Hear, Me (ตอนพิเศษ 290414 : Forget? Me? Not!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hear, Me (ตอนพิเศษ 290414 : Forget? Me? Not!!  (อ่าน 419358 ครั้ง)

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 13 - 21/1/13)
«ตอบ #120 เมื่อ23-01-2013 01:51:01 »

สนุกมากค่ะ  ชอบมากๆ

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #121 เมื่อ26-01-2013 22:36:45 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======


ตอนที่ 14



เฮียอ่ะ โคตรฮาเลย เออๆ น่าจะเจอเฮียเร็วกว่านี้
เฮียคลิน กินเหล้ากันป่าวเย็นนี้
เฮียคลินมาบ้านผมนะ เออ มาเล่นเกมส์กัน
เฮ้ยเฮีย! ตั้งวง ผับเพื่อนผมเอง!

นายคฤณมีแฟนใหม่แล้วครับ ยอดชายนายชานนท์คนนี้ตกกระป๋องแล้วครับ เวลาที่นอกเหนือจากากรทำงานและนั่งขี้ของเขา ตกเป็นของไอ้จิวโดยที่นายคฤณไม่มีโอกาสบอกว่าไม่สมยอม

ตลอดทั้งเดือนนี้แม่ผมแฮปปี้เพราะไอ้จิวดีแตกครับ มันกลับบ้านเร็วทุกวันเท่าที่จะทำได้ หนีบ “ตาหนึ่ง” ของแม่กลับบ้านมาด้วย ผมหรอ? ต้องตะแคงตีนยืนบนโลกครับ ไร้จุดยืนในสายตาใครๆ โดยสิ้นเชิง

“เจมไปเรียกพี่ๆ เขากินข้าวได้แล้วลูก” แม่สั่งผมอีกคน รักกันจังนะไอ้จิวกับไอ้พี่หนึ่งเนี่ย ผมเบ้หน้าแล้วเหวี่ยงโน้ตบุ้คออกจากตักแล้วเดินไปหน้าบ้านที่มีนายคฤณและไอ้จิวนั่งคุยกันพลางเล่นกับหมา

“กินข้าว” เสียงห้วนมากด้วย นายคฤณหันมองแล้วยิ้มรับ ส่วนไอ้จิวหันมาเหล่แล้วก็หันหน้าไปประจ๋อประแจ๋รุ่นพี่ไอดอลของมันต่อ

“จิว แม่เรียกกินข้าวแล้ว มึงไม่อยากกินก็ไม่ต้องอ้าปาก แต่ปล่อยพี่หนึ่งมากินข้าวได้แล้ว”  ผมย้ำอีกที กอดอกแล้วด้วย ไอ้พี่ชายเหล่มองผมเอือมๆ แล้วก็ลุกขึ้นเชื้อเชิญตาหนึ่งของแม่มากินข้าว โดยที่มันรอให้นายคฤณยืนขึ้นแล้วก็ลงมือกอดคอพลางเดินล้อมหน้าล้อมหลังทันที

ครับ มันรักฮีโร่ของมัน เป็นเรื่องธรรมดาที่มันดีใจจนต้องอยากเจอหน้า อยากใกล้ชิดเขาอยู่ทุกวี่วัน
แต่คือ...ไอ้ที่มันรักมันปลื้มน่ะ แฟนผมนะ!

“ครั้งเดียวก็รู้เรื่องน่าเจม”
“เฮียอย่าถือนะ เจมมันก็เป็นงี้แหล่ะ”
“เออเฮีย พรุ่งนี้ว่างมั้ย? ไปเดินจตุจักรกัน ผมจะไปหาซื้อของขวัญให้แฟน วันครบรอบ 4 ปีน่ะเฮีย”
“รสนิยมเฮียดี ช่วยเลือกหน่อยดิ ไอ้วอยเชอร์ที่พักพร้อมอาหารไม่เอานะ น้ำเพชรมันเพ้อเจ้อ  ให้ไอ้แบบนี้ทีไรแม่งบอกว่าผมไล่มันให้ไปใช้ชีวิตลำพัง” ไอ้พี่จิวพูดมากชิบหาย มันควงแขนนายคฤณผ่านหน้าผมไปหน้าตาเฉย ผมน่ะหรอ? ก็ตะแคงตีนยืนอยู่นี่ไง

“เจม มาสิ กินข้าว” นายคฤณเอี้ยวตัวมาเรียกผมแล้วส่งสายตา ผมก็เลยยอมเดินตามไปแต่โดยดี

ครับ เราคุยเรื่องนี้กันแล้ว
1 เดือนที่ไอ้จิวทำตัวเป็นรุ่นน้องที่รักนายคฤณชิบหาย ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดเพียงคนเดียวครับ ทำให้นายคฤณแทบไม่ได้หายใจเหมือนกัน
เขาถามผมแล้วว่าจะให้เขาบอกจิวตรงๆ มั้ยว่าเฮียคลินกับไอ้รชาแค่ซี้ต่างวัยที่ผ่านไปแล้ว เป็นเพียงความทรงจำ
แต่พี่หนึ่งที่เป็นแฟนเจม คือตัวจริงในปัจจุบัน มันจะได้เข้าใจความสำคัญของตัวมันใหม่

แต่ผมห้ามไว้ ผมรู้ว่ามันปลื้มนายคฤณมาก ผมไม่อยากหวงความสุขตัวเองจนต้องดับความทรงจำแสนสุขของมัน

แม้ตอนนี้จะเซ็งมันแทบบ้าก็ตาม

ไอ้พี่จิวไม่ได้ห้ามเรื่องที่ผมคบกับนายคฤณหรอกครับ
มันก็แค่...แทบไม่ให้เวลานายคฤณว่างเว้นจากการอยู่กับมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว และแน่นอนว่า เวลาที่มันใช้ร่วมกับเฮียที่มันรักนักหนานั้น ไม่มีหมาเจมตัวนี้อยู่ด้วย

หัวกูเน่าแล้ว กูรู้แล้วจิว แต่มึงก็ควรได้กลิ่นเน่าบนหัวกูเหมือนกันนะ

“เจมเป็นอะไร พักนี้ดูอารมณ์ไม่ดีเลย”

“ต่อมหึงมันแตกไงแม่” ไอ้พี่ชายสอดปากตอบแทนผมแล้วก็ส่งยิ้มเยาะๆ มาให้ แม่ผมหัวเราะส่ายหน้าแล้วพูดว่าไงรู้มั้ยครับ? นางบอกว่า

“เจมอย่าห่วงพี่จิวสิลูก ตาหนึ่งก็มาเป็นพี่ชายเจมอีกคนไง” โถถถถถ แม่....บอกโลกนี้เป็นสีชมพูมากกกกกก งืออออ แม่ก็ไม่เข้าใจผม!

“อื้อนี่ตาหนึ่ง แม่ว่าจะถามหลายรอบแล้วก็ลืม แหวนที่สั่งทำไว้ เราบอกว่าจะสลักชื่อด้วยใช่มั้ย? จะสลักอะไรล่ะ บอกสักที ช่างเขาจะได้ปิดงานเราเสียที”

“อ๋อครับ ชื่อแม่ผม” นายคฤณบอกแล้วก็ยิ้มให้ พร้อมกับรับปากดิบดีว่าจะแวะเข้าไปที่ร้านพรุ่งนี้ ซึ่งไอ้จิวก็หูตั้งทันที มันถามรวดเร็วว่าเฮียจะไปร้านกี่โมง เดี๋ยวผมไปรอ .... มึงมาเป็นเมียเขาเลยมั้ย? แล้วเดี๋ยวเมียมึงกูจะพาไปขายทำกำไรที่ชายแดน ห่า!

“แล้วอีกวงล่ะ ตาหนึ่งสั่งไว้ 2 วงนี่” คราวนี้ผมมองหน้าเขานิ่ง วงนึงให้แม่ อีกวงให้ใครหว่า? ป๋าหรอ? ไม่มั้ง

“ของของหนึ่งครับ” เขาบอกแล้วอมยิ้มนิดๆ รอบนี้ไม่สบตาใครสักคน แม่ผมส่งเสียงแซวใหญ่ว่าจริงหรอที่สั่งทำแหวนให้ตัวเอง ผมเองก็คิดเหมือนแม่ มันจะมีหรอผู้ชายที่สั่งทำแหวนให้ตัวเอง

แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหล่ะครับ ถ้าหากว่าผู้บงการการกระทำชื่อว่าคฤณ

ไอ้จิวบริการพี่ชายที่มันโคตรรักเป็นอย่างดีจนผมไม่ต้องดูแลอะไรเขามากมายเลย หน้าที่ผมตอนนี้ และทุกๆ วันที่นายคฤณมาร่วมกินข้าวที่บ้านก็คือ ....กินข้าวให้อิ่ม และเอาข้าวให้หมา เท่านี้แหล่ะครับ ถามว่าดูง่อยมั้ย? ตอบเลยว่ามาก!

พวกเขา...ใช่แล้วครับ พวกเขาแปลว่าไม่มีผมรวมอยู่ในนั้น เพราะถ้ามี จะต้องใช้คำว่าพวกเราสิ พวกเขาดวลวินนิ่งกันครับ คนนึงอายุ 30 แล้ว อีกคนก็ 25 เกือบ 26 มีแฟนมาแล้ว 4 ปี กำลังโดนแฟนเร่งรัดให้แต่งงาน แต่งานก็เพิ่งได้รับการโปรโมทให้ขึ้นเป็นเมเนเจอร์ฝ่ายไอทีของโรงแรมหกดาวฝ่าๆ ที่แอบตัวอยู่หลังพารากอน หึ สมอายุกันชิบหาย

ผมมองพวกเขาเล่นกันหน้าทีวี แม่ก็อยู่ในมุมห้องพระ สวดมนต์และคุยโทรศัพท์ในเวลาเดียวกัน ผมหรอ? นั่งคุยกับหมาคาหน้าประตูบ้านครับ อย่าถามว่าโอเคมั้ย? เพราะผมโคตรไม่โอเค เบื่ออ่ะ เบื่อมาก เบื่อมาเป็นเวลา 1 เดือนกว่าๆ แล้วด้วย

“พี่หนึ่งครับ ยังไม่กลับอีกหรอ?” นี่ผมไม่ได้ไล่ ผมกำลังหาทางใช้เวลาอยู่กับแฟนผมบ้างเท่านั้นเอง ไอ้จิวเป็นฝ่ายหันมองผมแล้วบอกให้ผมอึ้งแดกว่า

“คืนนี้เฮียค้าง...กับกู”

อะไรอ่ะ อะไร?
ผมหูฝาดรึเปล่าวะ?
คือ...ก่อนหน้านี้ก็รับได้ที่มันติดนายคฤณเหลือเกิน ผมเข้าใจว่ามันอยากมีพี่ชายบ้าง การมีผมเป็นน้องฝาแฝดเป็นสิ่งตราหน้ามันว่ามันอ้อนใครไม่ได้ แต่ทำไมพี่ชายที่มันอยากอ้อนต้องเป็นนายคฤณที่เป็นแฟนผมด้วยล่ะ? มึงหาพี่คนใหม่ไม่ได้หรอวะจิว!

“ค้างกับจิวเนี่ยนะ”

“อือเด่ะ เนอะเฮีย” นายคฤณที่โดนหาเสียงไม่ได้ตอบรับอะไรครับ เขาแค่ขมวดคิ้วใส่ผม ผมว่าเขาก็หงุดหงิดนิดๆ เหมือนกันแหล่ะ ก็นะ...ค้างกับจิวมันออกจะแบบ...ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ชายค้างคืนกันมันจะมีเวอร์ชั่นแตกต่างจากที่ผมไปค้างกับเขาบ้างมั้ย และไอ้จิวมันก็หน้าเหมือนผมด้วย เกิดพี่หนึ่งตามัวคว้ามันมากอดอีกคน ครอบครัวผมจะเรียกกันและกันว่าไงล่ะ?

“พี่หนึ่งจะค้างกับจิวหรอครับ?” แม่ง...ทำไมถามไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเมียหลวงน้อยใจสามีเลยวะ? ผมไม่ได้อะไรนะ แต่มันแปลกๆอ่ะ

“พี่ว่าพี่จะกลับคอนโด เจมไปส่งหน่อยสิ”

“อ้าวเฮีย! เฮ้ย ผมไปส่งเอง ให้เจมขับรถกลางคืนอันตราย”

“ไม่เป็นไร เฮียขับเอง เจมนั่งไปส่งแล้วค้างเลย”
“เสื้อผ้าก็มีที่นั่น ไม่มีอะไรลำบากหรอก”

จบมั้ยมึง?
ผมมองหน้าไอ้พี่ชายที่มองหน้าฮีโร่ของมันเหวอๆ ถ้าเป็นผม ผมจะเข้าใจนะว่าคน 2 คนย่อมต้องการเวลาส่วนตัวกันบ้าง แม้ว่าบุคคลที่ 3 จะไม่คนอื่นคนไกลก็เถอะ แต่ถามจริงๆ เถอะจิว มึงไม่รู้หรอว่าแฟนกันเขาต้องการอะไรบ้าง ทีมันไปเที่ยวกับน้ำเพชร หรือน้ำเพชรมาที่บ้าน ขลุกคุยกันอยู่ในห้องมัน ผมยังไม่ไปยุ่งเลย

“แต่พรุ่งนี้เราจะไปจตุจักรกันไม่ใช่หรอเฮีย”

“อืม แต่เฮียอยากนอนคอนโดมากกว่า นอนเบียดกับมึงไม่ไหวหรอก เฮียนอนดิ้น เนอะเจม”

จะมาเนอะกับผมเพื่อ? ไอ้จิวมองผมด้วยสายตาหม่นๆ มันพยักหน้ายอมเข้าใจแล้วก็เก็บเกมของมันทันที มันรั้งนายคฤณด้วยการนัดแนะเวลาที่จะไปเจอกันที่จตุจักร มีการบอกด้วยว่าถ้าผมไม่อยากมาด้วยก็ทิ้งผมไว้ที่คอนโด หรือไม่ก็ไล่ผมกลับบ้านไป มันเดินกับเฮียได้ ไอ้เชี่ย...มึงอยากได้แฟนกูมากใช่มั้ยจิว!

“งั้นเฮียกลับก่อนนะ อ่อ...ขอขึ้นไปบอกแม่ก่อน” นายคฤณบอกตามประสาคนชินกับบ้านผมทุกซอกมุม เขาเดินขึ้นชั้น 2 เพื่อไปลาแม่ที่ห้องพระ ได้ยินเสียงหม่อมแม่แหวๆ มาว่ากลับแล้วหรอตาหนึ่ง ค้างก็ดีนะ ดึกแล้ว บลา บลา บลา ไม่นานเขาก็เดินลงมานิ่งๆ แล้วตรงดิ่งไปหาไอ้จิวที่ยืนพิงประตูบ้านรอ ผมหรอ? ก็ยืนตะแคงตีนอยู่ไม่ห่างหัวบันไดนัก

“เฮียกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่นู่นเลย”

“ครับเฮีย”

“แล้วก็....เฮียรักน้องมึง น้องมึงก็รักเฮีย”
“แต่เฮียก็ชอบมึงนะ มึงเป็นน้องที่อ้อนตีนดี พูดเท่านี้คงเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจมึงจะเจอตีน”


“เฮียอ่ะ! เฮียเจอผมก่อนมัน ทำไมไปชอบไอ้เจมได้ มันมีไรดี ถามกี่ทีก็ไม่เคยตอบ” ไอ้จิวถามกลับแล้วส่งสายตาเกลียดชังมองผม ไอ้เหี้ย กูน้องมึงนะ!

“มึงอยากเป็นเมียกูหรอรชา” จบมั้ยจิว? นี่แหล่ะที่ผมลุ้นให้นายคฤณถามแม่งตรงๆ เสียที ที่อดทนและพยายามเข้าใจมันมา 1 เดือนทำให้ผมสะสมคำถามนี้ไว้หลายก๊อปปี้มาก

ไอ้จิวอึ้งไปนิดนึงแล้วก็หัวเราะหึหึ เอาล่ะ ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าที่เป็นน้องมันมา 25 ปีนี่ ผมรู้จักมันจริงๆ มึงจะหัวเราะน่ากลัวทำไมวะ?

“เฮียก็...คิดปลวกๆ เหมือนไอ้เจมไปได้”
“จะกลับไม่ใช่หรอ รีบดิ ขับรถดีๆ นะเฮียคลิน”

“อืม พรุ่งนี้เจอกัน อย่าเลทนะมึง เฮียไม่ชอบคนไม่รักษาเวลา”

“ครับ ครับ พี่ประธาน” ไอ้จิวส่งท้ายด้วยการยิ้มรับแรงตบบ่าของนายคฤณที่โคตรแรง อูยยย ได้ยินเสียงอั่กๆ แล้วผมก็เริ่มรู้สึกว่าที่คบกับนายคฤณมาราว 4-5 เดือนนี้ ผมแทบไม่รู้จักเขาเลย คืนนี้ผมจะน่วมมั้ยวะ?

“ไปกันเถอะเจม”

“เอ่อเฮีย!”
“พรุ่งนี้ก็เจอเจมนี่ ต้องหนีบมันไปด้วยหรอ?”

“ก็เจมเป็นแฟนเฮีย อยากอยู่กับแฟนผิดตรงไหน” จบมั้ยจิว? กูจบมาก ผมยิ้มแหยๆ ให้ไอ้พี่ชายมอง มันพยักหน้าส่งลาผมแล้วก็กลับไปเปิดทีวีดูอะไรเรื่อยเปื่อย

ผมว่าผมเข้าใจมันนะ ชีวิตมันมีแค่ผมกับแม่ โลกของผมเคยเป็นโลกที่มันรู้ทุกซอกมุม แต่ตอนนี้มันจะมีซอกหลืบนึงที่มันเข้าไปวุ่นวายไม่ได้ สมองมันเลยว่าง และคนที่ทำให้โลกของผมมีมุมที่มันแตะต้องไม่ได้ ก็ดันเป็นคนที่มันชื่นชอบและอยากแตะขอบชีวิตเขามาตลอดอีกต่างหาก ต่อมเสือกแม่งพองกว่าโลกแล้วแหล่ะป่านนี้

บนถนนเส้นโล่งที่มีรางรถไฟฟ้าคุ้มกะลาหัวเอาไว้ ภายในรถเงียบเชียบ อุณหภูมิอยู่ที่ 23 องศา
นายคฤณเอื้อมมือมาจับมือผมไปจูบเบาๆ เขาพูดเพียงว่า “พี่รักเจมนะ” แล้วก็ขับรถมุ่งไปยังคอนโดของเขา ผมก็ไม่รู้ว่าจะมาซีนอารมณ์ใส่ผมทำไม แต่ผมก็ทำแค่ยิ้มรับคำว่ารักของเขาเอาไว้และบีบมือกลับไปเบาๆ เท่านั้น

เพิ่งมาฉลาดรู้ว่าไอ้พี่หนึ่งมันซีนอารมณ์ทำไมก็ตอนที่เดินเข้าห้องเขาแล้วนั่นแหล่ะครับ ล็อกประตูปุ๊บผมก็โดนอุ้มไปหย่อนไว้ที่โซฟา คือทั้งห้องยังไม่ได้เปิดไฟเลย จะมีก็เพียงแสงไฟจากข้างนอกสาดเข้ามาทางกระจกเท่านั้นซึ่งมันก็ไม่เพียงพอสำหรับผมในตอนนี้

โซฟาที่เคยถูกจับมาวางเอาไว้ถูกยึดพื้นที่ไป เขาให้ผมนั่งบนตัวเขาแทน และซีนอารมณ์ก็เกิดขึ้นโดยที่ผมถูกชักนำให้ตามเขาไปอย่างสมยอมสุดๆ

เที่ยงคืนกว่าๆ ผมถึงเดินออกจากห้องน้ำ แสงของห้องในตอนนี้เป็นสีขาวนวลๆ เพราะนายคฤณเปิดแค่ไฟหัวเตียงเท่านั้นครับ ผมนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวและเดินมาเปิดตู้เพื่อหาชุดนอนใส่ เขาก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ลดหนังสือที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านอยู่มองผม แล้วก็มองนาฬิกาที่ฝาผนังเท่านั้น

ผมเห็นเขาหาวแล้วก็หาวตาม เที่ยงคืนกว่าแล้วเขาคงง่วงมาก เดาว่าวันนี้ทั้งวันเขาคงเหนื่อยกับไอ้จิวสุดๆ พอดึงคอเสื้อพ้นหัวแล้วผมก็ลิ่วๆ ทุ่มตัวลงเตียงทันที ตาผมปิดตัวลงแล้วด้วยซ้ำตอนที่เหวี่ยงแขนไปเกาะข้อมือเขาไว้ตามความเคยชิน แต่ที่ผมคิดไว้ผิดหมดเลยครับ

“เฮ้ยพี่หนึ่ง!” ผมร้องเสียงหลงตอนที่ถูกเขายกตัวขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อผมโยนทิ้ง
“หนาวนะ! เปิดแอร์เย็นแบบนี้ให้แก้ผ้านอนเจมนอนไม่ได้หรอก!”

“ไม่ต้องนอนหรอก กอดกัน”

“กอด..อีกแล้วหรอ?”

“ไม่ได้หรอ?”

“ตอบว่าไม่ได้ ได้มั้ยครับ?”

“ไม่ได้ครับ พี่รักเจมนี่” กูเริ่มเกลียดคำนี้แล้ว ผมหรี่ตามองตาเขาชัดๆ เห็นแววตัดพ้อเต็มไปหมด โอเค มันถึงเวลาที่ผมต้องพูดประโยคเท่ๆ กับเขาบ้างแล้ว

“พี่หนึ่งเป็นอะไร ไหนบอกเจมซิ”

“พี่หวงเจมนะ รักเจมมากด้วย”
“เจมล่ะ มีใครที่สามารถบอกให้เจมไม่รักพี่ได้รึเปล่า”

“เจมเชื่อตัวเองที่สุดพี่ก็น่าจะรู้”

“แล้วถ้าไอ้รชาบอกล่ะ” อาฮะ! กังวลเหมือนกันนี่หว่า แล้วทำเป็นเท่เข้าใจโลกมาได้เป็นเดือน อิโธ่!
“รชามันรักเจมนะ ที่มันกันท่ามาร่วมเดือน ไม่ใช่เพราะมันหวงพี่หรอก มันหวงเจมต่างหาก”

“เฮ้ย! มันหวงพี่หนึ่งแหล่ะ พี่หนึ่งเป็นฮีโร่ของมันนี่”

“เจมครับ....” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วดึงมือผมไปประกบแก้มตัวเขาเอง หน้าแม่งนิ่มอ่ะ บีบเล่นตอนนี้จะผิดวาระเกินไปป่าววะ?
“รชามันหวงเจมมากนะ ที่มันทำตัวติดกับพี่ก็เพราะมันอยากรู้ว่าพี่จะดีกี่ชั่วโมงต่อวัน มีมุมเลวๆ มุมไหนที่ยังไม่ได้เปิดเผยบ้าง เวลามันมาขลุกอยู่กับพี่มันก็เอาแต่ถามนั่นถามนี่ มันเอาไปประเมินว่าไว้ใจพี่ได้มากแค่ไหน”

เฮ้ยยยย ผมไม่เชื่ออ่ะ?
จริงหรอวะ?

