หัวใจซ่อนรัก
ตอนที่ ๑๐ รักลวงใจ
อัลเบิร์ตเดินนำอเล็กซานเดอร์และทัชธรมาที่บ้านของตน อเล็กซานเดอร์มองบ้านเจ้าของรีสอร์ตที่ดูเรียบง่ายกว่าที่คิด แต่ก็ร่มรื่นดี ไม่นึกว่าอัลเบิร์ตจะชอบอะไรกระจุ๋มกระจิ๋มขนาดปลูกดอกไม้ต้นเล็กๆในกระถางแขวนเรียงราย ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อสมองเริ่มจินตนาการภาพตาม
บอดีการ์ดยืนทำหน้าที่คุ้มกันรอบบ้านเมื่ออเล็กซานเดอร์เข้าไปด้านใน ทัชธรบอกให้ทั้งคู่พูดคุยกันให้เข้าใจ เพราะต่างก็โตๆกันแล้วเขาคงไม่ต้องอยู่คุม
“ไปซะได้ก็ดี”
อัลเบิร์ตตวัดสายตามามองคนพูด ยังมีหน้ามาว่าไล่หลังคนอื่นเขาอีก อเล็กซานเดอร์เห็นตาเขียวๆของอีกคนก็ไหวไหล่ ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองคาใจ ไม่สนสายตาเขียวขุ่นนั้นแต่อย่างใด
“ตกลงหมอนั่นเป็นอะไรกับนาย?”
“ผมไม่เห็นความจำเป็นต้องรายงานให้คุณทราบ... ช่วยกลับไปด้วยครับ”
เส้นความอดทนของอเล็กซานเดอร์ขาดผึงที่อีกคนเอาแต่ไล่ไม่เว้นว่างขนาดนี้ “หยุดไล่กันเสียทีอัลเบิร์ต!”
“อย่ามาวางอำนาจบาตรใหญ่แถวนี้!”
เมื่ออีกคนเสียงดังใส่อัลเบิร์ตก็โต้กลับ อเล็กซานเดอร์กัดกรามจนขึ้นสันพร้อมกระชากร่างสูงเข้ามาหาเสียแรง
“ห่างกันไม่เท่าไร ดื้อขึ้นจมเลยนะ!”
น้ำเสียงกระชากกระชั้นลอดไรฟันไม่ได้ทำให้อัลเบิร์ตนึกหวั่น ตามองจ้องก่อนเอ่ยคำ “ยังต้องการอะไรอีกหรืออเล็กซ์... คุณต้องการอะไรจากผมอีก เท่าที่ผ่านมามันยังไม่พออีกหรือไง?”
“ไม่ มันไม่พอหรอกอัลเบิร์ต แค่นั้นมันไม่พอ ฉันต้องการทั้งหมด”
คำพูดเอาแต่ได้ทำให้อัลเบิร์ตถอนใจ “ผมไม่มีอะไรจะให้แล้ว”
“แค่นายกลับไปกับฉันเท่านั้นเองอัล”
“เพื่ออะไร? ให้ผมกลับไปเจ็บปวดแบบนั้นอีกเพื่ออะไร?”
“มันจะไม่เหมือนเดิม” อเล็กซานเดอร์ว่า
“ผมยังไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนจากเดิมตรงไหน คุณก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่พอใจอะไรก็ใช้แต่อารมณ์ เอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ ไม่เคยถามความคิดเห็นความสมัครใจของใครเลยสักนิด”
“ฉันก็กำลังถามอยู่นี่ไง... กลับไปกับฉันนะ”
อัลเบิร์ตมองคนพูดนิ่ง ไม่เข้าใจอะไรเลยสินะอเล็กซ์
“ถ้าคุณกำลังถามผมก็จะตอบ...” เอ่ยขึ้นมาเสียงนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยพอกันกับคำพูดที่จะสื่อ “ผมไม่กลับไปกับคุณอีกแล้ว ไม่ อีกต่อไป”
ทุกถ้อยคำอัลเบิร์ตเน้นย้ำ แรงบีบที่แขนหนักขึ้นเมื่อเขาเอ่ยจบ ดวงตาสีอ่อนจึงจ้องคนทำเขม็ง ริมฝีปากบางเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันเล็กน้อยเมื่อเอ่ยคำ
“คุณก็ยังเป็นคุณ ผมบอกแล้ว”
อเล็กซานเดอร์คลายมือเมื่อถูกดักคอมาเช่นนั้น ร่างสูงใหญ่หันไปอีกทาง ลูบหน้าตัวเองแรงๆ พยายามสงบใจ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อทำอย่างที่เคยทำไม่ได้ ลมหายใจยาวยืดถูกระบายออกมาแทนความอึดอัดที่มี
“จะสี่ปีแล้วนะอัล”
“.........” อัลเบิร์ตเงียบฟังเมื่อน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูเหนื่อยล้า
“ฉันเฝ้านับวันเวลาที่จะได้เจอนาย แต่ไม่ได้คิดเผื่อใจว่านายจะปฏิเสธฉันสักนิด ฉันคิดแค่ว่าขอให้ได้เจอ ขอสักครั้ง...”
