หัวใจซ่อนรัก
ตอนที่ ๔ ตอกย้ำซ้ำรักให้หักใจ
ท่าทีของอัลเบิร์ตที่ดูคล้ายมีเรื่องไม่สบายใจทำให้เกวนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดต้องเอ่ยถามไถ่ อัลเบิร์ตรู้สึกขอบคุณในน้ำใจ แต่สิ่งที่เขากังวลมันคือเรื่องที่บอกใครไม่ได้ โดยเฉพาะเธอ
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง” ชายหนุ่มยิ้มบาง เอ่ยบอกเธออย่างขอบคุณจากใจจริง
เกวนถอนใจเบา “ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกนะคะ”
หญิงสาวยังอดห่วงไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอกับอัลเบิร์ตก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว ทั้งยังอยู่ด้วยกันตลอด แม้จะเป็นเพียงการทำหน้าที่บอดีการ์ดของอัลเบิร์ตก็ตาม แต่นั่นมันก็คงพอเป็นเหตุผลให้เธอห่วงใยคนใกล้ตัวได้ไม่ใช่หรือ
“มิสเจฟเฟอร์สันครับ” อัลเบิร์ตเอ่ยเรียกอีกฝ่าย “อีกสัปดาห์จะมีคนใหม่มาเปลี่ยนกับผมนะครับ”
“อะไรกัน ทำไมต้องให้คนอื่นมาด้วย” ใบหน้าสวยมุ่ยลง เธอเริ่มสนิทกับอัลเบิร์ตแล้วแท้ๆ คราวนี้เฟอร์ริงตันจะให้คนอื่นมาแทน เพราะอะไรไม่รู้ล่ะ แต่ที่รู้แน่ๆคือเธอต้องเริ่มปรับตัวใหม่กับการต้องมีคนแปลกหน้าคอยติดตามเธอ
“มันเป็น...”
“เป็นคำสั่งน่ะครับ” เกวนดักอย่างรู้ทัน อย่างนี้ทุกที
“ครับ” อัลเบิร์ตอมยิ้มเล็กน้อยอย่างยอมรับตามนั้น เกวนค้อนให้บอดีการ์ดหน้านิ่งที่ตอนนี้กำลังยิ้มขำเธอ
“เอาเถอะ พวกเขาทำอะไรไม่ปรึกษาฉันอยู่แล้วนี่นา”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนะครับ”
“รู้แล้ว” หญิงสาวเน้นเสียงแล้วถอนใจอีกเฮือก เหตุผลนี้เธอฟังมาตั้งกี่รอบแล้ว เพื่อความปลอดภัย
ร่างเพรียวผละไปเตรียมข้าวของ วันนี้เธอก็ยังต้องออกไปข้างนอก เพื่อไปยังสถานที่ที่เธอจะเปิดร้าน งานนี้ไม่มีนักออกแบบตกแต่งใดๆ เพราะอยากประหยัดต้นทุนเธอจึงจะเป็นคนออกแบบมันเอง โดยมีอัลเบิร์ตคอยช่วยเหลือ เรื่องนี้เกวนคิดเองทำเองทุกอย่าง ครอบครัวของเธอไม่มีใครเห็นดีด้วยสักคน มารดาของเธอก็ไม่สนับสนุนสักนิด ชอบพูดจากระทบกระเทียบในสิ่งที่เธอทำบ่อยๆ
“จะไปไหนอีกล่ะเกวน?”
ขณะที่กำลังให้คนช่วยยกของขึ้นรถอยู่มารดาของเกวนที่เดินออกมาเจอจึงเอ่ยถาม สายตาหญิงสูงวัยกวาดมอง ลูกสาวของนางไม่อยู่นิ่งจริงๆเชียว
“ไปตึก LC ค่ะแม่” หญิงสาวบอก มารดาของเธอทำตาโต
“อย่าบอกนะว่าลูกจะเปิดร้านบ้าบออะไรนั่น รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่นกันพอดี” เจ้าหล่อนจีบปากจีบคอว่า
“อายทำไมคะ หนูทำงานสุจริต” หญิงสาวโต้มารดาน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ยังจะมาพูด ลูกกำลังจะหมั้นกับอเล็กซานเดอร์ ทายาทธุรกิจการเงินเฟอร์ริงตันใครๆเขาก็รู้ แล้วอยู่ๆจะไปทำงานงกๆเพื่ออะไร เขาได้ตราหน้ากันพอดีสิว่าลูกแม่ถูกทิ้ง แล้วอีกอย่างนะ ตระกูลเราเป็นผู้ดีเก่า ออกจะมั่งมีทำไมต้องทำงานชั้นต่ำแบบนั้น”
เกวนล่ะอยากบอกจริงว่าคำว่ามั่งมีที่มารดาใช้มันคือเรื่องของอดีต เพราะตอนนี้ครอบครัวของเธอใช้คำนี้ไม่ได้แล้ว แต่นั่นมันคงเป็นการหักหน้ามารดา เธอจึงยั้งปากเอาไว้แล้วตัดบท
“งานชั้นต่ำที่แม่ว่ามันไม่ได้เงินหรือคะ หนูว่าเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า”
“เกวน!”
“แม่คะ แม่ให้ครอบครัวเราพึ่งพาเฟอร์ริงตัน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะหมดประโยชน์สำหรับเขาอย่างนั้นหรือ จะพึ่งเขาได้สักแค่ไหนกันเชียว ถ้าเราหมดประโยชน์เขาก็เขี่ยทิ้งเท่านั้น” หญิงสาวให้เหตุผล ให้มารดาของเธอมองในแง่ความเป็นจริง ไม่ใช่ปิดหูปิดตาเชื่อเฉพาะในสิ่งที่อยากเชื่อ
“มันไม่มีวันนั้นถ้าลูกเอาใจอเล็กซานเดอร์ให้มากๆเข้า เรายังมีข้อดีเด่นเยอะแยะ”
เบื่อที่จะฟังมารดาพูดกรอกหูเต็มที เกวนจึงได้พยักหน้าชวนอัลเบิร์ตให้ออกไปกัน อัลเบิร์ตค้อมตัวให้มารดาของหญิงสาวเมื่อเดินผ่านนางไป
“เกวน ฟังที่แม่พูดหรือเปล่า กลับมานี่นะ!”
เสียงหวีดของมารดาไม่ได้ทำให้เกวนหยุด หญิงสาวก้าวขึ้นรถ อัลเบิร์ตปิดประตูให้เธอก่อนประจำที่คนขับเหมือนเคย บอดีการ์ดหนุ่มเหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นหญิงสาวนั่งกุมขมับท่าทางเครียด
“ไม่เห็นเข้าใจสังคมคนรวยเลย” เธอเปรยขึ้นมา อัลเบิร์ตไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เธอคงอยากระบาย
เมื่อก่อนเกวนก็เป็นแบบนั้น คำว่าสังคมมันค้ำคอ การมีหน้ามีตา การแข่งขันกันในสังคม เรื่องเงินทองมาเป็นที่หนึ่ง อวดร่ำอวดรวย ในวันนี้ที่เธอคิดได้สิ่งเหล่านั้นมันกลับดูน่าสมเพช เข้าใจดีว่าครอบครัวของเธอจมไม่ลงเพราะเธอก็เคยเป็น แต่นับวันบุญเก่าที่บ้านเธอมีก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยแล้วรอแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นในขณะที่สมบัติร่อยหรอ สุดท้ายแล้วเรื่องภายในก็คงถูกเปิดเผยในไม่ช้า เธออยากทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้ครอบครัวเธอยืนหยัดได้แม้จะเล็กน้อยก็ตาม
“ฉันก็รวยนี่เนอะ” เธอว่าอีก สีหน้าหม่นหมอง
เมื่อนึกถึงการหมั้นที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เธอก็อดยอมรับไม่ได้ว่าอเล็กซานเดอร์เป็นที่หมายปองของใครหลายคน รวมทั้งเธอเองก็ด้วย แม้ใจหนึ่งจะยินดีที่ถูกเลือก แต่อีกใจก็หดหู่เมื่อรู้สึกว่าตนเองราวสิ่งของที่จะหยิบโยนให้ใครก็ได้
“คาร์ลคะ”
“ครับ”
“พาหนีหน่อยสิ”
“ครับ!?” อัลเบิร์ตตกใจ ขณะที่เกวนหัวเราะขบขัน
“ล้อเล่น ถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้หรอก... เฮ้อ ไร้สาระจังฉัน”
น้ำเสียงหญิงสาวซึมลง อัลเบิร์ตเองก็ลอบถอนใจด้วยความโล่งอกที่เธอเพียงล้อเล่น เกวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
“ฉันชอบเขานะ ... อเล็กซานเดอร์น่ะ”
ใจอัลเบิร์ตกระตุกแรง น้ำเสียงแผ่วหวิวของเกวนมันช่างบีบหัวใจจนรู้สึกเจ็บหน่วงในอก ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เหมือนเรี่ยวแรงมันหดหาย คำถามมากมายเกิดขึ้นมาและจบลงที่คำว่าเขากำลังทำอะไรอยู่...?
สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันผิดพลาด มันไม่ได้มีแค่เขาที่เจ็บ หนำซ้ำมันยังทำให้ผู้หญิงคนนี้เจ็บยิ่งกว่าหากเธอรู้ความจริง ราวเป็นห่วงโซ่ของความเจ็บปวดที่จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่นั้นอยู่ที่คนๆเดียว
อัลเบิร์ตผ่อนลมหายใจยาวเมื่อนิ่งคิดแล้วตัดสินใจ ห่วงโซ่ที่มันผูกทุกคนเอาไว้เขาจะต้องจบมัน แม้จะเป็นจุดเล็กๆในห่วงโซ่ไม่มีผลกระทบที่จะทำให้ห่วงนั้นกระเพื่อมไหวจนขาดสะบั้น แต่มันคงทำให้ความรู้สึกหนักหน่วงในใจนี้หายไปเสียที อาจดูขี้ขลาด คล้ายว่าหนีปัญหา แต่เขาอยากทำ อยากจบมันลงด้วยตนเอง
---------------------
ห้องนอนของพิชญในค่ำคืนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ออกจากห้องไปหลังตื่นขึ้นมากลางดึก เขาเผลอหลับในห้องของเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสียได้ เมื่อเสียงประตูปิดลงพิชญก็ค่อยลืมตาขึ้นมา ภายใต้ความมืดสลัวมือเรียวกำผ้าห่มแน่น เจ็บใจตัวเองที่เสียท่าอีกแล้ว เสียงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งทำให้เด็กหนุ่มขว้างหมอนไปโดยไม่ดูว่าใครที่ไหนมา เขากำลังพาล อยากทำลายทุกสิ่งอย่างในราบหากทำได้
“ว๊าย!!”
เสียงร้องของผู้หญิงทำให้เด็กหนุ่มชะงัก มองร่างอวบอิ่มที่เดินนวยนาดเข้ามาด้วยความไม่ถูกชะตา ยิ่งอีกฝ่ายเปิดปากพูดพิชญยิ่งอยากหาอะไรไปอุดมัน ไม่มีคำไหนที่ฟังรื่นหูสักนิด มีแต่ถ้อยคำดูถูกถากถาง เด็กหนุ่มต่อปากต่อคำกับเจ้าหล่อนอยู่หลายยกก่อนจะไล่ออกจากห้อง ยังมีเสียงหวีดร้องแหลมเล็กจนปวดแก้วหูก่อนเจ้าของเสียงจะตึงตังออกไป เด็กหนุ่มถอนใจยาวก่อนทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าซุกหมอน
เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากบาง ตัดพ้อคนที่ทำให้ชีวิตตนเองเป็นแบบนี้ ก่อนจะร้องตะโกนอย่างอัดอั้น กำหมัดทุบหมอนอย่างขัดเคือง แล้วนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมาอีกหน เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งก่อนจะหันกลับไปด่าผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยความหงุดหงิด แต่กลับต้องชะงัก เมื่อผู้ที่ก้าวเข้ามาคือชายสูงวัยผมแซมสีดอกเลากับบอดีการ์ดตัวใหญ่ยักษ์ เด็กหนุ่มนิ่งค้าง กลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ ใครกันอีกล่ะนี่!???
