ตอนที่ 27
ไม่รู้ทำไมตอนนี้ผมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนงี่เง่าที่กำลังรู้สึกไม่พอใจที่คนรักของตัวเองกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง...
ผมขมวดคิ้วมองดูสอง'พ่อลูก'ที่กำลังคุยกันผ่านทางกระแสจิตอย่างหงุดหงิดทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้แท้ๆ แย่จริงๆเลย นี่คงเป็นเพราะความรู้สึกเล็กๆที่กำลังเติบโตอยู่ในอกของผมตอนนี้ใช่รึเปล่านะ?
ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าผมจะมาหวั่นไหวไปกันคนที่ไม่สมควรไว้ใจมากที่สุด คนที่ทำร้ายผมมามากทีเดียวในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้...บางทีสมองผมคงมีอะไรผิดปกติ คงต้องรีบหาโอกาสไปพบหมอ
ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ....
ผมถดตัวออกมาจากห้องทำงานของพี่ศรเงียบๆ เดินลัดเลาะไปตามแนวสวนหย่อมเล็กๆที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ามีอยู่บนชั้นนี้ด้วยเรื่อยๆ มันเป็นสวนหินแบบญี่ปุ่น มีน้ำตกเล็กๆด้วยสงบร่มรื่นแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆในเมืองใหญ่แบบนี้ผมชอบมาที่นี่บ่อยๆในระหว่างที่พี่ศรเคลียร์งาน
ผมเดินดุ่มๆไปนั่งลงบนเบาะแบบญี่ปุ่นเล็กๆบนศาลากลางสวน เหยียดขายาวเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหลับตาลงและเริ่มปรับจังหวะหายใจให้คงที่
จิตใจของผมล่องลอยไปไกล ในหัวตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า สายลมจากเครื่องปรับอากาศที่ทำออกมาได้เหมือนอากาศธรรมชาติมากที่สุดพัดให้เส้นผมที่เริ่มยาวของผมปลิวสะบัด สงสัยหลังไปหาหมอต้องไปตัดผมซะแล้ว....
ผมนั่งอยู่นานแค่ไหนไม่ทราบแต่พอลืมตาขึ้นผมกลับพบว่าใบหน้าของใครบางคนกำลังจับลอยอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบผมเกือบจะป้องกันตัวเองอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าใบหน้านั้นเป็นของคนที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักเขาอยู่ละก็
"กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ"ริมฝีปากหนาโฉบลงมาเตะเบาบางบนริมฝีปากของผมแช่อยู่สักพักจึงได้ถอนออกมาถอยระยะห่างพอให้เห็นถึงดวงตาแพรวพราวที่จงใจส่งมาให้อย่างชัดเจน
"เรื่อยเปื่อยน่ะครับ..."ผมถอนหายใจแสหลบสายตาคมวาวแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พลัน..ตอนนั้นเองผมได้กลิ่นเหม็นเอียนอะไรสักอย่างลอยมาตามลม เหม็นมากจนรู้สึกคลื่นไส้
ผมมองไปรอบๆเดินตามกลิ่นเหม็นน่าเวียนหัวนั่นไป และเจอเข้ากับคุกกี้อบใหม่หอมฉุยที่แม่บ้านคนใหม่ถือขึ้นมา ผมย่นจมูกทันทีที่ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์