“...........”
“พอได้มาเจอนายจริงๆ ฉันดีใจ...”
“..........” อัลเบิร์ตกะพริบตา เหลือบมองสูงเมื่อรู้สึกเจ็บลึกๆในอก
“แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นเมื่อความรู้สึกยินดีนั้นมันแทนที่ด้วยความผิดหวัง... ฉันคิดมาตลอดว่าหากเจอนายฉันจะคุยกับนายดีๆ จะขอให้นายกลับไปด้วยกัน กลับมาอยู่กับฉันอีกครั้ง อยากขอโอกาส...”
“..........”
“แต่สถานการณ์จริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด... ฉันทำมันพัง”
อเล็กซานเดอร์หันกลับมาหา อัลเบิร์ตเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าที่จะมองสบนัยน์ตาสีฟ้านั้นด้วยกลัวตัวเองจะใจอ่อน
“นายรักเขาใช่ไหม?”
คำถามนั้นทำให้อัลเบิร์ตหันกลับมามอง สีหน้าชายหนุ่มมึนงงกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนจะคลายออกเมื่อนึกได้ว่าคงหมายถึงทัชธร เขาจึงพยักหน้ารับตามที่อีกฝ่ายเข้าใจ
ความเจ็บร้าวแล่นเข้าสู่หัวใจอเล็กซานเดอร์ เมื่อแรกที่อัลเบิร์ตนิ่งไปเขาเกิดความคาดหวัง แต่เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นความคาดหวังก็พังไม่เป็นท่า ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อเล็กซานเดอร์จะเอ่ยขึ้นเพียงแผ่วเบา
“เข้าใจแล้ว”
ร่างสูงใหญ่เดินออกจากบ้านไปไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้นอีก อัลเบิร์ตหันมองตามอย่างแปลกใจระคนตกใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าเขายอมไปก็ดีแล้ว สีหน้าตื่นตระหนกจึงคลายลง
แต่ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน ชายหนุ่มรีบรุดออกไปดู ตกใจที่เห็นอเล็กซานเดอร์กำลังเข้าคลุกวงในกับทัชธรโดยไร้คนห้าม อัลเบิร์ตมองเจฟฟรี่ที่ยืนนิ่งแล้วก็พาลโมโหเพื่อน ร่างสูงตรงเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งสองคนแล้วร้องห้าม
“อเล็กซ์ หยุด... อเล็กซานเดอร์!!”
อัลเบิร์ตรั้งร่างสูงใหญ่ของหนุ่มอังกฤษออกมา ทัชธรมองอีกฝ่ายนิ่ง ปัดเนื้อตัวตนเองเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่อเล็กซานเดอร์มองเขาเสียตาขวาง
“ทำอะไรของคุณ?”
อัลเบิร์ตถามมาเฟียใหญ่ที่มาทำตัวใหญ่โตคับรีสอร์ต คนถูกถามดึงแขนออกจากการจับกุมของเขา จับปกเสื้อของตนเองแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางบอกว่าไม่มีอะไร
“เจฟฟ์ กลับ”
คำสั่งจากผู้เป็นนายได้รับการตอบสนองเร็วไว บอดีการ์ดทุกนายก้าวตามกันไปเป็นพรวน อัลเบิร์ตย่นหัวคิ้ว งงงันกับสถานการณ์ เมื่อชายร่างยักษ์ทั้งหลายเดินห่างไปแล้วอัลเบิร์ตจึงหันมาหาทัชธร
“ขอโทษด้วยนะครับคุณทัชธร” ชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
“หึ ไม่เป็นไรครับ คนขี้หึงก็แบบนี้ล่ะ”
“.......?” อัลเบิร์ตทำหน้างง ทัชธรเลยยกยิ้มแต่ไม่ได้ขยายความอะไรมากไปกว่านั้น
“ผมเองก็ต้องขอตัว ปล่อยเด็กๆไว้ที่บ้านนานแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอก เขาว่าจะกลับตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านอัลเบิร์ตแล้ว แต่นึกห่วงอยู่เพราะอัลเบิร์ตมีคนเดียวขณะที่อเล็กซานเดอร์มีคนตามติดมาเป็นโขยง เขาจึงได้รออยู่หน้าบ้านเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
“โอ๊ะ ขอโทษด้วยจริงๆครับ ทำให้คุณเสียเวลาไปด้วยเลย” อัลเบิร์ตกล่าวขอโทษอีกหน เพราะเขาแท้ๆทีเดียวทำให้วุ่นวายกันไปหมด ทัชธรยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไรก่อนเดินกลับไปยังที่พัก
อัลเบิร์ตเม้มปาก หันไปมองทางที่อเล็กซานเดอร์กับบอดีการ์ดเดินไป อเล็กซานเดอร์กลับไปแล้ว ยอมกลับไปอย่างที่เขาต้องการให้ทำ แต่ทำไมเขาไม่เห็นมีความสุขเลย เขาต้องการแบบนั้นจริงหรือ?
ชายหนุ่มถอนใจกับความรู้สึกว้าวุ่นของตนเอง ทุกคนต้องก้าวต่อไป เขาเองก็เช่นกัน ในเมื่อเส้นทางที่มีมันไม่สามารถมาบรรจบกันได้ เขาก็ต้องเดินต่อไปตามทางของตัวเอง หนทางที่ไม่มีใครคนนั้นเดินเคียง...
หลังเที่ยวกันจนหนำใจแล้วครอบครัวของทัชธรก็พากันกลับ ไม่นานจากนั้นเกวนกับลูกและพอล เวสส์ก็กลับไปด้วยเช่นกัน ราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความฝัน พอจะมาพวกเขาก็ยกกันมาในคราเดียว พอจะไปก็กลับกันไปหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน อัลเบิร์ตเองก็กลับมาทำงานให้ตัวเองดูยุ่งอยู่ตลอดเวลา หลายปีที่เขาทำแบบนี้แต่มันก็ยังไม่สามารถลืมคนในความทรงจำได้ลง เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นและผ่านไปเพียงไม่นานนี้เขาจึงต้องการเวลาทำใจ
แต่ไม่ทันที่อัลเบิร์ตจะได้ปรับให้จิตใจตนเองเข้มแข็งขึ้นมาเหมือนเก่า อเล็กซานเดอร์ก็ถูกพามาที่รีสอร์ตอีกหน โดยเจฟฟรี่บอกกับเขาว่าผู้เป็นนายถูกลอบทำร้ายจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน หากปล่อยให้อยู่ที่เฟอร์ริงตันก็กลัวว่าศัตรูจะฉวยโอกาสนี้ทำร้ายอเล็กซานเดอร์เอาอีก บอดีการ์ดหนุ่มจึงได้ขอพามาซ่อนที่นี่เพื่อรักษาตัวให้หาย
อัลเบิร์ตกอดอก เดินวนรอบคนตัวโตที่เจฟฟรี่บอกว่าสูญเสียความทรงจำ มองและมองคนนั่งเหม่อลอยอย่างสำรวจ ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนบอดีการ์ดของตน
“พากลับไปเถอะเจฟฟ์ ฉันคงช่วยดูแลเขาไม่ได้”
เมื่ออัลเบิร์ตบอกมาเช่นนั้นเจฟฟรี่ก็รีบกดไหล่ผู้เป็นนายเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายจะขยับลุก แผนจะแตกก็เพราะเจ้านายของเขาวู่วามนี่ล่ะ
“พากลับไปไม่ได้ ที่โน่นอันตราย” เจฟฟรี่ตีสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่นี่ก็อันตรายเจฟฟ์” อัลเบิร์ตเสียงเข้ม มองหน้าเพื่อนนิ่ง “ไม่มีที่ไหนไม่อันตรายหรอก โดยเฉพาะที่นี่ ฉันไม่อยากให้คนสำคัญของฉันพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“นายจะแล้งน้ำใจขนาดนั้นเลยหรืออัลเบิร์ต เวลาไม่กี่ปีเปลี่ยนนายไปถึงขนาดนี้เลยหรือ?” เจฟฟรี่ตัดพ้อแทนผู้เป็นนาย ถูกไล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้หากเป็นเขาก็คงทนไม่ไหว
“อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งนั้นล่ะ” อัลเบิร์ตตอกกลับอย่างไร้เยื่อใยแล้วไล่ซ้ำ
“พาเขากลับไป” ร่างสูงทิ้งท้ายก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
“เออ! อยากให้ไปก็จะไป ไล่อยู่ได้!!”
