[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[34]
กลิ่นหอมจากเสื้อที่ลอยมาติดจมูก ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำที่เก็บซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ
เตชินท์ทอดสายตามองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าไม้อัดสีอ่อนในคอนโด เสื้อผ้าที่เขาเป็นคนซื้อเอง ของคนที่ไม่ได้กลับมายังห้องนี้อีกเลยนับจากวันสุดท้ายที่เขาได้พบกัน
มือใหญ่ไล้ไปตามแขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนตัวโปรดที่นิชาสวมบ่อยๆเพราะบอกว่าเนื้อผ้าใส่สบายดี ก่อนจะค่อยๆรวบกำราวกับได้จับข้อมือของเด็กน้อยของเขาเอาไว้ ข้อมือบอบบางที่เขาเคยคว้าเอาไว้ด้วยความรุนแรง เคยยึดเอาไว้กับผืนเตียงจนเป็นรอยช้ำในวันรุ่งขึ้น
หากย้อนกลับไปแก้ไขได้ เขาจะไม่จับข้อมือนั้น แต่จะเลื่อนลงมาจับมือนุ่มๆเอาไว้อย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม สร้างความรู้สึกที่ดีในทุกวินาทีที่ย่างก้าวไปด้วยกัน
คนรักกัน จริงๆแล้วก็ไม่ได้ปรารถนาอะไรจากกันมากเลย นอกเหนือจากความสุขที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน ผลัดกันเป็นผู้ให้และผู้รับ ซื่อสัตย์และซื่อตรงต่อกัน การรักษาความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
--- แต่เหตุใดเขาถึงเพิ่งมาคิดได้เอาตอนนี้ ในตอนที่สูญเสียคนที่รักที่สุดไปแล้ว
ชายหนุ่มมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกเงา ใบหน้าคมดูซูบไปเพียงเล็กน้อย ทว่าความหมองเศร้าในแววตาทอประกายเห็นได้อย่างชัดเจน
“พี่ชิน รู้ไหมว่าการรอคอยคนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมามันทรมานแค่ไหน”
“พี่รู้ครับ แต่พี่ก็กลับมาหานททุกครั้งไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ครับ พี่ชินไม่รู้หรอก นอกจากพี่ชินจะเจอด้วยตัวเอง การรอคอยพี่ตลอดทั้งคืน แม้จะแค่คืนเดียว แต่สำหรับนท มันยาวนานเหมือนกับไม่มีวันจบสิ้น พี่ไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก!”
ในวันนั้น เขาได้แต่คิดว่านิชาช่างตัดพ้อและขี้น้อยใจอย่างไร้เหตุผลนัก ในเมื่อเขาก็กลับบ้านไปหานิชาทุกวัน อย่างมากก็ค้างที่อื่นเพียงหนึ่งคืน มันจะยาวนานขนาดนั้นได้อย่างไร คิดมากก็หาอะไรทำหรือไม่ก็นอนหลับไปเสียสิจะได้ผ่านคืนนั้นไปไวๆ
แต่ในวันนี้เขารู้แล้ว ไม่ใช่ไม่อยากนอน แต่นอนไม่ได้ต่างหาก
เฝ้ารอคอย สายตามองผ่านความมืดไปทางประตู หวังลมๆแล้งๆว่าประตูจะเปิดออกในไม่กี่นาทีนี้ จะมีไหมที่นิชาเปิดประตูบานนี้เข้ามาหาเขาอีก แม้ร่างกายเหนื่อยล้าและปรารถนาการพักผ่อนสักเพียงใด หัวใจก็ข่มความอ่อนระโหยเอาไว้เพื่อเฝ้าคอยคนที่ไม่มีวันจะกลับมา
“บอสครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“อะไรล่ะ?”