“พิชญสินะ?”
น้ำเสียงทรงอำนาจในความรู้สึกเอ่ยถาม เจ้าของชื่อกะพริบตาปริบก่อนตอบรับด้วยความมึนงงปนหวาดหวั่น
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ลำบาก คงอยากกลับบ้านสินะ”
น้ำเสียงเดิมยังคงเอ่ยถามเขามา มันก็ใช่ที่เขาอยากกลับบ้าน แต่คุณลุงคนนี้จะพาเขากลับหรือ?
“ฉันจะส่งเธอกลับบ้าน... พร้อมค่าทำขวัญ”
พิชญออกจะดีใจกับประโยคแรก แต่ประโยคปิดท้ายกลับทำเขาคอแข็ง ค่าทำขวัญคืออะไร จะเอาเงินฟาดหัวกันหรือ? บุคคลตรงหน้าน่ากลัว แต่พิชญก็ยังแผลงฤทธิ์ไม่กลัวตาย
“ถ้าลุงจะเอาเงินฟาดหัวก็ไม่ต้อง! ลุงคงไม่รู้จักคำว่าเห็นอกเห็นใจผู้อื่นถึงได้มองว่าจะเอาเศษเงินฟาดหัวแล้วเรื่องก็จบ!”
บอดีการ์ดร่างยักษ์ขยับกาย พิชญผงะถอย แววตาหวาดหวั่นแต่ยังไม่ยอมลงให้ วิคเตอร์ยกมือห้ามคนของตนทำให้หนุ่มร่างยักษ์เหล่านั้นหยุดนิ่ง
“ฉันจะให้คนของฉันไปส่งเธอก็แล้วกัน” วิคเตอร์บอกเช่นนั้น ไม่ยกประเด็นที่เด็กหนุ่มด่าทอมาต่อยอด ชายชราเหลือบสายตามองด้านหลังก่อนเอ่ยเรียกใครอีกคนเข้ามา
“อัลเบิร์ต”
พิชญมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาเสริมอีกคน หัวคิ้วขมวดมุ่น เมื่ออีกฝ่ายเงยขึ้นมาสบตาเด็กหนุ่มก็ชะงัก แววตาที่มองมานั่นต้องการสื่ออะไร?
“ฝากจัดการพาเด็กคนนี้ไปส่งให้ถึงที่ด้วย”
วิคเตอร์ออกคำสั่ง อัลเบิร์ตรับคำและพร้อมจะทำตาม การที่วิคเตอร์เรียกตัวกลับและส่งคนอื่นไปทำหน้าที่ดูแลเกวนแทนก็เพื่อการณ์นี้เองหรือ ถึงจะคิดเช่นไรอัลเบิร์ตก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องเป็นเขาที่พาพิชญกลับไทย
หลังสั่งการแล้ววิคเตอร์และคนอื่นก็ออกจากห้องไป อัลเบิร์ตจึงบอกเด็กหนุ่มให้รีบเตรียมตัว เพราะจะต้องออกเดินทางกันภายในคืนนี้เลย หากชักช้าเรื่องรู้ถึงหูอเล็กซานเดอร์มันคงไม่ง่ายที่จะพาพิชญออกไปจากที่นี่
“คุณ”
พิชญเอ่ยเรียกอัลเบิร์ตที่เดินนำหน้าตนเองไปยังรถที่จอดรอท่าอยู่ อัลเบิร์ตเหลียวกลับมามองเด็กหนุ่ม ขณะที่ขายาวยังก้าวต่อโดยไม่หยุดรอ
“จริงๆผมกลับเองก็ได้นะ”
“ถ้าผมไม่พาไปคุณอาจจะออกจากที่นี่ไม่ได้ เพราะตอนที่คุณมาไม่ได้มีเอกสารอะไรยืนยันตัวตนของคุณสักอย่าง”
สิ่งที่อัลเบิร์ตพูดมานั่นก็ถูก เขาถูกลักพามานี่นะ ถ้าถูกตรวจคนเข้าเมืองคงถูกจับเข้าคุกกลับบ้านไม่ได้แน่ แค่คิดเด็กหนุ่มก็ซึมลงไป ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
“คุณไม่เป็นไรนะ?” อัลเบิร์ตเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มไม่สู้ดีนัก
