- 2 -“ข้าจักมิทำให้พวกท่านผิดหวัง องค์หญิงชลธาร..องค์ชายธรณิณย่อมมิใช่คู่มือข้าแล้ว แม้นพวกเขาร่วมมือกันก็ยังมิใช่ เรื่องของสงครามกับทางเวฬุวรรณ ยังต้องดำเนินการแน่นอน
แต่มิใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี่ดอก สิ่งสำคัญที่ข้าต้องกระทำอันดับแรก
คือการฟื้นฟูแหล่งน้ำและผลิตผลด้านเสบียงอาหารให้อุดมสมบูรณ์ ไพร่ฟ้าประชากรมีความสุขสงบ
แต่การนั้นข้าจักดำเนินการควบคู่ไปกับพิธีอภิเษก ขอทรงโปรดกรุณาข้าด้วยเสด็จแม่
รับเป็นธุระจัดการให้ทีเถิดพะยะค่ะ” พระองค์ทรงใช้พระสุรเสียงอ้อนพระมารดา
ยังความปลื้มปิติในพระทัยพระมเหสียิ่งนัก ที่พระโอรสผู้เติบใหญ่ จักได้อภิเษกสมรสเป็นฝั่งฝา
ได้ชายาผู้ปรีชาสามารถในแดนดินคอยดูแลอยู่เป็นคู่ชีวิต เยี่ยงนี้แล้วจักมีอันใด
ให้ผู้เป็นพ่อแม่ต้องห่วงใยได้อีกเล่า ผักตบถือเป็นผู้นำพาความสุขสู่ไตรคานนั่นเอง
“เรื่องนี้เจ้าสบายใจเถอะวายุภักษ์ แม้นเจ้าไม่เอ่ยวาจาขอร้องมา แม่กลับเตรียมการไว้แล้ว
ฤกษ์ยามงามดีที่จักจัดพิธีอภิเษก ถือเอาเพ็ญจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ ในอีก 15 ราตรีที่จักถึงนี้ เจ้าเตรียมเข้าพิธีสยุมพรได้เลย
ครานี้จักกำเนิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในแผ่นดิน โอรสข้าอภิเษกชายาซึ่งเป็นบุรุษ
รูปโฉมงดงามหล่อเหลาหาได้ด้อยกว่าเจ้าไม่ ใยมิเป็นการเพิ่มเสียงร่ำไห้แก่เหล่าหญิงงามไปทั่วแผ่นดิน
บุรุษงดงามทั้งสองคนกลับร่วมหอเป็นคู่ชีวิต หักอกกุลธิดาให้พากันน้ำตาตกเป็นทิวแถว คริคริ!!”
พระมารดาทรงขบขัน หลังพระองค์ทรงดำรัสเสร็จสิ้นลง
“โธ่เสด็จแม่..ข้าไม่อยู่ให้ท่านหยอกเย้าแล้วพะยะค่ะ ได้เพลาเสวย จำต้องขออำลาท่านกลับตำหนัก
ถวายพระพรเสด็จแม่พะยะค่ะ” พระองค์รีบขอตัวกลับตำหนัก ซึ่งพระมเหสีมิทรงรั้งไว้
ทรงรู้พระทัยของพระโอรสคงต้องการกลับไปเสวยร่วมกับว่าที่ชายา นอกเสียจากทรงแย้มสรวลขบขัน
ตามหลังพระวรกายแกร่ง ที่ทรงดำเนินมิเหลียวหลังแต่อย่างใด พระกรรณแดงก่ำบ่งบอกว่าทรงเขิน
ที่ถูกพระมารดาล้อเลียนในการสนทนาครั้งนี้
พระมเหสีกำชับนางกำนัล นำโสมทรายพันปีที่ทรงเคี่ยวเป็นโอสถ ให้รีบเอาไปพระตำหนักวาโยทิพย์
เพื่อฟื้นฟูบำรุงว่าที่ลูกสะใภ้ให้แข็งแรงตามความประสงค์แต่แรกเริ่ม...
