- 2 -“เรากับเจ้า จักควบขี่เจ้าไต้ฝุ่นไปด้วยกัน”
“ห๊ะ! ว่าไงนะ” พระองค์ไม่ตอบ ทรงแย้มโอษฐ์อย่างหล่อเหลาก่อนเป่าปากวี๊ดวิ้ว
เสียงกีบเท้าของอาชาคู่บารมีดังมาแต่ไกล พริบตาเดียวก็มายืนยืดคอร้องฮี้ๆ อยู่ด้านหน้าคนทั้งคู่
“เออ!..แน่ใจจะให้ผมขี่ไต้ฝุ่นไปกับคุณ” ผักตบถามกึ่งอายปนเขิน
นี่เป็นอีกครั้งแล้ว ที่เขาจะต้องนั่งหลังม้าร่วมกับเจ้าชาย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เรามิต้องการให้เจ้าลำบาก แม้นเจ้าไม่ทุกข์ร้อน
แต่เรากลับแน่ใจว่าบั้นท้ายเจ้าคงไม่สมบูรณ์นัก เราจึงเน้นอานม้าสำหรับให้เจ้านั่งนุ่มนิ่มเป็นพิเศษ
เช่นนั้นคงช่วยให้ลดความทรมานลงไปมิน้อย สำคัญเราจักใช้เทพมหาธาตุสร้างเกราะคุ้มกาย
มิให้เจ้ากระทบกระเทือน เช่นนี้ดีหรือไม่” ผักตบหน้าแดงอีกจนได้ เขารู้ตัวว่าแม้จะเดินเหินไม่ลำบากแต่ใช่จะไม่เจ็บก้น
ไม่นึกว่าอีกคนจะละเอียดอ่อน ถึงกับเตรียมการไว้ให้
“ขอบคุณที่ห่วง เอาเป็นว่าคุณแนะวิธีสร้างเกราะป้องกันร่างกายให้ผมทดลองทำขึ้นเองดีกว่า
ไม่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมจะได้ลองใช้ให้คล่องไปด้วย” ผักตบไม่ปฏิเสธในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด
แค่ต้องการสร้างเกราะมหาธาตุด้วยตัวเอง
“เจ้าจงกระทำเช่นเดียวกับการเรียกมหาธาตุวายุ เพียงกำหนดจิตให้มหาธาตุกลายเป็นผนึกไร้สภาพ
คุ้มครองกายเจ้าแทน” คำเฉลยที่เปล่งจากโอษฐ์ได้รูป ซึ่งแย้มสรวลส่งให้ ผักตบเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
เขาเริ่มลงมือเรียกมหาธาตุวายุ กำหนดคำสั่งผนวกความต้องการขึ้นมาในใจ
ทันใดค่อยรู้สึกรอบกายมีมวลอากาศเข้ารายล้อม เหมือนผนังยืดหยุ่นที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
กำลังทำหน้าที่คุ้มครองร่างกายเขาอยู่
“ฮะฮ่าๆๆ..รู้สึกเหมือนอยู่ในถุงลมเห๊ะ..ฮะฮ่าๆๆ” ผักตบหัวเราะชอบใจใหญ่
ไม่คิดว่าเรื่องเหลือเชื่อจักเกิดขึ้นกับเขาจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้ฝัน ทุกอย่างเป็นความจริงแท้แน่นอน
“ไปกันเถิด เราจักมุ่งตรงไปยังแต่ละทิศของนคร เพื่อให้เจ้าได้เห็นความลำบากของไพร่ฟ้า
แหล่งน้ำสำคัญที่ต้องฟื้นฟู ให้พวกเขาได้ทำกิน” พระองค์ทรงดำรัส ค่อยถือวิสาสะเอื้อมพระหัตถ์
ยกร่างผักตบขึ้นนั่งยังอานม้าบนหลังไต้ฝุ่น อาชาแสนรู้กลับสงบนิ่ง ยอมรับผักตบประดุจนายของมัน
โดยไม่แสดงท่าทางพยศ ก่อนพระองค์จะโหนวรกายนั่งซ้อนด้านหลัง ค่อยเอื้อมหัตถ์จับสายบังเหียน
แล้วส่งสัญญาณให้อาชาคู่พระบารมี ห้อตะบึงเดินทางไปในทันที เป้าหมายคือเขตแดนของนครไตรคานทั้งหมด
ให้ผักตบได้สัมผัสวิถีไพร่ฟ้า โดยไม่ให้มีทหารติดตามมาด้วย ทรงเชื่อมั่นว่าสามารถดูแลความปลอดภัยได้ด้วยองค์เอง