“พวกเขาเห็นชีวิตคนๆหนึ่งเป็นอะไร นึกอยากจะจับตัวมาก็ทำ อยากทำร้ายยังไงก็ได้ อยากจะผลักไสก็ไม่เคยลังเล บ้าชะมัด”
พิชญน้ำตาคลอ รู้สึกเจ็บใจ เจ็บปวด ปนเปกันเต็มไปหมดจนอธิบายไม่ถูก อัลเบิร์ตมองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
“อเล็กซานเดอร์ ไอ้คนเลว...”
อัลเบิร์ตชะงักกับเสียงพึมพำของอีกฝ่าย มองพิชญใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตาแล้วสูดจมูกแรงๆ เด็กหนุ่มคนนี้เอ่ยถึงเพียงอเล็กซานเดอร์ แววตาที่อีกฝ่ายมีมันไม่ได้ต่างจากที่เขาเป็น อัลเบิร์ตนิ่งงันเมื่อคิดว่าเด็กพิชญคนนี้อาจจะมีใจกับอเล็กซานเดอร์ มุมปากบอดีการ์ดหนุ่มเหยียดออกเล็กน้อย รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาครามครัน เขาต่างมีใจให้กันก็ดีแล้วนี่
“ผมขอโทษแทนพวกเขาด้วย” อัลเบิร์ตเอ่ยบอก อยากปลอบใจแต่ไม่รู้จะใช้ถ้อยคำไหนดี เพราะตอนนี้หัวใจตนเองยังปลอบประโลมให้มันหายเจ็บไม่ได้เลย
“คุณจะมาขอโทษแทนทำไม บ้ารึเปล่า!?” พิชญแหว “ถ้ากลัวผมจะเหมารวมว่าคุณเลวด้วยก็ไม่ต้อง เพราะผมแยกแยะออกว่าคุณมันแค่ลูกน้อง ต้องก้มหน้าทำตามหน้าที่ที่เขาสั่ง ตาผมไม่ได้บอดถึงจะมองไม่ออกว่าคุณไม่เต็มใจ!”
น้ำเสียงแว้ดๆนั่นอัลเบิร์ตเพียงแต่นิ่งมอง พอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอเล็กซานเดอร์ถึงได้สนใจเด็กคนนี้
“คุณเป็นเด็กดีนะ สักวันคงได้พบกับคนดีๆที่เหมาะสมกับคุณ”
คิ้วพิชญขมวดกับคำพูดของบอดีการ์ดตัวโต เขาไม่ชอบคนที่พูดจาทำนองนี้เลย แต่จะด่าก็ด่าไม่ออก ทำไมแววตาหมอนี่ถึงได้เศร้าหมองแบบนี้กันนะ? แต่ก็อย่างว่า... อยู่กับพวกคนแบบนั้นถ้ามีความสุขก็แปลกแล้ว พิชญได้แต่ค่อนแคะในใจ
หลังจากไปถึงสนามบินที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของเฟอร์ริงตัน กัปตันรอทั้งคู่อยู่ก่อนแล้วเพราะได้รับคำสั่งด่วนจากวิคเตอร์ ทั้งสองคนขึ้นไปบนเครื่อง ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบไม่ได้คุยอะไรกันอีก จมอยู่ในภวังค์ของแต่ละคนจนกระทั่งไปส่งพิชญถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
-------------------
เมื่อกลับมาถึงเฟอร์ริงตัน อัลเบิร์ตก็ต้องพบศึกหนัก เมื่ออเล็กซานเดอร์ตามหาพิชญไม่พบและได้ไปเอาเรื่องกับบิดามาแล้วนั้นล่วงรู้ว่าคนที่พาพิชญไปจากเขาคืออัลเบิร์ต ชายหนุ่มหาที่ลงไม่ได้ความผิดทุกอย่างจึงถูกโยนมาให้บอดีการ์ดหน้าซื่ออีกหน
