ร้ายที่ 8
“พ่อ หวัดดี”
“เฮ้ย ไอ้ก้าว! กลับบ้านเป็นด้วยเหรอเอ็ง!นึกว่าจะนอนอยู่แต่คอนโด” พ่อตบหัวผมเบาๆอย่างหยอกล้อ พี่ขุนที่กำลังกินเบียร์อยู่กับพ่อหัวเราะขำ พ่อจะไม่ค่อยเรียกชื่อเล่นของผมหรอกครับ . . ชอบเรียกชื่อจริง พ่อบอกว่าถ้าเรียกผมว่าเจ้านาย ผมก็เป็นเจ้านายพ่ออ่ะดิ นี่ตัวเองเป็นคนตั้งเองนะเนี่ย ไม่ยอมเรียกซะงั้น . . พ่อของผมเป็นคนที่ดูรวยๆอ่ะครับ ค่อนข้างอวบหน่อย (ลงพุงเยอะด้วย) ใส่ชุดเป็นทางการตลอดเวลา และก็ชอบใส่สร้อยทองแสดงออกถึงความรวยอีกด้วย ดีนะไม่เล่นพระ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็มันจะไม่ต่างอะไรเลยจากอาเสี่ยร้านขายทอง
ดีนะที่ผมกับพี่ขุนได้หน้าตาทางแม่มาเยอะ . . (ถ้าพูดออกไปล่ะก็ อาจโดนพ่อแพ่นกบาล)
“เป็นดิ” ผมตอบอย่างเหนื่อยๆ หยิบแก้วเปล่าบนโต๊ะ ทำท่าจะรินเบียร์แต่โดนพ่อตีมือ
“เป็นเด็กเป็นเล็กห้ามกินของมึนเมา” พ่อพูดจบพี่ขุนถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าฮาพ่อ หรือฮาหน้าเสียๆของผม
“พ่อ หนักกว่านี้ผมก็ทำมาแล้ว!” ให้ตาย คนยิ่งเซ็งๆอยู่ด้วย . . เซ็งเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ . . คงเป็นเรื่องของตัวเอง . . ที่ดันอยากเกลียดคนที่ไม่สมควรเกลียดล่ะมั้ง
“หึ อย่างน้อยก็ไม่กินเหล้าเบียร์ ไม่สูบบุหรี่ต่อหน้าพ่อได้มั้ยล่ะ” กิต กิตติเกษมบอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่มีแววเป็นห่วงอยู่โดยนัย
ยอมแพ้ละ . . “ก็ได้” ผมตอบ “ไม่นึกว่าพ่อจะอยู่บ้าน พี่ขุนก็ด้วย นึกว่าจะงานชุกกันทั้งวันทั้งคืน”
“มันก็ต้องมีเวลาให้เอ็งบ้าง ปล่อยให้เอ็งใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เดี๋ยวแม่เอ็งก็ส่งสายฟ้าลงมาฟาดหัวข้ากับไอ้ขุนพอดี” พ่อพูดแบบติดตลก แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ากว่าพ่อจะทำใจเรื่องนี้ได้ เล่นเอาญาติๆพากันปั่นป่วนช่วยงานกิจการที่พ่อคุมกันแบบจ้าละหวั่น เพราะพ่อเจ้าประคุณเล่นขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ตอนนั้นผมกับพี่ขุนยังเด็กมาก ผมไม่ประสีประสาอะไร แต่พี่ขุนค่อนข้างจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี เขาถึงรักผมมากไง
“ผมก็ใช้ชีวิตของผมดีอยู่แล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” ผมไม่อยากให้พวกเขาซีเรียสกับชีวิตของผมมากนัก
“ดีแล้วเหรอ วันนั้นก็เจ็บตา วันก่อนโน้นก็ทำรถคว่ำ” พ่อพูดขึ้นมาทำให้ผมต้องหันขวับไปทางคนขี้ฟ้อง ที่รีบยกแก้วขึ้นกรึ๊บ ปิดบังหน้าตาโดนจับได้ของตัวเองเอาไว้ . . พี่ชายผมมันจับตาดูผมทุกฝีก้าวเลยหรือยังไง
“ก็พ่อสอนผมมาแบบนี้นี่ ใช้ชิวิตแบบเสี่ยงๆดูบ้าง” เห็นปืนตั้งแต่อายุสี่ขวบอ่ะครับ
“ข้าไปสอนเอ็งแบบนั้นตอนไหน!!!!”