“อืม..ไปเลยเจ้าชาย” ผักตบกลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกของอานม้าแม้แต่นิดเดียว
เหมือนนั่งบนถุงลมนุ่มนิ่มไปแล้ว ที่รับรู้ได้ตอนนี้คืออ้อมพระกรแกร่งทรงรวบกอดไว้แนบชิด
พระอุระกว้างทาบทับอยู่แผ่นหลังจนสัมผัสเสียงเต้นของหัวใจได้ยินชัด
เป็นเพราะองค์ชายวายุภักษ์ทรงกำหนดมหาธาตุวายุ เป็นเกราะกำบังพระวรกายใช้ร่วมกับของผักตบ
จึงกลายเป็นว่าคนทั้งคู่ อยู่ในอาณาเขตเกราะมหาธาตุด้วยกัน หาใช่ต่างคนต่างสร้างขึ้น
หากไม่ทรงทำเยี่ยงนี้เกรงว่าวรกายพระองค์คงไม่สามารถแนบชิดอีกฝ่ายได้
เกราะเทพมหาธาตุเป็นอุปสรรคขวางกั้นนั่นเอง การรวมเทพมหาธาตุระหว่างคนสองคน
ซึ่งผ่านการหลอมรวมร่างกายย่อมไม่ใช่เรื่องลำบากอีกต่อไป ดุจเป็นคนเดียวกันไปแล้วด้วยซ้ำ
เรื่องนี้มีแต่องค์ชายเท่านั้นที่ทรงทราบ กลับมิยอมให้ผักตบล่วงรู้ พระองค์ทรงเก็บงำไว้
เพื่อไม่ให้ผักตบนำมาสร้างระยะห่าง หากผักตบรู้ถึงอำนาจของพลัง แล้วนำมากีดกันมิให้พระองค์ได้ชิดใกล้
ใยมิกลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ที่พระองค์จักเป็นผู้ทรมานแต่เพียงผู้เดียวเสียแล้ว
กลิ่นกายหอมกรุ่นที่ทรงสูดดมผ่านนาสิกขณะนี้ ทำให้พระองค์รู้สึกปลอดโปร่งมีความสุข
คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทรงกำชับมิให้มีหน่วยทหารอารักขาติดตามมาด้วย
ทรงต้องการอยู่กับพระชายาเป็นการส่วนพระองค์ เพลานี้นอกจากราชกิจ ยังได้แนบชิดพระชายาไปด้วยต่างหาก
>
>
“เจ้าเป็นเช่นไร รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” องค์ชายธรณิณรับสั่งถามบุรุษหนุ่มที่นอนอยู่ในรถเทียมม้า
ซึ่งใช้กระโจมดัดแปลงทำขึ้น ใช้อาชาถึง 5 ตัว สำหรับให้เชลยหนุ่มของพระองค์พำนักในการเดินทาง
พระองค์เองก็ทรงพำนักอยู่ด้วย ยกกองทัพเดินทางกลับสู่เวฬุวรรณนคร
กลกะลาไม่ตอบคำ นอกจากชำเลืองหางตามองอีกฝ่ายแวบเดียว ก่อนจะเบือนกลับไปนอนนิ่ง
ไม่กระดิกร่างกายแม้แต่น้อย ทานข้าวเขาก็ถูกบังคับให้กิน รู้สึกร่างกายเหมือนจะป่วยไปแล้ว
ไม่มีแรงเจ็บระบมไปทั้งสะโพก แต่องครักษ์หนุ่มไม่ได้แสดงท่าทางอันใด ตั้งแต่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย
เขาก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่นั้น จนขณะนี้ย่างเข้าสู่เขตนครใต้อาณัติของเวฬุวรรณแล้ว
ซึ่งพระปิตุลาทรงมีรับสั่งให้พักกองทัพที่นครแห่งนี้ รุ่งขึ้นค่อยเดินทางกลับเวฬุวรรณต่อ
“ข้าถามเจ้าใยมิตอบคำ ขืนเจ้าเมินเฉยข้าอีก ข้าจักจับเจ้าสังวาสให้ได้อายบนรถม้าเสียเดี๋ยวนี้”
พระองค์ทรงขู่องครักษ์จอมโอหัง ด้วยไม่เห็นวิธีใดจะทำให้อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อได้ นอกจากยกอ้างทำให้อาย
“หึ! ข้าจักเป็นเยี่ยงไร ธุระกงการอันใดท่านเล่า ตัวข้าก็แค่เชลยศึก ซึ่งพลาดท่าให้ท่านจับไปกักขังก็เท่านั้น