น้ำเสียงทุ้มยังคงฉายแววนิ่งเฉย ไม่แตกตื่นไปกับเสียงตระหนกของเลขาส่วนตัวที่ควบตำแหน่งมือขวาของเจ้าพ่อมาเฟียอย่างเขาไปด้วย
พักนี้งานยุ่ง มีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามาให้ปวดหัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกสนุกและตื่นเต้นเหมือนกับได้ท้าประลองและรับมือกับสิ่งใหม่ๆ แต่ในตอนนี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนแต่น่าเบื่อและไร้ชีวิตชีวาไปเสียหมด
ไม่อยากจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะแก่งแย่งชิงดีหรือรบรากับใครอีก ในเมื่อที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็วุ่นวายพอแล้ว
“ที่ฮ่องกงส่งเรื่องมาว่าจะยุบสาขาของเราครับ!”
“... หมายความว่ายังไง?”
ก็ในเมื่อที่ฮ่องกงก็คือบริษัทแม่ของตระกูลภรรยาของเขา จู่ๆจะสั่งยุบสาขาที่เขาดูแลอยู่ มันใช่เรื่องที่ไหน แล้วบริษัทที่เขาเหยียบอยู่นี่ก็ด้วยเงินของเขาล้วนๆ แค่รวมบริษัทไว้ด้วยกัน ไม่ได้แปลว่าที่นี่กลายเป็นสาขาย่อยของที่นั่นเสียเมื่อไหร่
“ท่านหลิวเช่อแจ้งมาว่าจะย้ายกลับไปประจำที่นู่น ก็เลยอยากให้บอสตามไปอยู่ที่นู่นด้วยครับ”
“หึ พูดบ้าๆ ใช่เรื่องล้อเล่นที่ไหน ไม่ได้เล่นชายของอยู่นะ”
“ครับ ผมก็รายงานท่านไปแล้วว่าบอสคงไม่ยอม แต่ท่านก็ยืนกรานหนักแน่นว่าถ้าหากบอสไม่ยอมย้าย ก็จะปิดบริษัทนี้ครับ”
“ฉันไม่ไป และไม่ปิดบริษัทด้วย”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วท่านโกรธ อาจจะส่งผลกับการค้าของเรานะครับ”
เพราะอย่างไรเสีย เส้นทางการค้าขายหลักในปัจจุบันก็คือเส้นทางใหม่ที่หลิวเช่อเป็นคนเปิดทางให้ทำการได้อย่างสะดวก ลูกค้ารายใหม่ล้วนมาจากฝั่งอเมริกาตะวันออกและตะวันออกกลางทั้งนั้น เนื่องจากลูกค้าเก่าของเขาล้วนอยู่ในยุโรปทั้งหมด และเศรษฐกิจยุโรปที่ซบเซาทำให้เขาขาดรายได้ไปไม่น้อยทีเดียว
“แต่ก็แค่กระทบลูกค้าฝั่งนั้นไม่ใช่หรือไง ลูกค้าเดิมเราก็ยังมีอยู่”
“บอสครับ แต่ตอนนี้เรามีคู่แข่งรายใหญ่ที่ยังหาข้อมูลไม่ได้ ตอนนี้ลูกค้ารายย่อยของเราเกือบทั้งหมดกลายเป็นของทางนั้นแล้วนะครับ!”
“ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมีกำไรอยู่”
“มันก็จริงครับ แต่ว่ากำไรที่น้อยลงมันขัดต่อเป้าหมายของขององค์กรเรานะครับ”
ก็ช่างปะไรล่ะในเมื่อทุกวันนี้เขาก็มีชีวิตอยู่ได้ เงินที่มีก็ไม่ได้ใช้ ไม่อยากมีพันธะอะไร ไม่มีความมุ่งมั่นใดๆเหลืออยู่แล้วตั้งแต่เสียนิชาไป ต่อให้เสียลูกค้ารายใหญ่ไป ก็แค่กำไรน้อยลง ไม่ได้ทำให้ธุรกิจล้มละลายเสียหน่อย พนักงานที่อยู่ในบริษัทก็ยังได้รับเงินเดือนครบถ้วนตามปกติ ไม่มีใครเดือดร้อนเสียหน่อย
อีกอย่าง ความตั้งใจของเขาในตอนแรกก็คือ หาเงินให้ได้มากๆ ตั้งตัวให้ได้ มีรากฐานที่มั่นคง เพื่อที่นิชาจะได้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องมีภาระเรื่องการเงินให้ไม่สบายใจ
แต่ในวันนี้เรื่องกลายเป็นแบบนี้เสียแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นั้นเพื่อใคร เพราะเขาไม่ได้ทำเพื่อตนเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตอนนี้ นภิสาก็จากไป เจ้าหล่อนไม่ได้ต่อว่าหรือพูดทิ้งท้ายให้เขาเสียใจเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่แจ้งให้ทราบว่าเธอจะย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงเพื่อพัฒนาบริษัทของหลิวเช่อ แม้ว่าเขาจะดึงรั้งให้เธออยู่ เธอก็ไม่สนใจ และบินไปฮ่องกงหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน พร้อมกับคำลาที่ว่า
“ขอให้คุณซื่อตรงกับหัวใจของตัวเอง และให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุด”ฟังดูเข้าใจง่าย แต่ทำได้ยาก
เพราะที่ผ่านๆมา เขารู้ดีว่าใครที่สำคัญสำหรับเขามากที่สุดในชีวิต แต่เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับคนคนนั้นเลย กลับสนใจแต่คนที่อยู่ตรงหน้า ใครก็ตามที่ทำให้ธุรกิจมั่งคั่งยิ่งขึ้น โดยไม่สนใจว่าจะผิดจริยธรรมสักเท่าไหร่
ก็ดีเหมือนกันที่ผู้หญิงดีๆอย่างนภิสาไปจากเขา ผู้ชายที่ไม่ได้รักเจ้าหล่อนตั้งแต่แรก และทำให้ผู้หญิงเก่งๆกลายเป็นคนที่ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถใด เพราะเขาจองจำเธอเอาไว้ในบ้านหลังใหญ่ที่ไร้ผู้คน ด้วยรู้ดีว่าการไม่ได้พบผู้คนทำให้ความสามารถในการใช้คำพูดของเจ้าหล่อนลดลงไป เธอจะเหงา และไม่มีแรงจูงใจให้พัฒนาตนเอง ซึ่งเมื่อเธอย้ายไปที่ฮ่องกง นภิสาคนเดิมก็คงจะกลับมาในไม่ช้า
ส่วนลลดา ได้ยินจากพี่สาวของเจ้าหล่อนว่าย้ายไปเรียนที่อเมริกา ช่างเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลจนเขาคงไม่มีโอกาสได้พบกับเด็กสาวอีก แต่ก็นับว่าดีแล้ว เพราะทุกครั้งที่ได้พบเจอ เขาได้แต่ป้อนคำหวานและเยินยอ ตบท้ายด้วยคำโกหกที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงให้กับเด็กคนนั้น ตอนนี้เธอก็จากไปแล้ว ดีแล้วเหมือนกัน เขาแอบหวังว่าลลดาคงจะได้พบกับคนที่ดีและซื่อสัตย์กับเธอบ้าง
และตัวเขา ก็คงได้แต่เฝ้ารอคอยเด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ โดยมีเพียงความหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันนิชาจะกลับมาหาเขา โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งพบหน้าหรือแม้แต่แอบมอง ได้แต่กอดเสื้อผ้าของเด็กคนนั้นเอาไว้กับกายในยามค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวเดียวดายเท่านั้น
ไม่มีแม้ใครสักคนที่รักเขาอยู่เคียงกาย
ไม่เหลือใครเลยสักคน
“พี่เอก”
เจ้าของนามหันไปตามต้นเสียง วันนี้เขาพอมีเวลาพักจากงานเอกสารจำนวนมากที่กองสุมอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่มีวี่แววว่าจะลดลงบ้างเลย จึงออกมาที่ร้านเพื่อตรวจดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง
และบังเอิญมากทีเดียวที่มนุเชษฐ์ที่วางแผนว่าจะมาสอบถามความเป็นไปของนิชามาหลายวัน วันนี้ได้มาที่ร้านเพื่อตามหาธนกรพอดี
“อ้าว เชษฐ์ มาหาพี่เหรอ?”
