หัวใจซ่อนรัก
ตอนพิเศษคั่นเวลา อดีต
“เบศ! จะรีบเดินไปไหนหา!?”
ทางเดินหน้ารีสอร์ตนับตะวัน พิชญ พฤทธาการยืนเท้าสะเอวมองชายหนุ่มตัวโตที่ก้าวยาวกว่าตนจนเดินไปไกลแล้วด้วยสายตาเขียวขุ่น ฝ่ายนั้นหยุดเดิน หันกลับมามองเขาแล้วอมยิ้มก่อนเดินย้อนกลับมาหา
“ก็พีไม่อยากให้เบศจับมือเอง” ชายหนุ่มตัวโตอ้างหน้าตาเฉย มือหนายื่นไปตรงหน้าพิชญ
“ชิ”
พิชญเดาะลิ้นขัดใจก่อนวางมือบนมือของอีกฝ่าย ซึ่งทางนั้นก็ยิ้มแป้นอย่างน่าหมั่นไส้ นิ้วใหญ่สอดกุมมือเขาก่อนรั้งเบาๆให้เดินไปข้างกัน คราวนี้คนตัวโตยอมเดินช้าลงเมื่อมีพิชญเดินข้าง
“แกล้ง” พิชญว่า ซึ่งอีกคนก็หัวเราะเบาๆอย่างไม่ปฏิเสธ
นานๆทีพวกเขาจะมีวันได้หยุดตรงกันสองหนุ่มจึงถือโอกาสมาเที่ยวให้ไกลหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นบินไปต่างประเทศเพราะไม่ได้หยุดนานขนาดนั้น และเหตุที่เลือกพักที่นับตะวันเพราะสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญบางอย่าง
รีสอร์ตนับตะวันถูกออกแบบและสร้างโดยพฤทธาการกรุ๊ป ไม่รู้เป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้พิชญได้มาพบกับเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้ ครั้งแรกที่เจอกันเขาตกใจไม่น้อยเลย
อินทีเรียดีไซน์หนุ่มจากพฤทธาการ เมื่อถูกว่าจ้างให้มาทำโครงการใหญ่อย่างการทำรีสอร์ตแบบอนุรักษ์ธรรมชาติทางภาคเหนือ ในทีแรกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่หรอก แต่พอมาเจอผู้ว่าจ้างกลับรู้สึกอยากถอยเอาเสียดื้อๆ เพราะคนๆนั้นคือคนของเฟอร์ริงตัน คนของอเล็กซานเดอร์
“ผมอัลเบิร์ตครับ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง”ในวันนั้นพิชญอยากหนีกลับตั้งแต่มาถึง แต่แล้วทุกสิ่งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขากลัว อัลเบิร์ตคนนี้ไม่ได้จะมาดึงเขากลับสู่ความมืดมน และเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายลาออกจากที่นั่นมาแล้วพิชญก็ไม่แปลกใจเลย ใครจะอยู่กับคนอย่างอเล็กซานเดอร์ได้นานกัน
หลังรีสอร์ตนับตะวันถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์และได้ให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งไทยเทศ ผู้มีส่วนร่วมอย่างพิชญก็ได้มาพักที่นี่อยู่บ้างเช่นกันเมื่อมาภาคเหนือ เวลาเข้ามาพักทีก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นผลงานตนเองเป็นรูปเป็นร่างเช่นนี้ เจ้าหมาน้อยตัวโตนามภูเบศวร์ นายแพทย์หนุ่มจากโรงพยาบาลดังก็มักติดสอยห้อยตามมาเที่ยวอยู่ทุกที ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
พิชญและภูเบศวร์มาเช็คอินเข้าพักเป็นขณะเดียวกันกับที่อัลเบิร์ตกำลังตรวจงานที่เคาน์เตอร์จึงได้พูดคุยถามไถ่กัน เสียงคุ้นหูดังมาให้ใครอีกคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ได้ยิน ร่างสูงใหญ่นั้นหันกลับมาทางต้นเสียง เพียงเห็นหน้าเขาก็ชะงักงัน อัลเบิร์ตที่กำลังพูดคุยกับแขกพิเศษปรายตามองคนด้านหลังที่นิ่งไปแต่ไม่ได้เอ่ยทักท้วงหรือพูดอะไรออกมา เพราะตนเองก็เห็นแล้วว่าพิชญก็อึ้งไปเช่นกัน
เจ้าของรีสอร์ตยิ้มให้ลูกค้าคนพิเศษก่อนบอกพนักงานให้พาทั้งคู่ไปยังที่พัก เมื่อพิชญกับภูเบศวร์เดินห่างไปแล้วคนแถวนี้ก็เผลอก้าวออกไปหน้าเคาน์เตอร์ อัลเบิร์ตหันกลับทำงานต่อเหมือนไม่เห็น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้อเล็กซานเดอร์ว้าวุ่นไปคนเดียว
ระหว่างเดินมายังที่พักพิชญก็มีท่าทีแปลกไปจนภูเบศวร์จับสังเกตได้ เมื่อมาถึงห้อง เก็บของเสร็จภูเบศวร์ถึงได้ถามว่าคนๆนั้นเป็นใคร ทำไมพิชญถึงได้มีท่าทีแปลกไป อีกฝ่ายกลับบอกมาว่าไม่มีอะไรโดยไร้คำอธิบาย ภูเบศวร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามตรงจุด
“เขาใช่ไหม?”