>
>
“พระปิตุลา..ทรงรับสั่งให้องค์ชายเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
องครักษ์ส่วนพระองค์ถวายรายงาน หลังได้รับอนุญาตให้เข้ามาในกระโจมที่พำนัก
“เสด็จพ่อมีอันใดเร่งด่วนกระนั้นหรือ” ทรงตรัสถาม
“ข้าพระองค์มิทราบพะยะค่ะ ขณะนี้องค์หญิงชลธารทรงเข้าเฝ้าล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ทรงรอพระองค์แต่เพียงผู้เดียวพะยะค่ะ”
“เจ้าจงรับคำสั่งข้า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในกระโจมเป็นอันขาด” รับสั่งก่อนจักเสด็จไปเข้าเฝ้าพระบิดา..
“ข้าพระองค์น้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะ” ต่อให้ทรงมีพระบัญชา แต่ก่อนเสด็จออกจากกระโจมที่พำนัก
พระองค์มิลืมกำกับมนตรา ใช้พลังเทพมหาธาตุ สร้างอาณาเขตล้อมรอบกระโจมเอาไว้อีกทางหนึ่ง
ระหว่างที่มิทรงพำนักอยู่ด้วย ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเล็ดลอดเข้ามาภายในกระโจมได้ เช่นเดียวกับที่บุคคลซึ่งอยู่ภายใน
ก็มิอาจหนีออกไปได้เช่นเดียวกัน หาใช่เป็นการกักขังผู้ที่สร้างความสุขให้กับพระองค์ค่อนรุ่ง
ทรงเห็นว่ากลกะลาไม่พร้อมที่จะถูกรบกวนการพักผ่อน
ขณะพระองค์ทรงตื่นบรรทม อีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ ทรงสำรวจความเสียหาย
ผลจากการกระทำของพระองค์แล้ว เห็นเป็นรอยบวมแดงในช่องทางพิเศษ พร้อมกับมีคราบโลหิตแห้งกรัง
พระองค์รู้สึกเวทนาอยู่ไม่น้อย กระนั้นก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน มิคิดกระทำการอันใดไม่
เพราะเกรงจะทำให้อีกฝ่ายตกใจตื่นขึ้นมานั่นเอง
“มาแล้วหรือธรณิณ” พระปิตุลาตรัสทักพระโอรส หลังพระวรกายสูงใหญ่ก้าวพ้นประตูกระโจมเข้ามา
บัดนี้ตรงพระเก้าอี้ นอกจากพระปิตุลาทรงประทับแล้ว ยังมีองค์หญิงชลธารประทับอยู่ร่วมด้วย
“ข้าเพิ่งเห็นเจ้าพี่ตื่นสายเยี่ยงนี้หนแรก ช่างพาให้แปลกใจยิ่งนัก” องค์หญิงทรงรับสั่ง..กึ่งถามกึ่งตำหนิให้ได้อาย
“เกี่ยวอันใดกับเจ้าหรือหญิงธาร ข้าจักตื่นเช้าหรือสายก็มิเห็นว่าเจ้าต้องเดือดร้อนอันใดด้วย
ว่าแต่เจ้าเถอะ..อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของข้าให้วุ่นวายอยู่เลย ระวังนางต้นห้องของเจ้าไว้ให้ดี
มีอิสตรีอยู่ในค่ายทหารในยามศึกเยี่ยงนี้ ย่อมไม่ปลอดภัยหากบุรุษกระหายขึ้นมา
ใยมิต่างจากนางกวางน้อย หลุดมาอยู่ในดงพยัคฆ์ไปเสียแล้ว..หึหึ!” องค์ชายทรงโต้ตอบพระคู่หมั้น
