หมดทิชชู่กับตอนนี้ไปหลายแผ่นมาก ซับน้ำตานะครับ ไม่ใช่อย่างอื่น
ตอนหน้าแล้วนะครับที่จะถึงตอน "อย่างว่า" แล้ว
เริ่มเขียนแล้วล่ะครับ แต่ยากเอาการอยู่ ขอเวลาสักพักในการขัดเกลานะครับ
กะจะเขียนตอนนี้ให้ได้รางวัลซีไรท์ไปเลย
อีกไม่นานก็คงจะจบแล้วนะครับ มาลุ้นกันว่าความรักของต้นกับสนจะเป็นอย่างไร
เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ สนแต่งงานกับนาและใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แต่เวอร์ชั่นนี้อาจจะเป็นอีกแบบ
เรื่องของนา ผมจะค่อยๆ เฉลยออกมาทีละนิดๆ
แต่ขอให้เชื่อว่า...ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง
อาจจะป็นเหตุผลที่เราไม่เห็นด้วย แต่นั่นก็คือเหตุผลของเขา
ถ้าจะอ่านให้มีความสุขมากขึ้น ต้องวางเหตุผลถูกผิดของเราลงสักหน่อย
บางทีเราอาจจะเข้าใจในสิ่งที่เราไม่เห็นจะเข้าใจมากขึ้น
อย่าเพิ่งเครียดนะครับ สนจะทำอะไรที่เซอร์ไพรส์ให้ดู------------------------------------------------------
ตอนที่ 29: บทสุดท้ายของความเป็นเพื่อนสนนอนคิดทั้งคืนเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ต้นจะไปเชียงรายกับทดแทนอีกแล้ว ทำไมคราวนี้สนถึงได้รู้สึกไม่อยากให้ต้นไปมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ เขาไม่อยากให้ต้นไปเลย ไปอยู่สองต่อสองกับทดแทนแบบนั้นสนกลัวว่าสักวันต้นจะพลาด แต่ก็นั่นแหละ มันเรื่องอะไรของสนล่ะ เขาจะไปหวงต้นทำไมก็ในเมื่อเขาเองก็จะแต่งงานอีกไม่กี่วันนี้ เขาไม่มีสิทธิ์อะไรเลยที่จะไปหวงต้น แต่ก็อย่างว่า เรื่องของความควรไม่ควรกับเรื่องของหัวใจบางทีมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ ถึงยังไงสนก็รู้สึกหวงต้นอยู่เสมอ เขาโกหกตัวไม่ได้ว่าไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
ด้วยสาเหตุนี้มันจึงเป็นเหตุให้สนต้องรีบตื่นแต่เช้าแล้วก็มาที่คอนโดของต้น สนยังสามารถเข้านอกออกในที่นี่ได้อยู่เหมือนเดิมเพราะเขามีคีย์การ์ดอยู่ สนขึ้นมาบนชั้นที่ต้นพักอยู่ เขาไม่ได้เข้าไปในห้องเลยทีเดียวแต่ยืนรออยู่ข้างนอก ในใจก็คิดหาวิธีที่จะสื่อสารกับต้น อยู่ดีๆ จะมาบอกให้ต้นไม่ต้องไปต้นคงงงเหมือนกัน
ไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงกุกกักๆ ก็ทำให้สนรู้ว่าต้นกำลังจะออกมา ใครจะว่าอะไรเขาก็ช่าง แต่สนคงต้องทำแบบนี้ พอต้นเปิดประตูออกมาแล้ว สนก็แสดงตัวพร้อมกับดักทางต้นไว้ ต้นดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นสนมาหาในตอนเช้ามืดแบบนี้ อีกอย่างต้นก็บอกสนไปแล้วนี่นาว่าจะไม่อยู่ หรือว่าสนจะมีเรื่องสำคัญ
"ต้น...นายไม่ไปได้ไหม"
สนพูดแล้วก็เดินเข้าไปกอดเพื่อน ให้มันรู้ไปสิว่าต้นจะใจแข็งได้ สนเองก็ไม่อยากใช้วิธีนี้หรอกเพราะรู้ว่าต้นใจอ่อนเสมอเวลาที่เจอเขาอ้อนแบบนี้ แต่เขาไม่อยากให้ต้นไปจริงๆ นี่นา ให้ทำยังไงก็ยอมล่ะทีนี้
ต้นตกใจมากทีเดียวเพราะไม่รู้ว่าสนเป็นอะไร อยู่ดีๆ ก็มาหานี่ก็น่าแปลกใจแล้ว นี่แถมยังมากอดแล้วอ้อนวอนอีก
