ค่ำคืนมาเยือนอีกครั้งในเวลาที่ความมืดโรยตัว แสงสีส่องสว่างทั่วเมืองจนทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองที่ดูแตกต่างไปจากยามกลางวัน ทุกพื้นที่กลายเป็นโลกของคนยามค่ำคืนที่ออกท่องเที่ยวหรือทำงาน ต่างคนต่างมีเป้าหมายแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับเขา
นิชายิ้มรับลูกค้าที่ทยอยแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ร้านของธนกรฮิตอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่ไม่ได้เปิดเพลงมันส์ๆแสบแก้วหู ไม่แม้แต่จะมีฟลอร์ให้เต้น แต่กลับมีชื่อเสียงขึ้นทุกวัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพนักงานหน้าตาดีที่บริการถึงที่ แต่ไม่มีการลวนลามเกิดขึ้นจริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า หรืออาจเป็นเพราะลูกค้าที่เข้ามาล้วนต้องผ่านการสแกนมาหมดทุกคนแล้ว ว่าต้องเป็นลูกค้าที่มีระดับ ที่แน่ๆคือเงินหนา นิชาเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ตั้งแต่วันแรกที่ได้เปิดเมนูอาหารและเครื่องดื่มของร้าน Aphrodite แห่งนี้
"คุณนท ตอนนี้พอมีเวลาไหมคะ?"
เจ้าของนามรีบหันไปทางต้นเสียงหวานจากหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหัวมุม เขาตรงไปที่นั่นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ร่างตรงหน้าคือบุตรสาวของเจ้าของโรงแรมใหญ่แถวสีลมที่แวะมาที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่ร้านเปิด จนถึงวันนี้ก็สามวันติดกันแล้ว และทุกครั้งที่เธอมา ก็ได้เรียกเขาไปนั่งสนทนาด้วยทุกวัน เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเป็นเพราะเหตุใด จะว่าเขาหน้าตาดี ก็ไม่น่าใช่ เนื่องจากในร้านมีพนักงานหน้าตาหล่อเหลาจำนวนมาก หรือจะบอกว่าเขาคุยสนุก ก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เพราะส่วนใหญ่แล้ว เขามักเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า
นิชาลืมคิดไปว่า ปัจจุบันนี้ น้อยคนนักที่รู้จักรับฟังผู้อื่น ฟังอย่างตั้งใจจริงๆ ต่างคนต่างแย่งกันพูดทั้งนั้นไม่ว่าจะที่ไหนหรือกับใครก็ตาม
"คุณฝน เป็นยังไงบ้างครับ?"
"ดีค่ะ แต่ใกล้สอบแล้ว ยังไม่พร้อมเท่าไหร่"
"อ้าว ใกล้สอบ แล้วทำไมยังมาที่นี่อีกล่ะครับ?"
