[[THE CAGE]] . . กรงรัก . . .
[32]
สายลมยามเย็นพัดผ่านใบหน้าหวานให้รู้สึกถึงฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา กลิ่นของดินชุ่มน้ำฝน เสียงของหยดน้ำตกกระทบใบไม้ หายวับไปในทันทีที่เขาก้าวขึ้นรถคันหรูประตูปิดตามร่างบางด้วยมือของคนที่เดินตามเขามาติดๆตลอดทาง พร้อมกับร่างหนาที่เดินอ้อมมาขึ้นรถด้านฝั่งคนขับ
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น พร้อมกับความเร็วของตัวรถที่พุ่งกระโจนผิดวิสัยคนขับ บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
หากนิชาต่อว่าเขาออกมาตรงๆ คงจะไม่อึดอัดอย่างความเงียบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ในที่สุดธนกรก็เป็นฝ่ายอ้าปากเริ่มบทสนทนาก่อน
"นทโกรธพี่รึเปล่า?"
ข้างกายเงียบ ทำเอาร่างสูงพูดอะไรต่อไม่ออก นึกจะขอโทษที่โกหกก็ทำไม่ได้ ในใจรู้สึกผิดนักเมื่อได้เห็นแววตาเจ็บปวดหลังจากร่างบอบบางรับรู้ความจริง --- แม้ว่าจะยังไม่ใช่ความจริงทั้งหมดที่เขาควรจะบอกก็ตาม
อึดใจ นิชาก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ หลังจากที่ออกรถจากบ้านใหญ่มาร่วมครึ่งทางแล้ว
"ไม่ได้โกรธครับ"
"แล้วทำไมถึงไม่ยอมสบตาพี่ล่ะ?"
"ถ้าเป็นพี่เอก ตื่นมาความจำเสื่อม ฟังคำคนข้างๆก็ต้องเชื่อ แต่กลับมารู้ว่าโกหก จะรู้สึกยังไงล่ะครับ?"
กลายเป็นธนกรบ้างที่เงียบไปอีกครู่ใหญ่ พร้อมกับความเร็วของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ขึ้นทางด่วนมาแล้ว ทว่าใบหน้าดูดีก็ยังไม่ยอมหันมาทางเขา
"พี่ขอโทษ พี่ไม่อยากให้นทกลัวเท่านั้นเอง พี่คิดว่านทจะกลัวถ้ารู้ว่ามีคนปองร้ายอยู่"
"แต่การโกหกก็ไม่ได้ทำให้คนคนนั้นหายไปใช่ไหมล่ะครับ?"
"มันก็... ใช่"
"ถ้าพี่เอกบอกนท นทยังระวังตัวบ้าง แต่นี่นทไม่รู้อะไรเลย ไม่คิดว่ามันอันตรายยิ่งกว่าเหรอครับ"
"พี่บอกแล้วไงว่าจะปกป้องนทเอง"
"พี่เอก... นทไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ ที่จะคอยรอให้คนอื่นมาปกป้องอยู่ตลอดเวลา นทโตแล้ว พี่เอกก็บอกเองว่านทอายุ 23 แล้ว"
"แต่นทยังจำอะไรไม่ได้นะ"
"ใช่ครับ นทจำไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกถ้าพี่จะคอยประคองนทเหมือนกับเป็นเด็กเล็กๆ นทต้องเรียนรู้และกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมให้ได้"
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ตั้งแต่ร่างบางความจำเสื่อม เถียงอะไรด้วยไม่เคยชนะสักที นิชาสามารถต้อนเขาจนจนมุมได้ทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูกก็ตาม ผิดกับสมัยก่อนทีี่หัวอ่อน ขี้เกรงใจ พูดอะไรก็ยอมตลอด แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นิชาในรูปแบบนี้กลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่า ดูหนักแน่นกว่า โดยเฉพาะดวงหน้าและสายตาดุๆที่ตวัดมองมานั้น ทำเอาเขาไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว
"โอเค จากนี้มีอะไรพี่จะบอกความจริงทุกอย่าง แบบนี้หายโกรธพี่ได้รึยังครับ?"
"นทบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ"
"ไม่โกรธอะไร แก้มพองซะขนาดนี้ หัดแอ๊บแบ๊วเหรอ?"
"พี่เอก!"
ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอภัยให้เขาแล้ว เมื่อถึงลานจอดรถใต้คอนโดเขาก็ดับเครื่อง แล้วหันไปมองหน้าใบหน้าน่ารักที่หันมองตามมาด้วยความงุนงง
"... มีอะไรเหรอครับ?"
ดวงตาคู่โตที่ฉายแววซื่อที่มองตรงมา ทำให้รอยยิ้มสวยประดับบนใบหน้าดูดี เจอสีหน้าไร้เดียงสาแบบนี้ คิดจะทำอะไรก็คงทำได้ไม่ลง
"เราขึ้นบ้านกันไหม?"
"อืม ไปสิครับ"
เมื่อได้พูดคุยกันตรงๆ พวกเขาก็สามารถยิ้มให้กันได้อีกครั้ง ธนกรนึกโล่งอกที่อีกฝ่ายเป็นคนมีเหตุผล แตกต่างจากแฟนเก่าของเขาหลายคนที่เมื่อได้เล่นบทงอนแล้วก็ต้องคอยให้ตามง้อเป็นนาน บางครั้งต้องหาดอกไม้หรือข้าวของถูกใจมาประเคนให้จึงหายงอน แต่กับนิชา แค่ได้เคลียร์กันเรียบร้อย เรื่องก็จบ คุยกันได้เหมือนเดิม
หากได้คนแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิต ก็คงสามารถก้าวเดินไปด้วยกันได้จนสุดทาง
“ห้องนี้เหรอครับ?”
“ใช่ ห้องนี้แหละ เข้าไปดูกันไหม?”
“อื้อ ตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ”
ธนกรหัวเราะ “ตื่นเต้นทำไม ก็แค่คอนโดธรรมดาเท่านั้นแหละ”
จริงๆก็คงจะต้องเรียกว่า ‘ธรรมดา’ ในสายตาของคนมีอันจะกินเสียมากกว่า เนื่องจากห้องนี้ใหญ่ขนาด Penthouse มีการทำ duplex สองชั้นเป็นแนวดิ่ง หรือสรุปง่ายๆก็คือเป็นห้องที่มีสองชั้นอีกที แบ่งชั้นล่างเป็นห้องรับแขก ครัว และห้องน้ำ ส่วนห้องนอนจะอยู่ข้างบน จึงให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านมากกว่าคอนโดนั่นเอง
“... แต่ผมว่าไม่ธรรมดาแล้วมั้งครับ”
“พี่ไม่ชอบอยู่ที่ราบนานๆน่ะ ต้องเดินขึ้นเดินลงซะบ้าง ไม่อย่างนั้นจะขี้เกียจ”
“อ้อ... แบบนี้เอง สวยดีนะครับ ดูภายนอกผมเข้าใจว่าห้องจะมืดๆหน่อยซะอีก”
“จริงๆการออกแบบในตอนแรกก็เป็นแบบนั้น แต่พี่ขอเปลี่ยนวอลล์เปเปอร์ใหม่ให้เป็นโทนสีสว่างน่ะ พี่ไม่ชอบห้องมืดๆ มันดูทึมๆเหงาๆยังไงก็ไม่รู้ นทชอบไหม?”
“ชอบสิครับ สวยดีจัง”
แม้จะจดจำไม่ได้ว่าเคยใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่ดูโปร่งโล่งสบายตาเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็ยินดีที่จะอยู่ที่นี่ แน่นอน ไม่ว่าใครย่อมรู้สึกเช่นนั้น อยู่ในสถานที่ที่สวยงาม กับคนที่รัก แบบนี้จะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน
“กาแฟไหม?”
“เดี๋ยวนทชงเองก็ได้ครับ”
“อ้อ จริงสิเนอะ พี่ก็ลืมไปว่านทเคยทำงานในร้านกาแฟ”
ธนกรหลุดปากออกไป ก่อนจะชะงัก เงยหน้าสบตากับดวงตากลมโตมามองตรงมาอย่างประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะรีบเอ่ยกลบเกลื่อนโดยไม่ทันคิด
“ลืมเล่าให้ฟังว่า ตอนที่นทเข้ามากทม.ได้ใหม่ๆ นททำงานในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง ก่อนที่เราจะทำงานด้วยกันน่ะ”
“จริงเหรอครับ แบบนี้นทก็ต้องชงกาแฟเก่งสิเนอะ ให้ลองหน่อยได้ไหมครับ?”
“เอาสิ แต่รู้วิธีชงกาแฟแน่นะเรา?”