"คุ้กกี้อะไรน่ะครับป้านวล"ผมให้มือปิดจมูกรู้สึกได้ถึงความคลื่นเหี้ยนที่ลอยมากระจุกอยู่ในลำคอ ใจจริงกะจะรอให้ป้านวลแกตอบคำถามอยู่นะ แต่ดูเหมือนสิ่งที่มากระจุกอยู่ในลำคอของผมจะรอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ผมเดินเร็วๆไปทางห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด เปิดเข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่หรือไม่ ตรงเข้าไปในห้องในสุดปิดปล้วล็อกกลอน
ผมอาเจียนเอากาแฟขมๆน้ำย่อยเปรี้ยวๆออกมาจนหมด แต่ก็ยังไม่หายคลื่นไส้ ผมคุกเข่าลง ข้างโถส้วม หอบสูดหายใจเร็วๆเรียกเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด รู้สึกเหมือนร่างกายหมดเรี่ยวแรงกระทันหัน
ผมนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้น จึงกดชักโครกแล้วออกมาล้างปากเอาความรู้สึกขมๆให้มันออกจากปากไป
"คุณเป็นอะไรกับพ่อของผม"ผมที่กำลังล้างหน้าล้างตาอยู่หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองผ่านกระจก เมื่อเห็นว่าเป็นใคร แน่แล้ว ผมจึงจำต้องปล่อยให้รสขมปร่าค้างอยู่ในปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างเต็มตา
"อะไรนะครับ?"ผมย้ำคำถาม เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้นี้ถูกถามว่าอะไร เคยเป็นไหมครับที่เวลาจดจ่ออยู่กับอะไรมากๆมีใครมาพูดอะไรเราจับใจความไม่ได้หรอกครับว่าเขาพูดหรือถามอะไรกับเราจนต้องถามใหม่อีกรอบ หรือเอาง่ายๆเขาเรียกกันว่าอาการเหม่อลอยน่ะแหละครับ
"คุณเป็นอะไรกับพ่อของผม?"'ลูกของพี่ศร'ถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็งกร้าว ไม่มีมารยาทเอาเสียเลยนะครับเด็กสมัยนี้ทั้งๆที่เอาจริงๆแล้วผมเองอายุอานามพอๆกับพ่อของเขาแท้ๆ
"แล้วทำไมไม่ไปถามคุณพ่อของคุณล่ะครับ?"ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้าเด็กหนุ่มร่างสูง มีเค้าโครงหน้าหลายส่วนคล้ายพี่ศร โดยเฉพาะดวงตากับจมูก ปั้นรอยยิ้มการค้าที่ใช้ประจำในหน้าที่เลขาขึ้นประดับมบหน้า ถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"ผมแค่ต้องการรู้คำตอบจากคุณ ว่าจะเหมือนกับพ่อของผมรึเปล่า?"ผมหรี่ตาลง เด็กนี่เข้าใจเล่นถามคำตอบคำกับผมดีจริงๆท่าทางความฉลาดเองก็คงได้พี่ศรมาด้วยสินะ
"ผมเป็นเลขาของเขาครับ"ผมตอบกลับไปยิ้มๆ ไม่สนใจสายตาที่เริ่มเชือดเฉือนของอีกฝ่าย"แล้วก็...เป็นคู่นอนในบางโอกาส..."
สายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าเริ่มแข็งกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว ในดวงตาคมปลาบนั้นมีแววบางอย่างที่ทำให้ผมสะกิดใจจนต้องหรี่ตาลง อย่างพิจรณา ผมเคยเห็นดวงตาแบบนั้นมาจากที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ...?
"หึ! คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมกับคำว่า'คู่นอน'ที่พูดออกมานั่นน่ะ?"เขาลดดวงตาแข็งกร้าวลงเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นปนไปกับความ...สงสาร?
"สถาณะขอเราเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ"ผมตอบ ยืนยันในคำพูดของตัวเอง แม้จะเริ่มรู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างในตัวกำลังแกว่งไปมาอย่างน่าหวาดเสียวในตัวของผมทันทีที่ริมฝีปากขยับคำว่าคู่นอนออกมา
อา...ความแปรปรวนของผมทำพิษอีกแล้วสินะ
"ระวังไว้ละกันคุณเลขา...ระวังหัวใจของคุณ"เขาเดินเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงมาเล็กน้อยให้สายตาประสานกันในระยะใกล้"พ่อของผมน่ะ ไม่มีหัวใจหรอกนะ...."น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวดสายหนึ่ง ที่ผมคุ้นเคยดี มันคล้ายกันมาก กับเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก นั่นทำให้ผมนิ่งงันไป
เด็กหนุ่มฉวยโอกาสที่ผมเบลอๆโฉบริมฝีปากลงมากดแน่นบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ก่อนจะถอนออกไปในชั่วพริบตา
ผมยืนงงไม่เข้าใจกับการกระทำอุกอาจของเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกระจ่างในวินาทีต่อมา เมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากไปกดจูบลงบนกกหูของผมพร้อมกระซิบถ้อยคำที่เหมือนกับฟ้าที่ผ่าลงมากลางหัว
"รู้อะไรไหม...แม่ของผมเองก็เคยเป็นเหมือนคุณน่ะแหละ"
"ทำอะไรกันน่ะ..."ประตูห้องน้ำถูกเปิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ร่างสูงที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอีกครา
"ไม่มีอะไรหรอกครับ ป๊า"เด็กหนุ่มถดตัวออกไปจากตัวผม ยิ้มบางๆให้พ่อของตัวเอง ก่อนจะเดินผ่านหน้าของเขาออกจากห้องน้ำไป
ก่อนจะไปยังไม่วายส่งคำพูดผ่านปากที่ขยับไปมาโดยไม่มีเสียงมาอีก
'พ่อของผมไม่นิยมใช้ของร่วมกับคนอื่น...ระวังตัวด้วยล่ะ'
ผมกัดปากเบาๆ แสร้งทำเป็นหันกลับไปล้างปากต่ออย่างเนียนๆ แอบเหล่มองไปทางพี่ศรเล็กน้อยว่ามีปฏิกริยาอย่างไรบ้าง แล้วก็ต้องเสหลบมาจ้องเงาตัวเองในกระจกทันทีที่เห็นดวงตาคมดุที่เหมือนมีไฟกรุ่นอยู่ภายในจ้องกลับมา
"ไม่จืดเลยนะเกล"น้ำเสียงเย็นชวนขุนลุกเอ่ยขึ้นมาจากริมฝีปากที่หยักยิ้มประชดประชัน ผมเผยอปากขึ้นเล็กน้อย...ทันทีที่เห็นสภาพตัวเองชัดๆ
เสื้อเชิ้ตสีหวานหลุดออกนอกกางเกงที่ปลดกระดุมและซิบออกอย่างหมิ่นเหม่ กระดุมเสื้อเชิ้ตด้านบนเองก็หลุดออกหลายเม็ดจากการที่ผมปลดออกช่วงอาเจียนเมื่อครู่ บนต้นคอจนถึงกกหูมีรอบคิสมาร์กประดับอยู่สองสามรอย...
ดูท่ากรรมพันธ์บ้านนี้จะส่งต่อมาถึงเรื่องมือเร็วด้วยสินะ
ผมกัดฟันกลืนน้ำลายหนืดๆลงคออย่างยากลำบาก หันไปยิ้มการค้าให้กับพี่ศรที่เริ่มเดินตรงเข้ามาหาผมด้วยท่าทีคุกคามคล้ายกับช่วงที่ผมเจอเขาแรกๆ
"สันดานเดิมทิ้งไม่ลงหรือไง?"
ผมรู้สึกหน้าชาราวกับโดนไฮโดรเจนเหลวสาดใส่ รอยยิ้มการค้าที่อยู่บนใบหน้าเกือบจะเลือนหลุดไปอยู่แล้ว ถ้าผมไม่เรียกสติของตัวเองกลับมาทัน
"ทำมาเกือบครึ่งชีวิต มันก็ยากอยู่ครับที่จะทิ้งนิสัยเก่าๆ"ผมยิ้ม ตอบเหมือนมันเป็นเรื่องตลกทั้งๆที่หัวใจกำลังเต้นระรัวด้วยความปวดหนึบและกรุ่นโกรธ
"ฉันไม่เคยบอกหรืองไง ว่าไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร?!"ผมยิ้มไม่ตอบคำ ตอบรับความรุนแรงจากการบีบข้อมือที่ส่งมาจากมือใหญ่ราวไม่รู่สึกอะไร
"จะเป็นไรไปครับ นั่นก็ลูกชายคุณ ยังไงก็ครอบครัวเดียวกันนี่..."
"เกล!!"
ผมไม่สนกับเสียงที่ตะโกนลั่นห้องน้ำนั่น หุบรอยยิ้มเสแสร้งลงทันทีที่พี่ศรจับตัวผมกระแทกอย่างแรงเข้ากับผนังห้องน้ำ ดวงตาที่เคยเยือกเย็นของเขากลับลุกโหมราวไฟบรรลัยที่ผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าธุลี
ลูกของพี่ศรพูดถูก เขาหวังดีกับผม ถึงได้พยายามบอกให้ผมอยู่ให้ห่างจากพี่ศรไว้ ก่อนที่จะจมลึกลงไปในหลุมที่ไม่มีวันปีนออกมาได้เหมือนดี่งที่แม่ของเขาเคยเป็น
เขาพูดถูกทุกอย่าง พี่ศร...ไม่มีหัวใจ สิ่งที่เขากำลังทำไปทุกๆอย่างนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ผมเริ่มระแคะระคายมาได้หลายวันแล้วล่ะ แต่ไม่อยากจะยอมรับมัน
มันยากนะที่จะตอกย้ำความจริงกับตัวเองว่าความรู้สึกอบอุ่นนั้นเป็นของปลอม หัวใจที่ผมรู้สึกราวกับเขากำลังมอบมันให้ผมนั้นเป็นของปลอม
ดังนั้นก่อนที่เด็กนั่นจะมาตอกย้ำ ผมจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหลอกตัวเองต่อไปเรื่อยๆทำเหมือนไม่มีอะไนเกิดขึ้น หลอกอยู่ตลอดว่าผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของผมตอนนี้คืออะไร
และนี่คงเป็นโอกาาสดีที่ฟ้าส่งมาให้กระมัง โอกาสที่จะปีนขึ้นจากบ่อความรักที่เราขุดขึ้นมาเองเพื่อฝังตัวเองทั้งเป็น!!>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
มาอัพพร้อมกับความดราม่าเต็มพิกัด

ตอนนี้อิงเชื่อว่าทุกๆท่านที่ติดตามเรื่องนี้อยู่คงอยากทึ้งหัวอิงเต็มแก่
อีนี่หายไปตั้งนานกลับมาต่อแค่เนี้ย แถมยังพกม่ามาชามใหญ่ขึ้นอืดมาด้วยอีก!!

ความจริงอยากจะต่อหวานๆให้อีกตอนนะแต่มันแต่งไม่ออกอ่ะ เอาดราม่าไปแทนแล้วกกันเนอะ
อีกเรื่องที่อิงหายไปนี่มีเหตุค่ะ แบบว่างานเข้าเหมือนดีเพรสชั้นติดกันเป็นเดือนเลยจ๊ะ!!นี่ก็ยังเหลืองานตัดต่อวีดีโออีกงาน แถมอีกสองอาทิตย์ก็สอบและ สงสัยคงได้หายหน้าไปอีกจนกว่าจะสอบเสร็จแหงๆ แต่ก็ไม่แน่ ไม่รู้เป็นไงเวลาสอบพล็อตนิยายจะพลุ่งพล่านเป็นพิเศษ

เอาเป็นว่าจะมาต่อให้ไวที่สุดแล้วกันค่ะ เม้นท์เยอะๆเป็นกำลังใจให้หน่อยนะค่ะ

ขอบคุณทุกๆคอมเมนท์ค่ะ!
