**ไม่ต้องสนใจชื่อตอนให้มากค่ะ ข้ามๆไปอ่านเนื้อหากันเล้ย
It’s Real เดี๋ยวรักเลย
ตอนที่ ๑๖ ใจร้าว
เสียงหวอรถพยาบาลดังยาวไปตามท้องถนนเพื่อขอทางพาคนเจ็บไปทำการรักษาอย่างเร่งด่วน รถตู้ของโรงพยาบาลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพียงแค่รถหยุดความชุลมุนขนาดย่อมก็เกิดขึ้น ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดถูกเข็นลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ที่รอรับอยู่ทำงานกันอย่างรวดเร็วฉับไวพาคนเจ็บเข้าไปเพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที เตียงที่ถูกเข็นไปตามทางเดินนั้น ที่ข้างเตียงนายตำรวจหนุ่มตัวสูงใหญ่จับมือคนเจ็บไม่ปล่อย สีหน้าร้าวรานใจจนแทบอยากจะร้องไห้ เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อคนเจ็บอยู่ไม่ขาด
“ดิน ดิน คุณได้ยินผมไหม ดิน…”
คนเจ็บที่แทบประคองสติเอาไว้ไม่ไหว สติแทบไม่มีเหลืออยู่ แต่มือที่ถูกกุมกลับกำมือไตรภพแน่น สายตาของดินพร่าเลือนมองเห็นทุกอย่างมัวไปหมด ร่างกายเจ็บปวดเหมือนมันกำลังถูกแยกชิ้นส่วน เตียงถูกเข็นเข้าไปภายในห้องฉุกเฉิน ไตรภพจำต้องปล่อยมือของอีกคน ก่อนจะยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้อง พยายามที่จะสงบใจก็ทำได้ยากเหลือเกินกับสถานการณ์ขณะนี้ ทำได้แค่เดินวนไปมาอย่างว้าวุ่นเท่านั้น
ตอนที่เขาไปพบดินในสภาพที่เลือดเปรอะไปทั้งตัวหัวใจเขาก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยง กลัว กลัวว่าคนๆนั้นจะจากไป เขาเร่งสุดกำลังแล้วที่จะไปช่วยดินให้ทัน แต่มันก็ช้าไปอยู่ดี
ในตอนแรกที่ไปถึง นายตำรวจหนุ่มก็สวนกับรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นมาจากทางที่เกิดเหตุ จึงจดจำป้ายทะเบียนและรายละเอียดของรถอย่างคร่าวๆเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ขับไปได้ไม่ไกลจากนั้นควันที่ขึ้นโขมงทำให้ไตรภพต้องรีบหยุดรถด้วยหัวใจที่เต้นระทึก และภาวนาให้สิ่งที่ตนเองคิดไม่ใช่ความจริง แต่เมื่อเจอสภาพรถที่ไฟลุกท่วมไตรภพก็แทบทรุด เขานึกได้แค่ว่าเขาคงเสียดินไปแล้วในตอนนั้น แต่เหมือนสวรรค์ยังเข้าข้างที่ยังให้ดินอยู่กับเขาต่อไป ถ้าเพียงไตรภพไม่เป็นคนช่างสังเกตก็คงไม่เห็นว่าดินหมดสติอยู่ไม่ไกลจากนั้น ดีที่ยังมีต้นไม้รอบๆคอยกันไม่ให้โดนสะเก็ดระเบิดจากตัวรถมากนัก
รถพยาบาล ตำรวจ และหน่วยกู้ภัย ถูกเรียกมาอย่างด่วน แต่มันก็ยังดูช้าไม่ทันใจคนรออย่างไตรภพ อยากจะพาดินไปโรงพยาบาลเองแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนย้ายด้วยกลัวว่าอาจจะมีส่วนไหนแตกหักจนแตะต้องอย่างผิดวิธีไม่ได้ ตอนนี้ดินก็ถึงมือหมอแล้ว แต่ก็ใช่ว่าไตรภพจะคลายกังวล ถ้ายังไม่ออกมาจากห้องฉุกเฉินเขาคงคลายใจไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้นโซลที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมลุงสนพ่อของดิน ลุงสนเดินไปยืนอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉินทันทีด้วยความร้อนใจ โซลเข้าไปหาเพื่อนที่นั่งก้มหน้าอยู่ที่เก้าอี้นั่ง ไตรภพเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนก่อนจะบอก
“กูช้า”
“ไม่ใช่เพราะมึงหรอกน่า”
โซลนั่งลงข้างๆบีบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ ในใจเขาก็ร้อนรนไม่แพ้กัน ทุกคนในไร่ยังไม่รู้เรื่องนี้นอกจากโซลและคนในบ้านเขาและดินเท่านั้น ป้าพิศที่รู้เรื่องนี้ถึงกับเป็นลมล้มไป พิมพิกาต้องคอยพยาบาลแม่อยู่ที่ไร่ จึงมีลุงสนมากับโซลเพียงคนเดียว ทุกคนในบ้านคงกำลังรอฟังข่าวอย่างกระวนกระวายไม่แพ้กัน
“เข้าไปนานรึยัง?”
“สักพักแล้ว”
โซลเอ่ยถามสั้นๆ ไตรภพก็ตอบกลับสั้นไม่แพ้กัน แม้ไม่ต้องมีคำสรรพนามนำหน้าก็รู้ได้ว่าพูดเรื่องเดียวกัน
“กูโทรหาเขา แล้วเขาบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนตาม…”
โซลขมวดคิ้วคิดตามที่เพื่อนพูด มีคนตามดินอย่างนั้นหรือ ใครกัน
“ตอนกูไปถึงที่เกิดเหตุ กูเห็นรถขับสวนมา ลักษณะคนในรถคล้ายกับที่ดินบอก แต่กูไม่แน่ใจว่าจะเป็นมันรึเปล่า ตอนนี้กูสั่งสกัดรถคันนั้นทุกด่านแล้ว ก็คงต้องมาดูอีกทีว่าจะเข้าข่ายที่ดินบอกกูไว้ไหม”
“ดินเห็นหน้าพวกมัน?”
ไตรภพพยักหน้าเนือยๆ มองประตูที่ปิดสนิทนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะนะ อย่าเพิ่งทิ้งผมไปไหนนะดิน
“เราแจ้งข้อหาอะไรได้บ้าง” โซลที่นิ่งเงียบไปถามขึ้นอีกครั้ง
“มากสุดก็คงพยายามฆ่า”
ได้ยินคำตอบแบบนั้นแล้วโซลก็ถอนหายใจหนักๆ พยายามฆ่า โทษมันยังน้อยไปนะ ขณะที่เฝ้ารอดูอาการของดินอยู่นั้น ไตรภพก็ได้รับรายงานจากด่านตรวจว่าจับรถน่าสงสัยนั้นได้แล้ว แต่เจ้าของรถไม่ใช่อย่างที่ไตรภพบอก ไตรภพกดปิดเครื่องอย่างฉุนเฉียว
“มีอะไร?” โซลถามไถ่เมื่อเห็นท่าทางเพื่อนแบบนั้น
“รถคันนั้นมันสวมทะเบียนปลอม!”
โซลสบถด้วยความฉุนเฉียวไม่แพ้กัน สีหน้าของทั้งสองคนเครียดไม่ได้ต่างกันเลยในตอนนี้
“กูอยากบอกให้มึงใจเย็นนะไต๋ แต่กูทำไม่ได้ว่ะ อยากจะลากคอคนทำมายำตีนเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ไตรภพหัวเราะในลำคอเสียงเครียด ก่อนจะบอกกับเพื่อนด้วยความเด็ดขาดในน้ำเสียง
“มึงได้ยำแน่โซล กูไม่ปล่อยมันลอยนวลหรอก”
นายตำรวจหนุ่มลุกจากเก้าอี้นั่งไปที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แม้มองไม่เห็นว่าคนในนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วตอนนี้ แต่ก็ยังภาวนาให้ปลอดภัย หันไปมองลุงสนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วสะท้อนใจ ชายหนุ่มเดินห่างจากจุดที่ลุงสนยืนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะต่อสายถึงลูกน้องนายตำรวจ
“สั่งทุกหน่วยให้สืบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ผมจะจับตัวคนทำมารับโทษให้ได้เร็วที่สุด!”
สีหน้าที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวบ่งบอกว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริง ใครก็ตามที่มันบังอาจมาแตะต้องคนของเขา อย่าได้คิดว่าจะลอยนวลอยู่ได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
+++++++++++
ยามค่ำคืนภายในไร่ของปรเมศวร์ หน้าจอทีวียังปรากฎภาพข่าวของดินที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญที่หลายช่องกำลังจับตา ดังแทรกกับเสียงของปรเมศวร์ที่ตะโกนด่าคนที่ปลายสายโทรศัพท์อย่างหัวเสีย
“พวกแกทำงานกันประสาอะไรวะ ยังมีหน้ามาทวงเงินค่าจ้างที่เหลืออีกเรอะ งั้นฟัง ฟังให้ชัดๆ”
“…………….”
“กูไม่ให้! มึงจะไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป!!”
ปิดมือถือแล้วเขวี้ยงไปกระทบกับผนังห้องจนเศษชิ้นส่วนแตกกระจาย ลมหายใจหอบด้วยความแค้นใจ จริงอยู่ที่คนที่เขาว่าจ้างทำให้ดินเกือบตายอย่างที่บอก แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ นี่ข่าวมันดังไปทั่วประเทศแล้วในตอนนี้ แล้วบอกมาได้ว่ามันไม่ยอมจอดรถเลยต้องใช้วิธีนี้ หน้าโง่ นี่เขาจ้างพวกหน้าโง่นี่มาทำซากอะไรกัน
ปรเมศวร์เดินดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า ดึงลิ้นชักเปิด หยิบของในนั้นขึ้นมาเมื่อเห็นว่ายังใช้ได้อยู่รอยยิ้มสมใจจึงเปิดขึ้น ค้นกระเป๋าใบย่อมออกมาเก็บของสำคัญยัดเข้าไป รูดซิปปิดแล้วเดินออกจากห้องลงไปด้านล่างหาพี่สาว
ปัณฑารีย์กับสามีก็กำลังดูข่าวเดียวกันนั้นอยู่ วิพากษ์วิจารณ์เนื้อข่าวหาสาเหตุ ปรเมศวร์ก็เดินเข้ามาหา
“พี่ป่าน เบิกเงินล่วงหน้าหน่อยสิ ผมจะไปต่างประเทศสักพัก”
ปัณฑารีย์มองหน้าน้องอย่างแปลกใจ จะไปต่างประเทศตอนดึกดื่นขนาดนี้นี่นะ?
+++++++++++
โซลกับลุงสนกลับมาที่ไร่เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่สองนาฬิกาของวันใหม่ พ่อแม่ของเขาและครอบครัวของตาต้ายังไม่ได้เข้านอนเพราะรอฟังข่าว รวมทั้งป้าพิศและพิมพิกาเองด้วย เมื่อโซลเดินเข้ามาในบ้านจึงเข้าไปบอกทุกคนที่เป็นห่วงเป็นกังวลว่าตอนนี้ดินพ้นขีดอันตรายแล้ว ป้าพิศแทบจะร้องไห้โฮด้วยความดีใจ กราบขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองลูกชายให้อยู่รอดปลอดภัย
“ตอนนี้หมอขอดูอาการแทรกซ้อนน่ะครับ ถ้าเกินสี่สิบแปดชั่วโมงแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถย้ายมาอยู่ห้องธรรมดาได้ครับ”
โซลบอกทุกคนให้รับรู้ไปเช่นนั้น แล้วจึงหันมาหาป้าพิศที่ยังต้องให้พิมพิกาพัดวีให้อยู่
“ป้าพิศไม่ต้องเป็นกังวลนะ ไม่ว่ายังไงผมจะต้องจัดการกับคนที่ทำร้ายดินให้ได้ ผมรับรอง”
โซลยืนยันอย่างหนักแน่น ดินก็เปรียบเหมือนพี่น้องของเขาคนหนึ่ง ทำงานเหนื่อยยากด้วยกันมา เผชิญเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน เขาไม่ปล่อยให้ดินเจ็บตัวฟรีเป็นแน่
“ขอบคุณค่ะนาย ดินมันไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครเขา แล้วนี่ใครที่ไหนถึงได้ทำกันได้ถึงขนาดนี้ โกรธแค้นอะไรกันนัก”
โซลอยู่พูดคุยปลอบใจป้าพิศสักพัก คุยปรึกษารายละเอียดเรื่องคดีความ ว่าจะดำเนินไปในทางใด เมื่อเห็นควรแก่เวลาที่ทุกคนจะได้พักผ่อน คุณรณวีร์เจ้าของบ้านจึงให้แยกย้าย คุณพ่อของตาต้าเข้ามาหาโซล ตบบ่าให้กำลังใจ
“มีอะไรให้ช่วย บอกน้าได้เสมอนะหลานชาย”
“ขอบคุณครับคุณน้า”
โซลไหว้ขอบคุณพ่อของน้อง ท่านกับคุณน้าผู้หญิงถึงเดินขึ้นบ้านไป เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้วโซลจึงขึ้นห้องบ้าง แต่ก่อนที่จะไขกุญแจเข้าห้องไป เสียงเรียกที่คุ้นเคยก็หยุดมือโซลเอาไว้ก่อน
“พี่”
โซลหันไปตามเสียงเรียกจึงเห็นว่าตาต้ายืนคอยอยู่หน้าห้องนอนของตัวน้องเอง หนุ่มน้อยเดินเข้ามาหา
“ยังไม่นอนอีกหรือครับตาต้า”
โซลหันกลับมาคุยกับน้อง ตาต้าเม้มปากสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนจะเอ่ยถามพี่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ครับ” โซลยิ้มบางให้น้องคลายกังวล
เด็กหนุ่มขยับเข้าใกล้แล้วสวมกอดพี่เอาไว้ โซลชะงักเกร็งตัวเล็กน้อย กลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า แล้วน้องจะถูกมองไม่ดีเอา แต่เมื่อเห็นเจตนาบริสุทธิ์ที่น้องมีจึงผ่อนคลายอาการเกร็งลง แล้วกอดตอบน้องหลวมๆ
“คนเจ็บน่ะพี่ดินนะครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ต้ารู้สึกแย่มากเลย”
“ครับ”
มือหนาลูบหลังน้องเบาๆ ใบหน้าเรียวยังซุกอยู่กับอก อ้อมแขนเล็กนั้นก็ยังไม่ยอมคลายไปไหน
“ตาต้ากลัวเหรอ?”
โซลถาม คนเป็นน้องส่ายหน้ากับอกพี่ ก่อนจะบอกเสียงเบาหวิว เหมือนก้อนสะอื้นมันตีขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ต้าเป็นห่วงพี่ดิน แล้วก็สงสารป้าพิศมากเลย ป้าเขาร้องไห้จนต้าอยากร้องตาม” ตาต้าบอกน้ำเสียงเริ่มเครือ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่ดินเขาปลอดภัยแล้ว”
โซลกอดปลอบน้องอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะดันตัวน้องออกเบาๆ เช็ดน้ำตาให้คนขี้แย แล้วพาเด็กขี้แยไปส่งหน้าห้องนอน ก่อนจะกลับมาที่ห้องตนเอง แต่เมื่อหันมาเจอคุณแม่ยืนมองอยู่ก็เหมือนเข่ามันจะอ่อนขึ้นมากระทันหัน
“แม่…”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันใช่ไหม?”
คุณน้ำทิพย์ถามลูกชายเสียงนิ่ง โซลสูดลมหายใจหนักก่อนผ่อนลมหายใจช้าๆ แล้วบอกกับผู้เป็นมารดา
“ครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะครับแม่ รอผมจัดการเอาผิดกับคนที่ทำร้ายดินให้เรียบร้อยก่อน แล้วผมจะบอกแม่ทุกอย่างครับ”
เมื่อลูกยืนยันมาเช่นนั้น คุณน้ำทิพย์จึงไม่ซักต่อ เมื่อก็เห็นว่าลูกเครียดมากพออยู่แล้ว ที่ทำได้ตอนนี้ก็เพียงแต่ต้องตั้งรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดตามมาจากคำบอกเล่าของลูกหลังจากนี้
++++++++++
เช้าวันต่อมาที่ไร่นายวิชิต วิจิตรากับพี่ชายและครอบครัวพี่นั่งทานข้าวเช้าพร้อมเปิดทีวีฟังข่าวเช้าไปด้วย สถานการณ์ที่เป็นประเด็นรายงานสดเมื่อคืนถูกนำมารายงานในช่วงเช้าอีกรอบ นายวิชิตที่คุ้นๆว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากไร่ของตนเองจึงเงยหน้าขึ้นมองข่าว แล้วก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อเห็นว่าบุคคลในข่าวเป็นใคร
“นั่นมันลูกน้องคนสนิทของทัชธรไม่ใช่เหรอ?”
พอได้ยินพี่ชายเอ่ยเช่นนั้นวิจิตราจึงมองตามที่พี่ชายทัก หญิงสาวถึงกับหน้าซีดเผือดสี หรือว่าจะเป็นฝีมือของ…
หญิงสาวรีบขึ้นห้องหลังจากบอกกับทุกคนในโต๊ะทานข้าวว่าอิ่มแล้ว แล้วต่อโทรศัพท์ถึงคนที่ตนเองนึกถึงเมื่อครู่ทันที แต่ก็ไร้การตอบรับ ในใจยิ่งร้อนรุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของปรเมศวร์จริงๆเธอจะทำอย่างไร เรื่องมันจะโยงมาถึงตัวเธอด้วยไหม แต่เธอไม่ได้เป็นคนลงมือนี่ ใช่ เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งนั้น
เมื่อหาบทสรุปให้ตนเองได้วิจิตราก็เริ่มท่องย้ำๆกับตนเองว่าเธอไม่เกี่ยว และไม่รู้เห็นกับเรื่องนี้ เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น!
++++++++++++
หลังจากเหตุการณ์ระทึกไม่ทันข้ามวันดี ผู้ร้ายทั้งสองคนก็ถูกจับตัวได้ ตามประวัติแล้วเคยลงมือแบบนี้มาหลายรายตามการว่าจ้าง มีหมายจับคดีอุกฉกรรจ์อยู่หลายคดี แต่ก็หลบหนีไปได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ที่ต้องมาเจอกับทั้งผู้กองไตรภพผู้กัดไม่ปล่อย และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อนคุณพ่อน้องตาต้าที่ช่วยประสานงาน ทำให้จับผู้ต้องหาได้ในเวลาอันรวดเร็ว สืบสวนสอบสวนแล้วได้ความว่าผู้ที่ว่าจ้างให้มาทำร้ายนายดินแดน พรอุกฤษฏ์ คือนายปรเมศวร์ อินทรลักษณ์
ผู้กองไตรภพและโซลพร้อมด้วยนายตำรวจอีกสองนายได้ไปที่ไร่ของปรเมศวร์เมื่อคนร้ายซัดทอดถึง ปัณฑารีย์และสามีออกมารับหน้าด้วยความตกใจ ก่อนจะเชิญนายตำรวจทุกคนเข้าไปในบ้าน
“ป้องหรือคะ เขาไม่อยู่ที่ไร่หรอกค่ะ”
ปัณฑารีย์บอกแก่นายตำรวจอย่างเกรงๆ ไตรภพกับโซลเหลือบมองหน้ากัน หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อกำลังนึกเรื่องเดียวกันโดยไม่ต้องเอ่ยปาก นายตำรวจหนุ่มมองหน้าพี่สาวปรเมศวร์นิ่ง ก่อนเอ่ยปาก
“แล้ว?”
“เขาบอกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศสักพักน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ ป้องเขาไปทำอะไรเอาไว้”
พี่สาวของปรเมศวร์ตอบไปตามจริง แล้วถามถึงสาเหตุที่คุณตำรวจทั้งหลายมาที่ไร่ของเธอ ดูเหมือนว่าน้องชายเธอคงไปก่อเรื่องอะไรมาอีกเป็นแน่
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำคดีของดินลูกน้องผมอยู่น่ะครับ เราจับคนร้ายได้แล้วและฝ่ายนั้นซัดทอดถึงน้องชายคุณ”
โซลเป็นคนให้ข้อมูลนี้แก่หญิงสาว สีหน้าของเธอซีดเสียยิ่งกว่าเดิม เธอกับสามีเพิ่งคุยเรื่องนี้กันไปเมื่อเช้าที่เห็นข่าวออกอีกรอบ ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับน้องชายตนเองแม้แต่น้อย แล้วนี่มันคืออะไรกัน เรื่องมันใหญ่มากไม่ใช่หรือนี่
“เราจึงอยากเชิญตัวไปสอบปากคำที่โรงพักสักหน่อย ไม่นึกว่าเขาจะไม่อยู่ ไม่ทราบว่าเขาไปเที่ยวตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
คำอธิบายขยายความต่อมาของไตรภพเรียกสติของปัณฑารีย์กลับมา ก่อนจะตอบคำถามไปอย่างตะกุกตะกัก สามีที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันมาแต่ทีแรกบีบมือผู้เป็นภรรยาเบาๆให้กำลังใจ
“เอ่อ… ก็สองสามวันแล้วค่ะ”
เมื่อได้คำตอบไตรภพก็ถึงกับสบถในใจอื้ออึง เขาช้ากว่ามันอีกแล้วหรือ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้วถามต่อ
“คุณทราบรึเปล่าครับว่าเขาไปประเทศไหน?”
“ไม่ทราบหรอกค่ะ ป้องเขาไม่ได้บอกไว้”
สอบถามข้อมูลต่างๆจากปัณฑารีย์และขอตรวจสอบภายในห้องนอนของปรเมศวร์ ซึ่งเจ้าของบ้านเขาก็ยินดีให้ความร่วมมือ เสร็จจากนั้นจึงออกจากไร่มา นายตำรวจที่มาด้วยสองนายกลับสถานีตำรวจไป ส่วนไตรภพและโซลกลับไปที่ไร่รณวีร์ ระหว่างทางที่ขับรถไตรภพก็เปรยขึ้นมาน้ำเสียงเยาะหยันต่อความล่าช้าของตนเอง
“คดีท่าจะยากขึ้นไปอีก ผู้ต้องสงสัยหลบหนีออกนอกประเทศ หึ”
โซลเองก็ได้ทอดถอนใจ แล้วบีบไหล่ให้กำลังใจเพื่อน ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้หรอก ต่อให้ปรเมศวร์จะไปไกลสุดหล้า ไม่ว่ายังไงก็ต้องลากตัวกลับมารับโทษให้ได้
++++++++
“ฉันไม่ทราบค่ะ ฉันไม่ได้สนิทกับเขาเป็นการส่วนตัว”
คำบอกเล่าของวิจิตราเมื่อไตรภพและโซลมาถามเธอเกี่ยวกับปรเมศวร์ที่ไร่ในวันถัดมา หญิงสาวนั่งหลังตรงหน้าเชิดอย่างไว้ตัว สีหน้าเรียบเฉยไม่มีให้จับพิรุธใดๆได้ ไตรภพมองตาเธออยู่สักครู่ ก่อนจะยิ้มบางแล้วบอก
“ทางเราก็แค่อยากขอความร่วมมือน่ะครับ ถ้าคุณรู้เบาะแสอะไรก็ช่วยแจ้งกับทางเจ้าพนักงานของเราด้วยนะครับ”
“ค่ะ”
วิจิตรารับคำง่ายๆ ในใจอยากให้ทั้งสองคนไปให้ไกลจากไร่เธอเร็วๆด้วยซ้ำในตอนนี้ แม้แต่โซลที่เธอบอกว่ารักนักหนา เธอก็ไม่ปรารถนาจะพบเจอเขาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย เวลาเธออยากให้มา โซลก็กลับไม่เคยมา แต่เวลานี้ที่เธอไม่อยากให้มา โซลกลับมาหาเธอถึงที่ และพร้อมที่จะโยนข้อหาสมรู้ร่วมคิดให้เธอโดยไม่ปรานีปราศรัยถ้าเธอมีพิรุธให้จับทางได้
วิจิตราออกมาส่งโซลและไตรภพหน้าบ้าน ก่อนจากไปไตรภพก็ขอบคุณในความร่วมมือของหญิงสาวอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”
วิจิตรายิ้มรับ โซลกับนายตำรวจนอกเครื่องแบบอย่างไตรภพถึงได้เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปจากไร่ วิจิตรามองไล่หลังรถคันดังกล่าวแล้วพ่นลมหายใจด้วยความโล่งใจ แต่เมื่อหันกลับมาพี่ชายของเธอก็ยืนหน้าเคร่งอยู่ในระยะประชิด หญิงสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว จะต่อว่าพี่ชายแต่คนเป็นพี่กลับเอ่ยสวนมาก่อน
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
นายวิชิตบอกน้องเสียงเข้มก่อนจะเดินเข้าบ้านไป วิจิตรากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ลองพี่เธอพูดแบบนี้ไม่แคล้วต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ตายแน่ๆวิจิตรา หญิงสาวได้แต่ร่ำร้องในใจขณะที่เดินตามพี่ชายเข้าบ้านไป
++++++++++
“มึงว่าแวรี่จะไม่รู้เรื่องนี้จริงไหมวะ?”
ไตรภพถามเพื่อนขณะที่นั่งรถออกมาจากไร่นายวิชิตด้วยกัน โซลขมวดคิ้วแล้วบอก
“ไม่รู้สิ กูยังนึกหาเหตุจูงใจของเขาไม่ได้”
“เหตุจูงใจมึงไม่เห็นต้องหาให้ยาก คำตอบมันอยู่ที่มึงแล้ว”
“เพราะกู?”
โซลถามคำถามแบบเปิดประโยค ไตรภพยักคิ้วข้างหนึ่ง ว่าใช่ที่สุด
“แล้วดินเกี่ยวอะไร?”
โซลยังหาเหตุผลมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ หากเหตุจูงใจที่จะทำให้วิจิตรามีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้คือตัวเขาเอง แล้วมันเกี่ยวกับการที่ต้องทำร้ายดินตรงไหนกัน
“คนพาลไง”
พอได้คำตอบสั้นๆจากเพื่อนแบบนั้น โซลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนเราทำร้ายกันได้โดยไม่รู้สึกผิดเลยหรืออย่างไร แล้วบ้านเมืองจะมีกฎหมายไว้เพื่ออะไรกัน
++++++++++
ไตรภพกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งหลังจากที่ไปส่งโซลที่ไร่รณวีร์แล้ว ตอนนี้ได้ย้ายดินมาที่ห้องพิเศษแล้ว ค่าใช้จ่ายทุกอย่างคุณรณวีร์เป็นผู้ออกให้ทั้งหมด นายตำรวจหนุ่มเข้าไปภายในห้องที่ดินพักอยู่ จนตอนนี้หนุ่มหน้าเข้มก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา แพทย์ยืนยันแล้วว่าไม่มีอาการใดๆแทรกซ้อนและสภาพร่างกายก็ดูจะดีขึ้นตามลำดับ รอเพียงแต่คนเจ็บจะฟื้นคืนสติเท่านั้น
นายตำรวจหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง พิมพิกาที่ทำหน้าที่เฝ้าพี่ชายอยู่จึงลุกมาทักทาย ก่อนจะฝากคุณตำรวจให้ดูพี่ชายของเธอแทนเพราะเธอจะลงไปซื้อของด้านล่างสักครู่ เมื่อพิมพิกาออกจากห้องไปแล้ว ไตรภพจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง มองหน้าคนที่ยังหลับตาสนิทไม่ไหวติงนั้นนิ่ง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ไตรภพนั่งอยู่อย่างนั้น จนพิมพิกาที่ลงไปซื้อของด้านล่างกลับขึ้นมาอีกทีนั่นล่ะไตรภพถึงเพิ่งรู้ตัว
“ผู้กองทานอะไรมาหรือยังคะ นี่มันก็จะบ่ายแล้ว ถ้าไม่รังเกียจอาหารพื้นๆก็ทานด้วยกันไหมคะ?”
ไตรภพหันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังจัดอาหารใส่จาน แล้วบอก
“ผมไม่รังเกียจหรอกครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้ว ขอบคุณมาก”
พิมพิกาพยักหน้ารับรู้ยิ้มๆ แล้วเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาที่ถูกกั้นไว้อีกห้องสำหรับญาติผู้ป่วยห้องพิเศษนี้โดยเฉพาะ หากว่าญาติจะมาเฝ้าไข้ เพื่อที่เธอจะได้ลงมือรับประทานอาหาร
ไตรภพที่มองตามพิมพิกาหันกลับมาหาคนป่วยอีกครั้ง จับมือคนที่นอนนิ่งไร้สติมากุม หัวใจเขาบีบรัดจนเจ็บ อยากเว้าวอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้คนๆนี้ฟื้นขึ้นมา แค่เขาฟื้นเท่านั้น ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ยอม
“ลืมตาขึ้นมามองผมหน่อยสิดิน คุณรังเกียจผมมากหรือไงถึงได้หลับตาหนีผมแบบนี้”
“…………” เสียงกระซิบร้องขอของไตรภพมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมาให้ปวดใจ
“จะเกลียดผมก็ได้ แต่ฟื้นขึ้นมาเถอะ ช่วยลืมตามามองหน้าคนที่คุณไม่รักคนนี้ที”
ไตรภพยังร้องขอ รู้สึกว่ามันร้าวไปทั้งอกแล้วในตอนนี้ ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่คิดว่าตนเองชอบถึงขั้นเรียกว่าพึงพอใจในตัวดินเท่านั้น แต่ตอนนี้ความรู้สึกของกการเกือบจะเสียสิ่งสำคัญไป มันได้ตอกย้ำให้เขาได้คิดอีกครั้งว่า เขาไม่ได้แค่ชอบ แต่เขารักคนๆนี้ไปแล้ว
และอาจจะด้วยเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจในคำร้องขอ หรือเพราะอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้นิ้วมือเรียวยาวของคนที่เขากุมอยู่ขยับ แม้จะช่วงเสี้ยววินาทีแต่มันก็ทำให้ใจที่อ่อนล้าและร้าวรอนของไตรภพถีบตัวเต้นแรงขึ้นมา ยิ่งนิ้วของคนหลับขยับอีกครั้ง พร้อมเปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับ นั่นถึงกับทำให้ไตรภพเผลอกลั้นหายใจมอง ดวงตาคมของคนป่วยเปิดขึ้นช้าๆก่อนจะปิดลงอีกครั้งเมื่อเจอแสงที่จ้าจนเกินไป
มือหนาที่กุมมือของอีกคนอยู่ยิ่งเกร็งมากขึ้นด้วยความตื่นเต้นปนยินดี ดินลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อปรับให้รับแสงได้แล้วดินจึงค่อยกวาดมองไปรอบห้อง ก่อนจะมาหยุดลงที่คนที่นั่งอยู่ข้างเตียง แม้จะยังมองไม่ชัดนักแต่ก็ยังจำได้ แม้ริมฝีปากจะแห้งผาก และลำคอที่เหมือนมีผงสากระคาย แต่ดินก็ยังคงเอ่ยเรียกชื่อคนที่กุมมือของตนเองไว้ออกไป
“คุณ…ไต๋…”
เพียงแค่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองแผ่วๆจากคนตรงหน้า ไตรภพก็ยิ้มได้แล้ว เพียงเท่านี้ เพียงเท่านี้จริงๆ
TBC• ขอบคุณทุกกำลังใจ จัดบวกไปทุกบวกค่ะ
• เมื่อวานงานเข้าแต่เช้าเลยไม่ได้ลง ขอบคุณทุกคนด้วยที่ยังตามกันอยู่ค่ะ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
น้องดินของพี่
ทำไมดื้อแบบนี้
พี่ไต๋มาเร้วๆๆๆๆ
วันใหม่ทำกับเราได้นะ
มันค้างงงงงงงงงงงงงงงงงง
• น้องขอโทษ กอดๆๆๆ ตอนนี้ไม่ค้างแล้วเนอะ (รึเปล่า?) เอาเป็นว่าอีกสองตอนตาต้าจะกลับมาพร้อมน้ำตาลหวานเจี๊ยบ เพื่อเป็นการขอบคุณทุกๆท่านที่ยังอยู่ด้วยกัน เราจะหวาน(หื่น?)กันเต็มที่ค่ะ สัญญา