“ต้องลองดูครับ ลองดูก่อนไม่เสียหาย”
ธนกรระบายลมหายใจขณะมองตามด้านหลังของร่างเล็กเดินตรงไปทางครัวที่จัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน จริงๆแล้วห้องนี้ เขาก็แค่ออกแบบเอาไว้สำหรับตัวเขาเอง ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าจะมีใครมาอยู่ด้วยตั้งแต่แรก แต่ด้วยความที่ห้องกว้าง จึงมีพื้นที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวเล็กๆสักสองหรือสามคน
ใครจะไปคิดว่าคนที่รักชีวิตโสดอย่างเขาจะได้เจอกับใครสักคนที่พร้อมจะปักหลักชีวิตร่วมด้วย ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึก ‘รัก’ เขาจริงๆเสียด้วยซ้ำไป
“อร่อย... รสนุ่มดีจัง”
“จริงเหรอครับ โชคดีจัง”
“อืม นทชงกาแฟเก่งจริงๆด้วยแฮะ”
“พี่เอกครับ... นทถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“อืม ได้สิ”
“ห้ามโกหกนะครับ”
“สัญญา ไม่โกหกแล้ว”
“เล็ก... เป็นน้องสาวของพี่เอกใช่ไหมครับ?”
“... ใช่”
เขาไม่แปลกใจนักที่ร่างตรงหน้าเอ่ยถึงประเด็นนี้ หลังจากที่รับฟังเรื่องราวคร่าวๆที่เขาสรุปให้ครอบครัวฟังที่บ้าน ในตอนนั้นนิชาเพียงนั่งเงียบราวกับจมจ่อมอยู่ในความคิดของตนเอง ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร หากนิชาได้พูดออกมาตรงๆ อาจจะดีกว่าเก็บเอาไว้เพียงลำพัง
“แล้วแฟนเก่าของนทที่ว่า... ใช่ผู้ชายคนที่อยู่ในห้องด้วยกันตอนแรกรึเปล่าครับ”
“ก่อนที่พี่จะตอบ อยากถามนทก่อนว่าอะไรทำให้คิดแบบนั้น?”
“ก็จากที่มอง พอผู้ชายคนนั้นเห็นหน้าพวกเราเขาก็รีบวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่ทักทาย จริงๆก็ไม่ใช่มารยาทที่พึงกระทำ แล้วเขาก็ไม่ได้ดูป่วยอะไร แถมน้องเล็กก็รีบวิ่งตามผู้ชายคนนั้นไปเลย ก็น่าจะเดาได้ว่ามีสัมพันธ์อะไรพิเศษต่อกันใช่ไหมครับ นทก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นผู้ชายคนนั้นรึเปล่าที่เป็นแฟนเก่าของนท”
เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่นาที นิชาสามารถสังเกตคนรอบข้างได้ดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก โชคดีที่ไม่ถามถึงความสัมพันธ์อื่นที่ชายคนนี้มีกับพี่น้องของเขา เพราะขืนถามมา เขาก็ไม่รู้จะโกหกได้อีกหรือไม่ แม้จะไหลไปเรื่อยๆเช่นนี้ แต่นิชาก็คงดูออกเข้าสักวัน แต่อย่างน้อยเขาจะค่อยๆคิดหาทางออกกับการบอกความจริง ขอตอบเฉพาะคำถามที่ร่างบางเอ่ยถาม อะไรไม่ถามก็จะไม่ตอบไปก่อน
“... อืม ถูกต้องแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมน้องเล็กเขาถึงต้องสั่งให้คนมาทำร้ายนท ในเมื่อเลิกกันแล้วล่ะครับ?”
“เพราะว่าผู้ชายคนนั้นยังไม่เลิกติดต่อกับนท”
“อ้อ แบบนี้นี่เอง มีอะไรอีกไหมครับเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่นทควรจะรู้แต่ไม่รู้?”
ธนกรสะอึกเมื่อถูกพูดดักคอราวกับคาดเดาความคิดได้ ดวงตาคู่สวยจริงจังและเฉียบคมผิดกันเป็นคนละคน เขาชักไม่แน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าใช่นิชาคนเดิมที่เขารู้จักรึเปล่า นิชาก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำไม่เคยแผ่รังสีกดดันออกมาจนเขารู้สึกได้เช่นนี้ เป็นบรรยากาศอย่างคนที่รู้จักใช้อำนาจและการต่อรอง ไม่ได้ดุดัน แต่หนักแน่นจนไม่อาจหลีกหนีได้โดยการแถแบบที่เขาชอบทำ
“จริงๆแล้ว ผู้ชายคนนั้น... แต่งงานแล้ว”
“... กับพี่หญิง?”
