▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓  (อ่าน 134298 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
เวอร์ชั่น 2012 เป็นเวอร์ชั่นที่คนเขียนไม่ใช้แล้ว และได้นำมาเขียนใหม่ ปรับบทและพล็อตเรื่องใหม่เป็นเวอร์ชั่น 2016 ตามลิงค์ด้านล่าง

ต้น-สน 2016 - เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด นิยาย "วายละมุน" ที่สุดในชีวิตของคนเขียน



ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------------

ผู้เขียนขอแนะนำให้อ่านเวอร์ชั่นสามแทนเวอร์ชั่นสองครับ ลิงค์เวอร์ชั่นสามอยู่ด้านล่าง

ผลงานปัจจุบันที่กำลังเขียนอยู่

≡▉≡ interstellar ∘★∘ รักหมดใจ นายต่างดาว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49903.0

ผลงานที่ผ่านมา

▓ ▒ ░ ต้นสน: มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรักจะกลายเป็นความรักได้หรือไม่? (V2) ░ ▒ ▓
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32768.0

◐◑ I Love Kim Jong Hoon ◐◑
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32450.0

▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย (V3) ░ ▒ ▓
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46898.0

▙▜ รักนี้มีล้อ ◯ น้องเก้า VS พี่แตซอง ▛▟
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32188.0

✿✿ ธุรกิจนี้มีรัก ✿✿
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46884.0

♥♥♥ รัก...ที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต ▚▚▚
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32020.0

ท่านผู้อ่านโปรดทราบ

    นิยายเรื่องนี้มีความยาวทั้งหมด 38 ตอน
    นิยายเรื่องนี้จัดอยู่ในประเภทนิยาย "ดราม่า" อาจมีเนื้อหาบางส่วนที่บีบคั้นอารมณ์ของผู้อ่าน (แจ้งไว้เผื่อใครไม่ชอบดราม่า)
    นิยายเรื่องนี้ไม่เน้นการมีพระเอก-นายเอกที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ แต่จะเห็นการเติบโตด้านความคิดหรือการใช้ชีวิตของตัวละคร
    นอกจากพระเอก-นายเอกไม่สมบูรณ์แบบ คนเขียนและคนอ่านก็มีความเป็นมนุษย์ แต่เราเรียนรู้การที่จะอยู่ร่วมกันด้วยการสื่อสารอย่างจริงใจ
    ขอความกรุณาแสดงความเห็นโดยสุภาพ สามารถวิจารณ์ตัวละครและให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้เขียนได้
    ผู้เขียนจะขอบคุณอย่างยิ่งหากผู้อ่านสามารถแจ้งจุดที่มีคำผิดให้ผู้เขียนแก้ไขได้
    เมื่ออ่านจบแล้ว ผู้เขียนจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งหากผู้อ่านสามารถสะท้อน ให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำติชม ฯลฯ ให้แก่ผู้เขียนเพื่อการพัฒนาได้

ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ครับ หวังว่านอกจากความบันเทิงแล้วคงจะได้แง่คิดการใช้ชีวิตหรืออื่นๆ ไปบ้างไม่มากก็น้อย

----------------------------------------------------------------


∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรักจะกลายเป็นความรักได้หรือไม่? (เวอร์ชั่น 2)


ตอนที่ 1: เพื่อนใหม่ของต้น



วันนี้เป็นวันแรกที่โรงเรียนเริ่มเปิดเทอม พอกินข้าวเช้าเสร็จ ต้นก็วิ่งไปสวัสดีพ่อกับแม่แล้วก็รีบฉวยจักรยานคู่ใจปั่นออกไป แม้ว่าเพื่อนๆ ในห้องก็คงจะมีแต่คนเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่มาก แต่ต้นก็ตื่นเต้นมากทีเดียวที่จะได้กลับไปเจอเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งเดือนเต็มๆ

เมื่อปั่นจักรยานมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ต้นก็รู้สึกแปลกใจเพราะเห็นมีคนกำลังขนย้ายข้าวของลงจากรถกระบะคันหนึ่งเข้าไปในบ้านหลังนั้น ต้นผ่านบ้านหลังนี้ทุกวันจึงรู้ดีว่ามันถูกปิดตายมานานแล้วเพราะเจ้าของบ้านไปอยู่เมืองนอก หรือว่าเจ้าของเขาจะกลับมา ต้นเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วก็ปั่นจักรยานผ่านไป อีกไม่นานทุกคนก็จะรู้เองเพราะในชุมชนแห่งนี้ข่าวสารรู้ทั่วถึงกันหมดภายในไม่กี่วันจากการบอกปากต่อปาก

โรงเรียนที่ต้นเรียนนั้นก็ไม่ไกลจากบ้านมากนัก อยู่ในระยะกิโลเมตรเศษๆ ตลอดระยะทางจนถึงโรงเรียนจะมีคลองส่งน้ำที่ผันน้ำมาจากแม่น้ำนครไชยศรีเพื่อใช้ทำเกษตรกรรม ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนนั้นต้นกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมักจะมากระโดดเล่นน้ำคลายร้อนกันในคลองส่งน้ำนี้เป็นประจำ เขาจึงรู้สึกผูกพันกับคลองส่งน้ำนี้มากเพราะเป็นสถานที่ที่ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาสนุกมากทีเดียว

เปิดเรียนวันแรกก็ไม่มีอะไรต้องทำมากนักนอกจากจดตารางการเรียนใหม่และรู้จักกับครูที่จะมาสอนในแต่ละวิชา แต่หลังจากนั้นอีกสองวันก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อยเมื่อครูประจำชั้นได้พาเพื่อนใหม่คนหนึ่งมาให้ทุกคนรู้จัก เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่และจะมาเรียนห้องเดียวกับต้น เขาแนะนำตัวว่าชื่อ "สน" ย้ายมาจากจังหวัดน่าน

ต้นนั่งอยู่บริเวณแถวด้านหน้าของห้อง จึงมีโอกาสได้สบตากับสน แค่เห็นครั้งแรกต้นก็รู้สึกถูกชะตากับเพื่อนใหม่อย่างบอกไม่ถูก เขายิ้มให้สนที่มีท่าทางเขินๆ อายๆ เพราะเด็กๆ ส่วนมากมักจะมีอาการเช่นนี้เวลาต้องออกไปยืนหน้าชั้นเรียน อย่างไรก็ตาม ก็ดูเหมือนว่าสนก็พยายามยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกันแม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่แทบดูไม่ออก

สนมีผิวขาวแบบคนเหนือ ดูจากชุดนักเรียนที่ใส่แล้วเหมือนจะมอมแมมเล็กน้อย จึงพอจะเดาได้ว่าทางบ้านอาจจะมีฐานะไม่ค่อยดีนัก สนได้ที่นั่งคนละกลุ่มกับต้น เขาดูเงียบๆ ไม่ค่อยพุดค่อยจากับเพื่อน แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งมาใหม่ก็ได้ แต่เพื่อนๆ ก็ดูจะให้ความสนใจเขาพอสมควรเพราะต่างก็คอยเข้าไปถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหนกันใหญ่

ถึงเวลาพักเที่ยง เด็กๆ ก็ปรี่ลงไปที่โรงอาหารกัน บางคนที่ห่อข้าวมากินเองก็จะเอาห่อข้าวลงไปด้วย วันนี้ต้นก็ห่อข้าวมากินเหมือนกัน เขาวิ่งตามเพื่อนๆ ไปแล้วสักพักก็หยุดเมื่อนึกได้ว่าลืมเอาช้อนที่เก็บไว้ใต้โต๊ะเรียนลงมาด้วย ต้นจึงต้องวิ่งกลับขึ้นมาเอา แต่แล้วก็แปลกใจเมื่อเห็นว่าสนยังนั่งอยู่ในห้องคนเดียวอยู่ ไม่ลงไปกินข้าวกับเพื่อน ด้วยความสงสัยต้นจึงเข้าไปถาม

"นายไม่ไปกินข้าวเหรอ" ต้นเรียกเขาว่า "นาย" เนื่องจากยังไม่สนิทกันนั่นเอง แต่ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆ ก็จะเรียกมึง-กู

สนหันมามองหน้าเพื่อนใหม่ เขายิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหน้า "ไม่หรอก เราไม่ค่อยหิว" สนตอบ ต้นรู้สึกว่าน้ำเสียงเขาดูเศร้าๆ ชอบกล

"แล้วนายไม่ได้ห่อข้าวมาด้วยเหรอ" ต้นถามอีกด้วยความสงสัย พลางชำเลืองดูว่าเขามีกล่องข้าววางไว้ตรงไหนหรือเปล่า

"เรา...ไม่ได้เอามา แต่ไม่เป็นไรหรอก เราไม่หิว นายไปกินข้าวเถอะ" สนตอบอึกๆ อักๆ เหมือนกลัวว่าต้นจะรู้ความจริงว่าเขาไม่มีเงินซื้อข้าวกิน

"เราว่านายไปกินข้าวดีกว่านะ เดี๋ยวตอนบ่ายจะหิว เรียนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ห่อข้าวมาก็ซื้อที่โรงอาหารได้ ไม่แพงหรอก" ต้นบอกด้วยความเป็นห่วง แต่สนก็ยังดูอึกอักและสายตามีพิรุธ

"นายไม่มีตังค์ซื้อข้าวกินเหรอ" ต้นถามไปตามประสาเด็ก แต่ก็ทำให้สนหน้าเจื่อนลงทันที

"ไม่เป็นไร เราไม่หิวหรอก เราไม่ค่อยชอบกินข้าวกลางวัน" สนแก้ตัว แม้ว่าความจริงจะรู้สึกหิวข้าวมากพอสมควรก็ตาม

"เดี๋ยวเราแบ่งข้าวให้นายกินด้วยเอาไหม วันนี้แม่เราห่อข้าวให้เยอะเลย เรากินไม่หมดหรอก" ต้นเสนอพลางยิ้มเล็กน้อย สนมองหน้าเขาด้วยความไม่แน่ใจ จะปฏิเสธก็หิว จะตอบรับก็รู้สึกอายที่ตัวเองไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกิน

"นะ...เดี๋ยวเราแบ่งข้าวให้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก" ต้นคะยั้นคะยอพลางยิ้มกว้างเพื่อแสดงความเป็นมิตรและความจริงใจ โดยนิสัยแล้วต้นเป็นคนที่มีน้ำใจกับเพื่อนๆ มากเพราะพ่อกับแม่สอนต้นเสมอว่าให้รู้จักช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า เขาถูกปลูกฝังแบบนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก สุดท้ายสนก็ยิ้มตอบรับไมตรีจิตจากเพื่อนใหม่

"นายมีช้อนมาด้วยหรือเปล่า" ต้นถาม สนส่ายหน้า

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปหาเอาที่โรงอาหารก็ได้ ไปกันเถอะ" ต้นบอกพลางขยับเท้านำ สนลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามต้นไป

พอมาถึงโรงอาหาร ต้นเลือกที่จะแยกมานั่งต่างหากจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ เพราะคิดว่าสนอาจจะอายถ้าเขาแบ่งข้าวให้แล้วมีคนอื่นมอง เขาบอกให้สนนั่งรอก่อนแล้วก็เดินไปขอจานกับช้อนมาจากแม่ครัวที่เขาค่อนข้างรู้จักและสนิทสนมดีมาให้สน จากนั้นก็แบ่งข้าวจากกล่องใส่ข้าวของตัวเองให้เพื่อน วันนี้แม่ทำหมูทอดกับกุนเชียงให้ เป็นอาหารที่ทำง่ายๆ และต้นก็ชอบกิน

"วันหลังนายมากินข้าวกับเราได้นะ เดี๋ยวเราจะให้แม่เราทำมาเผื่อนายทุกวันเลย" ต้นบอกขณะที่แบ่งข้าวให้เพื่อน เขารู้สึกว่าสนดูเป็นมิตรและเขาก็ถูกชะตาด้วย

สนรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนใหม่อย่างบอกไม่ถูก แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยแต่ต้นกลับมีน้ำใจกับเขามาก อันที่จริงสนมีนิสัยเป็นคนขี้เกรงใจ เขาสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินให้เขาเรียนหนังสือและกินอยู่ ที่บ้านเขาไม่ได้ฐานะดีนัก สนจึงไม่ค่อยกล้าขอเงินพ่อกับแม่ เขามักจะอดข้าวตอนกลางวันเสมอ ยกเว้นว่าพ่อกับแม่จะนึกได้ก็จะให้เงินสนไว้ใช้บ้างแต่ก็ไม่มาก แล้วก็บังเอิญว่าวันนี้เขาไม่มีเงินเลยสักบาทเดียว

"ขอบใจมาก" สนบอกพลางยิ้มด้วยความตื้นตันใจ เขาสัญญากับตัวเองในใจว่าจะไม่ลืมบุญคุณเพื่อนใหม่ของเขาครั้งนี้เลย ถ้ามีโอกาสเขาจะต้องตอบแทน

"ไม่เป็นไร หิวแย่ละ กินดีกว่า วันนี้แม่เราทำหมูทอดกับกุนเชียง นายคงกินได้นะ แม่เราทำอร่อย" ต้นบอกเพื่อนอย่างภูมิใจ สนยิ้มตอบ ต้นถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนแรกของสนหลังจากที่เขาย้ายมา ด้วยท่าทีเป็นมิตรและเป็นกันเองของต้น ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและคุยได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเช้าที่เขาเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ

------------------------------------------------------------------------------------------------

เลิกเรียนแล้ว พอจะกลับบ้านต้นก็นึกถึงเพื่อนใหม่ที่เขาเพิ่งรู้จักกันวันนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ สนกำลังจะเดินออกไปจากห้องพอดี ต้นจึงรีบวิ่งไปถาม

"สน...นายกลับยังไง"

สนหันมายิ้มให้แล้วตอบสั้นๆ ว่า "เดิน"

"เดินเหรอ” ต้นทำสีหน้าแปลกใจ “บ้านนายอยู่ตรงไหน ไกลหรือเปล่า ไปกับเราก็ได้นะ"

"อยู่ใกล้ๆ สระบัว เป็นบ้านญาติเราเอง แต่เขาไปอยู่เมืองนอกนานแล้ว"

"อ๋อ...เรารู้ละ บ้านที่ไม่มีคนอยู่ ที่ปิดไว้หลายๆ ปีใช่ไหม"

สนพยักหน้า

"นายเดินไหวเหรอ เป็นกิโลเลยนะ" ต้นถามด้วยความเป็นห่วง

สนพยักหน้ายืนยัน "เราชินแล้วล่ะ เมื่อก่อนที่เราอยู่น่าน เราเดินไกลกว่านี้อีก"

"ไปกับเราไหม เดี๋ยวเราไปส่ง เราขี่จักรยานผ่านบ้านหลังนั้นทุกวันเลย" ต้นเสนอ

สนมีท่าทางลังเล สงสัยว่าทำไมเพื่อนใหม่คนนี้จึงมีน้ำใจกับเขาทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียว แต่เขาก็ตกลงในที่สุด เขาเดินตามต้นลงไปที่บริเวณด้านหลังโรงเรียนซึ่งมีที่จอดรถจักรยานของนักเรียนอยู่ เพื่อนๆ ในห้องของต้นดูจะแปลกใจทีเดียวที่เห็นต้นสนิทกับเพื่อนใหม่ได้เร็วขนาดนั้น

ระหว่างทางกลับบ้าน ต้นก็ชวนสนคุยไปตลอดทางเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น

"ญาตินายเขาไปอยู่ที่ไหนเหรอ เราเห็นบ้านหลังนั้นปิดตายมาตั้งนาน ตั้งแต่เรายังเด็กๆ แน่ะ"

"อ๋อ...เขาเป็นน้าเราเองแหละ พอดีเขาแต่งงานใหม่กับฝรั่ง ก็เลยพากันย้ายไปอยู่เมืองนอก แต่เขาก็ไม่ได้ขายบ้านเพราะเขาบอกว่าอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่อีก"

"เหรอ...แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ แล้วถ้าน้านายกลับมา นายจะไปอยู่ไหน"

"ก็...เรื่องมันยาว... พอดีบ้านของเราที่น่านถูกธนาคารยึด น้าก็เลยให้พ่อกับแม่เรามาอยู่ที่นี่แทน" สนตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ จนต้นสามารถสัมผัสได้

"เหรอ... แล้วทำไมน้าของนายถึงได้มาอยู่ที่นี่ละ"

"อ๋อ...พอดีน้าเขยเราคนก่อนเป็นคนนครปฐม พอแต่งงานแล้วน้าเราก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่อยู่ได้ไม่กี่ปีน้าเขยเราก็ถูกรถชนตาย น้าก็เป็นหม้าย แล้วเขาก็แต่งงานใหม่กับฝรั่ง ก็เลยย้ายไปอยู่เมืองนอก"

ต้นพยักหน้าเข้าใจ เขาเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าของบ้านคนก่อนถูกรถชนตาย ต่อมาเมียก็แต่งงานใหม่กับฝรั่งแล้วก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ญาติๆ เจ้าของบ้านฝ่ายชายก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่กัน ก็เลยไม่มีใครมาอยู่ บ้านหลังนั้นจึงถูกปิดไว้นับตั้งแต่นั้น ต้นกับคนในหมู่บ้านไม่ค่อยกล้าเข้าไปเล่นในบ้านหลังนั้นเท่าไรนักเพราะกลัวผีเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้ว

"พรุ่งนี้เรามาจะมารับนายนะ" ต้นบอกเมื่อมาส่งสนถึงบ้านแล้ว ต้นพยามมองเข้าไปในบ้านก็ไม่เห็นพ่อกับแม่สนเลยเพราะออกไปรับจ้างดายหญ้าในสวนมะม่วงอีกหมู่บ้านหนึ่งตั้งแต่เช้าแล้ว เย็นกว่านี้อีกสักหน่อยจึงจะกลับ

"ขอบใจมากนะเพื่อน" สนบอกด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพื่อนใหม่ของเขาคนนี้ช่างเป็นคนดีมีน้ำใจเสียจริงๆ แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันแต่เขาก็สัมผัสความจริงใจได้

ต้นหันมายิ้มแล้วก็ปั่นจักรยานออกไป บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากบ้านสนมากนัก สามารถเดินถึงกันได้

วันนี้นี่เองที่มิตรภาพระหว่างต้นกับสน...มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

TO BE CONTINUED...
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2016 06:01:15 โดย sarawatta »

zaabbo

  • บุคคลทั่วไป
 :z13: :z13:

ประเดิมเรื่องใหม่ น่าสนุกดีครับผม  o13 สู้ๆนะค้าบ +1

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 2: มิตรภาพที่เริ่มเบ่งบาน



พอต้นกลับบ้านไปแล้ว สนก็จัดการหุงข้าวรอพ่อกับแม่ที่กำลังจะกลับมาจากทำงาน สนเป็นเด็กที่ขยันและชอบทำงาน ทำงานบ้านเป็นแทบทุกอย่างตั้งแต่หุงข้าว ทำกับข้าว ซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน เรียกได้ว่าพ่อกับแม่แทบไม่ต้องบ่นในเรื่องนี้เลย ส่วนวันหยุดสนมักจะไปช่วยพ่อกับแม่ทำงานข้างนอก บางทีก็รับจ้างดายหญ้า ตัดกิ่งไม้ รดน้ำผักในสวนและอีกสารพัดอย่าง แล้วแต่ว่าจะมีใครจ้างให้ทำอะไร เขาเต็มใจทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ เงินค่าจ้างที่ได้มาก็จะให้พ่อกับแม่หมด แต่ช่วงนี้โชคไม่ดีนักที่บ้านเขาเป็นหนี้ธนาคารจนต้องถูกยึดบ้านและแทบจะไม่มีเงินติดบ้านกันเลย สุดท้ายก็ต้องระหกระเหเร่ร่อนมาอยู่ที่นี่ ดีที่น้าสาวเมตตาให้บ้านหลังนี้ไว้ซุกหัวนอน