“ครับ พี่สะดวกรึเปล่า?”
“จริงๆก็ยุ่งนิดหน่อย รอพี่ก่อนแป๊บได้ไหม เดี๋ยวพี่ขอจัดการอะไรก่อน”
“ได้ครับ”
“ไปรอในห้องพี่ก็ได้”
เขาดูออกว่าร่างตรงหน้าไม่ถนัดจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายและตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่มสาวรอบกายเช่นนี้ ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง นิชาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไม่น้อย และยังพูดอีกว่าถ้ามีโอกาสอยากจะช่วยเหลือให้เด็กคนนี้ได้เรียนหนังสือต่อ
“รบกวนพี่เปล่าๆครับ ผมรอข้างนอกได้”
“ไปเถอะ ชั้นบนนี้เอง พี่ให้คนไปเปิดไว้ก่อนอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยพร้อมกับผละจากไปอย่างเร่งร้อนเมื่อเห็นผู้จัดการร้านคนใหม่มีท่าทางอยากเข้ามาสนทนาด้วย คงจะมีปัญหาอะไรบางอย่างอีกนั่นแหละ ตั้งแต่มีผู้จัดการร้านมา ไม่เคยมีใครสามารถดูแลร้านได้อย่างเรียบร้อยไร้ปัญหาได้เท่านิชาเลยสักคน
มนุเชษฐ์มองตามร่างในชุดสูทสีเข้มที่เดินไปเดินมา ในมือก็ถือเอกสารปึกหนาอยู่ท่าทางจะหนัก เขาถอนหายใจแล้วยอมเดินขึ้นบันไดไปตามทางเล็กๆที่มุ่งหน้าไปยังสำนักงาน เนื่องจากดูจากสภาพแล้วอาจจะต้องรอนานกว่าที่คิด
เขาเดินไปตามโถง ก่อนจะสะดุดเข้ากับป้ายหน้าประตูที่เขียนไว้ว่า ‘ประธาน’ เดาเอาว่าน่าจะใช่ห้องนี้ มือใหญ่จึงเปิดประตูเข้าไป พบกับห้องที่ไม่ได้หรูหราอย่างที่เขาคิด ก็เป็นห้องธรรมดาๆที่มีโต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มหนาภาษาอังกฤษและจีน และโซฟาตัวใหญ่อีกสองตัว ด้านข้างเป็นห้องน้ำส่วนตัวที่จัดเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน
เด็กหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ พลางปรายสายตาสำรวจไปทั่วอย่างสนอกสนใจ นึกนับถือร่างสูงขึ้นมาเมื่อได้เห็นว่าหนังสือที่อยู่บนชั้นล้วนเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับความรู้หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การบริหาร ไปจนถึงจิตวิทยาและการวิเคราะห์มนุษย์ ชายคนนั้นคงต้องทุ่มเทเวลามากมายเพื่อจะได้มีธุรกิจเป็นของตนเอง ไม่ได้เป็นเพียงลูกคุณหนูเปิดร้านเหล้าสนุกๆอย่างที่ใครต่อใครคาดการณ์เอาไว้
“รอนานรึเปล่า?”
มนุเชษฐ์รีบหมุนกายกลับไปทางประตูในทันที นึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ไม่น้อย
“ไม่เลยครับ ขอโทษที่มารบกวนตอนพี่ยุ่งๆ”
“ไม่เป็นไร จังหวะดีมากเลยที่มาวันนี้ พี่ไม่ได้เข้าร้านมาสองอาทิตย์แล้ว”
“อ้าว จริงเหรอครับ แล้วไม่เป็นไรเหรอครับ?”