“นทรู้ได้ยังไง?!”
“จากตอนแรกที่เข้าไปในห้องครับ จากตำแหน่งที่นั่ง ผู้ชายคนนั้นนั่งโซฟาคู่ตัวเดียวกับพี่หญิง ในขณะที่น้องเล็กนั่งอยู่โซฟาเดี่ยวข้างๆกัน”
“แต่นั่นมันเรื่องเล็กมากเลยนะ นทรู้ได้ยังไงจากแค่เรื่องที่นั่ง?”
“เพราะว่าดูจากบ้านของพี่เอกแล้ว เรื่องของระบบอาวุโสน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ จากที่คุณพ่อกับคุณแม่นั่งโซฟาตัวหลักของห้อง ส่วนพี่ก็นั่งรองๆลงมา เลยเดาว่าเรื่องตำแหน่งการนั่งก็น่าจะมีผลด้วยครับ”
ช่างสังเกตจนผิดวิสัยเดิมราวกับเป็นคนละคนจริงๆ หากนิชาคนเดิมเป็นแบบนี้เขาคงไม่ต้องห่วงมากนัก อาจจะต้องเรียกว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้างจริงๆ
“นทมีอีกหนึ่งคำถามครับ”
“ว่ามาเลยครับ พี่คงโกหกนทไม่ได้แล้วจริงๆแหละ”
“... พี่เอก นทกับพี่เอก... เราไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนใช่ไหมครับ? นทไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ ใช่ไหมครับ?”
“... ทำไมพูดแบบนั้น?”
“เพราะว่า... แก้วแต่ละใบที่อยู่ในครัว หลักๆแล้วมีอยู่แค่ใบเดียว ส่วนใบอื่นเก็บอยู่ในตู้เหมือนกับไม่เคยถูกเอามาใช้ก่อน เมื่อกี้นทถึงกับต้องเอาออกมาล้างก่อนจะเอามาใช้ แปลว่าไม่ได้ถูกใช้มานานมากแล้ว”
“แค่นั้นน่ะเหรอ ที่ทำให้นทคิดว่าพี่โกหก?”
“ไม่ใช่หรอกครับ... ที่บอกความจริงนทได้มากที่สุด คือตัวของพี่เอกเอง”
“ตัวพี่...?”
“สายตาของพี่... ดวงตาของพี่ที่มองนท ไม่ใช่สายตาของคนที่รักกันจริงๆ พี่ทำสายตาแบบไหนรู้ไหมเวลาเรามองตากัน?”
ธนกรนิ่งเงียบ เมื่อถูกดวงตาคู่สวยคู่เดิมจรดมองลึกราวกับตั้งใจจะสะท้อนให้เห็นถึงความจริงทั้งหมดที่ปิดซ่อนเอาไว้ เขาอยากจะหลบตา แต่ก็ทำไม่ได้ ราวกับถูกสะกดเอาไว้ให้ยอมรับความจริงที่ได้แต่เก็บงำเอาไว้ --- ความจริงที่ทำให้นอนหลับไม่เคยสนิทเลยสักวัน
“พี่เจ็บปวด... พี่เป็นทุกข์ เหมือนกับมีเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ที่อยากจะบอกแต่ก็บอกไม่ได้ เรื่องนี้ใช่ไหมครับที่พี่เก็บเอาไว้มาตลอด?”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ สายตาฉายแววเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง เขาคาดว่าจะถูกตำหนิและต่อว่าที่หลอกลวงและสวมรอยเป็นคนรักมาตลอด ทว่าใบหน้าใสกลับประดับรอยยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและเจ็บปวดไม่ต่างกัน
“เราสองคน... ไม่ใช่คนรักกันจริงๆใช่ไหมครับ?”
“พี่ปรารถนาจะให้เป็นความจริง... แต่พี่คิดว่านทก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่... เอกขอโทษนะ ที่โกหกมาตลอด”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นทต้องขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ช่วยเหลือนทมาตลอด และคิดว่าจากนี้ไป เอกก็คงยังช่วยนทต่อไปได้ใช่ไหมครับ?”