“ชิ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่มองแก้วเบียร์ในมือพ่อกับพี่ขุนตาละห้อย หึ พ่อเข้านอนเมื่อไหร่ล่ะก็ เสร็จผมแน่ๆ
“ว่าจะพูดเรื่องร้านหนังสือกับเอ็ง” พ่อเปิดประเด็น
“เห้ย นี่กะเอาจริงเหรอ” จำได้รึเปล่าครับว่าพี่ขุนบอกว่าพ่อจะเปิดร้านหนังสือให้ผมดูแลน่ะ
“เอาจริงดิ” พ่อบอก “เงินข้ามีออกเยอะแยะ ไม่อยากลงทุนไปกับธุรกิจมอมเมาอบายมุขบ้าๆแบบนั้นอีกแล้ว มีเยอะจะตายห่า เปลี่ยนแนวบ้างก็ดี ทำร้านหนังสือเป็นไง”
“พ่ออยากเปิดก็เปิดเหอะ แต่อย่าเอาผมไปดูแลได้ป่ะ แม่ง โคตรไม่เท่” เถียงกันเรื่องนี้ทั้งคืนยังได้. . ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมทำหรอก
“ข้าลงทุนกับบริษัทอสังหาไปแล้ว!!! เรื่องนี้ถอยไม่ได้แล้วโว้ย!!!”
“ผมอยากดูแลร้านเหล้าอ่ะ ร้านเล็กๆร้านนึงก็ได้ นะๆๆ พ่อนะ”
“ไม่ได้ ให้ไอ้ขุนทำนั่นแหละ ดีแล้ว!”
“พ่ออ่ะ”
“ลูกคนเล็กของข้าต้องใสสะอาดและผ่องแผ้วบริสุทธิ์ เข้าใจ๊”
ผมกับพี่ขุนมองพ่ออย่างตื่นตะลึง . . ผม . . เนี่ยนะ . .จะใสสะอาดผ่องแพ้วนพคุณแบบนั้น . . เอ่อ ผมห่างไกลคำนั้นมาตั้งนานแล้วพ่อ
“เออนี่พ่อ” พี่ขุนชวนพ่อคุย หลังจากดื่มเบียร์ไปหนึ่งอึก“ร้านน้ำเต้าหู้ซอย43เค้าขาดส่งหนี้คืนมาหลายเดือนแล้วอ่ะ พ่อจะเอาไงดี”
พูดถึงเรื่องน้ำเต้าหู้ . . ผมเป็นอันต้องสะดุดที่หูทันที ไม่รู้เป็นไร . . “กี่เดือนล่ะ”
“สี่เดือนได้”
“เฮ้อ ทำร้านเต้าหู้ก็คงหาตังค์มาใช้หนี้ยาก พ่อก็เห็นใจเค้าอยู่นะ”
“แต่มันจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับร้านอื่นนะครับ”
“เออน่ะๆ พ่อรู้” พ่อดื่มเบียร์เข้าไปหนึ่งอึก “เจ้าของร้านเป็นเพื่อนเก่าพ่อเอง ชื่อไอ้เมฆ เคยรวยชิบหายแต่พอมีเมียเป็นลูกครึ่งเท่านั้นแหละ ก็ถูกผลักไสไล่ส่งออกมาจากวงศ์ตระกูล”
“มีเมียเป็นลูกครึ่ง เป็นฝรั่งไม่ดีเหรอพ่อ” พี่ขุนถามไปเรื่อย ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ผมเริ่มชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่พ่อพูดถึงนั่น . . ผมจะรู้จักด้วยรึเปล่า
“ก็ธวัชพลังกรมันเป็นตระกูลเก่าแก่ ถือเรื่องพวกนี้จะตายไป ไอ้เมฆมันก็เลยเลือกเมีย หนีออกมาจากบ้านและก็มาทำมาหากินเอง เมียฝรั่งชอบความเป็นไฮโซมั้ง พอไอ้เมฆมันจนก็เลยทิ้งมันกับลูกไว้ที่เมืองไทย และเจ๊แกก็เลยไปสร้างครอบครัวใหม่ที่บ้านเกิดนู่น ไอ้เมฆใจสลาย มีแต่ลูกชายเท่านั้นแหละที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ดีนะที่ลูกมันกตัญญู พ่อเคยเห็นแว้บๆที่บาร์ตึกสาขาใหญ่ของเราด้วยนี่”
. . ธวัชพลังกร แม่เป็นลูกครึ่ง พ่อชื่อเมฆ . . ลูกคนนั้นคงจะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจาก . . มังกร“อ๋อ ไอ้หน้าฝรั่งๆคนนั้นใช่มั้ยพ่อ หล่อด้วยนะ”
“ใช่แล้วล่ะ น่าสงสาร ทำงานเป็นวรรคเป็นเวรช่วยพ่อใช้หนี้เรา”
“ผมไม่อยากเก็บตังค์พวกเขาแล้วอ่ะ” พี่ขุนบอก
“นั่นสิ พ่อก็เคยบอกจะยกที่ตรงนั้นให้ไอ้เมฆไปเลย แต่ก็ยังยืนกรานว่าจะใช้หนี้ต่อ”
“พ่อ พี่ขุน” ผมพูดขึ้นมากลางวงสนทนาของพ่อกับพี่ชาย
“ว่าไง”
“ผมใช้หนี้ต่อให้เอง” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“เชี่ยไรของมึง” พี่ขุนถามงงๆ
“บ้านไอ้นั่นติดนี่พ่อเท่าไหร่ เดี๋ยวผมจ่ายให้”ผมพูดเสียงเบาแต่ค่อนข้างที่จะมั่นใจ
“หา นี่เอาจริงเหรอ” พ่อถาม “ลูกไอ้เมฆเป็นเพื่อนเอ็งรึไง”
“ก็ไม่เชิงน่ะ”
“หรือเป็นแฟนล่ะ”
“บ้าน่ะพ่อ!” คิดได้ไง . . แค่รู้จักกัน!!!