เสียงรถจักรยานเข้ามาจอดในบ้าน สนรู้ว่าพ่อแม่กลับมาแล้วก็รีบวิ่งออกมารับ แม่ซื้อกับข้าวจากตลาดมาด้วย เป็นแกงเลียงหนึ่งถุงที่จะต้องกินกันทั้งบ้านสามคนพ่อแม่ลูก สนช่วยพ่อกับแม่ถือของไปเก็บในบ้าน บ้านของเขามีลักษณะเป็นบ้านปูนสองชั้น มันดูเก่ามากพอสมควรเพราะถูกทิ้งไว้นาน ข้างหลังบ้านยังพอมีที่ว่างๆ อยู่บ้าง แม่บอกว่าจะหาผักมาปลูกเอาไว้กินและส่งขายที่ตลาด วันนี้สนเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้พ่อกับแม่ฟังด้วย ดูท่านทั้งสองสนใจทีเดียว จริงๆ พ่อกับแม่ก็ห่วงสนอยู่เหมือนว่ามาแล้วจะไม่มีเพื่อนเล่นเพราะสนเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ไม่มีพี่หรือน้องที่จะพอเล่นด้วยกันได้ แต่ได้ยินว่าสนเริ่มมีเพื่อนจึงค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้น

------------------------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมา ก่อนต้นจะไปโรงเรียน ต้นก็วิ่งเข้าไปในครัวแล้วบอกแม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า

"แม่ครับ วันนี้ต้นขอข้าวเยอะๆ นะครับ แม่ใส่ให้ต้นเยอะๆ ทุกวันเลยก็ได้"

"ได้สิลูก ว่าแต่ทำไมถึงอขากกินข้าวเยอะขึ้นล่ะ" แม่หันมาถามในขณะที่กำลังตักข้าวและกับใส่กล้องข้าวให้ต้น

"ก็ต้นโตแล้ว ก็เลยอยากกินเยอะๆ จะได้โตไวๆ ไงแม่" ต้นบอกพร้อมกับยิ้มแฉ่ง

พอได้กล่องข้าวแล้วต้นก็รีบปั่นจักรยานมาที่บ้านสนทันที ใช้เวลาไม่นานนักเพราะอยู่ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร พอมาถึงต้นก็ตะโกนถามจากข้างนอกรั้วบ้านว่า

"สน...เสร็จหรือยัง เรามาแล้ว"

ไม่นานนัก สนก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมพ่อกับแม่ของเขา ต้นพอจะเดาได้ว่าเป็นใครก็เลยยกมือสวัสดี พ่อกับแม่สนรับไหว้ ดูๆ แล้วพ่อกับแม่สนก็น่าจะอายุใกล้เคียงกับพ่อแม่ของต้น

"ฝากสนด้วยนะลูก" แม่ของสนบอกขณะที่สนเดินมานั่งซ้อนท้ายจักรยานของต้น จริงๆ ที่บ้านสนก็มีจักรยานเก่าๆ อยู่คันหนึ่ง แต่เป็นจักรยานของผู้ใหญ่ พ่อกับแม่ของสนเอาไว้ไปทำงานนอกบ้าน

"ได้ครับแม่" ต้นตอบ เขาเรียกแม่ของสนว่าแม่ได้อย่างสนิทใจทั้งที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก พอสนขึ้นซ้อนท้าย ต้นก็พาเพื่อนปั่นจักรยานออกไป

"วันนี้เรามีข้าวมาเผื่อนายเยอะเลย นายต้องช่วยเรากินให้หมดนะ" ต้นบอกขณะที่ปั่นจักรยานไปตามถนนเล็กๆ เลียบคลองส่งน้ำ

"รบกวนนายหรือเปล่าต้น เดี๋ยวที่บ้านนายจะว่าเอา" สนบอกด้วยความเกรงใจ

"ไม่หรอก พ่อกับแม่เราใจดีจะตาย ไว้วันหลังเราจะพาไปเที่ยวบ้านเรา แล้วนายจะเห็นว่าพ่อกับแม่เราใจดีจริงๆ นะ" ต้นบอกพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ โดยทั่วไป เด็กๆ ก็มักจะภูมิใจอยู่แล้วที่มีพ่อแม่เป็นคนใจดี

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ต้นกับสนก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเรียบร้อยแล้ว ต้นมารับสนที่บ้านทุกวัน ตอนเที่ยงก็แบ่งข้าวให้ ยกเว้นวันไหนที่สนพอจะมีเงินมาซื้อข้าวกินเองบ้าง แต่ก็ยังแบ่งข้าวกันกินอยู่เป็นประจำ จากคนที่ตัวผอมๆ ไม่ค่อยมีเนื้อมีหนัง สนก็เริ่มมีหน้าตาที่สดใสมากขึ้นจนพ่อกับแม่ของสนแปลกใจ แต่ก็ดีใจที่เห็นลูกชายมีความสุข

"ที่บ้านเราปลูกผักแล้วนะต้น กลับไปเราจะไปรดน้ำแปลงผักของเรา อีกไม่นานเราก็จะมีผักกินแล้ว" สนบอกขณะที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานต้นกลับบ้านในวันหนึ่ง

"เหรอ...นายปลูกผักอะไรล่ะ เราไปช่วยได้ไหม" ต้นถามอย่างตื่นเต้น

"ได้สิ ตอนนี้เราเพิ่งปลูกผักกาด นายเคยปลูกผักหรือเปล่าล่ะ"

"ไม่เคยเลย แม่เราซื้อผักจากตลาดมากิน ไม่ได้ปลูกเอง"

"เหรอ...งั้นต่อไปนายมาเอาผักที่บ้านเราไปกินได้นะ เดี๋ยวแม่เราจะปลูกอีกหลายอย่างเลย พ่อกับแม่เราชอบปลูกผักกับผลไม้ ตอนอยู่ที่น่านเราก็ปลูก แต่ที่นั่นอากาศดี ผักชอบอากาศหนาว แต่ไม่รู้ว่าพอปลูกที่นี่แล้วมันจะเป็นไงเหมือนกัน"

พอมาถึงบ้าน ต้นกับสนก็กุลีกุจอช่วยกันรดน้ำแปลงผัก เด็กสองคนเอาบัวรดน้ำไปตักน้ำจากสระบัวข้างบ้านของสนซึ่งมีน้ำตลอดปี เพื่อเอามารดน้ำแปลงผักกาด ดูท่าทางสนจะทะมัดทะแมงและคล่องแคล่วกว่าต้นหลายเท่าเวลาที่ต้องทำงานใช้แรง ต้นไม่ค่อยได้ทำงานแบบนี้นักเวลาอยู่บ้าน พ่อกับแม่ของต้นเป็นครูสอนอยู่อีกตำบลถัดไปจึงมีเงินเดือนใช้อย่างไม่ต้องลำบาก ต้นจึงไม่ต้องทำงานหนักนอกจากถูบ้าน ล้างจานหรืออย่างมากก็ซักผ้า รีดผ้าเป็นบางครั้ง แต่ต้นก็ดูสนุกกับการรดน้ำต้นไม้ที่เขาไม่เคยทำมาก่อนทีเดียว พอรดเสร็จแล้ว ก่อนกลับบ้านต้นก็ชวนสนว่า

"พรุ่งนี้นายไปไหนหรือเปล่า ไปเที่ยวบ้านเราไหม เอาการบ้านไปทำด้วยก็ได้ เดี๋ยวเราช่วยสอนเลขให้"

สนดูลังเลเมื่อเพื่อนชวน "เราว่าจะไปช่วยพ่อกับแม่ทำงานในไร่ส้มโอน่ะต้น คงไปไม่ได้หรอก"

ต้นทำหน้าเสียดาย เขารู้สึกชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากทีเดียว ถ้าชวนไปที่บ้าน พ่อกับแม่ของเขาต้องชอบสนด้วยอย่างแน่นอน แต่เขาก็พอเข้าใจว่าสนต้องช่วยพ่อกับแม่ทำมาหากิน

"ว้า...เสียดายจัง" ต้นหน้าม่อยเล็กน้อย

"เป็นเพื่อนกับคนจนๆ อย่างเรานายก็ต้องทำใจหน่อยนะ เราคงไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับนายช่วงวันหยุดเท่าไรหรอก" สนบอกด้วยน้ำเสียงปนเศร้า

ต้นมองดูเพื่อนด้วยความสงสาร เขาสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนเขาอายุแค่นี้เองแต่ก็ต้องทำงานหนักราวกับผู้ใหญ่ บางทีเด็กๆ อย่างเขาก็อาจไม่เข้าใจหรอกว่าความยากจนเป็นยังไง

"เฮ้ย...ไม่เห็นต้องทำใจอะไรเลย นายก็เป็นเด็กดีออก มีเพื่อนเป็นเด็กดีไม่เห็นจะต้องทำใจเลย" ต้นแย้งเพื่อช่วยให้สนรู้สึกสบายใจขึ้น เขาไม่อยากให้สนรู้สึกว่าเขารังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับคนจน

"ไปเถอะสน ไปทำการบ้านกับเพื่อนเถอะลูก จะได้เรียนเก่งๆ ลูกจะได้พักบ้าง เหนื่อยมาหลายอาทิตย์แล้ว" เสียงแม่ของสนดังมาจากข้างหลัง เด็กทั้งสองคนหันไปมองตาม พอต้นเห็นว่าเป็นแม่ของสนก็รีบยกมือสวัสดี แม่ของสนรับไหว้แล้วถามต้นว่า

"มาช่วยสนรดน้ำแปลงผักด้วยหรือลูก"

ต้นพยักหน้า "ครับ...สนุกดีครับแม่ ผมไม่เคยปลูกผักเลย เดี๋ยวผมจะมาช่วยรดทุกวันเลยครับจะได้ปลูกผักเป็น" ต้นบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น

"โถลูก...แม่เกรงใจจังเลย ไหนจะมารับมาส่งสนทุกวัน แล้วยังมาช่วยสนรดน้ำแปลงผักอีก พรุ่งนี้ สนต้องช่วยเพื่อนทำงานบ้านด้วยนะลูก" แม่หันไปบอกสน

ได้ยินแม่บอกอย่างนั้นสนก็ไม่กล้าขัด และนั่นก็ย่อมหมายความว่าแม่อนุญาตให้เขาไปบ้านต้นพรุ่งนี้ได้

"ครับแม่" สนรับคำพลางยิ้มดีใจ

------------------------------------------------------------------------------------------------

วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้สนจึงได้มาเที่ยวบ้านต้น พ่อกับแม่ของต้นก็อยู่ด้วย วันนี้แม่ของต้นทำกับข้าวไว้ให้กินสองสามอย่าง อร่อยๆ ทั้งนั้นเลย แถมด้วยของหวานเป็นกล้วยบวชชี เด็กสองคนจึงทำการบ้านกันเพลินเพราะมีของให้กินไม่ขาดปาก ต้นช่วยสอนวิชาเลขให้สนเพราะสนไม่ถนัด หรือจะว่าไปแล้วก็คือไม่ชอบเอาเสียเลย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แต่คราวนี้ ต้นช่วยสอนจนเขาทำได้และรู้สึกดีกับวิชาเลขขึ้นมาก พอทำการบ้านเสร็จ สนก็ช่วยพ่อกับแม่ของต้นทำงานบ้านหลายอย่างตามที่เขาสัญญากับแม่ไว้ เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้านและล้างห้องน้ำ พร้อมกับมีต้นคอยเป็นลูกมือ สนเป็นคนอาสาช่วยทำเองเพราะเขาอยากตอบแทนต้นและครอบครัวของต้นซึ่งดีกับเขามาก พ่อกับแม่ของต้นเองก็รู้สึกเอ็นดูสนมากทีเดียวเพราะเห็นว่าเป็นเด็กที่ขยันขันแข็งและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

ตอนบ่ายๆ ต้นขออนุญาตพ่อกับแม่พาสนไปเล่นน้ำในคลองส่งน้ำหน้าบ้าน ก็ได้รับอนุญาตแต่โดยดีเพราะต้นว่ายน้ำเก่ง จริงๆ แล้วเด็กๆ แถวนี้ก็ว่ายน้ำเก่งแทบทุกคนเพราะโตมากับแม่น้ำลำคลอง จึงไม่ค่อยมีใครเป็นห่วงมากนัก

เด็กสองคนใส่กางเกงขาสั้นคนละตัวเดินออกมาจากบ้านของต้น ข้างหน้ามีสะพานเหล็กเล็กๆ ไว้สำหรับข้ามคลองส่งน้ำอยู่ บางจุดจะมีสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่เพื่อให้รถยนต์ข้ามได้ด้วย ต้นมาถึงคลองก็กระโดดตูมลงไปเลย แต่สนยังยืนมองอยู่บนฝั่งด้วยสีหน้ากังวล

"อ้าวสน ทำไมไม่ลงมาล่ะ" ต้นถามด้วยความสงสัย

"ลึกหรือเปล่าล่ะ เราว่ายน้ำไม่เป็น" สนมีสีหน้าตื่นกลัวเพราะเขาโตมากับภูเขาและความหนาวจึงไม่ค่อยชอบเล่นน้ำ

"ประมาณอกเราเอง ลงมาเลย ไม่ต้องกลัวหรอก เราว่ายน้ำเป็น ช่วยนายได้ เดี๋ยวเราช่วยสอนนายว่ายน้ำ เอาไหม"

ได้ยินดังนั้นสนจึงค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงไปในคลอง ต้นว่ายน้ำเข้ามาช่วยดูใกล้ๆ พอเห็นว่าสนเริ่มปรับตัวได้ก็ค่อยๆ พาสนมาเล่นบริเวณกลางคลอง พร้อมกับสอนให้เขาว่ายน้ำด้วย ใช้เวลาไม่นานนักสนก็เริ่มไหว้น้ำอย่างง่ายๆ ได้ ทำให้เขาเล่นน้ำได้สนุกขึ้น พอเล่นน้ำจนหนำใจ ทั้งสองคนจึงขึ้นมานั่งเล่นบนสะพาน หย่อนขาลงไปแล้วก็เอาขาตีน้ำเล่น ความสุขของเด็กๆ ก็คงไม่มีอะไรมาก แค่ได้เล่นตามจินตนาการก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่

"โตขึ้นนายอยากเป็นอะไร" ต้นหันมาถามขณะที่ใช้ขาตีน้ำเล่นเบาๆ

"อะไรก็ได้ แค่มีเงินเยอะๆ พ่อกับแม่เราจะได้ไม่ต้องลำบาก" สนตอบโดยไม่ลังเลเพราะเป็นสิ่งที่เขาคิดตลอดเวลา

"แล้วนายล่ะ" สนถามกลับบ้าง

ต้นครุ่นคิดสักพักแล้วก็ตอบ "เราอยากเป็นวิศวกร"

แน่ล่ะ อาชีพที่ผู้ปกครองอยากให้ลูกหลานของตนเองเป็นก็คงไม่พ้นตำรวจ ทหาร หมอหรือวิศวกร เพราะนอกจากรายได้ดีแล้วยังทำให้พ่อแม่มีหน้ามีตาในสังคมอีกด้วย สามารถอวดใครต่อใครในหมู่บ้านได้นั่นเอง

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากที่ไปบ้านต้นครั้งนั้นแล้ว ต้นกับสนรวมทั้งครอบครัวก็รู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งสองคนสามารถไปมาหาสู่และเข้านอกออกในทั้งสองบ้านได้เพราะเด็กทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนผู้ใหญ่ให้ความไว้วางใจ บางทีสนก็ไปนอนบ้านต้น บางครั้งต้นก็มานอนบ้านสน ผู้ปกครองของทั้งสองคนจึงรู้สึกดีใจที่ลูกชายมีเพื่อนสนิทที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลและไว้ใจกันได้ เพราะทั้งสองบ้างต่างก็มีลูกชายเพียงคนเดียวเหมือนกัน เด็กทั้งสองจึงเป็นเหมือนลูกชายอีกคนของอีกบ้าน เวลาไปบ้านต้น สนจะได้กับข้าวหรือขนมจากบ้านต้นมาฝากพ่อกับแม่เสมอ ในขณะเดียวกันพ่อกับแม่ของสนก็พยายามหาของมาฝากบ้านต้นเช่นเดียวกัน บางทีก็เป็นกับข้าวแบบชาวเหนือที่พ่อกับแม่ของสนทำเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็พืชผักที่ปลูกหลังบ้าน

ตอนหลังๆ พ่อกับแม่ของสนเริ่มเก็บเงินได้บ้างทั้งจากการรับจ้างทำงานต่างๆ และขายพืชผักที่ปลูกเอง จึงซื้อจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ให้สนคันหนึ่งเผื่อไว้ขี่ไปโรงเรียน แต่ต้นกับสนก็ยังคงชอบซ้อนท้ายจักรยานกันอยู่ บางครั้งสนก็ไปรับต้นที่บ้าน สลับกันไปมา แทบจะเรียกได้ว่าเห็นต้นอยู่ตรงไหนก็จะเห็นสนอยู่ตรงนั้น เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนเด็กทั้งสองคนเรียนจบชั้นประถมศึกษา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2015 13:05:28 โดย sarawatta »

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่าน ตามคำเรียกร้องของตัวเอง

 :pig4: ผู้แต่งค่ะ

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
มาซึบซับ คู่รักตั้งแต่ยังวัยละอ่อน

 :pig4: จ๊ะ ที่มาลง :กอด1: :L2: นักแต่ง

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 3: ความรักได้ก่อตัวขึ้นแล้ว



ต้นกับสนอายุ 13 แล้ว กำลังจะเข้าเรียนชั้น ม.1 ผลจากการสอบปรากฏว่าต้นกับสนไม่ได้เรียนห้องเดียวกันเหมือนเดิม แต่ก็ยังเป็นโรงเรียนเดียวกันอยู่ โรงเรียนมัธยมนั้นไม่ไกลจากโรงเรียนประถมมากนักจึงสามารถขี่จักรยานไปโรงเรียนได้เหมือนเช่นเคย

ช่วงก่อนเข้าเรียน ม.1 ต้นกับสนปล่อยผมให้ยาวขึ้นเพื่อจะได้ไปตัดรองทรงเพราะเป็นทรงที่โรงเรียนอนุญาตให้ตัดได้ เด็กวัยรุ่นมักจะเริ่มตัดผมทรงนี้ตอนที่เริ่มเป็นหนุ่มแล้ว ทั้งต้นและสนเองก็ใฝ่ฝันอยากไว้ผมทรงนี้มานาน วันแรกที่ไปตัดรองทรงมาก็ทำให้คนทั้งหมู่บ้านแซวกันไปหลายวัน ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือต่างดูหล่อขึ้นกันทั้งสองคน ต่างกันที่ต้นดูหน้าหวานนิดๆ แต่สนจะหน้าเข้มหน่อยๆ นอกจากหน้าตาที่เปลี่ยนไปบ้างแล้ว เสียงของต้นกับสนก็เริ่มห้าวขึ้นด้วย สัญญาณแห่งวัยหนุ่มกำลังเริ่มขึ้นนั่นเอง

พอเข้าเรียน ต้นได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องเพราะมีผลการเรียนดีและที่ผ่านมาต้นก็เป็น หัวหน้าห้องเสมอ จึงค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนๆ ส่วนสนนั้น การเรียนของเขาก็ดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่มีต้นคอยช่วยสอน เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้น เทอมสุดท้ายของ ป.6 สนได้เกรด 3 ซึ่งเป็นเกรดที่สนไม่เคยได้เลยในวิชานี้ ผลจากการที่สนเรียนดีขึ้นก็ยิ่งทำให้สนรู้สึกว่าต้นคือเพื่อนที่มีบุญคุณกับเขามาก

