[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
การมองอะไรไม่เห็น ในบางครั้งที่ได้หลับตา --- บางที มันก็ทำให้เขาเป็นสุขใจ
แม้ว่าในความสุขใจนั้น เจือด้วยรสขมของน้ำตาก็ตาม
“กลับไปซะเถอะ...”
“นท คืนนี้... พี่อยากอยู่กับนทนะ”
“ไม่ แต่นทไม่ได้อยากอยู่กับพี่ ออกไปได้แล้ว”
น้ำเสียงเย็นชาที่สั่นไหวเล็กน้อยตรงท้ายประโยค แต่แววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้เตชินท์รับรู้ได้ถึงการ ‘ไม่เป็นที่ต้องการ’ แม้ว่าเรือนกายบางจะสั่นระริกอย่างต้องการการปกป้องก็ตาม
“นท ที่พี่ปล่อยนทไป ไม่ได้ตั้งใจจะให้เราจบแบบนี้นะ”
นิชาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่ฉายแววเจ็บปวดในแบบที่เขาไม่เคยได้เห็น นัยน์ตาคมแสดงความอ่อนแอออกมาจนเขารู้สึกได้ มือเล็กต้องจิกกำเนื้อแน่นเพื่อเรียกสติของตนให้กลับมา
จำไม่ได้หรือว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนแบบไหน
มีคนใหม่ตั้งกี่หน นอนกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาตั้งกี่ครั้ง โดยไม่แม้แต่จะรู้สึกผิดต่อเขาซึ่งในตอนนั้นเป็นคนรักเสียด้วยซ้ำ หนำซ้ำ ยังด่าสาดเทเสียเขาจนย่อยยับ หัวใจเจ็บช้ำโดยไม่เคยที่เตชินท์จะหันมาเหลียวแล
หมอนผ้าสีขาวต้องเปียกชื้นรอยน้ำตาทุกค่ำคืน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของการรอคอยใครบางคนที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือไม่ ทุกวันนี้ความหนาวเหน็บนั้นก็ยังทำให้เขาเจ็บร้าวได้ทุกครั้งที่หวนระลึก
“พี่เห็นว่านทเจ็บปวด พี่เลยยอมปล่อยนทไป แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพี่ไม่รักนทแล้วนะ”
“พี่รักนท แต่แต่งงานกับคนอื่นเหรอครับ?”
“นทก็รู้ว่าพี่ทำไปเพื่ออะไร การแต่งงานมันก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น”
“แล้วพี่บอกนทได้ไหมว่าพี่ไม่เคยรับบท ‘สามี’ แต่จริงๆพี่ไม่ได้แตะต้องคุณหญิงเลย?”
เตชินท์ชะงักไป สมองประมวลถึงภาพที่เห็นเมื่อรุ่งเช้าในบ้านที่เขาเป็นคนเลือกซื้อให้นภิสาไปอยู่ด้วยตนเอง เมื่อคืนเขาเมามาก เมาและเจ็บปวดมากเสียจนสายตาพร่าเลือน เขาไม่รู้หรอกว่ากำลังนอนกอดใคร แต่หัวใจของเขาปรารถนาเหลือเกินในคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาคือนิชา
“ต่อให้พี่จะนอนกับใคร หรือต่อให้ต้องมีลูกกับใครก็ตาม พี่... ไม่เคยรักใครนอกจากนท”
เพียะ!
ฝ่ามือบางฟาดเข้ากับซีกหน้าคมเต็มแรง กายบางสั่นระริกด้วยความรู้สึกขยะแขยงข้อแก้ตัวของผู้ชายตรงหน้า หากทุกคนในโลกมีความคิดเช่นนี้ ก็คงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าสังคมกำลังเสื่อมถอยเข้าสู่กลียุค!
“สกปรกสิ้นดี... พี่คิดว่าบนโลกนี้มีพี่เป็นจุดศูนย์กลางหรือไง ถ้าคิดได้แค่นี้ก็กลับไปซะ นทไม่มีวันย้อนกลับไปอยู่กับคนที่มีความคิดแบบนี้ ไม่มีวัน!”