"ไม่ได้หรอกสน เราต้องไป เรารับปากพี่เขาไว้แล้ว" น้ำเสียงของต้นดูเหมือนจะไม่มีพลังที่จะต่อต้านนัก แค่อยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นของสนทีไรต้นก็แทบจะไปไหนไม่รอดแล้ว ให้โกรธให้โมโหแค่ไหนต้นก็แพ้ทุกที ที่สำคัญมันทำให้ต้นรู้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้สนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทำไมนายต้องกลับมาตอกย้ำความรู้สึกเดิมที่เรามีให้นายอีกนะสน เราจะลืมนายได้ยังไงล่ะถ้านายยังทำแบบนี้อยู่
"ก็เราไม่อยากให้นายไป" สนดึงดันแถมยังทำเสียงอ้อนที่คิดว่าฟังดูน่าสงสารที่สุด
"ทำไมล่ะสน ทำไมนายไม่อยากให้เราไป" ต้นสงสัยจริงๆ เขาก็ไปมาหลายครั้งแล้วทำไมคราวนี้ไม่อยากให้ไปล่ะ
"ไม่รู้ ก็แค่ไม่อยากให้ไป นะต้นนะ อย่าไปเลย เราคิดถึงนายรู้หรือเปล่า ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน ไม่คิดจะให้เราได้เห็นหน้าบ้างหรือไง ให้เวลากับเราบ้างสิ เรายังเหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะ นายไม่รู้เหรอ" แม้จะรู้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้แต่สนก็เริ่มจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว
สนปล่อยต้นออกจากอ้อมแขนแล้วก็ดึงกระเป๋าเป้ที่ต้นกำลังเตรียมจะสะพายหลังมาถือไว้ พยายามทำสีหน้าให้ดูน่าสงสารที่สุด ต้นเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
"ไม่ไปแล้วใช่ไหม" สนถามพร้อมกับสีหน้ายิ้มดีใจ
ต้นทำสีหน้ายุ่งยากใจ "จริงๆ เราก็ไม่ควรทำแบบนี้หรอก แต่ถ้านายไม่อยากให้ไป เราก็ไม่ไป"
สนยิ้มดีใจจนแก้มแทบปริ สุดท้ายต้นเองก็ยิ้มเขินที่ไม่สามารถเอาชนะลูกอ้อนของสนได้เลย ได้แต่ขอโทษทดแทนในใจ ที่ต้นยอมนั้นเป็นเพราะว่าเขาเองก็อยากให้เวลากับสนบ้าง พอต้นกับทดแทนคบกัน พอรู้ว่าสนกับนาจะแต่งงานกัน เขากับสนก็ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ด้วยกันเลย ก็ดีเหมือนกัน มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันเหมือนที่เคยเป็นมา
"นั่นถุงอะไรเยอะแยะเลยล่ะสน" ต้นถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นถุงจำนวนหนึ่งวางกองไว้ข้างๆ ห้องของตัวเอง
"เราซื้อของทำกับข้าวมาด้วย จะทำให้นายกิน วันนี้เราจะทำแกงผักกาดจอให้นายกินนะ" สนยิ้มแก้เก้อ
"โห...วางแผนมาซะขนาดนี้ กะจะไม่ให้เราปฏิเสธได้เลยใช่ไหมเนี่ย" ต้นขำอย่างเอ็นดู สนเป็นคนน่ารักแบบนี้เสมอ แต่มันอะไรกันนะที่ทำให้สนเปลี่ยนท่าทีไปจนต้นสับสน เคยทำเหมือนว่ารัก ต้นก็รู้สึกได้ว่าสนคิดอย่างนั้นกับเขา แต่สุดท้าย...ทำไมอีกไม่กี่วันนี้สนก็จะแต่งงานแล้วล่ะ มันไปผิดพลาดตรงไหนกัน มันผิดคาดเสียจนต้นไม่กล้าคาดเดาอะไรอีกแล้ว
"ปะ เข้าไปข้างในกันเถอะ" สนชวนพร้อมกับเดินมาหยิบรวมรวมบรรดาของต่างๆ ที่เขาซื้อมา ต้นเห็นแล้วก็อดขำอีกไม่ได้
"เดี๋ยวเราถือของพวกนี้ละกัน นายเอากระเป๋าไปเก็บให้เราก็ได้"
"ขอบใจนะต้น" สนบอกแล้วก็เดินยิ้มเข้าไปในห้องของต้น เอากระเป๋าไปเก็บในห้องนอน ส่วนต้นก็ถือบรรดาถุงของทำกับข้างทั้งหลายไปไว้ในครัว
สนออกมาจากห้องนอนแล้วก็เดินมาหาต้นที่กำลังจะออกมาจากห้องครัว "โทรไปบอกพี่เขาด้วยสิว่านายไม่สบาย ท้องเสียหรือเป็นไข้ก็ได้ เอาท้องเสียดีกว่า" สนคิดให้เสร็จสรรพ
ต้นเลิกคิ้วทำสีหน้าตลก คิดในใจว่า 'แบบนี้ก็มีด้วย' แต่ก็แปลกที่ต้นก็ยอมทำตาม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็โทรหาทดแทนโดยมีสนคอยยืนคุมอยู่ข้างๆ
"พี่แทน ผมจะโทรมาบอกว่าวันนี้...ผมคงไปไม่ได้นะครับ"
ทดแทนคงจะถามเหตุผลเพราะสนเห็นต้นทำสีหน้ายุ่งยากใจ สนจึงทำท่าเอามือกุมท้องแล้วก็นิ่วหน้าเหมือนคนปวดท้องเพื่อให้ต้นบอกทดแทนไปตามแผนที่เขาวางไว้ให้
"ผมท้องเสียครับพี่ สงสัยจะไม่ไหวจริงๆ ครับ ตอนนี้เข้าห้องน้ำไม่หยุดเลยครับ" ต้นต้องยอมโกหกทั้งๆ ที่ปกติเขาก็จะไม่ค่อยทำแบบนี้
ต้นคุยกับทดแทนอยู่พักหนึ่งก็วางสายไป รู้สึกเหนื่อยเหมือนเพิ่งจะไปวิ่งมาสักยี่สิบกิโลเมตร ไม่คิดว่าการโกหกมันจะต้องใช้พลังงานมากขนาดนี้
"ขอโทษนะต้นที่ต้องให้นายโกหก เรารู้ว่านายไม่ชอบ แต่วันนี้เราขอละกันนะ" สนรู้ว่าตัวเองกำลังจะเศร้าอีกแล้ว แต่ก็พยายามไม่คิดถึงความทุกข์ใดๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ต้นพยักหน้า "ขอแค่วันนี้วันเดียวนะสน"
สนยิ้มเศร้าๆ และพยักหน้าตกลง คิดๆ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันแต่งงานจริงๆ สนจะทำใจได้ไหม ทำไมเขาถึงได้ปล่อยให้อะไรๆ มันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้นะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้พยายาม พอเรื่องมันถึงพ่อกับแม่ของนาแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะทางนั้นจะเอาเรื่องถึงที่สุด ถึงขั้นจะแจ้งตำรวจจับ แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเขาไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ ไม่อยากให้ท่านทั้งสองต้องเสียใจ แถมยังมีต้นกับครอบครัวของต้นอีก ทุกคนรักเขามาก คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี เงินทองที่ใช้เรียนหนังสือส่วนหนึ่งครอบครัวของต้นก็ช่วย ใครๆ ก็คงจะผิดหวังกับเขามากถ้ารู้เรื่องนี้ สนจึงต้องขอร้องให้นากับครอบครัวไม่ให้บอกพ่อกับแม่ของเขาแล้วเขาจะรับผิดชอบนาเอง เมื่อรับปากไปแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่สนจะคืนคำ
แต่พอเถอะ ไม่เอาแล้ว อย่าเศร้าเลยวันนี้ สนไม่อยากพูดหรือคิดถึงเรื่องเศร้าๆ อีกแล้ว มันมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็คงต้องทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและหยุดทุกข์กับมันเสียที แต่ก็คิดถึงนิกกับปั้นจั่นเหมือนกัน ทำไมป่านนี้สองคนนั้นยังคิดไม่ออกอีกนะว่าจะช่วยเขายังไง
"นั่งดูทีวีไปก่อนนะต้น เดี๋ยวเราทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน" สนบอกพลางรุนหลังให้ต้นเดินมานั่งตรงส่วนนั่งเล่นในห้อง แล้วก็เปิดทีวีให้ต้นดู "อ้อ...แล้วตอนสายๆ เราไปหาพ่อกับแม่ดีไหมต้น ตอนเย็นๆ ก็ไปกินข้าวนอกบ้านกัน เดี๋ยวเราเลี้ยงเองก็ได้"
ต้นพยักหน้า ไม่ว่าสนจะอยากทำอะไรเขาก็ไม่ขัดข้องทั้งนั้น สนก็ดีตรงนี้แหละ เขาเป็นคนรักครอบครัว แถมสนเองก็ยังรักและเคารพพ่อกับแม่ของต้นมาก พ่อกับแม่ของเขาก็รักสนมากเช่นกัน จนบางทีต้นก็รู้สึกเหมือนพ่อกับแม่มีลูกชายสองคน