“ก็วุ่นๆเหมือนกัน ผู้จัดการร้านคนใหม่ยังไม่คล่องเท่าไหร่น่ะ คนก่อนก็ออกไปเพราะทนไม่ไหว ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเพราะทุกคนล้วนเป็นสมาชิก แต่จริงๆสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายเลยล่ะ หาคนรับตำแหน่งนี้ยากจริงๆ”
“แล้วทำไมพี่ไม่ค่อยเข้ามาล่ะครับ? ฟังดูน่าจะต้องยิ่งเข้ามาดูรึเปล่า?”
“พี่มีธุระอื่นต้องสะสางน่ะ ไหนจะธุรกิจของที่บ้านอีก”
“โห ทำสองที่เลย ไม่เหนื่อยเหรอครับ?”
“ก็... เหนื่อยเหมือนกันนะ แต่ถ้าอะไรๆลงตัวแล้วคงดีขึ้น”
“พี่นี่เก่งจังนะครับ ผมแค่ร้านเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
“ไม่หรอก เชษฐ์ต่างหากเก่ง นทเคยเล่าให้ฟังว่าเชษฐ์ต้องหาเงินเลี้ยงแม่กับน้อง แล้วส่งน้องเรียนด้วยใช่ไหมล่ะ? นั่นน่ะสุดยอดแล้ว พี่เกิดมาไม่เคยต้องลำบากเรื่องแบบนี้ กว่าจะคิดได้ว่าควรจะเริ่มงานจริงจังซะทีก็เรียนจบไปนาน แต่เชษฐ์คิดได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ พี่ว่าสุดยอดเลยนะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมรัวเป็นชุดเช่นนี้ เขารีบสั่นศีรษะ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆผมก็ทำอะไรไม่ได้มาก ถ้าไม่ได้พี่นทช่วยคงลำบาก”
ธนกรอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายถ่อมตนเช่นนั้น ในสมัยนี้หาวัยรุ่นแบบร่างตรงหน้าได้ยาก ทั้งความมุ่งมั่นตั้งใจ รับผิดชอบ และการวางตัวที่เหมาะสมราวกับผู้ใหญ่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่นิชาออกปากชมบ่อยครั้งจนเขานึกอยากพบตัวจริงของเด็กหนุ่มมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“ว่าแต่วันนี้มาหาพี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“ผมอยากรู้ว่าพี่นทเป็นยังไงบ้างน่ะครับ”
“นทเหรอ? จริงๆพี่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ แต่เท่าที่เห็นในเมล์ก็สบายดี ทำไมมาถามพี่ล่ะ?”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาเปิดคอม แล้วก็ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน เลยติดต่อพี่นทยาก จะโทรไปเวลาก็ไม่ตรงกันเท่าไหร่ เลยคิดว่าถามพี่เอกน่าจะง่ายกว่า”
“อ๋อ แบบนี้เอง แต่ทำไมถึงต้องมาหาพี่ถึงที่นี่ด้วยล่ะ? โทรศัพท์เอาก็ได้นี่”
ธนกรมองใบหน้าดูดีที่เงยขึ้นมาด้วยสายตาแปลกใจ ดวงหน้าซื่อๆที่ฉายแววประหลาดใจอย่างคนที่คิดไม่ถึงทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“นั่นน่ะสิครับ ผมก็เพิ่งนึกได้ตอนที่พี่พูดนั่นแหละ”
ร่างสูงหัวเราะออกมาลั่นเมื่อได้ยินเสียงยอมรับเจื่อนๆของร่างตรงหน้า นับว่าเป็นเสียงหัวเราะแรกในรอบหลายเดือนตั้งแต่นิชาไปเรียนที่อเมริกาเลยทีเดียว
“พี่เอกหัวเราะมากไป...”