“อะไร?”
“ผู้ชายคนนั้น คนที่พีเคยรัก...” พูดเองแล้วก็พลอยเจ็บเองจนต้องเบือนสายตาหนี
“ไม่ได้รัก!” พิชญตอบกลับมาเสียงดัง
“ก็ได้ ไม่ได้รัก แต่เคยรู้จักกันแบบลึกซึ้ง”
ของในมือถูกขว้างออกมาใส่คนตัวโตที่ปากเสียพูดไม่เข้าหู หน้าคนขว้างข้าวของบึ้งตึงแสดงให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจกับคำพูดนั้นอย่างมาก
“ไม่ต้องมาทำเป็นโกรธ ผมต่างหากที่ต้องโกรธพี”
“เรื่องอะไรไม่ทราบ ถ้าเรื่อง ‘รู้จักกันแบบลึกซึ้ง’ นายน่าจะโกรธตั้งแต่เริ่มคบกับฉันแล้วนะ มาโกรธตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือไง?” คนตัวเล็กกว่ากวน
“ไม่ได้โกรธเรื่องนั้น แต่โกรธที่พีมีท่าทีเหมือนยังลืมเขาไม่ลง”
คนตัวโตเอ่ยเสียงค่อยไม่สมกับตัว พิชญมองท่าทางเงื่องหงอยนั่นแล้วก็พ่นลมหายใจแรงๆ ไอ้หมาบ้า พาลทำให้เขาโกรธไม่ลง ร่างเพรียวก้าวเข้าไปหา ช้อนสายตามองเจ้าหมาขี้ใจน้อย
“เป็นถึงคุณหมอ อย่าทำตัวบ๊องแบบนี้น่า” มือเรียวกุมแก้มอีกคน “อาจยังไม่ลืม แต่ไม่ได้หมายความว่ารักเหมือนคนนี้สักหน่อย”
คำพูดเอาใจกันทำให้หมาน้อยตัวโตกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน แต่อีกคนก็ยังทันได้เห็น พิชญบุ้ยปากกับลูกเล่นของภูเบศวร์
“พอใจยังเล่า”
แขนแกร่งคว้าเอวร่างเพรียวมากอด รอยยิ้มกว้างเกลื่อนใบหน้าไม่ปิดบัง
“พอใจมากเลยครับ รักพีที่สุดเลย” จูบแก้มคนน่ารักเป็นการแสดงให้เห็น พิชญทุบแขนแกร่งแล้วหัวเราะขำหมาน้อยที่หางกระดิกระริกระรี้
“ไอ้บ้า”
-----------------
“ฉันไม่เห็นเคยรู้ว่านายกับพิชญสนิทกันขนาดนั้น”
อเล็กซานเดอร์เอ่ยขึ้นเมื่อกลับมาที่บ้านกับอัลเบิร์ต ร่างสูงกำลังล้างปิ่นโตที่ใส่กับข้าวจากรีสอร์ตมาให้สายลม เด็กชายนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะไม่ได้สนใจผู้ใหญ่ที่กำลังมีบรรยากาศมาคุ อัลเบิร์ตล้างปิ่นโตจนเสร็จแล้วคว่ำไว้บนชั้นให้สะเด็ดน้ำถึงได้หันมาหาอเล็กซานเดอร์
“ถ้าคุณรู้แล้วจะทำไมหรือครับ?” เอ่ยถามกลับไปเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มก็เดินเลี่ยงอีกคนไปเช็ดมือ
“ก็ไม่ทำไม แค่แปลกใจ”
“แล้วไงล่ะครับ ในเมื่อตอนนี้คุณรู้แล้ว นอกจากแปลกใจคุณรู้สึกยังไงอีก?”