“มันเป็นพี่ชายที่น่ารักมากเลยนะ ถ้าพี่มีน้องชายของพี่เอง พี่ก็หวงเหมือนกัน”
“แล้วเจม ก็น่ารัก”

กูอยากหล่ออ่ะ อะไรวะ? เป็นแฝดกันแท้ๆ แต่คำว่าน่ารักไม่เคยมีใครถวายพานให้ไอ้จิวบ้างเลย
ผมยู่ปากแล้วหันหน้าหนี ก็ผมขยับได้แค่หน้าเท่านั้นแหล่ะครับ ตอนนี้ผมนั่งอยู่กลางตักเขา คือถ้าวาดขาเกี่ยวตัวเขาไว้เราก็ทำศึกกันได้ทันที แต่ตอนนี้ยังอ่ะ คุยกันก่อน

“ปกติแล้วจิวมันไม่หวงเจมหรอก มันชอบไล่ให้ไปเปิดตาดูโลกบ่อยๆ แล้วกะอีแค่มีแฟนมันจะมาหวงทำไม”

“ก็เพราะนี่มันเรื่องใหญ่ แล้วพี่ก็จริงจัง”
“เมื่อ 2 วันก่อน มันถามว่าเคยมีแฟนมั้ย แล้วคิดเรื่องแต่งงานรึเปล่า แล้วก็ถามพี่ด้วยว่า รู้รึเปล่าว่าแต่งงานกับเจมไม่ได้ กฎหมายประเทศไทยไม่รองรับ”

“เฮ้ย! ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยหรอ ไอ้บ้าจิว”

“จิวไม่บ้าหรอก พี่ก็คิด”
“ก็พี่บอกแล้วว่าพี่จริงจัง”
“โอเค เราแต่งงานกันไม่ได้ เจมมีลูกไม่ได้ แต่พี่มั่นใจว่าพี่ไม่ต้องการอะไรอีก แค่ได้อยู่กับเจมไปเรื่อยๆ อยู่ด้วยกันตลอดไป”
“พี่ก็ตอบมันไปแบบนี้แหล่ะ แล้วมันว่าไงรู้มั้ย? ไอ้รชามันถามว่า พี่จะตอบสังคมว่ายังไง เจมเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ แต่พี่มีบริษัทใหญ่โตต้องดูแล พี่ให้น้ำหนักอะไรมากกว่ากัน” นายคฤณพูดเท่านี้ก็หยุดไป ผมเลยหันไปมองเขาตาแป๋ว  เออ...แล้วเขาให้น้ำหนักผมแค่ไหนกัน

“แล้วพี่หนึ่งตอบจิวว่ายังไงครับ?”

“ตอบว่าพี่มีชีวิตเพื่อใช้ชีวิต และพี่รักเจมเพื่อมีความรักในชีวิต”
“สังคมช่างมันเถอะ พี่อาจต้องแคร์ป๋าพี่ แต่เราจะทำให้ป๋าเข้าใจได้ว่านี่ชีวิตพี่ จู๋พี่” ไอ้เชี่ยพี่หนึ่ง แม่ง กวนส้นตีนผมอ่ะ
“แล้วเจมล่ะ?” หือ? ผมต้องตอบสังคมด้วยหรอ? ไม่นะ ผมก็แค่คนตัวเล็กๆ คนธรรมดา มีแม่กับพี่ชายไว้ให้รักและดูแล แล้วตอนนี้ไอ้จิวก็รู้แล้ว กับหม่อมแม่เอง ผมก็รู้ว่าแม่พร้อมเข้าใจผมทุกอย่าง

“เจมก็...แคร์แค่แม่กับจิว”

“แล้วพี่อยู่ตรงไหนของชีวิตเจมหรอ?”

“..............” ผมมองหน้าเขานิ่งเลย นั่นสิ นายคฤณอยู่มุมไหนในชีวิตผม? วู้วว ถามแปลกๆ กังวลใจแล้วสมองกลวงเลยนะเด็กชายคฤณ ผมหัวเราะนิดๆ ก่อนจะตอบ

“ก็อยู่เป็นทั้งโลกให้เจมไง”
“พี่อยู่ที่ไหน เจมก็อยู่ที่นั่น ไม่งั้นเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนที่พี่บอกไอ้จิวได้ยังไงกัน” นายคฤณยิ้มนิดเดียว เขาคงไม่พอใจคำตอบผมเท่าไหร่ แต่ผมหาคำโรแมนติกกว่านี้มาให้เขาไม่ได้หรอกครับ ส่วนตัวผมไม่ใช่คนโรแมนติกอะไร นอกจากความตรงเผง เข้าเป้าแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองมีนิสัยพิเศษอะไรนักหนา

“แล้ว...เจมรักพี่หนึ่งมั้ยครับ”

“ก็รักนะครับ” ผมตอบแล้วอมยิ้ม นายคฤณปล่อยมือผมที่เขาจับให้ไปแปะแก้มเขาแล้วเป็นฝ่ายแปะแก้มผมแทน เขาบี้จนแก้มย่นปากยู่แล้วก็จูบปากผมเบาๆ แต่ไอ้จูบเบาๆ นั่นมันเกิดขึ้นชั่วพริบตาเท่านั้นแหล่ะครับ พอจ้องกันอีกครั้ง ผมก็โดนกินเรียบร้อย บอกแล้วไงครับว่าตอนอยู่บนเตียง สิ่งเดียวที่กินได้ก็คือคนเท่านั้น และผมก็ต้องเป็นฝ่ายโดนกินเสมอ ฮึ่ย! อย่าให้ปากกูกว้างมั่งนะ!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2013 23:01:31 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #122 เมื่อ26-01-2013 22:41:06 »


วันอาทิตย์แล้วครับ
พระอาทิตย์ถีบผมตกเตียงแต่เช้า ใช่ครับ ผมตื่นเพราะถูกถีบตกเตียง ตีนใครคงไม่ต้องสาธยาย ไอ้พี่หนึ่งนั่นแหล่ะ ก็เมื่อคืนนี้ผมจุ๊บจิ๊บเสร็จแล้วผมก็นึกร้อนก็เลย นอนแยกออกมาตรงขอบเตียง อุตส่าห์กะระยะห่างไว้ให้มากกว่าความยาวของขาเขาแล้วเชียว แต่สุดท้ายก็ไม่รอด

“อือออ ถีบเจมอ่ะ”

“ก็เจมไปนอนห่างพี่เอง ขอโทษ ขอโทษ” เท่านี้แหล่ะครับ พอเขาขอโทษ ความเจ็บแค้นเคืองโกรธของผมก็ไม่สามารถก่อตัวขึ้นเป็นพายุได้ ผมยันตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงอีกรอบแล้วก็ถูกดึงไปกกกอดให้ผมกับที่เขารักผมเหลือเกิน อืม ก็อุ่นดีนะ แต่ว่า..เมื่อคืนก็เพิ่งโดนกกไปไม่ใช่หรอวะครับ

“พี่หนึ่ง แล้วที่นัดไอ้จิวไว้ล่ะ ไม่รีบหรอ?”

“เออ จริงด้วย”
“เจมไปมั้ย?”

“เจมขี้เกียจเดิน”

“ขี่หลังพี่ก็ได้” ประชดมาขนาดนี้ผมก็ต้องไปสิ มผเงยหน้ามองเขานิดเดียวก็ซุกหน้าผากชนอกเขาต่อ นายคฤณลูบหลังเปลือยเปล่าของผมเบาๆ แล้วนายปรอทก็ทำหน้าที่

“มีไข้รึเปล่า? ทำไมตัวอุ่นๆ”

“อยากให้เจมเลือดเย็นหรอครับ”

“ไม่ตลกนะครับ เห็นพี่ขำหรอ? หือ?”
“ไหน มาวัดไข้ดีๆ ก่อน” หมอจำเป็นงัดตัวผมขึ้นนั่งแล้วก็อังหน้าผาก อังคอ ลูบหน้าอก อืม...อีกนิดกูได้อารมณ์ขึ้นแต่เช้าแน่ หยุดไล้ได้แล้วโว้ย!

ผมเบี่ยงตัวหนีแล้วบอกอาการ “เจมไม่ป่วยหรอก พี่หนึ่งไปอาบน้ำสิ บอกจิวว่าห้ามสาย พี่สายเองหมายความว่าไง” ผมทวงถามสิทธิ์ให้ไอ้พี่ชาย นายคฤณขยี้หัวผมแล้วก็พาตัวเปลือยๆ ไปเข้าห้องน้ำ ครับ...ที่นึกภาพนั่นแหล่ะถูกแล้ว นายคฤณเปลือย อย่าถามผมว่าอายมั้ยที่มองตาม เพราะคำอธิบายว่ามากมันหมดโลกแล้ว!


ผมปล่อยให้นายคฤณไปเดทกับไอ้จิวตามลำพังครับ จริงๆ ก็ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ อยากไปด้วยจะตาย ก็นะ เดินเที่ยวกับไอ้จิวแสนสนุกเพราะมันชอบซื้อนั่นนี่ปรนเปรอผม ส่วนนายคฤณก็เอาใจผมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไปกับ 2 คนนี้ ผมเชื่อมั่นว่าผมต้องกลิ้งกลับบ้านแน่ๆ

แต่ว่าทำไมถึงไม่ไปกับพวกเขาน่ะหรอครับ?
ก็เพราะว่า พี่ปูโทรหาผมตอนสายๆ แล้วบอกผมว่า เคลียร์งานให้เร็วหน่อย พรุ่งนี้ให้เอาเอาท์ไลน์มาให้พี่สาวดู พี่สาวนี่คือพี่บก.ใหญ่ที่ดูแลข่าวครับ พี่ปูเป็นบก.บห ใหญ่กว่าแต่ไม่ก้าวก่ายเรื่องข่าวครับ

ผมไม่รู้เหตุผลที่พี่ปูทวงงาน แม้ว่ากำหนดส่งจะยังไม่มาจ่อก้นผมก็เถอะ แต่การที่แกโทรจี้หางานแบบนี้ก็แสดงว่าผมต้องทำให้เสร็จและทำให้ดีจริงๆ ผมก็เลยให้นายคฤณพาไอ้จิวเที่ยวตามอัธยาศัย ส่วนผมนั้นไซร้ ปั่นงาน!!


ตกเย็น ผมก็ขับรถผมกลับบ้านครับ ส่วนนายคฤณไปรออยู่ที่บ้านแล้ว ทำอาหารกินกันเองตามประสา 3 คนแม่ลูก .... เอ่อ...ทำไมเหมือนผมเป็นคนนอกไปขอข้าวบ้านเขากินเลยวะ?

บรรยากาศที่ผมแอบมองอยู่ดูดีมากๆ เลยครับ แม่ผมยิ้มแก้มปิดตาเชียว ไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสองก็เดินเพ่นพ่านไม่ได้กลัวว่าจะโดนหน้าแข้งใครฟาดเอาเลย ส่วนไอ้จิวก็ลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง นานแล้วที่มันไม่ได้ทำอาหาร ทั้งที่ฝีมือมันเลอค่ามากๆ ครับ

ผมเดินเข้าบ้านและแสดงตัวว่ากลับมาถึงแล้วด้วยการกอดแม่แล้วก็อุ้มหมาเล่น แต่พอมาล้างมือในห้องน้ำบนห้อง นายคฤณก็รี่มากอดผมทันทีที่ออกจากห้องน้ำ แล้วก็หอมแก้มผมให้ผมเขินเล่นแล้วเหลียวมองประตูห้องทันทีว่าปิดดีแล้วหรือยัง

“อะ อะไรครับ?”

“พี่กับรชา คุยกันรู้เรื่องแล้วนะ ดูเหมือนมันจะไฟเขียวให้พี่เป็นแฟนเจมเต็มตัวแล้วแหล่ะ”

“หรอครับ? ไปพูดยังไงให้มันเลิกหวง”

“หึ! ก็แค่ตอบมันตามตรงนั่นแหล่ะ คนขี้สงสัย พอถามจนได้ทุกคำตอบแล้วมันก็ประมวลผลได้เองว่าความจริงที่มันต้องการคืออะไรกันแน่”
“แล้วมันก็เชื่อแล้วว่าพี่รักน้องมันจริงๆ เท่านี้แหล่ะ”

“ฟังดูง่ายจัง”

“แต่ยากมาก ขอบอก!” ฟ้องอยู่รึเปล่าเนี่ย? ผมหัวเราะเบาๆ แล้วก็พาเขาลงมากินมื้อเย็นกันตามประสาครอบครัว มือนี้นายคฤณมีเซอร์ไพรส์ให้พี่บ้านผมด้วยครับ เขามองหน้าแม่กับไอ้จิวแล้วก็พูดว่า “ป๋าอิจฉาใหญ่ที่หนึ่งได้กินแต่ของอร่อยของบ้านนี้ บอกว่าวันหลังจะมาขอสูตรอาหารครับ”

แม่ผมยิ้ม ผมก็ไม่รู้ว่าแม่รู้ความนัยรึเปล่า ส่วนไอ้จิวนี่ยิ้มแล้วพยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงใจ ผมหรอ? นั่งตะแคงตูดกินข้าวอยู่ครับ ไอ้พี่หนึ่งทำผมหาที่ยืนไม่เจออีกแล้วสินะ

ดูเหมือนปมชีวิตวัยเด็กที่เป็นน้องชายติดพี่ชายของไอ้จิวจะคลายแล้ว มันไม่พันแข้งพันขวาพี่หนึ่งเป็นหมารนหาตีนเจ้านาย นายคฤณเองก็เข้าหาแม่ผม แล้วทำตัวเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน ดูแลทั้งแม่ ทั้งไอ้จิว แล้วก็ผม หมาอีก 2 ตัวนี้ถือว่าได้อานิสงมาแต่เกิดแล้วครับ

คืนนี้เขาขอให้ผมไปส่งที่บีทีเอส เพราะพรุ่งนี้เขามีงานเช้าตรู่ที่ไซท์ระยอง ต้องรีบนอน ผมก็เพิ่งรู้ตัวนี่แหล่ะว่าผมเป็นตัวกวนเวลานอนของเขา แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายสะกิดเขาก่อนเลยนะ มีแต่เขานั่นแหล่ะที่ชอบจุ๊บจิ๊บตอนตีหนึ่ง

ผมปล่อยไอ้จิวให้ปิดบ้านปิดไฟ ส่วนตัวผมก็มาอาบน้ำบนห้องและเตรียมตัวนอน ระหว่างที่กำลังยีหัวสะบัดน้ำออกจากหัวตัวเอง ก็มีเสียงเคาะประตูและเสียงไอ้จิวตามมาว่า “เจม คุยกับจิวหน่อยดิ”

ผมเปิดประตูให้มันเข้ามา ทันทีที่เห็นผมมันก็โอบผมไว้แล้วกอดแน่นๆ ครั้งนึงแล้วปล่อยออก ผมก็งงสิ!
“อะ...อะไรของจิววะ เหี้ย ตกใจหมด”

“เออ กูเห็นแล้วว่าเหี้ยตกใจ” ด่าผมอีกจนได้ ผมมองมันเซ็งๆ แล้วก็เดินไปนั่งเช็ดหัวต่อที่เตียง

“ชา...” ชื่อนี้...แสดงว่าเรื่องที่มันจะพูดเกี่ยวกับนายคฤณแน่นอน ผมมองมันตาแป๋ว แต่ไอ้แฝดเหมือนของผมกลับหน้าขรึม
“ไม่เคยมีใครเรียกเจมแบบนี้ นอกจากพี่เก๋ แล้วก็เฮียคลิน แต่ชื่อชา มีคุณค่าสำหรับจิวก็เพราะเฮียนั่นแหล่ะ”
“จิวไม่ใช่พี่ที่ดีนักหรอก เพิ่งรู้สึกว่าต้องรู้จักปกป้องน้องชายก็เพราะเฮียสอน”
“สำหรับจิวแล้ว เฮียแม่งยิ่งกว่าพ่ออีก ก็นะ พ่อเราไม่อยู่สอนเรานี่ว่าต้องใช้ชีวิตยังไงถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย”
“เจมพิเศษมากนะ”

“พล่ามมานี่ ต้องการอะไร เจมงงนะ”

“ไม่มีอะไรหรอก จิวรักเจมนะ อยากให้มีความสุข มากๆ ด้วย อะไรที่ทำให้เจมมีความสุข จิวก็จะทำทั้งหมด แต่ว่า...เรื่องคบกับเฮียคลิน จิวไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นทางที่มีความสุข”
“โลกนี้มันกว้าง เราไม่รู้หรอกว่าความสุขที่เรายึดไว้ พอไปเยียบในโลกของคนอื่นมันจะถูกเรียกว่าอะไร เพราะฉะนั้น เจมต้องมั่นใจว่าที่คว้าอยู่นี้มันคือความรักที่ทำให้เจมมีความสุขจริงๆ”

“อือ”

“ตอนนี้ก็รับปากกันหน้าชื่น พิสูจน์มันตอนที่เจอปัญหาดีกว่านะเจม”
“กับเฮียคลิน จิวก็พูดไปแล้ว วันนี้แหล่ะ”
“แล้วเฮียก็ดีมาก พูดซะยืดยาว ด่าจิวทั้งนั้นว่าขี้หวงเกินเหตุ”
“เชื่อป่ะ จิวเชื่อเขาทุกคำเลย เชื่อว่าถ้าเจมอยู่กับเขา คำว่ารักของเจมกับเขา มันจะแทนค่าได้ด้วยคำว่าตลอดกาล”

ผมมองหน้ามันนิ่ง ที่มันพูดมาดูอลังการมาก ผมเองยังไม่เคยคิดอะไรไกลขนาดนั้นเลย แต่เมื่อมันอุตส่าห์แสดงความเชื่อมั่นในความรักของผมกับนายคฤณขนาดนี้แล้ว ผมคงต้องกล่าวอะไรสักอย่างใช่มั้ย

“จิว...เจมก็...ก็แค่คนธรรมดา ความรักเจมมันก็เรื่องธรรมดา”
“ถ้าเขารักเจมต่อไปนานๆ มันก็ดี เจมก็มีความสุข แต่ถ้าวันนึงมันจางหายไป จิวก็เชื่อเถอะว่าเจมจะไม่เป็นไร เจมจะอยู่ได้ เจมก็จะมีความสุขกับความรู้สึกอื่นแทน”
“อีกอย่างนะ เจมมีแม่ มีจิว เท่านี้ก็ดีสำหรับเจมมากแล้ว”

“ยังไงก็เถอะ จิวก็อยากให้เจมมีความสุขตลอดไป ไม่ว่าจะกับใคร หรือสุขจากอะไรก็ตาม”

“ขอบใจว่ะ”

“ก็มึงเป็นน้องกูนี่” มันปิดท้ายแล้วเดินไปตบหัวดังแป๊ะ ไอ้เหี้ยเจ็บ...เฮ้ย! ไอ้เหี้ยจิว กูเจ็บ! มันเดินลอยชายออกไป หลังจากทำเรื่องหน้าอายไว้กับหน้าผากผม ครับ มันโน้มตัวมาหอมหน้าผมแล้วตีจาก




เช้าวันจันทร์มาเยือนผมพร้อมกับอารมณ์ดีๆ
การเจอไอ้ต้อมแต่เช้าที่ร้านกาแฟใต้ตึกเป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะไอ้เพื่อนตัวนี้มันจะเล่าวีรกรรมสุดสัปดาห์ให้ผมฟังอย่างเมามัน และเรื่องเล่าขของไอ้ต้อมเช้านี้ก็คือ “เมื่อคืนกูไปกับเดอะแกงค์มา บ้านผีเว้ย ไอ้เหี้ยโคตรรสนุกอ่ะ โกยกันชิบหาย แล้วสัดอาร์มแม่งเสือกสติแตก สตาร์ทรถไม่ได้ แม่งบอกกุญแจหาย จากที่พวกกูกลัวผีแดกตับ แม่งก็โกยกันไปเส้นทางเดิมเพื่อหากุญแจรถมัน สรุป กุญแจแม่งไม่หายหรอก อยู่ไหนรู้มั้ยมึง?”

ผมส่ายหน้า เพื่อนแกงค์ทีวีของมันก็ส่ายหน้าครับ ไอ้ต้อมทำหน้าเอือมให้พวกผมรู้ว่ามันเซ็งไอ้อารมณ์เพื่อนมันขนาดไหน แล้วก็บอกว่า “ส้นตีนมัน”

“หือ??”

“เออ! แม่งเอากุญแจไว้ในรองเท้าผ้าใบ มันบอกว่าประสาทสัมผัสที่ส้นตีนนี่ดีสุด เป็นทุกสิ่ง เพราะงั้นเชื่อการรับรู้ของตีนมันได้ มันจะต้องรู้สึกตลอดเวลาแน่ๆ ว่าเหยียบกุญแจอยู่ทุกอณูการโกย”


“แล้วมันไม่รู้ตัวเลยหรอ? หากันนานมั้ยมึง”

“ก็ผีออกตีสามใช่ป่ะเจม พวกกูหากุญแจกันถึงตีห้า แม่งไม่เจอ ก็กองๆ กันอยู่บนกระบะรถนั่นแหล่ะ แล้วก็ปวดเยี่ยวกันก็ปวดก็เลยต้องอาศัยข้างทางข้างๆ วัดนั่นแหล่ะ แล้วพอรถหลวมๆ บางตัวแม่งก็ถอดรองเท้าปล่อยกลิ่นตีน ไอ้อาร์มก็ถอดด้วย นั่นแหล่ะถึงเจอกุญแจรถ แม่งโคตรส้นตีนลิขิตชีวิตพังเลยว่ะ” เสียงหัวเราะขำขันดังขึ้นรอบตัวพวกผมเชียวครับ ไอ้ต้อมก็เล่าไปอารมณ์เสียไปขำไป

เล่าจบก็เปลี่ยนนิทานยามเช้ากันใหม่ คราวนี้เป็นวีรกรรมพี่แป๋มเมา เจ้าตัวที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเพิ่งเดินสะโหลสะเหลขึ้นตึกไปเองครับ ไอ้เก่งเป็นคนเล่าวีรกรรมพี่แกให้ฟัง บอกว่า “พี่แป๋มแม่งลากกูไปกินเหล้า ก่อนไปก็บอกกูดิบดี พี่ขับรถมางั้นงี้ เดี๋ยวไปส่งกูที่คอนโด กูก็หลวมตัวเชื่อคนแก่ แม่งเอ๊ย 3 แก้วเมา แล้วไงรู้มั้ย ผัวกับลูกโทรตาม กูต้องหิ้วปีกมาพาขึ้นแท็กซี่แล้วจดที่อยู่บอก ถึงบ้านว่าบุญชิบหายแล้ว นี่แม่งเสือกไปมีเรื่องกับแท็กซี่ หาว่าเขาขโมยรองเท้า ไอ้เหี้ย กูนี่วิ่งวุ่นทั้งวันเพื่อตามหารองเท้าคู่ละ 390 ให้แก แม่ง คราวหน้ากูไม่ไปด้วยแล้ว ต่อให้เลี้ยงเหล้ากูก็ไม่ไป”

“แล้วถ้าพี่แป๋มใส่รองเท้าล็อคส้นตีนล่ะ”

“เออ ถ้าใส่ไอ้รองเท้าแบบนั้นได้กูก็จะไปด้วย” ไอ้ห่าเก่งแม่งสารเลว แดกเหล้าฟรีย่อมมีเงื่อนไขเก็บซากคนจ่ายอยู่แล้วนี่หว่า ใครๆ ก็รู้ ผมไม่ได้เล่าอะไรเพราะเล่าไปเพื่อนจะแตกตื่นเปล่าๆ เราเห่าหอนกันไม่นานไอ้แอมก็เดินมาสมทบ มันกอดคอผมแล้วโน้มหน้ามาดมกาแฟที่เหลือติดก้นแก้ว

“ไงมึง” มันทักผมแล้วยิ้มให้ ตัดผมมาใหม่ซะหล่อเชียวไอ้ห่านี่

“ก็ดี เออ! เห็นหน้ามึงแล้วนึกถึงพี่ปูเลย กูขึ้นออฟฟิศก่อน ต้องส่งงาน”

“งานไรวะ? มีอะไรเดดไลน์ช่วงกลางเดือนหรอ?”

