Hour#13 -Keep walking- 'มันไม่ได้ทำให้เอรู้สึกสักหนิดเลยหรอว่า วารักเอ'
จนกระทั้งกลับมานอนอยู่ที่บ้านแล้วก็ไม่สามรถลบคำพูดนี้ออกจากหัวไปได้ เหมือนแผ่นเสียงที่กระตุก เทปที่กรอกลับไปยังภาพอดีตต่างๆที่มีร่วมกับวา การกระทำ การเอาใจใส่ รอยยิ้ม และ ความอบอุ่นทุกอย่างมันยังคงชัดเจนอยู่ในใจผม การกระทำของวาชัดเจนจนไม่ว่าใครก็ล้วนรู้สึกทั้งนั้น
คำถามที่แก้วถามผม ใช่ว่าผมจะไม่เคยคิด เพราะมันเป็นคำถามที่ผมก็เคยทดเอาไว้ในใจมาแล้ว ว่าตกลงว่าชอบผมหรือเปล่า แต่มันก็เป็นเพียงคำถามที่ผมยังไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี เพราะกลัวทั้งคำตอบที่จะเป็นคำว่า ใช่ และกลัวความสัมพันธ์ของผมกับวา ว่าหลังจากนั้นมันจะออกมาในรูปแบบไหนต่างหาก
นั่งเหม่อลอยถึงคำถามของแก้วซ้ำไปมาจนได้ยินสายเรียกเข้าและเจ้าของชื่อที่เป็นคนโทรเข้ามาถึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกกับวาเลยว่าถึงบ้านแล้ว
จะโดนบ่นอีกมั้ยวะกู
"ฮัลโหล กำลังจะโทรไปพอดีเลย เนี้ยเพิ่งถึงบ้านเลยเนี้ย" ชิงพูดก่อนมีชัยไปกว่าครึ่งครับ ขืนปล่อยให้วาเป็นฝ่ายถามก่อนนี้ยาวอะ โดนบ่นยาว
"หึหึ รีบพูดเชียว ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย แปลกๆนะเอ" วาตอบกลับมาอย่างรู้ทัน
"อะไรแปลกอะไร ไม่รู้ไม่ชี้"
"ทำมึนนะเหม่ง แล้วไง วันนี้เป็นไงบ้างสนุกมั้ย"
"ก็สนุกนะ แต่อารมณ์ไปให้โดนเพื่อนรุมมากกว่า เออใช่ เปรี้ยวเอาอีกแล้ว เมาแล้วเป็นเหมือนเดิมเลย" ผมอมยิ้มขำเมื่อนึกถึงวีรกรรมของเพื่อนสาวที่เวลาเมาชอบไปขอผู้ชายแต่งงาน
"ฮาๆๆ อีกแล้วหรอ คราวนี้ใครอะ"
"ฝรั่งตาน้ำข้าวเลยคราวนี้ นั่งๆกินกันอยู่เอหันไปอีกที คว้าไว้ไม่ทันลงไปนั่งคุกเข่าจับมือขอฝรั่งแต่งงานแล้วอะ มีการพูดด้วยนะว่า Will you marry me? I'm not perfect but I'm limited edition na คิดดู!!" ตอนที่เปรี้ยวพูดคำนั้นพวกผมนี้พากันอึ้งแล้วขำกันลั่นร้าน ฝรั่งก็ทำหน้างงๆก่อนจะหัวเราะตามเพราะเปรี้ยวลงไปทรุดอยู่กับพื้นอ้อแอ้พูดไม่รู้เรื่อง
ผมก็รีบขอโทษฝรั่งคนนั้นไปแล้วบอกว่าเพื่อนผมเมาอย่าได้ถือสา แต่เขาก็ดีครับไม่ว่าอะไร คุยไปคุยมาได้ความว่ามาเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อน เพิ่งจบไฮสคูลทีอเมริกา ตัวใหญ่ได้อีก บอกมาเที่ยวที่แรกหลังลงเครื่องก็เจอดีเลย ฮาๆ สงสัยเปรี้ยวคงจะโดนแบนจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแน่ น้องตาน้ำข้าวยิ้มให้พวกผมแล้วบอกให้พาเปรี้ยวกลับบ้านดีๆก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ
"ฮาๆๆๆ สมเป็นเปรี้ยวว่ะ แบบนี้ไม่มีขายที่ไหนแล้วมั้ง...แล้วนี้เปรี้ยวกลับบ้านยังไง...แล้วมึงอะ เหนือมาส่งหรอ" กลิ้งตัวลงบนเตียงกับเสียงที่แสนจะเอาใจใส่ของวา เสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพูดไปยิ้มไปอยู่
"เออ คุณเหนือมาส่ง ส่วนเปรี้ยวมันไปนอนบ้านแก้ว ขืนกลับไปให้พ่อมันเห็นมันสภาพนี้นะ ได้โดนกักบริเวณยาว...แล้วนี้เป็นยังไงบ้างวันนี้ทำอะไรบ้าง รายงานหน่อยสิครับ คุณวาโย"
"รับทราบครับท่านเอรัณ ก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่ในห้อง นอนตื่นมาอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ลงไปกินข้าวในครัวแล้วก็นอน"
ฟังแล้วเหมือนจะสบายนะครับ แต่ผมรู้ว่ามันอึดอัดมากแค่ไหน ทั้งที่อยู่ในบ้านของเราแต่เหมือนไม่มีที่ไหนที่เป็นของเราเลย
"ทำไมไม่กินตรงโต๊ะกินข้าวละ...คุณปัดอยู่หรอ"
"อืม วันนี้เขาไม่ได้ไปไหน"
"แล้วได้คุยกับพ่อหรือยัง"
"ยังเลย วันนี้เหมือนเขาเห็นหน้ากูแล้วก็ออกไปประชุมแค่นั้น กูไม่มีโอกาสแม้จะอ้าปากพูดกับเขา....ส่วนคุณปัด หึ หน้ากูเขายังไม่อยากจะมอง" ถึงท่าทีของวาจะชอบแสดงออกว่าไม่สนใจกับคำว่าครอบครัวแต่น้ำเสียงของวา บอกให้ผมรู้ว่ายังไงวาก็ยังอดเสียใจกับสิ่งที่คนบ้านนั้นทำกับตัวเองไม่ได้อยู่ดี
"แต่กูอยากมองนะ...หน้ามึงอะ เอาหน้ามาให้กูมองไวๆนะ วาโย"
"ฮาๆ พูดจาน่ารักนะน้องเอ ใครสอนให้พูดว่ะ"
"ไม่มีใครสอน ความฉอเลาะส่วนตัวของน้องเล็ก ชอบสินะให้กูอ้อนเนี้ย"
"อืม...ชอบ แต่อย่าไปอ้อนกับคนอื่นเข้าละกัน"
"โธ่ กูจะกล้าไปอ้อนใครวะ ไม่ใช่ม๊ากับพี่กู ก็มีแต่มึงอะที่กูอ้อนแล้วไม่โดนเตะกลับมา" จริงๆครับปกติเวลาอยู่กับคนอื่นหรือเพื่อน ผมจะไม่ค่อยอ้อนอะไรใครเท่าไร ก็จะเฉยๆคุยกับฮาๆ แกล้งกันเล่นๆมากกว่า ผู้ชายนะครับก็ไม่ได้ตัวเล็กน่ารักขนาดที่จะไปอ้อนใครเขาหรือเปล่า อ้อนไปก็แลดูจะเป็นการอ้อนมืออ้อนเท้ามากกว่า อันนี้เคยมาแล้วโดนกล้าถีบใส่ แมร่ง โคตรจะโหดร้าย
แต่ถ้าจะมีใครที่ผมกล้าอ้อนให้เขาทำนู้นทำนี้ให้ ก็มีแค่คนในบ้านแล้วก็วาเท่านั้นแหละครับที่ผมจะทำตัวเด็กๆแบบน้องเล็กเอาแต่ใจ โดนสปอย นิสัยเสีย และ ออดอ้อนใส่
"กลัวจะไม่โดนนะสิ บีสอง"
"เอ๊ะ...บีหนึ่ง พูดเหมือนอยากให้บีสองโดนเตะนะคร้าบบบ" เสียงเริ่มยานแล้วครับผม กลิ้งไปมองนาฬิกา ตีสามกว่าๆ เห็นเวลาแล้วหาวขึ้นมาทันทีราวกับโดนสะกดจิต