"ก็... อยู่บ้านอ่านหนังสือมันน่าเบื่อนี่นา"
"ทนหน่อยสิครับ ทำเกรดให้ได้ดีๆ จบไปจะได้หางานดีๆได้ไงครับ"
"ฝนคงต้องทำงานที่บ้านนั่นแหละค่ะ"
นิชาอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้าหล่อนทำหน้าบึ้งอย่างซังกะตายสุดๆ ทั้งๆที่โรงแรมที่บ้านของเธอจัดว่าโด่งดังและเสถียรจนไม่น่าเป็นห่วงแล้วก็ตาม
"อ้อ จริงสิ ผมเองก็ลืมไป ก็ดีนะครับ ไม่เครียดดี"
"ไม่เห็นจะดีเลยค่ะ ที่จริงฝนอยากจะเรียนสถาปัตย์ฯ แต่ที่บ้านไม่ยอมเพราะจะให้คุมกิจการต่อ" เธอถอนหายใจออกมายาวแล้วพูดต่อ "บางทีก็อิจฉาเพื่อนๆนะคะ อยากเรียนคณะไหนก็ได้เรียน ฝนน่ะ ได้แต่ทำตามคำสั่งของที่บ้าน ชีวิตไม่เป็นของตัวเองเลยค่ะ"
คนที่ 'มี' มาก ก็ใช่ว่าจะมีความสุข ในขณะที่คนที่ 'ไม่มี' กลับอาจจะมีความสุขได้มากกว่านิชาได้พบกับความเป็นจริงมากมาย หลังจากได้มาเป็นส่วนหนึ่งในร้านแห่งนี้ เขาได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตา ได้สนทนา ได้รับฟัง และได้รับรู้อะไรใหม่ๆ
อาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตจากนี้ไปเขาจะทำอะไร
แต่ที่แน่ๆ เขามีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดี
"นท มาอยู่นี่เอง อ้าว คุณฝน สวัสดีครับ"
ธนกรเดินตรงมาที่โต๊ะพร้อมก้มศีรษะน้อยๆทักทายลูกค้าที่ท่าทางจะมาเป็นลูกค้าประจำเป็นแน่แท้ ร่างสูงในชุดสูทสีเลือดนกเดินมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ทั้งๆที่นิชาเองก็ไม่ได้เห็นว่าร่างตรงหน้าเก๊กหรืออย่างไร แต่กลับดูดีและดึงดูดสายตาใครต่อใครได้มากมายโดยที่เจ้าตัวดูเหมือนว่าจะไม่รู้ตัว
"มีอะไรรึเปล่าคะ คุณเอก?"
"คือ ผมต้องขอรบกวนคุณฝนเล็กน้อยครับ พอดีมีธุระด่วนที่ต้องให้ผู้จัดการร้านไปจัดการนิดหน่อยน่ะครับ"
"อ๋อ งั้นเชิญค่ะ คุณนท ขอโทษนะคะที่ฝนรั้งตัวคุณไว้"
"ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากต้องขอโทษที่ต้องปลีกตัวไปก่อน"
"ผมให้พนักงานตามมารับรองคุณฝนแล้วครับ สักครู่คงตามมาครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฝนใกล้จะกลับพอดี ต้องกลับไปอ่านหนังสือ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณนทดุ"
ธนกรหัวเราะในลำคอเมื่อผู้ถูกพาดพิงโดยไม่รู้ตัวทำตาโตด้วยความงุนงง ขณะที่เด็กสาวร่างเล็กเซ็นบัตรเครดิตแล้วยิ้มให้อีกครั้งเป็นการอำลา ก่อนจะตรงไปที่ประตูทางออก
"เด็กสมัยนี้ โตเร็วดีนะครับ"
นิชาหันไปมองทางผู้พูดด้วยสายตาแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าแล้วเดินไปทางลานจอดรถ เขารีบก้าวตามไปพลางเอ่ยถาม
"คุณมีอะไรเหรอครับ?"
"อ้อ ที่เรียกคุณมา เพราะผมมีอะไรจะให้ดูครับ"
เขาหยุดเดิน แล้วผายมือไปทาง Audi R8 V10 สีน้ำเงินที่ขัดจนขึ้นเงาวับ
"คันนี้ คุณขับนะ"
"... หมายความว่ายังไงครับ?"
"ผมเห็นว่าคุณไม่ยอมขับรถมาทำงานสักที ก็เลยซื้อรถให้คุณครับ"
นิชาเบิกตากว้างกับคำพูดง่ายๆของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า พูดด้วยท่วงท่าง่ายๆสบายๆอย่างกับว่าซื้อก๋วยเตี๋ยวจากปากซอยมาให้เป็นอาหารกลางวันอย่างนั้นแหละ ส่วนธนกรก็เอาแต่หัวเราะให้กับท่าทางตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกจากร่างบาง เขายื่นกุญแจรถให้มือเล็กรับเอาไว้
"เอ้า รับไว้สิครับ"
"เฮ้ย ไม่ได้หรอกครับ คุณจะบ้าเหรอ ของไม่ใช่บาทสองบาทนะ"
"รถยนต์ที่ไหนราคาบาทสองบาทล่ะครับ คุณนี่ก็แปลก"
"ก็นั่นน่ะสิครับ แล้วจู่ๆจะมาซื้อให้ผมได้ยังไงล่ะ"
"ก็อยากซื้อให้ผู้จัดการร้านนี่นา"
"ผมลำบากใจนะครับ ของแพงขนาดนี้ รับไว้ไม่ได้หรอกครับ"
"ก็คิดซะว่าเป็นรถประจำตำแหน่งสิครับ เป็นถึงผู้จัดการร้านเลยนะ มีรถประจำตำแหน่งก็ไม่แปลกหรอกครับ"
"แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..."