“งานเขียนเล่มหนังสืออ่ะมึง พี่ปูบอกขอดูเอาท์ไลน์ 100% เลย นี่กูปั่นช่วงเสาร์-อาทิตย์แทบไม่ได้นอน”

“หรอ? เออ กูก็โดนเรียกมาแต่เช้าเหมือนกัน” ไอ้แอมบอกผมแล้วก็ทำหน้างงๆ ให้กันและกันมอง พอรู้สึกว่าใกล้เผ่าพันธุ์ปลากัดเข้าไปทุกที ผมก็หันหน้าหนีแล้วชวนมันขึ้นออฟฟิศทันที ไม่ลืมพยักหน้าชวนไอ้แอมให้ขึ้นไปพร้อมๆ กัน

8 โมงเช้าถือว่าเช้ามากๆ สำหรับอาชีพนักข่าวอย่างผม แต่พี่บก.และโปรดิวเซอร์ข่าวทีวีนี่นั่งประชุมกันแล้วครับ ผมวางกระเป๋าที่โต๊ะประจำแล้วก็เดินไปห้องพีเอ็นทันที แกรอผมอยู่ก่อนแล้วครับ

“สวัสดีครับพี่ปู”

“อ้าว! มาแล้ว ดีเลย ข่าวดีต้องบอกกันตอนเช้า เอาฤกษ์เอาชัย” สงสารไอ้ฤกษ์กับไอ้ชัยเหมือนกันครับ โดนเอาแต่เช้า เย้ยย ไม่ใช่!

ผมยิ้มรับและนั่งลงที่เก้าอี้ตามมือที่เชื้อเชิญ ซองขาวถูกเลื่อนมาตรงหน้าผม ไอ้เหี้ย! เอาไอ้ฤกษ์กับไอ้ชัยเสร็จแล้วก็ไล่ผมออกเลยหรอ? ผมเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมองแก แกก็หัวเราะใส่เอิ๊กอ๊าก แล้วก็แกะซองขาวที่ไม่ได้ปิดผนึก ดึงกระดาษแผ่นขาวออกมายื่นให้ผม

ผมยื่นมือไปรับทั้งที่ยังงง พออ่านข้อความในเนื้อจดหมายนั้นแล้วก็แทบลืมหายใจ

หนังสือถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ สายข่าวเศรษฐกิจ
ผู้ทำเรื่องถึงคือกองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์รายเดือนที่ผมทำงานมามากกว่า 4 ปี
เรื่อง ส่งตัวนายชานนท์ อริยะกุล เข้าโครงการศึกษาดูงานสื่อเศรษฐกิจที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 8 เดือน

“จริงๆ จะมีการสอบสัมภาษณ์อีก”
“เล่มเรา พี่ส่งไป 2 ชื่อ อีกคนก็...”
“นั่นไง มาพอดี แอม มาเลยครับมาเลย” ผมเบี่ยงตัวหันไปมองไอ้แอมที่กำลังหดตัวออกไปเพราะเห็นว่าผมคุยกับพี่ปูอยู่ มันตะแคงตัวเข้ามาใหม่แล้วก็นั่งลงข้างๆ ผม พร้อมกับมองหน้าพี่ปูเกร็งๆ

สีหน้าผมโง่แค่ไหนตอนเห็นซองขาว ไอ้แอมสะท้อนให้ผมเห็นแล้วครับ มันเองก็คงงงชิบหายเหมือนกัน พอมันอ่านเนื้อความแล้วก็หันมองหน้าผมทันที มีหน้ามาชะโงกมองจดหมายในมือผมด้วย ตำแหน่งที่มันมองก็คือตำแหน่งที่มีชื่อผมแปะอยู่

“เอาล่ะหนุ่มๆ เห็นเรื่องกันแล้วก็คงงงกันน่าดู”
“จริงๆ โครงการนี้มีทุกปีแหล่ะจ้ะ เวียนกันไปตามหัวหนังสือพิมพ์ แต่ละปีจะมีโควตา 1 ที่ แต่ปีนี้มี 3 คงเพราะเขาเห็นว่าประเทศแถบเราตื่นตัวเรื่อง AEC และการทำข่าวแบบ Convergence ล่ะมั้ง ซึ่งก็โชคดีของเรามากที่มีแนวทางจะปรับองค์กรให้เป็น Convergence มากขึ้น”
“พี่ส่งชื่อเราไป 2 คน เจมกับแอม หัวอื่นก็ส่งเหมือนกัน แต่คิดว่าเราไม่น่าพลาด เพราะปีนี้มันโควต้าเล่มเราพอดี ส่วนจะได้ทั้ง 2 คนรึเปล่า แล้วแต่กรรมการเขาเลือกนะ”

ผมกับไอ้แอมมองหน้ากัน คำว่าคู่แข่งผุดมาในหัวมันรึเปล่าผมไม่รู้ แต่คำนี้ไม่ผุดมาในหัวผมหรอก มีแต่คำว่า “ไปด้วยกัน” เท่านั้นแหล่ะ

“เท่านี้แหล่ะที่จะบอก เพราะงั้น เจมกับแอมก็ใช้เวลาเจียระไนความคิดและความต้องการของตัวเองให้ดี ภายใน 1 เดือนนี้ทางสมาคมจะติดต่อมาเรื่องเวลาสอบสัมภาษณ์ ผลงานเก่าๆ พี่คัดส่งไปให้แล้ว แต่ของเจมนี่ พี่จะเอาเล่มล่าสุดที่เจมได้เรียบเรียงส่งเป็นผลงานให้”
“พี่ไม่ได้ถามก่อนว่าอยากไปหรือไม่อยากไป เพราะพี่คิดว่าโอกาสนี้มันใช้ความอยากตัดสินไม่ได้ มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ไปเรียนรู้โลก พี่ถึงสนับสนุนให้ไป เพราะงั้น สิ่งที่ควรคิด ไม่ใช่ว่าอยากไปหรือไม่อยาก แต่ต้องคิดได้แล้วว่าจะไปตักตวงอะไรจากโอกาสครั้งนี้บ้าง”

“ครับ/ครับ” ผมกับไอ้แอมตอบพร้อมกันแล้วก็พับจดหมายเก็บลงซองและถือติดมือไว้ พวกผมไหว้ลาพี่ปูแล้วเดินออกจากห้อง ต่างคนต่างก็มองหน้ากันแล้วไม่พูดอะไร

ผมเป็นฝ่ายหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะทำงานผมก่อน แต่ไอ้แอมกลับคว้าไล่ผมไว้ก่อน

“อะไรวะอ๋อมแอ๋ม?”

“ถ้าได้ไปกันทั้งคู่ก็ดีเนอะ โอกาสนี้กูเฉยๆ แต่ถ้ามันเป็นโอกาสที่จะได้ไปกับมึงนะอัญ กูว่ามันโอเคมาก”

ผมยิ้มให้มันนิดนึงแล้วก็เดินกลับโต๊ะ
ในหัวผมไม่มีคำที่ไอ้แอมเพิ่งแสดงความยินดีที่อาจจะได้มีโอกาสไปด้วยกันเลย
ผมเอาแต่คิดว่า ผมจะบอกนายคฤณว่ายังไงดี?



Cut


แอ่นแอ๊นนนน
ยังไม่ได้สอบค่ะ วันนี้เลื่อนสอบเป็นอาทิตย์หน้า แต่พรุ่งนี้ยังสอบอยู่ เพราะงั้น ลงกันไว้ป้องกันการลืมเรื่องนี้ก็แล้วกันเนอะ ^^

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2013 23:12:15 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #123 เมื่อ26-01-2013 23:13:59 »

ลากยาวเลยอ่าตอนนี้
ฮาเจมก่อนนะ เรื่องที่จิวทำตัวล้อมหน้าล้อมหลังพี่หนึ่ง
ฮาตอนพี่หนึ่งพูดกับจิวตรงๆด้วย555

เอาล่ะสิ มีเรื่องต่ออีกแล้ว จะมีปัญหามากมั้ยนะ ถ้าไปอังกฤษอ่ะ
หนักใจล่งงหน้าเลยได้ป่าวเนี่ย

สู้ๆนะ จุ๊บ!

ออฟไลน์ Donaldye

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 563
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #124 เมื่อ26-01-2013 23:39:31 »

หนูเจมได้ลำบากใจอีกแล้ว :z2:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #125 เมื่อ26-01-2013 23:42:00 »

เฮ้ยยยยยยยย TAT

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #126 เมื่อ27-01-2013 00:54:21 »

ไม่อยากให้เป็นรักแท้แพ้ระยะทางเลย T_T

ออฟไลน์ akera

  • I love him anymore. but he love him.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #127 เมื่อ27-01-2013 01:37:06 »

เจม จะบอกพี่หนึ่งยังไงหนอ

ตามไปอยู่ด้วยเลยย

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 14 - 21/1/13)
«ตอบ #128 เมื่อ01-02-2013 22:54:35 »

หวังว่าหลังวันอาทิตย์จะมาต่อน้า รอๆๆอยู่จ้า

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 21/1/13)
«ตอบ #129 เมื่อ03-02-2013 23:42:33 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======


ตอนที่ 15



“พี่ครับ พี่”
“ตึกม.1 ไปทางไหนครับ” ที่หนึ่งหันหาเสียงเรียก เขาก้มหน้าลงนิดนึงเพื่อมองเด็กใหม่กางเกงน้ำเงินที่กำชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น

เด็กฝาแฝด...ไม่เจอนานแล้วแฮะ เขาส่งยิ้มให้เด็กทั้งคู่แล้วก็ชี้นิ้วบอกทิศทาง ตั้งใจจะยืนมองให้แน่ใจว่าเด็กแฝดหาตึกเจอก่อนค่อยไป เพื่อนก็ส่งเสียงเร่งเสียก่อน

“ไอ้ที่หนึ่ง มองอะไรวะ? เร็ว!”

“มองแฝดว่ะ”

“แฝดเอาไว้ก่อน เร็วๆ ดิ บราเดอร์มงคลรอ” เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เดินตามพิชยะไปในที่สุด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับมามองคู่แฝดหน้าขาวตาใสที่เดินจูงมือกันไป เห็นแล้วอิจฉาเหมือนกัน


ม.5 แท้ๆ แต่กิจกรรมกลับมากล้นพ้นหัว ที่หนึ่งปาดเหงื่ออยู่หน้าห้องชมรม เขาเพิ่งยกกลองเสร็จหลังจากที่เพิ่งวิ่งวุ่นวายไปหาบราเดอร์ที่ปรึกษาเพื่อบอกเรื่องกลองชุดใหม่มาส่ง แล้วเดี๋ยวเขาต้องไปหาพวกเตะบอลต่ออีก เพิ่งรู้ว่าพวกเพื่อนนัดแตะบอลกับแก๊งค์กางเกงดำ และชื่อเขาก็ดันโผล่เป็นกองหน้าตัวจริงเสียด้วย

“เฮ้ยที่หนึ่ง เร็วๆ ซ้อมๆ”

“เออๆ รู้แล้ว” เขารับลูกแล้ววิ่งแบกเสื้อซึมเหงื่อลงสนามบอล แต่หางตากลับสะดุดเข้ากับเด็กชายหน้าขาวๆ ข้างสนามเสียก่อน

“อ้าว! ไอ้แฝด”

“หือ? พี่” เด็กแฝดรับคำทักเขาแล้วทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังเพื่อวิ่งมาหา เขายิ้มให้มันเพื่อทักทาย มันก็รู้งานยกมือไหว้แล้วแนะนำตัว
“นี่ชื่อรชานนท์ นี่ชื่อไร?” ภาษาบ้าอะไรของมันวะ? ที่หนึ่งขำนิดๆ แล้วบอกชื่อตัวเองบ้าง

“คลิน”

“คลินแปลว่าอะไรอ่ะ ชื่อแปลกๆ”

“ก็แปลกให้มึงถามไงไอ้รชานนท์”

“เรียกรชาก็ได้เฮียคลิน สั้นๆ”

“นี่สั้นแล้วหรอ?”

“อื้อ แต่ถ้าอยากเรียกสั้นกว่านี้ก็เรียกชา แต่ผมไม่หันหรอกนะ ไอ้เจมนู่นนนนน ที่จะหัน” เจม? เขาเลิกคิ้วใส่แล้วถามเพิ่ม

“ใครล่ะ เจมน่ะ”

“น้องผมไง ชื่อชานนท์ ชื่อเจม นี่ชื่อรชานนท์ ชื่อจิว” ไอ้พูดมากเอ้ย! เขาหัวเราะใส่แล้วยกมือลาเพื่อถลาลงสนามบอลที่มีเพื่อนรออยู่ด้วยท่ากอดอกกระดิกตีน ที่หนึ่งหันมองที่โต๊ะม้าหินข้างสนามบอล และยังคงเห็นแฝดหน้าขาว ใส่แว่นเตะบอลอยู่กับเพื่อนไม่กี่คน



“เฮีย!! เฮียคลิน” เสียงไอ้รชาแว่วมาแต่ไกล นี่มันเวลาพักของม.ปลาย ไอ้ม.ต้นหน้าขาวนี่ยังเสร่อมาวุ่นวายอีก เขาหยุดรอและปล่อยให้เพื่อนไปซื้อข้าวก่อน ส่วนตัวเองขอยืนกอดอกรอไอ้ตัวดีวิ่งติดสปริงข้อเท้ามาหา

“เบาๆ นมหกหมด”
“มาไง ไม่เรียนหรอมึง?”

“เลท 10 นาทีเอง เดี๋ยวบอกบราเดอร์ว่าท้องเสีย”
“เฮียๆ เย็นนี้ผมเตะบอลด้วยนะ นี่เดาะได้ 10 ทีติดแล้ว”

“ยังกระจอกอยู่เลย พี่ที่ไหนเขาจะให้เล่น”

“ก็ถ้าเฮียบอก เพื่อนเฮียก็เล่นด้วยเองแหล่ะ”

“จะติดสินบนเฮียหรอไอ้รชา”

“ก็ขอดีๆ ก่อนแล้ว เฮียเล่นตัวนี่”
“นะ เฮีย น้า น้า”

“อ้อนตีนนะมึง”
“แล้วนี่น้องมึงไปไหน?”

“นั่งกินนมอยู่นั่นไง” เขามองตามือมัน เห็นเด็กหน้าเหมือนมันนั่งดูดนมอยู่เงียบๆ หัวโด่แบบนั้นเด่นชิบหาย ดึงดูดสายตาอีกต่างหาก เขาละสายตาออกห่าง วูบหนึ่งที่รู้สึกเหมือนสบตากับเด็กคนนั้น แต่เหมือนเขาจะคิดไปเอง

“งั้นเย็นนี้มาหาเฮียอีกทีก็แล้วกัน”
“ไปเรียนได้แล้ว พาน้องมึงไปด้วย ไปส่งน้องก่อน”

“น้องผมไม่ได้ง่อยนะเฮีย”

“แต่นั่นน้องนะ”
“มึงเป็นพี่ไม่ใช่หรอ? ได้เป็นพี่แล้วไม่ทำหน้าที่ มึงก็โกงนะ”
“ไปดิ”

“ก็ได้ แต่เฮียต้องให้ผมเล่นบอลด้วยเย็นนี้นะ”

“เออ รอให้เหงือกแห้งนะมึง กว่าพวกกูจะเลิก ไหนจะติวตอนเย็นอีก”

“รอได้ รอได้”


คำว่ารอได้ของไอ้รชาก็คือรอจริงๆ หลายวันแล้วที่เขาเลิกติวช้า แต่พอลงมาก็ยังเจอไอ้รชานนท์นั่งแกร่วโยนหินเล่นอยู่ใต้ตึกม.ปลาย ที่หนึ่งขอโทษรุ่นน้องอยู่ทุกเย็น แต่มันก็ไม่เคยโกรธ จะเซ้าซี้อยู่แค่ไม่กี่คำว่า “ได้เล่นรึยังเฮียคลิน วันนี้จะเล่นบอลกันมั้ยเฮียคลิน” เขารู้สึกผิดแต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ จนสุดท้าย เขาก็ต้องยอมเตะบอลกับมันโดยลากคอเพื่อนสนิท 4-3 คนมาเล่นด้วยกัน

จากอาทิตย์ละ 1-2 วัน กลายเป็นเล่นกับมันแทบทุกวันในตอนเย็น ตอนเช้าก็เจอกันอีกบ่อยๆ กลางวันนี่เจอกันได้ที่ร้านค้าเพราะมันพาน้องมาซื้อนมกิน

“เฮี่ย!” เสียงทักทายไม่น่าแปลกใจเท่าวันนี้มีเด็กหน้าเหมือนมันตามตูดมันมาด้วย

“อะไร”

“เลี้ยงนมได้ป่ะ นะ”

“เอาดิ ให้น้องมึงด้วย” ที่หนึ่งมองปฏิกิริยาเด็กอีกคนที่หน้าเหมือนไอ้รชา เด็กคนนั้นเงยหน้ามองเขาแล้วกระพริบตาปริบ จากนั้นก็ก้มหน้าไปเหมือนเดิม

“ตัวเอาอะไร”

“เหมือนจิวแหล่ะ”

“ตัวขอบคุณเฮียสิ เฮียเลี้ยงนะ”

“ขอบคุณ” พี่ให้พูดก็พูดตาม น่ารักดีว่ะ ที่หนึ่งคิดอยู่กับตัวเอง เขาเลิกคิ้วมองเด็กแฝดน้องที่ยังคงยืนนิ่ง เห็นไม่ขยับเสียทีก็เลยผลักไหล่เบาๆ

“ไม่กินหรอ?”

“กิน เอา....”

“ชาหยิบเองสิ”

“ชาจะกินนมอะไร เดี๋ยวพี่หยิบให้ก็ได้” เขาพูดป้องคำดุของไอ้รชาที่มีให้น้องชาย แฝดน้องมองหน้าเขาแล้วกระพริบตาอีก 2 ปริบแล้วก็เอื้อนเอ่ย

“กินนมจืด”

“หน้าตัวยังจืดไม่พอหรอ? กินช้อคโกแลตเหมือนเราสิ”

“ไอ้รชา! อย่าทำแบบนี้กับน้องสิ”
“ชาจะกินนมจืดใช่มั้ย? โอเค” เขายิ้มใจดีให้แล้วยื่นมือไปจับหัวอีกฝ่ายแล้วโคลงไปมา แฝดน้องเสยตามองเขาแล้วก็ยิ้มให้ พวงแก้มจับกันกลุ่มดูแล้วคิดว่าน่าจะนุ่มกว่าแก้มไอ้ลูกหมารชานนท์แน่ๆ

เขายื่นนมให้แล้วมองรอรอยยิ้มที่อาจจะได้เห็นอีกรอบ แต่เด็กชายชานนท์ก็เพียงแค่ก้มหน้างับหลอดแล้วดูดม๊วฟๆ ไม่ได้สนใจเขาอีกเลย

“เย็นนี้ผมรอนะ”

“รอเฮียทุกเย็น น้องมึงกลับบ้านค่ำไปด้วยไม่ใช่หรอ? รีบกลับบ้านไปเถอะ”

“ต้องรอรถที่บ้านมารับอยู่แล้ว มาเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้น เฮียไม่ต้องห่วง”
“ชาก็อยู่ได้ใช่มั้ย?”

“อืม”

“แล้วชาไม่เบื่อหรอ?” เขาถามแฝดอีกคนที่ไม่ได้ใส่แว่น แต่ก็ไม่ค่อยเงยหน้ามองโลกนี้มากนัก อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขาแป๊บเดียวก็ก้มตามเดิม แต่ก็ส่ายหน้า

“ไม่เบื่อจริงอ่ะ ทำอะไรรอไอ้รชามันล่ะ อ่านหนังสือหรอ?”

“อยู่นิ่งๆ เจมชอบอยู่นิ่งๆ ได้คิด”

“เจม?....ชาชื่อเล่นชื่อเจมนี่”
“เนอะ”

“..........”

“เฮียยยยย!”
“ปวดเยี่ยวอ่ะ ไปก่อนนะ เย็นนี้นะเฮียนะ เล่นกัน”

“เออเออ!” เขารับคำแฝดพี่แล้วส่งยิ้มให้แฝดน้องที่โดนลากข้อมือวิ่งลับกลับตึกเรียนไปทันที ที่หนึ่งอมยิ้มนิดแล้วก็หันกลับไปมองตู้นม เขาเลือกซื้อนมจืดทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาว่ามันไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่นัก



“เฮียยยยยยยคลิน” มาอีกแล้วไอ้ลูกหมาแสบ เขายิ้มเอือมรอมันวิ่งกระหืดกระหอบมาหา ทุกกลางวันไอ้รชาจะถ่วงเวลาตัวเองจนได้เจอเขาก่อนมันถึงจะขึ้นตึก บางทีก็ขอให้เลี้ยงขนม เลี้ยงนม บางวันก็มานัดแนะว่าเย็นนี้จะเล่นอะไร จะตามเขาไปที่ไหน และทุกวันเขาก็จะกำชับไว้ว่า อย่าเอาแต่เล่นสนุกจนลืมดูน้อง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันฟังเขาบ้างรึเปล่า

“อ้าวเฮ้ย! ไอ้ไข่คู่” เขาแกล้งทำเป็นตกใจที่เห็นหน้ามัน ไอ้ลูกหมาทำหน้าหงิกให้เป็นของตอบแทน

“ชื่อรชานนท์ เรียกดิเฮีย”

“เออ! ไอ้ไข่คู่”

“ไอ้เฮีย!” มันเถียงแล้วกระโดดขึ้นขี่คอ เขาหัวเราะเบาๆ แต่พอเริ่มเจ็บที่มันบิดหูก็ดีดกะโหลกมันเข้าให้ แล้วก็สลัดตัวมันลงจากหลัง

“แล้ววิ่งมาแบบนี้ได้ไง ทิ้งน้องหรอไอ้รชา”

“น้องผมไม่ได้ง่อยนะ เฮียเฮีย ผมอยู่ชมรมด้วยนะ นะ น้า”

“มึงจะเล่นอะไร?”