“แหม สมัยนี้แล้วนี่ พ่อจะคิดอะไรได้ล่ะ” พ่อยักไหล่
“แล้วบ้านนั้นติดหนี้พ่อเท่าไหร่”
“ไม่รู้ทำไม หลังๆมานี่ร้านน้ำเต้าหู้นั่นถึงได้โดนนักเลงมารุมยำบ่อยๆ จนต้องมายืมเงินพ่อเพื่อเอาไปซ่อมบ้านบ่อยๆน่ะ”
พ่อผมตอบได้ตรงประเด็นเหลือเกิน “ทั้งหมดเท่าไหร่” ผมถามย้ำ
“สองล้านสาม”“แม่เจ้าโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” นั่นคือเสียงอุทานของผมครับ พี่ขุนหัวเราะได้อย่างโคตรสะใจ ส่วนพ่อยักไหล่ . . เงินพวกนี้ขี้ประติ๋วมากสำหรับผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆของประเทศนี้
แต่มันคือทั้งชีวิตของครอบครัวๆหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ทำไงได้ ยืมกับข้า ดอกเบี้ยแพงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”
“พ่อหน้าเลือด!” ผมสงสารไอ้มังกรขึ้นมาแทบจะในทันที . . ทำงานงกๆที่บาร์กับรายได้จากร้านขายน้ำเต้าหู้. . กี่ชาติกันถึงจะใช้หนี้พ่อหมด
“ไม่งั้นข้าจะรวยขึ้นมาอย่างงี้เหรอ” พ่อยิ้มเบาๆ โคตรน่าหมั่นไส้เลย “น้อยๆหน่อยเหอะไอ้ก้าว ที่จริงบ้านนั้นยืมข้าไปสามล้าน ใช้มาแล้วสองแสน นี่ข้าก็ลดลงมาให้มากแล้ว”
“เชอะ” ผมรีบพูด “จะใช้หนี้ให้มันหมดเลย กี่บาทก็ว่ามา สองล้านสามนี่หมดแล้วใช่ป่ะ!!”
“ปกติไม่เห็นจะสนใจเรื่องนี้เลยนี่หว่าไอ้นาย” พี่ขุนตั้งข้อสังเกต
“สงสัยถูกใจลูกชายบ้านนั้นเข้าแล้วล่ะ” พ่อชง
“อะไรของพ่อน่ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
สองร้ายในหนึ่งรัก *
[/b]
เงินเก็บหายวับไปกับตาสองล้านสามTT มันเป็นเงินของผมครับ ไม่เกี่ยวกับเงินที่พ่อให้เป็นค่าขนมหรือพี่ขุนให้ซื้อนั่นซื้อนี่ แต่เป็นเงินที่ผมได้จากการพนันตอนแข่งรถต่างหาก ตอนนี้มีตังค์ติดบัญชีไม่ถึงล้าน เรียกได้ว่าเข้าขั้นจนสุดๆ (นี่มึงจนแล้ว?) . . แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก . . ราวกับว่าผมได้ตอบแทนไอ้มังกรในสิ่งที่มันคอยช่วยเหลือผมแล้ว . . น้ำเต้าหู้ทั้งหมดที่มันเคยห้อยที่ประตู . . ผมจ่ายแล้วนะ
“หาเงินกันเถอะ” ผมโพล่งแล้วเอาหน้าฟุบลงไปบนเทกส์บุ๊ค เวลาสายในหอสมุดกลาง ไอ้เจ้านาย อยู่ในหอสมุดกลาง . . ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่เจ็บตาแล้วใส่แว่นเนี่ย นิสัยเปลี่ยนไปเยอะ = = แต่เชื่อเหอะ ใครท้ามา ผมก็ยังอยากที่จะสู้อยู่! เพียงแต่ตอนนี้มันอยู่ในช่วงเงียบๆก็เท่านั้น
“เงินหมดแล้วเหรอ เอาไปใช้อะไรหมดล่ะ” ธัญถามขึ้นมา มันกำลังติวให้ไอ้ธีที่โคตรง่วงนอน
“เหมา . . น้ำเต้าหู้” ผมตอบอย่างเหนื่อยๆ
“หา” เป็นใครใครก็งงเชื่อดิ
“สงสัยเย็นนี้ต้องไปแข่งรถ” ผมคิดวิธีหาเงินอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ TT
“อันตรายนะนาย” ธัญส่งเสียงเตือน
“ก็ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันไม่มีเงินนี่”
“ไปเหอะๆ ไอ้ธัญมึงก็อย่าไปขัดไอ้นายดิวะ กูคิดถึงสนามแข่ง!” ไอ้ธีพูดอย่างตื่นเต้น พูดถึงเรื่องนี้ทำให้มันตาใสปิ๊งๆขึ้นมาทั้งๆที่เมื่อกี้จะหลับแหล่มิหลับแหล่
ผมก็เปรยขึ้นมาอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้จะไปจริงรึเปล่า . . ไม่น่าเอาตังค์ไปซื้อรถคันใหม่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยครับ มีอยู่เกือบยี่สิบล้าน ซื้อที . . เงินหายวับ . . ไม่น่าเลยกู แล้วก็ดันไปใจดีใช้หนี้ให้ที่บ้านของไอ้มังกรอีกนะ อ้อ เรื่องนี้เป็นความลับครับ ผมบอกพ่อกับพี่ขุนว่าจะบอกกับมังกรเอง ถ้ามันเอาตังค์ไปใช้หนี้ก็อย่าเพิ่งรับ
“กูก็คิดถึงว่ะ”
“ไอ้วายุแม่งโม้สัด . . มันหาว่ามึงหมดเขี้ยวเล็บแล้ว” ไอ้ธีรีบพูด ไอ้ห่านี่ก็ชอบที่จะมีเรื่องชิบหาย
“จริงเหรอ” ไอ้เราก็เชื่อคนอื่นง่ายดายเหลือเกิน
“แหงสิ เจ้านาย ถ้ามึงอยากจะรักษาอำนาจของมึงไว้ล่ะก็ มึงต้องโผล่หัวไปที่สนามบ้าง ไม่ก็ . . มีเรื่องบ้าง เรื่องของมึงตอนนี้แม่งโคตรเงียบ เงียบของเงียบของเงียบอ่ะ”
“เชี่ยธี เลิกพูดได้แล้ว” ธัญเอาม้วนกระดาษเคาะหัวพี่มัน “จะสอบอยู่แล้ว อย่าเพิ่งหาเรื่องให้ไอ้นายคิดได้ป่ะ เกิดมันอยากมีเรื่องขึ้นมาทำไง”
“ตอนนี้ยังหรอกธัญ” ผมตอบ ธัญทำหน้าสบายใจขึ้นมาทันที “ตอนนี้ . . ยัง”
“แล้วแต่มึงละกัน” ธีหันไปฟุบหน้านอน มันเข้าใจผมตามใจผมทุกเรื่องอยู่แล้วไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก. . ผมไม่จำเป็นต้องไปสร้างเรื่องอะไรขึ้นมา เพราะบางที . . เรื่องมันก็เข้ามาหาผมเอง
“เฮ้ย เดี๋ยวกูมานะ ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”
ผมบอกกับเพื่อน ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังห้องน้ำชายที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ๆผมนั่งอยู่ พอเข้าไปยืนฉี่ได้สักพัก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาพร้อมๆกับล็อคประตูห้องน้ำซะงั้น . .
เวรแล้วไง . . แก๊งที่ผมเคยถล่มไปเมื่อเดือนก่อน . .
คือบทมันจะมีเรื่อง . . มันก็มีขึ้นมาเลยงั้นเหรอวะ! เรื่องนี้ใครแต่งวะแม่ง!!!(เอ้า ไอ้นี่ มีย้อนด้วย)
“เจ้านาย . . อดีต . . นัมเบอร์วัน” ไม่ต้องเกริ่นเหมือนในหนังก็ได้ กูรู้พวกมึงจะมารุมกู แก้แค้นกูใช่มั้ย! ผมไม่ขอบรรยายลักษณะท่าทางของพวกมันมากละกัน เอาเป็นว่าพวกมันไม่ใช่คนดีเป็นพอ “มึงทำลูกพี่กูเข้าโรงบาลเป็นเดือน ไอ้เหี้ย!!!”