ยังมีสิ่งใดให้ข้าหลงเหลือศักดิ์ศรีต้องรักษาไว้อีกหรือ ท่านได้ย่ำยีสังวาสข้าประหนึ่งคณิกา
ในซ่องนางโลมไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จักต้องเกรงกลัวอันใดกับความอายกันอีก”
“ฮะฮ่าๆๆ..ข้าชมชอบยิ่งนัก ยามเจ้าใช้วาจาเสียดแทงเยี่ยงนี้ ทำให้ข้าได้รู้หัวใจเจ้าใช่ไร้ความรู้สึกเสียทีเดียว
เจ้าย่อมเหนือกว่าคณิกาในซ่องนางโลมเป็นแน่แท้ ด้วยข้ามิเคยใช้บริการจากนางเหล่านั้นแม้แต่น้อย
หญิงงามนับไม่ถ้วนทั้งกุลธิดาสูงศักดิ์ในตระกูลชั้นสูง หรือขัตติยนารีที่ตกเป็นนครใต้อาณัติ
ต่างยินยอมสังวาสกับข้าด้วยความเต็มใจเสียยิ่งกระไร มีอยู่ไม่น้อยแก่งแย่งชิงดีกัน
ให้ได้ร่วมเตียงกับข้าในยามราตรีเล่า เจ้าสมควรภาคภูมิใจดอกจึงควรถูก ที่ได้รับเกียรติโดยข้ามิได้หมางเมินเจ้า
กลับร่วมสังวาสนับครั้งไม่ถ้วน ถือเป็นหนแรกที่ข้าใช้พลังในการนี้ไปมากโข อย่างที่มิเคยกระทำกับผู้ใดมาก่อน
ใครใช้ให้เจ้าเร่าร้อนยั่วกำหนัดข้าไม่รู้จักจบสิ้น นั่นเป็นเพราะเจ้าดอกที่กระทำขึ้นเอง”
“เหอะ!ท่านช่างกล้าป้ายความผิดให้ผู้อื่นอย่างหน้าไม่อายไปแล้ว มิใช่ท่านวางยาข้าหรือไร
จึงทำให้ไม่สามารถต่อต้านท่านได้ เยี่ยงนี้จักเป็นชายชาตินักรบเยี่ยงไรกัน
ลอบทำร้ายผู้อื่นหาได้มีความสง่าผ่าเผยอันใดไม่ ข้ากลับไม่คิดมาก่อน
เวฬุวรรณนครจักมีรัชทายาทเยี่ยงท่านอยู่ด้วย” กลกะลาจ้องอีกฝ่ายอย่างจะเผาด้วยเพลิงโทสะ
แต่เขาทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เนื่องจากร่างกายถูกสะกดด้วยมนตราสลายพลัง
ทำให้ร่างกายอ่อนเปลี้ยเหมือนคนทุพพลภาพ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปแล้ว
“เจ้าก็ใช่ตัวดีนัก ลักลอบเข้าค่ายทหารของข้าเยี่ยงโจรป่า เยี่ยงนี้ยังกล้าเอ่ยอ้างชายชาตินักรบ
หรือองครักษ์เอกแห่งไตรคานเยี่ยงเจ้า ซึ่งแอบลักลอบมิกล้าเปิดเผยอำพรางกระทั่งหน้าตา
มาถึงถิ่นข้าในยามวิกาล ประพฤติตนดุจโจรถ่อย จึงสมควรยกย่องเป็นนักรบแห่งไตรคานกันเล่า”
กลกะลาเผลอกำหมัดแน่น หลังถูกองค์ชายธรณิณตอกกลับให้ได้เจ็บช้ำใจเป็นยิ่งนัก
เขาหมดคำโต้เถียงอีกฝ่าย เพราะความเป็นจริงเขาเองก็ได้กระทำอย่างที่อีกคนกล่าวอ้างทั้งสิ้น
ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเขาพลาด จำต้องตกอยู่ในฐานะเยี่ยงนี้
“หึหึ! มิมีวาจาหักล้างแล้วสิเจ้าถึงได้นิ่งเฉย ใยมิหมดความบันเทิงไปเสียแล้ว
ข้ากลับชมชอบเจ้าตีฝีปากยิ่งนัก เอาเถิด..เพลานี้เจ้าสมควรได้พักผ่อน ขบวนทัพกำลังเข้าสู่นครไอยรา
พระบิดาข้ามีรับสั่งพักทัพที่นี่หนึ่งราตรี พรุ่งนี้ยามพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า เราจักเดินทางกลับเวฬุวรรณนคร
โดยปกติหากพักแรมที่ไอยรา ข้าต้องได้รับการปรนนิบัติจากองค์หญิงแก้วกัลยา
ราชธิดาขององค์จักรินทร์เสียทุกครั้งไป หนนี้ไม่แน่นางคงตามราวีข้าอีกเช่นเคย