“กีตาร์!”
“ตีกลองปังๆๆๆๆ” ที่หนึ่งหัวเราะเอือมเด็กแสบที่ส่งเสียงตึงตังอยู่ตรงหน้า เขาเขกหัวมันแล้วด่า

“สัด! ตีกลอง ไม่ใช่ยิงปืน”

“นั่นแหล่ะเฮีย นะ นะ ให้ผมเข้าชมรมนะ”

“เออเออ เดี๋ยวบอกไอ้พีชไว้ให้ แล้วน้องแฝดล่ะ เข้าด้วยกันมั้ย? ทิ้งน้องหรอมึง”

“ถามแล้ว ชามันไม่เล่น มันจะเข้าชมรมอยู่นิ่งๆ”

“ส้นตีน พ่องมึงตาย ชมรมห่าไรนั่นไม่มีหรอก”

“อย่าพูดงี้นะเฮีย พ่อผมตายแล้วหนักส่วนไหนเฮียหรอ?” เขาออกจะอึ้งๆ เมื่อได้ฟังความ เด็กแฝดคู่นี้ไม่มีพ่อแล้วหรอเนี่ย รู้สึกเศร้าแทนยังไงไม่รู้

“ไอ้รชา พ่อมึง....”

“ตายแล้ว”
“แม่บอกรีบ” แต่ไอ้ตัวนี้มันเข้าใจความหมายของความตายแน่รึเปล่าวะ? แลไม่สะทกสะท้านเลย เขาไม่ถามเรื่องพ่อมันต่อและรับปากเรื่องรับมันเข้าชมรมที่เขาเป็นประธานอยู่ และแม้แฝดตรงหน้าจะไม่แสดงอาการเสียใจเรื่องพ่อที่จากไปแล้ว แต่เขาก็ยังอดห่วงไปถึงแฝดอีกคนไม่ได้

เด็กคนนั้น ที่มีดวงตาเหงาๆ แบบนั้นเพราะไม่มีพ่อนี่เอง
เขาคิดว่าเขาเข้าใจ เพราะเขาเองก็เป็นเด็กที่ขาดเหมือนกัน


“เฮียคลิน มาเตะบอลกัน”

“เฮียต้องติว ม.6 แล้ว จะเอนท์อยู่รอมร่อ”

“โห่เฮียคลินอ่ะ เฮียเก่งไม่ใช่หรอ? ไม่อ่านไม่ติวก็ทำได้”
“นะเฮียน้า น้า” มันออดอ้อนแล้วก็ปลิ้นตัวหนีจากมือเขาที่คว้าคอเสื้อมันเอาไว้ ที่หนึ่งรีบย้ำแรงแล้วสั่งเด็กแฝดอีกรอบ

“ไปตามน้องมึงมาเล่นด้วยกันสิ ให้อยู่ในชมรมพอดีเป็นใบ้”
“น้องมึงทำไมไม่ค่อยพูดมากเหมือนมึงเลยวะไอ้รชา ไม่ได้นะ มึงอย่าแย่งน้องพูดหมด ให้ชาพูดบ้าง”

“เฮียอ่ะ!”

“ไปตามมา เร็ว”  สุดท้ายมันก็ยอมไปตามเหมือนที่เขาบังคับให้ทำทุกๆ วัน ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง และไม่รู้วันนี้จะได้ผลรึเปล่า

ที่หนึ่งนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะม้าหินเพื่อรอเวลากลับบ้านของตัวเอง เสียงเรียกเขาดังแว่วมาแต่ไกล ไอ้รชาวิ่งลากมือน้องข้างหนึ่ง ลากกระเป๋าข้างหนึ่งแล้วก็ลู่ลมลงสนามบอลไป ปล่อยน้องชาของมันไว้ไม่ห่างเขานัก

“ชา นั่งรอรชามันแถวนี้สิ”

“..........”

“หิวรึเปล่า พี่พาไปซื้อขนมเอามั้ย?”
“ม.2 แล้ว เราสูงขึ้นกี่เซ็นต์ วัดรึเปล่า?”

“เปล่า แต่จิวบอกผอมลง”

“อืม ก็ผอมลงจริงๆ กินเยอะๆ สิ กำลังโต” ที่หนึ่งสะดุ้งนิดๆ ที่จู่ๆ ใบหน้าที่ก้มต่ำเป็นนิสัยก็เงยขึ้นมองเขากะทันหัน หัวใจเขาเต้นตึงตังเมื่อเด็กชายชานนท์คลี่ยิ้มให้แล้วงุบงิบปากบอกขอบคุณ

แฝดน้องไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกับเขา แต่เลือกนั่งรอพี่ชายที่โต๊ะม้าหินติดๆ กัน การบ้านถูกแผ่ทำเป็นบางวัน ซึ่งบางวันเขาก็ชะโงกตัวไปดูว่าทำได้มั้ย ถ้าเห็นว่าทำไม่ได้ก็จะช่วยสอน

เด็กคนนี้มองหน้าเขาบ่อยขึ้น ยิ้มให้มากขึ้นแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากเรียกเขาก่อนสักวัน เรียกได้ว่าหากที่หนึ่งไม่ชวนคุยก่อนก็แทบไม่ได้คุยกันเลย แม้จะอยู่ในระยะใกล้กันมาตลอดก็ตาม

เขาคิดว่าคงเข้าใกล้เด็กกำแพงสูงได้แค่นี้ แต่เขากลับคิดผิด เมื่อวันสอบวันสุดท้ายของชีวิตเด็กม.ปลายมาถึง
ทั้งที่ม.ต้นสอบเสร็จตั้งแต่ครึ่งวันเช้าแล้ว แต่สี่โมงเย็นที่เขาเดินลงมานั่งที่ม้าหินตัวเดิม ชานนท์กลับเดินเข้ามานั่งที่ม้าหินโต๊ะเดียวกันแล้วก็ยิ้มให้

“พี่หนึ่ง” หัวใจเขาพองแทบระเบิด ไม่รู้มันเป็นอะไรเหมือนกัน แต่พอได้ยินเสียงชานนท์เรียกว่าพี่หนึ่งแล้วมันเหมือนมีใครเป่าลมเข้าไปในใจเขาเพิ่ม

“ชา...ยังไม่กลับบ้านหรอ? สอบเสร็จตั้งแต่เที่ยงนี่”

“พี่หนึ่ง เรียนจบแล้วใช่มั้ยครับ?”

“หือ? อื้อ...ถ้าไม่ตกวิชาไหนซะก่อนนะ”

“ขอบคุณนะครับ” เด็กเงียบๆ พูดเท่านี้แล้วก็เดินมาจับมือที่หนึ่งเอาไว้แน่นๆ มือเล็กๆ กำมือใหญ่กว่าของเขาเอาไว้ใน 2 อุ้งมือแล้วโยกมือไปมา
“ขอบคุณครับ” เด็กคนนี้พูดเท่านี้ แต่สายตากลับสื่อความหมายมากมาย เขาไม่ได้ถามว่าขอบคุณเรื่องอะไรบ้าง เพราะเขาเชื่อว่าเขารู้ว่าชานนท์คนนี้ขอบคุณเขาเรื่องอะไร



“พี่หนึ่ง พี่หนึ่ง” ผมเรียกเขาหลายรอบแล้วเขาก็ไม่ตื่นเสียที นายคฤณยังคงหลับลึก กอดหนังสือติวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแนบอก โน้ตบุ้คก็เปิดคาเอาไว้ เสื้อผ้ายังไม่ได้เปลี่ยน มีแค่คลายเนคไทด์ไว้หลวมๆ เท่านั้น

“ท่าจะเหนื่อยจริงๆ” ผมละเลิกการแงะมือเขาออกจากหนังสือแล้วก็ตรงรี่ไปปรับแอร์ให้อยู่ในสภาพที่โมเลกุลของกายหยาบเขารู้สึกอิ่มเอม ใช่ครับ 23 องศา

จากนั้นก็ลงมือต้มซุปผักง่ายๆ เตรียมไว้รอรับนายคฤณกลับจากพักร้อนที่ดาวอังคาร
ทำเสียงกุกกักอยู่ไม่นาน นายคฤณก็งัวเงียตื่นขึ้นแล้วนั่งหัวยุ่งบนโซฟา เขาส่งเสียงเรียกผมเบลอๆ ผมเลยต้องรีบโผล่หน้าไปหาให้รู้ว่า อืมมม เจมเอง ไม่ใช่โจรพ่อครัวที่ไหนหรอก

“เจมมาเมื่อไหร่ครับ? หือ?”

“เจมต้องถามพี่หนึ่งมากกว่าว่าเหนื่อยมาจากไหน หลับเป็นตายเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น”
“ไปล้างหน้าก่อนดีกว่าครับ เจมทำซุปผักกาดเอาไว้ให้”

“ขอบคุณครับ” เขาพูดแล้วจ้องตาผมนิ่งๆ วันนี้แววตาเขาลึกซึ้งมากกว่าวันไหนๆ ที่เล่นจ้องตากัน

“พี่หนึ่งเป็นอะไรรึเปล่า?”

“คงเป็นนิดๆ น่ะ เมื่อคืนก่อนพี่กลับบ้าน ไปเจอพวกหนังสือตอนอ่านเตรียมเอนท์แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้”

“อะไรหรอครับ?” เสือกครับเสือก ฮ่าๆ ความลับคนอื่นคืออาหาร

“ฝันดีมา 2 คืนแล้ว เพราะนึกได้นั่นแหล่ะ ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว พี่ก็ไม่รู้ว่าลืมไปตอนไหน แต่ชื่อนั้นพี่จำได้มาตลอดเลยนะ รู้สึกว่าชื่อนั้นพิเศษ เจอใครชื่อนี้เป็นต้องหันมองตลอด”

“ชื่ออะไรครับ? ใครหรอ? พี่ฝันถึงใครเนี่ย?”

“รักแรกของพี่” ผมขนลุกนิดๆ ตอนที่เขาตอบ นายคฤณมองหน้าผมนิ่งอีกต่างหาก หรือว่าเขาไม่อยากให้ผมเสือกเรื่องนี้กันหว่า

แต่เอ๊ะ! รักแรกของเขาชื่อชานนท์ ก็คือผมไม่ใช่หรอ? แล้วนี่ไปฝันถึงใคร อะไรวะเนี่ย? หลายใจนะเรา
ผมขยี้หัวคิ้วเข้าหากันแล้วจ้องหน้าเขา

“รักแรกของพี่หนึ่ง ชื่อชานนท์ไม่ใช่หรอครับ?”
“ก็...ก็เจมไม่ใช่หรอ?” ผมถามหน้าด้านๆ เลย นายคฤณอมยิ้มและไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขายขยี้หัวผมแล้วดึงไปกอดพร้อมกับพูดให้ผมงงเล่นว่า “พี่ชอบชานนท์ก่อนจะมีรักแรกชื่อชานนท์อีก ตลกดีเหมือนกัน ถ้านึกได้เร็วนี้คงดีเนอะ” น้ำเสียงมันฟูไปด้วยความสุข ผมฟังแล้วก็สุขไปด้วยเลยไมได้ห้ามปรามอะไร แม้จะรู้สึกงงอยู่นิดๆ และคิดอยากหาตัว “ชานนท์” ที่เขาชอบก็ตาม

“อื้อ แล้วที่เจมบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาล่ะ พี่ขอโทษนะ ช่วงนี้ประชุมงบตลอด ไม่มีเวลาให้เจมเลย”
“แต่นี่ก็เคลียร์ได้เยอะแล้ว เหลือแค่ออดิท ว่าไง มีเรื่องอะไรครับ?” ผมกลายเป็นฝ่ายกลืนคำพูดบ้างเมื่อเจอเขาถามตรงๆ

เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะเกริ่นยังไงดี บอกแม่ยังง่ายกว่า เพราะแม่พร้อมเข้าใจผม สนับสนุนผม หรือถ้าเหงาก็บินไปหาผมได้ ไม่มีซอกหลืบในใจมุมไหนของผมที่แม่ไม่รู้ ผมเองก็เหมือนกัน

แต่กับนายคฤณ ผมเป็นห่วงและยังไม่อยากรับกับผลที่จะตามมาหากบอกให้เขารู้เรื่อง
แม้จะรู้เลาๆ ว่าเขาไม่ขวางทางเจริญผม แต่ว่า รักระยะไกลมันมีแค่ในนิยายเท่านั้นแหล่ะมั้งครับ
ถ้าได้ไปจริง ผมก็อยากเคลียร์ทุกอย่าง การจะติดปีก ข้อเท้าก็ไม่ควรมีบ่วงอะไรพันไว้ใช่มั้ยครับ

“หือเจม เรื่องอะไรหรอที่จะปรึกษาพี่”

“อ่อ...คือ...ถ้าเจมขายรถ จะได้กำไรเยอะรึเปล่าครับ” คนหล่อหน้างงเป็นงี้นี่เอง เขาคงวางสีหน้าไม่ถูกสุดๆ แล้ว ผมหัวเราะแล้วบอกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจ ยังไม่รีบขายตอนนี้หรอก แล้วผมก็ชิ่งไปหลังเคาท์เตอร์ครัวต่อ

ผมไม่กล้า ผมป๊อด ผมกลัวผลที่จะตามมาแม้ผมจะแน่ใจว่านายคฤณจะดีกับผมทุกสถานการณ์
นี่ผมกลัวอะไรกันแน่นะ?


“กินซุปร้อนๆ นะ เจมทำไว้ให้ คืนนี้เจมคงกลับคอนโดน่ะครับ มีงานเร่ง”

“หรอ? งั้นพี่ไปนอนเป็นเพื่อนมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่หนึ่งก็งานเยอะนี่นา เจมไม่ใช่เด็กๆ แล้วก็ไม่ได้ง่อยด้วย เชื่อป๋านะตาหนึ่ง” ผมแกล้งล้อชื่อตาหนึ่งที่แม่ชอบเรียกแล้วก็ลากเขามากินซุปที่ผมอุตส่าห์ทำไว้ให้

การได้เห็นเขาตักซุปเข้าปากแล้วอมจนแก้มป่องก่อนกลืน แล้วก็ยิ้มให้ผมจนตาหยีแต่ก็ยังดูหล่อทำให้ผมรู้สึกมีความสุข แต่ก็สุขแบบหงอยๆ

ผมจะได้มองรอยยิ้มของเขานานอีกแค่ไหนกันนะ?

“พริกไทยเพิ่มได้มั้ย? พี่รู้สึกเหมือนพี่จะเป็นหวัด กินแก้เคล็ดไว้ก่อน”

“ตำราไหนครับคุณคฤณ”

“ตำราป๋าคนินครับ” อย่างงครับ ป๋าคนินก็คือพ่อของเขานั่นแหล่ะ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ซึ่งใหญ่กว่าซีเอฟโออย่างนายคฤนเสียอีก คนนี้แหล่ะที่ผมเกรงขาม ไม่ได้กลัวตำแหน่ง แต่เกร็งเพราะเขาเป็นพ่อนายคฤณนั่นแหล่ะครับ
“อื้อ! เสารนี้ว่างมั้ยเจม” จู่ๆ เขาก็สะดุ้งตัวถามผม ผมกรอกตาทวนตารางงานส่วนตัวที่ขีดๆ วงๆ ไว้ที่ปฏิทินบนโต๊ะทำงาน

“คิดว่าไม่มีนัดอะไรนะครับ พี่หนึ่งจะชวนไปไหนหรอ? ไกลป่าว?”

“ไม่ไกลหรอก บ้านพี่”
“ไปกินข้าวกับป๋าพี่นะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 13:07:43 โดย kajidrid »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 21/1/13)
« ตอบ #129 เมื่อ: 03-02-2013 23:42:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #130 เมื่อ03-02-2013 23:50:56 »

อึ้งแดกเป็นงี้นี่เองสินะ
“อืมมม เดี๋ยวเจมเช็คอีกทีก่อนนะ” ผมหลบตาแล้วคิดหาทางถ่วงเวลาไว้ก่อน

“เลี่ยงหรอ? ทำไมครับ? ไม่อยากเจอป๋าพี่หรอ”

“เปล่า ไม่ได้เลี่ยงซักหน่อย”

“ไม่เลี่ยงก็ไม่เลี่ยง งั้นเดี๋ยวเจมเช็คเวลาเจมทีนะครับ แล้วบอกพี่ พี่จะได้ไม่นัดป๋าเก้อ”

“เอ่อ...แล้ว แล้วทำไมต้องเจอป๋าพี่หนึ่งด้วยครับ? มีธุระอะไรให้เจมช่วยรึเปล่า”

“ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก” นายคฤณตอบแล้วยิ้มเว้นช่วงพูดเสียยาว ร้อนถึงผมต้องเบิ่งตาถามระหว่างตักซุปเข้าปาก
“บอกป๋าไว้ว่าจะพาคนสนิทไปให้รู้จัก”

“คนสนิท?”
“แฟน? หรือมือขวากันล่ะครับ” ผมแกล้งพาหลงทางทั้งที่เขาพูดตรงเผงจนไม่มีมุมให้หลบ

“แฟนสิ เจมไง”

ไม่พร้อมแฮะ จะเสาร์นี้หรือเสาร์หน้า หรือเสาร์ที่สองของปีหน้าผมก็ไม่พร้อมหรอก
เขาจะพาผมไปรู้จักป๋าของเขา จะบอกป๋าเขาว่าคบกับผม
จะบ้าเรอะ!!!!
ผมไม่คิดว่าป๋าเขาจะยอมรับผมหรอก แล้วผมก็ไม่ต้องการมีชีวิตดราม่าด้วย
ถ้าเผื่อเขาขอให้ผมเลิกกับลูกชายเขา รับรองว่าผมทำให้ไม่รับค่าจ้างด้วย
ได้โปรดเถอะนายคฤณ นายชานนท์คนนี้ยังไม่พร้อมจริงๆ!

“เอ่อ...พี่หนึ่ง มันต้องแนะนำด้วยหรอครับ?”
“เจมว่า เราเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนี่”

“เป็นแบบนี้คือเป็นยังไงครับ? พี่ก็ไม่เห็นว่าการบอกป๋ามันจะทำให้เราไม่เป็นแบบเดิมตรงไหนนี่”

“เจม..เจม”

“เจมทำไมครับ?”

“เจมไม่พร้อมหรอกครับ”
“คือ!” ผมรีบฉวยจังหวะอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นเขาวางช้อนตักซุปแล้วกอดอกฉับ ท่าเตรียมงอนครับ
“คือเจมยังไม่พร้อม ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้พี่เข้าใจความรู้สึก แต่เจมไม่ใช่พี่หนึ่งที่พร้อมให้แม่เจมรู้เรื่องของเรา พร้อมจะบอกทุกคนในทุกๆ มุมของพี่ เจมไม่ใช่คนชอบเปิดเผยอะไรขนาดนั้น”
“แล้วเจมก็ไม่คิดว่า เรื่องของเราจำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่รู้”

นายคฤณดูอึ้งไปครับ เขาไม่คลายวงแขนที่กอดอกตัวเองไว้ ซ้ำยังถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตา ผมคิดอะไรผิดงั้นหรอ? ก็ผมไม่พร้อมนี่นา แล้วแค่ตอนนี้มันก็มีความสุขดีแล้ว

“พี่ไม่เข้าใจ การที่พี่อยากบอกผู้ใหญ่ก็เพราะพี่อยากให้เจมรู้ ให้ป๋ารู้ว่าพี่ตัดสินใจดีแล้ว พี่ให้เกียรติเจม ให้เกียรติป๋า ทำอะไรก็ไม่อยากปิดบัง ไม่ดีตรงไหน”

“ก็เจมไม่พร้อมเจอป๋าพี่นี่ครับ”
“เอาตรงๆ นะ ถ้าป๋าพี่รับเรื่องของเราไม่ได้และอยากให้เลิกกัน”

“พี่ไม่เลิก!”

“เจมเลิก”



โลกปิดสวิตซ์หรอ?
ทำไมดูอะไรก็มืดมนไปหมด
ผมยอมรับว่าใจหายที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็พูดไปแล้ว คำพูดเป็นนายผมแล้ว
นายคฤณจ้องหน้าผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาหันหน้าไปมองทางอื่นแล้วส่งเสียงหัวเราะขื่นไม่กี่คำ เขาลุกจากโต๊ะอาหารไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเขาสักพัก และปล่อยให้ผมทบทวนสิ่งที่ตัวเองโพล่งออกมาสักพัก

และเมื่อเขากลับมา เขาก็ถามสิ่งที่ทำให้ความเงียบเป็นเจ้าของห้องนี้เต็มตัว

“เจมรักพี่บ้างรึเปล่า?”

“..............”

“เจมครับ รักพี่หนึ่งบ้างมั้ย?”

“ถามทำไมครับ? ที่เจมทำมันไม่ได้บอกพี่หรอว่าเจมรู้สึกยังไง” ผมเถียงเบาๆ รู้สึกน้อยใจเหมือนกันที่เขาถามผมแบบนี้ ถ้าผมไม่รักผมจะนอนด้วยหรอ? ผมจะอยู่ใกล้ๆ เขาแทบ 24 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้หรอ?

ถ้าผมไม่รักนายคฤณ ผมจะไว้ใจ วางใจ จนมีความสุขอยู่ทุกๆ วันกับเขาแบบนี้หรอ?