“ได้สิ... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เอกเต็มใจช่วยนทเสมอ”
ร่างบางแย้มรอยยิ้มน้อยๆ
“นทมีเรื่องอยากรบกวนหน่อยครับ”
เสียงปิดประตูดังขึ้น ส่งผลให้ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟารีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ทางเดินอย่างรวดเร็ว
“พี่ชิน”
เจ้าของนามเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงของคนที่รักที่สุดในบ้านของตนเอง สมองนึกถามตนเองหลายครั้งว่านี่ภาพหลอนหรือเขาแค่ฝันไปหรือทั้งสองอย่าง แต่ภาพเบื้องหน้า นิชาที่ยืนอมยิ้มอยู่ตรงหน้าเขานั้นดูสมจริงเสียจนไม่อยากคิดว่าเป็นแค่ฝัน
“... นท?”
“ครับ นทเอง”
“นท... เข้ามาได้ยังไง? นทมาหาพี่หรือ?”
“ก็ในเมื่อเข้ามาได้แล้ว จะเข้ามาด้วยวิธีไหนก็ช่างมันเถอะครับ แล้วก็ใช่ครับ นทมาหาพี่”
เตชินท์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหลายเดือนนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขา จริงๆไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม นี่พวกเขายังเป็นคนรักกันดีอยู่รึเปล่า พระเจ้า หากนี่เป็นความจริงล่ะก็ นับจากนี้เขาจะดูแลนิชาให้ดีที่สุด จะไม่ทำร้าย จะไม่กลับดึก จะไม่นอกใจไปหาใครอื่นอีกเป็นอันขาด เขาขอสาบานกับตัวเองไว้เลย
“... นทมีเรื่องจะคุยกับพี่ครับ”
“อะไรล่ะ? นทอยากได้อะไรบอกมาได้เลย รับรองพี่ให้ได้ทุกอย่าง”
“ไม่ต้องรีบเสนอขนาดนั้นหรอกครับ รับรองว่าพี่ได้ช่วยนทแน่ มานั่งก่อนสิครับ”
เขาเดินตามร่างเล็กที่เดินไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกับชงกาแฟวางเอาไว้ตรงหน้า ช่างเป็นช่วงเวลาที่ช้านัก เขาปรารถนานักที่จะคว้าร่างงามมากอดเอาไว้ให้หายคิดถึง แต่กลับไม่กล้าพอที่จะขยับตัวไปจากที่นั่งที่กำลังนั่งอยู่เสียด้วยซ้ำไป
“พี่ชิน นทจะไปเรียนต่อที่อเมริกา” เขายิ้มแล้วยกมือปรามเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะพูดอะไร “และนทมีเรื่องจะขอร้องพี่ชิน... พี่ชินจะสัญญานทได้ไหมว่าจะทำตามที่นทขอ”
“ขออะไรล่ะ? ถ้าพี่ทำได้ พี่ให้ได้ทุกอย่างเลยจริงๆ”
“นับแต่วินาทีแรกที่นทลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ พี่ชินต้องไม่โผล่หน้ามาให้นทเห็นอีก และห้ามส่งใครมาตามดูนท เพราะถ้านทรู้ ตลอดชีวิตของพี่ชินนับจากนี้ อย่าได้หวังเลยว่าจะได้พบกับนทอีก” นิชาเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับคลี่ยิ้มหวานบางเบาที่ทำให้เตชินท์ถึงกับใจกระตุก “เรื่องง่ายๆแค่นี้พี่คงจะทำได้ใช่ไหมครับ”
“นท... แค้นพี่มากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แค้นเหรอครับ? เปล่าเลย ถ้านทแค้นพี่ก็คงไม่มานั่งคุยกับพี่อยู่แบบนี้หรอก”
“นทรู้ใช่ไหม ว่าถ้าพี่ไม่ยอมนทจะเป็นยังไง”
“รู้ครับ แล้วก็รู้ด้วยว่าพี่ไม่กล้าทำหรอก... พี่กลัวที่จะเสียนทไป ใช่ไหมล่ะ?” ร่างตรงหน้านิ่งเงียบ และร่างเล็กก็ถือว่านั่นเป็นการยอมรับ เขาจึงเอ่ยต่อ “จริงๆต้องขอบคุณพี่นะครับ ที่ไปยุ่งกับน้องเล็ก... เสียจนทำให้นทกลายเป็นแบบนี้”
“เด็กคนนั้นทำอะไรนท?”