"งั้นเอางี้ ผมจะถือว่ารถคันนี้เป็นของผมละกัน แต่ผมจะให้ผู้จัดการร้านของผมขับ เมื่อไหร่ที่คุณลาออก ก็ถือว่าคืนรถให้ผม โอเคไหม?"
นิชาช้อนสายตามองนัยน์ตาคมที่แฝงแววซุกซนอย่างระอาเมื่อพบว่าเถียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เขายกมือขึ้นกอดอก เดินมองรอบตัวรถที่งดงามจนไร้ที่ติ เขาก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนั่งรถแบบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ขับรถซิ่ง ช่างให้ความรู้สึกสดใหม่และน่าตื่นเต้นมากจริงๆ
"อ้อ และเพื่อความเหมาะสมสำหรับขับในกรุงเทพฯ ผมไปปรับเครื่องมาแล้ว ไม่ให้เร่งได้เกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง"
ดวงตาคู่สวยตวัดมองคนพูดอย่างไม่ชอบใจในทันที ทำเอาธนกรที่กำลังอ้อมมานั่งข้างคนขับอมยิ้มอย่างถูกอกถูกใจ เขาน่ะหวังจะได้เห็นสีหน้าที่หลากหลายของนิชาเช่นนี้ แม้จะไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะชอบขับรถเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ร่างเพรียวขับซิ่งอยู่แล้ว แม้ว่าเขานั่นล่ะนักซิ่งตัวยง และแน่นอนว่าเรื่องปรับแต่งรถน่ะเรื่องจริง แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถปลดล็อกได้ เพียงแค่กดปุ่มเล็กๆที่ซ่อนอยู่ปุ่มเดียว ก็สามารถซิ่งได้สะใจเหมือนเดิมแล้ว และเชื่อสิว่านิชาไม่รู้
"คุณซ่อนปุ่มนั้นไว้ที่ไหน?"
"หืม? ปุ่มอะไรเหรอ?"
"อย่ามาไก๋ คุณไม่ได้เปลี่ยนเครื่อง แค่ล็อกความเร็วไว้เท่านั้น ผมจำได้ว่าอะไรทำนองนี้มันมีปุ่มทำให้เป็นเหมือนเดิมได้"
เป็นธนกรบ้างที่ทำตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ
"คุณรู้ได้ไง?"
"อ้าว คุณก็รู้นี่ใช่ไหม เราสองคนอายุเท่าๆกัน ก็ไม่แปลกที่จะรู้นี่ถูกไหม?"
นิชาหัวเราะเสียงใส ในขณะที่ธนกรนิ่งคิด ไม่ใช่ร้านแต่งรถทุกร้านที่จะทำแบบนี้ได้ง่ายๆ และนิชาก็คงไม่ได้แต่งรถเอง แบบนี้ก็คงเป็นเพราะอยู่กับใครบางคนที่แต่งรถ และใช้ร้านที่แพงไม่ใช่น้อยซะด้วย เขาคิดมาเพียงเท่านี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนั้นคือใคร
ธนกรหยักรอยยิ้ม เมื่อเห็นแววตื่นเต้นดีใจอยู่ในสีหน้าที่พยายามตีนิ่งไว้
"สรุปว่า คุณยอมรับรถคันนี้ไปเป็นสินทรัพย์ประจำตัวของคุณแล้วใช่ไหม?"