“ครับ พี่รับรู้ว่าเจมรับน้ำใจพี่ รับความรู้สึกดีๆ ของพี่ ไม่อึดอัดเพราะพี่ ไม่รำคาญพี่”
“แต่สิ่งเหล่านี้มันก็แค่องค์ประกอบ”
“ความรักคือการให้ อย่างน้อยๆ คนเกือบค่อนโลกก็เข้าใจตรงกันแบบนี้”
“ถ้าสิ่งที่เจมรู้สึกกับพี่คือความรักจริงๆ พี่คงรู้สึกได้ว่าพี่ได้รับความรัก”

“แล้วพี่หนึ่งไม่รู้สึกได้รับความรักหรอครับ ที่ผ่านมาทั้งหมด พี่ไม่รู้สึกหรอ”

“พี่รู้แค่ว่าเจมไม่ปฏิเสธ ถ้านั่นแปลว่ารัก พี่ก็จะดีใจ”
“แต่ถ้าแปลว่าก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่พี่รักเจม พี่คง...ทำอะไรไม่ได้”
“หัวใจเป็นของเจมนี่”

ผมหนักหนังตาพิลึก
ซุปจืดๆ เย็นชืดหมดแล้ว กลิ่นหอมที่เคยคิดว่าจะทำให้เขายิ้มและชมผมไม่มีแล้ว
ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาก็ยืนที่เดิมเหมือนกัน
ผมไม่ได้โกรธเขา นายคฤณเองก็คงไม่ได้โกรธผมเหมือนกัน
เรากำลัง...อยู่นิ่งๆ เพื่อทบทวนสิ่งที่เราเดินผ่านมันมาหลายเดือน
ทบทวนว่าเราเดินอยู่บนกลีบกุหลาบแห่งรัก หรือทางหินขรุขระที่มีกลีบกุหลายโรยเอาไว้กันแน่

“ก็ได้ครับ ถ้าการไปพบป๋าพี่เสาร์นี้ มันบอกได้ว่าเจมรักพี่หนึ่ง เจมก็จะไป”

“ไม่เป็นไร พี่ว่าเจมทบทวนความรู้สึกให้ดีดีกว่า”
“พี่บอกแล้วว่าพี่จริงจัง ก็หมายความว่าพี่จริงจัง เจมคือคู่ชีวิต คนอื่นจะเรียกว่าคู่เกย์ คู่ขา พี่ก็ไม่แคร์”
“สิ่งเดียวที่พี่ต้องการคือเจม ทั้งหมด”
“ขอโทษที่เร่งเร้า เอาตามเจมสะดวกใจดีกว่า”

เขาไม่ได้ประชดผมเลยสักคำ แต่ผมรู้สึกว่าผมทำผิด ทำผิดกับเขามากๆ
นายคฤณแหวกความอึดอัดเข้าห้องนอนไป ผมก็เลยเก็บจานชามลงอ่าง ล้างให้ คั้นน้ำส้มเอาไว้ให้ จัดหายาที่คิดว่าเขาอาจจะต้องกินเอาไว้ให้เพราะเมื่อกี้เขาบอกว่าเขาคล้ายๆ จะเป็นหวัด

ผมมายืนที่หน้าห้องนอนเขา คิดจะเคาะประตูแล้วบอกว่าจะกลับแล้ว แต่ประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท
ผมแตะประตูเบาๆ มันก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นนายคฤณนอนคว่ำอยู่บนเตียงที่เกลื่อนกลาดด้วยของอะไรเยอะแยะไปหมด ผมไม่รู้ว่าเขารื้อมันออกมาทำไม มีแต่พวกหนังสือติวข้อสอบเอนทรานซ์ ลูกบอลเยินๆ เฉลยการบ้านคณิตศาสตร์ม.2 นามบัตรชื่อว่าชานนท์ ลี้สกุล ซึงมันเป็นใครผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็มีกระดาษวาดรูปที่สเก็ตด้วยดินสอหนักๆ

รูปวาดแบบนี้ผมก็ชอบวาดเล่นตอนม.ต้นเหมือนกัน

ของพวกนี้คงเป็นตัวแทนความทรงจำของเขา
ความทรงจำา ผมไม่เคยเข้าใกล้
ในทางกลับกัน ความทรงจำของผม เขาก็ไม่เคยเข้าถึงเหมือนกัน

จากที่จะเอ่ยลา ผมตัดสินใจถอยหลังออกจากห้องนอนของเขา ออกจากห้องของเขาและซิ่งมินิกลับคอนโดตัวเอง
อารมณ์ของผมตอนนี้ว่างเปล่า ราวกับคนยืนคว้างกลางอวกาศกะทันหัน
ผมไม่รู้ว่าเรื่องของเขากับผมที่ผ่านมาหลายเดือนนั้น คือเรื่องจริงจังที่ผมต้องไล่ตามให้ทันและจริงจังให้เท่าทันเขาในที่สุด หรือเป็นแค่บททดสอบหนึ่งในชีวิตผมกันแน่

แต่หากมันคือบททดสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทดสอบเรื่องความรัก
ผมรู้แล้วว่าผมสอบตก

“เจมครับ รักพี่หนึ่งบ้างมั้ย?” เขาถามทำไมกันนะ แล้วเขาจะรู้รึเปล่าว่า “ผมคนนี้” ไม่รู้หรอกว่าจจริงๆ แล้วความรักคืออะไร?




ความรักคือการฝ่าฟันร่วมกัน คือการร่วมทางกัน  คือการใช้ชีวิตร่วมกัน
และหากผมฝ่าฟันได้แค่บางเรื่อง ร่วมทางได้แค่บางเวลา และใช้ชีวิตร่วมได้แค่บางส่วน
ผมรู้จักความรักหรือยัง?

ผมเซฟงานและปิดโน้ตบุ้คโดยไม่โหยหามันอีก
ตลอด 3 ชั่วโมงหน้าโน้ตบุ้ค ผมเขียนงานได้แค่ 2 ย่อหน้า ซึ่งมันน้อยมาก และผมต้องเร่งปิดเอาท์ไลน์ที่ถูกแก้มาให้เสร็จ เพราะงานชิ้นนี้พี่ปูจะใช้เสนอเป็นผลงานของผมสำหรับให้คณะกรรมการได้เห็นเพื่อตัดสินคัดเลือกคนไปอบรมต่างประเทศ

พี่ปูบอกว่ามันเป็นโอกาสครั้งใหญ่ แต่โอกาสครั้งงามนี้กำลังพ่ายแพ้แก่คำถามที่นายคฤณโยนใส่หัวผม
ผมเคยรักเขาบ้างมั้ย?
รักสิ ผมรักนะ
แต่ที่ไม่กล้าบอกเขาก็เพราะรู้ว่าความรักของผม มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกยิ่งใหญ่ของเขา

ผมเชื่อเรื่องความเท่าเทียม เรื่องแบ่งปัน
เพราะฉะนั้น ผมก็ขอตัดสินใจว่าความรักที่ชิ้นเล็กกว่าของผมนั้น ไม่คู่ควรไปประกบเข้าคู่กับความรักที่ชิ้นใหญ่โตของนายคฤณหรอก
เมื่อไม่คู่ควร ก็ไม่ควรคู่ ผมคิดแบบนั้น

แต่เพียงแค่คิด น้ำตาผมก็หยดแหม่ะ
ผมเศร้า สลด แต่ที่แย่คือผมไม่รู้ว่าผมเศร้าเพราะอะไรกันแน่
ระหว่างการระลึกรู้ความรู้สึกแสนหยาบและฉาบฉวยของตัวเอง กับการถูกตอกย้ำว่าที่ผ่านมา ผมเป็นฝ่ายที่เอาแต่ได้มาโดยตลอด

เที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาหลับสนิทแล้วรึยังนะ?
ผมอยากได้ยินเสียงเขา อยากบอกสิ่งที่ลอยวนในหัวให้เขาได้รู้ และช่วยประมวลผลแทนผมทีว่าผมรักเขามั้ย
เบอร์นายคฤณเรียงตัวกันบนหน้าจอไอโฟน ตัดสินใจไม่นาน ผมก็วัดดวงโทรหาเขา
เอาเป็นว่า ผมจะหาคำตอบให้ได้ เราทั้งคู่จะได้เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่ค้างคาและตบตาความรักอยู่แบบนี้

รอไม่นานเขาก็รับสาย น้ำเสียงเขาไม่งัวเงีย แสดงว่าเขาไม่ได้ถูกปลุกจากนิทราแสนหวาน

“เจมเองครับ”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ แล้วก็เงียบไป ผมเงียบตามและคิดจะตัดสายไปดื้อๆ แต่เขากลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“พี่อยู่หน้าห้องเจม”

หือ!!
ผมรีบเดินไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นหน้าเขา ผมก็ตัดสายแล้วกระโดดไปกอดเขาไว้ ผมร้องไห้โดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมเป็นคนว้าเหว่และติดเขาเป็นลูกแหง่ขนาดนี้

“เจม...เจม”

“เข้าห้องก่อนนะ”
“อย่าร้องไห้สิครับ เจมร้องไห้ทำไม หือ?”

“เจม เจมขอโทษ” ผมรีบพูดเมื่อเขาปิดประตูห้องแล้วเสร็จ ผมกอดเขาไว้แน่น ทำให้เราขยับไปไหนไม่ได้นอกจากยืนเป็นไม้หลักปักเลน โงนเงนอยู่กลางห้องกันแบบนี้
“เจมเขอโทษ”
“เจมแย่เอง เจมแย่เอง เจมเห็นแก่ตัว”

“เดี๋ยวเจม เดี๋ยว ใหญ่โตไปรึเปล่า? พูดให้พี่รู้เรื่องหน่อยสิ”

“ก็เจม...เจมทบทวนดู ที่ผ่านมาเจมเอาแต่รับ พี่หนึ่งก็ให้เจมทุกอย่าง แต่เจมก็..ก็รักพี่เท่าที่พี่รักเจมไม่ได้”

“เรื่องแค่นี้เอง คิดมากทำไม”
“หนึ่งบวกหนึ่ง หรือหนึ่งจุดห้าบวกศูนย์จุดห้า มันก็เท่ากับสองทั้งนั้น”

“แต่ว่า แต่ว่าเจมก็ควรรักพี่มากกว่านี้”
“มากแบบพร้อมจะฝ่าฟันทุกอย่าง เจอปัญหาด้วยกัน แก้ปัญหาด้วยกัน”
“เจมขอโทษ แค่พี่ชวนไปหาป๋าเจมก็สับสนแล้ว เจมมันไม่ได้เรื่อง”

“ช่างเถอะ คนเราต่างที่มา พี่ก็ผิดที่คิดว่าความจริงจังของพี่ควรใหญ่โตถึงขั้นประกาศบอกป๋า”
“พี่เองก็แย่ ถ้าพี่ไม่แคร์ใครจริง พี่จะสนทำไมว่าป๋าจะยอมรับรึเปล่า จะหาวิธีทำให้ป๋าชอบเจมทำไม พี่ขอโทษนะ”

“แต่เจมก็ป๊อด ถ้าป๋าพี่ไม่ชอบเจม เจมก็จะไปจากพี่ให้ เจมไม่กล้าเป็นตัวถ่วงพี่หนึ่งหรอกครับ”

“พี่ไม่เลิก บอกแล้วไงว่าไม่เลิก”
“ถ้าพูดอีกพี่จะดีดปากให้เจ่อเลย”

“แต่ป๋าพี่นะ”

“พี่มีป๋าคนเดียว เปลี่ยนไม่ได้”
“ป๋ามีพี่คนเดียว เปลี่ยนไม่ได้เหมือนกัน”
“พี่รักเจม พี่ไม่เปลี่ยนใจ ป๋าเปลี่ยนใจพี่ไม่ได้ เปลี่ยนลูกก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือเปลี่ยนมาชอบเจมของพี่”
“คิดเท่านี้ก็พอ นะครับ”

มันจะง่ายแบบที่เขาคิดหรอ?
ผมบอกตรงๆ ว่าหวั่นใจ

“แล้วก็...อย่าหนีพี่อีกนะ”
“ไม่ว่าจะคิดอะไร ยังไง จะทำอะไร บอกพี่”
“พี่ก็คงเข้าใจได้ทุกเรื่องไม่ได้ แต่ว่า พี่ก็อยากให้บอก”

“ก็เจมบอกไว้แล้วว่าจะกลับคอนโด ไม่ได้หนี”

“พี่หมายถึงการปฏิเสธไม่ไปเจอป๋าพี่ อย่าหนีแบบนี้อีก”
“ไม่พร้อมก็ไม่พร้อม อะไรที่ไม่สบายใจ พี่ก็ไม่บังคับให้ทำหรอก”
“ดูดิ สติแตกซะน่าเป็นห่วง”

“ก็พี่หนึ่งจริงจังนี่ จะให้เจมพูดได้ไงว่าไม่พร้อมทั้งชาติ”
“พี่พูดจาเหมือนจะให้ป๋าพี่แสกนเจมแล้วลงดาบตัดสินว่าเอาไม่เอา เจมกลัวนี่”
“เจมไม่มีอะไรไปเปลี่ยนใจป๋าพี่หรอก ถึงได้บอกว่าถ้าป๋าพี่ให้เลิก เจมก็จะเลิกให้”

ปั่ก!
ครับ เขาดีดปากผมเหมือนที่เขาพูดไว้ก่อนหน้า แม่งเจ็บอ่ะ!
ผมลูบปากตัวเองป้อยๆ ส่วนเขาก็มองผมตาเขียว นายคฤณไม่ชอบคำว่าเลิกจริงจังเลยครับ ผมมองเขางอแงแล้วก็ผละตัวออกมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา

เขาเดินมานั่งข้างๆ แล้วก็เอนตัวนอนหนุนตักผม มือยาวยื่นมาซับรองก้นแก้มผมไว้แล้วบี้เบาๆ

“พี่รักเจมนะครับ”

“ครับ เจมรู้แล้ว”

“แล้วรักพี่บ้างรึเปล่า”

“ก็..รักนะ คิดว่า”  นายคฤณหัวเราะให้คำตอบแสนกั๊กของผม ผมหลับตาลงหลังจากสูดลมหายใจยาว ผมเพิ่งเห็นเต็มตาว่าเขายังไม่ได้อาบน้ำเลย คงตื่นมาแล้วไม่เห็นผมก็เลยตามมาที่นี่ทันที

ตอนนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงได้รักผมเหลือเกิน ก็ในเมื่อผมไม่ใช่คนน่ารักเลยสักนิด



เช้านี้ นายคฤณมาส่งผมที่ออฟฟิศด้วยรถของผมนั่นแหล่ะ เพื่อว่า เย็นนี้เขาจะได้มารับผมกลับคอนโดของเขาด้วยกัน เขากลัวผมหนี และก็บอกผมตรงๆ ด้วยว่ากลัวผมหนีขนาดไหน

“พี่ไม่อยากตื่นมาไม่เห็นเจมอีก” อื้อ! จริงๆ ผมก็ดีใจนะที่มีความหมายกับใครคนหนึ่งยามตื่นนอนขนาดนี้ แต่บางที ก็ควรเห็นคุณค่าพระอาทิตย์กันบ้าง

เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้นายคฤณจี้ถามผมถี่มากว่า “คิดอะไรอยู่ครับ?” “ เหม่ออะไรหรอ?” “มีอะไรยังไม่ได้บอกพี่รึเปล่า” แต่ยิ่งเขาเซ้าซี้ถี่เท่าไหร่ ไอ้สิ่งที่ควรออกจากปากผมก็ยิ่งม้วนตัวลงไปเกาะลูกกระเดือกผมไว้แน่น

“รอพี่มารับนะ อาจมืดหน่อยเพราะติดประชุม”
“อย่ากลับก่อนนะครับ”

“ครับ” ผมรับคำแล้วยิ้มรับอุ้งมือที่ยืนมาอุ้มแก้ม นายคฤนยืดตัวมาหอมหน้าผากผมแล้วปล่อยผมลงหน้าทางเข้าตึก แล้วก็ซิ่งรถจากไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 13:09:16 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #131 เมื่อ03-02-2013 23:58:35 »

“หวานละมุนละไม อยู่ทุกค่ำคืน ความทุกความรู้สึก ตื่อ ดึด ดือ ตือ ดื๊อ ดือออ” เสียงเปรตแซวผมครับ ผมตวัดตามองไอ้ต้อมที่ยืนกัดหลอดโอเลี้ยงมองผม มันจ้องตั้งแต่ผมลงจากรถแล้ว ผมเลยเดาว่ามันเห็นฉาก 18+ ในรถแน่ๆ

“อะไรของมึง” ผมแกล้งถามเสียงเขียวเพื่อกลบความอาย ไอ้ห่านี้ก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินมากอดคอผมไว้แล้วกระซิบที่ซอกคอ

“อย่าดื้อกับพี่หนึ่งของกูให้มากนะมึง ดูแลให้ดี กูฝากด้วย” แล้วแม่งก็วิ่งตูดบิดน่าถีบจากไป ผมเลยได้แต่ด่าลมว่า “เชี่ย!” แล้วแม่งมีสิทธิ์อะไรมาฝากฝัง มันเบ่งไอ้พี่หนึ่งออกมาทางรูจมูกรึไง!
ผมส่ายหน้าเอือมระอาแล้วก็ขึ้นออฟฟิศผมเพื่อทำตามหน้าที่ของผมให้จบลงแบบดีที่สุด

ไอ้แอมมาทักทายผมแล้วก็วาดแผนการใช้ชีวิตของมันที่อังกฤษให้ผมฟัง หากมันถามผมสักคำว่าอยากรู้รึเปล่า ผมคงไม่น่าบูดเป็นตูดไก่ไหม้จนพี่ปูเข้ามาแขว่ะแบบนี้หรอก

“เป็นอะไรเจม ทำหน้าไม่รับแขก”

“มันเครียดครับพี่ปู สงสัยกลัวไม่ได้ไปเรียนต่อคู่กับแอม” สาระแนนะมึง ผมยิ้มแหยให้พี่ปูดู รายนี้ก็ไม่รู้เป็นอะไรกับแก้มและหน้าผากผมนักหนา ชอบจับจริง

แกยื่นมือมาดีดแก้มผมเป๊าะๆ แล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะพูด
“พี่ก็ไม่อยากบอกหรอกนะ อยากให้ลุ้น แต่ว่าถ้ามันทำให้เครียดกันขนาดนี้ก็จะกระซิบให้”
“มันเป็นคิวโควตาเล่มเราพอดี”
“และเล่มเราก็เข้ากับธีมคอนเวอร์แจนซ์พอดีเหมือนกัน คิดว่าจะพลาดหรอจ๊ะ”

นี่ใบ้หรอ? คิดว่าบอกตรงๆ เสียอีก
ไอ้แอมแสดงสีหน้ามั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมจนผมอยากถามมันด้วยภาษาหมาว่าที่ผ่านมาหน้ามึงยังไม่จัดเต็มอีกหรอ?

พอพี่ปูเดินไปทักทายพี่ๆ คนอื่น ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของผม ปล่อยให้ไอ้แอมยืนเกี้ยวพาราสีผมต่ออีก 5 นาทีก็ตีจาก ทิ้งไว้แค่ชาแอปเปิ้ลไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น


บ่ายแก่ๆ ผมได้รับโทรศัพท์จากนายคฤณ บอกให้ลงมาหน้าตึกหน่อย มีของมาให้
ผมไม่ใช่คนว่าง่ายนักหรอก แต่จะให้เมสเซนเจอร์มารอเก้อมันก็ไม่สมควร กุลีกุจอลงมาให้แลดูว่ารีบแล้วผมก็ต้องมายืนรอของที่นายคฤณบอกไว้ร่วม 10 นาที

และของก็เลอค่ามาก คริสปี้ครีม...อืมมม เดินไปซื้อช้อคบอลในอุบนพันก็ฟินเหมือนกันมั้ยครับคุณ
ผมได้มาทั้งหมด 10 กล่อง ครับ กล่องบนสุด มีโน้ตเขียนแปะไว้ว่า “ฝากให้พี่ๆ ในออฟฟิศชานนท์ด้วยครับ” โอเค หลอกใช้กันก็ไม่รู้จักบอก

ผมกลับขึ้นมาที่ออฟฟิศอีกครั้งแล้วก็เดินแจกขนมตามโต๊ะเลยครับ “คุณคฤณฝากมาให้ทานกันครับ” ไม่ต้องบอกนามสกุลหรือบริษัท ทุกๆ คนในออฟฟิศก็ระลึกหน้าคนใจดีได้ทันทีครับ ผมเดินแจกจนถึงกล่องสุดท้ายก็ต้องชะงักมือไว้ เพราะมีกระดาษแปะไว้หน้ากล่องว่า “ของเจมอยู่ในนี้นะ ให้เจมคนเดียวนะครับ”

ความระแวงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ นี่นายคฤณจะพิลึกถึงขั้นซ่อนแมลงสาบปลอม หรือจิ้งจกปลอมไว้ในกล่องรึเปล่านะ?
ผมเปิดฝาอย่างระมัดระวัง ในกล่องนี้มีโดนัทเหลืองนวลเพียงชิ้นเดียวนอนทับกระดาษซับน้ำมันแผ่นบาง
และผมจะไม่ยิ้มเลย หากว่าบนโดนัทไร้รูนั้นจะไม่ได้มีแหวนเสียบเอาไว้ราวกับทำหน้าที่ปรอทวัดความหวาน

โรแมนติครุ่นพ่อเกินไปนะไอ้พี่หนึ่ง
ผมหยิบแหวนพิงค์โกลด์เกลี้ยงลายขึ้นมอง ดูจากขนาดแล้วผมไม่รู้หรอกว่ามันจะพอดีนิ้วผมรึเปล่า เพราะผมไม่ค่อยใส่เครื่องประดับที่มือ เว้นนาฬิกาข้อมือเท่านั้น

ผมหย่อนตัวนั่งแล้วดึงทิชชู่เปียกมาเช็ดแหวน จากนั้นก็บรรจงสวมมันลงไปที่นิ้วชี้ข้างซ้าย
และก็พอดีเป๊ะ แต่ความไม่เจียมและอยากรู้ทำให้ผมถอดแหวนออกและลองสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย แน่นอนว่ามันหลวม

ดรึ๊ง!
เสียงข้อความส่งเข้ามา ผมแหง่ะตาดูโนทิสที่หน้าจอแล้วก็รีบเปิดอ่าน
นายคฤณส่งข้อความมาว่า “ใส่แล้วถ่ายรูปให้พี่หนึ่งดีใจด้วยนะครับ”

“เรื่องเยอะจังคุณคฤณ” ผมประชดเบาๆ แต่ก็ดึงแหวนมาสวมไว้ที่นิ้วชี้แล้วถ่ายรูปให้ดูโดยไม่ใช้แอพปรับแสงอะไรให้มากความ

ดรึ๊ง!
เขาส่งข้อความกลับมาว่า “ใส่นิ้วชี้ หมายถึงชอบบงการ งั้นพี่ให้เจมบงการเรื่องของเราได้ตามใจเลยครับ”
ผมอมยิ้ม และเดาว่าเขาเองก็นั่งอมยิ้มอยู่เหมือนกัน

ผมส่งกลับไปว่า “อย่าเยอะครับ ไม่ใช่ละอ่อนกันแล้ว” ฮ่าๆ  ขอแขว่ะเรื่องผู้ชายหลักสามกันนิดนึง ก็นะ คำพูดคำจามันจะพาย้อนไปอยู่วัยหัวเกรียนยังไงไม่รู้

ดรึ๊ง!
เฮ้ย! โทรมาเถอะ ผมกดอ่านข้อความ “รักเด็กดื้อ ก็ต้องบื้อตามเด็ก” โว๊ะ! ไม่ไหวแล้ว คุยกันเถอะ

ผมโทรกลับไปทันทีเลย สัญญาณว่าตรู๊ดดด ยังดังไม่จบดีก็กลายเป็นเสียงเขาเสียแล้ว

“พี่หนึ่ง! เยอะอ่ะ แล้วสำนวนอะไรเนี่ย? เชย!” เขาไม่ตอบอะไร แค่หัวเราะชอบใจแล้วก็ถามผมกลับมว่า

เจมชอบมั้ย?

“ไม่ชอบได้ไง แหวนร้านแม่เจมสวยจะตาย”

แล้วอ่านชื่อที่สลักรึยัง?

“อ่าว! มีด้วยหรอครับ เดี๋ยวนะ อ่านก่อน” ผมตามที่พูด แหวนถูกรูดออกจากนิ้วอีกรอบเพื่อเพ่งพิศ
ผมเป็นคำภาษาอังกฤษเรียงแถวไม่รอบวงดีว่า “First’s Love”

“เห็นแล้วครับ”

เข้าใจใช่ครับ?