"หึหึ...ไปนอนได้แล้วไปมึงอะ"
"งื้อ แต่กูยังอยากคุยกับมึงอยู่นะ กูกลัวมึงเหงา" แค่เสียงก็ยังดี อยากให้วารู้ว่าวาไม่ได้อยู่คนเดียว
"ไม่เหงา เนี้ยหายเหงามีหมามาเห่าให้ฟังในโทรศัพท์"
"ไอ้เลว ด่ากูนะมึง"
"ไป ไปนอน แล้วอย่าลืมอาบน้ำก่อนนอนนะมึง อย่าซักแห้งเข้าใจมั้ย" อูย เสียงเข้มมาเชียวตอนท้ายประโยค แต่แล้วไง วาไม่อยู่จะกลัวทำไม ยังไงมันก็มาลากผมออกจากเตียงแล้วโยนเข้าไปในห้องน้ำไม่ได้อยู่ดี
"อาบไม่ไหว เมา...หึหึ"
"อย่ามา...ไปอาบน้ำนอน วางแล้ว บาย"
"ไม่อาบโว้ย แมวไม่อยู่หนูร่าเริง บาย ฝันดี วาโย" รีบพูดรัวๆแล้วกดวางสายอย่างเร่งด่วน ไม่ได้ครับ วางช้ากว่านี้ ได้โดนมันเทศนายาวแน่นอน
ยังคงสงสัยว่านี้เพื่อนใช่มั้ย ไม่ใช่พ่อ
ตื่นมาอีกทีตอนเกือบเที่ยง ถามว่าเมื่อคืนผนได้อาบน้ำมั้ย ยืดอกตอบอย่างภูมิใจว่า ไม่ ฮาๆๆ อาบก็กลัวซิ แบบก็มันง่วงอะ เหนื่อยด้วย ตัวก็ไม่ได้เลอะอะไรมาก นี้อุสาห์แปรงฟัน ล้างหน้าแล้วนะ ดูสิ เด็กดีจะตาย วานั้นแหละชอบมองผมในแง่ร้าย เนอะ
อาบน้ำเสร็จเดินลงมาข้างล่างก็ขมวดคิ้วงงๆ
"เอ๊ะ ทำไมวันนี้บ้านเงียบๆ" เดินลากเท้าเข้าไปในครัวก็เห็นหม้อราดหน้า กับเส้นหมี่วางเอาไว้อยู่ เดินปากบู้ไปตักมากิน เริ่มนอยด์แล้วครับที่โดนทิ้งให้อยู่คนเดียวในบ้าน แต่ก็ชงักไปเมื่อได้ยินเสียงพี่เฟิร์สอยู่ทางหน้าบ้าน
ผมวางจานลงกับที่แล้วเดินไปทางต้นเสียงก็เห็นแผ่นหลังของพี่ชายคนรองของบ้านที่ใส่เสื้อยืดสีชาเย็นพอดีตัวกับกางเกงเข้ารูปสียีนส์ซีด ผมที่ยาวประต้นคอของพี่เฟิร์สถูกรวบเอ้าไว้ด้วยหนังยางพอไม่ให้รำคาญ ข้างๆกันมีเฉาก๋วยนอนหมอบแกว่งหางไปมาอยู่
พี่เฟิร์สนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นหญ้าสีเขียวอ่อน มีควันสีบุหรี่กลิ่นมิ้นท์เย็นๆลอยเอื่อยๆอยู่รอบๆ ข้างๆกันเป็นขาตั้งและเฟรมรูปที่มีสีน้ำไล่เลเยอร์ของสีเป็นภาพทะเลสีฟ้าอมเขียวและท้องฟ้าอยู่
"ก็ผมบอกแล้วไงว่ายังไงก็ไม่รับข้อตกลงของคุณ"
"บ้านผม ครอบครัวผมอยู่ที่นี้นะ คุณจะมาเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ได้ยังไง"
"ใครกันแน่ที่ดื้อ นี้เฟิร์สใช้อารมณ์คุยกับคุณตรงไหน"
"เอ๊ะ นี้จะยังไงกับเฟิร์สอีก ในเมื่อทางนั้นก็มีคุณเกศดูแลอยู่แล้ว และดูเธอก็พร้อมใจจะดูแลคุณในทุกๆเรื่องขนาดนี้ก็ดีแล้วนิ่"
"อย่ามาทำเป็นไม่รู้เจตนาของคุณเกศ"
"เออ เฟิร์สหึง แล้วถ้าจะมาง้อก็เครียทางนู้นก่อนล่ะ แค่นี้นะ!!!"