“หมายความว่าไง?” คิ้วเข้มขมวดกับคำถามนั้น
“เปล่า ผมก็แค่แปลกใจที่คุณร้อนรนขนาดนี้” อัลเบิร์ตย้อนเอาบ้าง นัยน์ตาเศร้าเบือนไปทางอื่น ไม่สบสายตาสีฟ้านั้น “ไปทานข้าวเถอะครับ ผมจะไปทำงานต่อแล้ว”
อเล็กซานเดอร์คว้าจับแขน อัลเบิร์ตยืนนิ่ง ยังคงมองตรงไปข้างหน้าไม่หันมามองคนจับสักนิด
“ฉันไม่ได้รู้สึกมากไปกว่าแปลกใจที่นายสนิทกับเขา อาจมีตกใจที่เจอเขาที่นี่ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” อเล็กซานเดอร์พยายามอธิบาย แต่ดูท่าว่ามันจะไร้ผลเมื่ออีกคนตอบกลับมาเพียงสั้นๆ
“ผมเข้าใจ”
“เข้าใจว่าอะไร?”
“เข้าใจว่าคนที่เคยรู้จักกันมาก่อนมันไม่แปลกที่จะยังมีความรู้สึกดีๆให้กัน”
“อัล...”
“ผมบอกว่าเข้าใจไงอเล็กซ์ เลิกพูดเรื่องนี้สักที!”
อเล็กซานเดอร์ดึงอัลเบิร์ตเข้ามากอด ได้ยินเสียงถอนหายใจของคนในอ้อมกอดดังมาผะแผ่ว
“ถ้าคุณ...”
“ไม่ ฉันตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางกลับคำหรอก บอกว่ารักก็คือรัก วันนี้ยังไม่เชื่อไม่เป็นไร วันหน้ายังมีอีก จะพยายาม”
อัลเบิร์ตนิ่งกับคำพูดของอเล็กซานเดอร์ ไม่มีการโต้ตอบกันหลังจากนั้นอีก หากอัลเบิร์ตเงียบ ให้อเล็กซานเดอร์พึงระลึกเอาไว้เสมอว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ หรือไม่ก็ยังอยู่ในอารมณ์ที่อยากไล่เขาไปให้ห่างสายตา
อัลเบิร์ตกลับไปทำงานแล้วอเล็กซานเดอร์ก็ได้แต่นั่งทอดถอนใจ สายลมที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันปรายตามามองก่อนเอ่ยถามลอยลม
“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือครับ?”
“ใช้คำว่า ‘อีกแล้ว’ อย่างนั้นหรือ?” อเล็กซานเดอร์มุ่นคิ้วกับคำถาม
“ผมว่าผมใช้ถูกแล้วนะครับ” สายลมซ่อนยิ้มในสีหน้าเมื่อตอบกลับมาหน้านิ่ง
“นี่แด๊ดกับพ่อเราทะเลาะกันบ่อยขนาดนั้นเลย?” อเล็กซานเดอร์ทำน้ำเสียงราวไม่อยากจะเชื่อ เด็กชายสายลมจึงได้ขยายความให้กระจ่าง
“เปล่า แต่แด๊ดทำให้พ่อผมโกรธบ่อย”
“...........?” คำตอบนั้นพาเอาคิ้วอเล็กซานเดอร์ขมวดมากกว่าเก่า มันต่างกันตรงไหน?