แม้ว่าในอีกห้องหนึ่งสนจะไม่ได้เป็นหัวหน้าชั้นหรือมีตำแหน่งใดๆ เลย แต่ต่อมาสนก็ได้รับเลือกให้แสดงละครวันแม่โดยเล่นบทเป็นพ่อ มีนักเรียนหญิงร่วมชั้นอีกคนเล่นเป็นแม่ ด้วยเหตุนี้ สนจะต้องมาซ้อมการแสดงกับเพื่อนๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนวันงานทุกเย็นก่อนกลับบ้าน ส่วนต้นก็มานั่งดูเพื่อคอยเป็นกำลังใจและรอกลับบ้านพร้อมกับสนเกือบทุกเย็นเช่นกัน

ทุกครั้งที่เห็นสนเล่นบทพ่อกับ "น้อย" นักเรียนหญิงห้องเดียวกันที่เล่นบทแม่ ต้นก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเวลาที่เห็นสนกับน้อยหัวเราะสนุกสนานหรืออยู่ใกล้ๆ กัน บางครั้งก็ทำให้ต้นเจ็บแปลกในใจเล็กๆ บางครั้งก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังอิจฉาสองคนนั้นอยู่ มันคือความรู้สึกอะไรกันนะ ทำไมเมื่อก่อนต้นไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลย

------------------------------------------------------------------------------------------------

มีอยู่วันหนึ่ง ต้นต้องทำของประดิษฐ์จากไม้เป็นการบ้าน แต่ต้นเองก็ไม่ค่อยมีหัวทางช่างมากนัก จึงอยากได้ความช่วยเหลือแต่ก็ติดที่ว่าช่วงสนต้องซ้อมการแสดง คงไม่สามารถมาช่วยเขาได้ พอเลิกเรียน ต้นจึงต้องกลับบ้านก่อนเพื่อจะไปทำของประดิษฐ์ส่งครู ก่อนจะกลับต้นก็ไปยืนเกาะขอบเวทีที่สนซ้อมอยู่แล้วก็ร้องเรียก

"สน...วันนี้เรากลับก่อนนะ พอดีเราต้องไปเลื่อยไม้ทำของประดิษฐ์ส่งครู ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเรากลับกับเอกก็ได้" เอกหมายถึงเพื่อนร่วมห้องของต้นนั่นเอง บ้านเขาอยู่ไม่ห่างจากบ้านของต้นนัก

"เสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะไปช่วยนะต้น รอแป๊บนึง" สนร้องตอบพลางมองเพื่อนด้วยความลังเล ใจจริงเขาอยากจะกลับไปพร้อมกับต้นตอนนี้เลยเพราะอยากช่วยเพื่อนทำงานมากกว่า สนไม่ชอบการแสดงนักแต่ก็จับพลัดจับผลูได้มาเล่นด้วยความบังเอิญ

"ไม่เป็นไรหรอก เราพอทำได้อยู่ นายซ้อมละครเถอะ อีกไม่กี่วันก็จะแสดงแล้วนี่" ต้นปฏิเสธไปเพราะไม่อยากกวนเพื่อน

แต่สนก็รู้สึกเป็นห่วงเพราะรู้ว่าต้นทำงานแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ต่างจากสนที่ทำได้หลายอย่าง "แน่ใจนะ"

"เราทำได้น่า นายไม่ต้องห่วงหรอก" ต้นบอกพลางยิ้ม สนจึงไม่รบเร้า

เมื่อมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ของต้นยังไม่กลับจากโรงเรียน ต้นเดินไปหาเลื่อยจากกล่องใส่เครื่องมือช่างของพ่อหลังบ้านแล้วก็เอามาเลื่อยตัดไม้ที่เขาหาไว้แล้วจำนวนหนึ่ง เป็นไม้ที่เหลือจากการสร้างบ้านแล้วทิ้งไว้ไม่ได้ใช้นั่นเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูผอมแห้งแรงน้อยมากนัก แต่การเลื่อยไม้ของต้นก็ดูเก้ๆ กังๆ ชอบกล ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเลื่อยมีขนาดเล็กมากไป แถมต้นก็ไม่ค่อยได้ทำงานแบบนี้ พอเลื่อยไปสักพักก็เจ็บมือจนมือแดง ต้นจึงเริ่มกังวลว่าจะทำงานเสร็จไม่ทันส่ง ในระหว่างที่คิดกังวลอยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีจักรยานมาจอดหน้าบ้าน พอเห็นว่าสนมา ต้นก็ยิ้มด้วยความดีใจจนออกนอกหน้าเพราะเขารู้ว่าสนช่วยเขาได้อย่างแน่นอน

"นายไม่ซ้อมละครแล้วเหรอ" ต้นถามด้วยความแปลกใจพร้อมกับยิ้มดีใจ สนจอดจักรยานแล้วก็เดินมาหาต้น

"ไม่เป็นไรหรอก เราอยากมาช่วยนายมากกว่า เรารู้ว่านายไม่ถนัดงานพวกนี้" สนบอกพลางยิ้ม รอยยิ้มของสนทำให้ต้นรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ สำหรับต้น ความรู้สึกอะไรกันหนอ ทำไมมันช่างอบอุ่นและวาบหวามใจเช่นนี้

"อ้าว แล้วคนอื่นไม่ว่าเอาเหรอ"

"นิดหน่อย แต่ช่างเถอะ มา...ให้เราช่วยดีกว่า จะให้เราทำอะไรก็บอกมาได้เลยเพื่อนรัก"

สนนั่งลงข้างๆ แล้วก็ยื่นมือไปรับเลื่อยมาจากต้น ต้นส่งให้สนแต่โดยดีแล้วก็บอกสนว่าต้องทำอะไรบ้าง ดูเหมือนว่าพอสนมาแล้วทุกอย่างก็ดูง่ายไปเสียหมด ต้นก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงทำแบบสนไม่ได้ เขาจึงได้แต่นั่งมองและให้กำลังใจเพื่อน ในระหว่างที่สนกำลังเลื่อยชิ้นไม้อย่างขะมักเขม้น ต้นก็คอยแอบมองหน้าเพื่อนอยู่บ่อยๆ  เขารู้สึกว่าสนมีเสน่ห์อะไรบางอย่าง มีพลังดึงดูดและคลื่นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย แต่เหมือนต้นจะคอยมองอยู่นานจนสนรู้สึกได้

"มองอะไร" สนถามด้วยความสงสัยพลางยิ้มเขินนิดๆ เพราะเขารู้สึกว่าต้นนั่งมองเขาแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว

ต้นเหมือนจะได้สติแล้วก็รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน "อ๋อ เปล่านี่" ต้นยิ้มเขินนิดๆ "เรารู้สึกว่านายทำได้คล่องดี ไม่เหมือนเราทำเองเลย ช่วยเราได้ตั้งเยอะแน่ะ เรานั่งทำตั้งนานยังทำได้ไม่กี่อันเอง"

สนขำแล้วก็หันมาทำงานต่อ

"วันนี้นายกินข้าวบ้านเรานะ เดี๋ยวพ่อกับแม่เราก็มาแล้วล่ะ" ต้นชวน สนเงยหน้ามามองแล้วพยักหน้า

แต่หลังจากนั้นต้นก็ยังคอยเผลอแอบมองสนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขายังไม่รู้จักอยู่เรื่อยๆ กว่างานจะเสร็จก็เกือบสามทุ่ม พ่อกับแม่ของต้นบอกให้สนนอนค้างกับต้นที่บ้านเพราะเห็นว่าดึกแล้ว สนตอบตกลงโดยไม่รีรอเพราะเขาก็มานอนที่บ้านต้นเป็นประจำอยู่แล้ว ก่อนมาที่นี่สนแวะบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะมาช่วยต้นทำงาน ถ้าเขาไม่กลับ พ่อกับแม่จะรู้เองว่าเขามาค้างที่บ้านต้นและไม่รู้สึกเป็นห่วงอะไร สนรู้สึกมีความสุขมากทีเดียวที่เห็นต้นดูจะพอใจและชอบของประดิษฐ์ที่เขาช่วยทำ

------------------------------------------------------------------------------------------------

สนยังไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในโรงเรียนมากเพียงใด ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะมีคนมองเขาเสมอ ไม่ใช่แต่สาวๆ เท่านั้น บรรดากะเทยทั้งรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกันต่างก็ชอบมองเขาด้วย เพราะความที่สนทำงานใช้กำลังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาดูเป็นหนุ่มมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีกล้ามเนื้อแขนขาที่ดูแข็งแรงไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุ 15-16 สนไม่รู้หรอกว่าบางครั้งการมีรูปร่างหน้าตาเป็นทรัพย์ก็อาจนำอันตรายมาให้เขาได้เหมือนกัน

วันหยุดวันหนึ่ง มีคนมาจ้างสนไปช่วยดายหญ้าที่บ้านตรงท้ายๆ หมู่บ้าน คนที่มาจ้างเป็นผู้ชายอายุราวๆ 30 ที่สนรู้สึกว่าดูท่าทางไม่ค่อยเหมือนผู้ชายเท่าไร พอคุยตกลงราคากันแล้วเขาก็พาสนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปที่บ้าน เขาบอกว่าถ้าเสร็จแล้วก็จะขับมอเตอร์ไซค์มาส่งอีกที บ้านหลังที่สนมาทำงานนี้อยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านหลังอื่นๆ อยู่พอสมควร วันนี้บ้านดูเงียบๆ เพราะคนอื่นๆ ไปทำไร่กันหมด เหลือแต่ผู้ชายคนนี้ที่สนรู้สึกว่าเขาชอบมองสนแปลกๆ เวลามองก็ชอบมองดูส่วนกลางลำตัวของเขาบ่อยๆ เขามายืนคอยคุมงานสน บางทีก็ยิ้มพร้อมกับแววตาแปลกๆ ที่สนก็ไม่เข้าใจ พองานเสร็จชายคนนั้นก็ถามว่า

"เสร็จแล้วเหรอ เดี๋ยวมีงานให้ทำอีกชิ้นหนึ่ง" ชายคนนั้นบอกด้วยน้ำเสียงมีจริตจะก้านต่างจากผู้ชายทั่วไป

"อะไรครับ" สนถามด้วยความสงสัย

"เดี๋ยวมานวดให้พี่หน่อยสิ พี่เมื่อย"

"ผมนวดไม่เป็นครับ" สนรีบปฏิเสธ เพราะเขารู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้

"ลองดูก่อนไหม เดี๋ยวพี่สอนให้ว่านวดยังไง พี่ให้ 200 เลย" ชายคนนั้นเอาเงินมาล่อ

พอได้ยินว่าเขาจะได้ค่าจ้างถึง 200 บาท สนก็เริ่มลังเลใจเพราะมันเป็นจำนวนเงินที่มากอยู่ สุดท้ายก็เลยตกลง ชายคนนั้นพาสนขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน เขาบอกให้สนเข้าไปนั่งรอในห้องๆ หนึ่งซึ่งมีฟูกปูไว้อยู่ เข้าใจว่าน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคน สักพักชายคนนั้นก็ตามเขาข้ามา เขาเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามคล้ายกับต้องการจะอวดรูปร่าง เขานอนคว่ำหน้าลงบนฟูกแล้วบอกให้สนนวดหลังให้ สนนวดด้วยความประหม่า ชายคนนั้นเป็นคนคอยบอกว่าสนต้องนวดตรงไหนอย่างไร สักพักเขาก็นอนหงายแล้วบอกให้สนช่วยนวดต้นขา

พอนวดได้ไม่นานชายคนนั้นก็เริ่มถามคำถามแปลกๆ เช่น มีแฟนหรือยัง เคยมีอะไรกับผู้หญิงไหม เคยช่วยตัวเองหรือเปล่า และอีกหลายคำถามในทำนองนี้จนสนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาจึงตัดสินใจหยุดนวดและบอกว่าจะกลับบ้าน แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายค่าจ้าง 200 บาทอยู่ก็ตาม

"พี่...ผมนวดไม่เป็น...ผมไม่ชอบ ผมจะกลับบ้านแล้ว ไม่เอาตังค์ก็ได้"

ชายคนนั้นมองสนด้วยสายตาฉ่ำเยิ้ม สนรู้สึกอึดอัดจนอยากจะลุกหนีไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย

"จะรีบไปไหนล่ะ เดี๋ยวช่วยพี่อีกอย่างสิ" ผู้ชายคนนั้นไม่พูดเปล่า เขาฉวยมือสนไปวางบนเป้ากางเกงของเขา สนพยายามดึงมือหนีแต่ก็สู้แรงผู้ใหญ่กว่าไม่ไหว

"พี่จะทำอะไรผมน่ะ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ" สนร้องเสียงดัง ชายคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุขึ้นมาทันทีจนสนรู้สึกกลัว

"เดี๋ยวก็รู้น่า เดี๋ยวแกก็จะชอบเองแหละ"

สนเริ่มโตพอที่จะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามดิ้นหนี ทั้งเตะ ทั้งถีบ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเด็กอย่างเขาไม่มีทางสู้แรงผู้ใหญ่ได้อยู่แล้ว ชายคนนั้นเตรียมผ้าขาวม้าไว้จำนวนหนึ่งในห้องนั้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ สนถูกจับมัดมือ มัดเท้าและมัดปาก ชายคนนั้นถอดกางเกงขาสั้นและกางเกงในของเขาออก สนร้องลั่นแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน เขารู้สึกกลัวมากเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกผู้ชายข่มขืน แม้ว่าเขาจะร้องให้น้ำตาไหลพรากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายคนนั้นเกิดความสงสารแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนั้นพยายามกดตัวเขาลงและพยายามเอาส่วนนั้นของเขาสอดใส่เข้าไปใน ปราการด้านหลังของเขา สนรู้สึกเจ็บมาก เขาพยายามร้องและดิ้นหนี

"อยู่เฉยๆ สิวะ อยากเจ็บตัวหรือไง" ชายคนนั้นตะคอกใส่และไม่ละความพยายามที่จะกระทำชำเราเขาให้ได้

ในขณะเดียวกัน ต้นก็ไปหาสนที่บ้านเพราะตั้งใจว่าจะชวนสนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน พ่อกับแม่ต้นบอกว่าสนไปดายหญ้าที่บ้านของตาเที่ยงตรงท้ายหมูบ้านได้สักพักแล้ว ต้นจึงรีบปั่นจักรยานไปหาเพื่อนที่บ้านหลังนั้นทันที พอถึงบ้านหลังนั้น ต้นเห็นอุปกรณ์ดายหญ้าของสนวางอยู่แต่ไม่เห็นตัวของสน เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นรองเท้าของสนถอดวางไว้อยู่ข้างล่างตรงบันไดที่จะขึ้นบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นใต้ถุนสองชั้น

"สน...นายอยู่นี่หรือเปล่า" ต้นตะโกนเรียกซ้ำกันอยู่ 2-3 ครั้ง

ชายคนนั้นหยุดทันทีที่ได้ยินเสียงคนเอะอะอยู่ข้างล่าง เขามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด สนได้ยินเสียงเพื่อนเรียกแล้วก็ดีใจ เขาพยายามส่งเสียงอู้อี้ตอบแต่ต้นก็ไม่ได้ยิน

ชายคนนั้นลุกขึ้นใส่กางเกงแล้วก็เดินออกมาตรงบันได พอเห็นต้นก็ถามต้นด้วยเสียงดุว่า "มาหาใครวะ"

"มาหาสนครับ สนมาดายหญ้าที่นี่หรือเปล่า" ต้นถามพลางพยายามเมียงมองหาเพื่อนของตนเอง

"มันกลับไปแล้ว" ชายคนนั้นตอบแต่สีหน้าดูมีพิรุธจนต้นสังเกตได้

"แต่นี่รองเท้าสนนี่ครับ เครื่องมือก็ยังอยู่" ต้นแย้ง ชายคนนั้นจึงตะคอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า

"ก็กูบอกว่ามันกลับไปแล้ว จะมาเซ้าซี้ทำไม ไป๊ คนจะหลับนอนพักผ่อน อย่ามากวน" เขาพูดพร้อมทำมือไล่ให้ต้นไป

สนรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะตะโกน จึงใช้เท้าสองข้างที่ถูกมัดอยู่ทุ่มลงพื้นดังๆ ให้ต้นได้ยิน แล้วก็ได้ผล พอต้นได้ยินเสียงดังตึงๆ ก็พอจะเดาได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเพื่อนเขาอย่างแน่นอน ชายคนนั้นหน้าเสียลงทันที เขาเดินลงมาหวังจะลากต้นออกไปจากบ้าน ต้นถอยร่นมาตั้งหลักเล็กน้อย พอชายคนนั้นลงมาถึงพื้น ต้นก็รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีกระโดดถีบตรงเข่าของชายคนนั้นจนล้มตึงลงกับพื้น เขาร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บปวด ต้นรีบใช้โอกาสนี้วิ่งขึ้นไปบนบ้านทันทีแล้วตรงไปยังห้องที่มีเสียง ตึงตังๆ อยู่

ต้นแทบช็อกเมื่อเห็นว่าสนถูกจับมัดมือ มัดเท้าและมีผ้ามัดปิดปากอยู่ สนมีสีหน้าหวาดกลัวและมีรอยคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้า ต้นรีบใส่กลอนล็อกห้องนั้นทันทีก่อนที่ชายคนนั้นจะตั้งหลักได้และวิ่งมาถึง ต้นช่วยแก้มัดให้เพื่อน เขารู้สึกสงสารเพื่อนจนน้ำตาไหลและรู้สึกโกรธแค้นชายคนนั้นที่ทำกับเพื่อนเขาที่ยังเป็นเด็กได้ถึงเพียงนี้ พอเป็นอิสระแล้วสนก็รีบใส่เสื้อผ้า เสียงชายคนนั้นทุบประตูปังๆ และตะโกนเรียกบอกให้รู้ว่าทั้งสองคนไม่มีเวลาโอ้เอ้แล้ว ต้นกับสนจึงต้องรีบตัดสินใจว่าจะหนีอย่างไร

"ลงทางหน้าต่างก็แล้วกัน" ต้นบอกแล้วรีบพาสนวิ่งไปที่หน้าต่าง ทั้งสองคนปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างแล้วก็กระโดดลงไป ชายคนนั้นได้ยินเสียงตุ๊บก็รู้ว่าเด็กสองคนหนีไปทางหน้าต่างแล้ว เขาวิ่งไปคว้ามีดแล้ววิ่งตามลงไปทันทีเพราะกลัวว่าเด็กสองคนจะไปบอกตำรวจ ตอนนี้เขาหน้ามืดแล้ว แม้จะต้องฆ่าเด็กสองคนนี้เขาก็ต้องทำ

ต้นกับสนพอตั้งหลักได้ก็รีบวิ่งไปที่จักรยานที่ต้นจอดไว้ตรงหน้าบ้าน ชายคนนั้นถือมีดขนาดสั้นวิ่งตามมา พร้อมตะโกนว่า "พวกมึงสองคนจะหนีไปไหนพ้น" เขาตวัดมีดฉวัดเฉวียนไล่ตามมาจนปลายมีดกรีดไปถูกตรงบริเวณต้นแขนของต้น ต้นร้องโอ๊ยแล้วทรุดตัวลงกับพื้นทันที เขาใช้มือกุมต้นแขนตรงบริเวณที่โดนมีดฟันไว้

"ต้น" สนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด

"ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย" สนร้องเรียกให้คนช่วย ชายคนนั้นหยุดชะงักเมื่อเห็นต้นถูกมีดเขากรีดจนเลือดไหลอาบ เขารีบทิ้งมีดแล้ววิ่งหนีไปทางหลังบ้านทันที โชคดีที่ในจังหวะนั้นมีชาวบ้านผ่านมาพอดีจึงช่วยกันพาต้นไปส่งที่บ้านและโรงพยาบาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2012 07:59:30 โดย sarawatta »

zaabbo

  • บุคคลทั่วไป
 :m31: ฮึ่ยไอพวกมารสังคมพวกนี้ต้องจับส่งตำรวจให้หมด  :m31:

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:มาเปนกำลังใจค่ะ           

Mc_ma

  • บุคคลทั่วไป
มาส่งกำลังใจให้ค่ะ

เรื่องนี้อ่านกี่รอบก็สนุก Confirm!!!