“เข้าใจสิครับ เจมไม่ได้โง่มากนะ”

เข้าใจว่าอะไรครับ บอกพี่ทีสิ

“ความรักของที่หนึ่งครับ” ผมแปลความหมายตามที่เห็น ปลายสายเงียบไปจนผมเริ่มกลัวว่าจะปล่อยไก่ เอ๊ะ! หรือมันแปลว่ารักแรกธรรมดา

“พี่หนึ่ง...เจมเข้าใจไม่ถูกหรอครับ”

พี่สลักชื่อเจมต่างหาก
พูดเท่านี้ก็ตัดสายไป ปล่อยให้ผมจ้องอักษรบนแหวนแล้วก็นั่งเขินหน้าแดงอยู่คนเดียว
ไอ้บ้าพี่หนี่ง จะหวานเยิ้มทำไมว้า?


พอมีสิ่งแทนใจสื่อรัก ใจผมก็อิ่มเอมกับความรักมากขึ้น
เหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำให้ผมสติแตกแลดูไม่น่ากลัวแล้วสำหรับนายชานนท์ในตอนนี้ ผมได้รับกำลังใจเต็มเปี่ยม ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีอุปสรรคใดที่ผมกลัวอีกต่อไปแล้ว

เอาล่ะ เขาเปิดเผย จริงใจ ใส่ใจผมขนาดนี้ ผมก็จะให้เกียรติเขาเหมือนกัน
คืนนี้ ผมจะปรึกษาเขาเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ แม้จะแค่ 8 เดือน และเชื่อมั่นว่าเขาไม่คัดค้านแน่ๆ ผมก็จะปรึกษา และจะให้น้ำหนักความเห็นของเขาถึง 50%


ตกเย็น เขาโทรหาผมอีกครั้งเพื่อย้ำว่าให้รอ ผมเพิ่งรู้ว่าวันนี้เขาไปไซท์ที่ระยองเพื่อจัดการเรื่องโรงไฟฟ้ากับชุมชนนิดหน่อน ตอนแรกก็บอกเขาแล้วว่าเดี๋ยวกลับเอง ไปเจอกันที่คอนโดเขาเลยก็ได้ แต่นายคฤณก็ไม่ยอม บอกว่า “พี่บอกแล้วว่าจะไปรับ ก็จะไปรับเจมให้ได้ รอพี่แป๊บนึงนะ” เมื่อเห็นความตั้งใจขนาดนั้น ผมก็เลยไม่ปฏิเสธและนั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ

ไอ้ต้อมโบกมือลาผมกลับบ้านตอน 6 โมงกว่าๆ ส่วนไอ้แอมกลับไปตอนทุ่มกว่า ก่อนกลับยังอุตส่าห์ซื้อซาลาเปาไส้ครีมมาให้ บอกว่า “รองท้องก่อนนะมึง”

และตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 4  ทุ่มแล้ว นายคฤณก็ยังไม่มา ผมลองโทรหาแต่ปรากฏว่าติดต่อเขาไม่ได้เลย เดาว่าคงอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

ผมโทรหาไอ้จิว แล้วฝากมันบอกแม่ว่ากลับคอนโดตลอดอาทิตย์เพราะปั่นงานด่วน ซึ่งไอ้พี่ชายก็ดูจะเข้าใจดีจึงไม่ถามอะไรมากว่างานอะไรนักหนา ก็ดีที่มันไม่ถาม ผมก็ยังไม่พร้อมจะบอกมันกับแม่เรื่องไปเรียนพ่วงอบรมสื่อเหมือนกัน

รออยู่จน 4 ทุ่มครึ่งโทรศัพท์ผมก็ส่งเสียงร้องจนผมสะดุ้งตื่น
ผมรับสายโดยไม่ได้ดูเบอร์ เสียงปลายสายไม่คุ้นหูเท่าไหร่ ซ้ำสำเนียงการพูดก็แปร่งๆ หูพิกล

“นายชานนท์ครับ ใช่รึเปล่าครับ?”

“อ่า ครับ ชานนท์พูด ใครครับ” เกิดมาไม่เคยมีใครเรียกผมว่านายหรอกครับ เว้นครูบาอาจารย์ที่เรียกขานเพื่อเช็คชื่อเข้าเรียนเท่านั้น

“นายคฤณให้โทรบอกว่า ไม่ต้องรอนะครับ กลับห้องดีๆ”

“หือ? แล้วพี่หนึ่งอยู่ไหนครับ? ทำไมไม่บอกผมเอง” ผมจี้ถามกลับ ปลายสายอึกอักนิดหน่อยแต่ก็ยังตอบ

“นายคฤณไม่ให้บอกว่าอยู่ที่ไหนครับ นายชานนท์กลับห้องเลยนะครับ นายคฤณบอกว่าให้รับปาก”

“ไม่ นายคฤณอยู่ที่ไหนครับ ให้มาพูดกันหน่อย” ผมสั่งเสียงเข้ม ไม่พอใจนิดๆ ที่เขาไหว้วานผมให้เป็นธุระของคนอื่น นี่มันยุ่งขนาดบอกผมสั้นๆ ไม่ถึงสิบคำไม่ได้เชียวหรอ?
“ให้นายคฤณมาพูด!”

นายครับ นายชานนท์ไม่ยอมครับ

วางไป!

อะ! อะไรวะ!!
วางไปคืออะไรกันวะ!
ผมโมโหปุดๆ ปลายสายตัดสัญญาณไปตามคำบอกกล่าวที่ผมได้ยินเมื่อครู่ แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะยอม ผมโทรจี้กลับไป กดโทรอยู่นานมากกว่าปลายสายจะยอมรับเสียงเรียกของผม ประเมินเวลาคร่าวๆ น่าจะราวครึ่งชั่วโมง

“ฮัลโหล”

“นายคฤณล่ะ! เอามาพูด!” ผมสั่งอย่างอารมณ์เสียและต้องการเอาชนะให้ถึงที่สุด ปลายสายเงียบไป แต่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน เสียงหอบหายใจ และเสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพคนจอแจ

“ฮัลโหล”

“พี่หนึ่ง อยู่ไหนครับ?”

“ไม่ใช่นายคฤณครับ นายคฤณพูดไม่ได้ครับ อยู่ในห้อง”

“ห้อง? ห้องอะไร?” ผมซักต่อ แต่ปลายสายก็ทำให้ผมผิดหวังเพราะมันบังอาจตอบว่า “นายไม่ให้บอก”

“บอกมา จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา นี่ไม่ได้เอาเงินฟาดหัวนะ กำลังเอาเงินง้างปาก”
“บอกมาว่าพี่หนึ่ง หรือนายคฤณอยู่ที่ไหน บอกเดี๋ยวนี้!”

“คือ...นายไม่ให้บอกจริงๆครับ”

“เออ! งั้นก็ไม่ต้องบอกว่าเขาอยู่ไหน บอกมาว่านายน่ะอยู่ไหน” ผมแทนสรรพนามเขาแบบกดๆ หน่อย เพราะเขาเรียกผมว่านาย เรียกพี่หนึ่งว่านาย งั้นเขาคงเป็นลูกน้องหรือแรงงานที่จ้างไว้นั่นแหล่ะ

“อ๋อ ผมหรอ? ผมอยู่โรงพยาบาลครับ ในอำเภอเลย”

“นายไปทำอะไรที่นั่น” ผมจี้ถามอีก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดได้ทุกอย่างเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับนายคฤณ เขาก็เลยตอบผมว่า “ผมพานายมาหมอครับ มีเรื่องนิดหน่อย ดีว่านายไปช่วยไว้ ไม่งั้นพวกผมตายไปแล้ว นี่พวกผมก็ลุ้นอยู่ ขอให้นายไม่เป็นอะไรมาก หมอบอกเสี่ยงตาบอดด้วย โคตรน่ากลัวเลยครับ”

ไอ้เหี้ย! ตายคืออะไร! ตาบอดคืออะไร?
ราวกับใครมากระชากหัวใจผมลงไปใต้พื้นดิน มือไม้ผมอ่อนไปหมด ตอนแรกที่ยืนคุยเค้นอารมณ์เต็มที่ก็จำต้องนั่งลงตามเดิม

“อยู่ไหนนะ นายบอกว่าอยู่โรงพยาบาลอะไรนะ บอกชื่อมา บอก บอก! บอกเดี๋ยวนี้!!” ปลายสายตระหนกกับน้ำเสียงผม เขาบอกชื่อโรงพยาบาลที่เขาอยู่แบบที่คิดว่าผมน่าจะนึกภาพออก แต่สารภาพเลยว่าผมนึกไม่ออกหรอก ผมเคยไประยองไม่กี่ครั้ง และไม่เคยขับรถเองเลยสักครั้ง

เมื่อได้ข้อมูลมา ผมก็จัดการหาแผนที่จากกูเกิล เอาล่ะ ได้เส้นทางที่จะต้องขับรถไป จุดสังเกต หลักกิโลและห่าเหวอะไรก็แล้วแต่ที่มันโชว์ขึ้นมา ผมปรินท์แผนที่ที่เข้าใจมันได้มากที่สุด แล้วก็ทะยานออกจากออฟฟิศทันที!

ผมเรียกแท็กซี่กลับห้องเขาก่อน ผมต้องมีรถ และเขาก็ขับรถผมไป เพราะฉะนั้นผมก็ต้องมาพึ่งรถของเขานั่นแหล่ะ แม้จะไม่ชินกับรถหน้ายาวเลยก็ตาม

ยังไม่เที่ยงคืน ผมก็ทะยานอยู่บนถนนสุขุมวิท ขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ด้วยฝึเท้า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผมรู้ว่าผมกำลังประมาท ไม่ประมาณตน ทำอะไรคิดน้อย แต่ผมคิดมากกว่านี้ไม่ได้ ผมตริตรองการกระทำนานกว่านี้ไม่ได้ ผมเกรงว่าจะไม่ทันการ

ผมกลัวว่าหากไม่รีบไป คำว่า “วางไป” จะเป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขา

ทั้งที่เพิ่งคิดวนไปวนมาว่ารักเขารึเปล่า ที่รู้สึกกับเขาใช่ความรักมั้ย แล้วผมรู้จักความรักถูกต้องแน่แล้วหรอ
แต่ตอนนี้ ผมไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรอีก แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่ารักเขาแน่มั้ย? มากแค่ไหน และรักแท้จริงรึเปล่า แต่ผมก็ทะยานไปหาเขาด้วยความคิดที่แน่วแน่เพียงความคิดเดียวว่า “ผมเสียเขาไปไม่ได้”





cut


ลืมกันไปรึยังคะ?

T^T อย่าเพิ่งลืมเรื่องนี้กันน้าาาาา  :monkeysad:

ชดเชยที่หายไป ตอนนี้ลงตั้ง 3 Rep แน่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 13:12:47 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ Donaldye

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 563
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #132 เมื่อ04-02-2013 00:27:11 »

พ่่ีหนึ่งอย่าเป็นอะไรนะ ฮืออออ
เข้ามารอทุกวัน อย่าหาไปนานๆอีกนะไม่งั้นงอน :laugh:

ออฟไลน์ Rukki

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #133 เมื่อ04-02-2013 00:36:41 »

ฮือออออออ
พี่หนึ่งอย่าเป็นอะไรนะคะะะะะ TT[]TT

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #134 เมื่อ04-02-2013 00:44:40 »

 :m15: พี่หนึ่งอย่าเป็นอะไรไปนะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #135 เมื่อ04-02-2013 00:56:52 »

พี่หนึ่งงงงงงงงงงงพี่หนึ่งเป็นอะไรไปแล้วเจมจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรอ

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #136 เมื่อ04-02-2013 01:50:34 »

 o22  พี่หนึ่ง

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #137 เมื่อ04-02-2013 01:54:43 »

อย่าเป็นอะไรนะพี่หนึ่ง

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #138 เมื่อ04-02-2013 02:56:53 »

กะลังหวานเลย ไหงดราม่าซะงั้นอ่ะ  :sad4:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #139 เมื่อ04-02-2013 05:36:40 »

พี่หนึ่งทำเสียงเข้มใส่ได้ คงไม่ถึงตาย แต่เจมที่ขับรถเร็วขนาดนั้นด้วยอารมณ์ที่จะไปถึงให้เร็วที่สุดล่ะ
โฮ ลุ้นไปนะเนี่ย เรื่องจะไปอังกฤษยังไม่ทันเคลียร์เลย
อย่าทำเรื่องนี้เศร้านะ ไม่อยากเสียทิชชูเป็นม้วนๆ

ป.ล.ดีใจมากๆที่มาต่อ นึกว่าจะเพลินไปซะแล้ว555

*edit
เรื่องความรักอ่ะ โดนอ่า
ไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 06:24:57 โดย AeRoMoZa »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
« ตอบ #139 เมื่อ: 04-02-2013 05:36:40 »





ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #140 เมื่อ04-02-2013 08:18:11 »

บางครั้งเรื่องง่ายๆ เจมก็คิดเยอะเกิ๊น  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #141 เมื่อ04-02-2013 09:43:33 »

พี่หนึ่งจะเป็นอะไรมากมั้ยอะ อย่าให้เป็นอะไรเลยนะ แล้วเจมจะไปทันมั้ยน๊า

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #142 เมื่อ04-02-2013 10:08:53 »

แงงงงงงงงงงพี่หนึ่งของหนู :serius2:

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #143 เมื่อ04-02-2013 17:23:33 »

เกิดอะไรขึ้นเนี่ยยยย
ดูแปลกๆนะพี่หนึ่ง  โอ้ย ปัญหากำลังกรูกันเข้ามา

อยากอ่านต่อมาก  มาต่อเร็วนะคะ

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 15 - 3/2/13)
«ตอบ #144 เมื่อ05-02-2013 20:18:05 »

อย่าคิดมากนะเจม พี่หนึ่งไม่เป็นไรหรอก

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 3/2/13)
«ตอบ #145 เมื่อ06-02-2013 23:27:34 »

Hear, Me

=======
If I could, I would
======


ตอนที่ 16



ในที่สุด พี่หมวดก็พาผมมาถึงโรงพยาบาล
ผมไม่ได้มีเกียรติหรืออภิสิทธิ์เหนือใครหรอกนะครับ และที่มีตำรวจมาด้วยก็ไม่ใช่เพราะเป็นประชาชนผู้บอบบาง ต้องการการปกป้องแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ...ผมโดนจับ...

จะว่าโดนจับมันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว พี่หมวดแกต้องด่านตรวจอยู่ แล้วรถที่ผมขับมาก็เป็นที่เตะตายท้องถนน บวกกับความเร็วที่ผมเหยียบมา ทำให้ผมโดนสกัดครับ แต่ว่า...ผมร้อนใจจริงๆ และก็ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย เว้นเรื่องขับรถเร็วเกินกำหนด ผมก็เลยไม่ต้องเข้าคุกอย่างที่นึกกลัวจนขนหัวลุกในตอนแรก

แต่ที่เรามาด้วยกัน ก็เพราะว่าผมขอร้องแกครับ

“พี่ครับ พี่สารวัตร” ผมเรียกให้ยศใหญ่ไว้ก่อน พี่หมวดแกหันมองด้วยดวงตาหม่นมืด แกคงง่วงจัดแล้วก็เบื่อผมเต็มทนเพราะหน้าผมไม่เหมือนเมียแก พอแกหันมา ผมก็บอกความประสงค์ทันที

“แฟนผมอยู่โรงพยาบาลที่ระยอง แต่ผมไปไม่ถูก พี่สารวัตรไปส่งผมหน่อยได้มั้ย?”
“นะครับ ถ้าไม่ได้เห็นหน้ากัน คำสุดท้ายที่ผมได้ยินมันจะติดหูผมไปชั่วชีวิต มันหดหู่มากเลยนะครับพี่”
“ได้โปรดเถอะครับ ช่วยผมที ผมไม่รู้จะไปทางไหน แล้วผมก็รีบ แต่ก็ไม่รู้จะไปยังไงให้เร็วที่สุดโดยที่ขับไม่เกิน 120 อย่างที่พี่สารวัตรอบรมผมเมื่อกี้”
“นะครับ นะ นะ”

เอา! เอาก็เอา
พี่หมวดตอบเท่านี้ก็ถอดเสื้อตำรวจตัวนอกออกแล้วปรี่มานั่งข้างๆ ผม จากนั้นก็บอกผมว่า “พี่เป็นแค่หมวดไอ้น้อง แต่ขอบใจที่ตาถึง พุ่งไปโลด แม่พี่ทำงานที่นั่นพอดี ไม่ไกลแล้วล่ะ”

ตอนแรกผมคิดว่าแม่แกเป็นหมอเป็นพยาบาล แต่ผมคิดผิดไปนิดเดียวครับ แม่แกเป็นแม่ค้าที่บรรดาพยาบาลผูกปิ่นโตด้วย

ผมขับมาตามทางที่แกบอก ด้วยความเร็ว 140 ตามความชิน แต่รอบนี้แกไม่เตือนผมเพราะบอกว่า “นอกเวลาเวรพี่แล้วว่ะ อยากทำไรก็ทำเลย กฎหมายที่ไว้พุ่งชน ผมก็งงนะว่ามันภาษิตไหนแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพราะหัวใจผมเต้นโครมครามเมื่อได้ยินแกบอกว่าไม่ไกล

ไม่ไกลของแกก็เหมือนกิโลแม๊วแหล่ะครับ ผมขับรถมาเกือบชั่วโมงถึงจะเข้าตัวเมืองและก็เห็นโรงพยาบาลตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ มือผมสั่นขึ้นมาดื้อๆ เมื่อนึกขึ้นว่าอีกไม่กี่นาทีผมก็จะได้เจอนายคฤณแล้ว


ผมจอดรถเบี้ยวๆ แล้วก็ทะยานเข้าตัวโรงพยาบาลทันที เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์คือที่ที่ผมหมายตา แต่พอเข้ามากลับไม่พบสิ่งที่น่าจะช่วยผมได้ ผมเจอที่รับยาก่อนสิ่งอื่นเลย เอาไงดีวะเนี่ย?

“ไอ้น้อง ไปถามตรงนู้นสิ แฟนชื่อะไร หรือว่าอยู่ห้องฉุกเฉิน” ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรซักอย่าง ผมมองตามมือแกก็ย้ายตัวเองไปยังโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวๆ ใหญ่ๆ สีขาวที่ตั้งเป็นตัวขวางพยาบาลมากอายุคนหนึ่งไว้

“คุณครับ ผมเอ่อ...มาหา”
“หา”
“คือ...”

“ใจเย็นค่ะ ติดต่อเรื่องอะไรคะ? แล้วคนเจ็บอยู่ที่ไหน”

“ไม่ครับท ไม่รู้เจ็บอะไรยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน”
“คือ...พี่หนึ่ง...เอ่อ...คฤณครับ คฤณ ธีระเสถียรครับ”
“อยู่ห้องไหนครับ?”
“พอจะบอกผมได้มั้ย?”

“สักครู่นะคะ” เธอบอกผมแล้วก็ง่วนกับคอมพิวเตอร์จอตู้ใหญ่ๆ ที่แทบจะหาในเขตกรุงเทพฯ ไม่ได้แล้ว ครู่เดียวเธอก็เงยหน้ามายิ้มให้แล้วบอกผม

“อยู่ห้อง 908 ค่ะ เลี้ยวขวาไปที่ลิฟท์เลยค่ะ”

“อ่อ ครับ! ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก” ผมละล่ำละลักพูด แล้วก็วิ่งหอบหัวใจที่เต้นโครมไปยังลิฟท์ทันที

ชั้น 9 จ่ออยู่บนหัว ประตูลิฟท์เปิดอ้าออกปุ๊บผมก็วิ่งออกไปทางซ้ายทันที แต่พอเห็นป้ายบอกเลขห้องผมก็ต้องวกไปอีกทาง
ห้อง 908 อยู่ตรงหน้าแล้ว พอเห็นชื่อคฤณ ธีระเสถียร ปุ๊บ ผมก็เปิดประตูเข้าไปทันที

“พี่หนึ่ง!!!” ผมเรียกเสียงก้อง แต่ในห้องกลับไม่มีใครเลย เฮ้ย! ผมดูชื่อแน่ชัดแล้วนะ ไม่ผิดห้องแน่ๆ แล้วนายคฤณไปไหน

“พี่หนึ่งครับ พี่หนึ่ง!”

“ครับ ครับ”
“พี่อยู่ในห้องน้ำ”

โอเค ผมหาเขาเจอแล้ว เราได้เจอกันแล้วแม้ว่าจะมีไอ้ห้องน้ำเป็นอุปสรรคก็ตามเถอะ
ผมยืนตื่นเต้นรอเจอเขาอยู่หน้าห้องน้ำ พอได้ยินเสียงบิดลูกบิด ผมก็ช่วยกระชากประตูห้องน้ำทันที

“พี่หนึ่ง!” ผมตกใจมากที่สภาพเขาเป็นแบบนี้
นายคฤณเหมือนไปฟัดกับหมามา ปากบวม หางตาก็บวม ที่ใต้รักแร้มีไม้ค้ำสอดไว้ หลังมือซ้ายถูกเจาะเพื่อให้น้ำเกลือ เสาน้ำเกลือก็ถูกเขาลากตามออกมา

นายคฤณเองก็ตกใจไม่แพ้กันที่เห็นผมยืนตะลึง เขากระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะยิ้มให้ ซึ่งผมรู้ได้ว่ามันเป็นยิ้มที่ทำให้เขาเจ็บมุมปาก

“พี่หนึ่ง”

“มาจนได้ บอกให้กลับไปก่อนแท้ๆ”
“แล้วเจมมายังไงครับเนี่ย? หือ?”