ร่างสูงเซถลาตามแรงเหวี่ยงของผู้เป็นนาย หันกลับมามองสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายแล้วอัลเบิร์ตก็พยายามทำใจดีสู้เสือ แม้เสือนั้นจะไม่คิดเมตตาเขาก็ตาม
“กล้าดียังไงถึงพาเขาไป!” เสียงคำรามก้องทำให้อัลเบิร์ตสะดุ้ง
“ผมก็แค่ทำตามคำสั่ง”
บอดีการ์ดหนุ่มกลั้นใจตอบ ไม่ได้จะปัดความผิดให้พ้นตัว หากแต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นต่างหาก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มดูแคลน
“ไม่มีคำแก้ตัวที่มันดีกว่านี้แล้วใช่ไหม? บอกมาสิว่านายมันพวกขี้อิจฉา จนต้องขี่ม้าสามศอกไปฟ้องวิคเตอร์!!”
สีหน้าอัลเบิร์ตอึ้งกับข้อกล่าวหา เขานี่นะขี่ม้าสามศอกไปฟ้องวิคเตอร์!?
“เพราะนายรู้ไงอัล... นายรู้ว่าวิคเตอร์จะต้องให้พิชญไปถ้ารู้ว่าเขามีความสำคัญกับฉัน!”
ตอกย้ำกันเข้าไป เอาให้เจ็บมากกว่านี้อีก อัลเบิร์ตมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ “ผมไม่รู้ว่าตลอดมาคุณเห็นผมเป็นคนยังไง แต่ถ้าคุณจะคิดแบบนั้นผมคงไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ร่างสูงจะก้าวหนี แต่อเล็กซานเดอร์กระชากกลับแล้วตะคอกดัง “อย่ามาประชดประชัน ฉันไม่ชอบ!”
“แล้วคิดว่าผมชอบหรือไง!”
“....!!” อเล็กซานเดอร์อึ้งไปเมื่ออัลเบิร์ตโต้กลับ
“พอได้แล้วอเล็กซ์! พอสักที!! จะทำร้ายผมไปถึงไหน มันเจ็บ เจ็บตรงนี้จะตายอยู่แล้ว...”
มือเรียวขยุ้มอกข้างซ้าย น้ำตาคลอคลองหน่วยตาอย่างอัดอั้น อเล็กซานเดอร์นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูถือเป็นการหย่าศึก อัลเบิร์ตเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อพ่อบ้านมิลเลอร์เปิดประตูเข้ามา บอดีการ์ดหนุ่มสูดจมูกเบาๆ กะพริบตาเพื่อไล่ความรู้สึกที่มันเอ่อท้น พ่อบ้านมิลเลอร์มองทั้งสองคนเพียงผ่าน ก่อนรายงานเรื่องที่ตนเองได้รับคำสั่งมา
“คุณวิคเตอร์ให้อัลเบิร์ตไปพบครับ” บอกอเล็กซานเดอร์ไปเช่นนั้นเป็นการขออนุญาต
อเล็กซานเดอร์คลายมือที่จับแขนอีกฝ่ายไว้แล้วผินกายไปทางอื่น อัลเบิร์ตจึงได้เลี่ยงออกไป พ่อบ้านมิลเลอร์มองหลานชายที่เดินผ่านตนด้วยแววกังวล ค้อมศีรษะให้อเล็กซานเดอร์ก่อนออกจากห้องตามหลังหลานชายมา
“อัลเบิร์ต...”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ยังไม่ทันที่จะทักถามผู้เป็นหลานก็ตอบกลับมาเช่นนั้น พ่อบ้านมิลเลอร์ได้แต่มองตามอย่างห่วงใย ไม่รู้หรืออย่างไรอัลเบิร์ต ยิ่งบอกว่าไม่เป็นไรก็ยิ่งน่าห่วง เห็นเช่นนี้แล้วพ่อบ้านมิลเลอร์ก็ไม่รู้ว่าหลานชายของตนจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน...
---------------
หน้าคฤหาสน์เฟอร์ริงตัน
เจ้านายหนุ่มกับบอดีการ์ดยืนเผชิญหน้า ดวงตาคนหนึ่งฉายแววบังคับแต่อีกคนกลับดื้อรั้นไม่ยอมทำตาม
“ขึ้นรถ”
คำสั่งจากผู้เป็นนายดังขึ้น แต่คนถูกสั่งกลับไม่ยอมขยับ จะให้เขาไปด้วยทำไมกัน จะไปตามพิชญแล้วจะให้เขาไปเพื่ออะไร คิดบ้างไหมว่าเขาจะเจ็บ หรือต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว บอดีการ์ดหนุ่มได้แต่ตัดพ้อเพียงในใจ เพราะเวลานี้ไม่ได้มีเพียงเขาและอเล็กซานเดอร์ รอบกายยังคงมีคนของเฟอร์ริงตันอยู่เต็มไปหมด
อเล็กซานเดอร์กำลังจะออกเดินทางไปเมืองไทยเพื่อตามเด็กหนุ่มคนนั้นกลับมาอยู่ใต้อาณัติ และเขาที่อยู่ในตำแหน่งบอดีการ์ดข้างกายจำต้องติดตามไปด้วย นั่นคือเหตุผลที่อเล็กซานเดอร์ให้มา อัลเบิร์ตไม่เถียงว่ามันเป็นเช่นนั้น เขาไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงเมื่อมันเป็นหน้าที่ แต่เขาไม่อยากไป
ราวกับจ้องตาวัดใจ สุดท้ายแล้วอัลเบิร์ตก็ต้องทำตามคำสั่ง บอดีการ์ดหนุ่มยอมขึ้นรถไปสนามบินกับผู้เป็นนายพร้อมคนคุ้มกันอีกสามนายรวมทั้งเจฟฟรี่ด้วย ในเมื่อไม่สนใจว่าเขาจะเจ็บจะปวดหรืออะไร เขาก็จะไป อยากตอกย้ำตัวเองให้เจ็บหนักๆ มันจะได้เลิก...รัก...คนๆนี้เสียที
บนเครื่องบินส่วนตัว อเล็กซานเดอร์ได้แต่ปวดหัวกับท่าทีกระด้างกระเดื่องของบอดีการ์ดตน แม้ไม่พูดอะไรแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอม แล้วตอนนี้เขายังมาซ้ำให้มันยิ่งย่ำแย่ ไหนจะตามคนนั้นแล้วยังมาห่วงคนนี้ สิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั่นมันบ้าชัดๆ
เพราะอัลเบิร์ตยอมเขาถึงทำ
เพราะอัลเบิร์ตยอมเขาถึงเยียบย่ำ
โดยไม่นึกถึงว่าถ้าวันหนึ่งอัลเบิร์ตจะไม่ยอมขึ้นมา...
ดวงตาสีฟ้าหันมามองคนที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างกาย คิ้วเข้มขมวดเมื่อนึกไปว่าวันที่อัลเบิร์ตจะไม่ยอม... ตอนนี้มันคงมาถึงแล้วกระมัง
มือหนาเอื้อมมาบีบมือ อัลเบิร์ตชะงัก เบือนสายตามามองมือที่กุมทับอยู่แล้วเงยมองหน้าคนทำที่ยังคงนิ่งเฉย บอดีการ์ดหนุ่มหลุบสายตาลงต่ำ สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีวันย้อนคืน...
-----------------
ต่อด้านล่างค่ะ