"ไปกินไรดีล่ะต้น คราวที่แล้วที่พาไปกินอาหารญี่ปุ่น พ่อต้นสงสัยจะไม่ชอบแน่ๆ เลย เห็นกินได้นิดเดียวเอง เราว่าไปกินอาหารเกาหลีกันไหม อร่อยดีนะ รสชาติคล้ายๆ อาหารไทย พ่อต้นแม่ต้นน่าจะพอกินได้"
"แล้วพ่อสนแม่สนล่ะจะกินอาหารเกาหลีได้หรือเปล่า"
"ได้สิ เราเคยซื้อกิมจิไปให้พ่อกับแม่กิน เขาก็กินได้นะ อืม...เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกทีก็ได้ เดี๋ยวเราไปทำอาหารก่อนนะ เดี๋ยวนายหิวแย่เลย"
สนเดินเข้าไปในครัวแล้วต้นก็นั่งยิ้ม สนเป็นคนที่ชอบทำอาหารมากในช่วงหลังๆ ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฝีมือดีจนใครกินใครก็ชม บางทีต้นยังคิดเลยว่าสนน่าจะเปิดร้านอาหาร ท่าจะรายได้ดีไม่น้อย
พอสนทำอาหารเสร็จเขาก็ชวนต้นมานั่งกินข้าวด้วยกัน ดูท่าทางสนมีความสุขมากทีเดียว คอยชี้ชวนให้ต้นลองกินนั่นลองกินนี่ที่เขาทำ
"เป็นไง แกงผักกาดจอของเราสู้ที่แม่เราทำได้หรือเปล่า" สนถามพลางรอลุ้นขณะที่ต้นตักกิน
"อร่อยมากเลย ฝีมือไม่แพ้แม่สนเลย" ต้นชมพลางยิ้ม แล้วก็ตักกินอย่างเอร็ดอร่อย เล่นเอาคนทำยิ้มไม่หุบ
"นี่ถ้านายเป็นแฟนเรานะคงอ้วนเป็นหมูแน่ๆ เลย"
สนเหมือนจะลืมตัวเพราะสิ่งที่เขาพูดหยอกเล่นเมื่อกี้ทำให้คนฟังถึงกับหยุดชะงัก ต้นค่อยๆ วางช้อนที่กำลังจะตักอาหารเข้าปากลง
"อะไรนะสน เมื่อกี้นายพูดว่าอะไร"
สนกลืนน้ำลายแล้วก็หยุดยิ้ม เขาพูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไงกัน เขาไม่เคยพูดแบบนี้เลยตั้งแต่คบกับต้นมา สนหน้าเจื่อนลง ถ้าต้นจะว่าอะไรเขาก็คงยอมให้ว่า แต่ขออย่างเดียว อย่าบอกให้เขาไปก็แล้วกัน
เห็นสนทำสีหน้าแบบนั้นต้นก็เลยอดสงสารไม่ได้ สนคงไม่ได้ตั้งใจ อาจจะเผลอพูดออกมาก แต่แล้วมันอะไรกันนะที่ทำให้สนเผลอพูดแบบนั้น ต้นเคยรู้มาว่าการเผลอของเราก็คือการเผยความในใจอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายต้นก็ต้องบอกตัวเองอย่างเดิม 'หยุดฟุ้งซ่านเถอะ'
"นายว่าเราซื้ออะไรไปฝากพ่อกับแม่ดีคราวนี้" ต้นเปลี่ยนเรื่องพูด เขายิ้มเพื่อที่จะให้สนสบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร
สนจึงค่อยมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย "อ๋อ...เราอยากซื้อลูกเชอรี่ไปฝากพ่อต้นแม่ต้น เอางี้ดีกว่า แลกกัน เราซื้อไปฝากพ่อต้นแม่ต้น ต้นก็ซื้อไปฝากพ่อกับแม่ของเรา ดีไหม"
ต้นพยักหน้าเห็นดีด้วย เอาเถอะ ไหนๆ มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่ามัวแต่เศร้ากับชีวิตอยู่เลย มันไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นหรอก ถ้าหากคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็ทำให้มันเป็นครั้งสุดท้ายที่ดีที่สุดละกัน
----------------------------------------------------------------
พอทดแทนกลับมาจากเชียงรายแล้วก็ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีนัก พอถามต้นว่าตอนที่ไม่สบายมีใครมาดูแลก็ได้ความว่าเป็นสน ทดแทนถึงกับหน้าเสีย รู้สึกไม่พอใจจนเก็บอาการไม่อยู่
"สนเขามาหาต้นอีกแล้วเหรอ" แม้ว่าทดแทนจะพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ต้นก็รู้ว่าทดแทนดูจะไม่ค่อยพอใจ ต้นยืนหน้าเสียเพราะไม่เคยเห็นทดแทนเป็นแบบนี้มาก่อน
"ครับ..."