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกหน มีเสียงถอนใจเลียนแบบเขาดังมาใกล้ตัว อเล็กซานเดอร์หันไปมอง ไอ้แสบตัวเล็กนี่เอง นอนกลางวันตื่นแล้วรึ หอบหมอนข้างใบเล็กลงมาด้วย ลูกใครหว่า
“ล้อเลียนแด๊ดหรือ หืมมม ไอ้ตัวเล็ก”
ชายหนุ่มยกตัวเล็กป้อมของลูกชายขึ้นมานั่งตักแล้วฟัดแก้มป่อง เสียงหัวเราะของลูกทำให้อารมณ์ที่ดิ่งลงเหวของเขาดีขึ้นมาได้หน่อย
“หิว”
เสียงเล็กๆเอ่ยบอกทำให้คนเป็นพี่ชายกับคุณพ่อหัวเราะ ไอ้ตัวเล็กพอตื่นมาก็บ่นว่าหิว สายลมลูบผมน้องที่กระดกเพราะนอนทับ เซย์ผมหยักศกเหมือนอัลเบิร์ตแต่สีอ่อนกว่า สายลมชอบขยำมันเล่น มันนุ่มมือดี
อเล็กซานเดอร์เข้าครัวไปหาอะไรมาให้ลูกทาน อัลเบิร์ตเตรียมไว้ให้แล้วก่อนออกไปทำงาน สายลมยกน้องลงจากตักให้นั่งทานข้าวดีๆ คอยเช็ดปากให้เวลาน้องทำเลอะ อเล็กซานเดอร์มองภาพนั้นแล้วยิ้ม เขาพยายามที่จะปรับปรุงตัวแล้ว แต่เหตุใดถึงได้มีแต่เรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อน เขาท่าจะแย่กว่าเด็กสามขวบอย่างที่อัลเบิร์ตว่า
“สายลม~ ฮาโหลหลานรักอยู่ไหมเอ่ย?”
เสียงดังมาจากหน้าบ้านทำให้สายลมลุกออกไปดู ปอนด์เข้าบ้านมากับเจฟฟรี่ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ด้านนอก เด็กชายยกมือไหว้ ปอนด์เลยยีหัวด้วยความเอ็นดู
“อ้าว นายก็อยู่ด้วยหรือ?”
หนุ่มตัวเล็กเอ่ยถามเมื่อเห็นอเล็กซานเดอร์อยู่ในบ้านด้วย คนถูกถามคิ้วกระตุก เจฟฟรี่อยู่ที่นี่นั่นแสดงว่าเขาก็ต้องอยู่ในบ้านนี้ไม่ใช่หรือ เจ้าเปี๊ยกนี่จะกวนกันใช่ไหม
“ได้ยินว่าคนแถวนี้ทำให้เพื่อนฉันโกรธอีกแล้ว ท่าจะไม่สำนึกจริงๆ” ปอนด์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา บิดปากเล็กน้อยเมื่อปรายมองคนแถวนี้ที่ว่า
“เงียบปากไปเลยเตี้ย ถ้านายยุอัลแม้แต่คำเดียวฉันสั่งเก็บนายแน่” อเล็กซานเดอร์คำรามขู่
“กลัวไหม? ถามว่าฉันกลัวไหม? อิโธ่”
เจฟฟรี่มองความเก๋าของคนรักแล้วส่ายหน้า ตัวก็แค่นี้ยังทำเก่ง เขากับปอนด์คบกันมาหลายปี เมื่อไม่นานมานี้ปอนด์เพิ่งพาเขาไปที่ฟาร์ม ไปเจอครอบครัวของปอนด์ แม้หนุ่มตัวเล็กจะไม่ได้บอกกับครอบครัวถึงความสัมพันธ์ที่มันก้าวไปไกลแต่ก็แอบแง้มหน่อยๆพอให้ที่บ้านรับรู้ เจฟฟรี่คาดว่าบิดาของปอนด์ก็คงรู้แล้วเพราะเจอหน้าเขาทีไรท่านก็ดูจะเขม่นเขาอยู่ในที
เรื่องครอบครัวของเจฟฟรี่เองไม่เคยมีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะบอดีการ์ดหนุ่มก็ใช่ว่าจะอายุอานามน้อยๆแล้ว เรื่องพวกนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่บอกให้รับรู้ พาไปพบบ้างตามแต่โอกาส เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวใหญ่ บางทีการใส่ใจกันมันอาจไม่ทั่วถึง เจฟฟรี่ก็เป็นหนึ่งในส่วนที่ถูกมองข้าม เขาไม่ใช่พวกชีวิตมีปัญหาถึงขนาดต้องเรียกร้องความสนใจด้วยการทำตัวให้ตกต่ำ ชีวิตเขายังดำเนินไปอย่างอยู่ดีมีสุข ตอนนี้ยิ่งสุขที่มีปอนด์มาอยู่เคียงข้าง เหมือนถูกเติมเต็ม อาจมีทะเลาะกันบ้างตามประสา แต่เพราะมีปอนด์เขาถึงได้ไม่เคยเหงา ไม่เคยมองว่าอดีตที่ผ่านมามันไม่ดีแต่อย่างใด
“ปอนด์หยุดพักร้อนกี่วัน?”