 :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






icyblue

  • บุคคลทั่วไป
ต้น เริ่มรักเพื่อนแบบไม่รู้ตัวแล้วนะเนี่ย

ส่วนสนก็เนื้อหอม จะโดนเปิดซิงซะแระ o22

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
ต้นรีบเปิดซิงซะ สนจะได้ไม่เนื้อหอมเกิน 55555

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 4: เพื่อนสน...ใครอย่าแตะ



ระหว่างที่รอหมอทำแผลให้ต้นอยู่นั้น สนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พ่อแม่ของเขาและพ่อแม่ของต้นฟัง พ่อกับแม่ของต้นดูจะเป็นเดือดเป็นแค้นมากทีเดีย

"ทำไมมันถึงได้เลวอย่างนี้ คอยดูนะผมจะให้ตำรวจลากคอมันเข้าคุกให้ได้ ทำได้แม้กระทั่งกับเด็กไม่มีทางสู้ จิตใจมันทำด้วยอะไร" พ่อของต้นพูดอย่างโกรธเกรี้ยว

"เอาเลยพี่ ให้ต้นมันทำแผลเสร็จก่อนเดี๋ยวเราไปโรงพักกัน" แม่ของต้นว่าตาม

"คนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก อยู่ไปก็มีแต่จะไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น นี่ดีนะที่ต้นกับสนมันไม่เป็นอะไรมาก" แม่ของสนเห็นด้วยแล้วก็หันมากำชับกับสนว่า

"ต่อไปแม่ไม่ให้สนไปทำงานคนเดียวอีกแล้วนะลูก คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ไอ้เราก็คิดว่ามีลูกชายก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบบนี้ ที่ไหนได้"

สนนิ่ง เขาดูเงียบเพราะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนมากกว่าสิ่งอื่นใดในตอนนี้ เฝ้ารอแต่ว่าเมื่อไรหมอจะทำแผลให้ต้นเสร็จเสียที เขาอยากเห็นหน้าเพื่อน อยากขอบคุณเพื่อนที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมาช่วยเขาไว้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาก็คงถูกผู้ชายโรคจิตคนนั้นกระทำชำเราไปแล้ว แค่คิดเขาก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที เขายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนและเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้อยู่ไม่น้อย ที่สำคัญ เหตุการณ์นั้นได้สร้างความรู้สึกหวาดระแวงในจิตใต้สำนึกของเขาไปแล้ว

สักพักหมอก็ออกมาบอกว่าทำแผลให้ต้นเสร็จแล้ว แต่ต้องให้ต้นนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืนเพราะแผลลึกพอสมควร อาจจะบวมอักเสบได้ ฟังจบแล้วสนก็ปรี่เข้าไปในห้องเพื่อดูอาการเพื่อนก่อนใคร เขานั่งลงข้างๆ เตียง เห็นต้นเจ็บแทนแล้วก็ทำให้สนถึงกับน้ำตาซึม

"ต้น...นายเป็นไงบ้าง” สนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ใครเห็นสีหน้าของเขาก็คงจะรู้ว่าเขาเป็นห่วงเพื่อนมากขนาดไหน

"ขอบใจมากนะที่มาช่วยเรา ดูสิ...นายเลยต้องมาเจ็บตัวเพราะเราเลย"

"ไม่เป็นไร...เราเป็นเพื่อนนายเราก็ต้องช่วยนายสิ แล้วนายล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า ไอ้นั่นมันทำอะไรนายบ้าง" ต้นถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพื่อนเช่นกัน

"เราไม่เป็นอะไรมากหรอก โชคดีที่นายมาช่วยได้ทันเวลา ว่าแต่นายเจ็บมากหรือเปล่าล่ะ" สนมองดูบริเวณต้นแขนข้างขวาของต้นที่มีผ้าพันแผลอยู่ด้วยความสงสาร ถ้าเขาเจ็บแทนได้เขาก็จะยอม

"ไม่เป็นไรหรอก พอทนได้" ต้นตอบพลางยิ้มและหัวเราะเบาๆ เขาไม่อยากให้สนต้องกังวลกับเขามากนัก

"สน...เพื่อนเขามีบุญคุณกับเรานะลูก ต่อไป สนต้องคอยดูแลเพื่อน ช่วยเพื่อน ถ้าเพื่อนมีปัญหาก็อย่าทิ้งเพื่อนเป็นอันขาดนะลูก" พ่อของสนบอกพลางย่อตัวลงข้างๆ และใช้มือแตะไหล่ลูกชายเบาๆ สนเงยหน้าขึ้นมองพ่อและทุกๆ คนที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วตอบว่า

"ครับพ่อ ผมสัญญาครับ ผมจะคอยดูแลต้น ผมจะไม่ทิ้งต้นครับ" สนพูดด้วยความมั่นใจ แม้จะไม่มีใครบอกเขา เขาก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนที่ต้นได้ช่วยชีวิตเขาไว้และยังเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาตลอดมา สนหันกลับมามองเพื่อนตามเดิม สายตาของเขาฉายแววมาดมั่นที่จะทำอย่างที่สัญญาไว้

พอถามไถ่อาการกันพอสมควรแล้ว พ่อแม่ของสนและพ่อของต้นก็พาสนไปแจ้งความที่โรงพัก ส่วนแม่ของต้นอาสาอยู่เป็นเพื่อนต้นที่โรงพยาบาลเอง

ก่อนออกไปจากห้อง สนหันมาบอกต้นว่า "เดี๋ยวเรามานะต้น เราจะมานอนเป็นเพื่อนนาย"

ต้นยิ้มเป็นเชิงตอบรับ

------------------------------------------------------------------------------------------------

พอมาถึงสถานีตำรวจ ครอบครัวของสนได้แจ้งข้อหาพยายามข่มขืนผู้เยาว์แก่ชายโรคจิตคนนั้นที่อาจถูกลงโทษจำคุกนานถึง 20 ปี พอเสร็จธุระแล้ว สนก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขี่จักรยานไปโรงพยาบาลอำเภอที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนต้น พอไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นแม่ของต้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ ส่วนต้นหลับไปแล้ว เขาจึงเข้าไปคุยกับแม่ของต้นและเล่าให้ฟังว่าเขาไปแจ้งความอะไรไว้บ้าง ตอนนี้ตำรวจกำลังออกตามหาตัวชายโรคจิตคนนั้นอยู่ คาดว่าจะจับตัวได้ไม่ยากเพราะรู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร คุยกันได้สักพักต้นก็ตื่น

"สน...เราปวดฉี่น่ะ พาเราไปห้องน้ำหน่อยสิ" ต้นบอกด้วยเสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

สนรีบกุลีกุจอไปช่วยประคองเพราะต้นใช้แขนข้างหนึ่งไม่ได้จึงทำให้ลุกไม่สะดวก เขาพาต้นไปที่หน้าห้องน้ำแล้วก็ถามว่า "ให้เราเข้าไปช่วยข้างในไหม"

"ไม่เอา เราทำเองได้น่า" ต้นบอกพลางหัวเราะ แม่ของต้นก็พลอยหัวเราะไปด้วย

สนช่วยเปิดประตูให้ต้นเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างระมัดระวัง สายตาคอยมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แต่สายตาแบบนั้นก็ทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน "เสร็จแล้วบอกเรานะ เดี๋ยวเราช่วยเปิดประตูให้"

สนกำชับก่อนที่จะช่วยปิดประตู พอได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังอีกครั้งเขาก็รีบบอกต้นว่า "นายไม่ต้องเปิดเองหรอกเดี๋ยวเราเปิดให้" สนบอกพลางใช้มือเปิดประตูให้ต้นอย่างระวัง

เขาพาต้นกลับมานอนบนเตียงตามเดิมแล้วก็นั่งคุยกับต้นอยู่ข้างๆ คุยกันได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แม่ของต้นเดินไปเปิดก็เห็นเพื่อนชายหญิงของต้นหกเจ็ดคนยืนออกันอยู่ เพื่อนๆ ที่ทราบข่าวมาเยี่ยมต้นนั่นเอง เด็กๆ เดินเข้ามาข้างในห้องแล้วก็กรูเข้าไปถามต้นกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นยังไงบ้าง หนึ่งในนั้นมีเพื่อนชายของต้นคนหนึ่งที่มีท่าทางกระตุ้งกระติ้ง พอรู้ว่าต้นไปช่วยสนไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกชายคนนั้นข่มขืน เขาก็พุ่งมาเกาะแขนสนเพื่อจะถามว่าสนเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วก็เลยเกิดเรื่องขึ้น สนสะบัดมือออกโดยอัตโนมัติและผลักเพื่อนของต้นคนนั้นจนกระเด็นล้มลงก้นจ้ำเบ้า

"อย่ามาถูกตัวกูนะเว้ย" สนว่าด้วยเสียงดังลั่น เขาดูไม่พอใจอย่างมาก ทุกคนทำหน้างงและมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สนหวาดกลัวและระแวงผู้ชายกระตุ้งกระติ้งเป็นอย่างมาก และเขาก็เป็นอย่างนั้นนับตั้งแต่นั้นมา กะเทยคนไหนก็ตามที่เข้ามาทำก้อร่อก้อติกหรืออยู่ใกล้เขาจะถูกเขาไล่เตะจนวิ่งหนีแทบไม่ทัน หลายครั้งสนก็สบถด่าด้วยคำพูดแรงๆ ที่แสดงอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้ไม่มีกะเทยคนไหนกล้าเข้าใกล้สนอีกเลย

"เฮ้ยไอ้สน อีรุ่งมันก็ถามมึงดีๆ มึงไปผลักมันทำไมวะ" เพื่อนคนหนึ่งของต้นถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาเรียกเพื่อนชายที่กระตุ้งกระติ้งว่า "อีรุ่ง" เพราะทุกคนก็เรียกแบบนี้กันทั้งโรงเรียน

"กูเกลียดไอ้พวกกะเทยผิดเพศ มันทำไม่ดีกับกู แถมยังทำให้เพื่อนกูต้องมาเจ็บตัวอีก อย่าให้มาอยู่ใกล้กูนะเว้ย" สนตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆ ต้นกับสนจะพูดมึง-กูซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ระหว่างต้นกับสนแล้ว ทั้งสองไม่เคยพูดมึง-กูด้วยกันเลย จะเรียกว่า “นาย-เรา” เสมอเพราะต้นเป็นเพื่อนคนพิเศษของสน

ต้นเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบปรามเพื่อน "สน...ใจเย็นๆ ก่อน" แล้วต้นก็หันไปบอกเพื่อนๆ ว่า "เดี๋ยวพวกมึงกลับไปก่อนนะ กูไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวกูจะไปเล่าให้ฟังที่โรงเรียน"

พอเห็นบรรยากาศไม่ดี เพื่อนๆ ของต้นจึงต้องพากันกลับ ต้นก็ฉลาดพอที่จะไม่ต่อว่าเพื่อนเพราะเขาพอเข้าใจความรู้สึกของสนที่กำลังเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ หลังจากเพื่อนๆ กลับไป ต้นจึงชวนสนคุยเรื่องอื่นเพื่อให้สนสบายใจขึ้น ความเข้าใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นี่เองที่ทำให้สนรักเพื่อนของเขามาก

------------------------------------------------------------------------------------------------

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สนจะคอยดูแลต้นเป็นอย่างดี ไม่มีใครสามารถรังแกเพื่อนเขาได้เลยและก็เป็นอันรู้กันทั้งโรงเรียนว่า "เพื่อนสน ใครอย่าแตะ" อย่างเช่นมีอยู่วันหนึ่งที่ต้นวิ่งมาหาสนที่ห้องเรียนของเขาช่วงพักเที่ยงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

"สน...ช่วยดูหลังให้เราหน่อยสิ เป็นไรไม่รู้คันไปหมดเลย" ต้นพูดพลางพยายามใช้มือเกาด้วยความยากลำบาก

"งั้นนายนั่งนี่ก่อน เดี๋ยวเราดูให้" สนบอกพลางพาต้นมานั่งที่โต๊ะเรียนของเขาเองด้วยสีหน้าเป็นห่วง

"นายถอดเสื้อออกก่อนสิ" สนบอก

ต้นจึงรีบแกะกระดุมเสื้อนักเรียนแล้วถอดออกวางไว้บนโต๊ะเรียนของสน สนเห็นรอยแพ้เป็นปื้นแดงแล้วก็ต้องตกใจ พอสังเกตดีๆ ก็เห็นเศษขนอะไรบางอย่างคล้ายๆ ขนสุนัข แต่ไม่น่าใช่ มันน่าจะเป็นหมามุ่ยมากกว่า

"นายคงจะโดนหมามุ่ยแล้วล่ะต้น นายรออยู่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวเรามา" สนบอกแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เพื่อนในห้องคนอื่นๆ ของสนก็เดินเข้ามาซักถามต้นกันใหญ่

สักพักสนก็กลับมาพร้อมกับเทียนขี้ผึ้งที่เขาไปเอามาจากห้องประชุมใหญ่ มีเทียนขี้ผึ้งที่ผ่านการใช้งานอยู่จำนวนหนึ่งแถวๆ โต๊ะหมู่บูชา สนมาถึงแล้วก็รีบเอาเทียนขี้ผึ้งมากลิ้งไปมาบริเวณที่เป็นรอยแดงนั้น

"เฮ้ยสน มันจะหายคันเหรอวะ มึงไปรู้มาจากไหนว่าเอาเทียนขี้ผึ้งมาถูแล้วจะหายคัน" เพื่อนคนหนึ่งของสนถามขึ้น

"หายสิ...ที่บ้านเราก็ทำแบบนี้แหละ ไม่เชื่อคอยดูสิ เป็นไงต้น...เริ่มหายคันหรือยัง"

ต้นพยักหน้า ไม่น่าเชื่อว่ามันจะช่วยให้หายคันได้ พออาการเริ่มดีขึ้นสนก็เอาเทียนขี้ผึ้งไปถูกลิ้งไปมากับเสื้อของต้นบริเวณด้านหลังเพราะเขากลัวว่าจะมีขนหมามุ่ยหลงเหลืออยู่

"นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนแกล้งนาย" สนถามในขณะที่กำลังกลิ้งเทียนไขไปมา

"เอ่อ...ไม่แน่ใจน่ะ" ต้นพยายามนึกอยู่สักพักก็ร้องอ๋อ "อ๋อ...ไอ้เป๋งแน่ๆ เลย เราเห็นมันเดินตามหลังเรามาตอนเรากินข้าวเสร็จแล้ว สงสัยมันต้องแอบเอาขนหมามุ่ยมาเทใส่หลังเราแน่เลย" ต้นบอกไปเพราะไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก เขาเองก็ไม่ติดใจมากนักหรอก อย่างมากก็แค่ไปด่าแล้วก็ไล่เตะมันเท่านั้นเอง

"น่าจะไม่มีขนหมามุ่ยแล้วล่ะ" สนว่าพลางส่งเสื้อคืนให้ต้น สีหน้าเขาดูเหมือนโกรธอะไรบางอย่าง แล้วสนก็รีบเดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโดยไม่บอกไม่กล่าว

"อ้าวสน...จะไปไหน รอเราด้วย" ต้นว่าพลางรีบใส่เสื้อแล้วก็วิ่งตามสนไป

"ไอ้เป๋งอยู่ไหน" สนเดินเข้ามาในห้องเรียนของต้นแล้วก็ถามเพื่อนต้นที่ยังอยู่ในห้องนั้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"มันลงไปฉี่เมื่อกี้นี้" เอกตอบพลางมองสนอย่างงงๆ ปกติสนไม่สนิทกับเป๋ง แต่ทำไมอยู่ดีๆ ก็มาถามหา

สนรีบเดินลงไปข้างล่างทันที ส่วนต้นพอเข้ามาถามเพื่อนในห้องแล้วก็ต้องตกใจเพราะเขาคิดว่าสนต้องไปจัดการเป๋งอย่างแน่นอน ต้นจึงรีบวิ่งตามลงไปห้าม

พอสนเห็นคนที่เป็นเป้าหมายแล้วเขาก็รีบเดินไปดักหน้าแล้วถาม "ไอ้เป๋ง มึงแกล้งต้นเหรอ"

เป๋งหยุดชะงัก พอเห็นว่าเป็นใครก็ตกใจ "อะไร...แกล้งเกลิ้งอะไรวะ" เขาพยายามทำหน้าตาย แต่ก็รู้สึกกลัวสนอยู่หน่อยๆ เพราะสนตัวโตกว่าเขาเยอะ ถ้ามีเรื่องขึ้นมาเขาคงสู้ไม่ได้แน่ๆ

สนกระชากคอเสื้อเป๋งแล้วก็ตะคอก "ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัวก็ยอมรับมาซะดีๆ"

"เออๆ กูแกล้งมันเองแหละ" เป๋งรีบบอกเพราะกลัวว่าจะต้องเจ็บตัวจริงๆ

"เฮ้ยสน...อย่ามีเรื่องกันเลย นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก" ต้นร้องห้ามเมื่อเขามาทันเห็นเหตุการณ์

สนจึงปล่อยคอเสื้อของเป๋งแล้วก็สั่งด้วยเสียงเฉียบขาดว่า "ขอโทษต้นด้วย"

เป๋งมองหน้าต้นด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก จริงๆ เป๋งรู้ว่าต้นคงไม่ได้โกรธอะไรเขามาก แต่สนนี่สิ มองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ หลังจากที่ได้ยินกิตติศัพท์มานานว่า "เพื่อนสน ใครอย่าแตะ" เป๋งก็เพิ่งรู้ด้วยตัวเองวันนี้ว่ามันเป็นยังไง

"ขอโทษ" เป๋งตัดสินพูดออกไป

"ทีหลังอย่าให้กูรู้นะเว้ยว่ามึงมาแกล้งต้นอีก ไม่งั้นมึงเจ็บตัวแน่" สนพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาต

เป๋งยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไป พอพ้นรัศมีอำมหิตแล้วก็เดินแกมวิ่งหายไป

"หายคันหรือยังต้น" สนมาถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อกี้

"หายแล้ว แต่ว่านายไม่ต้อง..."

"ไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรารู้ เรายอมไม่ได้ นายเป็นเพื่อนเรานะต้น เราต้องดูแลนาย นายช่วยเราไว้ตั้งหลายอย่าง เราก็ต้องช่วยนายบ้าง ใครจะแกล้งนายต้องข้ามศพเราไปก่อน"

ต้นก็ไม่รู้จะว่าอะไร แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกอุ่นใจที่สนรักและเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ ถ้ามีสนอยู่ ต้นคงไม่ต้องกลัวอะไร

ในช่วงหลังๆ นั้นสนไม่ค่อยได้ออกไปทำงานช่วยพ่อแม่บ่อยนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพ่อกับแม่ของสนอยากให้สนมีเวลาเรียนมากขึ้นเนื่องจากเห็นว่าผลการเรียนของสนดีขึ้นมาก เกรดเฉลี่ยสามกว่าๆ แล้ว นอกจากนี้ น้าสาวของสนที่อยู่เมืองนอกก็ส่งเงินมาให้ใช้บ้าง แม้จะไม่ทุกเดือนแต่ก็ทำให้ครอบครัวเขาลำบากน้อยลงกว่าเดิม สนจึงมีเวลามากขึ้น ตอนเย็นๆ เขามักจะเล่นเตะบอลกับเพื่อนๆ ก่อนกลับบ้าน บางทีต้นก็ไปนั่งดูหรือไม่ก็ลงไปเล่นด้วย

การเล่นกีฬาทำให้สนมีรูปร่างที่แสดงถึงความเป็นหนุ่มมากขึ้น เขาเป็นคนที่หุ่นดีมาก สูงและผิวขาวตามแบบฉบับของคนเหนือ บางครั้งเวลาต้นนั่งดูสนเล่นฟุตบอล พอเห็นสนถอดเสื้อแล้วก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ต้นเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่าเขาอาจจะเป็นเกย์ แต่เขาแทบจะไม่มีท่าทางใดๆ ที่ดูเหมือนผู้หญิงเลย นอกจากหน้าตาที่ออกหวานหน่อยๆ และนิสัยที่ไม่ชอบเล่นกีฬาหรือทำงานที่ต้องใช้กำลัง แต่อย่างไรก็ดี ต้นก็พอทำได้ในระดับหนึ่งเพราะต้นก็ยังเล่นเตะบอล บาสเกตบอลหรือทำงานที่ใช้กำลังอยู่บ้าง จึงไม่มีใครสงสัยรวมถึงครอบครัวของเขาเองด้วย แม้ว่าต้นจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาเป็นอะไรแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้นตระหนักดีก็คือ ถ้าหากต้นเป็นเกย์จริงๆ แล้ว ต้นจะไม่มีวันบอกสิ่งนั้นกับสนอย่างเด็ดขาดเพราะเขากลัวว่าจะต้องเสียเพื่อน...เพื่อนที่เขาแสนรัก

------------------------------------------------------------------------------------------------

แม้ว่าต้นกับสนดูจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน แต่ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ยั่วยุและล่อแหลม บางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวไปได้เหมือนกัน พอเริ่มขึ้น ม.3 สนก็ถูกเพื่อนชวนไปกินเหล้าและสูบบุหรี่ แต่สนก็แอบทำไม่ให้ครู พ่อกับแม่หรือต้นเห็น บางทีก็แอบไปสูบหลังโรงเรียน ในห้องน้ำหรือนอกรั้วโรงเรียน ส่วนเหล้านั้น บางทีเพื่อนก็จะเอามาให้สนลองกินเวลาที่เจอกันในหมู่บ้านบ้าง ส่วนต้นจะไม่แตะสิ่งเหล่านี้เลยเพราะการปลูกฝังของครอบครัวที่ค่อนข้างมีระเบียบ จะเห็นได้ว่าต้นถูกสอนให้เก็บหอมรอบริบเงินตั้งแต่เด็ก ถ้ามีเงินเหลือต้นจะต้องเอาเงินมาหยอดกระปุก พอเต็มแล้วก็จะเอาไปฝากธนาคารเป็นประจำ

ไม่นานนักต้นก็เริ่มระแคะระคายกับพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของสนจากคำบอกเล่าของเพื่อนคนอื่นๆ ที่เคยเห็น แม้ต้นจะรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของเพื่อน แต่เขาก็คงจะไปห้ามปรามสนตรงๆ ไม่ได้ ต้นรู้ว่าถ้าเขาพูดดีๆ และมีเหตุผล สนจะฟังเขาเสมอ ที่สำคัญ ต้นเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนจะยอมรับฟังมากกว่าใครๆ

วันหนึ่งในขณะที่ต้นซ้อนท้ายจักรยานสนกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน ต้นได้กลิ่นบุหรี่ตอนสนคุยด้วยจึงตัดสินใจถามว่า "สน...นายสูบบุหรี่หรือเปล่า"

สนอึ้งและเงียบไปสักพัก เขาไม่คิดว่าเพื่อนจะรู้ แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยโกหกเพื่อนเขาจึงต้องตอบตามตรง "ใช่"

"แล้วนายกินเหล้าด้วยหรือเปล่า" ต้นถามอีก

"ใช่" สนยอมรับแต่โดยดี “เราแค่อยากลองดูว่าเป็นยังไง”

ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่เหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

"นายอย่าบอกพ่อกับแม่ของเรานะต้น" สนขอร้องเพื่อน

"ทำไมล่ะสน" ต้นถามเสียงเรียบ

"เรากลัวพ่อกับแม่เราเสียใจ" สนบอกเพื่อนเสียงอ่อย

"ถ้านายกลัวพ่อกับแม่เสียใจ แล้วนายทำอย่างนั้นทำไมล่ะสน" คำถามง่ายๆ จากต้นช่วยทำให้สนคิดได้ เขาจึงเงียบไปพักใหญ่

พอถึงบ้าน ต้นลงจากรถจักรยานแล้วก็เดินมายืนด้านหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม

"เราไม่ห้ามนายหรอกนะสน แต่เราอยากให้นายคิดดีๆ ถึงผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า คิดถึงอนาคตและครอบครัวของนายด้วย นายเป็นความหวังของพ่อแม่นะสน” ต้นเว้นจังหวะแล้วก็พูดสืบไปว่า

"จริงๆ เราก็ไม่ชอบคนที่กินเหล้าสูบบุหรี่หรอกนะ แต่นายเป็นเพื่อนเรา ไม่ว่านายจะเป็นยังไงนายก็จะเป็นเพื่อนเราเสมอ เราเป็นห่วงนายนะสน เป็นห่วงจริงๆ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อน เราไม่สบายใจเลยที่เห็นเพื่อนที่เรารักกำลังเดินทางผิด ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เราคงจะเป็นเพื่อนที่แย่มาก"

สนเริ่มสำนึกได้ เขาดึงมือต้นมาจับไว้แล้วตบเบาๆ สองสามที "เราสัญญาต้น เราจะไม่ทำแบบนี้อีก ขอบใจนายมากที่เตือนสติเรา เราเชื่อนายเพราะนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา" สนบอกเพื่อนจากใจจริง สองหนุ่มน้อยยิ้มให้กัน มันคือรอยยิ้มแห่งมิตรภาพและความเข้าใจที่ไม่สามารถจะหาจากใครอื่นได้ง่ายนักในโลกใบนี้ที่มีแต่การแข่งขัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2012 08:17:00 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
ทำไมมันรู้สึก เศร๊า เศร้า อ่ะ กลัว

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เริ่มหนุ่ม ก็มีอยากรู้อยากลอง ดีที่มีต้นคอยเตือน o13

zaabbo

  • บุคคลทั่วไป
นี่แหละเพื่อนที่ดี เวลาเพื่อนผิดก็คอยเตือน  o13

chochang99

  • บุคคลทั่วไป
มีเพื่อนดีจริงๆ ...

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 5: สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนรัก



แม้ว่าต้นจะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยมาก แต่ก็ถือว่าพอมีฐานะและอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน แตกต่างจากสนที่ครอบครัวของเขาต้องถือว่าอยู่ในฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก พ่อแม่ของสนยังคงรับจ้างทำงานในไร่และขายส่งผักอยู่เช่นเดิม แต่ตอนหลังๆ ก็ดีขึ้นพอสมควรเนื่องจากน้าสาวของสนส่งเงินมาให้ใช้บ้าง

บางครั้งฐานะที่ต่างกันก็ทำให้มีช่องว่างอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แม้ว่าต้นจะไม่ได้คบเพื่อนที่ฐานะก็ตาม พอจะขึ้น ม. 4 พ่อแม่ของต้นก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ต้นคันหนึ่งสำหรับขี่ไปโรงเรียน แน่นอนต้นให้สนขี่ไปด้วยกันอยู่แล้ว แต่บางครั้งต้นก็กังวลว่าเพื่อนจะคิดมาก โดยเฉพาะวันนี้ที่พ่อกับแม่จะพาต้นไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ในกรุงเทพ เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่จะให้ต้นซื้อกางเกงยีนส์เท่ห์ๆ มาใส่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ต้นคิดถึงสนขึ้นมาทันที ถ้าต้นชวนสนไปด้วยเขาคงไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าแบบนี้หรอก แล้วถ้าต้นใส่เสื้อผ้าแบบนี้ให้สนเห็น ต้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสนจะคิดยังไง เขาเองก็อยากให้เพื่อนได้แต่งตัวแบบนี้บ้างตามประสาวัยรุ่น ต้นคิดกังวลอยู่นานแต่ก็หาทางออกไม่ได้เพราะต้นเองก็ยังเด็ก ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของพวกนี้มาให้เพื่อนได้หรอก

ที่ต้นต้องคิดมากเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของสนนั่นเอง ที่ผ่านมาสนไม่เคยจัดงานวันเกิดเลย ต่างจากต้นที่จัดงานวันเกิดทุกปีตั้งแต่เด็กๆ ถ้าถึงวันเกิดของสน ต้นทำได้แค่เพียงบอกเพื่อนว่า "สุขสันต์วันเกิดนะสน" แล้วก็อาจจะพาสนไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารแถวๆ บ้าน แค่นั้นสนก็ดีใจแล้วล่ะ แต่ปีนี้ต้นอยากซื้อเสื้อผ้าดีๆ สักชุดให้เพื่อน แต่มันก็แพงน่าดูเหมือนกันสำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเขา

เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ต้นจึงวิ่งไปปรึกษาพ่อเผื่อพ่อจะช่วยได้บ้าง พ่อของต้นกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ชั้นล่าง รอแม่ที่กำลังแต่งตัวเพื่อที่จะออกไปข้างนอกอยู่

"พ่อครับ" ต้นเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

พ่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็วางหนังสือพิมพ์ลง "อ้าวต้น พร้อมแล้วเหรอลูก แม่เขายังแต่งตัวไม่เสร็จเลย" พ่อถามพลางสังเกตท่าทางแปลกๆ ที่ต้นมักจะทำเวลาจะขออะไรจากพ่อแม่เสมอ

"พ่อครับ วันจันทร์นี้เป็นวันเกิดสนครับ" ต้นบอกแค่นั้นก่อนเพื่อหยั่งเชิงความสนใจจากพ่อ

"เหรอลูก จริงด้วยสิ พ่อก็ไม่เคยถามเลยว่าสนเขาเกิดวันไหน แล้วต้นจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดเพื่อนล่ะ"

"สนไม่มีเงินจัดงานวันเกิดหรอกครับพ่อ แต่ว่าต้นอยากซื้อกางเกงยีนส์กับเสื้อให้ต้นสักชุดหนึ่ง พ่อว่าดีไหมครับ"

"เอาสิลูก เดี๋ยวพ่อช่วยซื้อให้ จะให้สนไปกับเราไหมล่ะ"

พอพ่อพูดจบ ต้นก็ร้องดีใจพร้อมกับโผกอดพ่อ "พ่อใจดีจังเลยครับ ต้นรักพ่อที่สุดเลย"

พ่อของต้นยิ้มด้วยความเอ็นดู ครอบครัวของต้นไม่เคยเห็นสนเป็นคนอื่นคนไกล สนมาทีไรก็ช่วยทำงานให้หลายอย่าง บางทีก็มาช่วยซ่อมหลังคา ท่อน้ำ ตัดหญ้าและอีกสารพัด ที่สำคัญ สนไม่เคยรับเงินที่พ่อกับแม่ของต้นให้เลย ครอบครัวของต้นเห็นว่าสนกับต้นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและช่วยเหลือกันและกันมาตลอด เด็กสองคนนี้ไม่เคยทะเลาะกันเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เลย เพราะฉะนั้นถ้าจะซื้อของขวัญดีๆ ให้สน ที่บ้านของเขาจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง

"แล้วจะให้สนไปด้วยไหมลูก ถ้าจะให้ไปต้องรีบไปบอกสนนะ" พ่อต้นถามย้ำอีกครั้ง

"ไม่ต้องหรอกครับ ผมอยากจะเซอร์ไพรส์สนครับ" ต้นบอกพ่อด้วยรอยยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุด

------------------------------------------------------------------------------------------------

คิดไปคิดมาที่บ้านต้นก็ตกลงกันว่าจะจัดงานวันเกิดให้สน แม่ของต้นซื้อเค้กวันเกิดมาเตรียมไว้พร้อมกับขนมและอาหารเย็น ส่วนต้นก็เตรียมของขวัญวันเกิดให้สนที่เขาเลือกเองกับมือ ต้นมั่นใจว่าสนจะต้องใส่ได้และชอบของที่เขาซื้อให้อย่างแน่นอน

พอเตรียมของเสร็จแล้ว ต้นก็ไปชวนสนพร้อมกับพ่อและแม่ของเขาให้มากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงวันเกิดให้สน เขาบอกแต่เพียงว่าพ่อกับแม่อยากเลี้ยงขอบคุณในโอกาสพิเศษ แม้ที่บ้านของสนจะดูงงๆ อยู่เพราะไม่รู้ว่ามีโอกาสพิเศษอะไร แต่ก็ยอมมาแต่โดยดี

เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว พ่อกับแม่ของต้นก็เชิญให้ทุกคนร่วมกินข้าว เย็นนี้มีกับข้าวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้มยำไก่บ้าน ยำวุ้นเส้น หมูทอดกระเทียมพริกไทยและน้ำพริก ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารบ้านๆ ที่ทำกินกันง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มยอดฮิตอย่างน้ำอัดลมสำหรับเด็กๆ ด้วย

พอทุกคนกินข้าวเสร็จ แม่ของต้นก็บอกให้ทุกคนอยู่รอก่อนเพราะจะมีของหวานตามมา ต้นกับแม่ขอตัวเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมของหวาน คนที่เหลือจึงนั่งคุยกันไปพลางๆ แต่คุยกันอยู่ดีๆ ไฟก็ดับพรึบลง ในขณะที่สนกับครอบครัวของเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลง Happy Birth Day มาจากข้างหลัง พอเขาหันไปดูก็เห็นแม่ของต้นถือเค้กวันเกิดพร้อมเทียนสว่างไสวเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับต้น

พอเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกคนก็พร้อมใจกันร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้สน สนได้แต่ตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง เขาไม่เคยจัดงานวันเกิดมาก่อนเลยในชีวิต และไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้จัดงานวันเกิดของตัวเองกับเขาบ้าง แม่ของต้นเอาเค้กวันเกิดมาวางไว้ตรงหน้าสน เขาเห็นทุกคนร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้เขาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข สนเองก็รู้สึกมีความสุขและตื้นตันใจเป็นที่สุดเช่นกัน จริงๆ แล้วเขาก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันมีอะไรแปลกๆ เพราะปกติเมื่อถึงวันเกิดเขา ต้นก็มักจะพาเขาไปเลี้ยงข้าว แต่ปีนี้ต้นทำเหมือนจำไม่ได้ แถมอยู่ดีๆ ก็ชวนครอบครัวเขามากินข้าวที่บ้านด้วย เขาเพิ่งมาถึงบางอ้อก็ตอนนี้นี่เอง

ทุกคนปรบมือเมื่อร้องเพลงจบและบอกให้สนเป่าเทียนวันเกิด ในระหว่างนั้นต้นก็วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเปิดไฟและเอาของขวัญที่เขาเตรียมไว้มาให้เพื่อน

"สุขสันต์วันเกิดนะสน แม่ขอให้สนมีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนานะลูกนะ ขอให้เรียนเก่งๆ มีงานดีๆ ทำ จะได้ดูแลพ่อแม่ได้ พวกเราต้องขอบใจสนมากที่ช่วยดูแลต้น ต้นโชคดีมากที่มีเพื่อนดีๆ อย่างสน พ่อกับแม่เองก็รู้สึกสบายใจและดีใจที่ต้นมีเพื่อนดีๆ แบบนี้ พวกเราไม่เคยมองสนเป็นคนอื่นคนไกลนะลูก พวกเราชื่นชมและรักสนเหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเราเพราะว่าสนเป็นเด็กดี เป็นคนขยัน มาบ้านเราทีไรก็มาช่วยทำงานให้ตั้งหลายอย่าง ครั้งนี้นอกจากจะเลี้ยงวันเกิดให้สนแล้ว ก็ถือเป็นการเลี้ยงขอบคุณสนแล้วก็ครอบครัวด้วยก็แล้วกันนะ" แม่ของต้นอวยพรให้สน สนยกมือไหว้ขอบคุณ ถัดจากนั้นคนอื่นๆ ก็อวยพรให้สนบ้าง ทั้งพ่อของต้น พ่อและแม่ของสนที่ต่างก็ตื้นตันใจด้วยกันทั้งคู่อ เพราะใจจริงนั้นก็อยากจัดงานวันเกิดให้ลูกชายเหมือนครอบครัวอื่นๆ เขาบ้างมานานแล้ว

แล้วก็มาถึงตาของต้นที่เป็นคนสุดท้ายที่จะอวยพรให้เพื่อน เขาหยิบการ์ดใบหนึ่งที่เขาเขียนอวยพรวันเกิดให้เพื่อนด้วยตัวเองขึ้นมา แล้วก็อ่านตามสิ่งที่เขาได้เขียนไว้

"ขอให้วันนี้เป็นวันที่สนมีความสุขมากๆ นะ นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา เราอยากจะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่นายคอยช่วยเหลือและดูแลเราเป็นอย่างดี เราจะเป็นเพื่อนที่ดีของนายเสมอและหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป"

สนมองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก เขาซาบซึ้งในทุกคำพูดที่เพื่อนของเขาได้กลั่นกรองและเขียนไว้ในการ์ดใบนั้นอย่างล้นเหลือ

"เรามีของขวัญให้นายด้วยนะ เราเลือกเองกับมือเลย" ต้นบอกพลางเดินไปหยิบกล่องของขวัญที่ห่ออย่างสวยงามมาแล้วส่งให้เพื่อนพร้อมกับพูดว่า "สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนรัก"

สนรับกล่องของขวัญมาจากเพื่อน เขามองดูกล่องนั้นด้วยสายตาชื่นชมแม้จะยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ก่อนที่เขาจะเปิดดู สนวางกล่องของขวัญไว้บนโต๊ะอาหารแล้วก็เดินมากอดต้น

"ขอบใจมากเพื่อน ขอบใจจริงๆ ที่นายเป็นเพื่อนที่ดีกับเรามาตลอด"

ต้นกอดตอบเพื่อนเบาๆ เช่นกัน สนไม่เคยกอดเขาแบบนี้มาก่อนเลย อย่างมากก็แค่กอดคอเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ต้นจึงรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอ้อมกอดของเพื่อนจะอบอุ่นถึงเพียงนี้

"แกะของขวัญดูสิสน เรารู้ว่านายต้องชอบแน่ๆ เลย" ต้นบอกเพื่อนอย่างตื่นเต้น สนปล่อยอ้อมแขนออกแล้วก็เดินมาแกะกล่องของขวัญ ทุกคนมองด้วยสายตาคอยลุ้นว่าข้างในจะเป็นอะไร แม้ว่าบางคนจะรู้แล้วก็ตามแต่ก็คอยลุ้นด้วยว่าสนจะชอบหรือเปล่า พอสนเห็นว่าของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของเขาเป็นกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีขาวมีลวดลายเท่ห์ๆ แบบวัยรุ่นที่เขาอยากได้มานาน เขาก็ยิ้มดีใจจนแก้มแทบปริ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เข้มแข็งมากเพียงใดก็ตาม แต่วันนี้เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจเอาไว้ได้เลย

"ขอบคุณทุกคนมากครับ ผมชอบที่สุดเลยครับ" สนหันไปบอกพ่อกับแม่ของต้นแล้วก็หันมาทางต้นที่ยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ "ขอบใจมากเพื่อน เราจะไม่มีวันลืมวันนี้และของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตของเราเลย"

สนเดินมากอดเพื่อนอีกครั้ง ในชีวิตนี้เขาจะหาเพื่อนที่ดีกับเขาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เขารู้สึกดีใจและโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเจอต้นและได้เป็นเพื่อนกัน ชีวิตเขามีแต่สิ่งดีๆ ได้ก็เพราะมีเพื่อนคนนี้ที่คอยช่วยและให้กำลังใจเขาเสมอมา

เมื่อได้เห็นภาพที่เพื่อนรักสองคนกอดกัน พ่อกับแม่ของทั้งสองคนก็เกิดความรู้สึกตื้นตันใจจนถึงกับน้ำตาซึมกันทุกคนเลยทีเดียว ต้นกับสนรักกันมาก แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนสองคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงความรักระหว่างเพื่อนกันธรรมดา เพราะความรักของเขาทั้งสองคนลึกซึ้งและไปไกลกว่านั้นเสียแล้ว