“เจมขับรถมา”
“คนของพี่บอกชื่อโรงพยาบาล เจมก็คลำๆ ทางมา”
“พี่หนึ่ง” เสียงผมเว้าวอนมากจนตัวผมเองยังรู้สึก นายคฤณเองก็คงรู้สึกเหมือนกันถึงได้มองหน้าผมนิ่งและยิ้มให้แล้วดมหน้าผากผมเมื่อผมไปประคองพาเขาเดินให้สะดวกขึ้น

ผมประคองเขาจนขึ้นนอนบนเตียงแล้วเสร็จ จัดหมอน ห่มผ้าห่มให้แล้วก็ยืนเกาะแขนเขาไว้เป็นเด็ก

“พี่หนึ่ง”

“ครับ”

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมอมแบบนี้ล่ะครับ”

“หมากัดนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก พี่จัดการได้”

“ถ้าจัดการได้ทำไมมอมแบบนี้ล่ะ หมาตัวไหน” ผมถามเพิ่มแล้วทำหน้างอ นายคฤณยกมือข้างที่มีสายน้ำเกลือเจาะอยู่มาลูบแก้มผมแล้วยิ้มปลอบ

“ห่วงพี่หรอครับ”

“ห่วงสิครับ”
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเจมกลัวแค่ไหน”
“ขับรถมาก็กลัว ไม่รู้ทางก็กลัว ไม้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่หนึ่งก็กลัว กลัวตั้งแต่ได้ยินคำว่าตาย ไหนจะตาบอดอีก”
“พี่หนึ่ง”

“เจมครับ เจม”
“ฟังพี่นะ”
“พี่ไม่เป็นไร เรื่องมันนิดเดียว แล้วที่เจมกลัวก็เพราะเจมไม่รู้เรื่องทั้งหมด”
“และที่พี่ไม่อยากให้รู้เรื่องก็เพราะว่าเรื่องมันเล็ก ไม่อยากให้เจมต้องมาทุกข์ร้อนเพราะพี่”

“เจมทุกข์ร้อนเพราะพี่ได้ครับ เจมทุกข์ได้ ร้อนใจได้ เป็นห่วงมากด้วย”
“ต่อไป ห้ามทำแบบนี้อีกนะ พี่ต้องบอกเจมสิ ให้เจมรู้สิ”
“เจมไม่ได้โง่”
“อย่าโกหกว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นไร อย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วให้เจมรู้ว่าโลกนี้จะไม่มีพี่หนึ่งอีกแล้วตอนที่เห็นโลงศพ”
“อย่าทำเหมือนที่พ่อทำกับเจมเลยนะครับ”

น้ำตาผมหยดทั้งที่ไร้เสียงสะอื้น
นานแล้วที่ผมไม่ได้เศร้าเพราะนึกถึงคนที่จากไปนานแสนนานของชายญี่ปุ่นชื่อว่าเท็ตสึ
ผมรักผู้ชายคนนั้นมาก รักตั้งแต่จำความได้ ผมติดเขายิ่งกว่าแม่ กินก็จะกินให้เหมือนเขา อยากมีนิสัยเหมือนเขา อยากยิ้มเหมือนเขา ใช้สายตามองคนอื่นเหมือนเขา ผมอยากเหมือนเขาให้หมดทุกอย่าง แต่เขาก็อยู่ให้ผมก๊อปปี้แค่สิบปีกว่าๆ เท่านั้น

พ่อผมเสียแล้ว เป็นมะเร็ง
และผมรู้ว่าพ่อผมตาย ในวันที่ยืนในงานศพพ่อตัวเอง
ผมไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดมากกว่าจิวที่รู้เรื่องมาตลอดรึเปล่า และผมก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจความหมายของการตายถูกต้องรึเปล่า ผมรู้แค่ว่า พ่อตาย เข้าใจแค่ว่าโลกนี้ไม่มีเท็ตสึอีกต่อไป ไม่มีใครเล่นกับผม ตีแบดโต้กันกับผม จับมือผมวาดรูป อุ้มผมขี่คอ และเข้าข้างผมในวันที่ผมกับพี่จิวทะเลาะกัน

วันนั้นผมร้องไห้หนัก หนักจนอาเจียนแล้วอาเจียนอีก ผมไม่มีเสียงพูดเพราะร้องไห้จนเสียงแหบ ผมโกรธแม่ ตีแม่ เตะพี่จิว ตีพี่จิว ไม่ว่าใครที่เข้ามาจับตัวผมผมก็จะทำร้ายพวกเขาเท่าที่เด็กอย่างผมจะทำได้

ผมโกรธความตาย
ผมเกลียดการตายจาก
เพราะมันพาเท็ตสึไปจากผม...ตลอดกาล
และผมก็โกรธที่ทุกคนเอาแต่พูดกับผมว่า “พ่อเขาไปดีแล้วนะเจม”

ถ้าพ่อไปดีจริง ทำไมไม่พาผมไปด้วยล่ะ
เท็ตสึบอกกับผมเสมอว่า เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะไอ้ลูกหมา แต่การตายก็ทำให้เท็ตสึของผมเป็นได้เพียงพ่อที่โกหกลูกชายได้ลงคอ


“เจมครับ” เสียงเรียกของเขาทำให้ผมสูดน้ำมูกฮึดฮัดแล้วหันหาทิชชู่มาเช็ดน้ำตา นายคฤณใช้หลังมือปาดน้ำตาผมพลางมองอย่างสงสัย เขาคงอยากหัวเราะเยาะที่ผมขี้กลัวจนร้องไห้เสียใจ ทั้งที่เขาเพิ่งบอกว่าเรื่องของเขาไม่ได้ใหญ่โตและเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก

“เงียบเถอะนะ อย่าร้องไห้อีก”

“..........”

“พี่ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้เจมนึกถึงเรื่องพ่อ”
“พี่หนึ่งขอโทษนะครับ”

ผมพยักหน้าและกลั้นน้ำตาเอาไว้ ปลายจมูกผมคงแดงมากเพราะเขาเอาแต่บี้บริเวณนั้น ร้อนถึงผมต้องยกมือขึ้นปัดมือเขาออกไปเสียที

นายคฤณคว้ามือผมไว้แน่นแล้วก็ดึงไปมองใกล้ๆ ตา เขามองแหวนที่อยู่บนนิ้วผมแล้วก็ส่งยิ้มให้ ก่อนจะจูบนิ้วผมเบาๆแล้วเอาไปซุกไว้บนอก

“ขอบคุณนะครับ”
“คิดว่าเจมจะไม่ใส่ซะแล้ว”

“ก็ให้เจมไว้ใส่ไม่ใช่หรอ ต้องใส่อยู่แล้ว”

“บางที พี่ก็ไม่แน่ใจนะ ว่าพี่อยู่กับรักของเจมหรืออยู่กับการตอบรับกันแน่”
“แต่เห็นเจมเป็นห่วงพี่ แล้วก็มาหาพี่ถึงที่นี่ พี่ก็รู้แล้วว่ารักของเจมเป็นยังไง”
“ขอบคุณนะครับ”

ผมมองเขานิ่งๆ จนเริ่มเมื่อยก็ถอยหลังไปนั่งที่โซฟา นายคฤณตะแคงมามองผม เขาส่งเสียงโอดโอยให้ผมรู้ว่าเขาเจ็บ ผมเลยลุกไปช่วยจับแขน ยกขา ตามแต่เขาจะขอให้ช่วย พอตะแคงนอนได้ถนัดดีแล้วเขาก็ใช้มือดันให้ผมกลับมานั่งที่โซฟาดังเดิม

“ง่วงรึยัง? หรือว่าหิวครับ”

“ง่วงมากกว่าครับ ขับรถเหนื่อย” ผมบอกอาการตัวเองแล้วหันตามองนาฬิกาเหนือทีวีจอแบนในห้อง ตี 2 แล้ว มิน่าล่ะ ง่วงชิบหาย

“งั้นนอนนะ พี่จะดูเจมจนกว่าจะหลับ”
“พี่จะหลับทีหลังเจม จะมองจนกว่าจะแน่ใจว่าเจมหลับฝันดีแล้วพี่ถึงจะหลับตา”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ เจมไม่ได้ง่อย แล้วก็ไม่ได้ขวัญอ่อนน่าสงสารด้วย”

“ก็พี่รักของพี่นี่”
“หลับตาสิครับ” เขาสั่งผมอีกแล้ว ดูเอาเถอะ ทั้งที่ผมไม่มีริ้วรอยเจ็บตามตัวแต่อย่างใด และเขาก็มอมไปทั้งหน้า ซ้ำแขนขายังดูใกล้พิการแต่ก็ยังอุตส่าห์มาสั่งผมได้ ผมนั่งมองเขาตาปรือ นายคฤณเห็นดังนั้นก็เลยสั่งอีก
“สิ” หวัดดีไอ้สิ เจอกันแล้วนะมึง! ไอ้สิมาอีกแล้ว โอเค ผมไม่ถูกกับมันเท่าไหร่ ไม่อยากเจอมันบ่อยๆ ผมก็เลยเอนตัวลงนอนและหลับตาในที่สุด

ยังไม่ทันได้ฟังเขาพูดส่งผมเข้านอนด้วยคำว่า “ฝันดีนะครับเจม” ผมก็หลับไปอย่างอ่อนเพลีย



ตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงกุกกัก ลืมตาดูจึงเห็นเตียงคนเจ็บถูกม่านคลุมไว้โดยทั่ว ผมมองเห็นขาพยาบาล เรียวเล็กนิดเดียว ท่าทางจะเป็นหญิงสาวรุ่นๆ

“ถอดเสื้อก่อนนะคะ”

“ครับ”

“คุณหนึ่งมีแต่รอยช้ำตามตัวเต็มไปหมด”

“ครับ ช่างมันเถอะ”
“เอ่อ...คันหลังน่ะครับ เช็ดแรงๆ ให้ผมที” อ้อนพยาบาลป่ะเนี่ย? ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมองนาฬิกา 7 โมงเช้าแล้วครับ วันนี้ผมจะเอายังไงดี? จะกลับไปทำงานหรือจะอยู่กับเขาที่นี่ดีนะ

“พยาบาลครับ”

“คะ?”

“คนเฝ้าผม ตื่นรึยังครับ”

“ตอนดิชั้นเข้ามา ยังไม่ตื่นนะคะ”

“ตอนนี้ล่ะครับ” ผมได้ยินก็รีบเอนตัวลงนอนท่าเดิมแล้วหลับตานิ่งทันที เธอคงเปิดม่านมาดูเพราะผมได้ยินเสียงผ้าขยับ

“ยังไม่ตื่นค่ะ”

“ขอบคุณครับ”
“อือ แถวนี้มีเซเว่นหรือร้านอาหารที่ซื้ออะไรกินได้ง่ายๆ มั้ยครับ?”

“ถนนฝั่งตรงข้ามก็มีค่ะ ต้องการอะไรหรอคะ?”

“จะหาข้าวเช้าให้เจมทานน่ะครับ”  ผมนอนอมยิ้มเลยทีนี้ เจ็บตัวอยู่แท้ๆ ก็ยังจะดูแลเอาใจใส่ผม พยาบาลที่เช็ดตัวอยู่ไม่พูดอะไรต่อ ผมเลยได้ยินแต่เสียงเขาพูดกับใครอยู่คนเดียว ฟังๆ แล้วก็เข้าใจได้ว่า เขาสั่งใครสักคนให้หาซื้อข้าวเช้ามาให้ผมกิน

ผมตื่นอย่างจงใจตอนที่เขาเรียก “เจมครับ” ลืมตาปุ๊บก็เจอรอยยิ้มเขา มุมปากที่ช้ำกลายเป็นสีคล้ำม่วง หางตาก็ด้วย พอเจอแสงอาทิตย์สาดใส่ผิวขาว ผมก็เห็นริ้วความเจ็บช้ำของเขามากขึ้น เรียกได้ว่าน่วมไปทั้งตัวจริงๆ และการได้เห็นความจริงด้วยตาตัวเองก็ทำให้ผมตัดสินใจได้

“พี่หนึ่งเล่าให้เจมฟังได้รึยังครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“พี่บอกแล้วไงว่าหมากัด”

“เดี๋ยวเจมโทรลางาน ไม่มีอะไรเร่งอยู่แล้ว พี่หนึ่งมีสำนักงานที่นี่ด้วยไม่ใช่หรอครับ ขอเจมยืมโน้ตบุ้คเครื่องนึง เดี๋ยวจะให้ไอ้ต้อมเข้าถังข่าวรหัสเจมแล้วส่งเอาท์ไลน์ที่เจมทำไว้มาให้ เจมจะทำงานที่นี่ จะอยู่กับพี่หนึ่งจนกว่าจะยอมเล่าเรื่องให้เจมฟังทั้งหมด”

เขาอ้าปากค้างตั้งแต่ผมพูดประโยคยืดยาว พอพูดจบผมก็คอแห้งเลยเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม ยินเสียงเขาหัวเราะไล่หลังมาจึงหันไปมองก็เห็นว่าเขาจงใจหัวเราะผม

“ขำอะไร?”

“ขำเจมน่ะสิ พี่ไม่ขัดใจตั้งแต่เรื่องโน้ตบุ้คแล้วครับ”
“พี่สั่งให้คนหาซื้อข้าวเช้ามาให้เจมแล้ว อย่าพูดไปนะ แต่อาหารที่สั่งจากโรงพยาบาลไม่อร่อย คราวที่แล้วพี่น้ำหนักลงเกือบโล”

“คราวที่แล้ว?”

“อ่อ....หลายปีแล้ว ไม่มีอะไรหรอก”
“เดี๋ยวเจมกินข้าวแล้วลองไปหาซื้อเสื้อผ้านะ พี่จำได้ว่าเลยไปนิดมีเทสโก้อยู่ ไปหาซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน จะได้สดชื่น นะครับ”

“ได้ แล้วพี่หนึ่งจะเอาอะไรมั้ยครับ?”

“ไม่เอาครับ” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วดื่มน้ำต่อ เรารอคนของเขาสักพัก เป้าหมายที่รอคอยก็โผล่มา ผมได้กินข้าวเช้าที่ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ส่วนนายคฤณออกไปคุยกับลูกน้องที่นอกระเบียง

คุยเรื่องจัดการหมามันต้องห้ามผมรู้ด้วยรึไง? ขุ่นแฮะ!

อิ่มปุ๊บก็รอให้เขาคุยธุระเสร็จ พอเขาหันมามองผมแล้วเห็นว่าผมพร้อมจะไปหาซื้อของใช้ส่วนตัวแล้วเขาก็โผล่หน้าเข้ามาเพื่อบอกว่ากระเป๋าสตางค์พี่อยู่ในตู้เสื้อผ้า เจมหยิบไปได้เลย

“ไม่เป็นไรครับ เจมไม่ได้มาแต่ตัว” ผมตอกกลับแล้วก็เดินขุ่นๆ ออกจากห้องพักหมายเลข 908 ไป เชิญเลย อยากมีความลับก็มีไป ไม่ว่ายังไงผมก็จะเค้นคอเขาให้ได้ บอกตรง ไม่ฟังมันก็ต้องใช้เสน่ห์สังเคราะห์ของผมนี่แหล่ะ อย่างงครับ เสน่ห์ของผมก็คือการอ้อน ส่วนที่บอกว่าสังเคราะห์ก็เพราะว่ามันไม่ใช่นิสัยธรรมชาติของผม

ตัวเมืองระยองก็คล้ายๆ ตัวเมืองจังหวัดอื่น ไม่มีอะไรที่ผมรู้สึกตื่นตาเท่าไหร่ เว้นแต่แถวจ่ายเงินที่แคชเชียร์ที่ยาวเหยียดทุกรู อืมมม จังหวัดนี้ท่าทางจะมีคนรวยเยอะเลย

หาซื้อเสื้อผ้าของตัวเองมาสามชุดครับ ชุดเปลี่ยนวันนี้ ชุดนอนคืนนี้และชุดใส่พรุ่งนี้อีกวัน ขนมนมเนยผมก็ซื้อประเคนตัวเองเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ซื้อมากจนยัดเข้าตู้เย็นในโรงพยาบาลไม่ได้หรอก

ผมแวะนั่งดื่มกาแฟหย่อนใจแป๊บนึง ไม่ได้นอนใจเพราะเห็นเขาไม่เจ็บป่วยอะไรมากหรอกครับ ผมแวะหย่อนอารมณ์ตึงๆ ของผมเองเท่านั้นแหล่ะ

พอได้มาเวลาอยู่กับตัวเอง ผมก็โทรหาไอ้พี่จิวก่อน ผมบอกมันแค่ว่าพี่หนึ่งมีอุบัติเหตุนิดหน่อยที่ระยอง ผมก็เลยมาดู แต่ไม่ได้บอกหรอกว่าขับรถมายังไง ไอ้นี่ก็ตกใจยกใหญ่ ฮีโร่มันเจ็บทั้งคนนี่ครับ ผมสัญญาว่าจะให้พี่หนึ่งโทรหามันให้มันซักเรื่องโดยละเอียดดี และก็บังเอิญที่แม่อยู่กับไอ้จิวด้วย แม่ก็เลยรู้เรื่องไปด้วย

สรุป 2 แม่ลูกก็จะมาเยี่ยม “ตาหนึ่ง” เย็นนี้เลย
อืมมม ว่างกันเนอะ

วางสายจากจิว ผมก็โทรหาไอ้ต้อมเพื่อบอกมันให้เปิดโน้ตบุ้คของผมที่ออฟฟิศแล้วโยนงานมาให้ผมทางเมลที มันก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมผมไม่เอาโน้ตบุ้คกลับไปทำงานที่บ้านถ้ารู้ว่าตัวเองจะไม่เข้ามาออฟฟิศวันนี้ ผมเลยบอกไปแค่ว่า “กูไม่ได้นิมิตแม่นเหมือนมึงนี่ห่า จะรู้ได้ไงว่าวันนี้จะไม่เข้าออฟฟิศ” วางสายจากไอ้ยุ่งก็ตอนที่กาแฟเย็นหมดแก้วพอดี

สิบโมงกว่าผมก็กลับมาถึงห้องที่นายคฤณรักษาตัวอยู่ ผมคิดว่าคงได้เจอเขาหลับพักสลายความอ่อนเพลีย แต่ผมคิดผิดถนัด! ประตูที่เปิดอ้าออกเต็มบานไม่ทำให้ขนาดห้องพักใหญ่โตดูโอ่โถงมากขึ้น มีคนอยู่เต็มห้องไปหมด และผมไม่รู้จักใครสักคน

“อ้าวเจม กลับเร็วจัง”
“รอแป๊บนึงนะครับ” เขาบอกแล้วเดินกะเผลกนำขบวนคนแปลกหน้าออกไปที่ระเบียงอีกครั้ง แต่ผมเห็นจำนวนผู้ติดตามของเขาแล้วผมก็เอ่ยขัด

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเจมไปเดินเล่นอีกรอบก็ได้ครับ” ผมเปิดทางให้แล้วก็ถอยหลังออกมา แต่ว่า...ผมมันขี้เสือกอ่ะ พอปิดประตูแล้วผมก็ยืนแอบฟังอยู่หน้าห้องนั่นแหล่ะ แต่ความเสือกของผมศูนย์เปล่า เพราะผมไม่ได้ยินอะไรเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2013 16:13:16 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 3/2/13)
«ตอบ #146 เมื่อ06-02-2013 23:30:45 »

ผมถอดใจแล้วเดินลงลิฟท์มานั่งหน้าที่ร้านเค้กข้างๆ โรงพยาบาล นั่งอ่านหนังสือพิมพ์จนจบไปหลายฉบับแล้วก็ตัดสินใจขึ้นไปหานายคฤณอีกรอบ ตั้งใจแน่วแน่ว่ารอบนี้จะอาบน้ำแล้ว เน่าอ่ะ

รอบนี้เขาอยู่คนเดียวแล้วครับ แล้วก็มีโน้ตบุ้คให้ผมแล้วด้วย ผมยิ้มร่าไปหาเขาที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง พอเห็นผมจะประจบเขาก็ยื่นมือมารอ

“เอาอะไร? หือ?”

“เจมอยากอาบน้ำ พี่หนึ่งล่ะ อาบได้รึเปล่า เจมเช็ดตัวให้เอามั้ย”

“พี่เช็ดแล้ว พยาบาลเช็ดให้เมื่อเช้า”

“อืม งั้นพี่หนึ่งจะให้เจมทำอะไรให้มั้ย เดี๋ยวเจมจะอาบน้ำแล้วนั่งทำงาน แต่ทำงานไปฟังพี่เล่าเรื่องเมื่อคืนไปได้ครับ ไม่มีปัญหา” อย่าคิดว่าผมลืมไปแล้วว่าอยากรู้อะไร นายคฤณหัวเราะหึในลำคอแล้วผลักหัวผมเบาๆ พร้อมก็บอกให้ผมไปอาบน้ำให้สบายตัว

“อื้อพี่หนึ่ง”

“ครับ?”

“แม่กับจิวบอกว่าเย็นนี้จะมาเยี่ยมนะครับ”

“โอ้ย! ลำบากแม่จิวแย่ แล้วจะกลับกันกี่โมงกี่ยาม”
“โทรบอกแม่ไปว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่หายแล้วจะไปหา พรุ่งนี้เย็นๆ ก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

“แต่แม่ตั้งใจมาเยี่ยมแล้วนี่ครับ”

“เดี๋ยวพี่จัดการเอง เจมไปอาบน้ำเถอะครับ” ผมเหม็นมากหรอ? ไล่สองครั้งแล้วนะ ผมหน้าตูมแล้วเดินฉวยถุงเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป ก่อนประตูห้องน้ำจะปิดสนิท ผมได้ยินเขาพูดว่า “ครับแม่ หนึ่งไม่เป็นไรมากหรอกครับ รชามันเวอร์ไปเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่ำๆ หนึ่งแวะไปหายังได้เลย” จ้าจ้า ไอ้คนเก่ง!


ช่วงบ่าย หลังจากที่เขากินมื้อกลางวันและกินยา ทายา ทำแผลถลอกที่หน้าขา และท้องแขนแล้ว เขาก็หลับไป ผมเองก็ง่วงเพราะถูกกล่อมด้วยเสียงนิ้วมือปดแก้นคีย์บอร์ดนี่แหล่ะครับ ผมตัดสินใจนอนบ้าง มองเวลาที่นาฬิกาเหนือทีวีที่นายคฤณเปิดทิ้งไว้แต่ไม่ได้ดู บ่ายสองโมงกว่าๆ ราวสี่โมงผมควรตื่นเพื่อดูแลตัวเองในมื้อเย็น



โทรศัพท์สั่นรัวใกล้ๆ ข้างแก้มผม ผมงัวเงียตื่นขึ้นแล้วเปิดระบบสั่นปลุก บนเตียงนายคฤณว่างเปล่า หายไปไหนของเขานะ?

ผมเดินมาดูในห้องน้ำ ไม่มี ก็เลยเดินไปกระชากผ้าม่านบังระเบียงให้เปิดออก

แล้วผมก็เจอนายคฤณ แต่อีกคนนี่ทำให้ผมตาโตเป็นไข่เป็ดก็คือ

“ตื่นแล้วหรอครับ?”
“เจม นี่พ่อพี่ครับ รู้จักไว้สิ”

“นี่หรอเจม? น่าเอ็นดูดีนะ”
“สวัสดี ผมเป็นพ่อที่หนึ่งมัน”

“เอ่ออออออออ”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้แล้วก้มหน้างุดไว้แบบนั้น ในหัวผมว่างเปล่า ผมไม่รู้จะวางสีหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวเองว่ายังไงดี ตอนนี้ผมอยากหายตัวได้ที่สุด!

“ป๋าครับ เจมเป็นคนของผม”
“ป๋าเข้าใจใช่มั้ย”

“หือ? คนนี้ตัวจริงแล้วใช่มั้ย?”

“ครับ”

“แล้วป๋าต้องเรียกเจมว่าอะไรวะที่หนึ่ง?”
“สะใภ้?”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ผมไม่ได้ฝันใช่มั้ย? ป๋านายคฤณหัวเราะอย่างไร้อาการหวาดวิตกที่ลูกชายพูดทำนองว่าผู้ชายคนที่ป๋าเห็นอยู่คือคนของผม
เขาหัวเราะอ่ะ! หัวเราอะไรวะเนี่ย!!!


“ป๋า หัวเราะแบบนี้เจมกลัวหมด”
“เจมครับ ไม่มีอะไรหรอก ป๋าพี่ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” นายคฤณเกลี่ยอาการงงของผม แต่มันไม่หายไปไหนหรอกครับ ก็คนมันงงอ่ะ จะให้หายงงง่ายๆ ได้ยังไงเล่า!