อัลเบิร์ตชะงักเท้า หันกลับมามองทางต้นเสียงพร้อมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง เจฟฟรี่กุมหัว อยากจะตบกะโหลกตัวเองแรงๆเสียหลายๆที ส่วนอเล็กซานเดอร์ที่เพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็แสร้งทำเฉยเสีย
“คนเขาไม่ต้อนรับก็กลับเถอะเจฟฟรี่”
เขาประชดไปแบบนั้นแต่อีกคนกลับพูดมาเพียงสั้นๆว่า...
“เชิญ”
อเล็กซานเดอร์กัดฟันกรอดแล้วเดินตึงตังออกไป เจฟฟรี่ถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อหันมาเห็นอัลเบิร์ตมองอย่างคาดโทษบอดีการ์ดหนุ่มก็ยักไหล่
“ฉันไม่ใช่คนคิดแผน” รีบปฏิเสธให้ความผิดมันพ้นตัว
“ทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง เจ้าเล่ห์พอกันนั่นล่ะ”
“เฮ้ อย่าเหมารวมน่า ถ้านายจะคิดแบบนั้นล่ะก็ช่วยโทษคนต้นคิดด้วย” บอดีการ์ดหนุ่มแก้ตัวเสียงรัว เรื่องอะไรเขาต้องรับความผิดไว้คนเดียว
“มันก็พอกันนั่นล่ะ แผนของใครฉันไม่สน ที่ฉันสนคือพวกนายหลอกฉัน”
“..........” เจฟฟรี่กลอกตามองสูง พลางบ่นในใจ ตายละกู
“ฉันรู้ว่านายหวังดีนะเจฟฟ์ แต่ถ้าอเล็กซานเดอร์ยังไม่รู้จักคำว่าใจเขาใจเรา ต่อให้ฉันกลับไปกับเขาอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งฉันก็ต้องหาทางหนีอีกอยู่ดี”
“นายก็สอนเขาสิ”
“เลิกคิดถึงเรื่องนั้นไปเลย เขาเชื่อฉันที่ไหน”
“ไม่ เขาเชื่อนายนะ เชื่อฟังทุกอย่าง”
“ไม่มีทาง”
เจฟฟรี่จะอ้าปากคำต่อกับเพื่อน แต่สุดท้ายก็หุบลงแล้วถอนใจแทน “เฮ้อ เมื่อไรพวกนายจะเดินให้ตรงทางเสียที มัวอ้อมไปอ้อมมา หรือจะรอให้ลูกของฉันกับปอนด์โตก่อนหา?”
“พวกนายมีลูกกันได้ด้วยหรือไง?” หางตาอัลเบิร์ตปรายมอง
“มีแน่ จะแซงหน้าพวกนายให้ดู” เจฟฟรี่ยักคิ้วกวนก่อนจะเดินออกไปหาผู้เป็นนายที่หน้าบ้าน
อเล็กซานเดอร์ยืนทำเท่อยู่หน้าบ้าน พอเห็นอัลเบิร์ตเดินตามเจฟฟรี่ออกมาก็ทำเป็นเบือนไปทางอื่น อัลเบิร์ตกอดอกมองเฉย เมื่ออีกฝ่ายก้าวออกจากหน้าบ้านไปเขาก็ส่ายหน้า ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้
“ไหนนายบอกว่ามันจะได้ผลไงเจ้าเตี้ย?”