ทดแทนเหมือนจะรู้ตัวว่าเขากำลังแสดงอาการไม่พอใจอยู่ ก็เลยต้องพยายามลดอาการลงบ้างเพราะอาจจะทำให้ต้นตกใจกลัวไปกันใหญ่ "ต้น...ไหนว่าต้นจะตัดใจล่ะต้น แล้วทำไมต้นถึงให้สนมาหาอีก แล้วเมื่อไรต้นจะตัดใจได้ล่ะ ต้นต้องรักตัวเองบ้างนะ อย่าเอาตัวเองไปเล่นกับความเจ็บปวดแบบนี้สิต้น"
"ผมขอโทษ..." ต้นไม่รู้ว่าจะอธิบายอะไรต่อ เขาได้แต่ก้มหน้าด้วยความเสียใจ พอได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ต้นก็ได้เรียนรู้มุมมองและตัวตนอื่นๆ ของทดแทนมากขึ้นในหลายๆ ด้าน แต่ไม่เป็นไรหรอก ต้นก็เข้าใจว่าคนเราคงไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ได้อย่างเสียอย่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญมากนัก
ทดแทนเดินมาหาต้น เขาจับไหล่ต้นไว้ทั้งสองข้างแล้วก็พยายามให้ต้นสบตากับเขา "ต้น...ต้นเข้าใจพี่ใช่ไหม ต้นรู้ไหมว่าพี่...รอความรักจากต้นอยู่ ต้นช่วยบอกให้พี่มั่นใจหน่อยได้ไหมว่าต้นจะมีให้พี่ได้หรือเปล่า"
ต้นสบตากับทดแทนได้สักพักก็หลบตา เขารู้สึกประหม่าและกลัวอย่างบอกไม่ถูก
"คือ..." ต้นกลืนน้ำลาย สมองเขาตื้อไปหมดเพราะไม่รู้จะบอกหรืออธิบายให้ทดแทนเข้าใจได้อย่างไร หรือจริงๆ แล้วต้นก็ไม่แน่ใจว่าการอธิบายจะช่วยให้ทดแทนเข้าใจได้หรือเปล่า มันก็เป็นเรื่องเดิมที่ทดแทนก็รู้อยู่แล้ว
"บอกพี่มาสิต้น ต้นจะให้พี่ได้หรือเปล่า" ทดแทนคาดคั้น เขาเริ่มจับไหล่ต้นแน่นขึ้นจนต้นรู้สึกเจ็บ สนยังไม่เคยทำกับต้นแบบนี้เลย ทนุถนอมเขายังกับไข่ในหิน พอเจอแบบนี้ต้นก็ชักกลัวคนตรงหน้า
"ผมไม่รู้...แต่ผมก็บอกพี่แล้วนะครับว่าผมยัง..."
ทดแทนปล่อยต้นออกเมื่อจำได้ว่าต้นก็เคยบอกเขาเรื่องนี้แล้ว แต่จะให้เขาเข้าใจต้นอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร ต้นเองก็ไม่เคยมีความพยายามใดที่จะลืมสนเลย ทดแทนมองเพดานแล้วก็ถอนหายใจ
"พี่รู้...แต่ต้นเข้าใจพี่บ้างได้ไหม...พี่เจ็บนะต้น"
ถ้าเป็นสน ต้นคงเดินไปกอดแล้วขอโทษ แต่พอเป็นทดแทน ต้นก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างนั้นไหม แต่ขาเขามันหยุดนิ่ง มือเขาก็ไม่ยอมขยับ แค่นี้ก็คงพอจะรู้แล้วล่ะว่าต้นทำได้หรือไม่
ทดแทนหันมามองต้นอีกครั้ง เขาดึงต้นเข้าไปกอดแล้วก็ร้องไห้ "พี่รักต้นนะ...อย่าให้พี่รอนานไปกว่านี้เลย"
ต้นได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ยอมแม้แต่จะกอดตอบ แต่กลับรู้สึกหวาดระแวง เขาไม่เคยให้ทดแทนมาที่ห้องเขาเลย แต่ทดแทนกลับจากเชียงรายก็ตรงมาหาต้นที่คอนโดเลย ต้นจึงต้องยอมพาเขาขึ้นมาบนห้อง
แต่ก็โชคดีที่ทดแทนไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น พอเขาอารมณ์ดีแล้วเขาก็กลับบ้านไป ต้นได้แต่นึกโมโหตัวเองที่ใจอ่อนอีกแล้ว ก็อย่างที่ทดแทนว่า ถ้าต้นมัวแต่ทำแบบนี้เขาก็คงไม่มีทางตัดใจได้ คนที่รอก็คงจะมีแต่เจ็บกับเจ็บ ต้นคงต้องคุยกับสนให้รู้เรื่องเสียที
-------------------------------------------------------
สนมารับนาที่ทำงานหลังจากที่เธอเลิกงานแล้ว นาทำงานธนาคารแห่งหนึ่งในห้างจึงเลิกค่อนข้างค่ำ แต่พอเข้ามานั่วในรถด้วยกันนากับสนก็ต้องทะเลาะกันอีกแล้ว ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกัน แต่สนกลับทำท่าทางเฉยชาเหมือนคนเบื่อโลก ทำให้นาไม่ค่อยพอใจจนอดไม่ไหวที่จะชวนทะเลาะ
"ทำหน้าแบบนี้อีกแล้วนะคะ"
สนพยายามทำเฉยเพราะเหนื่อยที่จะทะเลาะด้วย แต่นาก็ดูเหมือนจะไม่ลดละ
"ทำหน้าให้ดีๆ หน่อยได้ไหมคะ เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่ไม่กี่วันแล้วนะคะ"
สนถอนหายใจอย่างหนักใจ พอโดนยั่วยุมากๆ เข้าเขาก็ชักจะอดไม่ได้อีกแล้ว
"พี่ไม่ได้รักนา...นาก็รู้ ถ้าจะให้พี่รับผิดชอบ พี่ก็ทำได้แค่นี้แหละ อย่าบังคับพี่มากกว่านี้เลย" สนตอบไปตามตรง ความจริงเขาก็เคยบอกแล้วว่าเขาไม่ได้รักเธอ แต่ก็ดูเหมือนนาจะไม่ได้สนใจนัก
"แล้วไงคะ ไม่รักแล้วมาทำแบบนี้กับนาทำไม" นาเถียงอย่างฉุนเฉียว
"นา...ตอนนี้เราอยู่กันสองคน ไม่มีใครอยู่ตรงนี้ พี่ไม่อยากให้นาสร้างเรื่องเพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเท็จจริงยังไง นากับพี่ก็รู้เท่าๆ กันไม่ใช่เหรอว่าใครเป็นคนที่ต้องการให้มันเกิดขึ้น"
"ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกนะคะพี่สน" นาเถียงกลับมาทันที
"ถ้าเรื่องนั้นพี่ไม่เถียง แต่เรื่องความรัก...พี่ไม่ได้รักนาจริงๆ พี่บอกหลายครั้งแล้ว แต่ที่ทำไปก็จะรับผิดชอบให้ แต่นาก็ต้องเข้าใจ พี่ไม่ได้รักนา พี่ก็ไม่รู้ว่าจะบังคับใจของพี่ให้รักนาได้ยังไง"
สนถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เขาเริ่มเหนื่อยที่จะพูดเพราะพูดมาหลายครั้งแล้ว "นา...พี่ว่าเราหยุดตรงนี้ก็ยังไม่สายนะนา คนไม่รักกัน มันอยู่ด้วยกันไม่ได้นานหรอก พี่มีคนที่พี่รักอยู่แล้ว ปล่อยให้พี่เป็นอิสระเสียทีได้ไหม" สนพยายามพูดดีๆ ด้วย แต่นาก็กลับตอบสวนเสียงดังมาว่า
"ไม่ค่ะ นาบอกแล้วไงว่านาทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงนาก็ยอมไม่ได้ วันนี้ไม่รัก พรุ่งนี้ก็ต้องรัก" นาพูดอย่างหน้าตาเฉย แต่เธอก็รู้สึกเจ็บในใจอยู่ไม่น้อย เธอพยายามมานานเหลือเกินที่จะทำให้สนรักและสนใจเธอ แต่สนก็ไม่เคยสนใจเธอเลย ตั้งแต่ที่เธอเจอผู้ชายคนนี้เธอก็หลงรักเขา เฝ้าคอยตาม เฝ้าคอยหาอะไรมาให้ แต่สนก็ปฏิเสธมาตลอด มันทำให้เธออยากเอาชนะ แล้วเธอก็ทำสำเร็จในขั้นหนึ่งแล้ว แม้จะยังไม่ได้ใจมาแต่เธอก็เชื่อว่าสนจะต้องรักเธอในสักวัน
พอเป็นแบบนี้อีกแล้วสนจึงคิดว่าเขาควรจะเงียบเสียดีกว่า เขาเหมือนกำลังพูดกับคนบ้าอยู่ เขาคิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงกัน ผู้หญิงที่ไม่เคยรับฟังเหตุผลใดๆ เลย
"อ้อ...คลิปนั่น...มันจะถึงมือของพ่อกับแม่พี่ได้ตลอดเวลานะคะถ้าพี่ยังเป็นแบบนี้อยู่" นาพูดโดยไม่หันมามองสน แม้จะเจ็บปวดที่ต้องใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือบังคับสน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
"อย่าทำบ้าๆ แบบนี้นะนา" สนหันมาพูดเสียงดังจนเหมือนตวาด แต่นาก็ทำไม่สนใจ เธอถือว่าถือไพ่เหนือกว่าแล้ว ยังไงสนก็คงต้องยอมเมื่อเจอคำขู่นี้
สนมาส่งนาที่บ้านแล้วเขาก็กดโทรศัพท์หาปั้นจั่นทันที
"เฮ้ยปั้นจั่น...พวกมึงคิดอะไรออกหรือยังวะ ที่เคยคุยกันไว้ กูจะบ้าตายอยู่แล้ว"
น้ำเสียงร้อนรนนั้นทำให้ปั้นจั่นสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ปั้นจั่นกลับตอบมาว่า
"สน...พวกกูยังไม่ได้คิดว่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยมึงนะเว้ย แต่กูคิดว่า...ถ้ามึงรักต้นจริง มึงต้องหาทางได้สิวะ หาให้ได้ด้วยตัวของมึงเอง ต้นมันจะภูมิใจนะเว้ยถ้ามึงทำได้"
สนได้แต่เงียบ มันก็จริงอย่างที่ปั้นจั่นว่า เรื่องนี้สนควรจะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สมองเขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน เขาคิดอะไรไม่ออกเลย อีกไม่กี่วันนี้เขาก็จะต้องแต่งงานแล้ว เขาจะต้องทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ เขาจะอยู่กับผู้หญิงอย่างนาได้ยังไงกัน หรือว่า...เขาจะแต่งงานไปก่อนแล้วค่อยหาทางหย่ากัน แต่เธอจะยอมปล่อยเขาง่ายๆ หรือ แล้วถ้าเกิดพลาดพลั้งมีลูกขึ้นมา มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่
เห็นสนเงียบไปปั้นจั่นก็เลยต้องรีบบอกไปว่า "นะสน กูเชื่อว่ามึงทำได้ ถ้ามึงรักต้นจริงๆ มึงต้องทำให้ได้นะสน อะไรก็ได้ที่มึงคิดว่าทำได้ ทำมาซักอย่างเถอะ กูให้กำลังใจมึง อย่ายอมแพ้นะสน" ปั้นจั่นรู้ว่ามันกดดันสำหรับสน แต่เขาก็หวังว่าความกดดันนั้นจะช่วยทำให้สนคิดอะไรออก คนเราเมื่อมันถึงคราวสุดวิสัยจริงๆ ก็ทำได้ทุกอย่าง
"อืม...กูจะพยายามละกัน" แต่น้ำเสียงของสนก็ดูไม่มั่นใจเลย เขาคงรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตมากเกินไป แต่สนก็อดที่จะท้อใจและหมดหวังไม่ได้เมื่อเพื่อนตอบมาแบบนี้ เขายังนึกอะไรไม่ออกเลย ถ้าทำได้เขาก็คงจะทำได้ไปนานแล้ว
สนคิดถึงต้นอีกแล้ว เขาต้องการใครสักคนจริงๆ ในตอนนี้ แม้ว่าจะไม่อยากไปกวนต้นแต่เขาก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ยิ่งในเวลาแบบนี้แล้วสนก็ยิ่งอยากไปหา แค่ได้เจอหน้าก็คงจะทำให้สนมีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตได้อีกไม่น้อย สุดท้ายสนก็เลยต้องมาหาต้นจนได้ แต่พอโผล่เข้ามาในห้องต้นแล้ว อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว
"นายมาหาเราทำไมอีกล่ะสน" สีหน้าเฉยชาและน้ำเสียงที่ดูเย็นเยียบของต้นนั้นทำให้สนถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว เขาไม่เคยเห็นต้นเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แต่สนก็พยายามคิดว่าคงไม่มีอะไรมาก หรือไม่เขาก็คงจะฟังผิดไปก็ได้
"เรา..."
"นายรู้ไหมว่านายไม่ควรมาหาเราแบบนี้อีกแล้ว" ต้นเริ่มเสียงดัง ริมฝีปากสั่นระริกและกำลังจะร้องไห้
"ทำไมล่ะต้น...ทำไมเรามาหานายไม่ได้ ปกติเราก็มา"
"แต่นายกำลังจะแต่งงานนะสน นายควรจะไปอยู่กับแฟนนาย ไม่ใช่เรา" ต้นสวนกลับไปโดยไม่รอให้สนพูดจบ
"ต้น...นายโกรธอะไรเราเหรอ" สนเริ่มหน้าเสีย
"นายรู้ไหมว่า...เราไม่เคยตัดใจจากนายได้เลย ยิ่งนายมาหาเราแบบนี้เราก็ยิ่งตัดใจไม่ได้ เราจะเปิดใจให้คนอื่น เราก็ทำไม่ได้ นายหยุดมาหาเราสักพักหนึ่งได้ไหมสน"
สนยืนนิ่ง ตกตะลึง ไม่คิดว่าการมาของเขาจะสร้างปัญหาให้กับต้นมากมายขนาดนี้
"กลับไปอยู่กับแฟนนายเถอะ อย่ามาหาเราแบบนี้อีกเลย ปล่อยให้เราเป็นอิสระจากนายเสียทีได้ไหม ออกไปจากชีวิตเราเสียที" ต้นร้องไห้น้ำตาไหลพราก รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องพูดแบบนี้ แต่เขาคิดว่าจะไม่พูดก็คงไม่ได้ ไม่งั้นสนก็คงจะไม่หยุด แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป
"ต้น...นายพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า" สนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าต้นที่เขาเคยรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ จะขับไสไล่ส่งเขาแบบนี้ สนคิดว่าเขากำลังหนีร้อนมาหวังจะพึ่งเย็น แต่ตอนนี้กลับไม่มีตรงไหนสักแห่งที่จะพอให้เขาได้พักความเหนื่อยล้าได้
ต้นไม่ตอบคำถามนั้น ได้ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น สนเองก็กำลังร้องไห้ด้วยเช่นกัน เขาอดเสียใจไม่ได้จริงๆ ที่ต้นทำแบบนี้ สรุปแล้วเขาก็จะไม่เหลือใครสักคนเลยใช่ไหม แม้แต่ต้นก็ยังผลักไสไล่ส่งเขาไป แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ยังไง ต้นไม่รู้เลยหรือว่าต้นมีความหมายกับชีวิตเขามากแค่ไหน
"ได้ต้น...เราจะไปจากชีวิตนายก็ได้ ถ้านายไม่อยากให้เรามา เราก็จะไม่มาอีก ลาก่อนนะ...เพื่อนรัก" สนบอกด้วยความรู้สึกใจหายและเจ็บปวดจนไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกนั้นออกมาได้อย่างไร สิบสามปีแล้วที่คบกันมา คงจะจบลงเพียงแค่นี้
สนหันหลังกลับ กำลังจะเดินออกไปแต่ก็เหมือนจะนึกได้ว่าเขายังลืมอะไรบางอย่างอยู่ สนหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกงแลัวหันกลับไปมองต้น เขาชูมันขึ้นมาแล้วก็บอกต้นว่า
"ต่อไปนี้ เราคงไม่ได้ใช้มันแล้ว เราคืนให้นายละกันนะ" สนวางคีย์การ์ดลงบนโต๊ะแล้วก็หันหลังกลับอีกครั้ง ตอนนี้อะไรก็ห้ามน้ำตาและความเสียใจของเขาไม่อยู่แล้ว สนไม่เคยรู้สึกเสียใจอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเลยจริงๆ จะเรียกได้ว่าเสียใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้
สนเปิดประตูออกไป ก่อนจะปิดและจากไปจริงๆ เขาก็บอกต้นอีกครั้งว่า "ลาก่อนนะต้น ดูแลตัวเองดีๆ นะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณจริงๆ"
ประตูค่อยๆ ปิดลง ใบหน้าของสนค่อยๆ บีบแคบลง จนเมื่อประตูนั้นปิดสนิท ใบหน้าของสนก็หายไปจากสายตาของต้น ต้นทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก็ร้องไห้โฮ นี่เขาทำอะไรลงไป เขาไล่สนไปแบบนั้นได้ยังไงกัน เขาคงบ้าหรือไม่ก็เสียสติไปแล้วที่ทำแบบนั้น เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าต้นเสียเองที่ทำลายมิตรภาพและความผูกพันที่ยาวนานของเขากับสนลง เขาทำลายมันด้วยมือของเขาเอง เขาจะทำใจได้ยังไงถ้าสนไม่กลับมาหาเขาอีก
อะไรกันหนอที่มาดลใจให้ต้นพูดแบบนั้น นี่เขาเครียดที่ทดแทนมากดดันเขาจนต้องทำร้ายจิตใจของสนขนาดนั้นเลยหรือ ภาพที่สนบอกลาเขาด้วยน้ำตาวนเวียนและฉายซ้ำอยู่ในหัวอยู่หลายรอบ แค่คิดว่าสนจะไม่กลับมาให้เขาเห็นหน้าอีกแล้วต้นก็แทบจะขาดใจ
"สน...เราขอโทษ"
ต้นร่ำไห้ เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจมากขนาดนี้มาก่อนเลย นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ต้นทำแล้วรู้สึกเสียใจมากที่สุด สนจะคิดยังไงเมื่อคนที่เขารักมากที่สุดทำกับเขาแบบนี้ ต้นได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาทำได้ยังไง ทำไปได้ยังไง...
TO BE CONTINUED