“ทำให้นทกลายเป็นคนที่รู้จักทำตามความต้องการของตัวเองไงครับ ต้องขอบคุณนะ นทคิดว่าเมื่อก่อนนทคงเป็นคนที่น่าเบื่อน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ?”
“... นท นี่นทเป็นอะไรไป?”
“อาจจะต้องเรียกว่า กลายเป็นอีกคนล่ะมั้งครับ อีกคนที่ไม่เคยมีพี่อยู่ในหัวใจ...”
--- แต่ก็ยังเป็นคนที่รักเตชินท์อยู่ไม่สร่าง
ในวินาทีที่สบตากับผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกที่เอ่อล้นในหัวใจ เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเป็นความรักและโหยหา ปรารถนาจะได้อยู่เคียงใกล้และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ผิดกับความรู้สึกที่มีต่อธนกรที่มอบความสุขและคอยเอาอกเอาใจเขามาโดยตลอด นั่นเป็นเพียงความสุขผิวเผิน ไม่อาจลงลึกไปได้ถึงระดับเนื้อหัวใจ
แม้แต่ในตอนนี้ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะฝืนความต้องการของหัวใจตนเอง เพื่อไม่ให้ใจอ่อนต่อน้ำเสียงและสายตาที่แสดงออกถึงความรักอย่างสุดซึ้งของร่างตรงหน้า ไม่ยอมฝังกายสู่อ้อมแขนของผู้ชายคนนี้ เพราะเมื่อได้รับฟังเรื่องราวที่เตชินท์กระทำลงไป เขาไม่อาจให้อภัยได้โดยง่าย หากไม่สอนให้ผู้ชายคนนี้ได้รับบทเรียนเสียก่อน และหวังว่าสิ่งที่เขาขอร้องธนกรไปจะสำเร็จในที่สุด เพราะเมื่อถึงวันนั้น คงเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด
มนุษย์เราก็แบบนี้ ละกิเลสไม่ได้ ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในอ่างของตัณหาราคะจริงๆแล้ว เขาคงไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดในโลก เพราะเขามีคนที่รักเขามากจนพร้อมจะเสียสละทุกอย่างให้ตั้งหลายคน คนที่โชคร้ายจริงๆ คงเป็นคนที่ดันมาตกหลุมรักเขาเสียมากกว่า
“บ๊ายบายครับ พี่ชิน”
เตชินท์ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองร่างที่ค่อยๆลุกเดินจากไป ไม่กล้ารั้งเอาไว้ ไม่กล้าเอ่ยคำใดเพื่อขัดใจ เพราะนับจากวินาทีนี้ไป คำขอร้องของนิชาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
Talk: ที่มีคนเตือนไว้ว่าอย่าหักโหมไปเดี๋ยวจะทรุด นี่ก็เลยไปแอดมิดในรพ.มาเรียบร้อยแล้วค่ะ (หัวเราะทั้งน้ำตา)
จริงๆงานของชานม ไม่มีใครอยากทำโอทีหรอกค่ะ แต่สถานการณ์บังคับ ทุกคนจำต้องทำค่ะ ใครๆก็อยากหยุดกันทั้งนั้นแต่ก็ต้องช่วยๆกันค่ะ
อ้อ ชานมไม่ได้ทำบัญชีนะคะ เพราะงั้นไม่ได้ยุ่งแค่ช่วงปิดงบเหมือนพนง.บัญชีค่ะ TTwTT
ทีนี้จากที่จะไม่ได้หยุด ก็เลยได้หยุดเสาร์อาทิตย์นี้ไปโดยปริยายค่ะ (ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีที่ต้องไปให้น้ำเกลือในรพ.ตั้งหลายวัน)
กลับมาที่เนื้อเรื่องกันดีกว่า คิดว่า... อาจจะผิดคาดของหลายๆคน
อยากอธิบายให้ฟังเล็กน้อย และคิดว่าหลายคนคงจำได้ เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ได้แรงบันดาลจากการ์ตูนเรื่องหนึ่ง (โพสไว้ในหน้าแรกค่ะ)
แต่เนื้อหาหลักๆ มาจากชีวิตจริงของเพื่อนสนิทของชานม (เว้นเนื้อเรื่องในครึ่งหลัง ตั้งแต่ที่พี่ชินกับนิชาเลิกกัน... อันนี้ไม่ได้เอามาจากเรื่องจริงแล้วค่ะ)