เมื่อขึ้นรถมาอเล็กซานเดอร์ก็โทรไปโวยคนต้นคิด ปอนด์ที่กลับมาทำงานที่อังกฤษแล้วตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพัก แอบเบ้ปากใส่คนปลายสายผ่านโทรศัพท์ที่รู้เวลาโทรเสียจริง
“เรียกเตี้ยอีกคำเดี๋ยวบินไปเตะปากถึงที่เลย” คนถูกเรียกว่าเตี้ยพูดผ่านสายมาเสียงเขียว
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง แผนนายมันไม่ได้เรื่อง” อเล็กซานเดอร์ปรามาส ได้ยินเสียงคำรามในลำคอลอดมาตามสาย
“คนไม่ได้เรื่องมันนายมากกว่าอเล็กซานเดอร์ แผนการง่ายๆยังทำเสียเรื่องได้ ห่วย!”
“ให้มันน้อยๆหน่อย อย่าคิดว่าเป็นเพื่อนอัลเบิร์ตแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรนายนะ”
“นึกว่ากลัว? เห็นว่าตัวใหญ่กว่าเลยข่มใหญ่เลยนะ ฉันไม่ช่วยนายแล้ว เชิญนอนแห้งเหี่ยวเฉาตายอยู่ที่เฟอร์ริงตันคนเดียวเถอะ!!”
“เฮ้ย!!”
ตื้ด ตื้ดวางสายไปแล้ว ร่ายยาวแล้วก็วางสายใส่ อเล็กซานเดอร์ได้แต่ขัดใจ เจ้าเตี้ยนั่น!
โทรศัพท์ถูกโยนไว้บนเบาะข้างๆ สีหน้าอเล็กซานเดอร์ดูไม่สบอารมณ์ เจฟฟรี่ที่นั่งคู่คนขับเหลือบมามองผู้เป็นนายแล้วยิ้มมุมปาก คิดจะต่อกรกับปอนด์คงต้องไปฝึกฝีปากมาใหม่ เขาเป็นคนขอให้ปอนด์ช่วยอเล็กซานเดอร์ ปอนด์ดูไม่อยากช่วยเท่าไร แต่พอยกอัลเบิร์ตมาอ้างหนุ่มตัวเล็กจึงยอมแนะวิธีให้
“มีแต่วิธีนี้ที่จะทำให้คุณเข้าใกล้อัลเบิร์ตได้โดยไม่ถูกตะเพิดกลับ สนใจไหมล่ะ? หรือจะเดินเทิ่งๆเข้าไปหาเขาเลยก็ได้นะ แต่ผมรับรอง คุณจะไม่ได้อัลเบิร์ตกลับมาด้วยแน่”อเล็กซานเดอร์นึกถึงคำพูดที่ปอนด์เคยบอกพร้อมรอยยิ้มเย้ย คำพูดแค่นั้นเขาก็หลงเชื่อปอนด์แล้ว เขานี่มันโง่จริง ชายหนุ่มได้แต่เข่นเขี้ยวเจ้าเตี้ยตัวแสบอยู่ในใจ เมื่อตนยอมก้าวเข้าไปในบ่วงของเจ้าขนมปังปอนด์จนโดนอัลเบิร์ตเกลียดขี้หน้ามากกว่าเดิม
นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอเล็กซานเดอร์ก็ต้องขยับมานั่งตัวตรงระวังภัยเมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มส่ายแปลกๆขณะอยู่บนถนนที่ค่อนข้างลาดชัน หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อเอ่ยถามลูกน้องมือขวา
“รถเป็นอะไรเจฟฟ์?”
คนขับหันมามองหน้าเจฟฟรี่ สีหน้าบอดีการ์ดหนุ่มเครียดขึ้นมาเมื่อหันกลับมารายงานผู้เป็นนายเพียงสั้นๆ
“ท่าจะแย่”
รถเริ่มส่ายมากขึ้น คนขับพยายามบังคับรถไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางเพราะถนนมันลาดชันอย่างที่ว่า ก่อนไปที่นับตะวันเขาตรวจสภาพรถดีแล้วแท้ๆ ไม่นึกว่ามันจะเกิดเหตุเช่นนี้
เจฟฟรี่ตัดสินใจจับพวงมาลัยรถแทนคนขับ มันไม่ถนัดเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงบอกคนขับรถให้ปีนข้ามไปเบาะหลังเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต สิงห์นักซิ่งอย่างเขาจะจัดการมันเอง...
ขณะเดียวกันอัลเบิร์ตก็กำลังทำงานของตนอยู่ที่รีสอร์ต ใจมันหวิวๆไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไรโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งเสียงวี้ดของพนักงานหญิงดังมาเรียกความสนใจจากเขา ภาพที่เขาเห็นคือเจฟฟรี่วิ่งหน้าตื่นเข้ามา เนื้อตัวเปรอะด้วยเลือด เพียงเท่านั้นหัวใจของอัลเบิร์ตก็แทบหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้า...
อัลเบิร์ตมาที่โรงพยาบาลเมื่อเจฟฟรี่ไปส่งข่าว เขาให้เพื่อนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยตามไป สภาพของเจฟฟรี่มันพาให้เขาหดหู่ แพทย์ผู้ทำการรักษายังไม่ออกจากห้องผ่าตัดมาบอกกล่าวอะไรเลย อัลเบิร์ตที่รออยู่หน้าห้องก็ได้แต่ร้อนรนทำอะไรไม่ถูก
ปอนด์โทรมาหาเพราะรู้ข่าวจากเจฟฟรี่ อัลเบิร์ตบอกสถานการณ์ตอนนี้ด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ปอนด์บอกจะถือสายเป็นเพื่อนจนกว่าอเล็กซานเดอร์จะปลอดภัย อัลเบิร์ตได้แต่ขอบคุณที่ในสถานการณ์นี้แม้ปอนด์ไม่ได้อยู่ด้วยเขาก็ยังอุ่นใจได้
การรักษาเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เจฟฟรี่ตามมาสมทบที่หน้าห้องผ่าตัด อัลเบิร์ตกำโทรศัพท์แน่น เฝ้าภาวนาขออย่าให้อีกคนเป็นอะไรไป เขาไม่รู้ว่าอเล็กซานเดอร์เจ็บหนักมากแค่ไหน เพราะเจฟฟรี่เพียงบอกว่ารถคว่ำและอเล็กซานเดอร์ถูกนำส่งโรงพยาบาล เพื่อนบอดีการ์ดของเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน แต่ไม่หนักเท่า
หลังจากปล่อยให้ญาติคนเจ็บรออยู่นานเนิ่น ที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รับข่าวดี เมื่อการรักษาเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ยังต้องรอสี่สิบแปดชั่วโมงเพื่อดูอาการก่อนถึงจะสามารถย้ายไปพักที่ห้องปรกติได้ รู้เพียงเท่านั้นก็ทำให้อัลเบิร์ตใจชื้นขึ้นมามากแล้ว ชายหนุ่มยกโทรศัพท์แนบหู ก่อนบอกเพื่อนตัวเล็กว่าอเล็กซานเดอร์พ้นขีดอันตรายแล้ว
อัลเบิร์ตกลับมาที่โรงพยาบาลอีกหนในวันที่ครบกำหนดให้เข้าเยี่ยมได้ อเล็กซานเดอร์ถูกพามาพักที่ห้องพิเศษตามความจำนงของเขาเมื่ออาการไม่มีอะไรน่าห่วง เมื่อมาถึงคนป่วยก็กำลังอาละวาดได้ที่ อัลเบิร์ตเปิดประตูเข้ามาด้วยความตกใจกับเสียงโวยวาย เมื่อคนเจ็บบนเตียงหันมาเห็นเขาก็รีบบอก
“ไล่พวกมันออกไป อย่าให้มายุ่งกับฉัน!!”