อัลเบิร์ตเอ่ยถามเพื่อนเมื่อพาเซย์ขึ้นมานอนบนห้องหลังกลับจากที่ทำงานช่วงหัวค่ำ อเล็กซานเดอร์กับสายลมอยู่ข้างล่าง ขณะที่เจฟฟรี่กับลูกน้องทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่รอบๆบ้าน
“ครึ่งเดือน ว่าจะอยู่กับนายสักอาทิตย์ คิดถึงมาก”
อัลเบิร์ตหัวเราะ “เมื่อไรจะกลับมาอยู่ที่ไทย?”
“คิดอยู่ แต่ยักษ์บ้ายังไม่มีแผนจะเลิกเป็นบอดีการ์ดแล้วเปลี่ยนมาเป็นโคบาลเลย”
“คุยกันแล้วหรือ?”
“ยังหรอก ถ้าจะกลับมาจริงๆคงไม่พ่วงเจฟฟรี่มาด้วย เพราะทางนั้นก็คงอยากทำงานที่รัก” สีหน้าหนุ่มตัวเล็กดูหมองลง ลูบผมเซย์ที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเบาๆ แม้จะเข้าใจดีแต่ก็อดเหงาไม่ได้
“นี่”
“หืม?” ปอนด์เลิกคิ้ว
“มีความลับจะบอก”
“อะไร เดี๋ยวนี้หัดมีลับลมคมในนะพ่อศรีสมรของฉัน”
นิ้วเรียวบีบคางเพื่อนอย่างหยอกเย้า อัลเบิร์ตส่ายหน้าขำก่อนกระซิบบอกความลับที่ว่า พอได้ฟังแล้วปอนด์ก็เลิกคิ้วเชิงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เมื่ออัลเบิร์ตพยักหน้ายืนยันตัวเล็กก็ขยับลุกจากเตียงพุ่งไปเปิดประตูวิ่งลงบันไดไปหน้าบ้าน อัลเบิร์ตตามไปดูที่ระเบียงห้อง เห็นเพื่อนตัวเล็กโดดกอดจนเจฟฟรี่ตั้งรับแทบไม่ทัน
เสียงของเพื่อนดังมาให้ได้ยินถึงด้านบน ไม่รู้จะต่อว่าหรืออะไรเพราะมันปนๆกันไปหมด แต่จับใจความได้ว่าดีใจที่เจฟฟรี่จะมาอยู่ที่ไทยด้วยกันในไม่ช้านี้ เห็นอย่างนั้นแล้วอัลเบิร์ตก็ยิ้ม จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกอิจฉาเจฟฟรี่กับปอนด์ไม่เปลี่ยน อยากมีความรักแบบเรียบง่าย คู่นี้มักทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจกันดี
ชายหนุ่มหันมามองอเล็กซานเดอร์ที่ขึ้นมาบนห้องเพราะเห็นปอนด์วิ่งไปหน้าบ้าน ร่างสูงใหญ่ก้าวมาหาที่ระเบียง
“มีเรื่องอะไรกันหรือ?”
อัลเบิร์ตยังคงเงียบ เดินเลี่ยงเข้าห้องไปไม่ตอบคำถาม อเล็กซานเดอร์หน้าเจื่อนไปนิด ยังไม่หายโกรธเขาอีกหรือ คนมันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ทำไมยังทำมึนตึงใส่กันอยู่อีก เขาชักสงสัยว่าเคยทำอะไรถูกใจอัลเบิร์ตบ้างไหม พยายามแล้วก็ยังเป็นแบบนี้ก็ชักจะท้อเหมือนกัน
อเล็กซานเดอร์จะกลับลงไปชั้นล่างเพราะถึงอยู่บนนี้อัลเบิร์ตก็ไม่คิดจะพูดกับเขา ร่างสูงใหญ่หยุดเดินเมื่อถึงประตูห้อง เหลือบมามองคนในห้องเล็กน้อย ไม่มีเสียงทักท้วง ไม่ห้ามกันเลยสักนิดเดียว โธ่เว้ย! อเล็กซานเดอร์ได้แต่เดินปึงปังลงไปเพราะความใจแข็งของอีกคน
---------------
หลังจากนั้นก่อนที่แขกพิเศษทั้งคู่จะกลับอัลเบิร์ตได้ชวนพิชญและภูเบศวร์มากินเลี้ยงที่บ้านตน อเล็กซานเดอร์ถึงกับอึ้ง เล่นกันแบบนี้เลยหรือ?