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากงานวันเกิดเสร็จสิ้น สนก็ขอพ่อกับแม่นอนที่บ้านต้น ส่วนหนึ่งเพราะเขาจะช่วยพ่อกับแม่ของต้นเก็บจานชาม โต๊ะเก้าอี้และข้าวของอื่นๆ ที่นำมาใช้จัดงานวันเกิดให้เขาด้วย พ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้องและได้กำชับให้สนช่วยทำงานที่เขาตั้งใจให้เรียบร้อย

เก็บข้าวของเสร็จต้นกับสนจึงได้ขึ้นมาอาบน้ำนอน เวลามาค้างบ้านต้น สนก็จะใส่เสื้อผ้าของต้นเพราะเขากับต้นรูปร่างไม่ต่างกันมากนัก สนอาจจะตัวโตกว่านิดหน่อยแต่ก็ยังพอใส่เสื้อผ้าของต้นได้

ก่อนจะนอน สนก็ชวนต้นลากเก้าอี้มานั่งคุยกันริมหน้าต่าง เขามักจะชวนต้นทำแบบนี้บ่อยๆ เวลาที่มาค้างด้วย

"เรานึกว่านายจะลืมวันเกิดของเราแล้วเสียอีก" สนเริ่มการสนทนา

"ไม่ลืมหรอก แต่เราอยากทำให้มันพิเศษกว่าทุกครั้งไง นายเซอร์ไพรส์หรือเปล่า" ต้นถามด้วยน้ำเสียงสนุก

"เซอร์ไพรส์สิ พ่อกับแม่เรางงใหญ่เลยว่าบ้านนายมีงานพิเศษอะไร ไม่ยอมบอกล่วงหน้า อยู่ดีๆ ก็มาบอกให้มากินข้าวเย็นด้วยกัน"

ต้นได้ฟังแล้วก็ขำตามไปด้วย เขายังจำสีหน้างงงวยของพ่อกับแม่สนได้อยู่ตอนที่เขาไปเชิญมากินข้าวเย็นด้วยกันได้

"ต้น..." สนเรียก ต้นหันมามองด้วยความสงสัย

"ขอบคุณนายมากๆ ที่...ช่วยจัดงานวันเกิดให้เรา ขอบคุณจริงๆ" แล้วสนก็เอื้อมมือไปเลิกชายแขนเสื้อของต้นขึ้นเพื่อดูรอยแผลเป็นที่เกิดจากการถูกมีดกรีดตอนที่ต้นไปช่วยเขาเมื่อหลายปีก่อน สนมักจะชอบขอดูบ่อยๆ เวลาที่อยู่กับต้นตามลำพัง มันทำให้สนตระหนักดีแก่ใจเสมอว่า คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ารักและดีกับเขามากเพียงใด ญาติกันก็ไม่ใช่ รู้จักกันก็แค่ไม่นานเท่าไร แต่ต้นยังกล้าเสี่ยงชีวิตไปช่วยเขา นี่แหละคือคนที่จะเป็นเพื่อนแท้กันได้

"นายรู้หรือเปล่าว่าเราน่ะ...ไม่เคยร้องไห้ให้กับเพื่อนคนไหนเลยนะ นายเป็นคนแรกเลย" สนพูดในขณะที่เพ่งมองรอยแผลเป็นนั้น

ต้นไม่พูดอะไรแต่ก็หัวเราะเบาๆ เหลือบไปเห็นสายตาของสนแล้วต้นก็รู้สึกหวั่นไหวชอบกล ยิ่งอยู่ใกล้กันแบบนี้ต้นก็ยิ่งรู้สึกถึงความปั่นป่วนในจิตใจ

"เรากอดนายอีกทีได้ไหม"

อยู่ดีๆ สนก็ถามขึ้น ต้นหันมามองด้วายความตกใจ ยังไม่ทันจะได้ตอบสนก็ดึงเขามากอดเสียแล้ว

"ไม่รู้จะบอกนายยังไงว่าเรารู้สึกขอบคุณนายมากแค่ไหน ตอนนี้นายคงจะรู้แล้วนะ นี่แหละคือความรู้สึกของเราทั้งหมด"

อาจจะเป็นเพราะสนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก อยากขอบคุณต้นให้เท่ากับความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี แต่คำพูดมันก็คงช่วยได้ไม่มาก เขาคิดว่าแบบนี้นี่แหละที่น่าจะบอกความรู้สึกของเขาได้ทั้งหมดในตอนนี้

ต้นกอดเพื่อนตอบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สนจะรู้ตัวเองไหมว่า "ความรู้สึกทั้งหมด" ของเขาคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ สนอาจจะยังไม่รู้ แต่ต้นน่ะรู้แล้ว หลังจากที่ไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองมาระยะหนึ่ง วันนี้ต้นก็ได้รู้แล้วว่าเขากำลังรู้สึกอะไรกับเพื่อนที่กำลังกอดเขาอยู่นี้

แต่ต้น...คงไม่สามารถบอกอะไรสนได้ บอกไม่ได้จริงๆ เพราะเขากลัวจะเสียเพื่อนรักไป ส่วนสน...ถ้าเขาได้เริ่มถามและสังเกตดูความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้นจริงๆ ในวันนี้...ตอนนี้ เขาก็คงจะได้ค้นพบแล้วว่า...ใครคือคนที่เขาควรจะรัก เขาคงไม่ต้องเสียเวลาไปมากมายเพื่อตามหาความรัก แต่เสียดายที่สนก็ยังไม่รู้ใจตัวเอง เขาก็คงต้องตามหาความรักต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2012 06:58:39 โดย sarawatta »

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
ต้น ช่างเป็นคนที่แสนดีจริงๆ  o13  แถมรู้ตัวเร็วด้วยว่ารักเกินเพื่อนไปซะแล้ว

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ต้น รักสนแล้วนะ

สนจะรู้มั้ย  ว่าเพื่อนคนนี้เปลี่ยนไป เป็นรักเธอ :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ขออภัยครับ มัวแต่ปั่นเรื่องรักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิตอยู่ครับ

------------------------------------------------------------

ตอนที่ 6: หรือเราจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกแล้ว



พอขึ้นชั้น ม.4 สนก็เริ่มมีบทบาทในด้านการเป็นนักกีฬามากขึ้นเพราะความสามารถที่โดดเด่นทางด้านนี้ของเขานั่นเอง เขาเริ่มแข่งจริงๆ จังๆ ตอนงานกีฬาสีของโรงเรียน ทุกครั้งที่สนลงแข่งจะมีสาวๆ คอยตามไปเชียร์ตลอดเพราะเขามีหน้าตาที่หล่อเหลาและรูปร่างที่ดูเป็นหนุ่มเกินวัย เวลาที่เขายิงประตูได้ทีก็จะมีคนส่งเสียงกรี๊ดสนั่น พอแข่งเสร็จก็จะมีสาวๆ เอาน้ำ เอาขนมและอะไรต่อมิอะไรมาให้เขามากมาย นอกจากนี้ สนมักจะได้รับจดหมายบอกรัก ช็อกโกแลตหรือดอกไม้จากสาวๆ ในโรงเรียนอยู่เสมอๆ ทั้งเอามาให้เอง ฝากเพื่อนมาให้ หรือไม่ก็แอบเอามาวางไว้ที่โต๊ะเรียนของสน แต่สนเองก็ยังไม่ได้คบหากับใครเป็นพิเศษ ส่วนต้นเองก็พอมีเช่นกัน มีสาวๆ มาแอบชอบต้นหลายคนอยู่ แต่ต้นก็ดูเฉยๆ กับสาวๆ เหล่านั้น โชคดีที่ต้นยังเด็กอยู่ก็เลยไม่มีใครสงสัยอะไรมากนัก

ตอนเย็นๆ ก่อนกลับบ้าน ถ้าไม่ได้ไปไหน ต้นมักจะไปยืนดูสนซ้อมฟุตบอลกับเพื่อนๆ เสมอ ทุกครั้งที่ไป ต้นก็จะซื้อน้ำเปล่ามาด้วยหนึ่งขวด เวลาที่สนพักซ้อม ต้นก็จะเอาน้ำที่ซื้อมาให้เพื่อนดื่ม

“วันนี้นายเล่นดีนะ เราว่านายน่าจะลองไปสมัครคัดตัวทีมชาติ เผื่อจะติด” ต้นบอกเพื่อนขณะที่สนรับน้ำไปดื่ม

สนยิ้มอย่างแปลกใจ “นายว่าอย่างงั้นเหรอ”

ต้นพยักหน้าแล้วยิ้ม "เราว่านายน่าจะมีพรสวรรค์ทางการเล่นฟุตบอลนะ"

เพื่อนรักชมแบบนี้สนก็ยิ่งมีกำลังใจจนถึงกับยิ้มไม่หุบทีเดียว

แรกๆ ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร หลังๆ เพื่อนที่ซ้อมฟุตบอลด้วยกันก็เริ่มแซว

“เฮ้ยไอ้สน คนอื่นๆ เขามีแต่สาวๆ เอาน้ำมาให้ แล้วทำไมมึงถึงไม่มีสาวๆ เอาน้ำมาให้มึงบ้างวะ หน้าตาก็ออกจะดี” เพื่อนคนหนึ่งแซวขณะที่สนเดินมารับน้ำจากต้นไปดื่ม เพื่อนคนอื่นๆ ก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่

“หรือว่ามึงไม่ชอบผู้หญิงวะ วันไหนๆ ก็เห็นแต่ไอ้ต้นเอาน้ำมาให้ พวกมึงสองคนนี่ชักยังไง” เพื่อนอีกคนหนึ่งแซวตามมา

ต้นกับสนมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“มึงอยากโดนเตะหรือไงวะ เดี๋ยวเหอะมึง ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกนะเว้ย กูกับต้นเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย คิดอะไรทุเรศๆ นะพวกมึง” สนหันไปว่าเพื่อน แต่แทนที่พวกนั้นจะหยุดกลับหัวเราะชอบใจและแหย่ไม่เลิก

ต้นได้แต่นิ่งเงียบและครุ่นคิด เขารู้สึกกังวลและไม่สบายใจอยู่เหมือนกันที่เพื่อนๆ แซวเขากับสนไปในทางนั้น เห็นสนสีหน้าไม่ค่อยดีแล้วต้นก็ได้แต่รู้สึกเป็นห่วง

---------------------------------------------------

หลังจากนั้นสนก็ถูกเพื่อนๆ ในห้องและเพื่อนที่เล่นฟุตบอลด้วยกันล้ออยู่เรื่อยๆ ว่าเขากับต้นเป็นคู่เกย์กัน สร้างความหงุดหงิดไม่พอใจให้กับสนมากทีเดียว

จนกระทั่งสนเริ่มจะทนไม่ไหว วันหนึ่ง ต้นมานั่งดูสนเล่นฟุตบอลพร้อมกับซื้อน้ำมาให้เช่นเคย ระหว่างพัก สนก็เดินมาหาต้นด้วยสีหน้าเครียดๆ เขารับน้ำที่ต้นยื่นมาให้แล้วก็ครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจบอกต้นไปว่า

“ต้น...นายจะว่าอะไรเราไหม ถ้าเราจะบอกว่า...นายไม่ต้องเอาน้ำมาให้เราก็ได้เวลาที่เราซ้อมฟุตบอล”

ถ้าหากสนย้อนเวลาได้และตระหนักว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พูดไปแล้ว เขาก็จะไม่มีวันพูดอย่างนี้อย่างเด็ดขาด เพราะตอนนี้คนฟังอึ้งและตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงไปแล้ว ไม่ต้องบอกต้นก็พอจะรู้ว่าสนบอกเขาอย่างนั้นทำไม

“เรารำคาญที่ไอ้พวกนั้นมันชอบแซวเรากับนาย นายเข้าใจใช่ไหมต้น ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากให้นายมานะ แต่...” สนพยายามจะแก้ตัวเมื่อเห็นต้นมีสีหน้าไม่ค่อยดี

“เราเข้าใจ" ต้นบอกพลางพยายามยิ้ม แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะห้ามความรู้สึกเสียใจที่เกิดขึ้นข้างใน "เอาเป็นว่า...เราจะทำตามที่นายขอก็แล้วกัน ต่อไปนี้...เราจะไม่มาทำให้นายลำบากใจอีก”

ต้นบอกแล้วก็ลุกเดินออกไปด้วยท่าทางผิดหวัง เขารู้ว่าสนอายเพื่อน จริงๆ เขาน่าจะคิดได้ตั้งตอนแรกๆ ด้วยซ้ำเพราะเขาได้ยินการล้อเลียนแบบนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ควรจะปล่อยให้มันถึงวันนี้ ต้นก็รู้สึกเจ็บจนบอกไม่ถูกแม้ว่าจะเข้าใจเหตุผลของสนก็ตาม

ส่วนสน เขาได้แต่ยืนมองเพื่อนเดินจากไปด้วยความรู้สึกสับสน พอพูดไปแล้วสนก็รู้สึกผิด ต้นคงจะเสียใจมากทีเดียวที่เขาพูดแบบนั้น นี่เขาพูดอะไรออกไป ทำไมไม่รักษาน้ำใจเพื่อนเลย สิ่งที่ต้นทำก็เป็นความหวังดี เป็นน้ำใจจากเพื่อนที่ต้นก็มีให้เขาอยู่เสมอ มันเป็นความผิดของต้นหรือเปล่า...

แต่พอเพื่อนเรียกให้กลับลงสนาม สนก็สลัดทิ้งความรู้สึกส่วนตัวออกไป ช่วงนี้เขาต้องซ้อมฟุตบอลค่อนข้างหนักเพราะใกล้จะแข่งกีฬาประจำจังหวัดแล้ว สนหันไปมองต้นแวบหนึ่งแล้วก็วิ่งลงไปเล่นฟุตบอลต่อ ค่อยๆ สลัดความกังวลออกไป เขาจะต้องหาเวลาไปขอโทษต้นให้ได้

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้น สนก็ไม่เคยเห็นต้นมานั่งดูเขาซ้อมฟุตบอลอีกเลย เลิกเรียนแล้วต้นก็กลับบ้านทันที แม้กระทั่งตอนเช้า ต้นก็เลี่ยงที่จะไปโรงเรียนกับสน ทำให้สนต้องนั่งรถสองแถวไปเรียนหนังสือเอง ในตอนหลังๆ ต้นก็ได้ข่าวว่าสนมีแฟนแล้ว เป็นรุ่นน้องชั้น ม. 3 ชื่อ “ดา” ที่เคยมาตามเชียร์สนอยู่บ่อยๆ ตอนเย็นๆ ดาจะนั่งดูสนเล่นฟุตบอลพร้อมกับเอาน้ำมาให้ แต่ดาก็มักไม่ได้อยู่ดูจนสนเลิกเล่นทุกวันเพราะสนเลิกค่อนข้างมืด นั่งเชียร์อยู่สักพักก็กลับ บางทีดาก็พาเพื่อนๆ ของเธอมานั่งดูด้วย

แม้ว่าจะมีสาวๆ มาเชียร์อย่างนี้ สนก็ยังคอยมองหาต้นอยู่เสมอ เขารู้สึกว่าต้นทำให้เขามีกำลังใจมากกว่าสาวๆ กลุ่มนี้เสียอีก อย่างน้อย...ต้นก็จริงใจกับเขากว่าทุกคน แต่เขายังไม่ได้ไปขอโทษต้นเลย สนรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปคุยด้วย ต้นเองก็คอยหลบหน้าหลบตาเขา มันก็เลยไปกันใหญ่

------------------------------------------------------------------------------------------------

"ทำไมเดี๋ยวนี้พ่อไม่ค่อยเห็นสนมาบ้านเราเลยล่ะต้น" พ่อของต้นเอ่ยถามขณะอ่านหนังสือพิมพ์สบายๆ ในวันหยุด ต้นเงยหน้าจากการทำการบ้านแล้วก็หันมาคุยกับพ่อ

"สนเขาต้องซ้อมกีฬาครับพ่อ พอดีเขาเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน แล้วเดือนหน้านี้สนก็จะต้องไปแข่งระดับจังหวัดด้วยครับ" ต้นบอก แต่นั่นก็เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่งที่ต้นพอจะบอกพ่อได้

"อ๋อ...ถึงว่าล่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าสนเลย" พ่อว่าแล้วก็หันกลับมาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

แล้วต้นก็เดินมานั่งใกล้ๆ กับพ่อเพราะอยากจะถามอะไรบางอย่าง "พ่อครับ ตอนสมัยเด็กๆ พ่อเคยมีเพื่อนสนิทไหมครับ"

พ่อของต้นเงยหน้าขึ้นมองลูกชายด้วยความสงสัย "มีสิลูก มีหลายคนเลยทั้งสมัยประถม มัธยมหรือตอนเรียนมหาลัย"

"เหรอครับ แล้ว...ตอนเรียน พ่อเคยมีแฟนไหมครับ" ต้นถามต่อ

"มีสิลูก เรื่องธรรมดาของผู้ชาย เมื่อก่อนพ่อก็หล่อพอๆ กับต้นนี่แหละ มีสาวๆ ในโรงเรียนมาชอบเยอะเลย" พ่อบอกด้วยสีหน้าภูมิใจแต่ก็เริ่มสงสัยว่าต้นถามทำไม "มีอะไรหรือลูก ถามพ่อเรื่องนี้ทำไม หรือว่าต้นมีแฟนแล้ว"

"เปล่าครับ" ต้นรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน "ต้นแค่อยากรู้ว่าตอนที่พ่อมีแฟน พ่อยังสนิทกับเพื่อนๆ เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ"

"อ๋อ...ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ลูก แต่ก็เป็นธรรมดาที่พ่อต้องให้เวลากับแฟนมากหน่อย อย่างตอนที่พ่อเริ่มจีบแม่ของต้น พ่อก็ไม่ค่อยได้ไปหาเพื่อนเท่าไรหรอก แต่เพื่อนพ่อมันก็เข้าใจ พวกมันเองเวลามีแฟนมันก็ทำเหมือนพ่อนั่นแหละ เพราะว่าแฟนเป็นคนที่เราคาดหวังว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต เพราะฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องให้เวลากับเขา เรียนรู้และศึกษากันมากหน่อย"

"แล้ว...ตอนนี้พ่อยังสนิทกับเพื่อนๆ เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ"

"มันเป็นเรื่องธรรมดานะลูก คนเราพอแต่งงาน มีครอบครัว ก็เริ่มห่างจากเพื่อนฝูงเป็นธรรมดา บางทีก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ก็เลยไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเดิม ด้วยสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป อย่างเมื่อก่อนพ่อเคยสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งมากสมัยมัธยม แต่พอไปเรียนมหาลัยก็ไม่ค่อยได้เจอมัน ก็ห่างกันไป พ่อก็มีเพื่อนใหม่ สนิทกับเพื่อนใหม่ ส่วนเพื่อนพ่อคนนั้นก็เหมือนกัน แต่ก็มีเจอกันบ้าง คุยกันบ้าง อย่างเวลาเลี้ยงรุ่น พ่อก็ไป ก็ได้เจอเพื่อนๆ สมัยเรียน ก็ยังเจอกับมันเลย ก็ยังคุยสนิทกันดี"

ต้นพยักหน้าเข้าใจอย่างช้าๆ แล้วก็ตัดสินใจบอกพ่อว่า "สนเขามีแฟนแล้วนะพ่อ"

พ่อหันมามองต้นทันทีพร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย พ่อคงเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้นเป็นอะไร เพราะหลังๆ ต้นดูหงอยๆ ไม่ค่อยร่าเริง

"อืม...อันนี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งใช่ไหมลูกที่สนไม่ค่อยมาบ้านเรา" พ่อถาม ต้นพยักหน้าน้อยๆ