คิ้วอัลเบิร์ตขมวด ฟื้นขึ้นมาก็ออกฤทธิ์เลยหรือนี่
“อเล็กซ์ คุณหมอจะตรวจอาการให้ อยู่เฉยๆก่อน” ชายหนุ่มพยายามตะล่อม
“ฉันไม่เป็นอะไร ฉันหายดีแล้ว!!” อีกฝ่ายกลับมองนายแพทย์ผู้ทำการรักษากับพยาบาลที่เข้ามาดูอาการเสียตาขวาง ทั้งหมดจึงได้ยกโขยงกันออกมาจากห้อง
คุณหมอเชิญอัลเบิร์ตที่อยู่ในฐานะญาติคนไข้ไปคุยกันถึงเรื่องดังกล่าวกับสภาวะเสี่ยง ดูเหมือนคนไข้จะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง ช่วงนี้คงหงุดหงิดที่จำอะไรไม่ได้เลยพาลไปทั่ว อัลเบิร์ตที่ได้ฟังคุณหมอบอกเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งค้าง นี่เรื่องจริงหรือ อเล็กซานเดอร์แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมจนสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ความจำเสื่อมจริงๆเสียอย่างนั้น
“คุณคงต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดสักหน่อยนะครับ เพื่อฟื้นฟูความทรงจำที่คนไข้สูญเสียไปในบางส่วน หมอคาดว่าไม่นานก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ครับ” คุณหมออธิบายด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี อัลเบิร์ตยิ้มเจื่อนก่อนบอกขอบคุณท่าน
หลังอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลได้ไม่นานอัลเบิร์ตก็ต้องพาคนเจ็บหัวดื้อกลับมาพักที่รีสอร์ต เพราะอเล็กซานเดอร์ไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่พอให้กลับมาอยู่ร่วมบ้านอัลเบิร์ตก็ชักเครียด เพราะอเล็กซานเดอร์ตามติดไปไหนไปด้วย เจฟฟรี่ก็ไม่ได้อยู่ช่วยเขาเพราะต้องกลับเฟอร์ริงตันไปสะสางงานที่มันยุ่งเหยิงแทนผู้เป็นนาย คงสักพักใหญ่ๆถึงจะได้กลับมา
อัลเบิร์ตถอนใจหนักหน่วง มองคนตัวโตที่ทำตัวติดกับเขาทุกวันแล้วก็เหนื่อยใจ ลูกน้องของเจฟฟรี่ยังทำหน้าที่คอยคุ้มกันผู้เป็นนาย อัลเบิร์ตให้ทุกคนเปลี่ยนชุดมาใส่ชุดธรรมดาแทนสูทสีโทนเข้มให้หมด มันดูไม่เจริญตาเอาเสียเลยในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเช่นนี้ แขกไปไทยมาได้ตกใจกลัวกันบ้าง แต่ละคนตัวใหญ่ยักษ์ไม่ต่างกันเลยแบบนี้ ซึ่งทุกคนก็ไม่มีใครปฏิเสธความคิดของอัลเบิร์ต ก็รู้อยู่ว่าคนๆนี้เป็นใคร
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง เดินตามผมอยู่ได้” อัลเบิร์ตเอ่ยถามคนตัวโตที่เดินตามตนเองต้อยๆ ตัวสูงใหญ่นั่นเดินไปไหนก็เด่นจนเขาตกเป็นเป้าสายตาไปด้วยทุกที
“ก็ฉันรู้จักนายแค่คนเดียว”
คำตอบที่ได้รับทำให้อัลเบิร์ตถอนใจอีกที “รออยู่บ้านเป็นไหมครับ?”
“เบื่อ”
หนุ่มเจ้าของรีสอร์ตกลอกตาหน่ายใจ เขาถามว่าตามเขาไม่เบื่อบ้างหรือกลับตอบไปอีกทาง พอบอกให้รออยู่บ้านก็ว่าเบื่อ จะเอาอย่างไรกับเขากันแน่
“ถ้าอย่างนั้นอยากเปลี่ยนจากมาเฟียใหญ่มาเป็นพนักงานรีสอร์ตบ้างไหม?” ร่างสูงหยุดเดิน หันกลับมามองคนตัวโตที่หยุดตามเขาแล้วเอ่ยถาม
“ขี้เกียจ” อเล็กซานเดอร์ไหวไหล่
“อเล็กซานเดอร์!” อัลเบิร์ตกระแทกเสียง ทำไมเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกวนโมโหมากขึ้น คนอะไรแบบนี้
“กลับบ้านเลยถ้าอย่างนั้น กลับ ไป รอ ที่ บ้าน” อัลเบิร์ตเน้นทีละคำท้ายประโยคอย่างพยายามข่มอารมณ์ จะทนไม่ไหวแล้วนะ!
นัยน์ตาสีฟ้ามองเขานิ่ง สีหน้าเรียบเฉยไม่รู้คิดอะไร ก่อนร่างสูงใหญ่จะหันกลับแล้วเดินกลับบ้านอย่างที่เขาบอก อัลเบิร์ตเลิกคิ้วแปลกใจ สั่งได้ด้วยแฮะ
-------------
ต่อด้านล่างค่ะ