ผมตกใจเมื่ออยู่ดีๆพี่เฟิร์สก็ลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นหญ้าตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างหัวเสีย พี่เฟิร์สที่เป็นแบบนี้น้อยครั้งเลยครับผมถึงจะเห็น ส่วนใหญ่จะเป็นตอนที่พี่ชายผมนั่งเป็นเพลงสะล้ออยู่หน้าบ้านตอนย้ำค่ำให้เพื่อนบ้านหลอนเล่น ยืนเผางานตัวเองลงบนเฟรมเตรียมส่งอาจารย์ แล้วงานมันดันกลายเป็นขยะมากกว่า
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลดึงหนังยางที่มัดผมตัวเองออกแล้วขยี้ผมสองสามที สูบบุหรี่กลิ่นมิ้นท์เย็นเข้าปอดไปสองครั้งก็ขยี้ลงที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ข้างล่าง
เรื่องบุหรี่นี้ถ้าถามผม ผมก็ตอบแบบแมนๆเลยว่าผมก็สูบครับ เอาหัวเป็นประกันเลยใครที่ทำงานเกี่ยวกับด้านศิลป์ๆแบบนี้มันต้องมีบ้างสักมวลสองมวล สองสามซอง ดูดเป็ดบ้างเวลาเผางาน คือก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องดีแต่เรื่องพวกนี้มันเป็นทางเลือกมากกว่า ตอนแรกผมก็ไม่ได้สูบหรอกครับ แต่ปู่รหัสสอนมาว่าถ้าอยากให้หัวโล่งๆ ไอเดียแล่นก็สักมวลสองมวล พอลองปุ๊บเห็นผลปั้บเลยครับ แต่หลังๆไม่รู้ว่าผมโง่ลง หรือ นิโคตินมันเจือจางลงก็ไม่รู้ สมองผมถึงไม่แล่นเหมือนแต่ก่อน เซ็งจิตใจ พูดถึง ต้องจิกหัวตามพวกน้อง หลาน เหลน รหัสมาช่วยทำศิลปะนิพนษ์ได้แล้วสินะ เสียเงินเลี้ยวข้าวมันอีก
เกาะวากินอีกแล้วสินะ เอรัณ แต่ไม่เป็นไร วาโยมันเพิ่งขายหุ้นไปได้กำไรหลายแสนนี้หว่า มีเพื่อนฉลาดก็ดีแบบนี้เองสินะ หุหุ
"อ้าวน้องเอ ตื่นแล้วหรอ" สะดุ้งเฮือกเมื่อพี่ชายหันทักผมที่ยืนหน้าเหวออยู่ริมทางเดินบ้าน ยิ้มประเหลาะให้พี่เฟิร์สไปตีหน้าใสตาแป๋วว่าผมไม่ได้มาแอบฟังพี่คุยโทรศัพท์นะครับ พี่ชาย
"ครับ...พี่เฟิร์ส คนอื่นไปไหนหมดอะ"
"ม๊าออกไปกับเฮียเอก เห็นว่าไปดูทำเลเปิดร้านกาแฟ นางเอาจริงนะ เรียนจบครอส์แล้วด้วย ส่วนน้องหนึ่ไปหาคุณยายกับแม่เขา"
"อ้อ ไม่น่าทำไมบ้านเงียบๆ"
"น้องเอกินอะไรยัง พี่ทำราดหน้าไว้ให้ในครัวอะ ตักกินได้เลย"
"เห็นแล้ว เลยเดินมาชวนพี่เฟิร์สไปกินด้วย กินคนเดียวหนูเหงา"
"หึหึ...อ้อนจังนะเราอะ" พี่เฟิร์สหัวเราะเบาๆส่ายหัวก่อนจะปีนข้ามม้านั่งตัวเตี้ยทีกั้นตัวบ้านกับสวนเอาไว้ เดินกอดคอผมเข้าไปในครัว ผมนั่งลงกับเก้าอี้เอาคางแนบกับโต๊ะกินข้าว มองพี่ชายจุดเตาอุ่นน้ำซุปราดหน้า เคี่ยวเบาๆให้น้ำไม่ข้นจนเกินไป ดูใจเย็นเหมือนทุกทีที่พี่ชายคนนี้ของผมเป็น เหมือนคนละคนกันกับที่พูดอย่างหัวเสียใส่โทรศัพท์เมื่อกี้ อีกอย่างดูจากรูปก็รู้แล้วว่าพี่ชายผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ คนสายเดียวกันแค่ลายเส้นหรือสีมันก็บ่งบอกอะไรได้หลายๆอย่างแล้ว และที่สำคัญการที่พี่เฟิร์สพกโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวเวลาวาดรูป มันก็บ่งบอกแล้วว่าเจ้าตัวกำลังรอสายใครซักคนอยู่ และผมเชื่อว่าคงเป็นคนๆเดียวกับที่ผมเจอที่กรุงเทพแน่
คุณปริญ
"พี่เฟิร์ส"
"ว่าไง"
"พี่เฟิร์สคบกับคุณปริญมานานหรือยัง" ถามออกไป เพราะสิ่งที่แก้วพูดเมื่อคืนถึงความรู้สึกของวาทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน สิ่งที่ติดอยู่ในใจมานาน ไม่รู้จะพูดกับใคร หรือปรึกษาใคร ไม่ว่ายังไงผมก็เป็นผู้ชาย ไม่เคยมีซักครั้งที่จะคิดมีความรักกับผู้ชาย เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ยากที่จะให้ผมยิ้มและตอบรับไปกับความคิดของเพื่อนๆ
พี่เฟิร์สชะงักมือที่กำลังตักราดหน้าไปเพียงครู่ก่อนจะตักต่อไปแล้วเดินเอาจานราดหน้าสองจานมาวางไว้ตรงหน้าผม ผมมองทุกการเคลื่อนไหวของพี่เฟิร์ส เหมือนสับสนว่าถ้ารู้คำตอบแล้วยังไง รู้ว่าพี่เฟิร์สมีคนรักเป็นผู้ชายแล้วยังไง ในเมื่อมันก็ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับผมและวาเลยซักนิด
"คบกันมา3ปี สนิทกันมา5ปี รู้จักกันมา8ปี" พี่เฟิร์สตอบเนิ่บๆ เหมือนไม่ได้กังวลใจอะไรกับคำถามของผม ทั้งที่พี่เขาจะไม่ตอบผมเหมือนทุกทีก็ได้ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะคำตอบของพี่เฟิร์สทำให้ผมกล้าถามสิ่งที่สงสัยในใจออกไป เพราะไม่ว่ายังไงเวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจ ต้องการคำปรึกษาจากใครซักคน พี่คนนี้ก็เป็นคนเดียวที่ผมกล้าจะพูดทุกสิ่งที่คิดกับเขา
"ใช่ตอนที่พี่เฟิร์สไปใต้ตอนปิดเทอมปี 2 ปล่าว"
"ใช่ เจอกันตอนนั้นแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก ไม่คิดอยากจะเจอด้วยแต่ดันบังเอิญมาเจอกันอีกทีตอนพี่เรียนจบ"
"แล้ว....แล้วทำไม" ปากหนักไม่กล้าถามออกไป ลังเลที่จะถาม ลังเลที่จะยอมรับ
"หนักใจอะไรอยู่ หืม น้องเอ" น้ำเสียงอบอุ่นและใจดีของพี่เฟิร์สทำเอาผมอยากจะไปกอดแขนอ้อนพี่ชายคนนี้เสียจริง
"เมื่อคืน....ที่หนูไปเที่ยวกับพวกเปรี้ยวมา"