“โอเค โอเค ป๋าขอโทษ”
“เจมอย่างงนะลูกนะ ป๋าเบื่อไอ้หนึ่งมันอบรม”
“เอ้า! ไอ้ลูกชาย มาคุยกันให้รู้เรื่องว่าหมาตัวไหนกัดต่อ มา มา”

“ไว้ค่อยคุยนะป๋า”
“เจมหิวรึยัง? แล้วงานนี่รีบส่งมั้ยครับ” กะจะไล่ผมไปที่อื่นอีกล่ะสิ ผมรู้หรอกน่าว่าเขาไม่อยากให้ผมรู้เรื่องอะไรด้วย ผมทำหน้ามึนมองเขา แล้วก็หันไปยิ้มกับพ่อเขาแทน

“คุณคนินครับ ผมขอรู้เรื่องด้วยคนนะครับ”
“คุณคฤณไม่ยอมให้ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมคิดว่าผมน่าจะทำตัวเป็นประโยชน์ได้บ้าง หรือถ้าอยากทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โตจริงๆ ผมโทรบอกหัวหน้าข่าวสายอาชญากรรมให้ก็ได้ จะให้เจ็บตัวฟรีแบบนี้ไม่ได้นะครับ ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”

2 พ่อลูกมองหน้าผมแล้วก็หันมองหน้ากันเอง จากนั้นก็อมยิ้มทั้งคู่ ผมคิดว่าผมพอจะรู้แล้วว่านายคฤณยิ้มแล้วดูขี้เล่นกวนส้นตีนเหมือนใคร ลูกไม้ลูกนี้แม่งยังไม่บิดตัวออกจากต้นเลยเถอะ!

“ผมพูดจริงๆ นะครับ”

“ป๋ารู้แล้ว ป๋ายอมตั้งแต่พูดยาวๆ แล้ว”
“เอ้า! ที่หนึ่ง ต้องเล่าทั้งหมดแล้วล่ะ เร็วเข้า ตะวันตกแล้วหมามันกลับบ้านนอนหมดแล้ว” ครั้งนี้ผมอมยิ้มบ้าง ไม่ว่าพ่อนายคฤณจะชอบผมหรือไม่ชอบผม จะรับได้หรือรับไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่แคร์ไม่กลัวเท่าไหร่ ผมสนใจเรื่องที่ทำให้เขาเจ็บแบบนี้มากกว่า

เมื่อโดนพ่อง้างปาก นายคฤณก็ยอมพูดเสียที ประโยคแรกที่ออกจากปากเขาทำเอาผมอึ้งไปเลย

“พวกไอ้สส.พิมานครับป๋า มันไม่พอใจที่ผมพาคนไปทำความเข้าใจกับชุมชนเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่เราลงทุนอยู่ 30% นั่นแหล่ะ”

“มันยังไม่ยอมจบรึไง?”

“ผมก็พยายามไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไร มันส่งคนมาป่วนพนักงานเรา ผมก็ให้พวกเราถอยออกมา จะมีก็แต่พวกนายช่างที่ทยอยออกจากพื้นที่กลุ่มสุดท้าย มันก็มาป้ายสี หาว่าพวกนายช่างไปทำเรื่องอนาจารกับคนในชุมชม แล้วก็โยนมาถึงผม ถึงป๋า”

“อืม”

“มันก็ดวงซวยของผมเอง ดันยังไม่กลับสำนักงาน”
“พอดีผมไปหาซื้อของนิดหน่อย”

“ซื้ออะไร ระยองมีพารากอนให้ซื้อกางเกงในรึไงไอ้ที่หนึ่ง” สมน้ำหน้า! โดนป๋าดุเลย เออ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาจะไปซื้ออะไรที่พื้นที่ชุมชนในจ.ระยอง

“ทุเรียนครับ”

“ทีหลัง ไปเดินซื้อกางเกงในที่พารากอนแล้วก็ลงไปชั้นล่างๆ หน่อย ป๋าว่ามันไม่ขาดตลาดหรอก” เออ ผมก็เห็นด้วยกับป๋านายคฤณนะ

“แต่ผมอยากให้คนที่ผมรักกินของดีๆ นี่ป๋า นี่ตัดขั้วจากสวนกันสดๆ เลยนะ ไม่แกะด้วย กะจะไปนั่งแกะด้วยกัน ทะเลาะกันก็เอาเปลือกฟาดหน้ากัน น่าสนุกออก”

“ไอ้พิลึกคน ใครล่ะเป้าหมายผู้น่าสงสาร”

“เจมครับ” นั่นไง งานเข้ากูเลย ป๋านายคฤณหันมองผมแล้วก็อมยิ้มอีก อืม ยิ้มเก่งจัง เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ นี่ผมไม่ได้เขินที่นายคฤณจะจีบผมผ่านเปลือกทุเรียนหรอกนะ

“เอา! แล้วไง ยังไม่กลับสำนักงาน มันเลยยกพวกมารุมกระทืบเอาเรอะ?”

“มันไม่ได้รุมผม แต่มาหาเรื่องกับพวกนายช่างแล้วทำตัวโอ่อ่า คนแถวนั้นก็ไม่กล้าขยับทำอะไร ป๋าก็รู้ว่าลูกน้องไอ้สส.ห่านี่มันกร่างแค่ไหน”
“มากันเกือบ 20”
“พวกนายช่างมีอยู่ 6 คน”
“ผมมาเจอพอดี ก็เลย...”

“มาเป็นคนที่ 7 ให้หมาร่วม 20 ตัวมันแทะเนื้อเอา”

“ครับ”

“แล้วนายช่างบอกป๋าว่ามีปืนมาเกี่ยว”

“ของผมเอง ยิงขู่เฉยๆ”

“แต่เราก็เป็นฝ่ายมีอาวุธ ใครๆ ก็เห็น”

“..........”

“ใช่มั้ย?”

“ครับ” นายคนิน ธีระเสถียร ต้อนแพะเก่งมาก ที่ผมเปรียบเป็นแพะก็เพราะว่า ผมมองนายคฤณเป็นแพะรับตีนแทนคนอื่นอยู่ครับ แต่แม้จะคิดว่าเขาเจ็บตัวเพื่อผลตอบแทนที่ว่างเปล่า แต่ผมก็นับถือน้ำใจเขาในจุดนี้ เป็นผมเอง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะกระโจนเข้าไปร่วมเจ็บตัวกับกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่ารึเปล่า

“พวกมัน เจ็บอะไรตรงไหนมั้ย”

“ก็มีบ้าง ฟกช้ำ แต่ผมเจ็บสุดเพราะมันงัดไม้มาฟาดหัว ฟาดท้องก่อน ผมถึงต้องชักปืนไง ไม่งั้นก็น่วมตีนตาย”

“อืม”
“เอามากี่ตีน”

“ก็น่วมแหล่ะป๋า”

“อืม เกินจะนับใช่มั้ย ป๋าจะได้เอาคืนถูกจำนวน”

“ป๋าจะทำอะไรครับ?” นายคฤณถาม สีหน้าและน้ำเสียงเขาดูหวาดๆ แสดงว่าฤทธิ์เดชนายคนินไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน

“เอ้า! รู้เขารู้เรา กูเจ็บมึงเจ็บ ง่ายมากไอ้หนู”
“เจม ป๋าฝากดูที่หนึ่งแป๊บนึงนะ”

“อ่อ..ครับ” ผมรีบรับปากแล้วมองตามนายคนินที่เดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางสง่าแต่ก็ว่องไวกว่าอายุเอื้อ

“ไง ยังตื่นเต้นอยู่มั้ย เจอป๋าพี่”

“ไม่ตื่นเต้นครับ แต่งงมากกว่า ท่าทางป๋าพี่หนึ่งไม่...เอ่อ...ไม่แอนตี้เรื่องที่พี่ คบผู้ชายเลยนะครับ”

“เอ้า! ก็พี่บอกแล้วไงว่าจู๋พี่”

“แม่ง กวนตีนอีกแล้วนะ!”
“แล้วพี่หนึ่งล่ะ โอเคมั้ยที่จำใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจมฟังด้วย” ผมถามจี้ใจให้เขารู้ว่าผมรู้ทันเขาเหมือนกันแหล่ะน่า นายคฤณหัวเราะแล้วลูบไหล่ผมเป็นการขอโทษ ไม่ช้านายคนินก็กลับเข้าห้องมา พร้อมกับคนแปลกหน้าที่ผมเจอเมื่อเช้าแต่ไม่มีโอกาสได้รู้จัก

“ที่หนึ่ง ป๋าจะคุยกับตำรวจท้องที่ มีรายละเอียดตรงไหนยังไม่ได้บอกป๋ารึเปล่า”

“ไม่มีครับ ผมเล่าไปหมดแล้ว พวกนายช่างก็อยู่ในเหตุการณ์”

“อืม เดี๋ยวป๋าจัดการเอง”
“แล้วพรุ่งนี้ ออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง? หรืออยากพักต่อ”

“ไม่พักแล้วป๋า พรุ่งนี้กะว่าจะออกบ่ายๆ เกรงใจบ้านเจมเขา”

“อืม ส่งลูกเต้าเขาให้ถึงบ้าน”
“เจมก็...ใครเอาขนมมาล่อก็อย่าตามเขาไปล่ะ ป๋าไปจัดการเรื่องให้”
“อ้อ! เมื่อกี้แว่วๆ ว่าเจมรู้จักหัวหน้าข่าวอาชญากรรมใช่มั้ย?”

“ใช่ครับ” ผมรีบคว้าโอกาสที่จะทำตัวเป็นประโยชน์ทันที

“อืมดี ป๋ารบกวน”

“ไม่รบกวนเลยครับ ผมก็คิดว่าเรื่องนี้มันต้องขยายความให้ถึงที่สุดเหมือนกัน!” เป็นไง ผมอินมากเลยเห็นมั้ย? ก็แน่ล่ะ หน้าหล่อๆ ของนายคฤณต้องเป็นริ้วเป็นรอยคล้ำขนาดนี้ เมื่อกี้ได้ยินว่าฟาดหัวฟาดท้อง ถ้าเขาเจ็บอะไรภายในที่หมอตรวจไม่เจอแล้วเกิดตายจากผมไปล่ะ ผมจะทนอยู่เฉยๆได้ไง!

“อืม ช่วยติดต่อให้หน่อยนะ แล้วให้เบอร์ป๋าไว้ ตามนี้” เขาหยิบนามบัตรจากกระเป๋าใส่นามบัตรแบนๆ ให้ผม ผมก็รีบรับไว้แล้วทำตามความต้องการเขาทันที

งานนี้ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ นอกเสียจากได้ความสะใจที่ไอ้คนที่รุมนายคฤณของผมจะได้รับบทลงโทษกันเสียบ้าง!



คืนนี้ผมก็ไม่ได้กลับบ้านเหมือนเดิม นายคฤณกินข้าวเย็นแล้ว กินยาแล้ว แต่ยังไม่ได้เช็ดตัวก่อนนอน และเขาก็บอกพยาบาลว่า “เดี๋ยวคนของผมดูแลผมเองครับ ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก” ถามกูสักคำเถอะว่าเกิดมาเคยเช็ดตัวให้ใครรึเปล่า ทุกวันนี้อาบน้ำเสร็จยังสะบัดๆ ไล่เกล็ดน้ำเลย ขอบอก!

ผมค้อนควับเมื่อเขาเอ่ยเรียก “เจมครับ เช็ดตัวให้พี่หน่อยสิ” อ้อนตีนแบบนี้นี่เอง ถึงได้ได้มาหลายตีนนัก ผมฮึดฮัดให้รู้ว่าไม่อยากทำ แล้วก็นั่งทำงานป๊อกแป๊กอยู่หน้าโน้ตบุ้ค และก็แว่วได้ยินว่า

“อืมเนอะ คนเรา รักเขาให้เขาทุกอย่าง หวังว่าจะเขาจะห่วงใยบ้าง แต่ก็คงหวังมากไป แค่ขอให้เช็ดตัวให้เขายังไม่อยากทำ”
“คงจะรังเกียจรังงอน ทั้งที่เรารึอยากจะจับจะต้องตัวเขาตลอดเวลา”
“ระดับความรักมันต่างกันจังเลย เฮ้อออ”

“แขว่ะพอรึยัง? เจมเหวอะหวะหมดแล้ว พอเถอะครับ” ผมแสดงตัวให้รู้ว่ากูรู้แล้ว เลิกด่าอ้อมๆ เสียที นายคฤณหัวเราะง้อผมแล้วก็ทำเสียงอ้อนอีก

“เช็ดตัวให้พี่หน่อยนะครับ”

“ก็ได้ จริงๆ เจมก็ตั้งใจจะทำให้อยู่แล้ว แต่เจมขอตบประเด็นนี่ก่อนเท่านั้นเอง” ผมหาข้ออ้างให้ตัวเองไปงั้นแหล่ะ จริงๆ เขินจนไม่อยากทำ เพราะกลัวเขารู้ว่าเขินเวลาเห็นเขากึ่งเปลือย พอข่มความอายได้ ผมก็เซฟทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วปิดโน้ตบุ้ค เดินเข้าห้องน้ำไปเอาน้ำอุ่นและผ้าชุบน้ำมาวางไว้ที่โต๊ะยกระดับสำหรับกินข้าว

“ถอดเสื้อเองได้มั้ยครับ” จริงๆ ไม่น่าถาม อ้อนมาซะขนาดนี้ เขาคงไม่ตอบหรอกว่าถอดได้

“ไม่ได้ครับ เจมถอดเสื้อให้พี่หนึ่งหน่อยนะ”

เขินชิบหายว่ะ ให้ตายเถอะ ปกติเขาเป็นฝ่ายเปลื้องผ้าผมนี่หว่า
ผมถอนหายแล้วกุ้มหน้าหงุดๆกระตุกเชือกที่ผูกสาบเสื้อให้ทับกันออก แล้วก็รูดเสื้อให้พ้นหัวไหล่เขา ดึงเสื้อออกจากตัวเขาจนอกแกร่ง หน้าท้องแน่นกล้ามเนื้ออวดแสงนีออนจากเพดานห้อง

หัวใจผมเต้นตึกตักไปหมด พยายามสงบมันแล้วแต่ก็ทำได้ยากเพราะเขาเอาแต่จ้องผมแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม

“เขินหรอ?”

“มาก”

“พี่ก็ชอบเห็นเจมเขิน เขินอีกนะ” มันเพิ่มดีกรีความเขินได้ด้วยรึไง? แม้จะสงสัยใจวิธีเพิ่มเขิน แต่ผมก็รู้สึกได้ตัวว่าตัวเองเขินมากขึ้น ตอนนี้ผมอยากม้วนตัวเป็นนางอายสุดๆ

“กางแขนสิครับ”

“สัมผัสพี่สิครับ” แน๊!!! แม่งยั่ว! ผมตวัดตามองแล้วก็ก้มหน้างุดกว่าเดิม ผมจับแขนเขาให้ยกขื้นแล้วก็เอาผ้าชุดน้ำอุ่นรูดไปรูดมาโดยไม่รู้หรอกว่ามันทั่วถึงรึเปล่า พอแขนนี้พอแล้วก็ย้ายข้าง นายคฤณก็ยังส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ผมทุกครั้งที่ผมเผลอเงยหน้า

“คางจะเชื่อมติดกับคอแล้วครับเจม”

“ท่าถนัด พี่หนึ่งอย่ายุ่งเลย”

“ปกติถนัดเงยหน้าไม่ใช่หรอครับ เพดานห้องมันน่ามองกว่าหน้าท้องพี่ไม่ใช่รึไง เจมเคยพูดไว้ตอน”

“พี่หนึ่ง!!!” แม่งจะพูดจาลามกตอนนี้ทำไมเล่า! ผมขูดผ้ากับหน้าเขาแล้วก็เช็ดแก้มแรงๆ นายคฤณก็ยังไม่ดุด่าอะไรผมซักคำ มีก็แต่เสียงหัวเราะชอบใจนั่นแหล่ะ

“พี่หนึ่งอย่าแกล้งสิ ถอดเสื้อนานๆ เดี๋ยวก็เป็นหวัดพอดี”

“ไม่แกล้งก็ได้ แต่เจมต้องตามใจพี่นะ”

“ที่ทำอยู่นี่ขัดใจพี่หนึ่งหรอ? คิดบ้างก่อนพูดน่ะ” ผมแขว่ะแล้วมองเขาหน้างอ คนระดับผู้บริหารเขายักไหล่ให้ผมแล้วยิ้มพึงใจ ไอ้เรามันก็แค่นักข่าวกระจอกๆ จะไปอบรมอะไรเขาได้ล่ะ!

ผมเช็ดตัวท่อนบนจนทั่วแล้วก็จับเขาสวมเสื้อตัวเดิมนั่นแหล่ะ กางเกงคือเป้าหมายต่อไปที่ผมมอง ผมต้องตรึกตรองอย่างละเอียดครับ เพราะการสัมผัสใต้กางเกง มันเสี่ยงจะเจ็บตัวจริงๆ

“เช็ดสิ”

“.......”

“สิ” ไอ้เหี้ยสินี่แม่ง จะบังคับกันเกินไปแล้วนะ! ผมดึงเชือกผูกขอบกางเกงออกแล้วรูดขอบกางเกงย้วยๆ ลงมานิดเดียว นิดเดียวจริงๆ เนินกระดูกเขาดูเซ็กซี่ชิบหาย งื้อออ กูไม่กล้ามองแล้ว กูเขิน!

ผมหันหน้าไปทางอื่นแล้วก็ล้วงมือพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำไปเช็ดๆ ซับๆ ให้จนทั่ว แล้วก็รีบชักมือออก
นายคฤณไม่ได้แกล้งอะไรผม เขาแค่มองผมนิ่งแล้วคอยส่งยิ้มกวนส้นตีนให้เมื่อผมมองหน้าเขานานๆ ครั้ง
ผมถลกขากางเกงทรงกว้างให้พับขึ้นมาถึงหน้าเขา แล้วก็เช็ดๆ ซับๆ ขัดๆ  กะเอาให้หนังกำพร้าแม่งร้องไห้หาแม่เลยด้วย

แล้วการเช็ดตัวที่น่าจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ก็จบลง ผมปล่อยผ้าขนหนูลงอ่างน้ำแล้วเตรียมจะยกอุปกรณ์ไปเก็บ แต่ไหล่ผมทั้ง 2 ข้างกลับถูกรั้งไว้เสียก่อน

“ยังไม่ได้ตามใจพี่เลย”

“เจมก็ไม่ได้ขัดใจอะไรพี่หนึ่งเลยนี่” เป็นแฟนผู้บริหารต้องหัวหมอครับ ผมโยกโย้แล้วพยายามแกะมือเขาออก แต่มือเขาเหนียวยิ่งกว่ายางยาแนวกระป๋องเสียอีก พอดิ้นไม่หลุดผมก็หยุดเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ ผมยอมจำนนด้วยการมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วใส่

“อยากได้อะไรอีกครับ”

“อยากได้เจมครับ” ตรงไปนะครับคุณมึง แล้วนี่อยู่ในโรงพยาบาล แล้วตัวก็เจ็บๆ เคล็ดๆ รอยช้ำจากส้นตีนก็เต็มตัวไปหมดยังจะซ่ามาเทคโอเวอร์ร่างกายผมอีก ผมค้อนใส่แล้วยื่นคำขาด

“หายก่อน”

“แค่จูบอ่ะ” ต่อรองซะด้วย ไอ้พ่อค้าหน้าหล่อ!

“หายแล้วหรอ?”

“ปากไม่เจ็บ”

“แต่ปากช้ำ”

“ฮื้ออ ภาพลวงตาแล้ว” น่ะ! เห็นความกวนส้นตีนเอาแต่ใจของเขามั้ย? ผมหลุดหัวเราะแล้วโอนเอนตัวไปตามแรงดึงของเขา สุดท้ายก็ขึ้นไปนั่งตะแคงๆ บนเตียง แล้วเราก็จูบกัน

บรรยากาศมันไม่ได้หวานซึ้งตรงจิตมากมาย ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนมีดอกไม้โปรยใส่หัว อกไม่ได้ฟูฟ่องเหมือนกินช็อกโกแลตฟองดู

แต่มันก็อิ่มมาก อุ่นมาก
เขาจูบแซะปาก แซมลิ้น จูบย้ำทั้งปากบนปากล่าง จูบจนผมต้องดันตัวออกมาหายใจ แล้วก็โดนดึงไปจูบใหม่
ไม่รู้ผ่านไปกี่นาที แต่วินาทีสุดท้ายที่เขาละริมฝีปากไป เขาบอกกับผมว่า “ตอนที่น่วมเกือบตาย พี่เสียใจมากที่มีเวลาร่วมกับเจมแค่ไม่นาน”

“.............”

“ให้พี่เป็นอนาคตเจมด้วยคนนะครับ”


อนาคต...ยังมาไม่ถึงไม่ใช่รึไง
เขาคิดไปถึงอนาคต ในขณะที่ผมนั้น แค่ไล่ตามเข็มวินาทีที่เดินเร็วเหลือเกิน ก็เหนื่อยแล้ว

นายคฤณ ธีระเสถียร ทำให้ผมอยากเป็นคนที่มองเห็นแสงสว่างจากทางระยะไกลบ้าง แค่นิดหน่อยก็ยังดี

ผมคนนี้ จะเป็นคนรักที่ดีแบบนั้นได้รึเปล่านะ? 


Cut



ฮี่ๆๆ มาต่อแล้วค่ะ นักอ่านทั้งหลาย ป๋าเปิดตัวแล้ว ไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย ฮ่าๆ
ก็นะ ฟิคเรื่องนี้อยากเน้นอารมณ์ เบา เบ๊า เบา ค่ะ

อีก 2-3 วันเจอกันนะคะ


แงงงง T^T เราเข้ามาขอโทษค่ะ งืออออ
เราพลาดเอง นามสกุลนายที่หนึ่งเปลี่ยนไปตอนแรกเฉยเลย T^T แต่งเองลืมเอง ย้อนหาไม่เจอเลยตั้งให้ใหม่ซะ งืออออ
ขอโทษในความสะเพร่าค่ะ T____T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2013 16:15:01 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #147 เมื่อ06-02-2013 23:54:51 »

 :-[ โล่งอก พี่หนึ่งไม่เป็นอะไรมากกก

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #148 เมื่อ07-02-2013 00:01:41 »

พี่หนึ่งงงงงงง! *โหยหวน* 5555555555555 ไม่เคยอิจฉาใครเท่าเจมละ ทำบุญด้วยอะไรยะ ก๊าก


ออฟไลน์ chompoonut139

  • สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
Re: Hear, Me (อัพเดท ตอนที่ 16 - 6/2/13)
«ตอบ #149 เมื่อ07-02-2013 00:02:32 »

อิอิถึงคนเขียน พูดถึงโรงพยาบาลในระยองกับสถานที่รอบๆแล้วให้นึกตาม

ว่ามันตรงกับสภาพความเป็นจริงของสถานที่แถวนั้นที่บ้านข้าพเจ้าหรือเปล่า

มีตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง  555ขำดี อ่านแล้วทวนความจำได้เลยว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนในจังหวัดบ้านตัวเองบ้าง

เขียนสนุกดีชอบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด