หัวใจซ่อนรัก
ตอนที่ ๙ ซ่อนหัวใจให้ไกลรัก
อเล็กซานเดอร์นั่งพิงหัวเตียงคนไข้เหม่อมองนอกหน้าต่างกระจกใส เวลานี้อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แต่อัลเบิร์ตก็ยังคงไม่กลับมา เขาไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงไปทำธุระที่ไหนสักแห่ง นั่นมันคงเป็นการหลอกตัวเองมากจนเกินไป แต่ก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่า... เขากำลังถูกทิ้ง ความคิดหลายอย่างตีกันให้วุ่นในหัว และทุกอย่างต้นเหตุมันก็มาจากเขาแทบทั้งสิ้น
เจฟฟรี่เคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา มองผู้เป็นนายที่นั่งเหม่อแล้วก็รู้สึกหม่นมัวตามไปด้วย มีหลายเรื่องที่เขาต้องทำขณะที่เจ้านายยังเจ็บอยู่ ทั้งเรื่องคดีความที่ลูกน้องของนายตำรวจน้ำดีเป็นหนอนเสียเอง ปลิดชีวิตโรเจอร์ที่เป็นพยานปากสำคัญลงต่อหน้าทั้งที่เป็นผู้รักษากฎหมาย นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่เขาต้องจัดการนั่นก็คือ... คนตรงหน้าในเวลานี้ สถานการณ์ตอนนี้มันช่างชวนอึดอัดนัก
“ไปส่งเขากลับมาแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยไม่หันกลับมามอง เจฟฟรี่เงยมองผู้เป็นนายด้วยความอึ้งเมื่ออีกฝ่ายถามมาเช่นนั้น ก่อนจะก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษครับ อเล็กซ์”
อเล็กซานเดอร์เงียบ ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำตำหนิลูกน้องมือขวาแต่อย่างใดเพราะรู้ดีว่ามันหมดเวลาของเขาแล้ว เวลา... ที่เขาใช้มันเปลืองและไม่เคยเห็นค่า
“เขาบอกกับฉันว่าจะหนีไป ต่อให้ฉันตามเขากลับมาเขาก็จะหนีไปอีก...”
อเล็กซานเดอร์ว่าอย่างนั้น เจฟฟรี่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็นนายกระทบแสงสีส้มที่ลอดมา ดูเหงาเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็น คนอย่างอเล็กซานเดอร์ก็มีวันอ่อนแอเช่นคนอื่นเหมือนกัน
คนเจ็บบนเตียงระบายลมหายใจยาวราวหมดแรง อัลเบิร์ตจากไปแล้วจริงๆ เสียงที่เคยบอกเขาว่าจะไปในที่ที่เขาตามหาไม่เจอมันดังสะท้อนในหู ผลของการกระทำทั้งหมดมันย้อนกลับมาหาเขาแล้ว ที่สุดแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ความอดทนของอัลเบิร์ตหมดลง
“อเล็กซานเดอร์... ผมจะไปจริงๆนะ ไปในที่ที่คุณจะตามไปลากกลับมาไม่ได้... ในที่ที่คุณไม่มีทางหาเจอ...”
--------------------
เอกสารรายงานจากนักสืบมือดีถูกอเล็กซานเดอร์ขยำทิ้งไปหลายแผ่น เขาจ้างนักสืบให้ช่วยสืบเสาะหาตัวอัลเบิร์ต แต่ทุกที่ที่ทางนั้นรายงานมามันกลับไร้ซึ่งวี่แวว คนพวกนั้นเล่นตลกอะไรกับเขา รับเงินแต่เหตุใดถึงไม่ได้งาน!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อเล็กซานเดอร์เฝ้าตามหาแต่ก็ยังไร้เงา ทุกคนรอบกายไม่มีใครเห็นใจพอจะชี้เบาะแสให้เขาสักคน เขาเหนื่อย เขาท้อจนแทบหมดความพยายาม หลายครั้งที่คิดจะหยุด แต่ใจมันกลับร่ำร้องให้หาต่อ ให้ทำต่อไปจนกว่าจะเจอ อยากพบอีกครั้ง อยากพบเหลือเกินอัลเบิร์ต...
“นายอยู่ที่ไหน จะไม่กลับมาเลยจริงๆหรืออัล...?”
มือหนานวดขมับตนเอง เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนมาเป็นปี จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยได้พบอัลเบิร์ตสักหน ทุกอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป อัลเบิร์ตจะรับรู้มันบ้างไหม เขาไม่มีใครแล้ว ไม่มีเลย...