ปัง!!! ไอ้คนพูดใช้เท้าเตะประตูห้องน้ำเสียงดัง . . ผมไม่ได้กลัวอะไรพวกมันหรอก แต่ที่นี่คือห้องสมุด ถ้าจะไปตีกันควรออกไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ
“ก็ลูกพี่มึงอ่อน” ผมพูดไปตามประสาคนปากไว . . นั่นยิ่งทำให้เส้นเลือดที่อยู่ตรงหน้าผากของไอ้คนพูดยิ่งปูดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
เอ่อ อันที่จริงผมก็จำไม่ได้หรอก ว่าลูกพี่มันน่ะคนไหน . . บอกตามตรง . . ลืม จำได้แค่ไอ้วายุ . .
. . กับไอ้เชี่ยนัมเบอร์วันของมหาลัยตอนนี้ล่ะมั้ง “สัดเอ๊ย!!! มึงอย่าอยู่เลย!!!”
ดี . . เกริ่นได้ไม่นานดี . . ผมหลบลูกกระโดดเตะที่มันส่งมาได้ทันควัน จากนั้นก็หลบหมัดของไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกที แต่หลบลูกถีบของอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลไม่พ้น . .
ไม่ได้สู้ซะนาน . . ผมว่าฝีมือของผมนั้นคงตกไปเยอะ . . เสือกจะใส่แว่นอีก ตอนนี้ถูกซัดจนแว่นร้าวไปเป็นที่เรียบร้อย ถูกอย่างเลยไม่ประติดประต่อกัน ดูมึนและก็มัวไปหมด
ทั้งเสียเปรียบเรื่องกำลัง เสียเปรียบเรื่องจำนวนคน และที่สำคัญสุดคือเรื่องทัศนวิสัย ทำให้ผมโดนรุมได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก ให้ตาย ช่างน่าสมเพชสิ้นดี . . นี่ผมเคยเป็นที่หนึ่งของที่นี่จริงๆน่ะเหรอ
ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ ผมโดนพวกมันกระทืบอย่างไม่ยั้งส้นตีน . . เจ็บนะ แต่ไม่อยากแสดงออกมาให้พวกแม่งเห็น ถ้าจะตายวันนี้ล่ะก็ . . ก็ขอให้ตายอย่างไร้ซึ่งความอ่อนแอเลยละกัน (คิดถึงตอนตายเลยเร่อะ ?)
หรือบางที . .วันนี้มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาตายของผม
จู่ๆก็มีคนพังประตูห้องน้ำเข้ามา ผมมองไม่ค่อยเห็นหรอก แต่ผมเห็นลางๆว่ามันเป็นคนที่มีทรงผมสกินเฮด
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นไอ้เหม . . ที่มันเคยดึงมือผมให้ออกจากตึกศิลปกรรมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“มึงมาทำเชี่ยไรกับคนน่ารักของกู!”
มันพูดงี้แล้วมันก็ต่อยพวกนั้นจนคว่ำไปหมดอย่างง่ายดาย เก่งว่ะไอ้เหี้ยเอ๊ย ผมมองมันด้วยแววตาที่ไม่มีแรงจะอึ้ง . . มันเดินเข้ามาพยุงผมแล้วก็เดินออกไปจากห้องน้ำ
ผมเห็นทุกคนจ้องมองมาที่ผม สงสัยเสียงที่โคตรดังนั่นทำให้เด็กเนิร์ดในห้องสมุดแตกตื่นกันใหญ่(แต่ก็กลายมาเป็นไทยมุง) ไอ้ธัญวิ่งเข้ามาช่วยพยุงผมอีกข้างทันที
“ว้า คนเยอะแฮะ” ไอ้เหมบ่นพึมพำ “เห็นทีต้องไปแล้วล่ะ” มันพูดอย่างกับมันไม่ใช่นักศึกษาของมอนี้ ทั้งๆที่ใส่ชุดนักศึกษายังไงยังงั้น
“ขะ ขอบใจ”
“ตอนเย็นเดี๋ยวมารับไปกินข้าว” มันพูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินหายไปท่ามกลางฝูงชนที่ตกอกตกใจกับสภาพของผมมารับไปกินข้าวงั้นเหรอ กูคงจะอยู่ให้มึงเห็นหน้าหรอกนะ ไอ้เวร . .