พ่อเอามือมาแตะไหล่ต้นพลางปลอบว่า "อย่าคิดมากน่ะต้น ตอนนี้สนเขาเพิ่งมีแฟน เขาอาจจะเห่อมากหน่อย สักพักเขาก็จะปรับตัวได้ ถ้าสักวันต้นมีแฟน ต้นก็อาจจะเป็นเหมือนสนก็ได้"

ต้นได้แต่พยักหน้าเข้าใจเพราะเขาก็ยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

"พ่อเชื่อว่ายังไงสนก็ไม่ทิ้งต้นหรอก พ่อดูออกว่าสนเขารักและเป็นห่วงต้นนะ พ่อว่าต้นโชคดีด้วยซ้ำที่มีสนเป็นเพื่อน พ่อเองก็ไม่เคยมีเพื่อนแบบสนเลย มีไม่กี่คนหรอกนะลูกที่จะมีเพื่อนดีๆ แบบนี้ ให้เวลาสนเขาหน่อย อย่างที่พ่อบอก สนเขาอาจจะเห่อเพราะเพิ่งมีแฟน สักพักเขาก็จะมาหาต้นเหมือนเดิม แต่อันนี้ก็ต้องดูกันไปนะลูก เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง"

คำปลอบใจของพ่อทำให้ต้นใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดีว่ามันจะเป็นอย่างที่พ่อบอกไว้หรือเปล่า ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนป่านนี้สนก็ยังไม่เคยมาคุยกับเขาอีกเลย ต้นเองก็ยังคงหลบหน้าหลบตาสนอยู่ ก็ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างมากขึ้นทุกทีๆ

------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่รู้วันที่เท่าไรแล้วที่เอกและเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องสังเกตเห็นต้นนั่งกินข้าวคนเดียว ปกติทุกคนจะรู้ว่าต้นจะนั่งกินข้าวเที่ยงกับสนเสมอ ก็เลยปล่อยให้สองคนนี้นั่งกินข้าวด้วยกันไป แต่พอสนมีแฟน ต้นก็เลยต้องนั่งคนเดียวแบบนี้

"เฮ้ย...ไงวะต้น เดี๋ยวนี้กูเห็นมึงนั่งกินข้าวคนเดียวแทบทุกวันเลยว่ะ แล้วไอ้สนเพื่อนรักของมึงไปไหนวะ" เอกถามขึ้นพร้อมกับวางจานข้าวที่เขาซื้อมาลงไปบนโต๊ะเดียวกับที่ต้นนั่งอยู่ แล้วก็นั่งลงข้างๆ กับต้น จริงๆ เอกก็พอรู้อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็แกล้งถามไปอยางนั้นแหละ

ต้นพยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของโรงอาหารที่สนกับดากำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน เอกมองตามแล้วก็หัวเราะ

"อ๋อ...มันมีแฟนนี่เอง มิน่าล่ะ กูไม่ค่อยเห็นมันมาหามึงเลย ไอ้นี่ใช้ไม่ได้เลย มีแฟนแล้วทิ้งเพื่อน" เอกว่าด้วยสีหน้าที่ไม่จริงจังนัก "เดี๋ยวกูกินข้าวเป็นเพื่อนมึงก็แล้วกัน"

ต้นยิ้มเศร้าๆ กับเพื่อน แต่ในใจของเขาก็รู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เอกพูดอยู่ไม่น้อย หลายครั้งที่ต้นอดที่จะน้อยใจไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงวันนั้นที่สนขอให้เขาไม่ต้องเอาน้ำไปให้อีกเพราะอายเพื่อน กลับไปบ้านวันนั้นต้นก็นอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ ต้นรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่นึกถึง

ตั้งแต่วันนั้น ดูเหมือนสนเองก็ไม่คิดสนใจที่จะมาพูดคุยถามไถ่อะไรเขาอีกเลย คงจะเป็นเพราะสนอายเพื่อนและไม่อยากถูกแซวว่าเป็นคู่เกย์กับเขาจึงทำให้สนห่างเหินไปนั่นเอง ยิ่งมีแฟนด้วยแล้วสนก็ยิ่งห่างหายไป มิตรภาพที่ดีๆ ระหว่างต้นกับสนจะจบลงแค่นี้เองหรือ...ทำไมมันช่างง่ายดายเหลือเกิน

------------------------------------------------------------------------------------------------

ในฐานะเพื่อนสนิทอีกคนของต้น เอกเห็นสภาพต้นที่ดูเหงาหงอยมาหลายวันแล้วก็ชักจะทนไม่ไหว เขาคงต้องช่วยต้นทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สถานการณ์ของเพื่อนสองคนนี้กลับมาเหมือนเดิมเร็วที่สุดแล้วล่ะ เอกก็เลยว่าจะเริ่มด้วยการทำให้สนรู้สึกผิดเสียก่อน

“เฮ้ยไอ้สน ทำไมเมื่อวานมึงไม่ไปช่วยต้นทำงานประดิษฐ์ส่งอาจารย์วะ พวกกูไปนั่งช่วยมันทำอยู่จนดึกแน่ะ” เอกร้องทักเมื่อเห็นสนเดินผ่านหน้าห้องเรียนไป

สนหยุดแล้วก็ตอบว่า “อ๋อ...พอดีช่วงนี้กูต้องซ้อมบอลทุกเย็นเลยว่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา” สนแก้ตัวพลางหลบสายตาเหมือนกลัวเอกจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ถ้ามีงานแบบนี้ สนจะไปช่วยต้นเสมอ เขาจึงรู้สึกผิดที่คราวนี้เขาไม่ได้ช่วยอะไรเพื่อนเลย 

“ไม่จริงมั้ง อย่าเอากีฬามาอ้างดีกว่า เดี๋ยวนี้พอมึงมีแฟนแล้วก็ลืมเพื่อนนะมึง กูเห็นไอ้ต้นมันมาโรงเรียนคนเดียว กินข้าวคนเดียวแล้วก็กลับบ้านคนเดียวทุกวันเลย เมื่อก่อนเห็นตัวติดกัน ไม่คิดว่ามึงจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยว่ะ” เอกต่อว่า

สนอยากจะเถียงว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้นเสียหน่อยแต่ก็ได้แต่เงียบ ไม่ตอบโต้ เห็นสายตาไม่ค่อยพอใจของเอกแล้วสนก็รู้สึกอึดอัด เขาถอนหายใจแล้วก็เดินหนีเข้าไปในห้องเรียนของเขาที่อยู่ถัดจากห้องของต้นไปอีกสองห้อง

ช่วงนี้เป็นช่วงพักเที่ยง มีเพื่อนนักเรียนหญิงที่กินข้าวเสร็จแล้วอยู่ในห้องเรียนสี่ห้าคนกำลังจับกลุ่มคุยกันเรื่องละครที่ดูเมื่อคืนนี้กันอย่างสนุกสนาน สนนั่งที่โต๊ะเรียนแล้วก็ครุ่นคิดโดยไม่สนใจคนอื่นๆ เขารู้สึกกลัวว่ามิตรภาพของเขากับต้นกำลังจะจบลง ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น เขาก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาไม่น่าพูดแบบนั้นเลย สนได้แต่โทษตัวเองในใจ

สนครุ่นคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง บางทีเขาควรจะไปหาและคุยกับต้น ไม่ใช่คอยหลบหน้าหลบตากันอยู่แบบนี้ พอหันไปทางห้องต้นก็เห็นต้นเดินมากับเพื่อนผู้ชายสองสามคนพอดี สนรีบเดินออกไปหา เขาพยายามจะยิ้มให้ต้น ต้นหยุดมองหน้าเขา เงียบและไม่พูดอะไร ต้นเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง สีหน้าของต้นเปลี่ยนไปเป็นเฉยชาและดูเศร้าๆ ปกติต้นจะมีความสุขเสมอเวลาเจอเขาหรือใช้เวลาด้วยกัน แต่สีหน้าแบบนี้ สนเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวด

ต้นไม่ได้พูดอะไรกับสนแม้แต่คำเดียว แล้วก็เดินเข้าห้องเรียนไป สนจึงได้แต่ยืนนิ่งยอมรับชะตากรรม เขายอมรับว่าคิดถึงต้นมาก ไม่ได้คุยกับต้นแค่วันเดียวเขาก็แทบแย่แล้ว แต่นี่...จะเป็นเดือนอยู่แล้ว เขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า เขามัวแต่กลัวว่าคนอื่นจะล้อ แต่กลับลืมคิดถึงความรู้สึกของคนที่เป็นเพื่อน เพื่อนที่รักและเป็นห่วงเขามาก เขาทำแบบนี้กับเพื่อนคนนี้ได้ยังไงกัน...

------------------------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมา เอกลงทุนมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อที่จะดักเจอกับสนที่หน้าห้องเพื่อคุยเรื่องของต้น พอเห็นสนเดินมาแล้ว เอกก็รีบร้องทัก

"สนมานี่หน่อยสิ กูอยากคุยอะไรด้วย"

วันนี้สนมาโรงเรียนคนเดียวเช่นเคย เป็นอย่างนี้มาเกือบเดือนแล้ว เขาไม่ได้มาโรงเรียนกับต้นเพราะต้นคอยหลบหน้าเขาตลอด สนเองก็ไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนเหมือนกัน

"มีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวเอาของไปเก็บก่อนได้ไหม" สนมองเพื่อนของต้นด้วยความสงสัย แต่ก็พอเดาออกว่าคงต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับต้นอย่างแน่นอน

เอกพยักหน้า พอสนเก็บกระเป่าเสร็จแล้วเอกก็พาสนลงไปนั่งที่ม้าหินอ่อนที่ยังไม่มีใครมานั่ง ตอนนี้เพิ่ง 7 โมงเช้า คนยังน้อยอยู่จึงไม่มีใครมารบกวน

"สน...กูไม่ว่าเลยนะเว้ยถ้ามึงจะมีแฟน แต่มึงก็ต้องให้เวลากับไอ้ต้นมันบ้างสิวะ" พอนั่งลงแล้ว เอกก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เข้าประเด็นทันที เล่นเอาสนอึ้งไปอีกรอบหลังจากที่เมื่อวานโดนเอกต่อว่ามาหยกๆ

"ไอ้ต้นมันเหงานะเว้ย กูสังเกตดูมาหลายวันละ ตอนกลางวันมันก็นั่งกินข้าวคนเดียว กลับบ้านมันก็กลับคนเดียว แถมเมื่อวานก่อนมึงก็ไม่มาช่วยมันทำงาน มันก็ทำไม่ค่อยจะเป็น มึงไม่สงสารมันบ้างหรือไงวะ มึงรู้ไหมว่ามันนั่งหน้าจ๋อย คอยมองหาแต่มึง ขนาดกูไม่ได้เป็นเพื่อนรักของมันเหมือนกับมึง กูยังสงสารมันเลย"

สนถึงกับจุกในลำคอ ใช่ว่าเขาจะไม่อยากไปหาต้น แต่พอปล่อยให้ความบาดหมางมันล่วงเลยมาขนาดนี้ เขากลับพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะไปสู้หน้าต้นได้

"ไม่ได้พูดเล่นนะเว้ยไอ้สน ที่กูมาบอกมึงเนี่ยเพราะกูทนสงสารมันไม่ได้ มันเป็นเพื่อนกับมึงมานาน ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น ที่จริงกูก็ไม่ต้องบอกมึงก็ได้นี่หว่า มึงก็รู้ดีอยู่แก่ใจเพราะมึงสนิทกับมันมากที่สุด แต่นี่มึงเล่นทำตัวห่างเหินไปแบบนี้ ไอ้ต้นมันยังปรับตัวไม่ได้นะเว้ย มึงต้องให้เวลามันบ้าง มีแฟนแล้วก็อย่าทิ้งเพื่อนสิวะ" ตอนท้ายเอกพูดเชิงตำหนิ

"กูไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะเอก กูจะทิ้งต้นทำไม ต้นมันเป็นเพื่อนรักของกูนะเว้ย" สนแก้ตัว แต่ใจก็รู้สึกผิดไปแล้ว

"ไม่รู้เว้ย แต่สิ่งที่มึงทำเนี่ย ถ้ากูเป็นเพื่อนมึงกูก็คงน้อยใจเหมือนกันแหละวะ ระวังนะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากเสียเพื่อนดีๆ ไป ก็แคร์มันหน่อยสิวะ ไม่งั้นมึงจะต้องมาเสียใจทีหลัง" เอกขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแล้วก็ถามว่า “ถามจริงๆ เหอะ มึงกับไอ้ต้นมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าวะ”

สนถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอคำถามนี้ สายตาเขาเหมือนคนซ่อนพิรุธบางอย่างไว้ แต่มาถึงวันนี้แล้ว สนต้องการคนช่วย เขาคิดว่าเอกน่าจะพอช่วยเขาได้ จึงได้ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เอกฟัง

พอฟังจบ เอกถึงกับสบถด่าสนด้วยความไม่พอใจ “ไอ้เ-ยเอ้ย มึงรู้ไหมว่ามึงพูดอะไรออกไป มิน่าล่ะ”

พอเอกเห็นสนทำหน้าเสียก็เลยนึกได้ว่าไม่ควรต่อว่าสนรุนแรงแบบนั้น “ขอโทษละกัน กูฟังแล้วกูโมโหว่ะ” เอกจ้องหน้าสนด้วยสายตาจริงจังแล้วก็แนะนำว่า “กูว่ามึงควรจะหาโอกาสขอโทษไอ้ต้นให้เร็วที่สุด ทิ้งไว้แบบนี้ ไอ้ต้นมันจะคิดว่ามึงไม่แคร์มัน แล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ยากนะเว้ย อย่าหาว่ากูไม่เตือน”

สนพยักหน้าเห็นด้วยช้าๆ “กูก็คิดอย่างนั้น แต่กูไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง” สนบอกความกังวลของเขาออกไป

“โหไอ้นี่ มึงยังอยากเป็นเพื่อนกับไอ้ต้นมันอยู่หรือเปล่าวะ มึงสองคนสนิทกันขนาดนั้น มันจะยากตรงไหนวะที่จะขอโทษกัน” เอกตำหนิอีกแล้ว แต่เขาก็เป็นคนปากร้ายแต่ใจดี “คิดดูดีๆ นะเว้ย ที่จริงกูก็ไม่อยากยุ่งหรอก ไม่ใช่เรื่องของกู แต่กูสงสารไอ้ต้นมัน แล้วก็เสียดายแทนพวกมึงด้วย เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน จะมาบาดหมางใจกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ทำไมวะ”

สนพยักหน้าแล้วก็ถอนใจด้วยความหนักใจ มันคงถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาต้องเสียเพื่อนรักไปอย่างแน่นอน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ต้นก็คงคิดว่าเขาไม่สนใจใยดี สุดท้ายแล้วมิตรภาพที่เคยสร้างกันมาก็คงจบลงจริงๆ

“กูจะพยายามละกัน ยังไงกูไม่อยากเสียเพื่อนคนนี้ไป” สนบอกโดยไม่หันไปมองหน้าเอก เขารู้ว่าเขาควรจะเลิกกลัวได้แล้ว เพราะการสูญเสียเพื่อนอย่างต้นไปนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เขาคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยถ้าเกิดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2012 07:22:12 โดย sarawatta »

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
สงสารต้น   :angry2: สนพูดงี้ได้งัยอ่ะ

เพื่อนเอกน่ารักจริงเลย   :กอด1: 

เดี๋ยวให้เปลี่ยนตัวพระเอกเลย ชิส์  :a14:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
สน ไม่นึกถึงความรู้สึกต้นเลย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนนี้คนเขียนขาจะขวิดกันแล้วครับ งานยุ่งมากๆ
อยากจะมาอัปเดตใจแทบขาดแต่ก็ยังหาเวลาไม่ได้เลยครับ
รออีกสักนิดนะครับ  :monkeysad:

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
กลับมาอ่านอีกครั้ง
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2012 14:58:04 โดย ordkrub »

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


 :mc4: :mc4: :mc4:

ได้มีโอกาสมาอ่านอีกครั้งแล้วค่ะ

สนุกมากมายเหมือนเดิม ชอบอะยิ่งอ่านมันยิ่งเพลิน

ชอบต้นจัง เป็นนายเอกในดวงใจเราคนหนึ่งเลยนะเนี่ย ไม่มากเรื่อง เรื่องเยอะ อิอิ ชอบ

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะค่ะ ขอให้งานย่งๆผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วว่างมาอัพต้นสนให้ได้อ่านกันนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ +1

 :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันเอาตอนนี้มาลงครับ ยอมโดนด่านิดหน่อยที่ออกไปสาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ซีเรียสมาก
ส่วนเรื่อง "รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต" ขอติดไว้ก่อนนะครับ

ป.ล.
พอเอามาลงใหม่ ก็รู้สึกว่าคงไม่ใช่การเขียนแบบชิลๆ แล้วล่ะ ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกันเพราะต้องแก้หลายอย่าง
แต่ก็จะเต็มที่กับมันครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนและเป็นเรื่องที่รักมากอีกเรื่องหนึ่ง

----------------------------------------------------

ตอนที่ 7: เพื่อนแท้หรือแค่เหงา



ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ สนกลับมาจากแข่งกีฬาที่จังหวัดแล้ว ได้รางวัลที่หนึ่งมาด้วย ทำให้โรงเรียนภูมิใจน่าดู สนก็ภูมิใจเช่นกัน แต่เขาคงรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าต้นได้มาแสดงความยินดีกับเขาด้วย ตั้งแต่ที่เขาคุยกับเอกวันนั้น สนก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องการแข่งขันกีฬาอยู่ เขากับต้นก็ยิ่งห่างเหินกันมากขึ้น ห่างเหินจนรู้สึกว่าอีกไม่นานมิตรภาพที่ร่วมกันสร้างมาคงจะต้องจบลงไป

กลับมาโรงเรียนวันแรก การเรียนของสนก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางนักเพราะโรงเรียนจัดกิจกรรมแสดงความยินดีกับทีมฟุตบอลของโรงเรียนในตอนเช้า สนเริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองจริงๆ ก็ตอนพักกินข้าวเที่ยง ดาก็กินข้าวกับเขาอีกเช่นเคย จะว่าไปแล้ว สนก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงอยากมีแฟน หรือจริงๆ ก็เป็นแค่แรงยุของเพื่อนๆ อันที่จริงนั้นสนก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาอยากมีแฟนหรือเปล่า แต่เมื่อตกกระไดพลอยโจนแล้วเขาก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ขณะที่สนพาดาไปเลือกซื้ออาหารอยู่นั้น เขาก็เจอกับต้นโดยบังเอิญพอดีเพราะต้นก็กำลังซื้ออาหารกลางวันอยู่กับเอก

“ต้น” สนร้องเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงดีใจ เขาไม่ได้คุยกับต้นนานเป็นเดือนแล้ว ไม่เคยได้เห็นต้นในระยะใกล้ๆ แบบนี้เลยตั้งแต่วันนั้น

ต้นหันมามองตามเสียง พอเห็นว่าเป็นสนแล้วสีหน้าของต้นก็เปลี่ยนไป แววตาของต้นดูหมางเมิน ตัดพ้อ เศร้า เจ็บปวดและยังมีอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ยิ่งเห็นว่าสนมากับแฟนแล้วต้นก็ยิ่งรู้สึกเช่นนั้นมากขึ้น

"เฮ้ยไอ้ต้น มึงไม่ต้องกลัวนะเว้ย ใครไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึง...ช่างมัน มึงเป็นเพื่อนกับกูดีกว่า แล้วมึงจะลืมเพื่อนคนอื่นๆ ที่มึงเคยมีมาทั้งหมดเลยแหละ" เอกพูดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ รู้สึกขัดใจสนอยู่เหมือนกันที่ไม่ยอมจัดการอะไรให้มันจบๆ เสียที มัวแต่กลัวแล้วก็ปล่อยไว้อยู่แบบนี้ เขาคงต้องทำให้สนรู้สำนึกเสียบ้าง

ดูเหมือนจะได้ผลเพราะสนหันมามองเอกแล้วก็ขมวดคิ้ว

"มึงพูดอะไรวะไอ้เอก"