"ไหนคุณว่าของร้านไงครับ"
"ของผู้จัดการร้านครับ ในเมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งนี้ รถคันนี้ก็เป็นของคุณ เพราะงั้นอย่าไปซิ่งที่ไหนมากนะ เพราะถ้าไปโดนอะไรเข้า คุณต้องรับผิดชอบด้วยนะ"
"โห แบบนั้นจะให้ผมมาทำไมเนี่ย เกิดไปชนอะไรเข้าผมก็แย่สิ อะไหล่ไม่ใช่ถูกๆนะ"
"รู้แบบนั้นก็ขับดีๆ ระวังๆละกันนะครับ เอาไว้อยากซิ่งบอกผม ผมจะขับให้"
"ไม่เอาอ่ะ คุณก็มีแลมโบกินี่ของคุณแล้วนี่"
"แน่ะ มีหวงด้วย ที่จริงชอบใช่มั้ยล่ะ?"
ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วจิ้มไหล่บางพร้อมเอ่ยแซวเมื่อเห็นทีท่าของร่างตรงหน้า ทำเอานิชาที่พยายามจะเก๊กพลอยหัวเราะไปด้วยจนได้ เสียงหัวเราะใสๆดังก้องไปทั่วรถ น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้ทั้งปาก ทั้งตา ทั้งใจ ด้วยคำพูดง่ายๆ และท่าทางที่เป็นกันเอง
ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้รู้จักชายคนนี้นัก แต่กลับรู้สึกว่าเคยคุ้นกันมานาน เหมือนเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบพานกันมาหลายปี แต่ความสนิทสนมก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
"สรุปว่า ธุระของคุณคือเรื่องนี้เหรอครับ?"
"อื้อ ใช่"
"โธ่ คุณนี่ สงสารคุณฝนเขา เห็นเครียดๆเรื่องที่บ้านอยู่"
"อ้าวเหรอ ไม่รู้นี่นา แต่นี่ก็ธุระด่วนจริงๆนะ เพราะเดี๋ยวผมต้องแวะไปหาเพื่อนต่อ"
"เหรอครับ ที่ไหน?"
นิชาเผลอหลุดปากเอ่ยถามไปตามบทสนทนา อย่างลืมไปว่านับโดยศักดิ์แล้ว อีกฝ่ายเป็นเจ้าของร้าน ส่วนเขาก็แค่ลูกจ้าง และอีกฝ่ายดูเหมือนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าน่ารักที่ดูจืดลง
"ไปหาเพื่อนคนที่แนะนำตอนผมเปิดร้านไง ไปด้วยกันไหม?"
"ไม่เป็นไรครับ คุณรีบไปกับเพื่อนดีกว่า วันนี้นทเพลียๆ... เอ้ย... ผม..."
เขาเผลอเรียกแทนตัวเองไปเช่นนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วเหลือบตามองใบหน้าดูดีที่อมยิ้มอยู่ข้างๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างประหม่า เนื่องจากไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะยังเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ แล้วธนกรก็ไม่ได้อายุมากกว่าเขาเลยสักนิด เรียกตัวเองแบบนี้กับคนที่อายุเท่ากันทำให้เขารู้สึกเก้อเขินอย่างห้ามไม่อยู่
"เรียกแบบนั้น..."
"ขะ ขอโทษทีครับ ผมเผลอไป"
"น่ารักดีนะครับ เหมือนที่บ้านผมเลย เวลาอยู่บ้านนะ ทุกคนก็เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นแบบนั้นแหละ ผมว่าน่ารักดีนะ เหมือนอยู่กับคนที่บ้านเลย"
นิชานึกโล่งอกเมื่อได้ฟังดังนั้น อีกฝ่ายเป็นคนที่มีความสามารถในการใช้คำพูดที่ทำให้คนรอบข้างสบายใจได้ด้วยท่าทางเรียบง่ายเช่นนั้นเสมอ นับว่าเป็นข้อดีที่เขานึกรักในร่างตรงหน้านัก
"ต่อจากนี้นทเรียกตัวเองแบบนั้นนะ เอกก็จะเรียกตัวเองแบบนี้เหมือนกัน ยังไงเราก็อายุเท่ากันเนอะ"
"... จะไม่ดูแอ๊บแบ๊วจริงๆเหรอครับ?"
"ไม่นะ เรายังเด็กกันอยู่เลย เอกอ่ะเด็กแน่ๆ ดูสิๆ หน้ายังเด้งอยู่เลยเห็นป่าว"
นิชาหลุดขำพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้ เด็กที่ไหนดื่มเหล้าสูบบุหรี่จัดเต็มขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ เขาเองก็สบายใจดีที่ได้อยู่กับธนกร การจะวางตัวกันเองเพื่อให้สนิทกันมากขึ้นก็ไม่เลว
"ก็ดีเหมือนกัน แต่ต่อหน้าแขกก็อย่าเลยนะ อายเขา"
"คิดมากครับ นท ชีวิตเป็นของเรา ใช้ชีวิตให้คุ้มกับที่เกิดมาสิครับ"
"นั่นเป็นวิถีของคุณชายเหรอ?"
".. แอบกัดนะ เอกก็แค่รู้สึกว่าคนเราคิดมากเกินไป เพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนนั่นแหละ ทำอะไรก็ต้องแคร์สายตาคนอื่น ทั้งๆที่สิ่งที่เราทำไป ก็เพราะแค่อยากให้ตัวเรามีความสุขเท่านั้นเอง เอกคิดว่าการมีความสุขไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ หรือนทว่าไง?"
"... ก็จริงล่ะมั้งเนอะ"
การมีความสุขไม่ใช่เรื่องผิด --- นอกจากความสุขนั้น ไปบ่อนทำลายความสุขของคนอื่น
เรื่องนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร
"นท"
เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นหู ส่งผลให้เจ้าของร่างงามที่เพิ่งจะจอดรถเรียบร้อยในลานจอดรถชั้นล่างของคอนโด หันไปมองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคิดว่า อุตส่าห์ย้ายหนีออกมาอย่างสงบสุขได้ตั้งหลายเดือน แต่สุดท้ายคนที่เขาหนีก็ยังจะตามมาเจอจนได้ นิชาทอดสายตามองร่างสูงสง่าที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาอ่อนใจ
"ทำงานเหนื่อยรึเปล่า?"
"ไม่เท่าไหร่ครับ พี่มีธุระอะไรรึเปล่า?"
ร่างโปร่งเอ่ยพลางเดินตรงไปที่ลิฟต์ โดยไม่ใส่ใจต่อเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมา เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้น โดยไม่ได้กดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ค้างเอาไว้ให้ แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เดินตามเข้ามาทันจนได้
"พี่จะไปไหน?"
"ไปห้องของนทไง"
"... ผมเชิญพี่เหรอ?"
"... นทจะไล่พี่ได้ลงคอเชียวหรือ?"
นิชาเมินหน้าหนีสายตาตัดพ้อที่ส่งมามองเขาราวกับว่าเขาเป็นอาชญากรใจร้ายใจดำ เขาพุ่งออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว พยายามก้าวเท้ายาวๆเพื่อเดินหนี แต่ด้วยความสูงที่แตกต่างกันตั้งแต่ต้น ก็ทำให้อีกฝ่ายสามารถเดินตามเขามาได้ติดๆอย่างง่ายดาย เขาเปิดประตูห้อง แล้วก้าวเข้าไป ใจหนึ่งนึกอยากจะปิดประตูใส่หน้าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลัง แต่สุดท้าย เขาก็ทำไม่ได้
เตชินท์ปิดประตูลง ภาพของแผ่นหลังบอบบางที่แม้จะอยู่ในชุดสูทดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของเขาเสมอ รู้ตัวอีกที เขาก็รั้งข้อมือบางเพื่อดึงร่างเล็กให้เซปะทะแผ่นอกของเขาเสียแล้ว สิ่งเดียวที่เขาคิดคืออยากพบหน้า อยากเห็นหน้า อยากมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย และกอดร่างตรงหน้าเอาไว้แน่นๆเท่านั้น
"นทคิดถึงพี่ไหม?"
ดวงตาคู่สวยฉายแววสั่นไหว เมื่อพบกับดวงหน้าคมที่เคลื่อนเข้าใกล้ เขาใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสกับริมฝีปากที่ประชิดติดริมผิวกายเบาๆ เพื่อเป็นการปรามและเตือนสติของร่างตรงหน้าที่คล้ายกับคนที่ถูกมนต์ดำครอบงำ
"หยุดนะ... พี่... จะทำอะไร"
"... นท ไม่รักพี่แล้วหรือ?"
เสียงทุ้มออดอ้อนและเว้าวอน ก่อนที่ดวงตาคมจะฉายแววขุ่นเคืองเมื่อใบหน้างดงามเพียงแค่เบือนหนีแล้วพยายามถอยห่าง
"หรือเป็นเพราะไอ้เด็กไม่เจียมนั่น..."
"ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเชษฐ์หรือเอกทั้งนั้น"
เขาไม่รู้ว่าเตชินท์หมายถึง 'เด็ก' คนไหน เพราะไม่ว่ากับใคร ชายหนุ่มก็ใช้สรรพนามแทนด้วยคำว่า 'ไอ้เด็กนั่น' แทบทุกครั้งที่เรียกสองคนนี้
"แน่ใจหรือ? ทั้งๆที่ซื้อรถให้แล้วเนี่ยนะ"
"เขาไม่ได้ซื้อให้นท หรือต่อให้ใช่ ก็ไม่ใช่เรื่องของพี่"
เตชินท์พยายามข่มอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นเอาไว้ เขาตั้งใจจะมาขอคืนดี ไม่ใช่มาชวนทะเลาะ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดเชือดเฉือนความรู้สึกมากเข้า จากร่างเพรียวบางที่เคยว่าง่ายและเชื่อฟังทุกอย่างเสมอ ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดขึ้นมา
"นี่พี่ไม่ยักรู้นะ ว่าเดี๋ยวนี้นทจะหันมาควบสอง"
ใบหน้าสวยหันไปเผชิญกับผู้ชายที่ดีแต่พูดจาหยาบคายเพื่อยุให้เขาสติแตกแล้วโพล่งคำพูดรุนแรงออกไป คำพูดที่เสียดสีโดยไร้เหตุผลทำให้เขาขัดเคือง ใช่ แต่เขาจะไม่ยอมเสียรู้ร่างตรงหน้าด้วยการระเบิดอารมณ์ตามต้องการ เรื่องแค่นี้เขาทนได้
"นทน่ะ รักใครได้ทีละคนครับ แต่ว่าความเชื่อใจ... นทให้ได้แค่คนละครั้งเท่านั้น"
"... นี่นทจะบอกว่าไม่เชื่อใจพี่อย่างนั้นสิ?"
"แล้วกับคนที่แต่งงานแล้ว แต่กลับมาวุ่นวายกับผู้ชายอย่างนท... มันมีอะไรที่น่าเชื่อด้วยเหรอครับ?"
"หึ ตั้งแต่อยู่ในวงการแบบนั้น การพูดการจาเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"
"นทเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไร เพียงแต่... อดทนที่จะไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง"
"พูดอีกสิ ด่าพี่อีกก็ได้"
"พี่โรคจิตรึไงถึงชอบให้คนอื่นด่า?"
"ไม่หรอก"
มือหนารั้งเอวบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว อ้อมแขนแข็งแกร่งล็อกร่างบอบบางเอาไว้แน่นราวกับไม่มีวันจะปล่อยให้นกน้อยโบยบินหนีไปได้อีก
"ปล่อยนะพี่ชิน! ปล่อยนท!""ทุบอีกสิ ต่อยพี่เลย นทจะด่าจะเกลียดพี่ยังไงก็ได้... แต่พี่จะไม่ปล่อยนทไปอีกแล้ว"
หยดน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ เขาพยายามขืนกายออกห่างจากอ้อมกอดแข็งแรงอย่างสุดแรงเกิด ทว่าชายหนุ่มกลับยิ่งกอดแน่นยิ่งกว่าเดิมจนเขาหมดแรงสู้ ร่างเล็กหันหน้าหนีเพื่อซ่อนรอยน้ำตาที่เอ่อท้น
เกลียดตัวเองที่อ่อนแอ และพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกที่ล้นเอ่อในหัวใจทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้
เกลียดทีเป็นเหมือน 'ของตาย' ที่ไม่ว่าชายหนุ่มมองกลับมาอีกกี่ครั้ง --- ก็ยังยืนรออยู่ที่เดิม
"พอที... อย่าทำให้นทรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามากไปกว่านี้เลย"
"การที่เราสองคนรักกันมันผิดตรงไหน...? นทไม่เห็นค่าของความรักของเราเลยหรือ?"
"... ไม่ได้ พี่ชิน มันเป็นไปไม่ได้... นทรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ ยิ่งฝืน... นทก็ยิ่งเกลียดตัวเอง"
"งั้นถ้านทไม่รู้... ก็ไม่ผิดใช่ไหม?"
มือใหญ่ทาบลงบนดวงตาคู่สวย ปิดบังทุกสิ่งจากการมองเห็น ร่างบางยังไม่ทันที่จะร้องประท้วง เขาก็รับรู้ได้ถึงความชิดใกล้ที่คืบคลานเข้ามา
กลิ่นกายอันแสนคุ้นเคย ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวหน้า และบางสิ่งที่นุ่มหยุ่นค่อยๆกดลงบนริมฝีปากที่เม้มน้อยๆอย่างประหม่า
เขามองไม่เห็น แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก
จูบ --- ที่แผ่วเบา ผิวเนื้อแตะสัมผัสกันเพียงชั่ววินาที
ทว่าหลงเหลือความรุ่มร้อนทิ้งไว้ที่เรียวปากแม้ทอดถอนไป
หยดน้ำใสหล่นวูบผ่านผิวแก้ม
แต่ไม่ใช่ด้วยเพราะความเสียใจ
และไม่ใช่ด้วยเพราะความยินดี
แต่ด้วยเหตุผลมากมาย มากมายเหลือเกิน ที่อยากจะบอก อยากจะพูด อยากจะให้เข้าใจ
ความเจ็บปวดกับความหลังครั้งเก่า ในยามที่หัวใจถูกบีบจนยับเยิน
ความผูกพันกับความทรงจำที่ดีที่สอนให้เขารู้จักความรัก และการได้อยู่เพื่อใครสักคนอันเป็นที่รัก
วันวานมากมายที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตา และรอยยิ้มที่เป็นสุขจากหัวใจวิ่งพล่านอยู่ในกล่องเก็บความทรงจำ
คิดถึง คิดถึง คิดถึง
คิดถึงมากเหลือเกิน
อยากจะกลับไปคบกัน อยากจะกลับไปอยู่ด้วยกัน หัวเราะให้กัน ก้าวเดินไปพร้อมกัน
--- อยากจะกลับไปเป็นของกันและกัน
แม้จะกลัวที่จะต้องเจ็บปวด กลัวเหลือเกินว่าทุกอย่างจะกลับไปลงเอยแบบเดิมก็ตาม
เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ายังรัก และคงไม่มีวันลืมได้ --- ตลอดวินาทีที่ยังมีลมหายใจ
ความคิดมากมายวิ่งวน อยากจะบอกให้รับรู้ความรู้สึกที่มากมายจนล้นปรี่
แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกจากริมฝีปากคู่สวย นอกจากเสียงสะอื้นที่แผ่วเสียจนแทบไม่ได้ยิน