“นท...”
“ออกไปซะ! ออกไปซะทีได้ยินไหม!!”เสียงหัวใจเต้นรัว ผิวกายเต้นเร่าอย่างปรารถนาจะทิ้งกายเข้าหาร่างตรงหน้า ยื้อยุดเอาไว้ไม่ให้จากไปไหน แต่สมองที่สั่งการนั้นรับรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แก้วใสใบนี้ทนต่อแรงกระแทกมาหลายปี เมื่อถูกเขวี้ยงจนแตกกระจายอยู่บนพื้น ต่อให้นำมาหลอมใหม่ ก็ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
"ได้โปรด... อย่ากลับมาอีก"
ริมฝีปากคู่สวมขยับเพียงแผ่ว ทว่าเสียงใสที่สั่นเครือนั้นดังก้องไปถึงโสตของชายหนุ่มผู้ถูกผลักไสได้เป็นอย่างดี
"นท... จะไม่ให้อภัยพี่จริงๆหรือ?"
ให้อภัย?
ให้อภัยคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยคำชอโทษน่ะหรือ?
ถ้าชีวิตง่ายดายขนาดนั้น ก็คงไม่มีข่าวฆาตกรรมที่ครึกโครมอยู่ทุกวี่วันเกิดขึ้นหรอก
ดวงตาคู่สวยปิดลง ในเมื่อร่างตรงหน้าปรารถนาจะให้เขาให้อภัยนักล่ะก็ ---
"นทไม่ได้โกรธอะไรพี่ชินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว..."
"แล้วทำไมถึงต้องไล่พี่แบบนี้ด้วย นท... ไม่รู้เหรอว่าพี่..."
"นทตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เก็บเรื่องของพี่มาคิดให้รกสมอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะโกรธ แค้น หรือเกลียด พี่ชินไม่ต้องห่วง นทไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น"
เตชินท์นิ่งเงียบ เขาไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำพูดที่รุนแรงเช่นนี้จากปากของนิชา ผู้ซึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยของเขาอยู่เสมอ เขาลืมคิดไปว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ นิชายืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเองแล้ว ไม่เคยแม้แต่จะต่อสายโทรศัพท์หาเขาเสียด้วยซ้ำ
กลับกลายเป็นตัวเขาเองต่างหากที่เฝ้าติดตามนิชา ไม่ว่าจะส่งคนไปเฝ้า คอยสังเกตว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง อาศัยอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง
ทุกวันนี้ มีแต่เขาเองไม่ใช่หรือที่คอยเฝ้าตามหา ตามตื๊อ ต้องการเด็กคนนี้กลับคืนมาเป็นของเขา
--- ทั้งๆที่เป็นฝ่ายทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ จนตัดสินใจรับบทคนเลวเพื่อปล่อยให้นกน้อยบินหนีไป ก่อนที่จะลงมือทำลายจนย่อยยับในสักวันหนึ่ง
เขาเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าเคยตัดสินใจทำอะไรโง่ๆลงไปแบบนั้น
เขาเคยคิดว่า ในเมื่อนิชาไม่สามารถอดทนกับเขาได้ ไม่สามารถอยู่กับเขาอย่างมีความสุขได้ ก็ควรจะจากไปเสียเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของเด็กคนนั้นเอง
เหตุใดเขาถึงเพิ่งนึกได้กันนะ ว่าคนที่ควรจะเปลี่ยนไม่ใช่นิชา แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก ---
ตัณหาของเขาต่างหากที่ควรจะเปลี่ยน ความโลภ ความต้องการที่ไม่สิ้นสุด นี่แหละที่ทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดของเขาไป ด้วยน้ำมือและความตั้งใจของตัวเขาเอง
"กลับไปได้แล้ว... นทไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก และขอให้เราจบกันแค่นี้ อย่าติดต่อมาอีก อย่าส่งคนมาตาม เพราะไม่ว่ายังไง... นท... ก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว"
นิชาเอ่ยสั้นๆ พร้อมกับหันหลังให้กับร่างตรงหน้า มือเล็กกำแน่นเพื่อระงับไม่ให้สั่นระริก หยดน้ำที่เอ่อคลอตานี้ไม่ได้เกิดจากความเสียใจ แต่เกิดจากความเจ็บปวด ใช่ เขาเจ็บปวดที่ต้องตัดความสัมพันธ์กับคนที่เขารักด้วยตนเอง
ตอนเกิดมาตัวคนเดียวก็อยู่ได้ ณ ตอนนี้ก็ต้องอยู่คนเดียวได้ เขาแค่ถูกสิ่งที่เรียกว่า 'ความรัก' ทำให้อ่อนแอลง และต้องการการดูแลจากคนที่รักเท่านั้น แต่ในเมื่อ 'ความรัก' กำลังบั่นทอนความสุขและตัวตนที่เข้มแข็งของเขาให้ค่อยๆเสื่อมลงทีละน้อย เขาก็จำเป็นต้องหาทางแก้ไข
ด้ายที่ผูกรัดข้อมือของคนสองคน หากจะปลดให้หลุดจาก ต้องใช้เวลาและความนุ่มนวล ทว่า แต่ถ้าใช้วิธีรุนแรงโดยการกระชากให้ขาดออกจากกัน ก็รังแต่จะยิ่งทำให้ด้ายนั้นยิ่งมัดติดแน่นจมลึกลงไปในผิวกายจนได้เลือด และถึงตอนนั้น เมื่อใดที่พยายามแกะด้ายที่เปื้อนเลือดนั้นออกมา ก็จะยิ่งเจ็บ เพราะแผลที่ได้นั้นกินลึกลงไปถึงเนื้อ และไม่อาจหายดีโดยง่าย
นี่เป็นทางเดินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขาสองคน
--- อย่างน้อยก็ในตอนนี้
เสียงประตูที่ปิดลง ทำให้เรียวขาบางที่ฝืนทนยืนอยู่ทรุดฮวบ นำพาให้กายเพรียวลงไปกองอยู่กับพื้น นิชาหลับตาลง รับรู้ถึงความเย็นของพื้นแกรนิตสีเข้ม รู้สึกหมดเรี่ยวแรง เหนื่อยอ่อน แต่ก็โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
เขาปฏิเสธเตชินท์
--- เขาทำได้ โจทย์ที่ยากที่สุด เขาสามารถผ่านมันไปจนได้
เขารู้ดี ทุกวันนี้เขาใช้ความใจดีของธนกร และความอ่อนโยนของมนุเชษฐ์คอยค้ำจุนให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ถึงเวลาที่ต้องเลิกอ่อนแอ เลิกสงสารตัวเอง เลิกพึ่งพาใครต่อใคร และก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยขาของตัวเองได้แล้ว
เสียงหัวใจเต้นรัว ค่อยๆเบาบางลง ภาพสะท้อนของเตชินท์ยังคงติดตรึงอยู่ในใจ ต่อให้เขาหลับตาลงก็ตาม
ในชีวิตของคนคนหนึ่ง อาจได้พบพานผู้คนมากหน้าหลายตา แต่จะมีสักกี่คนที่รักเขา และทำให้เขารู้จักความรัก แม้ว่าในบทสุดท้ายแล้ว คนคนนั้นจะไม่ได้เกิดมาคู่กับเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยในชีวิตหนึ่ง เขาก็ได้มีความทรงจำที่แม้จะเจ็บปวด แต่ก็งดงาม --- และคงไม่มีวันลืมเลือนได้ลง
"หญิง พักนี้หนูไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะลูก เป็นอะไรรึเปล่า?"
"กลับบ้านเหรอคะ? หนูก็นอนบ้านตลอดนี่นา"
"ม้าหมายถึงบ้านของหนูกับสามีของหนู ทำไมไม่กลับเลย หรือว่าทะเลาะกัน?"
หญิงสาวร่างระหงขบริมฝีปากเมื่อผู้เป็นมารดากล่าวเช่นนั้น เธอนิ่งคิด ใจจริงก็คิดว่าไม่รู้จะกลับไปทำไม ในเมื่อกลับไปกี่ครั้งก็ไม่เคยมีใครรออยู่ที่นั่น เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับสามีของเธอที่บ้านหลังนั้นหรอก ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าการแต่งงานของเธอเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น และเธอเองก็ไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เรื่องคืนก่อนก็แค่พลั้งไป ลืมซะคงจะดีกว่า
นอกจากนี้ --- เธอเองก็รู้ดี ว่าในคืนนั้น คนที่เตชินท์กำลังกอดอยู่ ไม่ใช่เธอ
เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคย ทำให้รู้สึกกังขา แต่ก็ยังไม่อยากบุ่มบ่ามหรือถามไถ่ เธอตั้งใจจะหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้ แต่ย่อมไม่ให้เตชินท์ทราบเรื่องแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หญิงแค่โฮมซิกนิดหน่อย ไม่อยากกลับไปที่นั่นเท่าไหร่”
ผู้เป็นมารดาหัวเราะ มือนุ่มอย่างคนที่ไม่เคยต้องลำบากลูบเรือนผมสลวยของบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะผละจากเมื่อได้ยินเสียงประตูบ้านที่ดังขึ้น
“อ้าว ลูกเขยของม้ามาพอดีเลย อายุยืนจริง”
นภิสาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินดังนั้น รีบชะโงกหน้ามองลงไปจากโถงบันได เมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่ไม่คาดฝันว่าจะได้พบจริงก็รีบเดินลงไปหาด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ผมมารับคุณ”
“รับหญิง?”
“ใช่ครับ คุณไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว... ยังงอนผมอยู่อีกเหรอ?”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง เธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นบทอะไรอยู่ มือเรียวเผลอรับช่อดอกกุหลาบสีแดงที่อีกฝ่ายยื่นมาให้โดยไม่ทันคิด แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาที่มองมาจากหญิงสูงวัย เธอก็เข้าใจเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย
“ดีกันนะครับ”
“เป็นเด็กดีนะลูก กลับบ้านกับคุณชินเถอะ ฝากลูกหญิงด้วยนะคะคุณชิน เด็กคนนี้เห็นแบบนี้ก็เอาแต่ใจเหมือนกัน”
“ผมเข้าใจครับ เรากลับบ้านของเรากันเถอะครับ คุณหญิง”
นภิสาพยักหน้า เธอหันไปลามารดาแล้วยอมตามร่างสูงใหญ่ไปที่รถ ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแน่ ไม่ว่าเธอจะกลับบ้านหรือไม่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเตชินท์
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้กลับบ้าน? หรือว่าคุณกลับไปนอนที่บ้านเหรอคะ?”
เตชินท์คาดเข็มขัด ก่อนจะออกรถโดยไม่ตอบคำถามใด ดวงตาคมเหม่อมองตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในจิตใจ นภิสาสังเกตเห็นความลังเลใจในนัยน์ตาคู่นั้น จึงเลือกที่จะเงียบไม่ถามต่อ จนกระทั่งรถคันงามแล่นมาจอดสนิทอยู่หน้าบ้าน
“คุณหญิง คุณจะรักผมได้ไหม?”
เจ้าของนามหันหน้าไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่อยากเชื่อหู ภาพที่เธอเห็น คือร่างหนาที่กำลังฟุบใบหน้าลงบนพวงมาลัยหนังสีดำสนิท ไหล่กว้างสั่นไหว แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นใดที่เล็ดลอดออกมา แต่เธอก็สามารถคาดเดาได้ว่าบนใบหน้าคมเข้มที่ใครต่อใครล้วนหมายปอง บัดนี้เปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาที่รินไหล --- น้ำตาจากคนที่แข็งแกร่งที่เธอไม่รู้สาเหตุ
“ถ้าคุณรักผม... ผมสัญญาว่าจะรักคุณเพียงคนเดียว”
เธอไม่เข้าใจนัก แต่น้ำเสียงทุ้มระโหยทำให้ใจของเธออ่อนยวบ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากชายผู้นี้คือสามีของเธอ มือบางเอื้อมไปแตะสัมผัสไหล่ที่สั่นเทาเบาๆอย่างปลอบประโลม
แม้จะรอจนวันสุดท้าย รั้งร่างบอบบางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา แต่นิชา --- ก็ไม่กลับมาอีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน ที่เขาไม่เคยคาดฝันว่าจะเกิดขึ้น ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน
นี่คือความจริงที่ไม่อาจจะฝืน ทำให้เขาต้องยอมปล่อยมือจากคนที่เขารัก --- คนที่ไม่รักเขาอีกต่อไป
“นท เลิกงานแล้วคุณมีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีหรอกครับ กว่าจะเลิกก็ตีสองเข้าไปแล้ว ใครจะมีธุระอะไรอีกล่ะครับ”
“เอกก็ลองถามดู อยากชวนไปนั่งรถเล่น ไปไหม?”
“เอกไม่เหนื่อยเหรอ? เห็นเมื่อเช้าก็ตื่นแต่เช้านี่นา”
นิชาเอ่ยดังนั้นเนื่องจากเขาตื่นมาเห็นข้อความที่ร่างตรงหน้าส่งมาให้ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แต่กว่าเขาจะเห็นและได้ส่งตอบกลับไปนั้นก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่า
“เมื่อเช้าเอกไปใส่บาตรมาน่ะเลยตื่นแต่เช้า เอาบุญมาฝากด้วยนะ”
ร่างบางหัวเราะเสียงใส เมื่อได้ฟังคำพูดของอาเสี่ยน้อยเจ้าของร้านเหล้าที่ดังติดอันดับในย่านสาทร
“ดีแล้วครับ ว่างๆนทเองก็จะหาเวลาไปทำบุญบ้างเหมือนกัน อยากไปไหว้หลวงพ่อโสธร”
“อยากไปเมื่อไหร่บอกนะ เอกพาไปเอง”
ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มบาง ร่างตรงหน้ายังคงดีกับเขาเสมอต้นเสมอปลาย ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับเขาแค่เพียงเพื่อน และก็เชื่อว่าธนกรเองก็รู้ ว่าเขายังไม่พร้อมจะคิดกับใครเกินกว่าเพื่อน จึงไม่เคยแสดงอาการใดมากไปกว่าการดูแลเอาใจใส่ และไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว
ไม่ได้เร่งร้อน ไม่ได้ยัดเยียดความรู้สึกให้แก่กัน แต่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเดินเข้ามาในพื้นที่ในหัวใจที่ยังคงอัดแน่นด้วยความรู้สึกที่มีให้กับคนเดิมๆทีละน้อย
นิชาเองก็รู้ดี เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจยังหยุดอยู่ที่เดิม
“สรุปว่าคืนนี้ว่าไงครับ?”
“อืม... ก็ดีนะครับ ไปไหนดีล่ะ”
“อยากไปไหนล่ะ?”
“ปกติเอกชอบไปไหนก็ไปที่นั่นละกันครับ”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวเจอกันหลังร้านนะครับ เดี๋ยวเอกจะพาไปที่ดีๆ”
“เอกอย่าไปพูดแบบนี้กับเด็กผู้หญิงเชียวนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะเอกจะดูเหมือนตาแก่ล่อลวงเด็กมากๆเลยน่ะสิ”
ธนกรหัวเราะ เขาไม่ถือสาแม้ว่าจริงๆแล้วนิชาก็เป็นลูกจ้างของเขา ระยะเวลาไม่กี่เดือนนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้นิสัยหลายๆอย่างของนิชา ร่างตรงหน้าไม่เคยพูดจาเล่นหัวเขาต่อหน้าพนักงานคนอื่น รู้จักกาลเทศะและให้เกียรติเขามาตลอด
จริงๆแล้ววินาทีแรกที่ได้พบกับร่างบอบบาง เขาก็แค่สนใจ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดและบังเอิญที่คนรักเก่าของนิชาเป็นพี่เขยของเขา ก็น่าสนใจอยู่ว่าคนแบบนั้นกันที่ทำให้ผู้ชายแบบนั้นหลงรักได้
และเมื่อได้รู้จักจริงๆ เขาก็พอจะเข้าใจ นิชาเป็นคนอ่อนโยนและขี้ใจอ่อน ชอบยิ้ม แม้ว่าตัวเองจะมีเรื่องกลุ้มใจอยู่ในใจ แต่ก็ชอบเก็บเอาไว้ ไม่ยอมเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะต้องมาเป็นห่วง
ช่างเป็นคนที่คิดใหญ่ ไม่สมกับตัวเล็กๆเอาซะเลย
เรื่องเตชินท์ก็อีก ดูก็รู้ว่ายังรักอยู่ แต่ก็ไม่เคยแสดงอาการออกมาให้เห็นอีกเลยนับจากวันแรกที่เปิดร้าน จะว่าไปผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้แวะมาที่นี่บ่อยเท่าไหร่ ที่แน่ๆเขาก็รู้อยู่ว่านิชายังลืมผู้ชายคนนี้ไม่ได้ ทั้งๆที่ดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่ เขายังดีกว่าตั้งเยอะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ตกหลุมรักรอยยิ้มใสๆน่ารักของนิชาเข้าเต็มเปาไปแล้วนี่นะ จะเป็นอย่างไรก็ต้องพยายามกันต่อไป
ธนกรอมยิ้ม พร้อมกับเดินควงกุญแจรถเล่นระหว่างเดินไปยังลานจอดรถด้านหลังร้าน เขามองหาร่างเล็กที่น่าจะยืนรออยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากนี่ก็เลยเวลาปิดร้านไปร่วมยี่สิบนาที นิชาไม่ได้มีหน้าที่ปิดร้าน จึงไม่น่าติดธุระอะไร เขายืนรออยู่ตรงนั้นเพียงชั่วครู่ เมื่อไม่เห็นจึงได้เดินไปหาในร้าน ซึ่งก็ลงกลอนเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก ปลายสายดังอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีคนรับสาย นึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยนิสัยของนิชาไม่ใช่คนผิดนัด ที่แน่ๆเมื่อกี้ยังนัดแนะกันดิบดี ไม่น่าจะเปลี่ยนใจกะทันหันโดยไม่บอกเขา
แต่เมื่อยืนรออยู่อีกร่วมสิบนาทีก็ไม่เห็นวี่แวว เขาจึงออกรถแล้วขับตรงไปยังถนนใหญ่ด้านหน้าร้าน
--- ภาพที่เขาเห็นตรงหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น
แสงสีส้มจากไฟถนน ส่องกราดลงบนพื้นถนนลาดยางที่ไม่มีรถสักคัน ร่างบอบบางนอนคว่ำอยู่บนนั้น ใบหน้าน่ารักของคนที่เขาตั้งใจจะมอบสิ่งดีๆให้เพื่อให้ลืมสิ่งที่เลวร้าย บัดนี้เปื้อนไปด้วยรอยเลือดสีแดงสด
"นท!!!"
Talk: ถ้าบอกว่ารอตอนต่อไป จะโกรธกันไหมคะ TwT
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ช่วงนี้มีปัญหาบางอย่าง ทำให้ไม่มีเวลาเท่าไหร่ (ซึ่งเดิมก็อัพช้าอยู่แล้ว)
แถมเน็ตก็มีปัญหา อัพอยู่หลายรอบกว่าจะติด T_T
เป็นกำลังใจให้ชานมด้วยนะคะ ช่วงนี้ปัญหาชีวิตเยอะเหลือเกิน T.T หดหู่มากๆเลยค่ะ