"เรื่องของกู" เอกบอกพลางยักคิ้วล้อเลียน "ต้นเพื่อนรัก ไปดูร้านนั้นบ้างดีกว่า"

ถ้าไม่ติดว่าถือจานอาหารอยู่ เอกก็คงจะกอดคอต้นเย้ยสนไปแล้วล่ะ แต่จริงๆ เอกไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก แค่สนเห็นเอกกับต้นเดินหนีไปด้วยกันก็ทำให้สนรู้สึกอิจฉาได้แล้ว

สนจึงได้แต่มองตามสายตาละห้อยเพราะไม่กล้าตามไป แม้กระทั่งเวลากินข้าว สนก็คอยเหลือบมองหาต้นอยู่บ่อยๆ จนสนเริ่มจะทนไม่ไหว เขารู้สึกคิดถึงต้นเหลือเกิน อยากคุยกับต้น อยากเห็นต้นยิ้ม อยากได้มิตรภาพที่สวยงามกลับคืนมาเหมือนเดิม สนเพิ่งรับรู้ว่าต้นมีความหมายกับชีวิตของเขามากเพียงใดเพราะต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ต้นมีความหมายมากกว่านั้น สนไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่า...เขาขาดต้นไม่ได้จริงๆ

"พี่สนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" ดาถามขึ้นขณะที่เห็นสนเหลือบหันไปมองต้นบ่อยๆ

"อ๋อ...เปล่า" สนปฏิเสธ แต่อาการของเขาก็ฟ้องพิรุธหลายอย่างอยู่ดี

"ไม่จริงหรอก ดาเห็นพี่สนมองไปทางพี่ต้นบ่อยๆ มีอะไรกับพี่ต้นหรือเปล่าคะ"

สนขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าดาจะสังเกตเห็นอาการนี้ของเขาด้วย แสดงว่าเขาคงแสดงออกชัดเจนมากจนคนรอบข้างรู้สึกได้

"อย่าบอกนะว่า...ที่ดาเคยได้ยินพวกเพื่อนๆ ของพี่สนเขาล้อกันจะเป็นเรื่องจริง"

"ดา...อย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ พี่ไม่ชอบ" สนบอกเสียงดุอย่างไม่ชอบใจ สีหน้าของสนเครียดขึ้นจนเห็นได้ชัด

พอถูกแฟนต่อว่าแบบนี้ดาก็คงจะไม่พอใจบ้าง แต่พอเห็นสายตาที่ฉายแววไม่พอใจของสนแล้วดาก็เลยต้องเงียบ เธอไม่เคยเห็นสนทำสีหน้าดุแบบนี้มาก่อนเลย แต่มันก็น่าสงสัยจริงๆ นี่นา เห็นมองไปที่ต้นเป็นสิบๆ รอบแล้ว จะบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไงกัน

"ค่ะ" ดาตอบสั้นๆ แต่ก็ยังคอยแอบสังเกตต้นกับสนอยู่เนืองๆ

-------------------------------------------------------

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ฝนก็เริ่มโปรยเม็ดลงมา เด็กนักเรียนวิ่งกลับห้องของตัวเองกันจ้าละหวั่น สนกับเพื่อนๆ ต่างก็วิ่งกรูกันกลับขึ้นมาบนห้อง พอสนนั่งประจำที่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นกระดาษอะไรบางอย่างใต้โต๊ะเรียน พอหยิบออกมาดูก็เห็นข้อความเขียนไว้ว่า

“ดีใจด้วยนะเพื่อนรักที่นายแข่งฟุตบอลชนะ ขอให้นายประสบความสำเร็จแบบนี้ต่อไป ถ้าเราทำให้นายลำบากใจก็ขอโทษนะ ขอบคุณมากๆ ที่เราได้เป็นเพื่อนกัน เราจะไม่ลืมนายเลย”

แม้คนเขียนจะไม่ได้ลงชื่อไว้ สนก็รู้ว่าใครเขียนข้อความนี้ เขาจำลายมือของต้นได้เป็นอย่างดี สนรู้สึกจุกในลำคอขึ้นมาทันที ประโยคท้ายสุดนั้นต้นหมายความว่าอย่างไร ต้นกับเขาจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกต่อไปแล้วหรือ ไม่สิ...มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น เขาทนไม่ได้หรอกที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น

"ต้น..." สนเรียกชื่อเพื่อนเบาๆ กับตัวเอง

สนเก็บกระดาษข้อความนั้นใส่กระเป๋าเสื้อนักเรียนแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนคนอื่นๆ ที่คุยกันอยู่ สนวิ่งเข้าไปในห้องเรียนของต้น กวาดสายตาหาจนทั่วก็ไม่เห็นต้น จึงละล่ำละลักถามเพื่อนต้นในห้องว่า “ต้นไปไหน มีใครเห็นต้นบ้าง”

“ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษายังไม่กลับเลย” เสียงเพื่อนร่วมห้องของต้นคนหนึ่งตอบมา

สนไม่รอช้า รีบวิ่งฝ่าสายฝนไปตามหาต้นทันที แม้ว่าจะต้องเปียกปอนแค่ไหน สนขอแค่ได้เจอต้นตอนนี้เท่านั้น

สนเดินแกมวิ่งพลางสอดส่ายสายตาไปทั่วอาคารที่เขาคาดว่าต้นน่าจะมาที่นี่ เขาวิ่งไปทั่วชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสามแล้วก็วิ่งลงมาข้างล่างอีกครั้ง มองไปอีกด้านหนึ่งของโถงทางเดิน สนก็เห็นใครบางคนเดินไปอีกทางหนึ่ง แม้จะเห็นแค่หลังสนก็รู้ว่านั่นคือต้น สนไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปทันที

พอถึงตัวแล้วสนก็คว้าต้นมากอดไว้ในลักษณะรวบแขนทันที ต้นตกใจพอสมควร แต่สักพักต้นก็นิ่งเพราะพอจะเดาได้ว่าใครที่กำลังกอดเขาไว้ ต้นยิ้มเล็กน้อยด้วยความดีใจที่รู้ว่าสนยังคิดถึงเขาอยู่

“ต้น...ขอบคุณนะ เราได้อ่านแล้ว” สนพูดพลางกอดต้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าต้นจะหนีเขาไปไหนอีก

"สน...คนเขามองกันใหญ่แล้ว" ต้นเตือนเสียงเบา

"เราไม่สนใจใครทั้งนั้นแล้วต้น ต่อให้คนทั้งโรงเรียนมันล้อ เราก็จะไม่สนใจ นายสำคัญที่สุดนะต้น รู้ไหมต้น...นายสำคัญที่สุด"

ต้นยิ้มแหยๆ ด้วยความเขินอายเพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองกันใหญ่ "เรารู้...แต่ว่า..."

"เราขอโทษนะต้น ขอโทษกับสิ่งแย่ๆ ที่เพื่อนคนนี้ทำลงไป เราจะไม่ทำอย่างนี้อีก เราสัญญา ยกโทษให้เรานะต้น ถ้านายไม่ยกโทษให้เรา เราก็จะกอดนายไว้แบบนี้แหละ"

"เราไม่โกรธนายแล้ว เรายกโทษให้" ต้นรีบบอกทันที ถึงจะรู้สึกดีแค่ไหนที่สนกอดเขาแต่มันก็ไม่ควรเป็นสถานที่แบบนี้ เผลอๆ ถ้าเกิดครูคนไหนเดินมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องได้

สนจึงยอมปล่อยต้น แต่เขาก็จับไหล่ต้นให้หันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างค่อยๆ ยิ้มให้กัน กว้างขึ้นและกว้างขึ้น ทั้งดีใจ ตื้นตันใจและก็เสียใจกับสิ่งที่เคยผิดพลาดไป

"เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะต้น เราขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง"

ต้นพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม เขารักเพื่อนเขาขนาดนี้ ทำไมแค่นี้จะให้อภัยไม่ได้ล่ะ

"ต้น...เราดีใจที่สุดในชีวิตเลย" สนว่าพลางกระโดดกอดเพื่อนแน่น แต่แล้วเขาก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นต้นพลอยเปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วย

“นายเปียกหมดเลยต้น เราขอโทษ ทำไงดีล่ะ”

ต้นก้มดูเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ขำบ้าง “ไม่เป็นไร ดีเหมือนกัน ดูท่าฝนจะไม่หยุดตกง่ายๆ เราขี้เกียจรอแล้ว ไปกันดีกว่า” ต้นพูดพร้อมกับให้สัญญาณว่าเขาพร้อมแล้ว

"เอางั้นเลยเหรอ เดี๋ยวนายจะไม่สบายนะ เดี๋ยวแม่เราด่าตายเลยถ้ารู้ว่าทำให้นายไม่สบาย" สนเตือนแล้วก็ขำในตอนท้าย

"เราไม่ป่วยง่ายขนาดนั้นหรอกน่า" ต้นยืนยันแล้วก็เป็นคนเริ่มวิ่งออกไปก่อน

สนรีบวิ่งตามมาทันที สองหนุ่มน้อยวิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ โลกกลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อเขาสองคนได้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

สนพาต้นวิ่งฝ่าสายฝนกลับมาที่อาคารเรียน ต่างคนต่างเปียกโชกไปทั้งตัว สนมาส่งต้นที่ห้องก่อน ก่อนจะแยกย้ายสนก็ทิ้งท้ายไว้ว่า

"เวลาเราซ้อมฟุตบอล เอาน้ำมาให้เราเหมือนเดิมนะ"

"อ้าว...แล้วแฟนนายล่ะ" ต้นท้วง

"เขาไม่ค่อยมานั่งรอเราแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยากให้นายไปนั่งให้กำลังใจเรามากกว่า...จริงๆ นะต้น"

ท่าทางอ้อนๆ แบบนั้นทำให้ต้นต้องยอมแพ้มานักต่อนักแล้ว ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน ต้นจึงยิ้มและพยักหน้าตกลง

ทั้งบ่ายนั้น ต้นกับสนจึงนั่งเรียนไปหนาวไป แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้เพื่อนที่แสนรักกลับคืนมาหรอก ทั้งคู่จึงนั่งเรียนไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เป็นที่สงสัยของเพื่อนๆ ในห้องยิ่งนัก

------------------------------------------------------------------------------------------------

เลิกเรียน สนก็กลับบ้านพร้อมกับต้นเป็นครั้งแรกในรอบเดือนกว่าที่ผ่านมา เขาดูมีความสุขมากทีเดียวที่ได้มีโอกาสทำแบบนี้อีกครั้ง เขายอมรับว่าเขาคิดถึงเพื่อนมาก ระหว่างที่สนซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับจากโรงเรียน สองหนุ่มคุยกันเสียงดังมาตลอดทาง

พอถึงบ้าน พ่อกับแม่ของต้นดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นสนกลับมากับต้นหลังจากที่ห่างหายไปนาน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร สนชวนต้นมานั่งคุยกันตรงสะพานเล็กๆ ที่พาดข้ามคลองส่งน้ำหน้าบ้านของต้น หกปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขารู้สึกผูกพันกับมันมากทีเดียว

ตะวันยามเย็นกำลังตกดิน ดวงอาทิตย์ดูกลมโตกว่าเดิมหลายเท่ากว่าตอนที่มันอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมกับแสงที่อ่อนแรงลง รอบๆ บริเวณนี้มีหมู่บ้าน ทุ่งนาและเรือกสวนต่างๆ อยู่ทั่วไป ความสวยงามตามธรรมชาติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อหามาเลย

“นายเหงาหรือเปล่าต้น” สนเริ่มคำถาม

“ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว” ต้นรีบตัดบท

“แต่เรารู้สึกผิดไงต้น เราสนิทกัน เจอกัน คุยกันทุกวัน แต่อยู่ๆ เราก็หายไป เรารู้ว่านายต้องคิดถึงเรามากแน่ๆ เลย แต่เรากลับทำเหมือนไม่สนใจใยดี”

“ไม่เอาสน อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิ เราบอกว่าเราเข้าใจแล้วไง เราจะเหงาบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก คนมีแฟนก็ต้องให้เวลากับแฟนมากหน่อยเป็นธรรมดา”

สนเงียบ มองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ แม้เขาจะยอมรับว่าผิดแต่ต้นก็เข้าใจเขาเสมอ

"ต้น...นายรู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้เป็นเพื่อนกับนายมาได้นานจนถึงหกปี" แล้วสนก็เฉลยทันทีว่า "เพราะนายเข้าใจเราไงต้น เราอยู่กับนายแล้วเราสบายใจ จริงๆ นายจะด่าเราก็ได้ แต่นายก็ไม่ทำอย่างนั้น”

"คนเรา...ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วก็ต้องให้อภัยกันได้สิ"

สนพยักหน้าเข้าใจ "นายไม่น้อยใจใช่ไหมที่เราต้องให้เวลา...กับดา" สนถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่มั่นใจ

"ไม่ต้องห่วงเราหรอก มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าเรามีแฟนเราก็อาจจะเป็นเหมือนนายก็ได้ ใครจะรู้" ต้นบอกพลางขำ

"จะเอาคืนเหรอ" สนหัวเราะแล้วก็พูดต่อว่า "ขอบใจนะที่นายเข้าใจเรา นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราจริงๆ" แล้วสนก็ทำหน้าเศร้า "บางทีเราก็ใจหายนะต้น เรายังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะได้เรียนต่อไหม หรือจะไปอยู่ที่ไหนหลังจากจบ ม.6 แล้ว"

"ทำไมล่ะสน นายจะไม่เรียนต่อเหรอ หรือว่านายจะย้ายไปอยู่ที่อื่น" ต้นถามด้วยสีหน้ากังวล แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็อดที่จะใจหายเมื่อได้ยินเช่นนั้นไม่ได้

"ตอนนี้เราก็ยังบอกอะไรไม่ค่อยได้ พ่อกับแม่เราไม่รู้ว่าจะหาเงินให้เราเรียนต่อมหาลัยได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือก็อาจจะต้องออกมาหางานทำช่วยพ่อกับแม่ อาจจะทำที่นี่หรือไม่ก็อาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เราไม่รู้อนาคตของเราเลย แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะต้น เราลำบากมาเยอะแล้ว จะลำบากอีกสักแค่ไหนเราก็ไม่กลัวหรอก เรากลัวแค่อย่างเดียวเท่านั้นตอนนี้..." สนหันไปมองต้นด้วยสายตามีความหมายบางอย่าง

"อะไรล่ะ" ต้นถามด้วยความอยากรู้

"ก็...กลัวว่าเราจะต้องไปจากนายแล้วไม่ได้เจอกันอีกไงล่ะ" สนบอกด้วยเสียงเศร้า

"จริงเหรอ...." น้ำเสียงต้นเศร้าด้วยความใจหาย “แต่ถ้านายมีเวลาก็มาหาเราได้นะ เรายังเป็นเพื่อนนายเหมือนเดิม”

สนยิ้มด้วยความรู้สึกอุ่นใจ คิดแล้วก็นึกโมโหตัวเองที่เขามัวแต่ให้เวลากับแฟนมากไปจนลืมเพื่อนของตัวเอง เพื่อนดีๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก ดีนะที่ต้นไม่น้อยใจแล้วก็เลิกคบกับเขาไปเลย ถึงตอนนั้นมีแฟนสิบคนก็คงทดแทนเพื่อนคนนี้ของเขาไม่ได้

"ไปกินข้าวกันเถอะ แม่ออกมาเรียกแล้ว" ต้นบอกเพื่อน

เขาลุกขึ้นก่อน สนลุกขึ้นตามแล้วก็กอดคอพาต้นเดินเข้าไปในบ้าน

------------------------------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายดากับสนก็คบกันไปไม่ได้นานเพราะสนค่อยเริ่มค่อยๆ ปลีกตัวห่างออกมา จริงๆ เขาไม่ได้อยากมีแฟนเลย แต่พอเพื่อนแซวเขากับดาบ่อยเข้าก็เลยชอบกันไปตามแรงยุของเพื่อน แต่ตอนนี้ สนอยากมีเวลาให้กับต้นมากกว่าใครทั้งหมด เพราะเขาไม่มั่นใจกับอนาคตของตัวเองเลยว่าจะได้เรียนต่อหรือไม่ เขาอาจจะต้องจากต้นไปและไม่ได้เจอกันอีก เพราะฉะนั้น เขาจึงอยากใช้เวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ อยู่กับเพื่อนที่เขารักให้มากที่สุด

พอต้นรู้ข่าวเข้าก็เริ่มไม่สบายใจเพราะคิดว่าตัวเขาเองเป็นเหตุให้สนกับแฟน ต้องเลิกกัน ตอนเลิกเรียนก่อนที่สนจะลงซ้อมกีฬาในสนาม ต้นก็รีบเข้าไปคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ทันที

"สน...เราได้ยินเพื่อนๆ มันพูดกันว่านายเลิกกับดาเหรอ"

สนเงยหน้าขึ้นมองขณะที่กำลังผูกรองเท้าผ้าใบอยู่ข้างสนามหญ้าหน้าโรงเรียน เขาพยักหน้าและตอบสั้นๆ ว่า "อือ"

ต้นงงหน่อยๆ ตรงที่สนไม่ได้แสดงท่าทางเสียใจอะไรเลย "ทำไมล่ะสน เพราะเราหรือเปล่าล่ะ" ต้นถามด้วยความกังวลใจ เขารู้สึกไม่ดีเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเหตุทำให้เพื่อนเลิกกับแฟน สนทำท่าครุ่นคิดแต่ก็ไม่ตอบคำถามทันที

"เราขอโทษนะสนถ้าเราเป็นต้นเหตุ แต่เราไม่เคยมีเจตนาที่จะทำให้นายต้องเลิกกับแฟนเลยนะสน" ต้นอธิบาย

สนยิ้มน้อยๆ แล้วบอกเพื่อนไปว่า "นายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรอกต้น จริงๆ เราก็ไม่ได้อยากมีแฟนหรอกนะ แต่...ไม่รู้ยังไง มันก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหละ ดาเองเขาก็มีคนมาชอบเยอะแยะ เขาก็ไม่ได้ชอบอะไรเราเท่าไรหรอก นายว่าดีไหมล่ะ เราจะได้มีเวลาให้กับนายมากขึ้นไง”

สนมองหน้าเพื่อนแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หม่นลงว่า “เราไม่รู้เลยว่าหลังจากจบ ม. 6 แล้วเรายังจะได้เจอกันอีกไหม ไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ในโรงเรียนนี้ ในหมู่บ้านนี้ อยู่เป็นเพื่อนกับนายให้มากที่สุดนะต้น"

สนพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ต้นรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ได้ยิน อีกไม่นานสนจะต้องจากเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ

“นายจะไปไหนล่ะสน นายจะไปจริงๆ เหรอ” ต้นถามอย่างใจหาย

สนถอนหายใจแล้วก็ตอบไปว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรากลัวมันจะเป็นอย่างนั้น ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินเยอะนะต้น เราคงไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ หรอก แค่นี้ก็ดีถมไปสำหรับเราแล้ว”

น้ำเสียงของสนดูเศร้าจนต้นใจคอไม่ดี

“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” สนบอกเมื่อเพื่อนคนอื่นๆ เรียกให้ลงไปในสนาม

ต้นนั่งดูเพื่อนเล่นฟุตบอลพลางครุ่นคิดหาหนทางที่จะให้สนได้เรียนต่อ ถ้าสนไม่เรียนต่อ อนาคตของสนจะเป็นอย่างไร ต้นเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ เขาอยากเห็นสนมีอนาคตที่ดี แต่เพื่อนตัวเล็กๆ อย่างเขาจะช่วยอะไรได้บ้างไหม มันคงต้องมีหนทางบ้างสิ ขอให้ต้นรู้เท่านั้น ต้นจะไม่รอช้าที่จะช่วยเพื่อนที่เขารักทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2012 19:44:15 โดย sarawatta »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด