บทที่ 109 Ward
วันรุ่งขึ้นหลังจากการแข่งขันจบลงเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เฟี๊ยตจะต้องตื่นขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ชายทั้งสองคนถือโอกาสนั้นในการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเดินทางต่อไปในอนาคต ชายหนุ่มต้องรื้อแผนทั้งหมดใหม่ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเดินทางเมืองต่อเมืองอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ เฟี๊ยตมีธันมาร่วมทีม ซึ่งเขาเองก็ยอมรับได้เลยว่าธันมีความเชี่ยวชาญเรื่องเกมนี้กว่าเขามากนัก ซึ่งนั่นเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะใช้ความรู้ของธันร่นระยะการเดินทางให้ง่ายและตรงเป้าหมายมากขึ้น วันนั้นทั้งวัน จึงกลายเป็นวันที่เขาทั้งสองคนถกปัญหาเกี่ยวกับเกมต่างๆ รวมไปถึงซักถามความเข้าใจต่างๆ มากมาย
เฟี๊ยตตื่นขึ้นในคอนโดคู่ใจของเขาในวันต่อมา โดยทิ้งธันยังใช้ชีวิตในเกมไปอีกร่วมห้าวัน เพราะธันยังไม่ครบกำหนดที่จะตื่นนั่นเอง โดยเขาทั้งสองคนนัดเวลาที่จะนอนหลับในเวลาสองทุ่มตรงของวันนั้น เนื่องจากจะได้เข้าสู่เกมเป็นเวลาพร้อมกันในรอบถัดไป
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้านก่อนจะค่อยๆ แกะตัวเองออกจากเตียงนอนอันแสนจะอ่อนนุ่มนั่น เพื่อลุกขึ้นไปทำกิจวัตรยามเช้า เฟี๊ยตรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยผิดปรกติ เขาไม่รู้ว่าการผจญภัยในความฝันนั่นทำให้เขาเหนื่อยติดพันมาถึงโลกแห่งความเป็นจริงด้วยหรือเปล่า แต่ ณ ตอนนี้ เขารู้สึกตัวเองเหนื่อยๆ โทรมๆ และไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่เลย บางที เขาอาจจะต้องหาเวลาพักจริงๆ จังๆ เสียแล้ว
เฟี๊ยตใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติในเช้าวันที่แสนเบื่อหน่ายวันนั้น เขาให้สายน้ำค่อยๆ ปลุกพลังงานในร่างกายของเขาให้กลับมาเต็มถังอีกครั้ง วันนี้เขายังคงมีงานที่ต้องรับผิดชอบต่อไป คิดถึงตรงนี้เฟี๊ยตก็เริ่มเบื่อเสียแล้ว ความจริงเขาน่าจะขอวันหยุดไว้บ้างตั้งแต่ต้น ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าการเล่นเกมมันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่มีทางเลือกมากเท่าไหร่นัก การร้องขอเวลาหยุดทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วันแบบนี้ดูจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไม่น้อยเลย เขาคงจะต้องกัดฟันทนให้ผ่านวันนี้ไปก่อน แล้วค่อยไปพักต่อในเกมแล้วกัน
เฟี๊ยตมาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลางานเกือบครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจนั่งเล่นรอที่ร้านกาแฟใต้ตึกของโรงพยาบาลนั่น เขาจิบอเมริกาโน่พร้อมกับปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีเรื่องหรือปมในใจอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ แต่ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขมันอย่างไร สุดท้ายแล้ว เขาคิดว่าถ้าได้เอาน้ำเย็นผ่านหัวสักหน่อย เขาอาจจะดีขึ้นก็ได้ บางที เขาอาจจะแค่ปวดหัวธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
“อ๊าว เฟี๊ยต มากินกาแฟเหมือนกันหรอ”
เสียงทักดังมาจากด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปมองที่มาของเสียงนั่น และเขาก็ค้นพบว่าเจ้าของคำทักทายนั่นคือต๊อบ เพื่อนเภสัชกรของเขาที่ห้องยานั่นเอง
“อ๊าว ต๊อบ สวัสดี นั่งกินด้วยกันเปล่า”
ชายหนุ่มทักออกไปอย่างร่าเริง ต๊อบเป็นเพื่อนคนเดียวในที่ทำงานแห่งนี้ของเขา ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างจูนเข้าหากันได้ไว เฟี๊ยตตั้งใจจะแอดเฟสบุ๊คต๊อบไว้เป็นเพื่อนอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ลืมทุกที หวังว่าวันนี้เขาจะไม่ลืมอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะขึ้นไปทำงานแล้ว ไม่อยากเข้างานสาย เดี๋ยวอดโบนัสสิ้นปี ฮ่าฮ่า เฟี๊ยตจะขึ้นพร้อมกันเลยหรือเปล่า”
คำถามของต๊อบทำให้เฟี๊ยตต้องก้มดูนาฬิกาข้อมือของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันจวนเจียนจะถึงเวลางานเต็มทน ขาดไปก็เพียงไม่กี่นาทีเท่านั่น เขานั่งทอดอารมณ์จนลืมเวลาไปเสียหมดสิ้น เฟี๊ยตได้แต่ส่ายหัวให้ความไม่เอาไหนของตัวเองก่อนจะคว้าแก้วกาแฟและลุกขึ้น พร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ต๊อบเป็นการบอกว่าจะขึ้นไปที่ห้องยาพร้อมกันเลย
เช้าวันนี้เรียกว่าห้องยาแทบจะลุกเป็นไฟก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นวันที่หมอพิเศษหลายๆ คนลงเวร จึงมีการนัดผู้ป่วยนอกมามากกว่าปรกติ เฟี๊ยตแทบจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนหายใจเลยสักนิด ตรวจยา นับยา จ่ายยา ตรวจยา นับยา จ่ายยา วนไปเรื่อยๆ อย่างนี้จนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว หลายๆ ครั้งที่เขาตัดสินใจนั่งพักเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อเรียกสติในการทำงานกลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อเขาหันไปเห็นคนไข้ที่นั่งรออยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบไปสั่งยาขึ้นมา ก่อนจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ อีกครั้ง เขาเห็นคนนั่งรอรับยาอยู่อย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเร่งรีบจริงๆ สุดท้าย เช้าวันนั้นเรียกได้ว่าเป็นวันที่สาหัสที่สุดในการทำงานของเขาในช่วงต้นทีเดียว
การจ่ายยาผู้ป่วยจิตเวชเรียกได้ว่าไม่ง่ายนัก หรือจะพูดให้ถูกเรียกได้ว่า “ยาก” จะดีกว่า เพราะผู้ป่วยด้านนี้ทุกคนจะมีปูมหลังทางด้านความรู้สึกไม่เหมือนกัน บางคนซึมเศร้า บางคนเครียด บางคนนอนไม่หลับ บางคนสมาธิสั้น บางคนเกรี้ยวกราด แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนมีปมเหล่านั้นฝังอยู่ในใจทุกคน การเลือกใช้คำพูดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนเหล่านั้นยอมปฏิบัติตามข้อแนะนำ ยอมกินยา และดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ห้องยาถือเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะกลับบ้าน นั่นหมายความว่า เภสัชจะต้องคัดกรองข้อผิดพลาดทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยกลับไปพร้อมกับความเข้าใจผิดเหล่านั้น มองในอีกแง่หนึ่ง ห้องยาเป็นสถานที่สุดท้ายในห่วงโซ่สุขภาพแห่งนี้ นั่นแปลว่า ผู้ป่วยจะต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายกว่าจะมาสิ้นสุดที่นี่ ยิ่งผู้ป่วยโรคจิตประสาทด้วยแล้ว เขาเหล่านั้นมีความเปราะบางทางอารมณ์มากกว่าปรกติ เฟี๊ยตต้องพยายามตั้งสติอยู่หลายครั้งเมื่อต้องพบกับสภาวะอารมณ์ที่เรียกได้ว่าอยู่ห่างไกลจากคำว่าปรกติไปมาก แต่สุดท้าย เมื่อเขามองให้เห็นความจริงที่ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหล่านี้เขา “ป่วย” ข้อเท็จจริงอันเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาให้อภัย และอดทนที่จะทำหน้าที่ของตัวเองที่ดีที่สุดของตัวเองต่อไป
บ่ายวันนั้นเภสัชกรหนุ่มได้รับมอบหมายให้ไปราวน์วอร์ดร่วมกับทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ฝ่ายผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแห่งนั้น พี่ขวัญส่งเขาไปกับพี่เภสัชรุ่นเดอะอีกคนหนึ่ง การราวน์วอร์ดคือการที่บุคลากรทางการแพทย์จะเดินไปเยี่ยมผู้ป่วยในที่นอนอยู่บนเตียง เพื่อตรวจอาการต่างๆ และวางแผนการรักษาต่อไป
แพทย์ถือเป็นแกนหลักในการราวน์วอร์ด เพราะต้องเป็นผู้วางแผนการรักษา ตามด้วยพยาบาลที่ต้องเป็นผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ก่อนที่จะส่งต่อผ่านกันเป็นสายพานต่อไป เภสัชกรดูแลเรื่องยา นักโภชนาการดูแลอาหาร และนักกายภาพบำบัดดูแลการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย
เฟี๊ยตเดินตามกลุ่มบุคคลนั่นไปตามเตียงผู้ป่วยในแผนกไปเรื่อยๆ เขามีหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรื่องยา ไม่ว่าจะเป็นขนาดยา การให้ยา รวมไปจนถึงข้อจำกัดของการใช้ยาต่างๆ ซึ่งแน่นอน โจทย์นี้หินมากสำหรับมือใหม่อย่างเฟี๊ยต เพราะยาในผู้ป่วยจิตเวชจะเป็นยาที่ค่อนข้างเฉพาะทางอยู่มาก ถ้าไม่คุ้นเคยกันจริงๆ ก็เรียกได้ว่าไปกันลำบากอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม พี่เภสัชรุ่นเดอะคนนั้นก็ช่วยชีวิตเฟี๊ยตไว้ได้อย่างมหาศาล เฟี๊ยตรู้ตัวเลยว่าตนเองไม่ได้ถูกส่งมาทำงาน แต่น่าจะถูกส่งมาเรียนงานกับพี่อ้อยมากกว่า พี่อ้อยเป็นเภสัชที่โรงพยาบาลแห่งนี้มาเกินสิบปี และแน่นอน พี่อ้อยตอบคำถามได้ทุกคำถาม ซึ่งนั่นเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เฟี๊ยตต้องเรียนรู้และพัฒนากันต่อไป
ผู้ป่วยคนแล้วคนเล่าผ่านเลยไปในแต่ละห้อง เขาต้องเจอกับคนไข้ที่คลุ้มคลั่งจนต้องถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเตียง คนไข้โรคซึมเศร้าที่เพิ่งฆ่าตัวตายจนต้องจับมาเฝ้าดูพฤติกรรมในโรงพยาบาล คนไข้โรคสมองเสื่อมที่ไม่อาจทิ้งไว้ที่บ้านได้ด้วยอาจจะเดินหลงออกไปจากบ้านโดยไม่รู้ตัว
แต่ในทุกๆ คนป่วยในผู้ป่วยในเหล่านั้น ไม่มีใครส่งผลต่อความรู้สึกต่อเฟี๊ยตได้เท่ากับหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์คนหนึ่งได้เลย
“มะนาว” เป็นเด็กสาววัยประมาณ 20 ปีเห็นจะได้ เธอป่วยเป็นโรคพาร์กินสันที่เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปรกติของสารสื่อประสาทในร่างกายอย่างนั้น เฟี๊ยตรู้จักโรคนี้ดี เพราะมันเป็นหนึ่งในโรคที่ใช้ยายากที่สุด อย่าพูดถึงโอกาสหาย เพราะมันแทบไม่มีอยู่เลย หลายคนมักค้นพบว่าตัวเองเป็นหลังจากพ้นวัยกลางคนไปแล้ว หากแต่เด็กสาวคนนี้มีอาการแสดงตั้งแต่วัยรุ่นอย่างนี้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าสงสารอยู่ไม่น้อยเลย เภสัชกรหนุ่มมองดวงหน้าที่ใสบริสุทธิ์นั่น หากก็ทำได้แต่ทอดถอนใจ เขาไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตใครได้ เขาทำให้แค่มอบสายตาแห่งความเป็นห่วงให้เธอเท่านั้น
มะนาวตกอยู่ในห้วงฤทธิ์ของยานอนหลับทำให้เธอเป็นผู้ป่วยเพียงไม่กี่คนที่กลุ่มบุคลากรวางแผนการรักษาโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว เฟี๊ยตจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรือแม้กระทั่งได้เห็นเธอตอนที่กำลังตื่นอยู่เลย เขาแอบมองหมายเลขผู้ป่วยของเธอไว้ ด้วยหวังว่าหากมีโอกาสเหมาะๆ แล้ว เขาอาจจะกลับมาที่นี้อีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงเด็กสาวคนนี้อย่างบอกไม่ถูกเลย บางที มันอาจจะเป็นความถูกชะตาที่ไม่อาจอธิบายได้
เฟี๊ยตกลับมาถึงห้องและล้มตัวนอนด้วยความรู้สึกอันหนักหน่วง การพบกับผู้ป่วยโรคจิตประสาทปริมาณมากAnchorทั้งเช้าและบ่ายนั่นทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง เหนื่อยกายอาจจะพอรักษาให้ทุเลาได้ แต่ความเหนื่อยใจนั้นเกาะกินความรู้สึกของเขาเหลือเกิน เขาอยากทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนนั้นดีขึ้นมากกว่านี้ หากแต่มันก็มีขอบเขตที่ชายหนุ่มไม่อาจจะก้าวข้ามผ่านไปได้เลย
เขาผล็อยหลับไปอยากไม่รู้ตัวขณะที่นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นฉายแสงอ่อนในห้องที่เริ่มจะมืดสลัวลงนั้น นาฬิกาบนหัวนอนนั่นชี้เข็มสั้นเกือบจะจรดลงที่เลขเจ็ดแล้ว จิตใจของเขาล่องลอยไปสู่มโนสติที่อยู่ไกลแสนไกล
จากผู้แต่ง : คืนนี้กลับดึก เลยต้องแอบมาลงตอนกลางวันอีกแล้ว ตัดสินใจนานมากว่าจะมาลงก่อนดีไหม เพราะว่าลงตอนกลางวันคนเม้นน้อยอะ แต่สุดท้ายก็ต้องลง เพราะไม่งั้นต้องลงดึกมากเลย ใครอ่านต้องเม้นด้วยนะ อิอิ ขอกำลังใจหน่อย