พิชญเองเมื่อเห็นอเล็กซานเดอร์อยู่ด้วยก็อึดอัดไม่แพ้กัน แต่เพราะมีมือของคนตัวโตข้างกายคอยกุมมืออยู่ตลอดทำให้สามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้ พยายามปลอบใจตนเองว่าเขาต้องผ่านมันไปได้น่า
อัลเบิร์ตให้บอดีการ์ดที่รักษาการอยู่รอบบ้านมายกอาหารไปทานกันด้วย โต๊ะถูกนำไปวางเพื่อสะดวกต่อการกินดื่ม ส่วนพวกตนก็ตั้งโต๊ะกันตรงหน้าระเบียงที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านนั่นเอง สายลมมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ส่วนน้องเล็กอย่างเซย์หมดแรงข้าวต้มสลบเหมือดไปแล้วอเล็กซานเดอร์จึงได้อุ้มไปนอนบนห้อง
นั่งดื่มกินพูดคุยกันอยู่สักพักพิชญก็ขอไปเข้าห้องน้ำ ปะหน้ากับอเล็กซานเดอร์ที่ลงมาจากชั้นบน ต่างชะงักและรู้สึกเก้อกระดาก หากจะทักทายว่าสบายดีไหมมันก็ดูไม่เหมาะอย่างไรไม่รู้ พิชญเดินเลี่ยงไป โดยมีสายตาของอีกคนมองตาม
อเล็กซานเดอร์ถอนใจ เขาอยากพูดอะไรสักอย่างแต่กลับพูดไม่ออก ชายหนุ่มเดินออกมาสมทบที่โต๊ะอีกครั้ง มองอัลเบิร์ตที่นั่งอยู่ข้างลูกชายไม่หันมาสนใจเขาสักนิดแม้ว่าเขาจะนั่งลงเบียด เจ้าเตี้ยปอนด์ก็เจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว พอเมาแล้วรั่วอย่าบอกใคร
“ลุงปอนด์ เมาแล้วนะครับ” สายลมเตือนคนที่เริ่มเลื้อยเพราะเมาหนัก
ปอนด์ยกนิ้วแตะปากตนเองแล้วพูดกับหลาน “จุ๊ๆ สายลม พูดไม่เพราะเลยลูก มาเรียกลงเรียกลุง เรียกพี่ได้ไหม~ แล้วพี่จะให้ตังค์กินหนมสิบพาน เรียกคุณอาโล๊ดมาห้าพัน เอิ๊ก เรียกลุงเลิกกัน ไม่ได้สักพันนะหลานนะ อึ่ก!”
มือเรียวกุมปิดปากตัวเองเมื่อร้องเพลงมั่วซั่วไปตามประสาคนเมา หันมาหาเจฟฟรี่ที่นั่งเป็นหลักให้พิงอยู่ข้างๆ
“เจฟฟ์...”
“ครับ”
“จะอ้วก” หนุ่มตัวเล็กสะอึกเบาๆ เอามือปิดปากไว้ขณะที่เอนตัวซุกเจฟฟรี่เมื่อรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องขึ้นมา
“ก็เล่นกินเยอะแบบนี้ไง” เจฟฟรี่บ่นคนรัก แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยลูบหลังให้ คนถูกบ่นจิ๊ปาก เทน้ำหนักตัวไปหาเจฟฟรี่เต็มที่ด้วยความมึนล้วนๆ
“เป็นตัวอย่างไม่ดีให้หลานรู้ไหมนี่” มือหนาบีบจมูกของปอนด์ที่มันแดงพอๆกับหน้า
“บีบทำไม หายใจไม่ออก!” มือเรียวปัดออกพร้อมต่อว่า คอพับคออ่อนจะแย่ยังทำเก่ง
“เดี๋ยวพาปอนด์ไปนอนก่อนนะอัล ท่าจะไม่ไหวแล้ว” เจฟฟรี่หันมาบอกอัลเบิร์ต พยุงคนเมาลุกขึ้นก่อนช้อนอุ้มพาดบ่า
“อืม เดินดีๆล่ะ” บอกกับเพื่อนแล้วอัลเบิร์ตก็หันมาหาสายลมบ้าง “ง่วงหรือยังลูก?”
