคอยหลอกหลอนเขาทั้งยามหลับและยามตื่น
คว้าไว้ไม่ทัน...ทำไมถึงเอื้อมไปจับไว้ไม่ทันเขากุมมือวสุแน่นขึ้น ..ถ้าเพียงแต่วันนั้นจะจับไว้ได้อย่างตอนนี้
“...พี่เอก..”
“...เป็นใครกัน...” เขากระซิบเสียงเครือกับคนที่ยังหลับ “..ตอนที่อยู่ในฝันของนายน่ะ...”
วสุไม่ได้ตอบเขา แต่กลับละเมออย่างอื่นออกมา น้ำใส ๆ หยดหนึ่งร่วงลงจากหางตาข้างขวาของเด็กหนุ่ม พึมพำต่อกับคนที่เจ้าตัวบอกเองว่าเป็นเขา แต่อยู่ในความฝันซึ่งฉายซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่จำความได้
“..ตั้งชื่อมันว่าดุ๊กดิ๊กได้ไหม?”
“....”
“...หมาน่ะ..”
เขารู้สึกเหมือนมีอะไรขึ้นมาจุกที่คอของตัวเองจนหายใจไม่ออก เป็นกลุ่มก้อนซึ่งมองไม่เห็นทว่าหนักหนาและเจ็บปวด และเมื่อส่งเสียงสะอื้นอย่างน่าอายออกมาครั้งหนึ่ง ก็คล้ายกับว่าทำนบที่เคยกั้นทุกสิ่งจะพังทลายลงในตอนนั้น หยดน้ำอุ่น ๆ ร่วงลงจากขอบตาเป็นสาย ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่พึมพำอยู่ในห้วงนิทรา ด้วยถ้อยคำที่เขาล้วนเคยได้ยินมาก่อนจากปากคนรัก...คนเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในรูปวาดมากมายในห้องสีขาวที่เขาหวงแหน
“...ได้....ฮึก!”
เขารับคำ...แต่เสียงนั้นจะส่งไปถึงตัวตนในฝันบ้างหรือเปล่า
“..ได้สิ....พี่ตั้งให้แล้วไง...ดุ๊กดิ๊กก็นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ นายตอนนี้แล้วไง....”
ใครคนนั้นจะได้ยินบ้างไหม ทุกครั้งที่ลมพัดหวีดหวิว ทุกคราวที่ต้นไม้ผลิใบใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เหลือเพียงเขาที่เฝ้าอาวรณ์ถึงความรักที่จากไปจนกระทั่งบัดนี้...
จะส่งไปถึงบ้างไหม...จะพอมีหวังบ้างหรือเปล่า...
“...สีน้ำที่นายบอกว่าจะหัดวาด..บ้านสีขาวของนาย...สวนหย่อมของนาย....”
“....”
“...กลับมาสิ....”
เอกภพก้มลงกอดร่างเด็กหนุ่มไว้แนบอก ซบหน้าลงบนไหล่คนในอ้อมแขน จากนั้นสะอื้นออกมาปริ่มว่าจะขาดใจ
“...วสันต์...นายกลับมาได้ไหม...ได้โปรดกลับมาเถอะนะ...”
วินาทีที่เฝ้าร้องขอจนคิดว่าจะยอมแลกกับอะไรก็ได้ในชีวิตนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี...หากความรักนั้นหวนกลับมาอีกหน ขอโอกาสอีกแค่ครั้งเดียว แล้วจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปไหนอีกแล้ว...
วินาทีเดียวกันนั้น...คนในอ้อมแขนก็ยกมือขึ้นกอดตอบเขาจนแน่น กระซิบชื่อเขาเสียงเครือด้วยสำเนียงคุ้นเคย
“...พี่เอก...”ถ้อยคำที่ได้ยินเจือด้วยเสียงสะอื้น ทั้งยังแผ่วเบาเหลือเกิน หากแต่ชัดเจนด้วยกลิ่นอายที่เขาเฝ้าโหยหา
กลับมาแล้วใช่ไหม....กลับมาหาเขาแล้วใช่ไหม...
“....ผม...”
หัวใจของเอกภพที่เคยถูกทำลายไปแล้ว...ราวกับกำลังประกอบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นใหม่ช้า ๆ
“....ชื่อวสุ...” เพียงเพื่อจะถูกทำลายอีกครั้งเมื่อความฝันนั้นจบลงโปรดติดตามตอนต่อไป
เขียนตอนนี้แล้วร้าวรานใจเหลือเกิน *กุมอกแล้วทรุด*
มีแววว่าจะโดนคนอ่านทิ้งอีกเป็นแน่แท้ *กราบ* ถ้ายังไหว ไปด้วยกันก่อนนะคะ พรากกก
เอาละ พักสูดน้ำมูก ปรับอารมณ์แป๊บ แล้วเดี๋ยวไปต่อของแถมมุ้งมิ้งรีพลายถัดไปกันค่ะ
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านนะคะ สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ ชุ่มฉ่ำชื่นใจทั้งปีนะคะ
ด้วยรัก ^^