“ขอโทษนะนาย กูขอโทษ ขอโทษที่ช่วยมึงไม่ทันทุกที” ธัญกระซิบข้างหูอย่างร้อนใจ ขณะที่พาผมเข้าไปในลิฟต์ ไอ้ธีเองก็รู้สึกผิดไม่แพ้น้องของมัน
“ไม่เป็นไร” ผมพูดเพื่อให้พวกมันสบายใจ “ศัตรูกูเยอะ มึงไม่มีทางรู้หรอก ว่าพวกมันจะมาตอนไหน”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน . . ผมคงไม่เดินหนีออกมาง่ายๆแบบนี้ . . ผมคงสั่งให้ลูกน้องตามขึ้นไปจัดการพวกแม่งให้หมดแล้ว . . แต่ครั้งนี้ผมกลับปล่อยเฉย . .
รู้แค่ว่า . .อยากทำแผลชะมัด ให้ตายสิ
“ว่าแต่เมื่อกี้ใครวะ มาช่วยมึงได้ไง”
“ธี นั่นไอ้เหม แก๊งวิหคดำ” ธัญตอบ “ไม่คุ้นหน้ามันเลยเหรอ มันเข้าออกคุกโคตรบ่อย”
วิหคดำ . . ผมเคยได้ยินและเคยโดนมันทำร้ายมาแล้วด้วย . . แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเหมมาก่อน
“พวกที่มันพังคอนโดไอ้นายเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นไง”
ต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องซ่อมคอนโด ก็เพราะไอ้แก๊งนี้แหละ . . ที่แท้ไอ้เหมก็เป็นศัตรูอีกคนที่แสร้งมาทำดีกับผมสินะ . . แต่ก็ช่างเถอะ . .เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนอย่างผมบ่อยจะตายไป . .
“ถ้ามันไม่ช่วยมึงไว้ เมื่อกี้กูคงเข้าไปจัดการมันแล้วนาย” ธัญบอกกับผม
“ปล่อยมันไปก่อนเถอะ” ผมกระแอมไอ รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว
“แต่ถ้าพวกไอ้มังกรรู้ล่ะก็ . .ไอ้เหมมันคงอยู่หายใจในมอเราได้ไม่ถึงห้าวิ . .”
“หมายความว่าไงวะ”
“วิหคดำกับชายโฉด. . มันเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เหมือนมึงกับไอ้วายุยังไงล่ะ” เฮ้อ . . ผมรู้สึกเหมือนตอนมอปลายชะมัด ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาลของคณะพยาบาล แต่มันก็ไม่เหมือนตอนมอปลายไปซะทั้งหมดหรอก ก็ตอนนั้นผมโดดเรียนไปนอนเล่น แต่ตอนนี้ผมเจ็บจริงผมถึงได้นอนอยู่อย่างนี้ไง โอยย . . แม่งรุมยำกันเข้ามาได้ ผมว่าที่ท้องของผมคงมีรอยช้ำมากกว่าสามรอยแน่ๆ ทำไมมันปวดระบมไปหมดอย่างนี้นะ TT
ไอ้ธัญกำชับนักกำชับหนากับพวกเอกพยาบาลว่าอย่าให้ใครมาทำอันตรายผมได้อีก เพราะตอนบ่ายมันต้องขึ้นไปเรียน(อันที่จริงผมบังคับให้มันไปเรียนเอง มันบอกจะโดดพาผมไปโรงพยาบาลใกล้ๆนี่ด้วยซ้ำ แต่ผมขอนอนในห้องพยาบาลพอ) ให้ตายสิ . . ผมดูแลตัวเองได้อยู่แล้วน่า . . มันทำเหมือนกับว่าผมเป็นคนอ่อนแออีกแล้ว ถึงแม้ตอนนี้มันจะเป็นความจริงก็เหอะ(ก็ตอนนี้ผมเจ็บชิบหายนี่นา) แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับมันเท่าไหร่หรอก
ผมที่นอนจนเบื่อแล้วเลยลืมตามองดูนั่นดูนี่ในห้องพยาบาลสักพัก ซึ่งไม่มีเชี่ยอะไรให้ดูเลยนอกจากผ้าม่านกับเพดาน ไอ้ธัญ(อีกแล้ว)มันสั่งให้เอกพยาบาลตัดขาดผมจากโลกภายนอกด้วยการนอนเตียงในสุด และรูดม่านปิดบังตัวตนของผมแบบสุดๆ ชนิดที่ว่า . . แม้แต่พัดลมยังพัดมาไม่ถึงผมอ่ะ (เกี่ยว?)
จนกระทั่งผมสะดุ้งโหยงสุดตัว เมื่อมีใครโผล่พรวดเข้ามาในผ้าม่านแบบกะทันหัน . .
O_O!!!! กูตกใจมั่งเหอะ ไอ้เชี่ยเอ๊ย!!
ไอ้มังกร . .
หน้าลูกครึ่งของมันดูร้อนรนจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนดั่งเคยเพราะสบตากับผมที่นอนอยู่บนเตียงเข้า
เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วดีนะสัด . .
“มาทำไม” ผมถามเซ็งๆ “มาเยาะเย้ยรึไง” สภาพตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะสู้อะไรกับมันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม
“เปล่า” มังกรตอบ “มาสมน้ำหน้า”
ไอ้ . . เหี้ยเอ๊ย แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ!!!!
“กูรับรู้การสมน้ำหน้าของมึงแล้ว เพราะฉะนั้นมึงออกไปซะ!” ผมตอบอย่างอารมณ์เสียสุดติ่ง หันหลังให้มันแม่งเลย . . คิดถูกคิดผิดไปใช้หนี้ให้คนแบบนี้วะ . . โกรธตัวเองชะมัด . . ไอ้มังกรมันก็ยังเหี้ยเหมือนเดิมไม่มีวันเปลี่ยนนั่นแหละ
“ใครทำมึง” มันถามเสียงเย็น แน่ะ ยังไม่ออกไปอีก
“ช่างมันเหอะน่า”
“มึงไม่โกรธ?”
“…”
“ไม่โวยวายสักนิด?”
“…”
“สงสัยพวกมันทำมึงหัวฟาดพื้น” มังกรสรุปในที่สุด เดินอ้อมมาอีกฝั่งแล้วนั่งยองๆลง สบตากับคนที่นอนอยู่อย่างผม “นี่มึงจำตัวเองได้รึเปล่า”
“กวนตีนละ!” ผมร้องใส่หน้ามัน “กูไม่ได้ความจำเสื่อม!”
“อืม . . อย่างงี้แหละ . . ถึงจะเรียกว่าปกติ” มังกรรำพึง จ้องใบหน้าของผมอย่างสำรวจ . . อะไรของมันวะ
.. ดูเหมือนมันจะจ้องนานเกินไปแล้วนะ “จ้องไรนักหนา”
“บอกได้มั้ย ว่าใครทำ” เสียงมังกรฟังดูแผ่วๆ ไม่แข็งเหมือนอย่างที่เคย
เสียงนั้นทำให้ผมไม่กล้าที่จะตอบแบบแข็งๆกลับไปเช่นกัน “ไม่รู้จริงๆ”
“ถึงมึงจะปล่อยไป ..” มังกรลุกขึ้นยืน “แต่กูปล่อยพวกนั้นไว้ไม่ได้”
“มึงจะทำอะไร มึงจะเสือกกับเรื่องของกูอีกแล้วเหรอ!”
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้อยากทำ”
“พอสักทีเถอะน่า!” ผมร้อง ถึงแม้ว่าแผลจะเจ็บก็เถอะ
“ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไม่ต้องฝืนใจทำอีกแล้ว น้ำเต้าหู้ก็เหมือนกัน พอกันที!!! กูดูแลตัวเองได้ กูไม่จำเป็นต้องมีคนอย่างมึงมาคอยดูหรือมาคอยเสือกอะไรกับเรื่องของกูอีกแล้ว มึงเข้าใจมั้ย!!!” ผมร้องออกไปอย่างเหลืออด บอกได้คำเดียวว่าลั่นห้องพยาบาล . . มังกรมองผมนิ่งๆสายตาของมันเหมือนกับชั่งใจอะไรบางอย่าง . .
“เลิกทำให้กูงงสักทีเหอะ ว่ามึงเกลียดกู . . หรืออยากทำดีกับกูกันแน่ แม่ง . .” เสียงผมคงดังลั่นห้องพยาบาลไปหมด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนผมกับไอ้มังกรเลยสักคน (ก็พวกเอ็งเป็นราชาไง ใครจะกล้า)
ผมหันตัวหนีไปอีกข้าง นอนตะแคง ทำหน้าบึ้งสุดฤทธิ์
ผมไม่รู้ว่ามังกรมีสีหน้าแบบไหน . .แต่ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมโคตรจะอารมณ์เสียเป็นที่สุด . .ทั้งเจ็บกาย เจ็บใจ ยอมรับตรงๆเลยนะว่าไม่ชอบให้ใครคิดว่าผมเป็นคนอ่อนแอ โดยเฉพาะคนที่สมควรที่จะเป็นศัตรูของผมมากที่สุดในตอนนี้
ไอ้มังกรยังไงล่ะ . .