“นิดหน่อยครับ”
มือเรียวลูบผมนุ่มเบาๆ “ก่อนนอนลมอาบน้ำอีกรอบนะ กลิ่นอาหารติดตัวเดี๋ยวไม่สบายตัว มดจะขึ้นเตียงด้วย”
“ครับ” สายลมรับคำ ลุกจากเก้าอี้แล้วจูบแก้มอัลเบิร์ตอย่างที่เคยทำ “ราตรีสวัสดิ์ครับพ่อ”
“ราตรีสวัสดิ์ ดูน้องด้วยนะลม”
“ครับ”
เด็กชายเดินขึ้นบ้านไป สวนกับพิชญที่ออกมานั่งรวมกับทุกคน หมดเสียงเจื้อยแจ้วของคนเมาอย่างปอนด์แล้วบรรยากาศก็แสนอึดอัดเพราะความเงียบงันที่เกิดขึ้น เมื่อเหลือกันอยู่แค่สี่คน
“คุณภูเบศวร์ครับ” อัลเบิร์ตเอ่ยเรียกแทรกความเงียบขึ้นมา
“ค... ครับ?”
“กับแกล้มจะหมดแล้ว ช่วยผมยกออกมาเพิ่มได้ไหมครับ?”
คำถามนั้นทำให้ทุกสายตาหันมามองคนพูด อัลเบิร์ตทำมองไม่เห็น จ้องตรงเพียงภูเบศวร์ที่ตนเองกำลังพูดด้วยเท่านั้น
“อ้อ ได้ครับ”
ชายหนุ่มตัวโตรับคำ ก่อนทั้งสองคนจะพากันลุกจากโต๊ะแล้วเดินเข้าครัวไป พิชญเหลือบมองคนที่นั่งตรงข้าม สบตากันโดยไม่ตั้งใจเมื่ออีกฝ่ายก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้เหลือกันอยู่แค่สองคน จะเลี่ยงไปไหนก็ไม่ได้เสียแล้ว
บนห้องนอน เจฟฟรี่แบกคนเมาเข้ามา จับถอดเสื้อผ้าแล้วพาเข้าห้องน้ำ ขืนนอนทั้งอย่างนี้คงไม่ไหว ร่างเล็กนั่งพิงขอบอ่าง แต่พอโดนน้ำก็ร้องโวยวายใหญ่จะดิ้นหนี พาให้เจฟฟรี่เปียกไปด้วย
“ถ้าไม่อยู่นิ่งๆจะปล้ำแล้วนะ” เสียงทุ้มข่มขู่ข้างหูบาง จับแขนเรียวไพล่หลังให้อยู่นิ่ง น้ำจากฝักบัวไหลนองพื้นจนเปียกไปหมดเพราะขี้เมาตัวเล็กนี่แท้ๆ
“ขู่?” คนเมาทำเสียงขึ้นจมูก ไม่กลัวคำขู่แต่อย่างใด
“ไม่ได้ขู่ จะทำจริงๆ”
ลิ้นสากตวัดเลียใบหูบางแล้วงับเบาๆ พลิกร่างเล็กหันกลับมาแล้วดันลงไปในอ่างน้ำ ดวงตากลมปรือปรอย ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะอยากยั่ว
“ไม่เห็นกลัว”
แขนเรียวรั้งต้นคอหนาลงมาหา ริมฝีปากอิ่มเผยออ้ารับปากร้อนที่ครอบคลุม ส่งลิ้นลื่นเข้าโลมไล้พัวพัน เจฟฟรี่ถอดเสื้อผ้าให้พ้นกาย มันเปียกแล้วนี่จะใส่มันไปทำไม สองกายเปลือยเปล่าพันตู ขยับโยกขย่มกายท่ามกลางไอน้ำที่พวยพุ่งคลุ้งทั่วห้อง...
หน้าบ้าน อเล็กซานเดอร์กับพิชญต่างนั่งเงียบ ยิ่งเวลาค่อยเดินไปช้าๆความหนักหน่วงยิ่งถ่วงพวกเขาให้อึดอัดมากขึ้นทุกที สุดท้ายพิชญจึงตัดสินใจจะลุกไปตามภูเบศวร์ในครัว
“เดี๋ยวพิชญ”
เพียงร่างเพรียวขยับลุกอเล็กซานเดอร์ก็รั้งไว้ พิชญชะงัก ยืนนิ่งอยู่กับที่ ขาพลันก้าวไม่ออก...