เจ้าคงต้องร่วมชมฉากรักของข้าเสียกระมัง วีรบุรุษนักรบแห่งไตรคาน..ฮะฮ่าๆ”
กลกะลาปิดเปลือกตา ไม่ยอมมองอีกฝ่ายที่แหงนพักตร์หัวเราะอย่างลำพอง
พร้อมกับประโยคที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง
เมื่อคนเอ่ยวาจาจงใจจะให้เขากระทำเช่นนั้นจริงล่ะก็..คงน่าสมเพชนัก
“ถวายพระพรองค์ชาย ถวายพระพรพระชายาพะยะค่ะ” หลังจากผักตบกับองค์ชายวายุภักษ์เสด็จกลับเข้าวัง
ทหารองครักษ์รีบถวายพระพร เหมือนมีเรื่องด่วนต้องการรายงาน แต่สรรพนามที่เรียกขานผักตบ
ทำเอาคนหน้าขาวหูแดงหน้าแดงในพริบตา แต่ก็จนคำพูดที่จะว่ากล่าวอะไรได้
ขณะนี้แม้แต่การนั่งบนหลังม้าไต้ฝุ่น เขายังโดนโอบกอดอย่างไม่มีคำแก้ตัว
“ตามสบายเถิด เจ้ามีอันใดถึงขวางทางเรา” องค์ยุพราชทรงรับสั่งถามขึ้นทันที
หลังพาผักตบตระเวนถ่ายรูปสำรวจพื้นที่ ต้องรีบทำการฟื้นฟูจนเสร็จเรียบร้อย ค่อยพากลับเข้าวังก็ใกล้พลบค่ำเต็มทีแล้ว
“ข้าพระองค์ใคร่ถวายรายงาน ก่อนหน้าพระองค์จักเสด็จมาถึง องค์หญิงชลธารแห่งเวฬุวรรณนครได้เสด็จมาที่นี่
แจ้งความจำนงขอเข้าเฝ้าพระชายา พระนางยืนกรานจักขอเข้าเฝ้าพระชายาให้ได้..พะยะค่ะ”
องค์ชายกับผักตบต่างเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดมาก่อนว่าองค์หญิงชลธารจะเดินทางมาขอพบผักตบ
“นางมาเพียงลำพัง หรือมีผู้ใดติดตามมาด้วย” องค์ชายวายุภักษ์ทรงรับสั่งถาม
“มาเพียงลำพังพร้อมอาชาคู่กายพะยะค่ะ ทรงแจ้งว่ามีข้อมูลสำคัญจักถวายรายงานพระชายา
พร้อมทั้งได้นำยาถอนพิษเบญจมาศดำมาถวายการรักษาองค์ชายด้วยพะยะค่ะ” คำตอบที่ได้รับ ทั้งคู่ยิ่งสงสัยนัก
“เช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ใดแล้ว” ผักตบปล่อยเป็นหน้าที่องค์ชายรับสั่งถามโดยไม่แทรกขัด
“ทรงพำนักตำหนักรับรองอาคันตุกะ ตามที่องค์เหนือหัวทรงรับสั่งพะยะค่ะ
พระองค์ทรงรอองค์ชายกับพระชายาเสด็จกลับมาเสียก่อน จักได้ให้เข้าเฝ้าพร้อมกันยังตำหนักส่วนพระองค์
บัดนี้ท่านมหาโหราพร้อมด้วยพระมเหสี พระปิตุลา องค์หญิงศศิธร ทรงประทับรออยู่แล้ว..พะยะค่ะ”
“เช่นนั้นเราจักไปเดี๋ยวนี้ เจ้าให้คนไปเชิญองค์หญิงชลธารมายังตำหนักเสด็จพ่อได้เลย
อย่าลืมให้คนไปเชิญพระมารดาพระชายามาพร้อมกันเสียด้วย หากเรื่องนี้เจาะจงพระชายาล่ะก็
มิควรที่จักให้พระมารดาของชายาข้าไม่ได้ร่วมรับรู้ การนี้อย่างไรต้องมีเงื่อนงำแน่นอน”
องค์ชายกลับมีพระบัญชาให้นายทหารองครักษ์ ไปเชิญแม่เล็กของผักตบเข้าร่วมด้วย
พระดำรัสทุกถ้อยคำกลับยกย่องให้เกียรติเขาและแม่อย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั้น เหล่าข้าราชบริพารกลับเรียกขานแล้วเรียบร้อย
ผักตบได้แต่ยอมรับโดยไม่มีทางปฏิเสธฐานะใหม่นี้อีกแล้ว ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทวายุภักษ์...