นัยน์ตาสีน้ำทะเลหม่นมัว ทุกตารางนิ้วที่ตาของเขามองเห็นมันเต็มไปด้วยความทรงจำ ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีเงาของอัลเบิร์ต แต่นั่นมันก็แค่ความทรงจำ ความทรงจำที่ไม่มีวันย้อนมา...
เจฟฟรี่เห็นผู้เป็นนายหมดอาลัยขนาดนั้นแล้วก็ชักทนไม่ไหว บอดีการ์ดหนุ่มต่อสายถึงปอนด์ ผู้ที่อยู่กับอัลเบิร์ตเป็นคนสุดท้าย และเป็นคนเดียวที่รู้ว่าอัลเบิร์ตอยู่ที่ไหน
“ปอนด์ ผมว่าพอแค่นี้ดีไหม ซ่อนอัลไว้แบบนี้ผมเห็นใจอเล็กซ์นะ”
“อะไร ไม่ทันไรก็ใจอ่อนแล้ว” หนุ่มตัวเล็กบ่นมาตามสาย โทรมานึกว่าจะคิดถึงกัน ที่ไหนได้ เจ้ายักษ์บ้านี่
“ไม่ทันไรที่ว่ามันผ่านมาสามปีแล้วนะ” เจฟฟรี่แย้ง เวลามันผ่านไปเร็วจนเขายังนึกว่าอัลเบิร์ตเพิ่งไปได้ไม่นาน แต่สำหรับอเล็กซานเดอร์คงไม่ใช่
“ชิ!” ปอนด์จิ๊ปากที่ได้ยินเช่นนั้น เจฟฟรี่นี่ขี้ใจอ่อนจริง แค่สองปีสามปีมันจะไปพออะไร
เจฟฟรี่ที่เห็นอีกฝ่ายเงียบไปคิดว่าคงพอจะคุยกันได้จึงเอ่ยต่อรองเสียงนุ่ม “บอกอเล็กซ์ได้ไหมครับที่รัก?”
“ไม่ได้”
“โธ่” บอดีการ์ดหนุ่มครวญ เมื่อปอนด์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“เรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรานะเจฟฟ์ ถ้าเขาสองคนเกิดมาคู่กันจริงสักวันก็ได้เจอกันเองแหละ” หนุ่มตัวเล็กอ้างโชคชะตาฟ้ากำหนด เบ้ปากเล็กน้อยเมื่อตนเองแค่โป้ปดไปตามเรื่อง
“เราช่วยเป็นเชื้อกระตุ้นไงปอนด์ ให้เขาสมหวังกันเร็วขึ้น” เจฟฟรี่ยังไม่ยอม ยกเหตุผลดีๆมาสนับสนุนคำพูดตนเอง ปอนด์รักเพื่อนมาก ต้องไม่อยากเห็นเพื่อนทุกข์เป็นแน่ ได้ยินเสียงทอดถอนใจจากปลายสายเจฟฟรี่พลอยอยากถอนใจตามไปด้วย ท่าจะยากเสียกระมัง
“อัลเจ็บมาตั้งเท่าไร แค่นี้อเล็กซานเดอร์เจ็บพอแล้วหรือ?”
ไม่ผิดจากที่คิดสักนิด เจฟฟรี่จึงได้ถอนใจสมอยากก่อนบอก “เพราะพวกเขาเจ็บกันมามากไงถึงได้อยากให้มีความสุขกันเสียที”
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วกัน”
ปอนด์ตัดบทแบบนั้นถือเป็นการจบเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่ หากมีต่อจากนี้อีกอาจมีการเคืองกันเกิดขึ้น เจฟฟรี่จึงได้แต่ทอดถอนใจอีกหน เมียเขานี่ดื้อจริง
“ห้ามบอกเลยนะ ถ้าคุณบอกล่ะก็...” สั่งสำทับแล้วยังมีคำรามในตอนท้ายอีก
“ไม่กล้าหรอกครับ กลัวจะแย่” เจฟฟรี่หัวเราะในลำคอ น่ากลัวตายล่ะ
“ไว้ใจได้แน่หรือ?” น้ำเสียงจากปลายสายยังคงระแวง
“ได้ค่าปิดปากสักหน่อยรับรองความลับไม่มีกระเด็น”
“หื่น”
“หึ ๆ ”
เจฟฟรี่หัวเราะ ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ปอนด์บินไปบินกลับระหว่างประเทศเพื่อทำงานให้ครบกำหนดเวลา มีช่วงลาพักร้อนก็กลับเมืองไทยไปเยี่ยมบ้านบ้างทำให้ห่างกัน ชักคิดถึงแล้วแฮะ
“กลับเมื่อไร?” บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยถามไถ่เป็นการเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่รู้ ไม่กลับแล้ว จะอยู่ที่นี่” ดูเหมือนอีกคนจะงอนแล้ว เรื่องอะไรไม่รู้ แต่เมียเขางอนบ่อยอยู่แล้วเลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ได้ทุบเขาสักทีสองทีก็หายงอนแล้ว