ขณะเดียวกันที่ในครัว อัลเบิร์ตยืนนิ่งอยู่มุมหนึ่ง ขณะที่ภูเบศวร์กอดอกยืนพิงขอบโต๊ะมองอีกคนที่อยู่ในครัวด้วยกันโดยไร้คำพูดจา เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายให้เขาเข้ามาด้วยทำไม เขาเลยรอจนกว่าจะถึงเวลาที่คนตรงหน้าจะบอกให้ออกไป
“ขอโทษด้วยนะครับที่ดึงตัวคุณออกมาด้วยกันแบบนี้” อัลเบิร์ตเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“หึ ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจ พวกเขาคงมีเรื่องต้องเคลียร์ใจกันสินะ”
“ผมสร้างปัญหาให้พวกคุณหรือเปล่า?” เอาเข้าจริงๆอัลเบิร์ตก็ชักไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตนเองทำ หากภูเบศวร์กับพิชญเกิดผิดใจกันขึ้นมาเพราะเรื่องนี้เขาจะทำเช่นไร
“ถ้าปัญหาจะเกิดมันก็คงเกิดจากความไม่เชื่อใจกันของคนสองคนมากกว่าครับ”
ภูเบศวร์ตอบกลับมาเพียงเท่านั้น รอยยิ้มบางดูอบอุ่นเช่นคำพูด แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆแต่กระแทกใจอัลเบิร์ตจนเจ็บหนึบ เขาไม่เชื่อใจอเล็กซานเดอร์อย่างนั้นหรือ ที่ทำแบบนี้เพราะยังไม่เชื่อใจใช่ไหม หากค้นลงไปในส่วนลึกคงต้องตอบว่าใช่ ผ่านมากี่ปีแล้วอัลเบิร์ต ยังหวาดระแวงอยู่อีกหรือ แล้วเมื่อไร เมื่อไรกันถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริงเสียที
“อัล”
อัลเบิร์ตหันขวับไปมองตามเสียงเรียก อเล็กซานเดอร์ก้าวเข้ามาดึงแขนออกจากห้องครัวไป ร่างสูงถลาตามด้วยความงงงัน ภูเบศวร์เองก็งงไม่แพ้กัน ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นพิชญค่อยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แขนแกร่งวาดออกกว้างเพื่อรับร่างเพรียวนั้นเข้ามากอดแล้วลูบหลังเบาๆ
“คุยกับเขาแล้วหรือ?” ภูเบศวร์เอ่ยถามคนในอ้อมแขนที่ซุกหน้านิ่ง
“นายมันบ้า” เสียงอู้อี้ต่อว่ามาแทนคำตอบ
“อ้าว อยู่ๆมาว่าเบศทำไมอ่ะ?” คนตัวโตถามกลับกลั้วหัวเราะ
“ทิ้งฉันไว้กับคนพรรค์นั้นได้ไง หมาบ้า!”
“หึๆ เบศเชื่อว่าพีจัดการได้” คางแกร่งวางบนศีรษะทุยเมื่อเอ่ยคำ ขณะที่มือก็ลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆ
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย” พิชญดันตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรง ต่อว่าหน้าเง้า
ภูเบศวร์ยิ้ม ยังคงไม่คลายอ้อมกอดทั้งหมด มือหนาเกลี่ยแก้มอีกคนแผ่วเบา
“กลับห้องเรานะ”
“...อื้อ”
ใบหน้าเรียวพยักรับคำ ภูเบศวร์ยิ้มบาง จับมือพิชญแล้วพากลับที่พัก ที่ยอมให้คุยกับผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ไม่หวั่นใจ เขาไม่ได้กลัวพิชญเปลี่ยนใจ แต่เพราะกลัวว่าคนๆนี้จะเจ็บ กลัวเหลือเกินหากมีใครทำให้พิชญเจ็บ เขายอมทุกอย่างหากทำให้ได้อยู่ข้างกาย ได้คอยดูแล สิ่งตอบแทนก็ขอเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้ม... เขายอมทำทุกอย่างเพื่อรอยยิ้มนี้เท่านั้น
‘รักพีนะ รักมาก’
++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