มาอัพตามนัดแล้วนะคะ เจอกันอีกทีขอเป็นวันเสาร์เลยนะคะ ติดตรุษจีนค่ะ
มีเรื่องต้องทำเยอะพอสมควรทีเดียว
สำหรับคนอ่าน..ที่อาจมีแง่มุมสงสัยถึงความนึกคิดของตัวละคร หลายคนเข้าใจในมุมของตัวละคร
ได้เม้นท์แสดงความคิดเห็นตรงใจของคนเขียน แต่หลายคนอาจจะยังคลุมเครืออยู่นะคะ เราจึงถือโอกาสอธิบายเพิ่มเติม
องค์หญิงชลธาร นางได้รับการเลี้ยงดูจากพระปิตุลา ได้รับความรักการดูแลเอาใจใส่ดุจบิดา ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ที่นางจะเชื่อฟังพระปิตุลา โดยไม่มีเรื่องเคลือบแคลงสงสัย ในขณะผักตบคือคนแปลกหน้า ต่อให้รู้ฐานะว่าเป็นพี่น้องฝาแฝด
แต่ความผูกพันใกล้ชิดไม่เคยมีให้กันมาก่อน พอได้รับการบอกเล่ามาแบบนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะเชื่อเช่นกัน
คนเราทุกคน ย่อมไว้เนื้อเชื้อใจกับคนที่เรารักเคารพมาเป็นอันดับแรก ก่อนจะเชื่อคนอื่นต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกัน
แต่ก็อย่างที่บอก ว่าความผูกพันใกล้ชิดไม่ได้มี ที่เหลือต้องให้นางได้เรียนรู้เอาเองล่ะค่ะ เรื่องนี้ยังต้องตามกันต่อ..อิอิ
กลกะลา ด้วยนิสัยผู้ชายที่เป็นองครักษ์ภักดีกับผู้มีพระคุณดุจจ้าวชีวิต
เมื่อบุคคลผู้นั้นชีวิตแขวนบนเส้นด้าย เขาย่อมไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ
แม้ว่าจะเกินกำลังความสามารถ แค่มีโอกาส 1% คนที่เป็นนักรบย่อมไม่หวาดกลัวหรือคิดเยอะ
แต่ที่เขาพลาด ก็เตรียมใจตายมาล่วงหน้าแล้วเช่นกัน หากยังมีชีวิตรอด
แถมได้รับการบอกเล่าว่าคนที่เขาต้องการช่วยชีวิต ก็รอดชีวิตไม่ตายอย่างที่คิด
จะมีความจริงมากน้อยแค่ไหน เขาก็ต้องรักษาชีวิตไปดูให้รู้เห็นด้วยตา
การที่คนเราตกอยู่ในสถานการณ์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ต้องรอจังหวะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
กลกะลาคือคนประเภทนี้ ไม่ใช่โง่หรือสิ้นคิด แต่เพราะเป็นคนที่คิดเป็น แต่ก็ย่อมพลาดได้เมื่อเหตุการณ์บีบบังคับ
นักโทษเก่งๆ มากมายหลายคนที่ติดคุก โดนตำรวจจับเข้าห้องคุมขัง พวกเขามีฝีมืออาจจะเก่งกว่าตำรวจด้วยซ้ำ
แต่กลับไม่มีทางหนีรอดไปได้ เป็นเพราะสาเหตุอะไร นั่นเราก็คงต้องวิเคราะห์ไม่ต่างองครักษ์หนุ่มกลกะลา
ซึ่งยากกว่าตรงที่ สู้องค์ชายธรณิณไม่ได้อีกต่างหาก..รอแค่โอกาสเหมาะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ปล.ขอบคุณแฟนนิยายที่น่ารักทุกคนค่ะ เรื่องนี้ยังอีกหลายตอนกว่าจะจบ.. 