สายพระเนตรของสองพระองค์ต่างจ้องกันนิ่ง ประหนึ่งรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี
“หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าสองคนนี่กระไร ตั้งแต่เล็กจนโตมิเคยหยุดสาดวาจาใส่กัน ข้าให้พวกเจ้ามาพบ
ใช่ต้องการให้มากระทบกระเทียบกันต่อหน้าข้า เพลานี้มีเรื่องที่ต้องให้พวกเจ้าไปทำ”
พระปิตุลาทรงใช้สุรเสียงดุ ยุติการห้ำหั่นทางสายตา และวาจาของสองพระองค์ได้ชะงัดนัก
“เสด็จพ่อมีอันใด ใยพระทัยร้อนไม่รอให้ถึงเวฬุวรรณนครเสียก่อน เรายกทัพกลับไปตั้งหลัก
ในเมื่อพ่ายแพ้ต่อศัตรู ท่านซึ่งทายปริศนาพลาด ส่วนหญิงธรมิทันลงมืออันใด..ก็พ่ายแพ้ให้วายุภักษ์เสียแล้ว
ข้าคิดว่าเพลานี้มิควรกระทำการอันใด สมควรกลับไปวางแผนให้รัดกุมเสียก่อน
จักได้มิต้องขายหน้าพบกับความพ่ายแพ้เยี่ยงนี้อีก”
“หยุดวาจาสามหาวเจ้าเดี๋ยวนี้ธรณิณ” คราวนี้พระองค์ทรงมิอาจข่มโทสะไว้ได้
ถึงกับตะคอกพระสุรเสียงดัง อย่างแสดงให้รู้ขืนพระโอรสไม่หยุดก้าวร้าว จักต้องได้เห็นพระราชอำนาจเป็นแน่
“เอาเถอะ..ท่านมีอันใดรับสั่ง” องค์ชายยอมอ่อนท่าทีลงทันตา
“เจ้าจักรีบกลับไปกกเจ้าองครักษ์ของวายุภักษ์เยี่ยงนั้นหรือ อย่านึกว่าข้าหูหนวกตาบอด
ต่อให้เจ้าเป็นผู้สร้างเกราะธรณี ข้าใช่จักไม่ล่วงรู้ว่าผู้ใดล่วงล้ำเข้ามา
ยามดึกยันค่อนรุ่ง..เจ้ายังไม่เพียงพออีกหรือไรกัน ต้องการให้ข้าเด็ดหัวเจ้าองครักษ์นั่นเสียก่อนดีไหม
เจ้าถึงมีสมาธิร่วมปรึกษาหารือวางแผนกับข้าได้ ข้าจักไม่รีรออันใดอีกกระทำเสียเดี๋ยวนี้”
พระปิตุลาทรงไม่สะกดกลั้นโทสะ ใช่พระองค์จักไม่ทรงทราบว่ากลกะลาลักลอบเข้ามา
จุดประสงค์องครักษ์หนุ่มคือสิ่งใด พระองค์ย่อมรู้ดี ก็เพราะรู้จึงไม่ได้จัดการ
เมื่อมีเรื่องเร่งด่วนหลังได้รับรายงานจากนกพิราบสื่อสารในรุ่งเช้า ไส้ศึกที่พระองค์ใช้เป็นหนอนบ่อนไส้
ส่งข่าวให้ทรงทราบ องค์ชายวายุภักษ์ทรงหายจากอาการบาดเจ็บ พิษเบญจมาศดำอันร้ายกาจที่พระองค์ลอบใช้
ก่อนจักบัญชาทัพกลับนครเวฬุวรรณ คาดว่าอย่างเร็วมิพ้นราตรี อย่างช้ามิเกินสามราตรีอีกฝ่ายจักต้องสิ้นพระชนม์แน่
กลับแข็งแรงหายเป็นปลิดทิ้ง หลังได้รับการรักษาจากบุรุษผู้มาจากดินแดนปริศนา ที่มีเทพมหาธาตุอัคคีประจำกาย
นั่นย่อมมีวิธีเดียวเป็นอื่นไปไม่ได้ คือการใช้มุกราตรีดำหลอมรวมพลังเข้าด้วยกัน
ผ่านการร่วมสังวาสจนมหาธาตุก่อกำเนิดเป็นจตุรธาตุทั้งสี่ เพิ่มความร้ายกาจอย่างมหาศาล..
องค์หญิงชลธาร องค์ชายธรณิณย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ที่ต่อกรได้อีกต่อไปแล้ว..
“ท่านทราบ” องค์ชายธรณิณตรัสถาม แม้จะไม่รู้สึกแปลกพระทัยที่พระบิดาทรงล่วงรู้
ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเกิดอันใดขึ้นบ้าง คิดว่าพระองค์คงใช้มหาเวทย์มนตรา..
กำกับผ่านกระแสจิตที่กล้าแข็งตรวจสอบด้วยนั่นเอง
“ข้าเป็นพ่อเจ้า มีหรือจะโง่เขลาตามเจ้าไม่ทัน” คำตอบที่ได้รับ
ทำให้พระองค์ทรงหุบพระโอษฐ์นิ่ง มิโต้เถียงอันใดอีก เปลี่ยนเป็นตรัสขอร้องขึ้นมาแทน
“ขอร้องท่าน มิให้กระทำอันใดบุคคลผู้นี้ ข้าจักควบคุมตัวเขากลับเวฬุวรรณไปกับเราด้วย”
ท่าทีพระโอรส..พระปิตุลาดวงเนตรวาวโรจน์
“เจ้าช่างเลอะเลือนนัก เพียงสนุกชั่วครั้งชั่วยามข้ายังพอเมินเฉย นี่เจ้าถึงกับหอบหิ้วนำกลับเวฬุวรรณ
มีเหตุอันใดที่สมควรรับฟังวาจาของเจ้าด้วย ลองให้เหตุผลข้ามา..ธรณิณ” พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงนิ่ง
บ่งบอกพระอารมณ์ขณะนี้ กำลังจะหมดความอดทนในอีกไม่ช้า หากไม่มีเหตุผลที่ฟังแล้วทำให้พระองค์ยอมรับได้
“ท่านย่อมรู้เขาคือองครักษ์มือหนึ่งของไตรคาน พลังฝีมือสามารถต่อกรข้าได้ ท่านย่อมประจักษ์แล้วเช่นกัน
นั่นไม่เท่าเป็นองครักษ์ส่วนตัวของวายุภักษ์ ยอมพลีชีพลักลอบติดตามเรามา เพียงต้องการยาถอนพิษเบญจมาศดำ
ซึ่งคงไม่ต้องให้ข้าบอกว่าเป็นฝีมือผู้ใดกระทำ หวังช่วยให้วายุภักษ์ที่รอความตายได้รอดพ้น
แสดงว่าบุคคลผู้นี้จงรักภักดียิ่ง ย่อมต้องมีความสำคัญต่อวายุภักษ์เช่นกัน ข้าคิดว่าหากเรากักตัวเขาไว้
อาจใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า สามารถต่อรองกับวายุภักษ์หรือไตรคานนคร ไม่แน่ว่าย่อมมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย”
วาจาพระโอรสที่ยกอ้างเหตุผล ใช่ไม่มีน้ำหนักให้สนพระทัย เพราะตอนนี้องค์ชายวายุภักษ์
หาได้นอนรอความตายอยู่อีก ซ้ำยังทรงพลังอำนาจกว่าเดิม ถ้ามีตัวประกันที่เดินมาเข้ากรงขังเอง
เก็บไว้ต่อรองย่อมไม่เสียเพลาโดยเปล่าประโยชน์แน่
“ตกลง..ข้ายินยอมให้เจ้านำกลับเวฬุวรรณ หากข้าสั่งให้ควบคุมตัวในคุกหลวง
เจ้าคงมีเหตุผลมาคัดค้านเช่นเคย คงไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าเจ้าใช้มหาธาตุธรณี
พาเขาออกมาสนองตัณหา ลักลอบเก็บในตำหนักเสียเอง เช่นนั้นข้าจักให้เจ้าควบคุมเขาไว้
ระหว่างที่อยู่เวฬุวรรณ ห้ามมิให้เพ่นพ่านสร้างความเสียหายเป็นอันขาด เรื่องนี้ต่อให้ข้าผ่อนปรน
เสด็จแม่ของเจ้านางคงไม่เห็นด้วยแน่ ถึงเพลานั้นเจ้าจักมาโทษข้าไม่ได้ ควบคุมคนของเจ้าให้ดี
ถ้าหากแม่เจ้ามีโทสะแม้นศีรษะเจ้าก็เกรงว่าจักรักษาไว้ไม่ได้” พระปิตุลาทรงรับสั่งเตือนแกมข่มขู่พระโอรส
ต่อให้พระองค์โหดร้ายเด็ดเดี่ยวไร้ปราณีแค่ไหน ยังไม่เลือดเย็นเด็ดขาดเท่าชายาแต่อย่างใด
นางต่างหากที่น่ากลัวที่สุด น้อยคนที่จะล่วงรู้ความจริงข้อนี้
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ ข้ารับปากไม่ให้เกิดความวุ่นวายเด็ดขาด”
“เจ้ารับปากข้าแล้วนะธรณิณ มาพูดเรื่องที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาพบดีกว่า ข้าจำต้องแจ้งให้พวกเจ้าได้รู้
เกี่ยวกับความจริงบางประการ ที่พวกเจ้าไม่เคยรับรู้มาก่อน..บลาๆๆ” แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับการถือกำเนิดของจตุรธาตุ
ในกายขององค์ชายวายุภักษ์และผักตบ ก็ถ่ายทอดให้องค์ชาย องค์หญิงได้รับทราบพร้อมกัน
สร้างความฉงนก่อคำถามมากมายให้สองพระองค์ ที่พระปิตุลามิเคยบอกเล่าความลับนี้ให้ทรงทราบ
ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด
“ใยท่านปิดบังมิยอมบอกมาก่อน” องค์หญิงรับสั่งถามขึ้นมาทันที หลังพระปิตุลามีดำรัสเสร็จสิ้น
“ข้าบอกให้พวกเจ้ารู้แล้วจักมีประโยชน์อันใด ในเมื่อพลังพวกเจ้ามิสามารถทำลายค่ายกลพายุดำของวายุภักษ์ได้
พอถึงเพลาพลังของเจ้าสูงสุด เจ้าหนุ่มผักตบก็ดันมาปรากฏกาย พวกเขากลับใช้โอกาสนี้ ทำในสิ่งที่ข้าคิดไม่ถึง
ว่าไตรคานจักยอมเสียสละโอรสรับบุรุษเป็นสะใภ้ ยอมสิ้นสุดทายาทสืบทอดราชวงศ์แต่เพียงนี้ เกินความคาดหมายข้ายิ่งนัก”
“เยี่ยงนี้เราจักทำเช่นไร มิกลายเป็นรอให้วายุภักษ์ ยกทัพมาท้ารบถึงเวฬุวรรณดอกหรือ
ถึงเพลานั้นจักแน่ใจว่ารับมือเขาได้” องค์หญิงชลธารตั้งคำถามต่อเนื่อง หลังเห็นว่าสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ข้ารอให้เพลานั้นมาถึงไม่ได้ จำต้องเรียกพวกเจ้ามาฟังแผนการ ที่ข้าจักส่งชลธารเข้าไปอยู่ข้างกายศัตรู
เพื่อทำให้พวกเขาแตกคอกันเอง ใช้ความงามและมารยาหญิงให้เกิดประโยชน์
ทำลายให้ย่อยยับก่อนพวกเขาจักยกทัพ มาบุกตีเวฬุวรรณของเราเสียก่อนเยี่ยงไรเล่า”
“ท่านรับสั่งเช่นนี้ มีหนทางอันใดที่หญิงธารจักสามารถคลุกคลีอยู่กับศัตรูได้
โดยอีกฝ่ายอ้าแขนรับเยี่ยงนั้นนะหรือ” องค์ชายธรณิณตรัสบ้าง
“มีความจริงที่พวกเจ้าไม่เคยรู้ บุรุษนั่นคือน้องชายฝาแฝดชลธาร ที่ถือกำเนิดในวันเดียวกันแล้ว”
“ท่านกล่าวเยี่ยงไร นี่ท่านคงมิได้เล่นตลกใช่ไหมพระปิตุลา ใยทรงตรัสว่า..บุรุษผู้นั้นคือน้องชายฝาแฝดข้าเสียเล่า”
องค์หญิงทรงตกพระทัยไม่น้อย หลังฟังพระปิตุลาบอกถึงความสัมพันธ์ซับซ้อนให้ทรงทราบ
“ข้าย่อมกล่าวความจริง เจ้าหนุ่มผักตบคือน้องชายฝาแฝดของเจ้าแล้วชลธาร เรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับ
เพราะความจำเป็นบางประการที่มิอาจเปิดเผยได้ เพลานี้ข้าจำต้องให้เจ้าได้รับรู้
เพื่อจักไม่มีความปราณีต่อน้องชายของเจ้าแต่อย่างใด ฟังข้าเล่าให้จบก่อนชลธาร..
เจ้าสองคนคือคู่แฝดในครรภ์พระนางนรินทร์ธร มารดาของเจ้า กาลนี้หามีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน
ว่าพระนางทรงพระครรภ์แฝด กระทั่งถึงเพลามีพระประสูติกาล หมอหลวงผู้รับหน้าที่ ช่วยพระนางให้กำเนิดพระธิดา
กระนั้นพระครรภ์กลับมีทารกชายเหลืออยู่อีกหนึ่ง ย่อมกลายเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสแล้ว
ให้หมอหลวงทำการตัดสินใจอันใดไม่ได้ หากยอมให้ทารกถือกำเนิด พระมารดาของเจ้าย่อมสิ้นพระชนม์
เพราะมิทรงเหลือพระกำลังอีกต่อไป แต่หากเลือกทำลายชีวิตทารก เจ้าเองจักสิ้นลมหายใจตามไปเช่นกัน
เพราะพวกเจ้ามีจิตผูกพัน มิอาจให้ผู้ใดตายตกไปได้ ทารกที่เหลือก็จักตายตามไปด้วย การตัดสินใจครั้งนี้
มารดาเจ้าเป็นผู้เลือกให้เจ้ารอดชีวิต จึงยอมให้ข้าช่วยเพิ่มพูนพลังเฮือกสุดท้าย ยอมให้ประสูติทารกเพศชายกำเนิดมา
ทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์เพราะการนี้ เจ้าจึงได้รอดชีวิต แต่ทารกชายดังกล่าวคือดาวเพชฌฆาต
เป็นกาลกิณีต่อราชวงศ์ทุกพระองค์ พระปิตุจฉาจึงได้กำกับด้วยมนตราแห่งกาลเวลา
กักขังเอาไว้ให้สิ้นชีพไปตามกาล รอผ่านพ้น 1 ปี ชีวิตของเจ้ากับเขาก็มิผูกพันกันอีกต่อไปแล้ว
มิว่าผู้หนึ่งผู้ใดต้องตาย ก็มิส่งผลต่อคู่แฝดที่เหลืออีก น้องชายเจ้ามิเพียงคร่าชีวิตมารดา
จนพระนางมิสามารถอยู่เลี้ยงดูมอบความรักความอบอุ่นให้เจ้าได้ กลับยังคร่าชีวิตเสด็จพ่อของเจ้าที่ทรงเศร้าโศกโสมนัส
ต่อการจากไปของมารดาเจ้าอีกหนึ่งพระองค์ เจ้ารับรู้แล้ว เหตุใดเสด็จพ่อของเจ้าถึงไม่ใกล้ชิดมอบความรักต่อเจ้า
เพราะพระองค์ทรงรับไม่ได้ กับการสูญเสียชายาคู่ขวัญ ต่อการถือกำเนิดของพวกเจ้าสองพี่น้อง
เจ้าจึงได้รับการหมางเมินจากพระองค์เยี่ยงนั้น
ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใดก่อ ย่อมเป็นทารกผู้เป็นแฝดน้องของเจ้าแล้ว
กระทั่งเพลานี้ยังนำความเดือดร้อน มาให้พวกเราไม่จบสิ้น ตามดวงชะตาที่เขาถือกำเนิดมา
เป็นดาวพิฆาตราชวงศ์เวฬุวรรณ ข้าจึงต้องให้เจ้าเป็นผู้จัดการปัญหา ด้วยตัวของเจ้าแล้วชลธาร
เจ้าจักยินยอมเสียสละกระทำหรือไม่” ปิดท้ายด้วยบทสรุป ไต่ถามความยินยอมพระทัยจากองค์หญิงชลธาร
ที่ทรงสดับฟังเรื่องราวด้วยพระพักตร์แดงก่ำ ดวงเนตรงามเอ่อคลอด้วยอัสสุชล ทรงสะกดกลั้นไม่ให้หยาดไหล
ภายในพระทัยกลับคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ ที่มีต่อผู้เป็นแฝดน้องของพระองค์
“ข้าขอรับภารกิจ ท่านมีแผนเยี่ยงไร ให้ข้ากับน้องชายอกตัญญูได้เข้าใกล้กันเยี่ยงนั้นหรือ”
พระองค์ทรงรับคำ ด้วยพระสุรเสียงเด็ดเดี่ยวนัก
“ข้าย่อมมีหนทางเตรียมไว้แล้ว เจ้าองครักษ์ผู้ภักดีเดินทางมานำยาถอนพิษเบญจมาศดำไปช่วยวายุภักษ์
เจ้าจงสวมบทนำยาถอนพิษนี้กลับไปยังไตรคาน แล้วบอกเล่าความจริงที่ทรยศหักหลังข้าแก่น้องชายเจ้า
แต่งเติมให้บิดเบือน ว่าเจ้าสืบรู้ความจริงมาว่า ข้าได้ปล้นบัลลังก์มาจากพระบิดาพระมารดาของพวกเจ้า
ตอนนี้เจ้าตาสว่างจึงได้นำยาถอนพิษลักลอบหนีมา เพื่อร่วมมือวางแผนล้างแค้นให้สำเร็จ
เยี่ยงนั้นเขาต้องอ้าแขนโอบรับเจ้าไว้แน่ หากพวกเขาไม่ยอมเชื่อ
เจ้าจงบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าองครักษ์ผู้นี้ เป็นเพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกพวกข้าจับเป็นตัวประกัน
เจ้าล่วงรู้ว่าวายุภักษ์โดนพิษของเบญจมาศดำจากเจ้าองครักษ์ที่เสี่ยงชีวิต หวังเข้าช่วงชิงยาถอน
แต่ทำไม่สำเร็จถูกจับเป็นเชลย เจ้าจึงลักลอบนำยาถอนพิษหนีออกจากค่ายเพื่อช่วยวายุภักษ์
มาดแม้นอีกฝ่ายจะหายดีแล้ว แต่หากเห็นแก่ความตั้งใจจริงของเจ้า ซึ่งไม่รู้ว่ารักษาอาการบาดเจ็บหาย
ได้ดั้นด้นนำความจริงมาบอก ยอมตัดขาดทรยศต่อข้าเยี่ยงนี้ ข้ามั่นใจว่าไตรคานนครจักกลายเป็นที่พำนักใหม่ของเจ้า
ให้สามารถลงมือสร้างความแตกแยกระหว่างสองคนนั้นได้แน่นอน
ลองคิดดู หากผู้ถือครองมหาธาตุทั้ง 4 หันหน้าเป็นศัตรูกันแล้ว ผู้ใดจักอยู่ผู้ใดจักตาย
คงมิต้องถึงมือพวกเราอีก จงอาศัยความฉลาดในการสร้างปัญหาให้ร้าวฉาน เจ้าจดจำไว้ไม่มีปัญหาใดในโลก
จักรุนแรงไร้เหตุผลเท่าการก่อให้เกิดพิษรักแรงหึง..ใช้ประโยชน์จากรูปโฉมของเจ้า
ให้เกิดผลตามที่คาดหวัง..จำคำของข้าเอาไว้..ชลธาร”
แผนการพระปิตุลา เป็นอันสรุปเห็นพ้องต้องกัน องค์หญิงชลธารไปอยู่ข้างกายผักตบ
ในฐานะพี่สาวฝาแฝดพร้อมยาถอนพิษเบญจมาศดำ
โอกาสนี้องค์ชายธรณิณ สามารถนำเป็นข้ออ้างกับกลกะลา ที่จักพากลับเวฬุวรรณไปด้วย
ว่าได้ทำตามสัญญานำยาถอนพิษกลับไปช่วยองค์ชายวายุภักษ์ตามที่ได้รับปาก
แม้กลกะลาไม่ใช่ผู้นำไปเอง แต่ก็ได้ให้คนนำไปให้แทนแล้ว...
หากอีกฝ่ายไม่เชื่อ ก็รอฟังข่าวการสิ้นพระชนม์องค์ชายวายุภักษ์ หากไม่มีข่าวโด่งดังไปทั่วแผ่นดินทะเลทราย
นั่นแปลว่าพระองค์มิได้โป้ปด ฐานะของกลกะลาตอนนี้คือเชลยที่ถูกจับ แม้เชลยผู้นี้จะไม่ถูกพันธนาการล่ามโซ่
หรือกักขังในคุกหลวงดุจควรถูกกระทำ กลับยังคงอยู่ในฐานะเชลยเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ที่พำนักคือพระตำหนักธรณีส่วนพระองค์
เป็นตำหนักขององค์ชายธรณิณ บุคคลอันตรายสำหรับกลกะลาที่ต้องต่อสู้ กับความกล้ำกลืนฝืนทนไม่น้อย
ต่อการปฏิบัติที่เขาเองมิอาจขัดขืนในค่ำคืนที่จักผันผ่าน นับจากนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีข้อยุติอันใดขึ้น
อาจเป็นไปได้จนกว่าเขาจะพาตัวเองหนีไปจากที่นี่ ซึ่งยากยิ่งนัก แม้แต่แมลงสักตัว
ยังไม่สามารถเล็ดลอดจากเกราะมหาธาตุธรณีได้ โดยที่เจ้าของพลังไม่ล่วงรู้ มีหรือมนุษย์เพศชายตัวไม่เล็ก
จะโบยบินออกไปได้เช่นกัน นั่นคือปัญหาขององครักษ์หนุ่ม ที่ต้องหาทางแก้ไข แม้จะต้องใช้เวลาไม่น้อย
แต่เขาก็สัญญากับตนเองว่า ต้องกลับไปเห็นนายเหนือหัวของเขาปลอดภัยมิเป็นอะไรจริง แม้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม...
มาอัพให้ก่อนนัดนะคะ เห็นคนอ่านเรียกร้องกันมาเยอะ เราจำต้องเร่งปั่น
นี่ยังไม่ได้รับการตรวจคำผิดจากพี่สาวใจดีเลยค่ะ ยังไงถ้าเจอก็ช่วยแนะกันนิดนะคะ
ขอบคุณคนอ่านที่ช่วยทักคำผิดให้ทุกท่านจร้าาาา
เจอกันอีกทีวันอังคารนะคะ ตอนนี้กำลังเข้าสู่ระยะหน่วงตับ
มาติดตามกันต่อไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อพี่น้องกำลังจะยืนอยู่คนละจุด