มันน่าแปลกนะคะ ที่คนรักกันจะสามารถทำร้ายร่างกายกันได้ คนที่ถูกซ้อมก็ทนไป ทั้งๆที่รักแม่ตัวเองมาก ก็จะไม่ยอมให้แม่รู้เด็ดขาดว่าโดนแฟนซ้อม แม่เห็นก็จะบอกว่าตกบันได อะไรแบบนั้น
ชานมซึ่งเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นปี ห้ามจนไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นก็เด็กกันหมดด้วยแหละค่ะ
วันหนึ่งก็ได้เห็นวันที่แม่เพื่อนรู้ และเป็นเรื่องใหญ่
จากที่เคยคิดว่า เพื่อนนี่ก็หลงหน้ามืดตามัว แต่มันก็รักของมันจริงๆ แฟนนี่ก็เลวได้ใจจริงๆ
ก็เลยพบว่า แฟนนี่ก็รักจริงๆ วันนั้นยอมมากราบเท้าแม่ของเพื่อนชานม โดยที่ฝ่ายคนเป็นแม่ไม่รับเสียด้วยซ้ำไป
จากนั้นมา ฝ่ายชายก็ทำตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยอมกลับไปลงเรียนต่อให้จบ อยากจะทำให้เต็มที่เพื่อคนที่รักและแม่ ให้ยอมรับค่ะ
แม้ว่าในวันนี้ แม่ของเพื่อนชานมก็ยังไม่ยอมรับ(และคิดว่าคงไม่ยอมรับง่ายๆ) แต่พวกเขาก็ยังรักกัน...จนเข้าวัยทำงานแล้ว
ไม่น่าเชื่อนะคะ คนเราบทจะผ่านอะไรมาด้วยกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอาจจะยังเด็ก... แต่สุดท้าย พวกเขาก็ผ่านมาด้วยกันได้
เพื่อนในกลุ่ม... เหมือนจะมีแค่ชานมค่ะที่เชื่อว่าแฟนรักเพื่อนของชานมจริงๆ มันน่าแปลกนะคะ แต่ตอนเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน มันรู้สึกได้น่ะค่ะว่าเขารักกัน... ถึงแม้ว่าการแสดงออกอาจจะไม่เหมือนคู่อื่นก็ตาม
ที่พูดมานี่คืออยากจะบอกค่ะ ว่าต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนท ก็มีค่ะ... คนที่ทน ทนเพราะรัก เหมือนละคร แต่ก็มีอยู่ในชีวิตจริงนะคะ
คนที่ไม่เข้าใจ อาจจะมองว่าโง่ ชานมก็เคยมองว่าโง่ค่ะ จนเรื่องมันเกิดกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ได้เห็น ได้สัมผัสกับเหตุการณ์จริง เราถึงได้รู้ว่า
เขาไม่ได้มีความสุขซะทีเดียว ไม่ได้หลงหน้ามืดตามัว เขามองเห็นเพียงอนาคตที่มืดดำนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยได้วาดฝันจะได้แต่งงานเหมือนคู่อื่น แต่เขาก็ยังเลือกที่จะรัก (แน่นอนค่ะ ปัจจุบันคู่นี้เขาก็ยังคบกันอยู่)
แทนที่จะมองว่าโง่... จริงๆแล้วชานมกลับนับถือนะคะ (แต่ไม่ขอเลือกมีความรักแบบนี้นะ 555)
จริงๆชานมต้องขอบคุณคู่รักคู่นี้ ที่ทำให้ชานมได้มีโอกาสตีแผ่(?)เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (แม้ว่าของจริงจะดราม่ายิ่งกว่านี้มาก)
และคิดว่าเมื่อเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์แล้ว คงต้องส่งไปถวายเพื่อนของชานมด้วย 555 (แต่ตอนเล่าให้ฟัง เพื่อนบอกว่า เอาเลย เขียนตามสบายเลยแก << เพื่อนของชานมเป็นคนง่ายๆ น่ารักค่ะ)
ป.ล. สำหรับในตอนนี้ ขอบคุณข้อมูลจากเว็บสถาปนิกแห่งประเทศไทย (เกี่ยวกับข้อมูลของการออกแบบคอนโดค่ะ)
![:กอด1:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/kapook_dookdik_16024_46513.gif)