“ขอโทษๆ ก็ตลกนี่นา”
“ผมลืมนี่นา คิดแค่ว่าต้องหาพี่เอกจะได้ถามถึงพี่นท ลืมคิดถึงโทรศัพท์ไปเลย”
“เรานี่เหมือนเกิดผิดยุคเลยนะ”
“น้องสาวผมก็พูดแบบนั้นเหมือนกันครับ บอกว่าเหมือนคนแก่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวหรอก จริงๆคนยุคนี้ก็พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปนะ พี่ว่าเราหัดพึ่งมือเท้าตัวเองบ้างแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“... แต่พี่ก็ยังขำอยู่ดีใช่ไหมครับ”
ธนกรถึงได้หลุดหัวเราะออกมาอีกรอบ แล้วก็ต้องขอโทษขอโพยพร้อมกับเรียกให้พนักงานนำอาหารเย็นแบบง่ายๆขึ้นมาทานด้วยกันบนห้องนั่นเอง
“เกรงใจครับพี่”
“ไม่เป็นไร ร้านพี่เอง”
“นั่นแหละครับ เกรงใจ”
“พี่จ่ายค่าอาหารให้ร้าน ไม่ต้องห่วง”
“ไม่เกี่ยวหรอกครับ ยังไงก็เกรงใจอยู่ดี”
เขารู้ดีว่าอาหารในร้านทำนองนี้มีราคาไม่น้อย ใจก็อยากจะช่วยออกเงิน แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะดีหากธนกรพาเขาออกไปทานร้านอาหารตามสั่งริมทางที่มีราคาไม่สูงนัก
“เอางี้ วันนี้พี่เลี้ยงเชษฐ์เองเพราะเชษฐ์มาถึงถิ่นพี่ เอาไว้มีโอกาสพี่จะไปที่ร้าน แล้วถึงวันนั้นเชษฐ์ค่อยเลี้ยงพี่ แบบนี้ดีไหม?”
“... ก็ได้ครับ แต่ว่าที่ร้านก็มีแค่กาแฟกับขนม คงไม่หรูแบบที่นี่นะครับ”
“พูดแบบนี้ได้ยังไง ของแบบนี้ไม่ได้วัดกันที่ราคา มันอยู่ที่ใจ พี่รู้ว่าเชษฐ์รักร้านของนทมากแค่ไหน ทุกอย่างที่เชษฐ์ทุ่มเทให้กับร้าน มันแสดงออกได้ชัดเจน ขนมหรือกาแฟที่เชษฐ์ตั้งใจทำมันมีค่ามากกว่าอาหารที่ราคาแพงซะอีกนะ”
มนุเชษฐ์นึกชมการใช้คำพูดของชายหนุ่ม ช่างเป็นคนที่พูดเก่งและดูออกมาจากใจ ไม่ได้เยินยออย่างที่คนทั่วไปชอบกระทำ สามารถอยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกอึดอัด แม้จะมีบุคลิกแตกต่างจากนิชาไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้ก็อกหักจากนิชาเช่นเดียวกันกับเขา ทั้งๆที่ดูเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และคุณสมบัติ ใครจะเชื่อว่าคนแบบนี้จะไม่สมหวังในรัก
“ถ้าอย่างนั้น พี่เอกต้องหาเวลาแวะเข้ามาให้ได้นะครับ ผมจะชงกาแฟให้สุดฝีมือเลย”
“ได้เลย เสาร์นี้ละกัน พี่จะเข้าไป”
“โอเคครับ ผมจะทำขนมไว้รอ”
ธนกรยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ยิ้มตอบกลับมา พร้อมกับคะยั้นคะยอให้ทานอาหารที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเกลี้ยกล่อมอยู่นานเพื่อที่ในที่สุดแล้วเขาจะได้พาร่างตรงหน้าไปส่งถึงบ้าน
Talk: สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่มาช้า

อา... ตอนนี้น้องนทไม่ได้ออกโรงเลย (มาแต่ชื่อ)
ตอนหน้าคงจะได้กลับมาอัพเดทกันบ้าง
ว่าแต่... ถึงตอนนี้ยังมีใครที่ยังไม่นึกเห็นใจพี่ชินอยู่บ้างไหมน้า
ขอนับถือค่ะ อย่าไปเห็นใจผู้ชายคนนี้เชียว ทำเอาไว้เยอะ ถึงเวลาชดใช้กรรม!

ตอนหน้า จะพยายามลงต่อให้เร็วที่สุด รอกันหน่อยนะคะ