"เพื่อนๆถามว่าเมื่อไรหนูกับวาจะเป็นแฟนกัน....และแก้วถามหนูว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนูไม่รู้เลยหรอว่าวารักหนู" เงยหน้ามองพี่เฟิร์สที่แอบกลัวกับปฏิกิริยาของพี่เขา แต่กลับเห็นเพียงรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของพี่เฟิร์สเหมือนทุกที
"แล้วน้องเอว่ายังไง"
"หนูไม่ได้ตอบอะไรไป แต่หนูเคยคิดนะพี่เฟิร์สว่าวารักหนูหรือเปล่า เพราะการกระทำของวาบางอย่างมันอ่อนโยนซะจนหนูกลัว"
"กลัวอะไร"
"กลัวว่า ถ้าวารักหนูจริงๆ แล้วเราจะเป็นยังไงต่อไป หนูรักวาหรือเปล่าหนูยังไม่รู้เลย และที่สำคัญ ถ้าหนูกับวารู้สึกเหมือนกันจริงๆ เรื่องมันไม่ได้จบแค่ หนูรักวา วารักหนู ใจตรงกัน จับมือกันเดินไปข้างหน้า....แต่มันเป็นเรื่องที่มีคนรอบข้างเข้ามาเกี่ยวด้วย ถึงแม้ใครๆจะบอกว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแต่ในโลกนี้ มันก็ไม่ได้มีแค่หนูกับวาใช่มั้ย
คือหนูก็เข้าใจว่าควรจะแคร์คนข้างตัวและใกล้ใจเรามากกว่าคนอื่น แต่ถ้าวันหนึ่งคนอื่นที่ว่าไม่สำคัญ มาทำให้คนข้างตัวเราคิดขึ้นมาละ ว่าไม่ไหวแล้วกับความรักนี้...จะทำยังไง"
ยอมรับเลยครับ ว่าผมเป็นคนคิดมาก มากๆด้วย ตั้งแต่ที่สงสัยในการกระทำของวา คำถามเหล่านี้ก็วนเวียนอยู่ในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าหากว่ากลับกัน ผมกับวาเป็น ผู้ชาย และ ผู้หญิง เหมือนคู่ที่สังคมเขายอมรับ ผมอาจจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ง่ายกว่านี้ แต่นี้มันไม่ใช่ ถึงความรักเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่เพราะคนเราเป็นคนกำหนดธรรมชาติให้มันไม่ใช่หรอครับ เราถึงไม่สามารถทำตามใจที่ตัวเองต้องการได้
"น้องเอ...พี่บอกไม่ได้หรอกนะว่าพี่เข้าใจในควารู้สึกของน้องเอ เพราะพี่กับน้องเอมีระบบความคิดที่ต่างกัน มีวิธีการแก้ใขปัญหาต่างกัน แต่ถ้าให้พี่ตอบ พี่คงบอกน้องเอได้แค่ว่า ตอนที่พี่ตัดสินใจคบกับคุณปริญ ตัวพี่ในตอนนั้นก็ไม่ใช่คนที่มีเหตุผลอะไรมากมายมาตัดสิน ตอนนั้นพี่รู้แค่ว่าคนๆนี้คือคนที่ทำให้พี่เปลี่ยนไป เป็นคนที่ทำให้พี่รู้จักตัวเองในแบบใหม่ ในแบบที่พี่เองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพี่มีมุมแบบนี้ในตัวเอง คนๆนี้ทำให้พี่รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา คนๆนี้ทำให้พี่เข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ปล่อยไปไม่ได้....จนถึงตอนนี้พี่เองก็ตอบไม่ได้หรอกนะว่าความรักที่พี่เลือกเป็นสิ่งที่ดีแล้วหรือเปล่า และเขาคือคนที่ใช่สำหรับพี่หรือไม่ ความรักของพี่กับคุณปริญจะอยู่อีกนานมั้ยพี่ก็ไม่รู้ เราอาจจะเลิกกันวันนี้ พรุ่งนี้ หรืออยู่กันไปเนิ่นนานเป็นสิบๆปีเท่าที่เราจะประคองมันไปก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วอะไรคือสิ่งที่พี่ได้กลับมารู้มั้ย"
ผมส่ายหน้าเบาๆให้กับพี่เฟิร์ส พี่ชายของผมที่ตอนนี้แววตาแสนสวยของพี่ชายผม มันทั้งเป็นประกายฉายแววความสุข ทั้งมั่นใจในตัวเอง และ เข้มแข็งกับความรู้สึกของตัวเอง
"อย่างน้องพี่ก็เคยรัก และ ถูกรัก...มีความสุขกับความรัก ทุกข์กับความรัก หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะลงเอยแบบไหน แต่พี่ก็ยังสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า พี่เป็นคนเลือกเอง"
"แต่หนูยังไม่มั่นใจเลย ว่าจริงๆแล้วหนูรู้สึกยังไงกับวากันแน่ และ ที่วารู้สึกกับหนูมันเป็นเรื่องจริง หรือหนูแค่คิดไปเอง"
"ถ้าพี่พูดไปก็เหมือนจะเป็นการชักจูงความคิดของน้องเอ เอาเป็นว่าไม่ต้องรีบหรอกเรื่องของน้องเอกับวา ในเมื่อมันเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าวายังไม่เริ่มออกตัววิ่ง น้องเอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหนื่อยตาม...เข้าใจมั้ย แต่พี่ขอแค่อยากให้เอค่อยๆสังเกตตัวเองดีๆ ว่าน้องเอรู้สึกยังไงกับวากันแน่ เพราะพี่ว่าตัววาเขาเดินนำมาไกลพอสมควรแล้ว เหลือแต่น้องเอที่จะเดินตามวามามั้ย...ไม่ต้องรีบ ค่อยๆคิด ค่อยๆเดิน เพราะพี่มั่นใจว่าวาคอยหันหลังแล้วยื่นมือรอน้องเออยู่"
To be con:: Blue Talk :: หายไปนานลืมเอวาไปยังคะ เรายุ่งมากมาย เตรียมตัวเดินทาง เก็บของออกจากห้อง ทำวีซ่า ซื้อเสื้อผ้าข้าวของไปเรียนต่อ ตอนแรกว่าจะมาต่อตั้งแต่เมื่อวัน ศุกร์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่อ นอนตายอยู่บนเตียง ไข้ขึ้น วันนี้เลยพยายามเข็นตัวเองมาลงต่อ ขอบคุณทุกๆคนที่ยังคอยติดตามเอวานะคะ .... วันศุกร์ที่ 21 เราจะไปอังกฤษแล้ว คาดว่ากว่าจะลงตัวเรื่องหอ เรื่องธุรกรรมต่างๆในอังกฤษ น่าจะราวๆเดือน ถ้าเรามีเวลาจะรีบเอามาต่อให้อย่างเร็วเลยคะ ก่อนเราไป ยังไงก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่ๆ ทุกๆคนก็อย่าเพิ่งทิ้งเอวาไปนะคะ