“ก็ได้” มันตอบในที่สุด เดินมาอีกข้าง แล้วก็นั่งยองๆ ดวงตาสีฟ้าสดของมันจ้องมองมาที่ตาของผม . . ทำท่าเหมือนกับตะกี้ไม่มีผิดเพี้ยน “ถ้าไม่อยากให้แก้แค้นให้ กูก็จะไม่ทำ”
“เรื่องของกู กูเคลียร์เอง”
“พวกมันมากันกี่คน”
ซักไซ้ไล่เลียงเป็นตำรวจไปได้ . . “ สี่ . . ไม่ก็ห้านี่แหละมั้ง” ผมตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“เมื่อก่อนมึงจัดการได้สบายๆนี่”
“…”
“ตั้งแต่ตำแหน่งตกไป ฝีมือก็ตกด้วยงั้นสิ”
ผมล่ะอยากจะเอานิ้วมือทิ่มลูกตาคมๆสีฟ้าใสของไอ้บ้านี่ชะมัด แต่ละคำที่พูดออกมาแม่งโคตรเสียดแทงหัวใจผมเหลือเกิน แต่ตอนนี้ . .แรงยกแขนยังไม่มีเลย
แพ้มันทุกรูปแบบ . .
พอผมเถียงอะไรมันไม่ได้ (ไม่ใช่ว่าเถียงไม่ได้นะ ขี้เกียจเถียงเฉยๆ รำคาญมัน!) ก็เลยทำหน้าขัดใจอยู่อย่างนั้น ผมเห็นดวงตาของมันเป็นประกายเล็กๆ และริมฝีปากบางนั่นก็หลุดยิ้มออกมานิดนึงด้วย
. . นี่กูตาฝาดไปป่ะวะ ไอ้บ้าเนี่ยนะ มันจะยิ้มเป็น
“กูไปละ” มันลุกขึ้นยืนในที่สุด “เดี๋ยวตอนเย็นมาหาละกันนะ”
มาหา . . มาหางั้นเหรอ “มาทำไม กูไม่มีธุระอะไรกับมึงนี่”
“โดนดักตีอีกทำไง . .คนอย่างมึงมีแต่คนเกลียด”
“ใช่เซ่! กูมันไม่ได้มีใครรักใครหลงเหมือนมึงนี่” ผมจำได้เลยตอนวันสุดท้ายของงานนิทรรศการงานศิลป์ ไอ้เชี่ยมังกรแม่งโดนสาวกรี๊ดขนาดไหน . .
“ . .อิจฉา?”
“เหี้ยอะไรล่ะ! ใครจะอิจฉามึง ไม่เห็นต้องให้ใครมารักเลย กูมีแค่ไอ้แฝดก็พอ!”
มังกรเลิกคิ้ว . .แล้วส่ายหน้าไปมา คล้ายๆกับระอาหน่อยๆ ทำหน้าเหมือนพี่ขุนตอนที่เห็นผมนอนป่วยอยู่ไม่มีผิด เหมือนมองเด็ก . .
“เอาเป็นว่า . .เดี๋ยวมาหาละกัน”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวไอ้แฝดมา” มึงอยากไปทำอะไรที่ไหนก็ไปเลย! อย่ามายุ่งกับกู . .
“ถ้ากูมาก่อน มึงต้องไปกับกูก่อนนะ”
ผมมองหน้ามันอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันมีอารมณ์มาเล่นแง่กับคนอย่างผมด้วยเหรอ ? “หึ ไม่มีทางหรอก อีกครึ่งขั่วโมงเชี่ยแฝดแม่งก็เรียนเสร็จแล้วล่ะ”
“คอยดูละกัน”
พูดจบก็เดินออกไปจากม่าน . . มีการดึงม่านปิดให้ด้วย แม้จะเป็นการดึงที่ไม่ค่อยทะนุถนอมสักเท่าไหร่ก็เถอะ ผมส่งเสียงชิอย่างดูถูก จนกระทั่ง . . ผ้าม่านเปิดอีกครั้ง
ไอ้มังกรโผล่หน้ามา ทั้งๆที่ยังไม่ถึงสองวิเลย . .
“กูมาแล้ว”
“ . .ฮะ” ผมร้องเสียงหลง
“ไปกันเถอะ”
ผมโดนมันพยุงตัวขึ้นมา . .แล้วมันก็พยุงตัวผมเดินออกไปข้างนอกห้องพยาบาล ไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นที่เค้ามองมาเลยสักนิด
นี่มึงไม่รู้เลยรึไง . . ว่ามึงกับกูกำลังเป็นข่าวเสียๆหายๆอยู่น่ะหา!!!!!!!!!!!!อยู่ในช่วงสอบ ยังมาอัพนะจ๊ะ
นี่มันนักเขียนตัวอย่างชัดๆ
คนอ่าน :