“อย่านะ เดี๋ยวตามไปฉกมาจากบ้านเลย... พาอเล็กซานเดอร์ไปด้วย” เจฟฟรี่ขู่กลับบ้าง
“เฮ้ย!” ปอนด์ร้องเสียงหลง ก่อนเสียงโวยวายยาวยืดจะดังมาจนแสบแก้วหู เจฟฟรี่หัวเราะ ไม่ได้หงุดหงิดกับคำต่อว่าโวยวาย
หลังจากอัลเบิร์ตไปได้ไม่นานอเล็กซานเดอร์ก็เคยพาคนไปบุกฟาร์มของครอบครัวปอนด์ บ้านปอนด์ทำธุรกิจฟาร์มโคนม เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างพอสมควร เมื่ออเล็กซานเดอร์บุกมาถึงที่ปอนด์เองก็ยอมให้อีกฝ่ายค้นได้ตามสะดวก แต่หากข้าวของเสียหายต้องจ่ายมาสองเท่า อเล็กซานเดอร์ได้แต่มองเพื่อนจอมงกของอัลเบิร์ตด้วยความระอา เขาแค่มาตามหาคน ไม่ได้มาปล้น
ตอนนั้นปอนด์โกรธเจฟฟรี่มากทีเดียวที่พาอเล็กซานเดอร์ไป แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของบอดีการ์ดหนุ่ม เพราะอเล็กซานเดอร์คิดว่าอัลเบิร์ตสนิทกับปอนด์มาก อัลเบิร์ตอาจจะมาที่นี่ก็เป็นได้ ทำให้หลังออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดทั้งที่แผลยังไม่หายดีอเล็กซานเดอร์ก็ตรงมาที่ฟาร์มเลย แต่สุดท้ายก็เสียแรงเปล่าเมื่อหาไม่พบ ไม่รู้ปอนด์พาไปซ่อนที่ไหน
ส่วนปอนด์ที่เห็นอเล็กซานเดอร์หน้าเสียก็แอบสะใจที่คลาดกันไปอีกครั้ง สมน้ำหน้าอเล็กซานเดอร์ชะมัด เชอะ!
หลังวางสายจากปอนด์ เมื่อหันไปมองอเล็กซานเดอร์ที่กุมขมับด้วยความเครียดแล้วเจฟฟรี่ก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้บอก ไม่ได้กลัวเมีย แต่แค่เกรงใจหน่อยๆ ช่วยไม่ได้จริงๆนะอเล็กซ์ เรื่องงานเขาช่วยได้เต็มที่ แต่เรื่องหัวใจ... ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน
-------------------
รีสอร์ตนับตะวัน
สถานที่พักทางภาคเหนือของประเทศไทย หน้าหนาวมาเยือนอีกหนในรอบปีที่รีสอร์ตแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้น ดอกไม้ประจำฤดูกาลออกดอกแข่งกันบานสะพรั่งในยามเช้าที่มีแดดอ่อนทอแสงมา สองข้างทางเดินที่ปูหินอ่อนมีไม้พุ่มเตี้ยและแซมดอกไม้เมืองเหนือดอกเล็กดอกน้อยสลับสับหว่างดูสวยงามทอดยาวสู่ตัวอาคารอำนวยการของรีสอร์ต ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและผืนน้ำที่สร้างสรรค์จากความคิดเจ้าของถูกตกแต่งไว้อย่างลงตัว แลดูแล้วเพลินตาเพลินใจ แถมความสะดวกสบายในการพักผ่อนในระดับดีเยี่ยมครบครัน
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกอุ้มมาด้วยในอ้อมแขน เดินเคียงคู่มากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ลากกระเป๋าเข้ามาภายในรีสอร์ต ทั้งสามคนตรงเข้าไปหาเจ้าของที่กำลังวุ่นกับการทำงาน เมื่อฝ่ายนั้นหันกลับมาก็ทำหน้าแปลกใจที่เห็นพวกเขา ก่อนเปิดยิ้มให้
“คุณทัชธร”
“สวัสดีครับ คุณคาร์ล” ชายหนุ่มที่ชื่อทัชธรเอ่ยทักทายตอบกลับมา เจ้าของรีสอร์ตนับตะวันก็คืออัลเบิร์ต คาร์ล คนนี้เอง
อัลเบิร์ตมักจะบ่นว่าชื่อของอีกฝ่ายเรียกยาก ทัชธร ลิ้นฝรั่งแบบเขาเรียกอย่างไรก็ไม่ถูกเสียที เจ้าของชื่อเคยให้เรียกตนเองว่าโซล ซึ่งเป็นชื่อเล่น แต่นั่นมันก็ดูจะสนิทสนมกันไปสักหน่อยทำให้อัลเบิร์ตพยายามเรียกทัชธรให้ชินปาก จนสามารถเรียกได้ แม้ไม่ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษาแต่ก็ไม่ได้เพี้ยนไปจากเดิมมากนัก
ตาสีอ่อนมองเลยมาข้างกายของหนุ่มทัชธรคนดังกล่าว เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนยิ้มอยู่ข้างกันกำลังเอียงคอมองเขา เมื่อเขายิ้มให้ทั้งคู่จึงยกมือไหว้อย่างมีมารยาทอันดีพร้อมรอยยิ้มสยามเห็นฟันขาววาววับ
“แล้วมายังไงครับนี่ ไม่บอกกันก่อนเลยผมจะได้เตรียมที่พักไว้ให้” อัลเบิร์ตรับไหว้แบบไทยแล้วเอ่ยถามไถ่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นยุ่งๆอยู่ อีกอย่างคนนี้เขาก็จัดการจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว... อยากมาเที่ยว” ท้ายประโยคแอบกระเซ้าเด็กหนุ่มที่ยืนข้างกาย โยกศีรษะทุยไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวเมื่อฝ่ายนั้นย่นจมูกใส่
“ต้าอยากมาเยี่ยมคุณอัลเบิร์ตต่างหากล่ะพี่โซล” เอ่ยแก้ตัวเสียงเง้างอด
ทัชธรซ่อนยิ้มแล้วว่า “แน่ใจ ไม่เที่ยวงั้นสิ?”
“เที่ยว!!” สองเสียงร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เด็กหนุ่มคนดังกล่าวกับน้องสาวตัวน้อยจะหัวเราะกันเองที่ใจตรงกันพอดี
“ต้าพาน้องไปเดินดูแถวนี้ได้ไหมครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม สายตากลมมองรอบบริเวณรีสอร์ต น่าถ่ายรูปเก็บไว้จัง
“มาถึงก็เล่นซนเลย” หนุ่มตัวโตว่า
“เปล่าสักหน่อย... เดินดูได้ไหมครับคุณอัล?” หันมาถามอัลเบิร์ตด้วยสายตามีความหวังวิบวับ อัลเบิร์ตอมยิ้มแล้วจึงว่า
“ตามสบายครับ แต่แดดร้อนนะ ใส่หมวกสักหน่อยไหมครับ?”
อัลเบิร์ตหันไปขอหมวกปีกจากพนักงานมาให้ อีกฝ่ายก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณเขา
“ขอบคุณครับ”
ร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มตาโตนั่งยองลงตรงหน้าน้องสาว ก่อนจะสวมหมวกให้น้อง มองแล้วอมยิ้มก่อนบอกว่าน่ารักแล้วจึงจูงมือกันไปเดินเล่นรอบบริเวณนั้น ทัชธรมองตามหลังทั้งคู่แล้วก็ยิ้ม เมื่อหันมาอัลเบิร์ตจึงเชิญชายหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้รับรองแขก เพื่อจะได้พูดคุยกัน
“คุณสบายดีนะครับ?” ทัชธรเอ่ยถามนำไปก่อน
“ครับ ไม่ได้ไปเยี่ยมพวกคุณเลย ต้องขอโทษมากๆ”
“ไม่เป็นไรครับ กิจการกำลังรุ่งเรืองก็แบบนี้ล่ะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” อัลเบิร์ตแบ่งรับยิ้มๆ
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาคนนี้คือเจ้าของไร่องุ่นรณวีร์ ไร่องุ่นที่ใหญ่ระดับต้นๆทางภาคเหนือ และเพราะเขาเป็นคนให้ความช่วยเหลือ รีสอร์ตแห่งนี้ถึงได้ถูกสร้างขึ้นและเปิดให้บริการเป็นผลสำเร็จ
หลังจากมาไทยพร้อมปอนด์ ปอนด์ก็พาเขาหลบอเล็กซานเดอร์เสียทุกทางทำให้ไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะได้เบาะแสเรื่องเขามาจากไหนก็ไม่มีทางหาเจอได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งเขาบอกเพื่อนว่าเหนื่อยกับการเอาแต่หนีแบบนี้แล้ว อยากทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ปอนด์จึงได้พามารู้จักกับทัชธร อัครบดินทร์
พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ครอบครัวปอนด์ทำธุรกิจฟาร์มโคนม ชื่อฟาร์มภาสกร ขณะที่ทัชธรมีไร่องุ่นและผลิตผลนานา ปอนด์บอกกับเขาว่าคนๆนี้มีเส้นสายเยอะพอดู หากเขาอยากทำอะไรพ่อเลี้ยงไร่องุ่นคนนี้ช่วยเขาได้แน่ อัลเบิร์ตรู้สึกว่ามันเป็นการรบกวน เพราะเขาเองเอาภาระมาให้ปอนด์แท้ๆ แต่ปอนด์กลับยินดีที่จะช่วยเหลือ ปอนด์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาจริงๆ
ทัชธรช่วยเขาเอาไว้หลายเรื่อง เขาที่เป็นคนต่างชาติต่างภาษาได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีเช่นนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรได้ ในเวลาเดือดร้อน ยังมีน้ำใจจากคนรอบข้างมอบให้เขาได้มากขนาดนี้มันน่าซึ้งใจ
หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอัลเบิร์ตก็ได้ชวนครอบครัวที่อังกฤษมาอยู่ด้วยกัน แต่บิดามารดาของเขาขอแค่มาเที่ยวพักผ่อนเป็นการชั่วคราว ไม่ขอมาอยู่ถาวร เพราะจะมีจะจนอย่างไรก็ขออยู่ที่ถิ่นฐานบ้านเกิดจะดีกว่า อัลเบิร์ตก็ไม่ได้ขัดใจท่านทั้งสอง
ตั้งแต่เขามาอยู่ไทยได้ข่าวจากครอบครัวมาเหมือนกันว่ามีคนของเฟอร์ริงตันมาตามหาเขา แต่ครอบครัวของเขาไม่ได้บอกอะไรไป ได้แต่ถามไถ่ว่าเกิดปัญหาอะไรกับทางนั้นหรือไม่ ซึ่งลุงมิลเลอร์ก็เป็นคนมาอธิบายทุกอย่างแทน แม้มันจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่มันทำให้ครอบครัวของเขาสบายใจ นั่นก็ดีแล้ว...
เมื่อลูกสาวกับน้องชายของทัชธรกลับมาจากไปเดินเที่ยวรอบๆ ทั้งหมดจึงขอตัวไปที่พักกันก่อน อัลเบิร์ตเรียกพนักงานให้นำทางทั้งสามคนไป หลังจากข้าวของถูกนำไปเก็บก่อนหน้าแล้วเรียบร้อย มองเด็กหนุ่มที่กอดแขนอ้อนทัชธรขณะเดินไปข้างกันแล้วอัลเบิร์ตก็ยิ้มบางเมื่อเห็นคนอื่นเขามีความสุขกันดี ทัชธรเป็นพ่อหม้ายลูกหนึ่ง แต่ข้างกายเขาไม่เดียวดายเพราะมีเด็กหนุ่มตาโตคนนั้นคอยเคียงคู่
อัลเบิร์ตถอนใจเบาเมื่อมองย้อนกลับมาที่ตนเอง เขายังไม่รู้เลยว่าเมื่อไรถึงจะสุขได้อย่างคนอื่นเขาเสียที ที่ทำงานเหนื่อยทุกวันก็เพื่อไม่ให้ตนเองฟุ้งซ่าน วันเวลาผ่านมาหลายปีแต่เขาก็ยังไม่ได้มีใครใหม่ หากถามว่ายังรักคนๆนั้นอยู่ไหม ยอมรับว่าบางช่วงเวลาก็นึกถึง ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ใจก็อดไพล่นึกไปไม่ได้ จะดูแลตัวเองดีไหม... อเล็กซานเดอร์
--------------------
“คุณจะไม่ไปด้วยกันจริงหรือคะอเล็กซ์?”
เกวนมายังเฟอร์ริงตันเพื่อชวนอเล็กซานเดอร์ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกัน ข้างกายหญิงสาวมีเด็กชายตัวน้อยนัยน์ตาสีควันบุหรี่ แน่ล่ะว่าคงไม่ใช่ลูกของอเล็กซานเดอร์ แต่เด็กคนนี้เป็นลูกของเธอ ของเธอเพียงคนเดียว
“ไปเที่ยวกันสองแม่ลูกเถอะ เที่ยวให้สนุกนะตัวป่วน” อเล็กซานเดอร์ยกตัวเล็กป้อมมานั่งบนตักก่อนหอมแก้มป่อง หนูน้อยหัวเราะเพราะคนหอมมีเคราครึ้มพาให้จั๊กจี้ หนวดเครานี่ไม่เคยคิดจะโกนจนหน้าตาดูราวมหาโจรแทนนักธุรกิจการเงิน
“แด๊ด หนวดๆ”
เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นมาพร้อมนิ้วชี้จิ้มคางของเขา อเล็กซานเดอร์อมยิ้มก่อนแกล้งใช้แก้มสากเคราครึ้มถูกแก้มอีกฝ่าย เสียงหัวเราะของหนูน้อยทำให้เขาผ่อนคลาย อยากให้มาทุกวันเลยจริงๆ
เกวนมองชายหนุ่มตัวโตเล่นกับลูกของเธอแล้วก็ถอนใจ “พักบ้างนะคะอเล็กซ์ หลายปีมานี้คุณดูเหนื่อยๆ ฉันว่าไปเที่ยวพักผ่อนกับพวกเราดีกว่านะคะ”
เกวนยังเอ่ยชวนซ้ำ อเล็กซานเดอร์ดูเครียดไปเสียทุกเรื่องจนน่าห่วง ตอนนี้ลูกของเธอได้สามขวบแล้ว ถ้าเทียบเวลากับที่คนข้างกายอเล็กซานเดอร์หายไปก็ย่างเข้าสู่ปีที่สี่ เธอยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า ช่วงเวลานานขนาดนั้นคนๆหนึ่งจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เหตุใดอเล็กซานเดอร์เฝ้าตามหาก็ยังไม่เจอเสียที แต่เมื่อนึกไปว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่ อาจมีตรอกซอกซอยมากมายให้เล็ดรอดสายตาไปก็เป็นได้
“ขอบคุณเกวน ผมยังไหว” เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนจะเล่นตีมือกับหนูน้อยบนตัก
“เฮ้อ ฉันมองดูคุณแล้วฉันยังเหนื่อยแทนเลยค่ะ เชือกถ้ามันตึงไปมันก็ขาดได้ง่ายนะคะ ผ่อนคลายบ้างเถอะ”
“ผมไม่เป็นไร”
หญิงสาวถอนใจอีกหนเมื่อชายหนุ่มหัวดื้อยังบอกซ้ำคำเดิม “ยังตามหาเขาไม่พบหรือคะ?”
คำถามของเธอคงไปสะกิดใจอีกฝ่ายเข้า เมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าค่อยหายไป แทนที่ด้วยเสียงถอนใจเบาๆ “ไม่รู้สิ เหมือนแต่ละคนจะคอยปิดบังซ่อนเร้น”
อเล็กซานเดอร์ยิ้มหยันตนเอง เขาไม่ได้คิดมากไปเอง เพราะเขาส่งคนไปเฝ้าบ้านอัลเบิร์ตที่เคมบริดจ์ คาดเอาไว้ว่ามันต้องมีบ้างที่อัลเบิร์ตจะกลับมาเยี่ยมครอบครัว แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านล่วงเลยไปก็ยังไม่มีรายงานอะไรจากคนที่เขาส่งไปเฝ้าเลย แม้กระทั่งเรื่องที่ครอบครัวอัลเบิร์ตเดินทางออกนอกประเทศ กว่ารายงานจะมาถึงเขาก็ตอนคนพวกนั้นกลับมาแล้ว พอให้นักสืบสืบเสาะก็ได้ความว่าพวกเขาเพียงไปเที่ยวกันที่เมืองไทยเท่านั้น
“อย่าเพิ่งหมดความหวังค่ะ ฉันเองก็หวังว่าคาร์ลจะกลับมาอยู่ข้างกายคุณในไม่ช้า” หญิงสาวให้กำลังใจ
“หึ” อเล็กซานเดอร์ทำเสียงในลำคอ ยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เชื่อว่ามันจะมีทางเป็นไปได้ มือหนาลูบหลังหนูน้อยที่ฟุบหน้านอนซบอกเขาแล้วฮัมเพลงงึมงำ
“ถ้าหากเขากลับมา ถนอมเขาให้ดีๆนะคะ”
ดวงตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองเธอ เกวนยิ้มให้ ทำให้ชายหนุ่มตัวโตเหยียดยิ้มที่ต้องให้เธอมาสอน
“ไปลูก เอวาน”
เกวนเอ่ยเรียกลูกชายที่ซบแก้มกับอกอเล็กซานเดอร์ขณะขยับลุก เจ้าหนูน้อยผงกศีรษะขึ้นมามองมารดาที่ก้มมาหาตนเอง
“เตรียมตัวไปเที่ยวกันเนอะ”
ผู้เป็นมารดาว่าแล้วยิ้ม ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกเป็นการรับคำ ก่อนจะหันมาหาอเล็กซานเดอร์ที่ให้ตนเองนั่งตักอยู่
“แด๊ด”
“ครับ”
“เอวานจะไปเที่ยว”
“อือฮึ”
“เดี๋ยวเอวานจะเอาของมาฝากฮะ”
“ครับผม”
ริมฝีปากเล็กๆจุ๊บแก้มเขาเบาๆเป็นการบอกลาก่อนยิ้มกว้างจนตาหยี อเล็กซานเดอร์อมยิ้ม ยกตัวหนูน้อยเอวานลงไปยืนข้างเกวน ก่อนจะออกไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถกลับเจฟเฟอร์สัน แล้วยืนมองส่งเจ้าตัวเล็กที่ขึ้นรถไปกับหญิงสาวจนรถคันดังกล่าวลับสายตาไป
เขากับเกวน หลังจากแต่งงานกันได้ไม่นานเกวนก็เป็นฝ่ายขอหย่า ด้วยเหตุผลที่ทั้งเขาและเธอต่างรู้ดี เขามันไม่ได้เรื่อง อยากได้ทุกอย่างแต่สุดท้ายก็ต้องเสียไปทุกทาง
“เราควรเดินให้ถูกทางกันเสียที”เกวนบอกเขามาเช่นนั้นเมื่อเขาถามหาเหตุผลที่เธอจะหย่า ทั้งที่เธอเป็นคนบอกเองว่ารักเขา ทั้งเขาและเธอต่างเลือกหนทางผิดด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ยังดันทุรังฝืนเดินกันต่อ
พวกเขาไม่ได้หย่าขาดจากกันในทันที เพราะขณะนั้นเกวนกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ หญิงสาวรู้ดีว่าไม่ใช่ลูกของอเล็กซานเดอร์ แต่นั่นทำให้อเล็กซานเดอร์บอกยุติการหย่าเอาไว้ เหตุเพราะนักข่าวคงเล่นละเลงสีกันไม่เกรงใจหากรู้เรื่องเข้า คงขุดคุ้ยจนทำให้เกวนเสียหายเข้าไปใหญ่ หม้อข้าวยังไม่ทันดำพวกเขาก็หย่ากันเสียแล้ว ยิ่งมีประเด็นท้องเข้ามาเกี่ยวอาจสาวไปถึงเรื่องของพอล เวสส์อีก
จนกระทั่งเกวนคลอดเอวาน วิคเตอร์เป็นผู้ตั้งชื่อให้หลานชายด้วยตนเอง ชายชรารักและเอ็นดูเด็กคนนี้มากจนเกวนละอายใจ ทั้งที่ไม่ใช่ทายาท ไม่ใช่เลือดเนื้อสายเดียวกันแท้ๆ หญิงสาวขอกลับไปอยู่เจฟเฟอร์สัน เพราะถึงอย่างไรเธอกับอเล็กซานเดอร์ก็ไม่ใช่สามีภรรยากันตามกฎหมายอีกต่อไปแล้ว เมื่อเธอคิดจะมอบอิสรภาพให้ชายหนุ่ม
วิคเตอร์ไม่อยากให้ทำเช่นนั้น แต่เกวนยืนยันหนักแน่น ทั้งยังรับปากจะพาเอวานมาเยี่ยมบ่อยๆ จะบอกกับเอวานว่าปู่ของเขาคือวิคเตอร์ เฟอร์ริงตันคนนี้
“ฉันรักเขามากนะหนูเกวน อยากให้เขาเป็นหลานชายของฉันอย่างแท้จริง”คำกล่าวของวิคเตอร์ในวันนั้นเกวนยังจำมันได้ เธอรู้สึกขอบคุณจากใจ และยังคงปฏิบัติตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้เรื่อยมา
---------------
เกวนและลูกเดินทางมาถึงที่พักในวันต่อมา เธอได้คำแนะนำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวจากกลุ่มลูกค้าขาประจำของร้านเธอ ช่วงหน้าหนาวเมืองไทยจะอบอุ่นกว่าอังกฤษ บรรยากาศก็ต่างกันเอามากทำให้เธออยากมาเห็นด้วยตา อยากพาลูกมาเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง
ทุกอย่างมันน่าจะดีกว่านี้หากไม่มีพอล เวสส์ตามมาด้วย หญิงสาวมีสีหน้าเบื่อหน่าย พอรู้ว่าเอวานมีดวงตาสีเดียวกับตนเองพอลก็ตามเธอกับลูกไม่เลิก แม้จะบอกไปไม่รู้กี่หนว่าไม่ใช่ลูกของพอล แต่พอลก็ไม่เคยจะฟัง ผู้ชายพวกนี้เข้าใจอะไรกันยากจริง
ค่าใช้จ่ายต่างๆพอลเป็นคนออกให้สองแม่ลูกทั้งหมด เกวนไม่เคยคิดญาติดีกับเขา แม้พอลจะไม่ชอบใจกับสถานะแค่คนจ่ายเงินไม่ใช่ครอบครัวอย่างที่เกวนบอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เกินกว่านั้น ถ้าไม่มีเอวานมาด้วยหน่อยเขาจะหักคอเกวน เจฟเฟอร์สันจิ้มซอสพริก!
“ทำหน้าอะไรของคุณ ลูกฉันกลัวนะ”
เสียงเกวนแทรกเข้ามาในความคิด พอลหันมามองเธอกับลูก เอวานช้อนสายตามองเขา ตัวเล็กๆหลบหลังเกวนโผล่มาแต่หน้า พอลกะพริบตางงๆ ก่อนปรับสีหน้าให้มันดีขึ้น ลูกเต้าเขากลัวหมด
หญิงสาวดึงลูกถอยห่างจากพอลเมื่อร่างสูงใหญ่นั้นนั่งยองลง พอลส่งสายตาไม่พอใจให้เธอ แต่มีหรือเธอจะสน ก้มลงอุ้มลูกขึ้นมาแล้วเดินจากไปง่ายๆ พอลได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผู้หญิงอะไร!
เกวนพาลูกเดินตามพนักงานมาถึงที่พัก ปล่อยให้ลูกลงยืนแล้วคุยกับพนักงานเรื่องอาหารที่จะนำมาให้พวกเธอ เพราะเอวานแพ้อาหารบางอย่าง เอวานน้อยเงยมองมารดาคุยกับพนักงานแล้วบุ้ยปากเพราะชักจะเบื่อ ก่อนหันไปหาที่เล่น เห็นเด็กผู้หญิงที่พักบ้านหลังข้างๆกำลังเล่นบอลกับพี่ชายเอวานก็ตาโต รอยยิ้มกว้างแตะแต้มริมฝีปากก่อนตัวเล็กป้อมจะวิ่งออกไป
“เอวาน!”
เกวนหันมาเห็นหลังลูกไวๆรีบเอ่ยเรียก เอวานหันกลับมาหามารดาแต่ขากลับไม่ได้หยุดวิ่งตามทำให้ชนเข้ากับอะไรบางอย่างเต็มรัก ร่างเล็กล้มคะมำก้นจ้ำเบ้า ริมฝีปากเริ่มเบ้ตั้งท่าจะเป่าปี่อยู่รอมร่อ
“เอวาน!”
เกวนรีบก้าวเข้ามาหาลูกชายที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้นหญ้าโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังดูแลอยู่ ลูกของเธอคงวิ่งมาชนเขาเข้า หญิงสาวนั่งลงดูลูก ปัดแข้งปัดขาที่มีเศษดินเศษหญ้าติดออกดูว่ามีแผลตรงไหนหรือไม่ โดยไม่ทันสังเกตชายหนุ่มข้างกาย
“ลูกเป็นอะไรน่ะคุณ?” เสียงพอลเอ่ยถามเมื่อตามมาถึง
“ลูกหกล้มค่ะ แต่ไม่มีแผลอะไร”
หญิงสาวเอ่ยตอบกลับไปอย่างลืมตัว พอลเองก็นิ่งไม่ได้ทักท้วงคำพูดเธอ พอเห็นอีกฝ่ายเงียบหญิงสาวก็ย่นหัวคิ้ว มองพอลแปลกๆ นั่งยิ้มอะไรของเขา
“เอ่อ ... คุณคะ ต้องขอโทษด้วยที่ลูก...”
เกวนที่หันมาสนใจชายหนุ่มคนที่ลูกเธอวิ่งมาชนแล้วจะเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายกลับต้องชะงัก ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากอิ่มขยับเรียกชื่ออีกฝ่าย
“คาร์ล...”
+++++++++++++
ต่อหน้าถัดไปค่ะ